• 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • 70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม?

    ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย

    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

    แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่?

    ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม
    ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง

    🔎 ลักษณะพระบรมศพ
    มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย

    💡 คำถามที่เกิดขึ้น
    เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์?
    หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ?

    มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต
    หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด

    1. นายเฉลียว ปทุมรส
    อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต

    2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม
    อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์

    3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง
    เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต

    💭 ข้อโต้แย้ง
    มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์

    ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร
    หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ
    - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน
    - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม
    - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม

    17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล
    ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
    ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร
    ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร
    ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร

    หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น

    👀 ความน่าสงสัย
    - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน
    - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี

    ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง?
    แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด

    🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ"
    ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน
    มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง

    🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์"
    มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง
    ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ

    🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป"
    สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง
    หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย

    คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ
    แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง

    ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥
    - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์?
    - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่?

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568

    #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม? ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่? ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง 🔎 ลักษณะพระบรมศพ มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย 💡 คำถามที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์? หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ? มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1. นายเฉลียว ปทุมรส อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต 2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์ 3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต 💭 ข้อโต้แย้ง มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น 👀 ความน่าสงสัย - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง? แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด 🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ" ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน 🔴 ข้อโต้แย้ง ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง 🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์" มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร 🔴 ข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ 🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป" สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥 - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์? - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่? ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568 #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง ร.10 ทรงฟ้อนเล็บ ท่าบิดบัวบาน ขณะรถพระที่นั่งผ่านประชาชนที่มารอรับเสด็จ พร้อมกับนางรำ

    https://web.facebook.com/reel/
    ในหลวง ร.10 ทรงฟ้อนเล็บ ท่าบิดบัวบาน ขณะรถพระที่นั่งผ่านประชาชนที่มารอรับเสด็จ พร้อมกับนางรำ https://web.facebook.com/reel/
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 18 0 รีวิว
  • เหรียญในหลวง ร.9 นั่งบัลลังก์ ปี2539
    เหรียญในหลวง ร.9 นั่งบัลลังก์ ปี2539 เนื้ออัลปาก้า บล็อกนิยม มีเม็ดตา กระบี่ยาวมีปลอก // พระดีพิธีใหญ๋ ชนวนมวลสารโลหะจากแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ชัยชนะ ความสำเร็จแห่งกิจการทรัพย์ ลาภ ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข กำลัง ศรี อายุ วรรณะ โภคสมบัติ ความ เจริญและยศ มีอายุยืน >>

    ** จัดสร้างโดยกระทรวงมหาดไทยในวาระเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ.ศ.2539 ผู้จัดสร้างได้นำเนื้อโลหะชนวนมวลสารโลหะจากพิธีสำคัญๆ เช่น ชนวนโลหะพระกริ่งดำรงราชานุภาพในงาน 100 ปี กระทรวงมหาดไทยจัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2533 และชนวนโลหะพระนิโรคันตรายที่กระทรวงมหาดไทยและประชาชนทั่วประเทศจัดสร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538 และแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ

    ** พระที่มาทำพิธีมังคลาภิเษกคร่าวๆมีดังนี้

    สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นประธาน
    1. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    2. หลวงพ่อลำใย วัดลาดหญ้า
    3. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    4. หลวงปู่ดี วัดพระรูป
    5. หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี
    6. หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง
    7. หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ ฯลฯ

    เหรียญแท้มีผู้นำไปบูชาแล้วต่างมีประสบการณ์มากมาย เรียกได้ว่าห้อยเหรียญเดียวไปเหนือจรดใต้ได้อย่างสนิทใจ


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญในหลวง ร.9 นั่งบัลลังก์ ปี2539 เหรียญในหลวง ร.9 นั่งบัลลังก์ ปี2539 เนื้ออัลปาก้า บล็อกนิยม มีเม็ดตา กระบี่ยาวมีปลอก // พระดีพิธีใหญ๋ ชนวนมวลสารโลหะจากแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ชัยชนะ ความสำเร็จแห่งกิจการทรัพย์ ลาภ ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข กำลัง ศรี อายุ วรรณะ โภคสมบัติ ความ เจริญและยศ มีอายุยืน >> ** จัดสร้างโดยกระทรวงมหาดไทยในวาระเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อ พ.ศ.2539 ผู้จัดสร้างได้นำเนื้อโลหะชนวนมวลสารโลหะจากพิธีสำคัญๆ เช่น ชนวนโลหะพระกริ่งดำรงราชานุภาพในงาน 100 ปี กระทรวงมหาดไทยจัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.2533 และชนวนโลหะพระนิโรคันตรายที่กระทรวงมหาดไทยและประชาชนทั่วประเทศจัดสร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538 และแผ่นจารอาคมจากพระเกจิอาจารย์ทุกภาคทั่วประเทศ ** พระที่มาทำพิธีมังคลาภิเษกคร่าวๆมีดังนี้ สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นประธาน 1. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม 2. หลวงพ่อลำใย วัดลาดหญ้า 3. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ 4. หลวงปู่ดี วัดพระรูป 5. หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี 6. หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง 7. หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ ฯลฯ เหรียญแท้มีผู้นำไปบูชาแล้วต่างมีประสบการณ์มากมาย เรียกได้ว่าห้อยเหรียญเดียวไปเหนือจรดใต้ได้อย่างสนิทใจ ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หมายกำหนดการ
    25 กุมภาพันธ์ 2568
    ในหลวง พระราชินี จะเสด็จฯ ทรงเปิดสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจากภูผาสู่มหานที
    เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร


    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    #หมายกำหนดการ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ในหลวง พระราชินี จะเสด็จฯ ทรงเปิดสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสวนจากภูผาสู่มหานที เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราจะหล่อพระบรมรูปปั้น ๓ มิติ ในหลวงรัชกาลที่๙ ด้วยตัวเองได้อย่างไร
    เราจะหล่อพระบรมรูปปั้น ๓ มิติ ในหลวงรัชกาลที่๙ ด้วยตัวเองได้อย่างไร
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 1 รีวิว
  • ในหลวงพระราชทานช่อดอกไม้และของขวัญคู่รัก LGBT เนื่องในวันจดทะเบียนสมรสระหว่างนายกำพล วงษ์นารี & นายณัฐภูมิ


    https://web.facebook.com/share/p/195rb6YyfS/
    ในหลวงพระราชทานช่อดอกไม้และของขวัญคู่รัก LGBT เนื่องในวันจดทะเบียนสมรสระหว่างนายกำพล วงษ์นารี & นายณัฐภูมิ https://web.facebook.com/share/p/195rb6YyfS/
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • หล่อเหรียญพระบรมรูปปั้น "ในหลวงรัชกาลที่๙ "ใครๆก็ทำได้ อยากได้ต้องลงมือทำ"
    #ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา
    หล่อเหรียญพระบรมรูปปั้น "ในหลวงรัชกาลที่๙ "ใครๆก็ทำได้ อยากได้ต้องลงมือทำ" #ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • #เปิดครับ เหรียญรุ่น 2 หลวงปู่มหาเจียร

    ครบ5รอบ ถ้ำสว่างอารมณ์ ปี31 หายากมากครับ

    หลวงพ่อเจียน เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระพูดน้อยมากๆ อยู่ในวัตรอันดีงามเป็นอย่างยิ่ง
    ท่านพำนักอาศัยอยู่ที่ถ้ำสว่างอารมณ์ บนเขาบันไดอิฐเพียงรูปเดียวเท่านั้นตลอดระยะเวลา 55 ปี โดยมีหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระอุปัชฌาย์

    ท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน และเคร่งครัดในวินัยของสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีความสำรวมมาก ทุกคนที่ได้พบท่านเป็นครั้งแรกจะเลื่อมใสท่านมากค่ะ ถึงแม้การจะขึ้นไปพบท่านจะต้องเดินขึ้นเขาไปด้วยความยากลำบาก แต่ทุกคนที่ได้ขึ้นไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครบ่นเลยแม้สักครั้งเดียว เนื่องด้วยความศรัทธาในหลวงพ่อเจียน วัตถุมงคลของท่านมีน้อย ส่วนใหญ่ท่านจะแจกให้กับผู้ที่ขึ้นมาหาท่านกับมือเอง และวัตถุมงคลของท่านล้วนแต่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งประสบการณ์จากคนในพื้นที่เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีครับ

    #เปิดครับ เหรียญรุ่น 2 หลวงปู่มหาเจียร ครบ5รอบ ถ้ำสว่างอารมณ์ ปี31 หายากมากครับ หลวงพ่อเจียน เป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นพระพูดน้อยมากๆ อยู่ในวัตรอันดีงามเป็นอย่างยิ่ง ท่านพำนักอาศัยอยู่ที่ถ้ำสว่างอารมณ์ บนเขาบันไดอิฐเพียงรูปเดียวเท่านั้นตลอดระยะเวลา 55 ปี โดยมีหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน และเคร่งครัดในวินัยของสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีความสำรวมมาก ทุกคนที่ได้พบท่านเป็นครั้งแรกจะเลื่อมใสท่านมากค่ะ ถึงแม้การจะขึ้นไปพบท่านจะต้องเดินขึ้นเขาไปด้วยความยากลำบาก แต่ทุกคนที่ได้ขึ้นไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครบ่นเลยแม้สักครั้งเดียว เนื่องด้วยความศรัทธาในหลวงพ่อเจียน วัตถุมงคลของท่านมีน้อย ส่วนใหญ่ท่านจะแจกให้กับผู้ที่ขึ้นมาหาท่านกับมือเอง และวัตถุมงคลของท่านล้วนแต่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งประสบการณ์จากคนในพื้นที่เป็นที่ทราบกันเป็นอย่างดีครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวงพระทานพัศยศแด่พระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรม ๙ และ เปรียญธรรม ๖ ประโยค ณ วัดพระแก้ว วันที่ 9 พฤษภาคม 2560
    ในหลวงพระทานพัศยศแด่พระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรม ๙ และ เปรียญธรรม ๖ ประโยค ณ วัดพระแก้ว วันที่ 9 พฤษภาคม 2560
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..."

    ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ

    เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า

    "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว

    ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

    ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

    ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..."

    สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน

    ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

    อ้างอิง:

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html

    อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/

    คลิปรายการของไทยโพสต์:
    https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..." ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..." สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ อ้างอิง: พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/ คลิปรายการของไทยโพสต์: https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจากความรู้สึก 6
    คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า)
    คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง
    และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ
    ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง
    ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง
    สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง
    และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
    ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
    จบ
    จบแล้วจ้า
    ฮ่าๆๆๆ
    บทความจากความรู้สึก 6 คนดีที่แท้จริงนั้น หายากมากๆ มากๆๆๆเลย คนดีหายากยิ่ง แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนดีอยู่ในตอนนี้ ยัง...ยังมีคนดีอยู่...(และฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อพวกเค้า) คนส่วนใหญ่มักชอบที่จะเป็นคนเก่งๆมากกว่าที่จะเป็นคนที่ดีๆ โดยเฉพาะคนที่ดีแท้ ก็เพราะว่ามันเป็นกันง่ายๆนั่นเอง และคนที่เก่งและแถมเป็นคนที่ดีด้วยนั้น ในประเทศไทยนี้นั้น มันหาได้ยากยิ่งมากๆเลย แถมกับยังมีความกล้าพอที่จะกล้าแสดงออกมา และต่อสู้ด้วยกันกับอุดมการณ์ของตนเอง ในแบบที่ตัวเองเป็น และจะเป็นตลอดไป ในประเทศไทยนี้นั้น หาได้โคตรยากมากๆ มากๆๆๆๆๆๆ ที่เห็นอยู่ในประเทศไทยนี้นั้น ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณลุงตัวอย่างของผมนั่นเอง คนๆนั้นคือ ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)นั่นเอง ซึ่งถ้าหากว่าใครจะกล่าวหาด่าว่าผมเป็นพวกเหี้ยเสื้อเหลืองพันธมิตรฯก็ช่างหัวพวกคุณ แต่อย่างน้อยผมก็มีความกล้าพอที่จะเป็นตัวของตนเอง และกล้าพอที่จะตายคาอุดมการณ์ที่ผมนั้นเชื่อมั่นยึดถึออยู่ตลอดเวลา และอย่างน้อยที่สุดผมก็เป็นคนที่กล้าพอที่จะเป็นคนดีที่แท้จริง ที่กล้าที่จะสู้ชนกับทุกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทรามในสังคมคนชั่วที่เห็นแก่ตัวกันในประเทศไทยนี้ที่เสื่อมทรามในศีลธรรมลงในสังคมเน่าๆอย่างนี้นั่นเอง ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านทรงสอนลูกๆของท่านทุกๆคนให้เป็นคนที่ดีมากกว่าที่จะเป็นคนที่เก่งแต่เพียงอย่างเดียว และท่านก็มักที่จะทรงสอนให้ทุกๆคนเป็นคนที่มีดีด้วยและเป็นคนที่เก่งอีกด้วย แต่ท่านจะทรงเน้นหนักไปที่คนดีเสียมากกว่านั่นเอง สุดท้ายนี้ คนที่รู้ตัวเองดียิ่งกว่าใครๆคือตนเองนั่นเอง และอย่าหวังว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ชั่วยิ่งกว่าใคร" นั่นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง "ทำดีย่อมต้องได้ดี ทำชั่วย่อมต้องได้ชั่ว" อย่างแน่นอน "ทำอย่างไร ย่อมได้อย่างนั้น" อยู่ดี "กรรมสนองกรรม" "ธรรมะ ย่อมอยู่เหนือกาลเวลา" ไม่เหมือนกับโลก ที่ผกผันแปรเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ผมขอความกรุณาให้ทุกๆท่านที่ได้อ่านบทความนี้กรุณาทำใจและวางตัวให้เป็นกลาง และยอมรับกับความเป็นจริงในสุขทุกข์ และสรรพสิ่ง ว่ามันคือความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง จบ จบแล้วจ้า ฮ่าๆๆๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ)
    ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ
    ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน)
    ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป
    ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่
    ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
    ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม
    ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
    ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ
    ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที
    "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน"
    พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ
    สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล...

    คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง
    แดนเจอร์
    บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ) ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน) ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่ ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน" พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล... คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง แดนเจอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 4
    คนเก่งมากมายดีแต่พูดอย่างเดียว แต่คนดีคิดจริง พูดจริง และทำจริง และก็ตายจริง
    ลองดูอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านสิ ท่านทำมาทั้งชีวิตของท่านจวบจนท่านตายไป
    แล้วลองหันมาดูคนเก่งสิ ทำได้อย่างท่านมั้ย ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ดีแต่พูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง
    น่าสงสารประเทศไทยที่มีแต่คนเก่งๆ แต่ไม่มีคนดีเลย น่าสงสารจริงๆ
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 4 คนเก่งมากมายดีแต่พูดอย่างเดียว แต่คนดีคิดจริง พูดจริง และทำจริง และก็ตายจริง ลองดูอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านสิ ท่านทำมาทั้งชีวิตของท่านจวบจนท่านตายไป แล้วลองหันมาดูคนเก่งสิ ทำได้อย่างท่านมั้ย ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ดีแต่พูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง น่าสงสารประเทศไทยที่มีแต่คนเก่งๆ แต่ไม่มีคนดีเลย น่าสงสารจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป"
    แปลไทยโดย "แดนเจอร์"
    พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย
    พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน
    พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่
    พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี)
    ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง)
    พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย
    พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ
    เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด)
    จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง
    จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว
    จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง)
    สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
    ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ
    นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรักตลอดไป
    ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่
    ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง
    ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา)
    และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป
    ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา
    ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย
    เพราะท่านคือพ่อ(หลวง)
    เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์)
    ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้
    นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง)
    ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์)
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์)
    ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" (ชื่อเดิมของเพลงนี้คือ Love Eternally เพื่อพ่อตลอดไป ประพันธ์โดย Paul Ewing เนื้อเพลง "ด้วยรักตลอดไป" แปลไทยโดย "แดนเจอร์" พ่อเดินท้าว ท่องทั่วไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย พ่อสัมผัสได้ถึง ทุกๆมือและหัวใจของประชาชน พ่อมองเห็นถึง การวางแผนที่ ที่ยิ่งใหญ่ พวกเราให้ท่าน(พ่อหลวง)ทั้งหมดใจ(เท่าที่มี) ซึ่งท่านทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้(นั่นเอง) พ่อให้ฝนหลวง จากที่ๆไม่เคยมีฝนตกเลย พ่อมอบกำลังใจให้กับพวกเรา ในตอนที่พวกเราร่ำร้องไห้กับความยากจนเข็นใจ เพราะท่าน(พ่อหลวง)มีศรัทธาในพวกเรา จึงทำให้พวกเรามีความพยายาม(อย่างยิ่งยวด) จนถึง(ใน)ที่สุดแล้ว จนทำให้ประเทศชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรือง จากตัวเลือกนับเป็นพันๆคน แต่พวกเรากลับเลือกท่านแค่เพียงแค่คนเดียว จนเป็นพันๆล้านเสียง จึงบังเกิดเป็นเพียงหนึ่งเดียว(ท่านพ่อหลวง) สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเอกภาพ นับจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรักตลอดไป ในทุกๆดวงใจ ในทุกๆบ้าน ในทุกๆที่ ท่าน(พ่อหลวง)คือแสงสว่างแห่งความหวัง ท่าน(พ่อหลวง)คือที่คุ้มกันภัย(ของพวกเรา) และเมื่อเหล่าพายุฝนได้จางหายไป ท่านเป็นได้ดั่งแรงบันดาลใจของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงได้ถือนำพาเอาไปด้วย เพราะท่านคือพ่อ(หลวง) เพราะท่านคือจิตวิญญาณ(ที่ศักดิ์สิทธิ์) ท่านเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของประเทศไทยนี้ นับต่อจากนี้ไปพวกเราจะให้ท่าน(พ่อหลวง) ด้วยรัก(และเคารพยิ่ง)ตลอดไป(ชั่วนิดนิรันดร์) ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ท่านเป็นพระมหากษัตริย์(ของพระมหากษัตริย์) ท่าน(พ่อหลวง)เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(และจะยังคงเป็นตลอดไป)ท่าน(พ่อหลวง)คือพระมหาโพธิสัตว์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 4
    นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่มีการบอกเล่าเรื่องราวถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)อีกบทเพลงหนึ่งนะครับ
    ในยูทูปที่ชื่อ An Everlasting Light - international artists record in honor of H.M. King Bhumibol of Thailand
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 4 นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่มีการบอกเล่าเรื่องราวถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)อีกบทเพลงหนึ่งนะครับ ในยูทูปที่ชื่อ An Everlasting Light - international artists record in honor of H.M. King Bhumibol of Thailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 3
    นี่ก็เป็นอีกบทเพลงหนึ่งในตำนาน ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราปวงชนชาวไทย
    ว่าที่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายทั่วทั้งโลกใบนี้ ว่าท่านเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริงๆๆ
    โดยได้มีการจัดการถ่ายทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งจะไม่เหมือนกับเก่าก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่มีความก้าวล้ำหน้า และทันสมัยเหมือนกับในปัจจุบันนั่นเอง
    ในยูทูปที่ชื่อ LOVE ETERNALLY (เพื่อพ่อตลอดไป)- PAUL EWING - For His Majesty King Of Thailand, 2014
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 3 นี่ก็เป็นอีกบทเพลงหนึ่งในตำนาน ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราปวงชนชาวไทย ว่าที่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายทั่วทั้งโลกใบนี้ ว่าท่านเป็นคนของประชาชนอย่างแท้จริงๆๆ โดยได้มีการจัดการถ่ายทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งจะไม่เหมือนกับเก่าก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่มีความก้าวล้ำหน้า และทันสมัยเหมือนกับในปัจจุบันนั่นเอง ในยูทูปที่ชื่อ LOVE ETERNALLY (เพื่อพ่อตลอดไป)- PAUL EWING - For His Majesty King Of Thailand, 2014
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 2
    นี่คือฉบับถ่ายทำนะครับ
    ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฉบับถ่ายทำที่มีการร้องและการเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนมันจะกลายมาเป็นต้นฉบับที่มีความลงตัวในตัวของมันเองเลยทีเดียวเชียว
    และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตามที คำสอนของพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของท่านก็จะยังคงมีผู้ที่คอยสืบทอดและสานต่อไปอย่างแน่นอน ผมคิดไว้อย่างนั้นจริงๆ
    และอย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่สานต่องานของท่าน ถึงแม่ว่าผมจะไม่มีความสามารถมากมายอะไรนัก แต่ผมก็ขอที่จะเป็นคนดีและทำความดีถวายให้เป็นพลีของแผ่นดินให้กับบรรพชน และท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไปตลอดไปตราบจนชั่วชีวิตนี้จักหาไม่อย่างแน่นอน
    ดังตัวอย่างที่คนโบราณท่านได้เคยพูดเอาไว้ว่า "แผ่นดินไทย ไม่สิ้นคนดี" อย่างแน่นอน
    ในยูทูปที่ชื่อ 13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง โดย ธเนศ วรากุลนุเคราะห์
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 2 นี่คือฉบับถ่ายทำนะครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ฉบับถ่ายทำที่มีการร้องและการเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้วก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนมันจะกลายมาเป็นต้นฉบับที่มีความลงตัวในตัวของมันเองเลยทีเดียวเชียว และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตามที คำสอนของพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของท่านก็จะยังคงมีผู้ที่คอยสืบทอดและสานต่อไปอย่างแน่นอน ผมคิดไว้อย่างนั้นจริงๆ และอย่างน้อยผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่สานต่องานของท่าน ถึงแม่ว่าผมจะไม่มีความสามารถมากมายอะไรนัก แต่ผมก็ขอที่จะเป็นคนดีและทำความดีถวายให้เป็นพลีของแผ่นดินให้กับบรรพชน และท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไปตลอดไปตราบจนชั่วชีวิตนี้จักหาไม่อย่างแน่นอน ดังตัวอย่างที่คนโบราณท่านได้เคยพูดเอาไว้ว่า "แผ่นดินไทย ไม่สิ้นคนดี" อย่างแน่นอน ในยูทูปที่ชื่อ 13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง โดย ธเนศ วรากุลนุเคราะห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราทุกๆคนในประเทศชนชาติไทย
    ท่านจะยังคงอยู่ในจิตวิญญาณของผมและทุกๆคนที่เข้าใจในตัวของท่านเสมอมา และเสมอไป ตลอดไป ตราบชั่วชีวิตของผมนี้ชั่วนิดนิรันดร์
    ในฐานะที่ผมเป็นลูกหลานของท่าน รวมทั้งเป็นถึงความหวังของทุกๆคนในโลกหน้าด้วย และในหลายๆสถานะนั้น
    ไม่ว่าจะเป็นในนาม ผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทย ว่าที่ราชาแห่งความมืดที่แท้จริงยิ่งกว่าใครๆ เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้นำองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์ เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรลับที่คอยพิทักษ์แผ่นดินไทยต่อไปในภายภาคหน้า เป็นแกนนำพันธมิตรฯยุคใหม่ในภายภาคหน้า เป็นความหวังของบรรพชน และในหลายๆสถานะมากมาย
    แต่ถึงมันจะมากมายแค่ไหนก็ตามที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผมจะเป็นคนดีของแผ่นดินไทยตามแบบอย่างของท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไป และตลอดไปตราบชั่วชีวิตของผมนี้จะมอดไหม้สลายกลายเป็นผงธุลีดิน
    ชีวิตนี้ขอมอบให้ท่าน แด่จิตวิญญาณบรรพชน ทั่วทั้งประเทศไทย โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ
    ป.ล.ผมขอขอบพระคุณทุกๆท่านทุกๆที่ๆเข้าใจในตัวของผมอย่างแท้จริงๆๆ ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนผมเสมอมาและเสมอไปตลอดไปด้วยนะครับ
    (นี่เป็นการถ่ายทำที่บ่งบอกถึงเบื้องหลังและความเป็นมาของเพลงนี้ให้ทุกๆคนได้รับรู้และรับทราบกันนะครับ)
    ในยูทูปที่ชื่อ 'ธเนศ' บันทึกเหตุการณ์สะเทือนใจคนไทย ผ่านบทเพลง '13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง
    บทความถึงท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ของพวกเราทุกๆคนในประเทศชนชาติไทย ท่านจะยังคงอยู่ในจิตวิญญาณของผมและทุกๆคนที่เข้าใจในตัวของท่านเสมอมา และเสมอไป ตลอดไป ตราบชั่วชีวิตของผมนี้ชั่วนิดนิรันดร์ ในฐานะที่ผมเป็นลูกหลานของท่าน รวมทั้งเป็นถึงความหวังของทุกๆคนในโลกหน้าด้วย และในหลายๆสถานะนั้น ไม่ว่าจะเป็นในนาม ผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทย ว่าที่ราชาแห่งความมืดที่แท้จริงยิ่งกว่าใครๆ เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้นำองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์ เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรลับที่คอยพิทักษ์แผ่นดินไทยต่อไปในภายภาคหน้า เป็นแกนนำพันธมิตรฯยุคใหม่ในภายภาคหน้า เป็นความหวังของบรรพชน และในหลายๆสถานะมากมาย แต่ถึงมันจะมากมายแค่ไหนก็ตามที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผมจะเป็นคนดีของแผ่นดินไทยตามแบบอย่างของท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)ต่อไป และตลอดไปตราบชั่วชีวิตของผมนี้จะมอดไหม้สลายกลายเป็นผงธุลีดิน ชีวิตนี้ขอมอบให้ท่าน แด่จิตวิญญาณบรรพชน ทั่วทั้งประเทศไทย โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ ป.ล.ผมขอขอบพระคุณทุกๆท่านทุกๆที่ๆเข้าใจในตัวของผมอย่างแท้จริงๆๆ ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนผมเสมอมาและเสมอไปตลอดไปด้วยนะครับ (นี่เป็นการถ่ายทำที่บ่งบอกถึงเบื้องหลังและความเป็นมาของเพลงนี้ให้ทุกๆคนได้รับรู้และรับทราบกันนะครับ) ในยูทูปที่ชื่อ 'ธเนศ' บันทึกเหตุการณ์สะเทือนใจคนไทย ผ่านบทเพลง '13 ตุลา หนึ่งทุ่มตรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำศัพท์ใหม่ในปีพ.ศ.2560ที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง
    คำศัพท์ใหม่ที่ว่านี้ก็คือคำศัพท์ที่ต่อยอดมาจากความเจ็บปวดที่ฉันเคยได้รับที่มันมากมายเสียเหลือเกิน และทุกวันนี้มันก็ยังคงอยู่ในหัวใจของฉันในสายเลือดของฉันนั่นเอง ซึ่งคำศัพท์ใหม่ที่ว่าคำนั้นก็คือ
    “กัดใจ”
    กัดใจ หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกลึกๆที่มีอยู่ข้างในตัวเองที่ได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมานานจนมันชินชากับความรู้สึกนั้นๆ เหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็ทนได้บ้าง แต่ในบางครั้งในบางเวลามันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันสุดที่จะอดทนกับความรู้สึกนั้นๆหรืออารมณ์นั้นๆได้อีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งถึงกับต้องแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์นั้นๆออกมาโดยตั้งใจจากใจจริงๆของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่นๆก็ตามที แต่โดยส่วนมากมักจะทำกันในที่ปิดมิดชิดที่ไม่มีใครที่จะสามารถมามองเห็นหรือรับรู้ด้วยได้นั่นเอง เพราะว่ากลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือคนเสียสติ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าใครก็มีอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจของตนเองกันทุกคน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นกับเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความอ่อนแอของตนเองที่ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอดกลั้นฝืนใจในความเจ็บปวดที่ตนเองเคยได้รับเคยถูกกระทำมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบอกให้ใครๆได้รับรู้ได้ว่าเราได้เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวร้ายๆที่เคยผ่านมาในอดีตนั้นๆ และทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่มาได้นี้มันก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของตนเองได้นั่นเอง โดยเฉพาะความกดดันการถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องราวอันแสนที่จะเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสนั้นๆ มันก็จะทำให้ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะอดทนอดกลั้นต่อความทรงจำในสมองที่ตนเองได้เคยถูกทำร้ายมาในอดีตนั้นๆได้อีกต่อไปนั่นเอง
    ผมจะแสดงตัวอย่างของคำศัพท์นี้ให้ได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างนี้ที่จะกล่าวมาให้เห็นภาพอาการนี้ได้ดังนี้คือ
    ฉันมีความรู้สึกว่ามันกัดใจฉันทุกครั้งที่ฉันได้เห็นรูปภาพของท่านพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่าน ที่ท่านได้เคยมีรอยยิ้มที่มีความสุขในชีวิตของท่านน้อยมากๆ ทั้งชีวิตของฉันนี้ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้อีกแล้ว มันกัดใจฉันเหลือเกินเมื่อฉันจะต้องรับรู้ว่าในอนาคตอันไกลข้างหน้านี้จะไม่มีท่านที่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเราปวงชนชาวไทยนี้อีกต่อไปแล้ว และฉันก็จะไม่ได้มีวันที่จะได้เห็นท่านมีความสุขมีรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนี้ ที่ท่านได้เคยยืนอยู่เคียงข้างพวกเรามานานแสนนานเสมอมา ไม่มีอีกแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่มีอีกแล้ว...(และฉันก็ร้องไห้ออกมาทุกทีทุกครั้งไปที่ได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่านในทุกๆที่ทั่วทั้งประเทศไทย ที่ๆฉันได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่าน)ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกกัดใจมากๆนั่นเอง
    คำศัพท์ใหม่ในปีพ.ศ.2560ที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง คำศัพท์ใหม่ที่ว่านี้ก็คือคำศัพท์ที่ต่อยอดมาจากความเจ็บปวดที่ฉันเคยได้รับที่มันมากมายเสียเหลือเกิน และทุกวันนี้มันก็ยังคงอยู่ในหัวใจของฉันในสายเลือดของฉันนั่นเอง ซึ่งคำศัพท์ใหม่ที่ว่าคำนั้นก็คือ “กัดใจ” กัดใจ หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกลึกๆที่มีอยู่ข้างในตัวเองที่ได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมานานจนมันชินชากับความรู้สึกนั้นๆ เหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็ทนได้บ้าง แต่ในบางครั้งในบางเวลามันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันสุดที่จะอดทนกับความรู้สึกนั้นๆหรืออารมณ์นั้นๆได้อีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งถึงกับต้องแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์นั้นๆออกมาโดยตั้งใจจากใจจริงๆของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่นๆก็ตามที แต่โดยส่วนมากมักจะทำกันในที่ปิดมิดชิดที่ไม่มีใครที่จะสามารถมามองเห็นหรือรับรู้ด้วยได้นั่นเอง เพราะว่ากลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือคนเสียสติ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าใครก็มีอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจของตนเองกันทุกคน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นกับเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความอ่อนแอของตนเองที่ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอดกลั้นฝืนใจในความเจ็บปวดที่ตนเองเคยได้รับเคยถูกกระทำมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบอกให้ใครๆได้รับรู้ได้ว่าเราได้เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวร้ายๆที่เคยผ่านมาในอดีตนั้นๆ และทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่มาได้นี้มันก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของตนเองได้นั่นเอง โดยเฉพาะความกดดันการถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องราวอันแสนที่จะเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสนั้นๆ มันก็จะทำให้ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะอดทนอดกลั้นต่อความทรงจำในสมองที่ตนเองได้เคยถูกทำร้ายมาในอดีตนั้นๆได้อีกต่อไปนั่นเอง ผมจะแสดงตัวอย่างของคำศัพท์นี้ให้ได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างนี้ที่จะกล่าวมาให้เห็นภาพอาการนี้ได้ดังนี้คือ ฉันมีความรู้สึกว่ามันกัดใจฉันทุกครั้งที่ฉันได้เห็นรูปภาพของท่านพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่าน ที่ท่านได้เคยมีรอยยิ้มที่มีความสุขในชีวิตของท่านน้อยมากๆ ทั้งชีวิตของฉันนี้ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้อีกแล้ว มันกัดใจฉันเหลือเกินเมื่อฉันจะต้องรับรู้ว่าในอนาคตอันไกลข้างหน้านี้จะไม่มีท่านที่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเราปวงชนชาวไทยนี้อีกต่อไปแล้ว และฉันก็จะไม่ได้มีวันที่จะได้เห็นท่านมีความสุขมีรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนี้ ที่ท่านได้เคยยืนอยู่เคียงข้างพวกเรามานานแสนนานเสมอมา ไม่มีอีกแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่มีอีกแล้ว...(และฉันก็ร้องไห้ออกมาทุกทีทุกครั้งไปที่ได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่านในทุกๆที่ทั่วทั้งประเทศไทย ที่ๆฉันได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่าน)ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกกัดใจมากๆนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อทำ
    หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคล้ายๆกัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
    ทำเพื่ออยู่ คือ ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพทำการงานต่างๆนาๆกันไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในแต่ละวัน ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะทำแบบดีๆหรือจะทำแบบลวกๆเพื่อให้งานที่ตนเองทำนั้นออกมาดูดีหรืออกมาแบบขอไปที่ แต่โดยส่วนรวมแล้วนั้นจะหมายถึงการทำงานเพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นเอง
    ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่ควรทำอยู่หรอก และก็ต้องทำให้ได้ด้วย ซึ่งมันก็จริง แต่เราลองมาคิดในแง่นี้อีกแบบหนึ่งจะดีกว่ามั้ย นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณ นั่นก็คือให้อยู่เพื่อทำงานจะดีกว่า เรามาลองดูกันว่าอยู่เพื่อทำนั้นเป็นอย่างไรกัน
    อยู่เพื่อทำ คือ การที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างให้เป็นที่ประจักษ์ต่อตนเองและผู้อื่น และยังเป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองอีกด้วย ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองออกมาอย่างมีคุณค่า และการมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานนั้นจะทำให้ตนเองมีคุณค่าในชีวิตของตนเองและยังได้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพอีกด้วย เพราะอยู่เพื่อทำมันขึ้นมานั่นเอง
    ผมจะยกตัวอย่างบุคคลที่จะทำให้ทุกๆท่านเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆและอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรานักนั่นก็คือ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเองครับ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์กับทุกคนว่า ท่านนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยนี้และพวกเราอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างเหลือคณานับนั่นเองครับ
    ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน ย่อมที่จะดีกว่า ทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ นั่นเอง
    ทำเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อทำ หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคล้ายๆกัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันแตกต่างกันมากเลยทีเดียว ทำเพื่ออยู่ คือ ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพทำการงานต่างๆนาๆกันไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในแต่ละวัน ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะทำแบบดีๆหรือจะทำแบบลวกๆเพื่อให้งานที่ตนเองทำนั้นออกมาดูดีหรืออกมาแบบขอไปที่ แต่โดยส่วนรวมแล้วนั้นจะหมายถึงการทำงานเพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นเอง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่ควรทำอยู่หรอก และก็ต้องทำให้ได้ด้วย ซึ่งมันก็จริง แต่เราลองมาคิดในแง่นี้อีกแบบหนึ่งจะดีกว่ามั้ย นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณ นั่นก็คือให้อยู่เพื่อทำงานจะดีกว่า เรามาลองดูกันว่าอยู่เพื่อทำนั้นเป็นอย่างไรกัน อยู่เพื่อทำ คือ การที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างให้เป็นที่ประจักษ์ต่อตนเองและผู้อื่น และยังเป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองอีกด้วย ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองออกมาอย่างมีคุณค่า และการมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานนั้นจะทำให้ตนเองมีคุณค่าในชีวิตของตนเองและยังได้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพอีกด้วย เพราะอยู่เพื่อทำมันขึ้นมานั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างบุคคลที่จะทำให้ทุกๆท่านเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆและอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรานักนั่นก็คือ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเองครับ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์กับทุกคนว่า ท่านนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยนี้และพวกเราอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างเหลือคณานับนั่นเองครับ ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน ย่อมที่จะดีกว่า ทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ นั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง
    ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม

    ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง

    ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน
    มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง

    และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเลือกข้างว่าคุณจะอยู่ข้างใคร(เสื้อสีอะไร)
    ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีเหลือง(พันธมิตรฯ) แปลว่าคุณเป็นคนดีจริง(ยินดีต้อนรับคนจริงจังจริงใจไม่จริงโจ้และรักชาติรักในหลวง) เราเป็นพวกเดียวกัน
    ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีแดง(นปช.) แปลว่าคุณเป็นคนชั่ว(พวกโง่หลงงมงายงอมืองอเท้าและรออาหารเศษเดนของคนอื่นอยู่ร่ำไป) เราจะต้องเป็นศัตรูกัน
    ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีฟ้า(ปชป.) แปลว่าคุณเป็นคนชั่ว(กว่า)(พวกอีแอบยืมพลังคนอื่นช่วย)(พวกชอบคนหล่อเท่และเลวน้อยกว่า) เราคงต้องเป็นศัตรูกัน
    ถ้าคุณไม่เลือกที่จะอยู่ข้างใครเลย(พวกเห็นแก่ตัวเอาตัวรอดไม่สนใจใครและเห็นใครดีกว่าชนะก็ไปอยู่ข้างเค้าถ้าใครไม่ดีแพ้ก็ไม่เอาด้วย) เราคงต้องปล่อยพวกคุณไปตามกรรมของคุณ
    และทีนี้เราก็จะได้รู้กันเสียทีว่าใครเป็นใคร แล้วคุณจะตัดสินใจได้หรือยังว่าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างใครสีอะไร ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกในสิ่งที่เป็นตัวของคุณเอง และรู้จักเลือกอย่างชาญฉลาดนะครับ
    ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเลือกข้างว่าคุณจะอยู่ข้างใคร(เสื้อสีอะไร) ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีเหลือง(พันธมิตรฯ) แปลว่าคุณเป็นคนดีจริง(ยินดีต้อนรับคนจริงจังจริงใจไม่จริงโจ้และรักชาติรักในหลวง) เราเป็นพวกเดียวกัน ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีแดง(นปช.) แปลว่าคุณเป็นคนชั่ว(พวกโง่หลงงมงายงอมืองอเท้าและรออาหารเศษเดนของคนอื่นอยู่ร่ำไป) เราจะต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างสีฟ้า(ปชป.) แปลว่าคุณเป็นคนชั่ว(กว่า)(พวกอีแอบยืมพลังคนอื่นช่วย)(พวกชอบคนหล่อเท่และเลวน้อยกว่า) เราคงต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าคุณไม่เลือกที่จะอยู่ข้างใครเลย(พวกเห็นแก่ตัวเอาตัวรอดไม่สนใจใครและเห็นใครดีกว่าชนะก็ไปอยู่ข้างเค้าถ้าใครไม่ดีแพ้ก็ไม่เอาด้วย) เราคงต้องปล่อยพวกคุณไปตามกรรมของคุณ และทีนี้เราก็จะได้รู้กันเสียทีว่าใครเป็นใคร แล้วคุณจะตัดสินใจได้หรือยังว่าคุณเลือกที่จะอยู่ข้างใครสีอะไร ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกในสิ่งที่เป็นตัวของคุณเอง และรู้จักเลือกอย่างชาญฉลาดนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts