• กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว

    หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว)

    ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู

    สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย

    และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก)

    "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก"

    วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า

    หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง

    ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา"

    บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว) ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก) "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก" วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา" บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • สลามเมืองไทย EP25 | มัสยิด 300 ปี (มัสยิดวาดีลฮูเซ็น หรือ มัสยิดตะโละมาเนาะ) เก่าแก่ทรงคุณค่า จ.นราธิวาส

    มัสยิดวาดีลฮูเซ็น หรือที่รู้จักกันในชื่อ มัสยิดตะโละมาเนาะ จังหวัดนราธิวาส คือมัสยิดไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 300 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมของประเทศไทย

    มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยงานไม้ทั้งหลัง โดดเด่นด้วยหลังคาทรงมลายูผสมไทย ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชนมุสลิมชายแดนใต้ และแฝงไว้ด้วยศรัทธาและความวิจิตรบรรจงของช่างฝีมือโบราณ

    นอกจากความงดงามแล้ว มัสยิดตะโละมาเนาะยังเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธาและความรู้ของชุมชน ที่บ่มเพาะวิถีอิสลามอย่างเข้มแข็งมายาวนานหลายชั่วอายุคน

    ติดตามเรื่องราวและคุณค่าของมัสยิดเก่าแก่หลังนี้ กับการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมและศรัทธาที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากวิถีมุสลิมชายแดนใต้

    #สลามเมืองไทย #EP25 #มัสยิดตะโละมาเนาะ #มัสยิดวาดีลฮูเซ็น #มัสยิดเก่าแก่ #ศรัทธาและมรดก #นราธิวาส #IslamicHeritage #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    สลามเมืองไทย EP25 | มัสยิด 300 ปี (มัสยิดวาดีลฮูเซ็น หรือ มัสยิดตะโละมาเนาะ) เก่าแก่ทรงคุณค่า จ.นราธิวาส มัสยิดวาดีลฮูเซ็น หรือที่รู้จักกันในชื่อ มัสยิดตะโละมาเนาะ จังหวัดนราธิวาส คือมัสยิดไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 300 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมัสยิดที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมของประเทศไทย มัสยิดแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยงานไม้ทั้งหลัง โดดเด่นด้วยหลังคาทรงมลายูผสมไทย ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของชุมชนมุสลิมชายแดนใต้ และแฝงไว้ด้วยศรัทธาและความวิจิตรบรรจงของช่างฝีมือโบราณ นอกจากความงดงามแล้ว มัสยิดตะโละมาเนาะยังเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธาและความรู้ของชุมชน ที่บ่มเพาะวิถีอิสลามอย่างเข้มแข็งมายาวนานหลายชั่วอายุคน ติดตามเรื่องราวและคุณค่าของมัสยิดเก่าแก่หลังนี้ กับการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมและศรัทธาที่ไม่มีวันเลือนหายไปจากวิถีมุสลิมชายแดนใต้ #สลามเมืองไทย #EP25 #มัสยิดตะโละมาเนาะ #มัสยิดวาดีลฮูเซ็น #มัสยิดเก่าแก่ #ศรัทธาและมรดก #นราธิวาส #IslamicHeritage #ThaiMuslimCommunity #ThaiTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • PAKISTAN 9 วัน 7 คืน ทริปสุดพรีเมียม สัมผัสธรรมชาติและอารยธรรมโบราณแบบลึกซึ้ง!

    เดินทาง: 17-25 ต.ค. 2568
    สายการบิน: Thai Airways (TG)
    ราคาเพียง 98,900.-
    ที่พักโรงแรม 5 ดาว
    อาหารครบทุกมื้อ
    บินภายในประเทศ 2 ไฟลท์

    ไฮไลต์เด็ด ห้ามพลาด!
    วิ่งบน “คาราโครัมไฮเวย์” ถนนที่สวยที่สุดในโลก
    ล่องเรือทะเลสาบอัตตาบัต น้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์
    เดินข้าม “สะพานแขวนฮุสไซนี” พร้อมวิวเทือกเขา Passu Cone
    ชม “มัสยิดไฟซาล” ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน
    เยือน “เมืองตักศิลา” มรดกโลกอายุ 3,000 ปี

    ธรรมชาติอลังการ ประวัติศาสตร์ล้ำค่า วิวสวยทุกองศา!

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ebcf3e

    ดูทัวร์ปากีสถานทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/83728d

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์ปากีสถาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #PakistanTrip #เที่ยวปากีสถาน #คาราโครัมไฮเวย์ #ทะเลสาบอัตตาบัต #มัสยิดไฟซาล #เมืองตักศิลา #ทัวร์หรู #โรงแรม5ดาว #ThaiAirways #เที่ยวต่างประเทศ2568 #เที่ยวยุโรปเอเชียในทริปเดียว
    🇵🇰 PAKISTAN 9 วัน 7 คืน ทริปสุดพรีเมียม สัมผัสธรรมชาติและอารยธรรมโบราณแบบลึกซึ้ง! 📅 เดินทาง: 17-25 ต.ค. 2568 ✈️ สายการบิน: Thai Airways (TG) 💰 ราคาเพียง 98,900.- 🏨 ที่พักโรงแรม 5 ดาว 🍽️ อาหารครบทุกมื้อ 🛫 บินภายในประเทศ 2 ไฟลท์ 📍 ไฮไลต์เด็ด ห้ามพลาด! 🚗 วิ่งบน “คาราโครัมไฮเวย์” ถนนที่สวยที่สุดในโลก 🚤 ล่องเรือทะเลสาบอัตตาบัต น้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ 🌉 เดินข้าม “สะพานแขวนฮุสไซนี” พร้อมวิวเทือกเขา Passu Cone 🕌 ชม “มัสยิดไฟซาล” ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน 🏛️ เยือน “เมืองตักศิลา” มรดกโลกอายุ 3,000 ปี 📸 ธรรมชาติอลังการ ประวัติศาสตร์ล้ำค่า วิวสวยทุกองศา! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ebcf3e ดูทัวร์ปากีสถานทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/83728d LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ปากีสถาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #PakistanTrip #เที่ยวปากีสถาน #คาราโครัมไฮเวย์ #ทะเลสาบอัตตาบัต #มัสยิดไฟซาล #เมืองตักศิลา #ทัวร์หรู #โรงแรม5ดาว #ThaiAirways #เที่ยวต่างประเทศ2568 #เที่ยวยุโรปเอเชียในทริปเดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์ไต้หวัน HIGHLIGHT!… ล่องเรือทะเลสาบสุริยันจันทรา
    5 วัน 3 คืน ฟินจัดเต็มทั้งไหว้พระ เที่ยวธรรมชาติ ช้อปปิ้งเพลิน!

    เดินทาง:
    30 ก.ค. - 3 ส.ค. 2568
    13 - 17 ส.ค. 2568

    สายการบิน: VietJet Air (VZ)
    ราคาเพียง 11,999.-

    โปรแกรมสุดปัง:
    ขอพรเสริมเฮงที่วัดหลงซาน / วัดเหวิ่นหวู่ / วัดพระถีงซัมจั๋ง
    ล่องเรือชมวิวสุดชิวที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา
    เที่ยวหมู่บ้านโบราณจีวเฟิน
    ถ่ายรูปชิคๆ ที่ท่าเรือเจิ้งปิน
    แวะชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค / อุทยานเหย๋หลิว
    ช้อปปิ้งมันส์ที่ซีเหมินติง / กลอเรียเอาท์เล็ต / ดิวตี้ฟรี
    เดินชิลไถจงไนท์มาร์เก็ต / เถาหยวนไนท์มาร์เก็ต

    รีบจองด่วน ที่นั่งมีจำนวนจำกัด!

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ea2fe8

    ดูทัวร์ไต้หวันทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/b999ee

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์ไต้หวัน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ไต้หวันฟินเวอร์ #ล่องเรือสุริยันจันทรา #เที่ยวไต้หวัน #ทัวร์ไต้หวันราคาดี #ไต้หวันVZ #จีวเฟิน #ซีเหมินติง #ตลาดกลางคืนไต้หวัน #ทัวร์ไฟไหม้ #เที่ยวไต้หวันต้องไป
    🇹🇼 ทัวร์ไต้หวัน HIGHLIGHT!… ล่องเรือทะเลสาบสุริยันจันทรา 🛶✨ 5 วัน 3 คืน ฟินจัดเต็มทั้งไหว้พระ เที่ยวธรรมชาติ ช้อปปิ้งเพลิน! 📅 เดินทาง: 30 ก.ค. - 3 ส.ค. 2568 13 - 17 ส.ค. 2568 ✈️ สายการบิน: VietJet Air (VZ) 💰 ราคาเพียง 11,999.- 📍 โปรแกรมสุดปัง: 🙏 ขอพรเสริมเฮงที่วัดหลงซาน / วัดเหวิ่นหวู่ / วัดพระถีงซัมจั๋ง 🚢 ล่องเรือชมวิวสุดชิวที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา 🎎 เที่ยวหมู่บ้านโบราณจีวเฟิน 🚢 ถ่ายรูปชิคๆ ที่ท่าเรือเจิ้งปิน 📸 แวะชมอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค / อุทยานเหย๋หลิว 🛍️ ช้อปปิ้งมันส์ที่ซีเหมินติง / กลอเรียเอาท์เล็ต / ดิวตี้ฟรี 🌃 เดินชิลไถจงไนท์มาร์เก็ต / เถาหยวนไนท์มาร์เก็ต 🔥 รีบจองด่วน ที่นั่งมีจำนวนจำกัด! ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ea2fe8 ดูทัวร์ไต้หวันทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/b999ee LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์ไต้หวัน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ไต้หวันฟินเวอร์ #ล่องเรือสุริยันจันทรา #เที่ยวไต้หวัน #ทัวร์ไต้หวันราคาดี #ไต้หวันVZ #จีวเฟิน #ซีเหมินติง #ตลาดกลางคืนไต้หวัน #ทัวร์ไฟไหม้ #เที่ยวไต้หวันต้องไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เรามาคุยกันเรื่องลวดลายเหนือหว่างคิ้วหรือที่เรียกกันว่า “ฮวาเตี้ยน” (花钿)
    ความมีอยู่ว่า
    ... ฝูหรงรักสวยรักงาม จะทนให้คนชี้นิ้วซุบซิบเรื่องรอยแผลเป็นขนาดเม็ดงาบนหน้าผากนางได้อย่างไร? ยังดีที่ตำแหน่งนี้เหมาะเจาะ นางติดลายฮวาเตี้ยนทุกวันไว้กลบรอยแผล ลวดลายของฮวาเตี้ยนน้อยใหญ่ บ้างลายจุด บ้างลายกลีบบุปผา เปลี่ยนไปทุกวัน เสริมความงดงามของนางยิ่งขึ้นไปอีก ...

    - จากเรื่อง <เส้นทางของฮองเฮาคนโปรด> ผู้แต่ง เซี่ยวเจียเหริน
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <กรุ่นรักกลิ่นบุปผา> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ฮวาเตี้ยนเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้แต่งหน้าสตรีในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานและที่มาของฮวาเตี้ยนมีคนเคยเขียนถึงมากแล้ว Storyฯ จะไม่พูดถึง แต่ที่วันนี้จะมาคุยกันเรื่องฮวาเตี้ยน เพราะเชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนคงจะคิดเหมือน Storyฯ ว่ามันคือการทาสีแต้มชาด แต่พอไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงรู้ว่า ไม่ใช่ค่ะ

    จริงๆ แล้วฮวาเตี้ยนเป็นการ “แปะ” ไม่ใช่ “วาด” วัสดุที่ใช้แปะนั้นแรกเริ่มเลยคือกระดาษสีและทองคำเปลวที่ตัดเป็นลวดลาย ต่อมามีการใช้วัสดุอื่น เช่นไข่มุกและเปลือกหอย และยังมีวัสดุอื่นที่ทำเอา Storyฯ ถึงกับทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ เพราะมีกระดูกแก้มปลา เกล็ดปลา ขนนก ปีกแมลงปอ ฯลฯ ย้อมสีอีกด้วย

    แล้วใช้อะไรแปะ? เขาใช้กาวที่ทำมาจากกระเพาะปลาเรียกว่า “เฮ้อเจี่ยว” (呵胶) เวลาจะใช้ให้อังลมปาก (เป็นที่มาของคำว่า “เฮ้อ”) หรือแตะน้ำหรือน้ำลายเล็กน้อย ก็สามารถแปะติดได้ทนทานหลายวัน เวลาจะเอาออกก็ใช้น้ำอุ่นร้อนทาให้ชุ่มก็เอาออกได้ สมัยโบราณมีการใช้กาวชนิดนี้เชื่อมติดขนนกในการทำลูกธนูด้วย

    กระแสนิยมฮวาเตี้ยนเริ่มจางลงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ใช้กันเฉพาะในวังหลัง และใช้วัสดุมีค่าเช่นไข่มุก ตามภาพ) พอมาถึงยุคสมัยราชวงศ์หมิงจะมีการใช้ฮวาเตี้ยนเฉพาะในงานทางการและลวดลายเบาบางลง และไม่มีใช้ฮวาเตี้ยนอีกเลยเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ชิง

    Storyฯ พยายามหาว่าตกลงมีการใช้วาดหรือแต้มสีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อมูลบ่งบอกว่ามี เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waynesan.com/ruyi-pavilion/
    http://www.cunman.com/new/decad6397de34fe9b1cdca62cb53623e
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://culture.gansudaily.com.cn/system/2020/09/01/030144072.shtml
    http://www.guoxue.com/?p=11516
    https://zhidao.baidu.com/question/558092075.html
    https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%8A%B1%E9%88%BF%E5%A6%9D

    #กรุ่นรักกลิ่นบุปผา #วังเดียวดาย #ประเพณีจีนโบราณ #ฮวาเตี้ยน #StoryfromStory
    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องลวดลายเหนือหว่างคิ้วหรือที่เรียกกันว่า “ฮวาเตี้ยน” (花钿) ความมีอยู่ว่า ... ฝูหรงรักสวยรักงาม จะทนให้คนชี้นิ้วซุบซิบเรื่องรอยแผลเป็นขนาดเม็ดงาบนหน้าผากนางได้อย่างไร? ยังดีที่ตำแหน่งนี้เหมาะเจาะ นางติดลายฮวาเตี้ยนทุกวันไว้กลบรอยแผล ลวดลายของฮวาเตี้ยนน้อยใหญ่ บ้างลายจุด บ้างลายกลีบบุปผา เปลี่ยนไปทุกวัน เสริมความงดงามของนางยิ่งขึ้นไปอีก ... - จากเรื่อง <เส้นทางของฮองเฮาคนโปรด> ผู้แต่ง เซี่ยวเจียเหริน (หมายเหตุ ละครเรื่อง <กรุ่นรักกลิ่นบุปผา> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ฮวาเตี้ยนเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้แต่งหน้าสตรีในสมัยราชวงศ์ถัง ตำนานและที่มาของฮวาเตี้ยนมีคนเคยเขียนถึงมากแล้ว Storyฯ จะไม่พูดถึง แต่ที่วันนี้จะมาคุยกันเรื่องฮวาเตี้ยน เพราะเชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนคงจะคิดเหมือน Storyฯ ว่ามันคือการทาสีแต้มชาด แต่พอไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจึงรู้ว่า ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ แล้วฮวาเตี้ยนเป็นการ “แปะ” ไม่ใช่ “วาด” วัสดุที่ใช้แปะนั้นแรกเริ่มเลยคือกระดาษสีและทองคำเปลวที่ตัดเป็นลวดลาย ต่อมามีการใช้วัสดุอื่น เช่นไข่มุกและเปลือกหอย และยังมีวัสดุอื่นที่ทำเอา Storyฯ ถึงกับทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ เพราะมีกระดูกแก้มปลา เกล็ดปลา ขนนก ปีกแมลงปอ ฯลฯ ย้อมสีอีกด้วย แล้วใช้อะไรแปะ? เขาใช้กาวที่ทำมาจากกระเพาะปลาเรียกว่า “เฮ้อเจี่ยว” (呵胶) เวลาจะใช้ให้อังลมปาก (เป็นที่มาของคำว่า “เฮ้อ”) หรือแตะน้ำหรือน้ำลายเล็กน้อย ก็สามารถแปะติดได้ทนทานหลายวัน เวลาจะเอาออกก็ใช้น้ำอุ่นร้อนทาให้ชุ่มก็เอาออกได้ สมัยโบราณมีการใช้กาวชนิดนี้เชื่อมติดขนนกในการทำลูกธนูด้วย กระแสนิยมฮวาเตี้ยนเริ่มจางลงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ใช้กันเฉพาะในวังหลัง และใช้วัสดุมีค่าเช่นไข่มุก ตามภาพ) พอมาถึงยุคสมัยราชวงศ์หมิงจะมีการใช้ฮวาเตี้ยนเฉพาะในงานทางการและลวดลายเบาบางลง และไม่มีใช้ฮวาเตี้ยนอีกเลยเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์ชิง Storyฯ พยายามหาว่าตกลงมีการใช้วาดหรือแต้มสีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นมีข้อมูลบ่งบอกว่ามี เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมมาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://waynesan.com/ruyi-pavilion/ http://www.cunman.com/new/decad6397de34fe9b1cdca62cb53623e Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://culture.gansudaily.com.cn/system/2020/09/01/030144072.shtml http://www.guoxue.com/?p=11516 https://zhidao.baidu.com/question/558092075.html https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%8A%B1%E9%88%BF%E5%A6%9D #กรุ่นรักกลิ่นบุปผา #วังเดียวดาย #ประเพณีจีนโบราณ #ฮวาเตี้ยน #StoryfromStory
    WAYNESAN.COM
    Cyber Revue – 電影、韓劇、日劇、台劇等各類影視介紹與評價
    發掘最新電影與影集評論,來自影評人及實際觀影者的深入見解。我們提供可信的影評,幫助你選擇最佳觀影體驗。探索更多有關電影與影集的專業分析和觀影建議,盡在我們的網站。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี
    พระขุนแผน เนื้อดินเผา (ปรากฏ แร่ เม็ดทรายให้เห็นในเนื้อพระ) กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี // พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง เป็นพระกรุที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ นับเป็นพระกรุโบราณที่มีอายุการสร้างมาหลายร้อยปี //สภาพเนื้อพระเสื่อมตามกาลเวลา พระไม่ร้าว ไม่ราน ไม่บิ่น ไม่หัก ไม่ซ่อม หายากกครับ >>

    ** พุทธคุณด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหาอุด และเมตตามหานิยม และ มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง

    ** พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี เป็นพระปางมารวิชัยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้วมีใบระกาประดับด้านบนตัดขอบพระเป็นทรงห้าเหลี่ยม ตำนานเก่า เขาเล่าว่า พระนเรศวร์ สร้าง บรรจุกรุ ไว้นา ตั้งแต่ กู้เอกราช อโยธยาธานี ไทยนี้ เป็นพระดี ขลังศักดิ์สิทธิ์ ลือเลื่อง นานมาว่า คงกระพัน เมตตา มหานิยมนั้น เลิศล้ำ ดีเหลือ >>


    ** สภาพเนื้อพระเสื่อมตามกาลเวลา พระไม่ร้าว ไม่ราน ไม่บิ่น ไม่หัก ไม่ซ่อม หายากกครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี พระขุนแผน เนื้อดินเผา (ปรากฏ แร่ เม็ดทรายให้เห็นในเนื้อพระ) กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี // พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง เป็นพระกรุที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ นับเป็นพระกรุโบราณที่มีอายุการสร้างมาหลายร้อยปี //สภาพเนื้อพระเสื่อมตามกาลเวลา พระไม่ร้าว ไม่ราน ไม่บิ่น ไม่หัก ไม่ซ่อม หายากกครับ >> ** พุทธคุณด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหาอุด และเมตตามหานิยม และ มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ** พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง จ.สุพรรณบุรี เป็นพระปางมารวิชัยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้วมีใบระกาประดับด้านบนตัดขอบพระเป็นทรงห้าเหลี่ยม ตำนานเก่า เขาเล่าว่า พระนเรศวร์ สร้าง บรรจุกรุ ไว้นา ตั้งแต่ กู้เอกราช อโยธยาธานี ไทยนี้ เป็นพระดี ขลังศักดิ์สิทธิ์ ลือเลื่อง นานมาว่า คงกระพัน เมตตา มหานิยมนั้น เลิศล้ำ ดีเหลือ >> ** สภาพเนื้อพระเสื่อมตามกาลเวลา พระไม่ร้าว ไม่ราน ไม่บิ่น ไม่หัก ไม่ซ่อม หายากกครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กเต้นแข่งเรือโบราณ ปาคู จาลูร์ ซอฟต์พาวเวอร์อินโดนีเซีย

    กลายเป็นที่ถูกพูดถึงสนั่นโลกโซเชียลฯ และกลายเป็นมีมไปทั่วโลก สำหรับไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา จรดช่องแคบมะละกา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเด็กชายรายหนึ่งนามว่า เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) หรือ ดิกา (Dikha) วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ในตำแหน่งที่เรียกว่า ตูกัง ตาริ (Tukang Tari) ชุดสีดำเรียบหรู และแว่นกันแดด เปรียบกับแดนเซอร์ ทำหน้าที่ปลุกพลังให้กับฝีพาย ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แถมเพลงที่นำมาประกอบในครั้งนี้ก็เป็นเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike)

    ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า ออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” แถมยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอล แฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย

    ล่าสุด เมลลี ไมค์ ประกาศว่าจะเดินทางมาร่วมงานเทศกาลปาคู จาลูร์ ในปีนี้ด้วยตนเอง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค. 2568 ขณะที่เด็กชายดิกาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตวัฒนธรรมจังหวัดรีเยา และได้รับเชิญให้เดินทางพร้อมครอบครัวไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย รวมถึงออกรายการโทรทัศน์ และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ในฐานะที่ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซียเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

    เทศกาลปาคู จาลูร์ ถือเป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญของอินโดนีเซีย จัดขึ้นที่ริมแม่น้ำอินดรากิรี (Indragiri River) โดยมีการแข่งขันพายเรือจาลูร์ ที่สร้างจากไม้ทั้งท่อน ไม่มีข้อต่อ พร้อมการตกแต่งที่วิจิตรงดงาม ไฮไลต์ของเทศกาลคือการมีนักเต้นแสดงอยู่บนหัวเรือ สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชม มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษชาวควนซิงในศตวรรษที่ 22 ต่อมาถูกพัฒนาให้เป็นกิจกรรมประเพณี เคยใช้เฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนา และในสมัยอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ก็เคยจัดเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของราชินีด้วย ปัจจุบันจัดต่อเนื่องทุกปี และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

    #Newskit
    เด็กเต้นแข่งเรือโบราณ ปาคู จาลูร์ ซอฟต์พาวเวอร์อินโดนีเซีย กลายเป็นที่ถูกพูดถึงสนั่นโลกโซเชียลฯ และกลายเป็นมีมไปทั่วโลก สำหรับไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางภาคตะวันออกของเกาะสุมาตรา จรดช่องแคบมะละกา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเด็กชายรายหนึ่งนามว่า เรย์ยาน อาร์กัน ดิกา (Rayyan Arkan Dikha) หรือ ดิกา (Dikha) วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ในตำแหน่งที่เรียกว่า ตูกัง ตาริ (Tukang Tari) ชุดสีดำเรียบหรู และแว่นกันแดด เปรียบกับแดนเซอร์ ทำหน้าที่ปลุกพลังให้กับฝีพาย ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แถมเพลงที่นำมาประกอบในครั้งนี้ก็เป็นเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike) ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า ออรา ฟาร์มมิ่ง (Aura Farming) หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” แถมยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอล แฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย ล่าสุด เมลลี ไมค์ ประกาศว่าจะเดินทางมาร่วมงานเทศกาลปาคู จาลูร์ ในปีนี้ด้วยตนเอง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค. 2568 ขณะที่เด็กชายดิกาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตวัฒนธรรมจังหวัดรีเยา และได้รับเชิญให้เดินทางพร้อมครอบครัวไปยังกรุงจาการ์ตา เพื่อเข้าพบรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย รวมถึงออกรายการโทรทัศน์ และได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ในฐานะที่ทำให้มรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซียเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เทศกาลปาคู จาลูร์ ถือเป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมที่สำคัญของอินโดนีเซีย จัดขึ้นที่ริมแม่น้ำอินดรากิรี (Indragiri River) โดยมีการแข่งขันพายเรือจาลูร์ ที่สร้างจากไม้ทั้งท่อน ไม่มีข้อต่อ พร้อมการตกแต่งที่วิจิตรงดงาม ไฮไลต์ของเทศกาลคือการมีนักเต้นแสดงอยู่บนหัวเรือ สร้างสีสันและความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชม มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษชาวควนซิงในศตวรรษที่ 22 ต่อมาถูกพัฒนาให้เป็นกิจกรรมประเพณี เคยใช้เฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนา และในสมัยอาณานิคมเนเธอร์แลนด์ก็เคยจัดเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของราชินีด้วย ปัจจุบันจัดต่อเนื่องทุกปี และดึงดูดผู้เข้าชมได้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไวรัลคลิปหนูน้อย “ดิกา” วัย 11 ขวบ ชาวอินโดนีเซีย โชว์ลีลาสุดปังระหว่างแข่งเรือโบราณ กลายเป็นไวรัลดังระดับโลก ทีมฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง, เอซี มิลาน และคนดังแห่เต้นตาม แม้แต่ "เจ ชนาธิป" ยังเอาด้วย ขณะต้นฉบับเพลงประกาศบินจากอเมริกาไปร่วมงานถึงถิ่น

    วันนี้ (13 ก.ค.) ที่ประเทศอินโดนีเซีย มีคลิปไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางตะวันตกของประเทศ เด็กชายรายหนึ่งชื่อ “รายยับ อาร์กัน ดิคา” หรือ “ดิกา” วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ด้วยเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike)

    ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า "Aura Farming" หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” ยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอลแฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065751

    #MGROnline #อินโดนีเซีย #แข่งเรือโบราณ
    ไวรัลคลิปหนูน้อย “ดิกา” วัย 11 ขวบ ชาวอินโดนีเซีย โชว์ลีลาสุดปังระหว่างแข่งเรือโบราณ กลายเป็นไวรัลดังระดับโลก ทีมฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง, เอซี มิลาน และคนดังแห่เต้นตาม แม้แต่ "เจ ชนาธิป" ยังเอาด้วย ขณะต้นฉบับเพลงประกาศบินจากอเมริกาไปร่วมงานถึงถิ่น • วันนี้ (13 ก.ค.) ที่ประเทศอินโดนีเซีย มีคลิปไวรัลสุดน่ารักจากเทศกาลแข่งเรือโบราณ “ปาคู จาลูร์” (Pacu Jalur) บนหมู่เกาะรีเยา (Riau) ทางตะวันตกของประเทศ เด็กชายรายหนึ่งชื่อ “รายยับ อาร์กัน ดิคา” หรือ “ดิกา” วัย 11 ขวบ กลายเป็นจุดสนใจจากลีลาการเต้นบนหัวเรือระหว่างแข่งขัน ด้วยเพลงฮิปฮอป “Young Black & Rich” ของศิลปินชาวอเมริกัน เมลลี ไมค์ (Melly Mike) • ท่าเต้นของดิกาแพร่กระจายไวอย่างรวดเร็วใน TikTok และ IG พร้อมเกิดกระแสที่เรียกว่า "Aura Farming" หรือการเต้นเลียนแบบเพื่อเรียกความสนใจ โดยมีคนดังและสโมสรกีฬาร่วมเทรนด์ เช่น สโมสรฟุตบอลปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) ที่โพสต์วิดีโอเลียนแบบพร้อมข้อความว่า “กลิ่นอายได้แผ่ไปถึงปารีสแล้ว” ส่วนเอซี มิลาน เขียนแคปชันสุดฮาว่า “Aura Farming แม่นยำ 1899%” ยังมี ทราวิส เคลซ์ นักอเมริกันฟุตบอลแฟนหนุ่มของเทย์เลอร์ สวิฟต์ รวมถึงนักเตะไทย “ชนาธิป สรงกระสินธ์” ก็เข้าร่วมกระแสนี้ด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065751 • #MGROnline #อินโดนีเซีย #แข่งเรือโบราณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงมีเรื่องมาคุยกันจากละคร <สามีข้าเป็นฮีโร่> ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว สืบเนื่องจากเคยมีเพื่อนเพจอยากให้พูดคุยเกี่ยวกับอาคารบ้านเรือนจีนโบราณ และในละครเรื่องนี้นางเอกพยายามเผาห้องของพระเอกที่อยู่ติดกันซึ่งเรียกว่า “เอ่อร์ฝาง” (耳房) เนื้อหาตอนนี้ในหนังสือเรื่องนี้ไม่มี เราลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอ่อร์ฝางและเรือนจีนโบราณจากนิยายเรื่องอื่นกัน

    ความมีอยู่ว่า
    ... จิ้งหยวนแม้เป็นเรือนในชั้นรอง แต่ขนาดไม่ใหญ่ อาคารหลักที่เขาทั้งสองพักอาศัยเป็นอาคารสามห้อง ซ้ายขวามีเรือนห้อย (เอ่อร์ฝาง) ถัดไปเบื้องหน้าด้านซ้ายขวาเป็นอาคารตะวันตกและตะวันออก ห้องในอาคารหลักนี้ ประกอบด้วยห้องโถงรับรองตรงกลาง ห้องฟากตะวันตกเป็นห้องหนังสือ ส่วนห้องฟากตะวันออกเป็นห้องนอน มีตีผนังทะลุไปยังเรือนห้อยที่ติดกันกั้นไว้ด้วยผนังฉาก จัดเป็นห้องชำระ...
    - จากเรื่อง <เกิดใหม่อีกที ไม่ขอมีสามีสกุลหลี่> ผู้แต่ง ฉางโกวลั่วเยวี่ย
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    บทบรรยายข้างต้นเป็นการกล่าวถึงลักษณะเรือนซื่อเหอเยวี่ยน หรือเรือนสี่ประสานอันเป็นรูปทรงทั่วไปของเรือนจีนโบราณ (หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง)

    เอ่อร์ฝาง หรือเรือนห้อย (ดูภาพที่วงไว้ในแผนผังรูปอาคาร และรูปที่เอามาจากในละคร) วิธีจำง่ายๆ คือ “เอ่อร์” แปลว่าหู ก็นึกภาพว่าอาคารหลักมีหูสองข้างเป็นเรือนห้อยนี่แล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือมันต้องเป็นห้องที่มีขนาดเล็กและหลังคาเตี้ยกว่าอาคารหลัก

    แล้วมันมีไว้เพื่อ? ในองค์ประกอบของเรือนสี่ประสานนั้น ใครอยู่ห้องไหนจะมีลำดับความสำคัญ เช่นเจ้าบ้านจะอยู่ในอาคารหลัก ในอาคารหลักแบ่งให้ผู้อาวุโสพำนักในห้องฝั่งตะวันออก อาวุโสรองลงมาก็อยู่ห้องฝั่งตะวันตก เป็นต้น และสำหรับคฤหาสน์ของคหบดีหรือข้าราชการที่มีฐานะ จะประกอบด้วยหมู่เรือนสี่ประสานหลายชั้น ลูกแต่ละคนก็มีเรือนส่วนตัวแยกเป็นของตนเอง

    เนื่องจากเอ่อร์ฝางเป็นเพียงห้องที่ห้อยติดกับอาคารหลัก จึงใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้ที่ด้อยศักดิ์ของครอบครัว หรืออนุ สำหรับบ้านที่ไม่ได้มีหลายหมู่เรือน หรือไว้ใช้อเนกประสงค์สำหรับบ้านที่ใหญ่และมีหมู่เรือนหลายชั้น (อย่างเช่นตัวอย่างตามบทความจากนิยายข้างต้น)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/450812871_100288750
    https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/
    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    http://m.52shijing.com/lsjm/81120.html
    https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%80%B3%E6%88%BF

    เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะเรือนสี่ประสาน อ่านเพิ่มเติม (ภาษาไทย) ได้ที่ https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/

    #สามีข้าคือฮีโร่ #เกิดใหม่อีกทีไม่ขอมีสามีสกุลหลี่ #บ้านจีนโบราณ #เรือนสี่ประสาน #ซื่อเหอย่วน #เรือนห้อย #เอ่อร์ฝาง #StoryfromStory
    วันนี้ยังคงมีเรื่องมาคุยกันจากละคร <สามีข้าเป็นฮีโร่> ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว สืบเนื่องจากเคยมีเพื่อนเพจอยากให้พูดคุยเกี่ยวกับอาคารบ้านเรือนจีนโบราณ และในละครเรื่องนี้นางเอกพยายามเผาห้องของพระเอกที่อยู่ติดกันซึ่งเรียกว่า “เอ่อร์ฝาง” (耳房) เนื้อหาตอนนี้ในหนังสือเรื่องนี้ไม่มี เราลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอ่อร์ฝางและเรือนจีนโบราณจากนิยายเรื่องอื่นกัน ความมีอยู่ว่า ... จิ้งหยวนแม้เป็นเรือนในชั้นรอง แต่ขนาดไม่ใหญ่ อาคารหลักที่เขาทั้งสองพักอาศัยเป็นอาคารสามห้อง ซ้ายขวามีเรือนห้อย (เอ่อร์ฝาง) ถัดไปเบื้องหน้าด้านซ้ายขวาเป็นอาคารตะวันตกและตะวันออก ห้องในอาคารหลักนี้ ประกอบด้วยห้องโถงรับรองตรงกลาง ห้องฟากตะวันตกเป็นห้องหนังสือ ส่วนห้องฟากตะวันออกเป็นห้องนอน มีตีผนังทะลุไปยังเรือนห้อยที่ติดกันกั้นไว้ด้วยผนังฉาก จัดเป็นห้องชำระ... - จากเรื่อง <เกิดใหม่อีกที ไม่ขอมีสามีสกุลหลี่> ผู้แต่ง ฉางโกวลั่วเยวี่ย (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) บทบรรยายข้างต้นเป็นการกล่าวถึงลักษณะเรือนซื่อเหอเยวี่ยน หรือเรือนสี่ประสานอันเป็นรูปทรงทั่วไปของเรือนจีนโบราณ (หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) เอ่อร์ฝาง หรือเรือนห้อย (ดูภาพที่วงไว้ในแผนผังรูปอาคาร และรูปที่เอามาจากในละคร) วิธีจำง่ายๆ คือ “เอ่อร์” แปลว่าหู ก็นึกภาพว่าอาคารหลักมีหูสองข้างเป็นเรือนห้อยนี่แล่ะ เอกลักษณ์ของมันคือมันต้องเป็นห้องที่มีขนาดเล็กและหลังคาเตี้ยกว่าอาคารหลัก แล้วมันมีไว้เพื่อ? ในองค์ประกอบของเรือนสี่ประสานนั้น ใครอยู่ห้องไหนจะมีลำดับความสำคัญ เช่นเจ้าบ้านจะอยู่ในอาคารหลัก ในอาคารหลักแบ่งให้ผู้อาวุโสพำนักในห้องฝั่งตะวันออก อาวุโสรองลงมาก็อยู่ห้องฝั่งตะวันตก เป็นต้น และสำหรับคฤหาสน์ของคหบดีหรือข้าราชการที่มีฐานะ จะประกอบด้วยหมู่เรือนสี่ประสานหลายชั้น ลูกแต่ละคนก็มีเรือนส่วนตัวแยกเป็นของตนเอง เนื่องจากเอ่อร์ฝางเป็นเพียงห้องที่ห้อยติดกับอาคารหลัก จึงใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้ที่ด้อยศักดิ์ของครอบครัว หรืออนุ สำหรับบ้านที่ไม่ได้มีหลายหมู่เรือน หรือไว้ใช้อเนกประสงค์สำหรับบ้านที่ใหญ่และมีหมู่เรือนหลายชั้น (อย่างเช่นตัวอย่างตามบทความจากนิยายข้างต้น) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: http://m.52shijing.com/lsjm/81120.html https://zh.m.wikipedia.org/wiki/%E8%80%B3%E6%88%BF เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะเรือนสี่ประสาน อ่านเพิ่มเติม (ภาษาไทย) ได้ที่ https://aichineseschool.wordpress.com/tag/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/ #สามีข้าคือฮีโร่ #เกิดใหม่อีกทีไม่ขอมีสามีสกุลหลี่ #บ้านจีนโบราณ #เรือนสี่ประสาน #ซื่อเหอย่วน #เรือนห้อย #เอ่อร์ฝาง #StoryfromStory
    WWW.SOHU.COM
    《赘婿》首播:剧情搞笑,宋轶获赞,郭麒麟槽点较为集中_宁毅
    而郭麒麟从脸上讲就有点不合适,大家可以看一下这个镜头他和张若昀的对比,年龄和气质的差异一下子就能看出来,而且郭麒麟看起来特别的黑。 大家其实对郭麒麟这个演员没有什么意见,甚至也承认郭麒麟在平常生活中…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>)

    ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ
    ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว”
    หนิงอี้: “ของคุณหนู?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน”
    หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่”
    หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”...

    ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่”

    “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย

    ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย

    แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!)

    ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ)

    เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร
    เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.sohu.com/a/451219092_588218
    https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html

    #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>) ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว” หนิงอี้: “ของคุณหนู?” พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน” หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่” หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”... ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่” “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!) ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ) เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.sohu.com/a/451219092_588218 https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    WWW.SOHU.COM
    《赘婿》首播:剧情搞笑,宋轶获赞,郭麒麟槽点较为集中_宁毅
    而郭麒麟从脸上讲就有点不合适,大家可以看一下这个镜头他和张若昀的对比,年龄和气质的差异一下子就能看出来,而且郭麒麟看起来特别的黑。 大家其实对郭麒麟这个演员没有什么意见,甚至也承认郭麒麟在平常生活中…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฮ่องกง #เซิ้นเจิ้น แค่ 5,999

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ HX-ฮ่องกง แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    วัดกวนอู
    ตงเหมินไนท์มาร์เก็ต
    เมืองโบราณหนานโถว
    POP MART
    วัดแชกงหมิว
    วัดหวังต้าเซียน
    วัดเจ้าแม่กวนอิมฮองฮำ
    ช้อปปิ้งย่านมงก๊ก & เลดี้มาร์เก็ต

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์ฮ่องกง #ทัวร์เซินเจิ้น #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #ฮ่องกง #เซิ้นเจิ้น แค่ 5,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ HX-ฮ่องกง แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 วัดกวนอู 📍 ตงเหมินไนท์มาร์เก็ต 📍 เมืองโบราณหนานโถว 📍 POP MART 📍 วัดแชกงหมิว 📍 วัดหวังต้าเซียน 📍 วัดเจ้าแม่กวนอิมฮองฮำ 📍 ช้อปปิ้งย่านมงก๊ก & เลดี้มาร์เก็ต รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์ฮ่องกง #ทัวร์เซินเจิ้น #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สัปดาห์นี้ยังคงพูดถึงนิยาย/ละครแนวเทพเซียน

    เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่าสัตว์เทพที่เราพบเจอในหลายนิยาย/ละครจีน ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกเก้าหาง นกหงส์ฟ้าเฟิ่งหวง กิเลน ฯลฯ โดยส่วนใหญ่มีบันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์? เอกสารที่ว่านี้คือ “ซานไห่จิง” หรือ <คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล> ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน (ประมาณ 400 ปี ก่อนคริสตกาล) ที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน หนังสือแบ่งออกเป็นสิบแปดตอนประกอบด้วยบทแห่งขุนเขาและบทแห่งทะเล (Storyฯ เห็นมีแปลเป็นไทยวางขาย เพื่อนเพจที่สนใจสามารถหาอ่านได้)

    วันนี้เรามาเริ่มคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ซานไห่จิงด้วย ‘สมาชิก’ ของคัมภีร์ฯ ที่เพื่อนเพจอาจไม่คุ้นหน้า แต่ถ้าใครได้ดูละครเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ก็จะได้เห็นเจ้าสัตว์เทพหน้าตาประหลาดตามรูป (รูปซ้ายล่าง) มีชื่อเรียกว่า “คายหมิงโซ่ว” (开明兽) มันมีบทบาทที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นผู้พิทักษ์เขาคุนลุ้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจีนที่เราคุ้นหู

    ความมีอยู่ว่า
    ...ที่ยอดเขามิรู้ปรากฎใบหน้าแปลกประหลาดโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อใด ตัวคล้ายสิงโต แต่ก็คล้ายสุนัข ที่แปลกที่สุดคือเศียรอันใหญ่ยังรายล้อมไปด้วยเศียรเล็กๆ หน้าตาเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว แต่ละเศียรกำลังเบิ่งตาโตมองสุราและไก่ย่างในมือของพวกเขา ทำท่าราวกับว่ากำลังจะน้ำลายไหลออกมา...
    - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง
    (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    จริงๆ แล้วตามคัมภีร์ซานไห่จิงนั้นคายหมิงโซ่วมีลำตัวเป็นเสือยักษ์ (รูปล่างขวาจากบันทึกซันไห่จิง จะเห็นลายพาดกลอนชัดเจน) ไม่ใช่สิงโต ซึ่งต่างจากลักษณะในละคร มีเก้าเศียรและใบหน้าเป็นคน มันเป็นสัตว์เทพที่ดุร้ายมีพละกำลังเกินสัตว์ทั่วไป สามารถสัมผัสได้ถึงทุกสรรพสิ่งที่เข้าใกล้

    คายหมิงโซ่วเป็นผู้พิทักษ์เขาคุนลุ้น ซึ่งตามตำนานนั้นสูงจรดฟ้าอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ด้านตะวันตกมีประตูทางเข้าสู่เขตแดนสวรรค์อยู่เก้าประตู คายหมิงโซ่วมีหน้าที่คอยเฝ้าประตูทั้งเก้านี้ หนึ่งเศียรหันดูหนึ่งประตู ดวงตาไม่เคยหลับ เพื่อปกป้องไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนความสงบของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จึงไม่แปลกที่เราไม่ค่อยเห็นคายหมิงโซ่วออกมาเพ่นพ่านในนิยาย/ละครแนวเทพเซียนทั่วไป เนื่องจากมันมีสถานที่ที่ต้องอยู่โยงเฝ้าประจำนั่นเอง

    วันนี้คุยกันเบาะๆ กับสัตว์เทพที่ไม่ค่อยพบเจอ แต่คราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงสัตว์เทพที่เพื่อนเพจส่วนใหญ่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือจิ้งจอกเก้าหาง ใครเป็นแฟนคลับป๋ายเฉี่ยนแห่งสามชาติสามภพป่าท้อสิบหลี่อย่าลืมมาติดตามตอนต่อไปนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.cdramalove.com/love-and-redemption-summary/
    https://m.sohu.com/a/383471932_100085277/?pvid=000115_3w_a
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://m.sohu.com/a/383471932_100085277/?pvid=000115_3w_a
    https://baike.baidu.com/item/%E5%BC%80%E6%98%8E%E5%85%BD/3390243
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/144025393

    #ปลดผนึกหัวใจ #ตำนานจีน #คายหมิงโซ่ว #ซานไห่จิง #StoryfromStory
    สัปดาห์นี้ยังคงพูดถึงนิยาย/ละครแนวเทพเซียน เพื่อนเพจทราบหรือไม่ว่าสัตว์เทพที่เราพบเจอในหลายนิยาย/ละครจีน ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกเก้าหาง นกหงส์ฟ้าเฟิ่งหวง กิเลน ฯลฯ โดยส่วนใหญ่มีบันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์? เอกสารที่ว่านี้คือ “ซานไห่จิง” หรือ <คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล> ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน (ประมาณ 400 ปี ก่อนคริสตกาล) ที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน หนังสือแบ่งออกเป็นสิบแปดตอนประกอบด้วยบทแห่งขุนเขาและบทแห่งทะเล (Storyฯ เห็นมีแปลเป็นไทยวางขาย เพื่อนเพจที่สนใจสามารถหาอ่านได้) วันนี้เรามาเริ่มคุยกันเบาๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ซานไห่จิงด้วย ‘สมาชิก’ ของคัมภีร์ฯ ที่เพื่อนเพจอาจไม่คุ้นหน้า แต่ถ้าใครได้ดูละครเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ก็จะได้เห็นเจ้าสัตว์เทพหน้าตาประหลาดตามรูป (รูปซ้ายล่าง) มีชื่อเรียกว่า “คายหมิงโซ่ว” (开明兽) มันมีบทบาทที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นผู้พิทักษ์เขาคุนลุ้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตำนานจีนที่เราคุ้นหู ความมีอยู่ว่า ...ที่ยอดเขามิรู้ปรากฎใบหน้าแปลกประหลาดโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อใด ตัวคล้ายสิงโต แต่ก็คล้ายสุนัข ที่แปลกที่สุดคือเศียรอันใหญ่ยังรายล้อมไปด้วยเศียรเล็กๆ หน้าตาเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว แต่ละเศียรกำลังเบิ่งตาโตมองสุราและไก่ย่างในมือของพวกเขา ทำท่าราวกับว่ากำลังจะน้ำลายไหลออกมา... - จากเรื่อง <ปลดผนึกหัวใจ> ผู้แต่ง สือซื่อหลาง (หมายเหตุ ชื่อตามชื่อไทยของละครที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) จริงๆ แล้วตามคัมภีร์ซานไห่จิงนั้นคายหมิงโซ่วมีลำตัวเป็นเสือยักษ์ (รูปล่างขวาจากบันทึกซันไห่จิง จะเห็นลายพาดกลอนชัดเจน) ไม่ใช่สิงโต ซึ่งต่างจากลักษณะในละคร มีเก้าเศียรและใบหน้าเป็นคน มันเป็นสัตว์เทพที่ดุร้ายมีพละกำลังเกินสัตว์ทั่วไป สามารถสัมผัสได้ถึงทุกสรรพสิ่งที่เข้าใกล้ คายหมิงโซ่วเป็นผู้พิทักษ์เขาคุนลุ้น ซึ่งตามตำนานนั้นสูงจรดฟ้าอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ด้านตะวันตกมีประตูทางเข้าสู่เขตแดนสวรรค์อยู่เก้าประตู คายหมิงโซ่วมีหน้าที่คอยเฝ้าประตูทั้งเก้านี้ หนึ่งเศียรหันดูหนึ่งประตู ดวงตาไม่เคยหลับ เพื่อปกป้องไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนความสงบของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จึงไม่แปลกที่เราไม่ค่อยเห็นคายหมิงโซ่วออกมาเพ่นพ่านในนิยาย/ละครแนวเทพเซียนทั่วไป เนื่องจากมันมีสถานที่ที่ต้องอยู่โยงเฝ้าประจำนั่นเอง วันนี้คุยกันเบาะๆ กับสัตว์เทพที่ไม่ค่อยพบเจอ แต่คราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงสัตว์เทพที่เพื่อนเพจส่วนใหญ่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือจิ้งจอกเก้าหาง ใครเป็นแฟนคลับป๋ายเฉี่ยนแห่งสามชาติสามภพป่าท้อสิบหลี่อย่าลืมมาติดตามตอนต่อไปนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.cdramalove.com/love-and-redemption-summary/ https://m.sohu.com/a/383471932_100085277/?pvid=000115_3w_a Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://m.sohu.com/a/383471932_100085277/?pvid=000115_3w_a https://baike.baidu.com/item/%E5%BC%80%E6%98%8E%E5%85%BD/3390243 https://zhuanlan.zhihu.com/p/144025393 #ปลดผนึกหัวใจ #ตำนานจีน #คายหมิงโซ่ว #ซานไห่จิง #StoryfromStory
    WWW.CDRAMALOVE.COM
    Love And Redemption Summary - C-Drama Love - Show Summary
    Chinese Drama Love And Redemption Summary (琉璃) The drama tells the story of Chu Xuan Ji, a girl born with an incomplete "sixth sense", and Yu
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์
    จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว!

    La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์
    ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton

    Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์
    อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก

    Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์
    ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม

    Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์
    ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    แวะจอดเรือที่ Cannes แล้วต้องไปที่ไหน? รวม 4 จุดไฮไลต์หรูหราและมีเสน่ห์ของเมืองคานส์ 🌴✨ จากถนนคนดังระดับโลก สู่งานเทศกาลหนังระดับนานาชาติ เดินเล่นย่านเมืองเก่า ช้อปของสดท้องถิ่น — ครบทุกไฮไลท์ในวันเดียว! ☑️ La Croisette - ถนนลา ครัวแซตต์ ถนนเลียบชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองคานส์ สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก เช่น Hôtel Martinez และ InterContinental Carlton ☑️ Palais des Festivals et des Congrès - ศูนย์จัดเทศกาลและการประชุมเมืองคานส์ อาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะสถานที่จัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ งานพรมแดงที่ดาราฮอลลีวูดและนักสร้างภาพยนตร์ทั่วโลก ☑️ Le Suquet - ย่านเมืองเก่าเลอ ซูเคต์ ย่านเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมีเสน่ห์แบบโบราณ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยที่ปูด้วยหินและบ้านเรือนเก่าแก่ในสไตล์ฝรั่งเศสดั้งเดิม ☑️ Marché Forville - ตลาดฟอร์วิลล์ ตลาดท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยอาหารสด เช่น ผลไม้ ผัก อาหารทะเล ชีส และขนมปัง สถานที่ยอดนิยมสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและรสชาติของคานส์ 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #CannesCruisePort #France #LaCroisette #PalaisdesFestivalsetdesCongrès #LeSuquet #MarchéForville #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงจิ้งจอกเก้าหาง

    ความมีอยู่ว่า
    ... “ที่เสวียนหนี่ว์กล่าวมา ท่านราชาปีศาจฟังเข้าใจแล้วหรือไม่ ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิวเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหาง เลือดหัวใจของจิ้งจอกขาวเก้าหางมีสรรพคุณเยี่ยงไร ท่านถามถามชายาของท่านดู”...
    - จากเรื่อง <สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่> ผู้แต่ง ถังชีกงจื่อ

    ตำนานเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ผูกโยงกับปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้คนลุ่มหลง แต่แฟนคลับจากเรื่องชุดสามชาติสามภพฯ จะรู้ว่า ในเรื่องนี้จิ้งจอกเก้าหางเป็นเทพขั้นสูงปกครองดินแดนชิงชิว ไม่ใช่ปีศาจร้ายที่คอยยั่วราคะใคร

    ที่ Storyฯ คิดว่าน่าสนใจคือ ในบรรดาเอกสารโบราณหรือวรรณคดีที่พูดถึงจิ้งจอกเก้าหางนั้น ดูจะมีในคัมภีร์ซานไห่จิงที่เดียวที่กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางและดินแดนชิงชิวไปพร้อมๆ กัน โดยมีการบรรยายไว้ว่า เขาชิงชิวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกอีกสามร้อยหลี่ ด้านที่เจอแสงอาทิตย์ของเขานั้นอุดมด้วยหยก ด้านที่มืดมีแร่ธาตุที่ใช้ผลิตสีเขียวได้ บนเขามีสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง รูปร่างเป็นจิ้งจอก มีเก้าหาง เสียงของมันเหมือนเสียงร้องไห้ของทารก มันกินมนุษย์ได้ และหากมนุษย์ใดกินเนื้อมันเข้าไปจะมีภูมิต้านทานมนต์ดำของปีศาจ

    จิ้งจอกเก้าหางเดิมได้รับการยกย่องเป็นสัตว์มงคล ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้น ในรูปภาพของพระแม่ตะวันตก(ซีหวางหมู่) มักปรากฎสัตว์เทพสี่ตัวอยู่แทบพระบาท หนึ่งในนั้นคือจิ้งจอกเก้าหาง ว่ากันว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของการมีบุตรหลานมากมาย

    แต่ภาพลักษณ์ของจิ้งจอกเก้าหางเริ่มตกต่ำลงเมื่อพ้นยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อความนับถือในพระแม่ซีหวางหมู่ลดลง และเริ่มพูดถึงจิ้งจอกแปลงกายเป็นคนได้เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ พร้อมๆ กับความเป็น “สัตว์เทพ” แปรเปลี่ยนไปเป็น “ปีศาจ” มีนิทานปรัมปราเรื่องปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาสิงร่างของต๋าจีผู้เป็นพระสนมขององค์โจ้วหวางแห่งราชวงศ์ซาง แล้วทำให้พระองค์ทรงลุ่มหลงจนทำแต่เรื่องร้ายๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ตอกย้ำภาพลักษณ์ปีศาจเพศหญิงที่งามสะคราญยั่วยวนให้ชายลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่มาจนปัจจุบัน

    แต่สำหรับ Storyฯ แล้ว จิ้งจอกเก้าหางตัวไหนก็ไม่ประทับใจเท่าป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว เพื่อนเพจล่ะคะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1636558
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/7367050
    https://3g.163.com/dy/article_cambrian/EJB4QI9105418R2V.html
    https://zhidao.baidu.com/question/175130842.html

    #สามชาติสามภพ #จิ้งจอกเก้าหาง #ป๋ายเฉี่ยน #ต๋าจี #ซานไห่จิง #ชิงชิว #ตำนานจีน #StoryfromStory
    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉินที่บันทึกเรื่องราวของเทพนิยาย ปีศาจ สัตว์ประหลาด นิทานปรัมปรา และวัฒนธรรม ฯลฯ ในยุคโบราณของจีน วันนี้เรามาคุยกันถึงจิ้งจอกเก้าหาง ความมีอยู่ว่า ... “ที่เสวียนหนี่ว์กล่าวมา ท่านราชาปีศาจฟังเข้าใจแล้วหรือไม่ ป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิวเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหาง เลือดหัวใจของจิ้งจอกขาวเก้าหางมีสรรพคุณเยี่ยงไร ท่านถามถามชายาของท่านดู”... - จากเรื่อง <สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่> ผู้แต่ง ถังชีกงจื่อ ตำนานเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางมีไม่น้อย ส่วนใหญ่ผูกโยงกับปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้คนลุ่มหลง แต่แฟนคลับจากเรื่องชุดสามชาติสามภพฯ จะรู้ว่า ในเรื่องนี้จิ้งจอกเก้าหางเป็นเทพขั้นสูงปกครองดินแดนชิงชิว ไม่ใช่ปีศาจร้ายที่คอยยั่วราคะใคร ที่ Storyฯ คิดว่าน่าสนใจคือ ในบรรดาเอกสารโบราณหรือวรรณคดีที่พูดถึงจิ้งจอกเก้าหางนั้น ดูจะมีในคัมภีร์ซานไห่จิงที่เดียวที่กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางและดินแดนชิงชิวไปพร้อมๆ กัน โดยมีการบรรยายไว้ว่า เขาชิงชิวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกอีกสามร้อยหลี่ ด้านที่เจอแสงอาทิตย์ของเขานั้นอุดมด้วยหยก ด้านที่มืดมีแร่ธาตุที่ใช้ผลิตสีเขียวได้ บนเขามีสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง รูปร่างเป็นจิ้งจอก มีเก้าหาง เสียงของมันเหมือนเสียงร้องไห้ของทารก มันกินมนุษย์ได้ และหากมนุษย์ใดกินเนื้อมันเข้าไปจะมีภูมิต้านทานมนต์ดำของปีศาจ จิ้งจอกเก้าหางเดิมได้รับการยกย่องเป็นสัตว์มงคล ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้น ในรูปภาพของพระแม่ตะวันตก(ซีหวางหมู่) มักปรากฎสัตว์เทพสี่ตัวอยู่แทบพระบาท หนึ่งในนั้นคือจิ้งจอกเก้าหาง ว่ากันว่า มันเป็นสัญลักษณ์ของการมีบุตรหลานมากมาย แต่ภาพลักษณ์ของจิ้งจอกเก้าหางเริ่มตกต่ำลงเมื่อพ้นยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อความนับถือในพระแม่ซีหวางหมู่ลดลง และเริ่มพูดถึงจิ้งจอกแปลงกายเป็นคนได้เมื่อเข้าสู่ยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ พร้อมๆ กับความเป็น “สัตว์เทพ” แปรเปลี่ยนไปเป็น “ปีศาจ” มีนิทานปรัมปราเรื่องปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาสิงร่างของต๋าจีผู้เป็นพระสนมขององค์โจ้วหวางแห่งราชวงศ์ซาง แล้วทำให้พระองค์ทรงลุ่มหลงจนทำแต่เรื่องร้ายๆ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ตอกย้ำภาพลักษณ์ปีศาจเพศหญิงที่งามสะคราญยั่วยวนให้ชายลุ่มหลงมัวเมาในกิเลสตัณหา เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่มาจนปัจจุบัน แต่สำหรับ Storyฯ แล้ว จิ้งจอกเก้าหางตัวไหนก็ไม่ประทับใจเท่าป๋ายเฉี่ยนแห่งชิงชิว เพื่อนเพจล่ะคะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1636558 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/7367050 https://3g.163.com/dy/article_cambrian/EJB4QI9105418R2V.html https://zhidao.baidu.com/question/175130842.html #สามชาติสามภพ #จิ้งจอกเก้าหาง #ป๋ายเฉี่ยน #ต๋าจี #ซานไห่จิง #ชิงชิว #ตำนานจีน #StoryfromStory
    《三生三世十里桃花》里的青丘到底在四海八荒的哪里_翻书党_澎湃新闻-The Paper
    随着《三生三世十里桃花》的热播,“青丘”、“帝君”等热门词的流行唤起了广大观众对神仙世界、对中国古代神话的求知兴趣。那么青丘国究竟坐落于四海八荒的何处?
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์นี้ยังคงวนเวียนอยู่กับนิยาย/ละครแนวเทพเซียน วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง มนุษย์เงือก

    สืบเนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน เพื่อนเพจคงคิดเหมือน Storyฯ ว่าต้องมีเรื่องราวของมนุษย์เงือกปรากฎในคัมภีร์ฯ นี้แน่นอน คำตอบคือไม่เชิง เพราะว่าคัมภีร์ฯ กล่าวถึงสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์กึ่งปลาหลายชนิด บ้างมีขาบ้างไม่มีขา และไม่ได้เรียกชื่อเดียวกับมนุษย์เงือก (เจียวเหริน หรือ 鲛人) ที่เรามักได้ยินทั่วไป

    แต่ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์เงือกนั้นมีมากมาย รวมถึงไข่มุกเงือกที่กล่าวถึงในบทความจากนิยายข้างล่างนี้
    ความมีอยู่ว่า
    ...นักล่าไข่มุกเมื่อหาไข่มุกไม่พอ ก็จะใช้เด็กผูกเชือกไว้ที่เอวดำลงไปในทะเลเพื่อล่อให้มนุษย์เงือก (เจียวเหริน) ปรากฎ จากนั้นก็ฆ่าเด็กให้มนุษย์เงือกดู มนุษย์เงือกมีจิตใจอ่อนโยน ยามน้ำตาไหลจะเกิดเป็นไข่มุกสะท้อนแสงภายใต้แสงจันทร์...
    - จากเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> ผู้แต่ง เซียงหรูเซ่อ
    (หมายเหตุ ชื่อไทยตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความข้างต้น Storyฯ แปลเองจ้า)

    ตำนานที่ว่าน้ำตาของมนุษย์เงือกกลายเป็นไข่มุกได้นั้น ปรากฎอยู่ในบันทึกโซวเสินจี้ หรือ 搜神记 (สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก) ในบันทึกฯ นี้กล่าวถึงมนุษย์เงือก (เจียวเหริน) นี้ว่าอาศัยอยู่ในทะเลใต้ สันทัดการถักทอ ยามร้องไห้ น้ำตาจะกลายเป็นไข่มุก

    มีเรื่องเล่าขานอีกว่า ยังมีของวิเศษที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เงือกอีกสองอย่าง หนึ่งคือผ้าไหม “เจียวซา” ที่ทอจากน้ำโดยมนุษย์เงือก มีสรรพคุณคือเป็นผ้าที่โดนน้ำไม่เปียก สองคือน้ำมันที่สกัดจากมนุษย์เงือกนั้นสามารถจุดไฟได้นานพันปีไม่มีดับ (ฟังดูโหดร้าย!) ว่ากันว่าในสุสานขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้ก็มีตะเกียงที่จุดไว้ด้วยน้ำมันมนุษย์เงือก (จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้เลย)

    นอกจากเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> แล้ว เพื่อนเพจลองนึกออกไหมว่าเคยพบเจอมนุษย์เงือกจากนิยาย/ละครเรื่องอื่นเรื่องไหนอีก?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://dramapanda.com/2020/05/novoland-pearl-eclipse-releases-dreamy.html
    http://chinesemov.com/tv/2020/Novoland-Pearl-Eclipse.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://cul.qq.com/a/20160219/041874.htm
    https://baike.baidu.com/item/鲛人/3813051

    #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #มนุษย์เงือก #ตำนานจีน #เจียวเหริน #สัตว์เทพจีน #โซวเสินจี้ #StoryfromStory
    สัปดาห์นี้ยังคงวนเวียนอยู่กับนิยาย/ละครแนวเทพเซียน วันนี้เรามาคุยกันเรื่อง มนุษย์เงือก สืบเนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเราคุยกันถึงสัตว์เทพในคัมภีร์ซานไห่จิง (คัมภีร์ขุนเขาและท้องทะเล) ซึ่งเป็นหนังสือโบราณสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน เพื่อนเพจคงคิดเหมือน Storyฯ ว่าต้องมีเรื่องราวของมนุษย์เงือกปรากฎในคัมภีร์ฯ นี้แน่นอน คำตอบคือไม่เชิง เพราะว่าคัมภีร์ฯ กล่าวถึงสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์กึ่งปลาหลายชนิด บ้างมีขาบ้างไม่มีขา และไม่ได้เรียกชื่อเดียวกับมนุษย์เงือก (เจียวเหริน หรือ 鲛人) ที่เรามักได้ยินทั่วไป แต่ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์เงือกนั้นมีมากมาย รวมถึงไข่มุกเงือกที่กล่าวถึงในบทความจากนิยายข้างล่างนี้ ความมีอยู่ว่า ...นักล่าไข่มุกเมื่อหาไข่มุกไม่พอ ก็จะใช้เด็กผูกเชือกไว้ที่เอวดำลงไปในทะเลเพื่อล่อให้มนุษย์เงือก (เจียวเหริน) ปรากฎ จากนั้นก็ฆ่าเด็กให้มนุษย์เงือกดู มนุษย์เงือกมีจิตใจอ่อนโยน ยามน้ำตาไหลจะเกิดเป็นไข่มุกสะท้อนแสงภายใต้แสงจันทร์... - จากเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> ผู้แต่ง เซียงหรูเซ่อ (หมายเหตุ ชื่อไทยตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ แต่บทความข้างต้น Storyฯ แปลเองจ้า) ตำนานที่ว่าน้ำตาของมนุษย์เงือกกลายเป็นไข่มุกได้นั้น ปรากฎอยู่ในบันทึกโซวเสินจี้ หรือ 搜神记 (สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก) ในบันทึกฯ นี้กล่าวถึงมนุษย์เงือก (เจียวเหริน) นี้ว่าอาศัยอยู่ในทะเลใต้ สันทัดการถักทอ ยามร้องไห้ น้ำตาจะกลายเป็นไข่มุก มีเรื่องเล่าขานอีกว่า ยังมีของวิเศษที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เงือกอีกสองอย่าง หนึ่งคือผ้าไหม “เจียวซา” ที่ทอจากน้ำโดยมนุษย์เงือก มีสรรพคุณคือเป็นผ้าที่โดนน้ำไม่เปียก สองคือน้ำมันที่สกัดจากมนุษย์เงือกนั้นสามารถจุดไฟได้นานพันปีไม่มีดับ (ฟังดูโหดร้าย!) ว่ากันว่าในสุสานขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้ก็มีตะเกียงที่จุดไว้ด้วยน้ำมันมนุษย์เงือก (จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้เลย) นอกจากเรื่อง <ไข่มุกเคียงบัลลังก์> แล้ว เพื่อนเพจลองนึกออกไหมว่าเคยพบเจอมนุษย์เงือกจากนิยาย/ละครเรื่องอื่นเรื่องไหนอีก? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://dramapanda.com/2020/05/novoland-pearl-eclipse-releases-dreamy.html http://chinesemov.com/tv/2020/Novoland-Pearl-Eclipse.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://cul.qq.com/a/20160219/041874.htm https://baike.baidu.com/item/鲛人/3813051 #ไข่มุกเคียงบัลลังก์ #มนุษย์เงือก #ตำนานจีน #เจียวเหริน #สัตว์เทพจีน #โซวเสินจี้ #StoryfromStory
    DRAMAPANDA.COM
    Novoland: Pearl Eclipse Releases Dreamy Posters to Announce Cast Led by Yang Mi and William Chan - DramaPanda
    If that poster didn’t have you clicking fast enough, just wait until you see the rest! The team behind the newest addition to the Novoland franchise, Novoland: Pearl Eclipse 斛珠夫人 just gave us all a little peek at what’s in store for viewers with these gorgeous posters below. It’s a wee bit different from the usual angsty dark tones in some of its earlier offerings, but with a title like Pearl Eclipse, the colour palette change to aquatic shades is certainly quite apt. If you can still remember, the drama was actually included in the line-up of dramas announced by Tencent (Pearl Eclipse will
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตเลขาฯ รมว.ต่างประเทศ แนะ “อิ๊งค์” อย่าชักเข้าชักออกเรื่องโบราณวัตถุกัมพูชา รับปากเขาแล้วว่าจะคืนก็ต้องคืน ไม่ต้องเอามาเป็นประเด็นการเมือง เพราะไม่ใช่งานมาสเตอร์พีซ เก็บไว้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรแก่เรา ไม่ได้สร้างอำนาจต่อรองอะไร

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064029

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    อดีตเลขาฯ รมว.ต่างประเทศ แนะ “อิ๊งค์” อย่าชักเข้าชักออกเรื่องโบราณวัตถุกัมพูชา รับปากเขาแล้วว่าจะคืนก็ต้องคืน ไม่ต้องเอามาเป็นประเด็นการเมือง เพราะไม่ใช่งานมาสเตอร์พีซ เก็บไว้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรแก่เรา ไม่ได้สร้างอำนาจต่อรองอะไร อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000064029 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • วลีรักจาก <จันทราอัสดง>

    สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก

    วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl)

    แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร?

    ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน

    “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น

    หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง

    เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี

    วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804
    https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502
    http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html
    https://www.621seo.cn/a/83.html

    #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    วลีรักจาก <จันทราอัสดง> สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl) แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร? ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้ เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804 https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502 http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html https://www.621seo.cn/a/83.html #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ่งดียวที่ผมเชื่อ คือ การลงมือทำด้วยตัวของตัวเอง เคยอวดภูมิ สุดท้าย ภูมิอ่อนจนไม่สามารถแสดงอะไรออกได้แล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป ทำต่อเนื่อง และทำมาตลอด ถึงจะเห็นผล ยิ่งทำมานานๆยิ่งดี
    ส่วนเรื่องที่แชทจากใครบางคน นานหลายปีแล้ว แชทบอกให้ส่งต่อคนอื่นๆ แบบลูกโซ่ บอกแล้ว ผมไม่ทำและไม่อยากทำ เพราะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นไม่พอ เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย สุดท้ายผมก็ไม่เชื่อแชทลูกโซ่แบบว่า ความเชื่อ บลาๆๆ
    สิ่งเดียวที่ผมศรัทธา คือ การลงมือทำต้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเพราะตนเอง
    ความเชื่อตามอ้างโบราณกาล ความเชื่อตามมโนไร้ซึ่งเหตุผล สุดท้ายทำให้ผมต้องสละจากความเชื่อที่เป็นความเห็นผิดเกือบทั้งหมด ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว ได้กลับมากินเนื้อวัวหลังจากที่จมอยู่กับความเห็นผิดมานาน จากนั้นก็จะกินเนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อแกะ เนื้อแพะ ต่อ
    พิภพมัจจุราช ตอน ลัทธิกรรม ทำให้รู้เลยว่า การแก้กรรมด้วยวิธีการนอกรีตหรือขัดแย้งกับหลักคำสอน ซึ่งเบื้องหลังขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ มีการค้าขายสัตว์โดยทุจริต และการหากินกับสายมูนั้น ไม่ใช่ทางของผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการหากินกับสายมู หากินกับความเชื่อ ผิดหลักคำสอนประพุทธเจ้ามาตลอด ผมเลยเลือกอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง และอยู่กับอริยสัจ ๔
    ตัวละครหลักในเรื่องลัทธิกรรมที่ต้องลงนรกจากขุมลึกที่สุดไปจนถึงขุมที่ตื้นที่สุด ภูมิหลังคือ กระทำอนันตริยกรรม โดยการ สังหารมารดาตนเองโดยขาดสติ และต่อมา สร้างปัจจัยหากินกับวัดโดยทุจริต ฮุบเงินบริจาควัด ใส่ร้ายเจ้าอาวาส และได้เงินที่ทุจริตมาสร้างภาพให้คนเองเป็นคนดี หลอกให้เชื่อเรื่องแก้กรรมตามวิถีนอกรีต สายมู และหากินเบื้องหลังโดยทุจริต แต่ที่แท้หาผลประโยชน์จากความเห็นผิดผู้อื่นและความงมงายผู้อื่น นำมาซึ่งกรรมหนักสะสมหนักขึ้นๆจนเกิดวิบากกรรมขึ้นมา ไม่ว่าจะ 3 ปีผ่านไป 7 ปีผ่านไป หรือ 14 ปีผ่านไป (7 ปีผ่านไป อันนี้เมคเนื้อเรื่องตามชื่อช่อง 7 เพราะในขณะนั้นฉายช่อง 7 ก่อนซีซั่นต่อไป เปิดกล้อยฉายออกช่อง 3 ส่วนช่อง 3 อันนี้ผมไม่รู้)
    ทำธุรกิจสายมู หากินกับผู้หลงงมงาย ผู้โง่เขลา ผู้มีความเห็นผิด ผมไม่อยากจะทำด้วยซ้ำ ภูมิหลังไม่รู้ก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อน และในตัวเขามีสันดานเลวทรามอะไรบ้าง ผมขอทำธุรกิจสายโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆดีกว่ามาทำธุรกิจความเชื่อ
    จบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปวช. แต่ยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ฟรีแลนซ์ รับงานผ่านอินเทอร์เน็ต อีกเยอะแยะ อันนั้นผมมาถูกทางแล้ว ที่ผ่านมาผิดทางเพราะ เป็นลูกจ้าง หรือ อ่านหนังสือสอบบรรจุอย่างเดียว ผมต้องคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเงินถึงเข้ามาหาเรามากๆ
    สิ่งดียวที่ผมเชื่อ คือ การลงมือทำด้วยตัวของตัวเอง เคยอวดภูมิ สุดท้าย ภูมิอ่อนจนไม่สามารถแสดงอะไรออกได้แล้ว แต่ก็ต้องทำต่อไป ทำต่อเนื่อง และทำมาตลอด ถึงจะเห็นผล ยิ่งทำมานานๆยิ่งดี ส่วนเรื่องที่แชทจากใครบางคน นานหลายปีแล้ว แชทบอกให้ส่งต่อคนอื่นๆ แบบลูกโซ่ บอกแล้ว ผมไม่ทำและไม่อยากทำ เพราะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นไม่พอ เบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย สุดท้ายผมก็ไม่เชื่อแชทลูกโซ่แบบว่า ความเชื่อ บลาๆๆ สิ่งเดียวที่ผมศรัทธา คือ การลงมือทำต้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเพราะตนเอง ความเชื่อตามอ้างโบราณกาล ความเชื่อตามมโนไร้ซึ่งเหตุผล สุดท้ายทำให้ผมต้องสละจากความเชื่อที่เป็นความเห็นผิดเกือบทั้งหมด ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว ได้กลับมากินเนื้อวัวหลังจากที่จมอยู่กับความเห็นผิดมานาน จากนั้นก็จะกินเนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อแกะ เนื้อแพะ ต่อ พิภพมัจจุราช ตอน ลัทธิกรรม ทำให้รู้เลยว่า การแก้กรรมด้วยวิธีการนอกรีตหรือขัดแย้งกับหลักคำสอน ซึ่งเบื้องหลังขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ มีการค้าขายสัตว์โดยทุจริต และการหากินกับสายมูนั้น ไม่ใช่ทางของผมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการหากินกับสายมู หากินกับความเชื่อ ผิดหลักคำสอนประพุทธเจ้ามาตลอด ผมเลยเลือกอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง และอยู่กับอริยสัจ ๔ ตัวละครหลักในเรื่องลัทธิกรรมที่ต้องลงนรกจากขุมลึกที่สุดไปจนถึงขุมที่ตื้นที่สุด ภูมิหลังคือ กระทำอนันตริยกรรม โดยการ สังหารมารดาตนเองโดยขาดสติ และต่อมา สร้างปัจจัยหากินกับวัดโดยทุจริต ฮุบเงินบริจาควัด ใส่ร้ายเจ้าอาวาส และได้เงินที่ทุจริตมาสร้างภาพให้คนเองเป็นคนดี หลอกให้เชื่อเรื่องแก้กรรมตามวิถีนอกรีต สายมู และหากินเบื้องหลังโดยทุจริต แต่ที่แท้หาผลประโยชน์จากความเห็นผิดผู้อื่นและความงมงายผู้อื่น นำมาซึ่งกรรมหนักสะสมหนักขึ้นๆจนเกิดวิบากกรรมขึ้นมา ไม่ว่าจะ 3 ปีผ่านไป 7 ปีผ่านไป หรือ 14 ปีผ่านไป (7 ปีผ่านไป อันนี้เมคเนื้อเรื่องตามชื่อช่อง 7 เพราะในขณะนั้นฉายช่อง 7 ก่อนซีซั่นต่อไป เปิดกล้อยฉายออกช่อง 3 ส่วนช่อง 3 อันนี้ผมไม่รู้) ทำธุรกิจสายมู หากินกับผู้หลงงมงาย ผู้โง่เขลา ผู้มีความเห็นผิด ผมไม่อยากจะทำด้วยซ้ำ ภูมิหลังไม่รู้ก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อน และในตัวเขามีสันดานเลวทรามอะไรบ้าง ผมขอทำธุรกิจสายโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆดีกว่ามาทำธุรกิจความเชื่อ จบคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปวช. แต่ยังต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ฟรีแลนซ์ รับงานผ่านอินเทอร์เน็ต อีกเยอะแยะ อันนั้นผมมาถูกทางแล้ว ที่ผ่านมาผิดทางเพราะ เป็นลูกจ้าง หรือ อ่านหนังสือสอบบรรจุอย่างเดียว ผมต้องคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเงินถึงเข้ามาหาเรามากๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตบิ๊กข่าวกรอง สวน 'เคลมโบเดีย' ปราสาทตาเมือนธมของไทย ถ้าไม่ใช่ฝรั่งเสศต้องท้วงตั้งแต่ปี 2478
    https://www.thai-tai.tv/news/20087/
    .
    #นันทิวัฒน์สามารถ #ปราสาทตาเมือนธม #กัมพูชา #เคลมโบเดีย #โบราณสถานไทย #มรดกโลก #เขาพระวิหาร #อธิปไตยไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #ข้อพิพาทชายแดน
    อดีตบิ๊กข่าวกรอง สวน 'เคลมโบเดีย' ปราสาทตาเมือนธมของไทย ถ้าไม่ใช่ฝรั่งเสศต้องท้วงตั้งแต่ปี 2478 https://www.thai-tai.tv/news/20087/ . #นันทิวัฒน์สามารถ #ปราสาทตาเมือนธม #กัมพูชา #เคลมโบเดีย #โบราณสถานไทย #มรดกโลก #เขาพระวิหาร #อธิปไตยไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #ข้อพิพาทชายแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อิ๊งค์” เสียเหลี่ยม วธ.กัมพูชา จี้ส่งคืนวัตถุโบราณ 20 ชิ้น ภายใน ส.ค. 68 ตามที่ตกลงตอนเยือนพนมเปญ ชี้ข้ออ้างขาดงบฟังไม่ขึ้น เขมรจะออกค่าใช้จ่ายเอง
    https://www.thai-tai.tv/news/20085/
    .
    #โบราณวัตถุ #กัมพูชา #แพทองธารชินวัตร #รมววัฒนธรรมกัมพูชา #การส่งคืนโบราณวัตถุ #พนมเปญ #ข้อตกลงไทยกัมพูชา #ขาดงบประมาณ #PhoeurngSackona #มรดกทางวัฒนธรรม
    “อิ๊งค์” เสียเหลี่ยม วธ.กัมพูชา จี้ส่งคืนวัตถุโบราณ 20 ชิ้น ภายใน ส.ค. 68 ตามที่ตกลงตอนเยือนพนมเปญ ชี้ข้ออ้างขาดงบฟังไม่ขึ้น เขมรจะออกค่าใช้จ่ายเอง https://www.thai-tai.tv/news/20085/ . #โบราณวัตถุ #กัมพูชา #แพทองธารชินวัตร #รมววัฒนธรรมกัมพูชา #การส่งคืนโบราณวัตถุ #พนมเปญ #ข้อตกลงไทยกัมพูชา #ขาดงบประมาณ #PhoeurngSackona #มรดกทางวัฒนธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะกิด 'รมว.วธ.' รับปากคืนโบราณวัตถุให้เขมรแล้ว อย่าชักเข้าชักออกเป็นประเด็นการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/20084/
    .
    #นันทิวัฒน์สามารถ #โบราณวัตถุ #คืนสมบัติ #เขมร #กัมพูชา #การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    สะกิด 'รมว.วธ.' รับปากคืนโบราณวัตถุให้เขมรแล้ว อย่าชักเข้าชักออกเป็นประเด็นการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/20084/ . #นันทิวัฒน์สามารถ #โบราณวัตถุ #คืนสมบัติ #เขมร #กัมพูชา #การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อุปกิต” มอบพระพุทธรูปโบราณกว่า 300 ปีคืน สปป.ลาว พร้อมรูปหล่อครูบาเจ้าศรีวิชัย หนุนโครงการเสนอชื่อบุคคลสำคัญยูเนสโก
    https://www.thai-tai.tv/news/20083/
    .
    #อุปกิตปาจรียางกูร #พระพุทธรูปโบราณ #คืนสมบัติชาติ #สปปลาว #วัดองค์ตื้อมหาวิหาร #ครูบาเจ้าศรีวิชัย #ยูเนสโก #ความสัมพันธ์ไทยลาว #มรดกทางวัฒนธรรม #ศาสนาและวัฒนธรรม
    “อุปกิต” มอบพระพุทธรูปโบราณกว่า 300 ปีคืน สปป.ลาว พร้อมรูปหล่อครูบาเจ้าศรีวิชัย หนุนโครงการเสนอชื่อบุคคลสำคัญยูเนสโก https://www.thai-tai.tv/news/20083/ . #อุปกิตปาจรียางกูร #พระพุทธรูปโบราณ #คืนสมบัติชาติ #สปปลาว #วัดองค์ตื้อมหาวิหาร #ครูบาเจ้าศรีวิชัย #ยูเนสโก #ความสัมพันธ์ไทยลาว #มรดกทางวัฒนธรรม #ศาสนาและวัฒนธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศใต้

    เดือนนี้ ครอบครัวพบแต่ความสุขสงบราบรื่น รักใคร่ ปรองดองกันดี มีโอกาสได้เดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างแดน หากเป็นนักคิดนักวางแผนสมองปราดเปรื่อง ไหวพริบดี ผลงานที่สรรค์สร้างไว้ จะเสร็จสำเร็จลุล่วงได้ ธุรกิจการงานจะประสบความสำเร็จได้รับผลประโยชน์กำไรงาม โดยเฉพาะธุรกิจนวดแผนโบราณ สปา จะได้ รับข่าวดี อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยจะได้รับการพิจารณา หรือหากรับราชการจะได้ปรับเลื่อนตำแหน่ง ขั้น จะโชคดีทั้งการเงินและการงานเจริญก้าวหน้า ส่วนงานการศึกษา ด้านงานวิชาการ ด้านงานการทหาร และ ด้านงานกีฬา จะมีชื่อมีเสียงเป็นที่ยอมรับ นักเรียน นักศึกษา สมาธิจะนิ่ง สติปัญญาจึงเกิด ส่งผลให้ขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียนมากขึ้น ทำให้การเรียนได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศใต้ เดือนนี้ ครอบครัวพบแต่ความสุขสงบราบรื่น รักใคร่ ปรองดองกันดี มีโอกาสได้เดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างแดน หากเป็นนักคิดนักวางแผนสมองปราดเปรื่อง ไหวพริบดี ผลงานที่สรรค์สร้างไว้ จะเสร็จสำเร็จลุล่วงได้ ธุรกิจการงานจะประสบความสำเร็จได้รับผลประโยชน์กำไรงาม โดยเฉพาะธุรกิจนวดแผนโบราณ สปา จะได้ รับข่าวดี อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยจะได้รับการพิจารณา หรือหากรับราชการจะได้ปรับเลื่อนตำแหน่ง ขั้น จะโชคดีทั้งการเงินและการงานเจริญก้าวหน้า ส่วนงานการศึกษา ด้านงานวิชาการ ด้านงานการทหาร และ ด้านงานกีฬา จะมีชื่อมีเสียงเป็นที่ยอมรับ นักเรียน นักศึกษา สมาธิจะนิ่ง สติปัญญาจึงเกิด ส่งผลให้ขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียนมากขึ้น ทำให้การเรียนได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก>

    Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ

    รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’

    ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย

    แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง

    อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ

    วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย

    ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ...
    ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ...

    วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972
    https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx
    https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854
    https://www.sohu.com/a/484704098_100135144
    https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ... ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ... วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972 https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854 https://www.sohu.com/a/484704098_100135144 https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    《一念关山》:刘诗诗更适合“独美”
    澎湃,澎湃新闻,澎湃新闻网,新闻与思想,澎湃是植根于中国上海的时政思想类互联网平台,以最活跃的原创新闻与最冷静的思想分析为两翼,是互联网技术创新与新闻价值传承的结合体,致力于问答式新闻与新闻追踪功能的实践。
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts