• กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล

    Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ

    เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง

    การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด

    Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน

    เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน
    ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง
    ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2
    บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง
    ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient
    ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation
    resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing
    demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array
    ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing
    ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว
    แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้
    ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี
    ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks
    ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา
    strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ
    Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย
    KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
    Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing
    patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D
    Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ

    https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    🎙️ กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน ➡️ ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง ➡️ ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 ➡️ บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง ➡️ ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient ➡️ ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation ➡️ resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing ➡️ demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array ➡️ ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing ➡️ ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว ➡️ แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้ ➡️ ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี ➡️ ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks ➡️ ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา ➡️ strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ ➡️ Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย ➡️ KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ➡️ Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing ➡️ patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D ➡️ Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    DANIEL.LAWRENCE.LU
    Line scan camera image processing
    I use my line scan camera to take cool pictures of trains and other stuff.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
    หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
    ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
    ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
    นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
    เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
    แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
    บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
    รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
    ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้! นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel

    ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

    ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่

    แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต

    แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า?

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10%
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส
    รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung
    แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน
    การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ
    CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ
    Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
    รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
    การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน
    CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน
    Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี
    การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    🎙️ เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่ แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า? 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส ➡️ รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung ➡️ แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน ➡️ การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ ➡️ CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ ➡️ Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ➡️ รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ➡️ การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน ➡️ CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน ➡️ Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี ➡️ การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ

    เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว

    หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง

    แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง

    อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป
    Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน
    แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries
    เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B
    Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป”
    แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
    การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์
    มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG
    TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์
    การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน
    Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน
    Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    🎙️ CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป ➡️ Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน ➡️ แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B ➡️ Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป” ➡️ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ➡️ การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์ ➡️ มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG ➡️ TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์ ➡️ การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน ➡️ Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน ➡️ Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าใหม่: รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมถือหุ้นในบริษัทชิป – เมื่อเงินภาษีอาจกลายเป็นหุ้นใน Intel, Micron และ TSMC

    ในปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick กำลังผลักดันแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน: ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิปที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดสรรงบประมาณกว่า $52.7 พันล้าน เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเจรจากับ Intel ซึ่งอาจนำไปสู่การถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล แลกกับเงินสนับสนุนที่เคยให้ไปในยุคของประธานาธิบดี Biden และกำลังขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, Samsung และ TSMC

    แม้จะยังไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้จีนเพียง 80 ไมล์

    นอกจากนี้ รัฐบาลยังเคยใช้แนวทางคล้ายกันกับ Nippon Steel โดยถือ “หุ้นทองคำ” เพื่อควบคุมการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติในสหรัฐฯ

    ข้อมูลในข่าว
    รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาถือหุ้นในบริษัทชิปที่ได้รับเงินจาก CHIPS Act
    เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งอาจมีการถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล
    ขยายแนวคิดไปยัง Micron, Samsung และ TSMC
    CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้าน สำหรับสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้าน, Micron $6.2 พันล้าน, TSMC $6.6 พันล้าน
    รัฐบาลเคยใช้แนวทาง “หุ้นทองคำ” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการลงทุน
    Lutnick ระบุว่าแนวคิดนี้จะไม่แทรกแซงการบริหารของบริษัท
    ทรัมป์สนับสนุนแนวคิดนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาติและผู้เสียภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ปัจจุบันตามหลัง TSMC และ Samsung
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุน
    CHIPS Act ผ่านในยุค Biden เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศหลังวิกฤตโควิด
    การถือหุ้นโดยรัฐเคยเกิดขึ้นในวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือ GM และ AIG
    การถือหุ้นอาจช่วยให้รัฐบาลมีสิทธิ์ตรวจสอบการใช้เงินและการดำเนินงาน
    การผลิตชิปในประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและกลาโหม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/trump-eyes-us-government-stakes-in-other-chip-makers-that-received-chips-act-funds-sources-say
    🏛️ เรื่องเล่าใหม่: รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมถือหุ้นในบริษัทชิป – เมื่อเงินภาษีอาจกลายเป็นหุ้นใน Intel, Micron และ TSMC ในปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick กำลังผลักดันแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน: ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิปที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดสรรงบประมาณกว่า $52.7 พันล้าน เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเจรจากับ Intel ซึ่งอาจนำไปสู่การถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล แลกกับเงินสนับสนุนที่เคยให้ไปในยุคของประธานาธิบดี Biden และกำลังขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, Samsung และ TSMC แม้จะยังไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้จีนเพียง 80 ไมล์ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเคยใช้แนวทางคล้ายกันกับ Nippon Steel โดยถือ “หุ้นทองคำ” เพื่อควบคุมการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาถือหุ้นในบริษัทชิปที่ได้รับเงินจาก CHIPS Act ➡️ เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งอาจมีการถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล ➡️ ขยายแนวคิดไปยัง Micron, Samsung และ TSMC ➡️ CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้าน สำหรับสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้าน, Micron $6.2 พันล้าน, TSMC $6.6 พันล้าน ➡️ รัฐบาลเคยใช้แนวทาง “หุ้นทองคำ” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการลงทุน ➡️ Lutnick ระบุว่าแนวคิดนี้จะไม่แทรกแซงการบริหารของบริษัท ➡️ ทรัมป์สนับสนุนแนวคิดนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาติและผู้เสียภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ปัจจุบันตามหลัง TSMC และ Samsung ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุน ➡️ CHIPS Act ผ่านในยุค Biden เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศหลังวิกฤตโควิด ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเคยเกิดขึ้นในวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือ GM และ AIG ➡️ การถือหุ้นอาจช่วยให้รัฐบาลมีสิทธิ์ตรวจสอบการใช้เงินและการดำเนินงาน ➡️ การผลิตชิปในประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและกลาโหม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/trump-eyes-us-government-stakes-in-other-chip-makers-that-received-chips-act-funds-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump eyes US government stakes in other chip makers that received CHIPS Act funds, sources say
    WASHINGTON (Reuters) -U.S. Commerce Secretary Howard Lutnick is looking into the federal government taking equity stakes in computer chip manufacturers that receive CHIPS Act funding to build factories in the country, two sources said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนุ่มไทยทำถึง แปลเขมรชุมนุมแบบไหน คนไทยถึงฮาลั่น! [18/8/68]
    Thai man hilariously translates Cambodian protest — Thais can’t stop laughing!

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaProtest
    #FunnyTranslation
    #ExposeScam
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    หนุ่มไทยทำถึง แปลเขมรชุมนุมแบบไหน คนไทยถึงฮาลั่น! [18/8/68] Thai man hilariously translates Cambodian protest — Thais can’t stop laughing! #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaProtest #FunnyTranslation #ExposeScam #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ฮุนเซนหากินง่าย แค่ทำแบบนี้ญี่ปุ่นให้เขมร 1.8 ล้านเหรียญ (16/8/68)

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #CambodiaNoCeasefire
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    #JapanFundsCambodia
    #HunSenCorruption
    #StopScambodia
    #CambodiaNews
    ฮุนเซนหากินง่าย แค่ทำแบบนี้ญี่ปุ่นให้เขมร 1.8 ล้านเหรียญ (16/8/68) #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #CambodiaNoCeasefire #news1 #thaitimes #shorts #JapanFundsCambodia #HunSenCorruption #StopScambodia #CambodiaNews
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี

    ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ

    นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้

    อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile

    ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne
    ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต
    หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H
    กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง

    ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต
    ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน
    ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ
    รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก
    เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI
    ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง
    รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี
    ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ
    ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว

    อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน
    เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh
    DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง
    เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว

    ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ
    การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ
    เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง
    ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่
    การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย

    https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    🧠 iKKO MindOne: สมาร์ตโฟนจิ๋วที่อัดแน่นด้วย AI และอินเทอร์เน็ตฟรี ลองจินตนาการว่าคุณมีสมาร์ตโฟนขนาดเท่าบัตรเครดิต แต่สามารถทำงานได้เหมือนเครื่องมือระดับมืออาชีพ ทั้งแปลภาษาแบบเรียลไทม์ บันทึกเสียงเป็นข้อความ และสรุปเนื้อหาอัตโนมัติ—ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเสียค่าสมัครสมาชิกใด ๆ นั่นคือสิ่งที่ iKKO MindOne เสนอไว้ในแคมเปญระดมทุนที่ระดมได้มากกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ ตัวเครื่องมีขนาด 86×72×8.9 มม. ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์กันรอยระดับ 9H และกล้อง Sony 50MP ที่หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ที่โดดเด่นคือระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink ให้ใช้งาน AI ฟรีในกว่า 60 ประเทศ ส่วน vSIM แบบเสียเงินครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ เช่น ดูวิดีโอหรือท่องเว็บ นอกจากนี้ยังมีช่องใส่ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ที่เลือกใช้แทน 5G เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน ระบบปฏิบัติการมีสองชุด: Android 15 สำหรับแอปทั่วไป และ iKKO AI OS สำหรับงานที่ต้องการสมาธิและความปลอดภัย โดยสามารถสลับผ่านปุ่มจริง และนำแอป Android เข้าไปใช้ในโหมด AI ได้ อุปกรณ์เสริมอย่างเคสคีย์บอร์ด QWERTY ยังเพิ่มแบตเตอรี่เสริม 500mAh, DAC คุณภาพสูง Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับคนที่ต้องการเสียงคุณภาพและการพิมพ์แบบ tactile ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ iKKO MindOne ➡️ ขนาด 86×72×8.9 มม. หนาเท่าบัตรเครดิต ➡️ หน้าจอ AMOLED 4.02 นิ้ว พร้อมกระจกแซฟไฟร์ระดับ 9H ➡️ กล้อง Sony 50MP หมุนได้ 180° ใช้ได้ทั้งหน้าและหลัง ✅ ระบบการเชื่อมต่อและอินเทอร์เน็ต ➡️ ใช้ระบบ vSIM แบบคู่: NovaLink (ฟรี AI) และ vSIM แบบเสียเงิน ➡️ ครอบคลุมกว่า 140 ประเทศสำหรับการใช้งานเต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ nano SIM สำหรับ 4G+ LTE ทั่วโลก ➡️ เลือกใช้ 4G+ แทน 5G เพื่อความเสถียรและลดความร้อน ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ AI ➡️ ใช้ Android 15 และ iKKO AI OS สลับได้ผ่านปุ่มจริง ➡️ รองรับ Google Mobile Services และอัปเดต Android 3 รุ่น + แพตช์ 5 ปี ➡️ ฟีเจอร์ AI: แปลภาษา, สรุปเนื้อหา, บันทึกเสียงเป็นข้อความ, จดโน้ตอัตโนมัติ ➡️ ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว ✅ อุปกรณ์เสริมและการใช้งาน ➡️ เคสคีย์บอร์ด QWERTY พร้อมแบตเตอรี่เสริม 500mAh ➡️ DAC Cirrus Logic CS43198 และช่องหูฟัง 3.5 มม. สำหรับเสียงคุณภาพสูง ➡️ เหมาะกับนักเดินทาง นักเรียน และผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัว ⛔ ยังไม่มีข้อมูลสเปก CPU และ RAM อย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานอินเทอร์เน็ตฟรีจำกัดเฉพาะฟีเจอร์ AI เท่านั้น ไม่รวมการท่องเว็บหรือดูวิดีโอ ⛔ เคสคีย์บอร์ดเพิ่มขนาดและน้ำหนักของเครื่อง ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าคุณภาพการผลิตจริงจะตรงกับที่โฆษณาหรือไม่ ⛔ การใช้งานในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดด้านเครือข่ายหรือกฎหมาย https://www.techradar.com/pro/crowdfunded-ai-smartphone-with-free-global-internet-detachable-keyboard-and-square-screen-gets-over-usd1-million-pledge-and-its-strangely-mesmerizing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม OCaml ถึงกลายเป็นภาษาหลักของนักพัฒนาไฟแรงคนหนึ่ง — และอาจเป็นของคุณด้วย

    ผู้เขียนบทความนี้เริ่มใช้ OCaml ตั้งแต่ปี 2012 และหลงรักภาษานี้จนกลายเป็น “OCaml evangelist” ที่พูดถึงมันในงานสัมมนาอย่างสม่ำเสมอ แม้ OCaml จะไม่ใช่ภาษาหลักในอุตสาหกรรม แต่บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Microsoft, Docker, Bloomberg และ Jane Street กลับใช้มันจริงจังในระบบโปรดักชัน

    OCaml เป็นภาษาที่มีรากฐานจากงานวิจัย แต่ถูกพัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรม โดยมีจุดเด่นคือระบบ type ที่ปลอดภัยและทรงพลัง, รองรับหลาย paradigm ทั้ง functional, imperative, modular และ object-oriented, มีระบบ module ที่ลึกและยืดหยุ่น, และล่าสุดยังรองรับ multi-core และ user-defined effects

    นอกจากภาษาจะดีแล้ว Ecosystem ก็แข็งแรงขึ้นมากในช่วงหลัง มีเครื่องมืออย่าง OPAM (package manager), Dune (build system), Merlin และ LSP (editor tooling), และ Odoc (documentation generator) ที่ช่วยให้การพัฒนาใน OCaml เป็นเรื่องง่ายและสนุก

    แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น syntax ที่ไม่คุ้นเคย, ขาด ad-hoc polymorphism, และ module language ที่ซับซ้อน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าคุณค่าของ OCaml อยู่ที่ความสามารถในการสื่อสารแนวคิดการออกแบบซอฟต์แวร์ได้อย่างชัดเจน และเป็นภาษาที่ช่วยให้เข้าใจแนวคิดระดับสูงได้ลึกซึ้ง

    ผู้เขียนใช้ OCaml เป็นภาษาหลักตั้งแต่ปี 2012
    ใช้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานอาชีพ

    OCaml ถูกใช้งานจริงโดยบริษัทใหญ่หลายแห่ง
    เช่น Meta, Microsoft, Docker, Bloomberg, Jane Street

    OCaml รองรับหลาย paradigm ในการเขียนโปรแกรม
    ทั้ง functional, imperative, modular, object-oriented และ multi-core

    มีระบบ type ที่ปลอดภัยและ expressive มาก
    ช่วยลด bug และออกแบบโค้ดได้ชัดเจน

    ระบบ module ของ OCaml มีความลึกและยืดหยุ่นสูง
    รองรับ encapsulation, functor, และ polymorphism ระดับสูง

    รองรับ user-defined effects ตั้งแต่เวอร์ชัน 5.0
    ช่วยให้จัดการ control flow และ dependency injection ได้ง่าย

    Ecosystem มีเครื่องมือครบครัน
    เช่น OPAM, Dune, Merlin, LSP, Odoc และ library จำนวนมาก

    ชุมชน OCaml มีความเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย
    มีผู้เชี่ยวชาญคอยตอบคำถามและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง

    OCaml มีจุดเด่นด้าน algebraic data types และ pattern matching
    ทำให้เหมาะกับงานวิเคราะห์โครงสร้างภาษาและ AST

    OCaml ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ภาษา เช่น CIL, Frama-C และ FFTW
    เพราะมีเครื่องมือ lexing/parsing ที่ใช้งานง่ายและเร็ว

    OCaml มี compiler ที่เร็วมาก
    ช่วยให้การพัฒนาและ build โค้ดเป็นไปอย่างรวดเร็ว

    OCaml ถูกใช้ในวงการการเงิน เช่น Jane Street
    เพราะมีความปลอดภัยสูงและประสิทธิภาพดี

    https://xvw.lol/en/articles/why-ocaml.html
    🧠💻 ทำไม OCaml ถึงกลายเป็นภาษาหลักของนักพัฒนาไฟแรงคนหนึ่ง — และอาจเป็นของคุณด้วย ผู้เขียนบทความนี้เริ่มใช้ OCaml ตั้งแต่ปี 2012 และหลงรักภาษานี้จนกลายเป็น “OCaml evangelist” ที่พูดถึงมันในงานสัมมนาอย่างสม่ำเสมอ แม้ OCaml จะไม่ใช่ภาษาหลักในอุตสาหกรรม แต่บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Microsoft, Docker, Bloomberg และ Jane Street กลับใช้มันจริงจังในระบบโปรดักชัน OCaml เป็นภาษาที่มีรากฐานจากงานวิจัย แต่ถูกพัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรม โดยมีจุดเด่นคือระบบ type ที่ปลอดภัยและทรงพลัง, รองรับหลาย paradigm ทั้ง functional, imperative, modular และ object-oriented, มีระบบ module ที่ลึกและยืดหยุ่น, และล่าสุดยังรองรับ multi-core และ user-defined effects นอกจากภาษาจะดีแล้ว Ecosystem ก็แข็งแรงขึ้นมากในช่วงหลัง มีเครื่องมืออย่าง OPAM (package manager), Dune (build system), Merlin และ LSP (editor tooling), และ Odoc (documentation generator) ที่ช่วยให้การพัฒนาใน OCaml เป็นเรื่องง่ายและสนุก แม้จะมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น syntax ที่ไม่คุ้นเคย, ขาด ad-hoc polymorphism, และ module language ที่ซับซ้อน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าคุณค่าของ OCaml อยู่ที่ความสามารถในการสื่อสารแนวคิดการออกแบบซอฟต์แวร์ได้อย่างชัดเจน และเป็นภาษาที่ช่วยให้เข้าใจแนวคิดระดับสูงได้ลึกซึ้ง ✅ ผู้เขียนใช้ OCaml เป็นภาษาหลักตั้งแต่ปี 2012 ➡️ ใช้ทั้งในโปรเจกต์ส่วนตัวและงานอาชีพ ✅ OCaml ถูกใช้งานจริงโดยบริษัทใหญ่หลายแห่ง ➡️ เช่น Meta, Microsoft, Docker, Bloomberg, Jane Street ✅ OCaml รองรับหลาย paradigm ในการเขียนโปรแกรม ➡️ ทั้ง functional, imperative, modular, object-oriented และ multi-core ✅ มีระบบ type ที่ปลอดภัยและ expressive มาก ➡️ ช่วยลด bug และออกแบบโค้ดได้ชัดเจน ✅ ระบบ module ของ OCaml มีความลึกและยืดหยุ่นสูง ➡️ รองรับ encapsulation, functor, และ polymorphism ระดับสูง ✅ รองรับ user-defined effects ตั้งแต่เวอร์ชัน 5.0 ➡️ ช่วยให้จัดการ control flow และ dependency injection ได้ง่าย ✅ Ecosystem มีเครื่องมือครบครัน ➡️ เช่น OPAM, Dune, Merlin, LSP, Odoc และ library จำนวนมาก ✅ ชุมชน OCaml มีความเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ➡️ มีผู้เชี่ยวชาญคอยตอบคำถามและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง ✅ OCaml มีจุดเด่นด้าน algebraic data types และ pattern matching ➡️ ทำให้เหมาะกับงานวิเคราะห์โครงสร้างภาษาและ AST ✅ OCaml ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ภาษา เช่น CIL, Frama-C และ FFTW ➡️ เพราะมีเครื่องมือ lexing/parsing ที่ใช้งานง่ายและเร็ว ✅ OCaml มี compiler ที่เร็วมาก ➡️ ช่วยให้การพัฒนาและ build โค้ดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ✅ OCaml ถูกใช้ในวงการการเงิน เช่น Jane Street ➡️ เพราะมีความปลอดภัยสูงและประสิทธิภาพดี https://xvw.lol/en/articles/why-ocaml.html
    XVW.LOL
    Why I chose OCaml as my primary language
    A detailed explanation of why I chose OCaml as the ‘default’ programming language for every project.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง

    ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้

    Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น:
    - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key
    - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม

    นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด

    แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก

    Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย

    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต
    รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android

    รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น

    สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้

    MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง

    Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที
    ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale

    https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    🧠🔐 เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้ Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น: - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก ✅ Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย ✅ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต ➡️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android ✅ รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password ➡️ ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น ✅ สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet ➡️ ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้ ✅ MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง ✅ Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: OpenFreeMap ถูกถล่มด้วย 100,000 คำขอต่อวินาทีจากเว็บวาดภาพ Wplace.live

    Zsolt Ero ผู้สร้าง OpenFreeMap ซึ่งเป็นบริการแผนที่โอเพ่นซอร์สที่ให้ใช้งานฟรีโดยไม่จำกัดจำนวนคำขอ กำลังจะโพสต์ฉลองความสำเร็จในรอบ 10 เดือน แต่กลับต้องรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด—มีคำขอเข้าเซิร์ฟเวอร์มากถึง 3 พันล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง หรือเฉลี่ย 100,000 คำขอต่อวินาที!

    สาเหตุเกิดจากเว็บไซต์ใหม่ชื่อ Wplace.live ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวาดภาพร่วมกันแบบ pixel art โดยจำกัดให้ผู้ใช้วางได้ 1 พิกเซลทุก 30 วินาที แต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้จำนวนมากใช้สคริปต์อัตโนมัติ เช่น Puppeteer หรือ Chromium เพื่อเปิดเบราว์เซอร์ใหม่ คลิกพิกเซล แล้วปิดทันที ทำให้เกิดคำขอจำนวนมหาศาลไปยัง OpenFreeMap ซึ่งใช้เป็นแหล่งข้อมูลแผนที่พื้นหลัง

    แม้ระบบจะยังทำงานได้ดีถึง 96% แต่ก็มีบางไฟล์แผนที่โหลดไม่ขึ้นเพราะ nginx เจอข้อจำกัด “Too many open files” และผู้สร้างต้องสร้างกฎพิเศษใน Cloudflare เพื่อบล็อกคำขอจาก Wplace.live เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโครงการ

    OpenFreeMap ถูกถล่มด้วยคำขอ 3 พันล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง
    เฉลี่ย 100,000 คำขอต่อวินาทีจากไฟล์ขนาดเล็กเพียง 70KB

    สาเหตุเกิดจากเว็บไซต์ Wplace.live ที่ใช้ OpenFreeMap เป็นพื้นหลัง
    เป็นเว็บวาดภาพร่วมกันแบบ pixel art ที่จำกัด 1 พิกเซลต่อ 30 วินาที

    ผู้ใช้ Wplace.live ใช้สคริปต์อัตโนมัติเพื่อวางพิกเซลอย่างต่อเนื่อง
    เช่น Puppeteer/Chromium พร้อมการหมุน IP address

    nginx พบข้อผิดพลาด “Too many open files” จากการโหลด tile map
    ทำให้บางไฟล์ไม่สามารถเปิดได้ทันเวลา

    Cloudflare ช่วยรับภาระ bandwidth และ cache ไฟล์ไว้บางส่วน
    ทำให้ระบบยังคงให้บริการได้ถึง 96% เป็น 200 OK

    ผู้สร้างต้องสร้างกฎบล็อกคำขอจาก Wplace.live เป็นครั้งแรก
    เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้รายเดียวทำให้ระบบล่ม

    OpenFreeMap เป็นบริการแผนที่โอเพ่นซอร์สที่ใช้ข้อมูลจาก OpenStreetMap
    ไม่มีการจำกัดคำขอ ไม่มี API key และไม่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้

    Wplace.live ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Reddit และโซเชียลมีเดีย
    มีภาพวาดจากผู้ใช้ทั่วโลก เช่น เสือดาวกัดจระเข้ในบราซิล

    โครงการ OpenFreeMap ได้รับการสนับสนุนจาก Cloudflare และ Hetzner
    เพื่อให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนา

    Neal.fun เคยติดต่อผู้สร้างก่อนเปิดตัว Internet Roadtrip เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
    และยังสนับสนุนค่า bandwidth ให้กับ OpenFreeMap

    https://blog.hyperknot.com/p/openfreemap-survived-100000-requests
    🗺️🔥 เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: OpenFreeMap ถูกถล่มด้วย 100,000 คำขอต่อวินาทีจากเว็บวาดภาพ Wplace.live Zsolt Ero ผู้สร้าง OpenFreeMap ซึ่งเป็นบริการแผนที่โอเพ่นซอร์สที่ให้ใช้งานฟรีโดยไม่จำกัดจำนวนคำขอ กำลังจะโพสต์ฉลองความสำเร็จในรอบ 10 เดือน แต่กลับต้องรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด—มีคำขอเข้าเซิร์ฟเวอร์มากถึง 3 พันล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง หรือเฉลี่ย 100,000 คำขอต่อวินาที! สาเหตุเกิดจากเว็บไซต์ใหม่ชื่อ Wplace.live ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวาดภาพร่วมกันแบบ pixel art โดยจำกัดให้ผู้ใช้วางได้ 1 พิกเซลทุก 30 วินาที แต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้จำนวนมากใช้สคริปต์อัตโนมัติ เช่น Puppeteer หรือ Chromium เพื่อเปิดเบราว์เซอร์ใหม่ คลิกพิกเซล แล้วปิดทันที ทำให้เกิดคำขอจำนวนมหาศาลไปยัง OpenFreeMap ซึ่งใช้เป็นแหล่งข้อมูลแผนที่พื้นหลัง แม้ระบบจะยังทำงานได้ดีถึง 96% แต่ก็มีบางไฟล์แผนที่โหลดไม่ขึ้นเพราะ nginx เจอข้อจำกัด “Too many open files” และผู้สร้างต้องสร้างกฎพิเศษใน Cloudflare เพื่อบล็อกคำขอจาก Wplace.live เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโครงการ ✅ OpenFreeMap ถูกถล่มด้วยคำขอ 3 พันล้านครั้งใน 24 ชั่วโมง ➡️ เฉลี่ย 100,000 คำขอต่อวินาทีจากไฟล์ขนาดเล็กเพียง 70KB ✅ สาเหตุเกิดจากเว็บไซต์ Wplace.live ที่ใช้ OpenFreeMap เป็นพื้นหลัง ➡️ เป็นเว็บวาดภาพร่วมกันแบบ pixel art ที่จำกัด 1 พิกเซลต่อ 30 วินาที ✅ ผู้ใช้ Wplace.live ใช้สคริปต์อัตโนมัติเพื่อวางพิกเซลอย่างต่อเนื่อง ➡️ เช่น Puppeteer/Chromium พร้อมการหมุน IP address ✅ nginx พบข้อผิดพลาด “Too many open files” จากการโหลด tile map ➡️ ทำให้บางไฟล์ไม่สามารถเปิดได้ทันเวลา ✅ Cloudflare ช่วยรับภาระ bandwidth และ cache ไฟล์ไว้บางส่วน ➡️ ทำให้ระบบยังคงให้บริการได้ถึง 96% เป็น 200 OK ✅ ผู้สร้างต้องสร้างกฎบล็อกคำขอจาก Wplace.live เป็นครั้งแรก ➡️ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้รายเดียวทำให้ระบบล่ม ✅ OpenFreeMap เป็นบริการแผนที่โอเพ่นซอร์สที่ใช้ข้อมูลจาก OpenStreetMap ➡️ ไม่มีการจำกัดคำขอ ไม่มี API key และไม่มีการเก็บข้อมูลผู้ใช้ ✅ Wplace.live ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Reddit และโซเชียลมีเดีย ➡️ มีภาพวาดจากผู้ใช้ทั่วโลก เช่น เสือดาวกัดจระเข้ในบราซิล ✅ โครงการ OpenFreeMap ได้รับการสนับสนุนจาก Cloudflare และ Hetzner ➡️ เพื่อให้บริการฟรีแก่ผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนา ✅ Neal.fun เคยติดต่อผู้สร้างก่อนเปิดตัว Internet Roadtrip เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ➡️ และยังสนับสนุนค่า bandwidth ให้กับ OpenFreeMap https://blog.hyperknot.com/p/openfreemap-survived-100000-requests
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลยุทธ์จีนแก้เกมกัมพูชา ให้อเมริกาเข้าประเทศ

    https://youtu.be/FpurDJRpqLQ?si=gI_kKwgOzoewFUNd
    กลยุทธ์จีนแก้เกมกัมพูชา ให้อเมริกาเข้าประเทศ https://youtu.be/FpurDJRpqLQ?si=gI_kKwgOzoewFUNd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก PHP: Pipe Operator (|>) ตัวจิ๋วพลังแจ๋วในเวอร์ชัน 8.5

    PHP 8.5 ที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่นักพัฒนาเรียกร้องกันมานาน: “pipe operator” หรือ |> ซึ่งดูเผิน ๆ อาจเหมือนแค่ลูกเล่นเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเปลี่ยนวิธีเขียนโค้ดให้สะอาดและเข้าใจง่ายขึ้นอย่างมาก

    หลักการของ pipe operator คือการส่งค่าจากด้านซ้ายไปยังฟังก์ชันด้านขวาโดยตรง เช่น:
    $result = "Hello World" |> strlen(...);

    ซึ่งเทียบเท่ากับ:
    $result = strlen("Hello World");

    แต่ความเจ๋งจริง ๆ คือเมื่อใช้แบบ “chain” หรือ “pipeline” เช่น:
    $result = $arr
    |> fn($x) => array_column($x, 'tags')
    |> fn($x) => array_merge(...$x)
    |> array_unique(...)
    |> array_values(...);

    แทนที่จะต้องเขียนแบบ nested function ที่อ่านยากและดูรกสายตา หรือใช้ตัวแปรชั่วคราวหลายตัวให้เปลืองสมอง

    ฟีเจอร์นี้มีแรงบันดาลใจจากภาษา functional เช่น F#, OCaml และ Elixir รวมถึง Hack/HHVM ที่ Facebook เคยพัฒนาไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีการเสนอ RFC มาตั้งแต่ปี 2016 แต่เพิ่งจะได้เห็นผลจริงในปี 2025

    นอกจากนี้ pipe operator ยังรองรับ callables หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันธรรมดา, lambda, arrow function, method ของ class หรือแม้แต่คลาสที่มี __invoke() ก็ใช้ได้หมด ขอแค่รับ argument เดียว

    https://thephp.foundation/blog/2025/07/11/php-85-adds-pipe-operator/
    🔧🧵 เรื่องเล่าจากโลก PHP: Pipe Operator (|>) ตัวจิ๋วพลังแจ๋วในเวอร์ชัน 8.5 PHP 8.5 ที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่นักพัฒนาเรียกร้องกันมานาน: “pipe operator” หรือ |> ซึ่งดูเผิน ๆ อาจเหมือนแค่ลูกเล่นเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันเปลี่ยนวิธีเขียนโค้ดให้สะอาดและเข้าใจง่ายขึ้นอย่างมาก หลักการของ pipe operator คือการส่งค่าจากด้านซ้ายไปยังฟังก์ชันด้านขวาโดยตรง เช่น: $result = "Hello World" |> strlen(...); ซึ่งเทียบเท่ากับ: $result = strlen("Hello World"); แต่ความเจ๋งจริง ๆ คือเมื่อใช้แบบ “chain” หรือ “pipeline” เช่น: $result = $arr |> fn($x) => array_column($x, 'tags') |> fn($x) => array_merge(...$x) |> array_unique(...) |> array_values(...); แทนที่จะต้องเขียนแบบ nested function ที่อ่านยากและดูรกสายตา หรือใช้ตัวแปรชั่วคราวหลายตัวให้เปลืองสมอง ฟีเจอร์นี้มีแรงบันดาลใจจากภาษา functional เช่น F#, OCaml และ Elixir รวมถึง Hack/HHVM ที่ Facebook เคยพัฒนาไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีการเสนอ RFC มาตั้งแต่ปี 2016 แต่เพิ่งจะได้เห็นผลจริงในปี 2025 นอกจากนี้ pipe operator ยังรองรับ callables หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันธรรมดา, lambda, arrow function, method ของ class หรือแม้แต่คลาสที่มี __invoke() ก็ใช้ได้หมด ขอแค่รับ argument เดียว https://thephp.foundation/blog/2025/07/11/php-85-adds-pipe-operator/
    THEPHP.FOUNDATION
    PHP 8.5 Adds Pipe Operator: What it means
    The PHP Foundation — Supporting, Advancing, and Developing the PHP Language
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์

    รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น

    เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน

    รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น

    แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์

    CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน
    ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล

    สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล
    บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้

    มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ
    ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี

    รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ
    สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง
    เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก

    ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง
    มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน

    ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน
    ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้

    บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ
    เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์

    การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์

    การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น
    โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์ รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์ ✅ CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน ➡️ ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล ✅ สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล ➡️ บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้ ✅ มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ ➡️ ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี ✅ รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ ➡️ สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง ➡️ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก ✅ ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง ➡️ มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน ✅ ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้ ‼️ บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์ ‼️ การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ⛔ ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์ ‼️ การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น ⛔ โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    CrowdStrike report details scale of North Korea's use of AI in remote work schemes — 320 known cases in the last year, funding nation's weapons programs
    The Democratic People's Republic of Korea is using generative AI tools to land agents jobs at tech companies to fund its weapons programs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: NotebookLM จาก Google—AI คู่คิดสำหรับการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและทรงพลัง

    Google ประกาศขยายการเข้าถึง NotebookLM ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI สำหรับการเรียนรู้ ให้กับผู้ใช้ทุกวัยในระบบ Google Workspace for Education โดยไม่จำกัดอายุอีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป NotebookLM จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติในทุกสถาบันที่ใช้ Google Workspace for Education ทั้งในระดับ Fundamentals, Standard และ Plus

    NotebookLM ถูกออกแบบให้เป็น “AI-powered thinking partner” ที่ช่วยสรุปบทเรียน สร้างแผนการสอน คำถามแบบฝึกหัด และบทสนทนาเพื่อการเรียนรู้ โดยสามารถอัปโหลดไฟล์จาก Google Docs, Slides หรือ Sheets เพื่อให้ AI สร้างเนื้อหาประกอบการเรียนได้ทันที

    ที่สำคัญ Google ยืนยันว่า NotebookLM ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น FERPA และ COPPA โดยข้อมูลผู้ใช้จะไม่ถูกมนุษย์ตรวจสอบหรือใช้ในการฝึกโมเดล AI และผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมการเข้าถึงได้ผ่าน Admin Console

    Google ขยายการเข้าถึง NotebookLM ให้กับผู้ใช้ทุกวัยใน Google Workspace for Education
    ไม่จำกัดอายุอีกต่อไป ทั้งนักเรียนระดับประถมถึงมหาวิทยาลัย
    เริ่มเปิดใช้งานอัตโนมัติในวันที่ 4 สิงหาคม 2025

    NotebookLM เป็น Core Service ที่เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติในทุกระดับของ Workspace for Education
    รวมถึง Fundamentals, Standard และ Plus
    ผู้ดูแลระบบสามารถเปิด/ปิดการใช้งานได้ตามหน่วยงานย่อย

    NotebookLM ช่วยสร้างสรุปบทเรียน, แผนการสอน, แบบฝึกหัด และบทสนทนาเพื่อการเรียนรู้
    รองรับการอัปโหลดไฟล์จาก Google Docs, Slides, Sheets
    ใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาแบบเรียลไทม์

    รองรับมากกว่า 35 ภาษา และใช้งานได้ในกว่า 180 ประเทศที่เปิดใช้ Gemini API
    เหมาะกับการเรียนรู้ในบริบทนานาชาติ
    ช่วยให้ครูและนักเรียนทั่วโลกเข้าถึงเครื่องมือเดียวกัน

    ข้อมูลผู้ใช้ไม่ถูกใช้ในการฝึกโมเดล AI และไม่ถูกมนุษย์ตรวจสอบ
    ปฏิบัติตามมาตรฐาน FERPA และ COPPA
    เสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยข้อมูลในสถานศึกษา

    ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมการเข้าถึงผ่าน Admin Console ได้อย่างละเอียด
    ตั้งค่าการเข้าถึงระดับ notebook หรือหน่วยงานย่อย
    มีช่วงเวลา 45 วันให้เลือก opt-out ก่อนเปิดใช้งานอัตโนมัติ

    https://www.neowin.net/news/google-expands-notebooklm-access-to-all-workspace-for-education-users/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: NotebookLM จาก Google—AI คู่คิดสำหรับการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและทรงพลัง Google ประกาศขยายการเข้าถึง NotebookLM ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI สำหรับการเรียนรู้ ให้กับผู้ใช้ทุกวัยในระบบ Google Workspace for Education โดยไม่จำกัดอายุอีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป NotebookLM จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติในทุกสถาบันที่ใช้ Google Workspace for Education ทั้งในระดับ Fundamentals, Standard และ Plus NotebookLM ถูกออกแบบให้เป็น “AI-powered thinking partner” ที่ช่วยสรุปบทเรียน สร้างแผนการสอน คำถามแบบฝึกหัด และบทสนทนาเพื่อการเรียนรู้ โดยสามารถอัปโหลดไฟล์จาก Google Docs, Slides หรือ Sheets เพื่อให้ AI สร้างเนื้อหาประกอบการเรียนได้ทันที ที่สำคัญ Google ยืนยันว่า NotebookLM ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น FERPA และ COPPA โดยข้อมูลผู้ใช้จะไม่ถูกมนุษย์ตรวจสอบหรือใช้ในการฝึกโมเดล AI และผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมการเข้าถึงได้ผ่าน Admin Console ✅ Google ขยายการเข้าถึง NotebookLM ให้กับผู้ใช้ทุกวัยใน Google Workspace for Education ➡️ ไม่จำกัดอายุอีกต่อไป ทั้งนักเรียนระดับประถมถึงมหาวิทยาลัย ➡️ เริ่มเปิดใช้งานอัตโนมัติในวันที่ 4 สิงหาคม 2025 ✅ NotebookLM เป็น Core Service ที่เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติในทุกระดับของ Workspace for Education ➡️ รวมถึง Fundamentals, Standard และ Plus ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถเปิด/ปิดการใช้งานได้ตามหน่วยงานย่อย ✅ NotebookLM ช่วยสร้างสรุปบทเรียน, แผนการสอน, แบบฝึกหัด และบทสนทนาเพื่อการเรียนรู้ ➡️ รองรับการอัปโหลดไฟล์จาก Google Docs, Slides, Sheets ➡️ ใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาแบบเรียลไทม์ ✅ รองรับมากกว่า 35 ภาษา และใช้งานได้ในกว่า 180 ประเทศที่เปิดใช้ Gemini API ➡️ เหมาะกับการเรียนรู้ในบริบทนานาชาติ ➡️ ช่วยให้ครูและนักเรียนทั่วโลกเข้าถึงเครื่องมือเดียวกัน ✅ ข้อมูลผู้ใช้ไม่ถูกใช้ในการฝึกโมเดล AI และไม่ถูกมนุษย์ตรวจสอบ ➡️ ปฏิบัติตามมาตรฐาน FERPA และ COPPA ➡️ เสริมความมั่นใจด้านความปลอดภัยข้อมูลในสถานศึกษา ✅ ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมการเข้าถึงผ่าน Admin Console ได้อย่างละเอียด ➡️ ตั้งค่าการเข้าถึงระดับ notebook หรือหน่วยงานย่อย ➡️ มีช่วงเวลา 45 วันให้เลือก opt-out ก่อนเปิดใช้งานอัตโนมัติ https://www.neowin.net/news/google-expands-notebooklm-access-to-all-workspace-for-education-users/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google expands NotebookLM access to all Workspace for Education users
    Users of Google Workspace for Education, regardless of age, are now getting expanded access to NotebookLM as part of a new update.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Neuralink GB-PRIME” เมื่อความคิดกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด

    Neuralink ประกาศเปิดตัวการทดลองทางคลินิกในสหราชอาณาจักรชื่อว่า “GB-PRIME” โดยร่วมมือกับ University College London Hospitals (UCLH) และ Newcastle Hospitals เพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ที่สามารถแปลสัญญาณประสาทเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน

    ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอาการอัมพาตรุนแรงจากโรค ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง โดยชิปจะฝังเข้าไปในสมองผ่านหุ่นยนต์ R1 ที่สามารถวางเส้นใยอิเล็กโทรดบางกว่าผมมนุษย์กว่า 1,000 จุดในตำแหน่งที่แม่นยำ

    Neuralink ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร เช่น MHRA และ REC และเคยเริ่มทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2024 หลังจากผ่านการอนุมัติจาก FDA ซึ่งเคยปฏิเสธในปี 2022 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

    ล่าสุด Neuralink ระดมทุนได้ถึง $650 ล้านในรอบ Series E จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, ARK Invest และ Founders Fund เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น

    Neuralink เปิดตัวการทดลอง GB-PRIME ในสหราชอาณาจักรเพื่อทดสอบชิปสมอง N1
    ร่วมมือกับ UCLH และ Newcastle Hospitals
    ใช้หุ่นยนต์ R1 ฝังเส้นใยอิเล็กโทรดบางเฉียบในสมอง

    ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอัมพาตจาก ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง
    ต้องมีอายุเกิน 22 ปี และไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างได้
    สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Neuralink

    ชิป N1 สามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล
    เช่น การเลื่อนเมาส์, พิมพ์ข้อความ, เล่นเกม
    ใช้แบตเตอรี่แบบไร้สายและไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อภายนอก

    Neuralink เคยทดลองในสหรัฐอเมริกาและมีผู้ใช้จริงแล้ว 5 ราย
    ผู้ป่วยสามารถเล่นเกมหรือพิมพ์ข้อความด้วยความคิด
    มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาเส้นใยหลุด

    บริษัทได้รับทุน $650 ล้าน ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาอุปกรณ์ใหม่
    นักลงทุนหลัก ได้แก่ Sequoia, ARK Invest, Founders Fund
    มูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ $9 พันล้าน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/musk039s-neuralink-to-launch-a-clinical-study-in-great-britain
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Neuralink GB-PRIME” เมื่อความคิดกลายเป็นเมาส์และคีย์บอร์ด Neuralink ประกาศเปิดตัวการทดลองทางคลินิกในสหราชอาณาจักรชื่อว่า “GB-PRIME” โดยร่วมมือกับ University College London Hospitals (UCLH) และ Newcastle Hospitals เพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ที่สามารถแปลสัญญาณประสาทเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอาการอัมพาตรุนแรงจากโรค ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง โดยชิปจะฝังเข้าไปในสมองผ่านหุ่นยนต์ R1 ที่สามารถวางเส้นใยอิเล็กโทรดบางกว่าผมมนุษย์กว่า 1,000 จุดในตำแหน่งที่แม่นยำ Neuralink ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร เช่น MHRA และ REC และเคยเริ่มทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2024 หลังจากผ่านการอนุมัติจาก FDA ซึ่งเคยปฏิเสธในปี 2022 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ล่าสุด Neuralink ระดมทุนได้ถึง $650 ล้านในรอบ Series E จากนักลงทุนชั้นนำ เช่น Sequoia, ARK Invest และ Founders Fund เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ✅ Neuralink เปิดตัวการทดลอง GB-PRIME ในสหราชอาณาจักรเพื่อทดสอบชิปสมอง N1 ➡️ ร่วมมือกับ UCLH และ Newcastle Hospitals ➡️ ใช้หุ่นยนต์ R1 ฝังเส้นใยอิเล็กโทรดบางเฉียบในสมอง ✅ ผู้เข้าร่วมต้องเป็นผู้ที่มีอัมพาตจาก ALS หรือบาดเจ็บไขสันหลัง ➡️ ต้องมีอายุเกิน 22 ปี และไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างได้ ➡️ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ Neuralink ✅ ชิป N1 สามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัล ➡️ เช่น การเลื่อนเมาส์, พิมพ์ข้อความ, เล่นเกม ➡️ ใช้แบตเตอรี่แบบไร้สายและไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อภายนอก ✅ Neuralink เคยทดลองในสหรัฐอเมริกาและมีผู้ใช้จริงแล้ว 5 ราย ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นเกมหรือพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ➡️ มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาเส้นใยหลุด ✅ บริษัทได้รับทุน $650 ล้าน ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อขยายการทดลองและพัฒนาอุปกรณ์ใหม่ ➡️ นักลงทุนหลัก ได้แก่ Sequoia, ARK Invest, Founders Fund ➡️ มูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ $9 พันล้าน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/musk039s-neuralink-to-launch-a-clinical-study-in-great-britain
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's Neuralink to test brain chips in clinical study in Great Britain
    (Reuters) - Elon Musk's brain implant company Neuralink said on Thursday it will launch a clinical study in Great Britain to test how its chips can enable patients with severe paralysis to control digital and physical tools with their thoughts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย?

    หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง

    แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน

    ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”

    แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband
    อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน
    Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม

    ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก
    เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia
    ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน

    EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025
    มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย
    ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน

    Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU
    คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act
    ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ

    เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป
    ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต
    ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “EU ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจาก Big Tech” แล้วจะเอาเงินจากไหนมาลงทุนโครงข่าย? หลายปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในยุโรป เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica และ Telecom Italia เรียกร้องให้ EU บังคับให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ (Google, Meta, Netflix, Microsoft, Amazon ฯลฯ) จ่าย “ค่าธรรมเนียมเครือข่าย” เพราะพวกเขาใช้แบนด์วิดธ์มหาศาลจากโครงข่ายที่ผู้ให้บริการต้องลงทุนเอง แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “fair share funding” แต่ Big Tech โต้กลับว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และชี้ว่าพวกเขาก็ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองเช่นกัน ล่าสุด EU ออกมายืนยันว่า “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ โดยอ้างอิงจาก White Paper ที่ตีพิมพ์เมื่อกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งสรุปว่า “การเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน” แทนที่จะเก็บเงินจาก Big Tech EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในเดือนพฤศจิกายน 2025 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย รองรับ 5G, 6G, cloud และ edge computing โดยเน้นการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ EU ปฏิเสธแนวคิดเก็บค่าธรรมเนียมเครือข่ายจาก Big Tech เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน 5G และ broadband ➡️ อ้างอิงจาก White Paper ปี 2024 ที่สรุปว่าแนวคิดนี้ไม่ยั่งยืน ➡️ Big Tech มองว่าเป็น “ภาษีอินเทอร์เน็ต” และไม่เป็นธรรม ✅ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในยุโรปเรียกร้องให้ Big Tech จ่าย “fair share” เพราะใช้แบนด์วิดธ์จำนวนมาก ➡️ เช่น Deutsche Telekom, Orange, Telefonica, Telecom Italia ➡️ ชี้ว่า Big Tech สร้างภาระให้กับโครงข่ายโดยไม่ช่วยลงทุน ✅ EU เตรียมออกกฎหมายใหม่ชื่อ Digital Networks Act ในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ มุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน ✅ Digital Networks Act จะเป็น “regulation” ที่มีผลบังคับใช้โดยตรงในทุกประเทศสมาชิก EU ➡️ คล้ายกับ GDPR, Digital Services Act และ AI Act ➡️ ไม่ใช่ “directive” ที่ต้องรอการนำไปใช้ในแต่ละประเทศ ✅ เป้าหมายของ Digital Networks Act คือการสร้างตลาดเดียวด้านการเชื่อมต่อ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยุโรป ➡️ ปรับปรุงการจัดสรรคลื่นความถี่, ลดความซับซ้อนของการอนุญาต ➡️ ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายแบบ cloud และ edge computing https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/31/network-fee-on-big-tech-not-a-viable-solution-to-boost-eu-digital-rollout-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Network fee on Big Tech not a viable solution to boost EU digital rollout, EU says
    BRUSSELS (Reuters) -The European Commission does not think that imposing a network fee on Big Tech companies is a viable solution to the debate over who should fund the rollout of 5G and broadband, a spokesman for the EU executive said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fund Flow หนุนSET 1250 (30/07/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Fund Flow หนุนSET 1250 (30/07/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่:

    1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ

    2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง

    ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด

    จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ
    Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล
    Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม

    พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun
    มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์
    ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax
    เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม
    เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ

    เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้
    ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR
    ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย

    Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว
    ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว
    มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    🧠 เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่: 1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ 2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด ✅ จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ ➡️ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล ➡️ Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม ✅ พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun ➡️ มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์ ➡️ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax ➡️ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม ➡️ เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ ✅ เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้ ➡️ ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR ➡️ ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย ✅ Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว ➡️ ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว ➡️ มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV

    หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา

    Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้

    ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ

    Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025
    เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ
    เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส

    ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก
    ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย
    ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน

    Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร
    ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี
    มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ

    WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน
    เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน”

    Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP
    ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง
    เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง

    ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ
    ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท
    แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ

    การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ
    โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์
    ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว

    การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา
    ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง
    หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที

    ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง
    ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน
    ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล

    https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    🧬 เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้ ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ ✅ Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ➡️ เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส ✅ ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน ✅ Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี ➡️ มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ ✅ WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน ➡️ เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน” ✅ Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP ➡️ ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง ➡️ เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง ‼️ ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ ⛔ ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท ⛔ แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ ‼️ การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ ⛔ โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์ ⛔ ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว ‼️ การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ⛔ ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง ⛔ หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที ‼️ ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง ⛔ ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน ⛔ ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    NEWATLAS.COM
    The first 100% effective HIV prevention drug is approved and going global
    An epidemic that's been sustained for 44 years might finally be quelled, with the milestone approval of the first HIV drug that offers 100% protection with its twice-yearly injections. It's a landmark achievement that stands to save millions of lives across the globe. The makers are also providing…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sat. Jul. 26, 2025

    Very interesting. From unknown source.
    READ CAREFULLY!!

    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty.

    Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.

    Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest.

    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.

    This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty.

    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:

    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.

    It’s not just strange. It’s strategic.

    No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan.

    ----------------------------------------------

    น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม
    โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!!

    สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป

    ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง

    ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย

    เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์

    แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ:

    ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว

    นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน

    มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์

    ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว

    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    Sat. Jul. 26, 2025 Very interesting. From unknown source. READ CAREFULLY!! What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty. Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. It’s not just strange. It’s strategic. No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan. ---------------------------------------------- น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!! สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์ แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ: ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์ ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 425 มุมมอง 0 รีวิว
  • การฉีด mRNA กระตุ้น Prion เป็น โรคอะไมลอยด์เป็นเรื่องจริง
    เนื่องจากปัจจุบันนักทำศพส่วนใหญ่ทั่วโลกรายงานว่าพบลิ่มเลือดสีขาวในศพ 17–27%
    หน่วยงานสาธารณสุขจึงต้องทำงานและดำเนินการอย่างรวดเร็ว
    https://www.thefocalpoints.com/p/breaking-tennessee-funeral-directors?fbclid=IwY2xjawLt5sdleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFNcjAwcjBYUkhQTjZHdTNOAR73Q79Nhb7CPQ0TtldF-zZeDUrF8floj9DN5PzLufPsphm5Ro_M91DaVUlBDQ_aem_sBfzSMJjF8EOVtNx62kcQA

    https://www.facebook.com/share/v/1LWNa1RHnx/
    🚨การฉีด mRNA กระตุ้น Prion เป็น โรคอะไมลอยด์เป็นเรื่องจริง ‼️เนื่องจากปัจจุบันนักทำศพส่วนใหญ่ทั่วโลกรายงานว่าพบลิ่มเลือดสีขาวในศพ 17–27% 🆘หน่วยงานสาธารณสุขจึงต้องทำงานและดำเนินการอย่างรวดเร็ว https://www.thefocalpoints.com/p/breaking-tennessee-funeral-directors?fbclid=IwY2xjawLt5sdleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFNcjAwcjBYUkhQTjZHdTNOAR73Q79Nhb7CPQ0TtldF-zZeDUrF8floj9DN5PzLufPsphm5Ro_M91DaVUlBDQ_aem_sBfzSMJjF8EOVtNx62kcQA https://www.facebook.com/share/v/1LWNa1RHnx/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts