• สังขารเป็นทุกข์
    เพราะคงสภาพเดิมไม่ได้

    คำว่า “เป็นทุกข์” นั้น ตรงกับคำบาลีว่า ทุกขัง, ทุกขตา

    หรือ ทุกขลักษณะ ท่านจำแนกไว้ ๓ อย่าง คือ 1 ทุกขทุกข์ตา หรือ ทุกขทุกข์ ได้แก่ ทุกขเวทนาทางกาย และทางใจ เช่น ความเจ็บปวด ความไม่สบาย ความเมื่อยขบ ความโศก เศร้า เป็นต้น


    ๒. วิปริณามทุกข์ตา หรือ วิปริณามทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิด จากความผันแปร คือ ความสุขเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เมื่อแปรเปลี่ยนเป็น อย่างอื่น เช่น มีลาภแล้วเสื่อมลาภ เป็นต้น


    04 สังขารทุกขตา หรือ สังขารทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ตามสภาพ ของสังขาร คือตัวสภาวะของสังขารทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ถูก บีบคั้นกดดันด้วยการเกิดขึ้นและแตกสลายไป ทำให้คงอยู่ในสภาพเดิมไว้ ไม่ได้ และทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้เข้าไปยึดสังขารทั้งปวงได้ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถคือเหตุผล ๔ ประการ คือ

    ๑. อภิณหสมบัติปีฟันโต เพราะความบีบคั้นอยู่ตลอดเวล คือถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้น ความเสื่อมโทรม และความแตกสลายไป

    อยู่ตลอดเวลา ๒. ทุกขมโต เพราะเป็นสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก คือไม่อาจค อยู่ในสภาพเดิมได้

    61. ทุกขวตถุโต เพราะเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์ หรือเป็นสิ่งที่ก ให้เกิดทุกข์ คือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ มีทุกขเวทนา (ความรู้สึก ทุกข์) เป็นต้น

    ๔. สุขปฏิกเขปโต เพราะแย้งต่อความสุข คือไม่ยอมให้ความ สุขตั้งอยู่ได้นาน

    อนึ่ง สังขารทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะประกอบด้วย ๑๐ อย่าง ดังนี้

    ทุกข์ สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่เกิดมีในมนุษย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความ ทุกคน มรณะ ความตาย กล่าวคือ ชีวิตของคนเราประกอบไปด้วย

    ๑) ชาติทุกข์ ทุกข์เพราะการเกิด คือ เมื่อเกิดจากครรภ์มารดาก็เป็นความลำบาก เจ็บปวดทรมาน

    ๒) ชราทุกข์ ทุกข์เพราะความแก่ คือ เมื่อเกิดมาแล้ว วัยหรืออายุ ก็ผ่านพ้นไปกลายเป็นคนแก่ไปเรื่อย ๆ

    ๓) มรณทุกข์ ทุกข์ เพราะกลัวต่อความตาย เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาก็เกิดความกลัว ไม่ อยากตาย

    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2023/02/24/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87/

    #สังขารเป็นทุกข์ #ธรรมะ #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #เว็บไซต์พระนิพพาน
    สังขารเป็นทุกข์ เพราะคงสภาพเดิมไม่ได้ คำว่า “เป็นทุกข์” นั้น ตรงกับคำบาลีว่า ทุกขัง, ทุกขตา หรือ ทุกขลักษณะ ท่านจำแนกไว้ ๓ อย่าง คือ 1 ทุกขทุกข์ตา หรือ ทุกขทุกข์ ได้แก่ ทุกขเวทนาทางกาย และทางใจ เช่น ความเจ็บปวด ความไม่สบาย ความเมื่อยขบ ความโศก เศร้า เป็นต้น ๒. วิปริณามทุกข์ตา หรือ วิปริณามทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิด จากความผันแปร คือ ความสุขเป็นเหตุให้เกิดทุกข์เมื่อแปรเปลี่ยนเป็น อย่างอื่น เช่น มีลาภแล้วเสื่อมลาภ เป็นต้น 04 สังขารทุกขตา หรือ สังขารทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ตามสภาพ ของสังขาร คือตัวสภาวะของสังขารทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ถูก บีบคั้นกดดันด้วยการเกิดขึ้นและแตกสลายไป ทำให้คงอยู่ในสภาพเดิมไว้ ไม่ได้ และทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้เข้าไปยึดสังขารทั้งปวงได้ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถคือเหตุผล ๔ ประการ คือ ๑. อภิณหสมบัติปีฟันโต เพราะความบีบคั้นอยู่ตลอดเวล คือถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้น ความเสื่อมโทรม และความแตกสลายไป อยู่ตลอดเวลา ๒. ทุกขมโต เพราะเป็นสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก คือไม่อาจค อยู่ในสภาพเดิมได้ 61. ทุกขวตถุโต เพราะเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์ หรือเป็นสิ่งที่ก ให้เกิดทุกข์ คือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ มีทุกขเวทนา (ความรู้สึก ทุกข์) เป็นต้น ๔. สุขปฏิกเขปโต เพราะแย้งต่อความสุข คือไม่ยอมให้ความ สุขตั้งอยู่ได้นาน อนึ่ง สังขารทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะประกอบด้วย ๑๐ อย่าง ดังนี้ ทุกข์ สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เป็นทุกข์ที่เกิดมีในมนุษย์ ไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน คือ ชาติ ความเกิด ชรา ความ ทุกคน มรณะ ความตาย กล่าวคือ ชีวิตของคนเราประกอบไปด้วย ๑) ชาติทุกข์ ทุกข์เพราะการเกิด คือ เมื่อเกิดจากครรภ์มารดาก็เป็นความลำบาก เจ็บปวดทรมาน ๒) ชราทุกข์ ทุกข์เพราะความแก่ คือ เมื่อเกิดมาแล้ว วัยหรืออายุ ก็ผ่านพ้นไปกลายเป็นคนแก่ไปเรื่อย ๆ ๓) มรณทุกข์ ทุกข์ เพราะกลัวต่อความตาย เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาก็เกิดความกลัว ไม่ อยากตาย สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/02/24/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87/ #สังขารเป็นทุกข์ #ธรรมะ #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #เว็บไซต์พระนิพพาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดพัฒนารามเป็นอารามหลวง เป็นแหล่งความเชื่อและความศรัทธาที่ประสมประสานระหว่างวัฒนธรรม จารีตประเพณี จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ บันทึกเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีเชื่อมโยงกับศาสนาเป็นคติธรรมคำสอนที่น่าสนใจ

    ลักษณะพิเศษของอุโบสถ คือพื้นหินอ่อนและเสาไม้กลมทั้งต้น

    ขอเชิญเที่ยวชมจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ

    วัดพัฒนาราม

    ได้ทั้งถ่ายภาพได้ทั้งบุญได้ทั้งสวดมนต์เช้าเย็น

    การเปิดให้เข้าชม พระอุโบสถ มี 2 รอบ รอบเช้ากับรอบเย็น

    1 เปิดเวลา 07.30 น. เวลา 08.00น. เป็นเวลาที่พระสงฆ์ท่านทำวัตรสวดมนต์เช้า ท่านสามารถร่วมสวดมนต์เช้าได้ หลังจาก 09.00น.จะปิดพระอุโบสถ


    2 เปิดเวลา 16.30 น. เวลา 17.00น. เป็นเวลาที่พระสงฆ์ท่านทำวัตรสวดมนต์เย็น ท่านสามารถร่วมสวดมนต์เย็นได้ หลังจาก 18.00น.จะปิดพระอุโบส

    https://www.thenirvanalive.com/2023/07/05/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/

    #วัดพัฒนาราม #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #thaitimes
    จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดพัฒนารามเป็นอารามหลวง เป็นแหล่งความเชื่อและความศรัทธาที่ประสมประสานระหว่างวัฒนธรรม จารีตประเพณี จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ บันทึกเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีเชื่อมโยงกับศาสนาเป็นคติธรรมคำสอนที่น่าสนใจ ลักษณะพิเศษของอุโบสถ คือพื้นหินอ่อนและเสาไม้กลมทั้งต้น ขอเชิญเที่ยวชมจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดพัฒนาราม ได้ทั้งถ่ายภาพได้ทั้งบุญได้ทั้งสวดมนต์เช้าเย็น การเปิดให้เข้าชม พระอุโบสถ มี 2 รอบ รอบเช้ากับรอบเย็น 1 เปิดเวลา 07.30 น. เวลา 08.00น. เป็นเวลาที่พระสงฆ์ท่านทำวัตรสวดมนต์เช้า ท่านสามารถร่วมสวดมนต์เช้าได้ หลังจาก 09.00น.จะปิดพระอุโบสถ 2 เปิดเวลา 16.30 น. เวลา 17.00น. เป็นเวลาที่พระสงฆ์ท่านทำวัตรสวดมนต์เย็น ท่านสามารถร่วมสวดมนต์เย็นได้ หลังจาก 18.00น.จะปิดพระอุโบส https://www.thenirvanalive.com/2023/07/05/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/ #วัดพัฒนาราม #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ใน การนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (This tow Forturn on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พบ. ว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพัน กับศาสนาใด” จํานวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 5

    อันดับ 4) ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง ๒.๒ พัน ร้านคน

    อันดับ 6 ศาสนาอิสลาม มีอยู่ประมาณ ๑๖ พันล้านคน

    อันดับ ๓ สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดง ตน ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน ๑.๑ พันร้านคน

    คนที่นับถือศาสนาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาเลย หรือไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ นี่ก็น่าจะเหมารวม ได้ว่าเป็นคนไร้ศาสนาเช่นกัน


    อันดับ 4 ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือ ๑,๐๐๐ ล้านคน โดย อยู่ในประเทศอินเดีย

    อันดับ 4 ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือ ๕๐๐ ล้านคน

    อันดับ 5 กลุ่มศาสนาเสียๆ เช่น บากาโย ลัทธิเต๋า เจนในน ซิกข์ เทนริเดียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณ * ล้านคนทั่วโลก
    อันดับ 4 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพอื่นๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ ๕๐๕ ล้านคน

    อันดับ 6 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล และที่อื่นๆ ๑๔ ล้านคน


    เมื่อถึง พ.ศ. นี้ แน่นอนว่าคนไร้ศาสนาคงมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ แปลว่าสังคมจะเลวลง เพราะคนไร้ศาสนาไม่ได้แปลว่า ไร้เมตตา ใช้ ปัญญา หรือไร้คุณธรรม คนไร้ศาสนาอาจเพราะเหตุผลมากมาย เช่น

    เมื่อพิธีกรรม

    ๒. รู้สึกเป็นอิสระมากกว่า

    ไม่มีศาสนา ทําดีได้

    ๔. ศาสนาทำให้คนฆ่ากันเพราะความแตกต่างของศรัทธา

    สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้าไม่เพราะการเมือง ก็ เพราะศาสนานั่นเอง

    ๕. คำสอนทางอภิปรัชญาของศาสนาต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ แต่ถ้าเป็นคำสอนทางด้านจริยธรรม เช่น ความอดทน ความเพียร

    พ ร ะ ม ห า วั เรี ย ว ช น โ ล 66

    เมตตากรุณา คนทั่วไปก็ทำกันโดยปกติอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องมี ศาสนา และอีกร้อยแปดพันเก้า

    ถ้าถามผู้เขียนเอง ก็ยอมรับความเห็นที่แตกต่างทุกคนมีสิทธิที่ จะเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้

    สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อนับถือศาสนาอะไร ล้วนสร้างสมมุติขึ้นมาในภายหลังว่า ฉันเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนา

    บางครั้งการไร้ศาสนา อาจช่วยให้ไร้อัตตาตัวตนได้ง่ายกว่า เพราะไม่ถูกปลูกฝังให้จมอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนา

    ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อนำเสนอวิธีฝึกใจที่เหมาะสำหรับมวล
    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-3/

    #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา #ศาสนา
    ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ใน การนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (This tow Forturn on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พบ. ว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพัน กับศาสนาใด” จํานวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 5 อันดับ 4) ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง ๒.๒ พัน ร้านคน อันดับ 6 ศาสนาอิสลาม มีอยู่ประมาณ ๑๖ พันล้านคน อันดับ ๓ สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดง ตน ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน ๑.๑ พันร้านคน คนที่นับถือศาสนาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาเลย หรือไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ นี่ก็น่าจะเหมารวม ได้ว่าเป็นคนไร้ศาสนาเช่นกัน อันดับ 4 ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือ ๑,๐๐๐ ล้านคน โดย อยู่ในประเทศอินเดีย อันดับ 4 ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือ ๕๐๐ ล้านคน อันดับ 5 กลุ่มศาสนาเสียๆ เช่น บากาโย ลัทธิเต๋า เจนในน ซิกข์ เทนริเดียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณ * ล้านคนทั่วโลก อันดับ 4 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพอื่นๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ ๕๐๕ ล้านคน อันดับ 6 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล และที่อื่นๆ ๑๔ ล้านคน เมื่อถึง พ.ศ. นี้ แน่นอนว่าคนไร้ศาสนาคงมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ แปลว่าสังคมจะเลวลง เพราะคนไร้ศาสนาไม่ได้แปลว่า ไร้เมตตา ใช้ ปัญญา หรือไร้คุณธรรม คนไร้ศาสนาอาจเพราะเหตุผลมากมาย เช่น เมื่อพิธีกรรม ๒. รู้สึกเป็นอิสระมากกว่า ไม่มีศาสนา ทําดีได้ ๔. ศาสนาทำให้คนฆ่ากันเพราะความแตกต่างของศรัทธา สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้าไม่เพราะการเมือง ก็ เพราะศาสนานั่นเอง ๕. คำสอนทางอภิปรัชญาของศาสนาต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ แต่ถ้าเป็นคำสอนทางด้านจริยธรรม เช่น ความอดทน ความเพียร พ ร ะ ม ห า วั เรี ย ว ช น โ ล 66 เมตตากรุณา คนทั่วไปก็ทำกันโดยปกติอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องมี ศาสนา และอีกร้อยแปดพันเก้า ถ้าถามผู้เขียนเอง ก็ยอมรับความเห็นที่แตกต่างทุกคนมีสิทธิที่ จะเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อนับถือศาสนาอะไร ล้วนสร้างสมมุติขึ้นมาในภายหลังว่า ฉันเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนา บางครั้งการไร้ศาสนา อาจช่วยให้ไร้อัตตาตัวตนได้ง่ายกว่า เพราะไม่ถูกปลูกฝังให้จมอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนา ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อนำเสนอวิธีฝึกใจที่เหมาะสำหรับมวล สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-3/ #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา #ศาสนา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 590 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทิ้งปัจจุบัน

    คำว่า “ปฏิบัติธรรม” ดูจะเป็นคำที่เข้มขลังสำหรับใครบางคน

    เพราะมักจะรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมต้องไปอยู่วัด ทำอะไร ที่ เคร่งครัด เคร่งเครียด ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน บางคนพอได้ก้าว เท้าเข้าไปสู่สนามแห่งการฝึกฝน ก็เกร็ง เพ่ง เอาเป็นเอาตาย แต่เอา ไม่เป็นเลยเกือบตาย เส้นเอ็นตึงไปหมดทั้งตัว การไปปฏิบัติธรรม จึง ได้โรคกษัย ไตพิการกลับมาด้วย เข็ด ขยาดกันไปทั้งชีวิต

    แท้ที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเรียบง่าย สบายๆ ลอง อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า ง่ายกว่าที่คุณคิดตั้งเยอะ

    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-4/

    #ทิ้งปัจจุบัน #ปฏิบัติธรรม #ชีวิต #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บบอร์ดพระนิพพาน
    ทิ้งปัจจุบัน คำว่า “ปฏิบัติธรรม” ดูจะเป็นคำที่เข้มขลังสำหรับใครบางคน เพราะมักจะรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมต้องไปอยู่วัด ทำอะไร ที่ เคร่งครัด เคร่งเครียด ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน บางคนพอได้ก้าว เท้าเข้าไปสู่สนามแห่งการฝึกฝน ก็เกร็ง เพ่ง เอาเป็นเอาตาย แต่เอา ไม่เป็นเลยเกือบตาย เส้นเอ็นตึงไปหมดทั้งตัว การไปปฏิบัติธรรม จึง ได้โรคกษัย ไตพิการกลับมาด้วย เข็ด ขยาดกันไปทั้งชีวิต แท้ที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเรียบง่าย สบายๆ ลอง อ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า ง่ายกว่าที่คุณคิดตั้งเยอะ สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-4/ #ทิ้งปัจจุบัน #ปฏิบัติธรรม #ชีวิต #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บบอร์ดพระนิพพาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ

    🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷

    ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้
    เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้
    แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ..

    ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก..

    ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด..

    ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง..

    ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️

    ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ
    จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ..

    ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี..

    ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด..

    ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย..

    ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด
    เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน..

    ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ..

    ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ
    ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ..

    ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์..

    ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน..
    คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน..
    เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน..

    สามารถอ่านต่อเพิ่มเติมที่เว็บไซต์พระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ 🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷 ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ.. ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก.. ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด.. ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง.. ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️ ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ.. ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี.. ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด.. ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย.. ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน.. ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ.. ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ.. ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์.. ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน.. คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน.. เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน.. สามารถอ่านต่อเพิ่มเติมที่เว็บไซต์พระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวกู-ของกู

    ในร่างกายของคนเรามีแบคทีเรีย (Bacteria) อาศัยอยู่ เกือบ ๑,๕๐๐ ชนิด มีจํานวนมากกว่าเซลล์ร่างกายสิบต่อหนึ่ง แทบจะเรียก ได้ว่า “เรานั่นเองคือแบคทีเรีย” เพราะจุลินทรีย์เหล่านี้ ช่วยย่อย สารอาหาร ควบคุมการขับเหงื่อ เปลี่ยนกลูโคสเป็นกล้ามเนื้อ โจมตี เชื้อก่อโรคและซ่อมแซมเซลล์ แหล่งแบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุด และระบบ ภูมิคุ้มกัน ร้อยละ ๘๐ อยู่ในลำไส้ โดยมีจุลินทรีย์ราว ๑๐๐ ล้าน ล้านตัว ซึ่งหนักถึงสองกิโลกรัม สำไส้ยังประกอบด้วยเซลล์ประสาท นับล้านเซลล์ ที่รับสัญญาณจากแบคทีเรียอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรีย จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่สุด สรุปง่ายๆ คือมนุษย์อยู่ไม่ได้ หากไม่มี แบคทีเรีย

    หากแบคทีเรียคิดได้ มันคงคิดว่า ร่างกายของมนุษย์ คือ

    บ้านกูๆๆๆ

    ไรขนตา (Eyelash Mites) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำพวกปรสิต

    สำหรับตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ มิลลิเมตร ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ มีลักษณะร่างกายถึง โปร่งใส ลำตัวยาว ส่วนบนเป็นส่วนที่มีขาสั้นๆ แปดขา มีปากเหมือน เข็มที่ไว้สำหรับกินเซลล์ผิวหนังซึ่งมีน้ำมันตามรูขุมขน ส่วนที่สองเป็น ส่วนลำตัวที่จะฝังอยู่ในรูขุมขน

    วงจรชีวิตของไรขนตา มีอายุประมาณไม่ถึงเดือน เมื่อตัวผู้ ตัว เมียผสมพันธุ์กัน จะออกไข่ไว้ในรัง (รูขุมขน) อีก ๓-๔ วัน ก็จะชัก เป็นตัว และใช้เวลาอีกประมาณ ๗ วันก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และ เมื่อพวกมันตายลงก็จะใช้รูขุมขนเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน มนุษย์ ผู้ใหญ่ร้อยละ ๙๕-๙๘ มีไรขนตาอยู่บนร่างกาย แต่เด็กจะมีน้อยกว่า เนื่องจากมีน้ำมันที่ขับออกตามรูขุมขนน้อยกว่า ไรขนตาสามารถ ติดต่อได้โดยการสัมผัสบริเวณ ขน ผม อาจก่อปัญหาให้เกิดอาการ คันเล็กน้อย ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด
    สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้
    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95-5/
    ตัวกู-ของกู ในร่างกายของคนเรามีแบคทีเรีย (Bacteria) อาศัยอยู่ เกือบ ๑,๕๐๐ ชนิด มีจํานวนมากกว่าเซลล์ร่างกายสิบต่อหนึ่ง แทบจะเรียก ได้ว่า “เรานั่นเองคือแบคทีเรีย” เพราะจุลินทรีย์เหล่านี้ ช่วยย่อย สารอาหาร ควบคุมการขับเหงื่อ เปลี่ยนกลูโคสเป็นกล้ามเนื้อ โจมตี เชื้อก่อโรคและซ่อมแซมเซลล์ แหล่งแบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุด และระบบ ภูมิคุ้มกัน ร้อยละ ๘๐ อยู่ในลำไส้ โดยมีจุลินทรีย์ราว ๑๐๐ ล้าน ล้านตัว ซึ่งหนักถึงสองกิโลกรัม สำไส้ยังประกอบด้วยเซลล์ประสาท นับล้านเซลล์ ที่รับสัญญาณจากแบคทีเรียอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรีย จึงเป็นอวัยวะสำคัญที่สุด สรุปง่ายๆ คือมนุษย์อยู่ไม่ได้ หากไม่มี แบคทีเรีย หากแบคทีเรียคิดได้ มันคงคิดว่า ร่างกายของมนุษย์ คือ บ้านกูๆๆๆ ไรขนตา (Eyelash Mites) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำพวกปรสิต สำหรับตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ มิลลิเมตร ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ มีลักษณะร่างกายถึง โปร่งใส ลำตัวยาว ส่วนบนเป็นส่วนที่มีขาสั้นๆ แปดขา มีปากเหมือน เข็มที่ไว้สำหรับกินเซลล์ผิวหนังซึ่งมีน้ำมันตามรูขุมขน ส่วนที่สองเป็น ส่วนลำตัวที่จะฝังอยู่ในรูขุมขน วงจรชีวิตของไรขนตา มีอายุประมาณไม่ถึงเดือน เมื่อตัวผู้ ตัว เมียผสมพันธุ์กัน จะออกไข่ไว้ในรัง (รูขุมขน) อีก ๓-๔ วัน ก็จะชัก เป็นตัว และใช้เวลาอีกประมาณ ๗ วันก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และ เมื่อพวกมันตายลงก็จะใช้รูขุมขนเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน มนุษย์ ผู้ใหญ่ร้อยละ ๙๕-๙๘ มีไรขนตาอยู่บนร่างกาย แต่เด็กจะมีน้อยกว่า เนื่องจากมีน้ำมันที่ขับออกตามรูขุมขนน้อยกว่า ไรขนตาสามารถ ติดต่อได้โดยการสัมผัสบริเวณ ขน ผม อาจก่อปัญหาให้เกิดอาการ คันเล็กน้อย ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้ https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%95-5/
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • มารบันเทพ

    พญามาร เป็นเทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรหรือ เทวดาชั้นที่ 5 ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตดี” ท่านชื่อว่า “วัสสวัสดี เทวปุตตมาร” คนไทยมักเรียกว่าพญามาร ท่านเป็นมารที่หล่อขั้น เทพแน่นอน เพราะท่านเป็นทั้งเทพทั้งมาร คำว่า “มาร” แปลว่า นิมิต แห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งคนไว้ มิให้พ้นจาก อ้านาจครอบงำาของตน ให้ห่วงหน้าพะวงหลังติดอยู่ในกามสุข ไม่อาจเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้

    ซึ่งมารตนนี้เคยมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง พระองค์ได้เล่าให้ พระอานนท์ฟัง ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค สรุปว่า

    สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำลังหนีออกจาก เมืองกบิลพัสดุเพื่อบรรพชา มาเชื่อว่าวัสสวัดดีมาร ได้เข้ามาห้ามมิให้ ออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่พระโพธิสัตว์ได้ปฏิเสธและขับไล่มารไปเสีย

    ต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ ก่อนจะตรัสรู้ พญามารได้นำเสนามารไปรบกวน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทศบารมี ของพระโพธิสัตว์

    อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ณ ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่อุรุเวลาเสนานิคม

    สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-6/
    มารบันเทพ พญามาร เป็นเทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรหรือ เทวดาชั้นที่ 5 ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตดี” ท่านชื่อว่า “วัสสวัสดี เทวปุตตมาร” คนไทยมักเรียกว่าพญามาร ท่านเป็นมารที่หล่อขั้น เทพแน่นอน เพราะท่านเป็นทั้งเทพทั้งมาร คำว่า “มาร” แปลว่า นิมิต แห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งคนไว้ มิให้พ้นจาก อ้านาจครอบงำาของตน ให้ห่วงหน้าพะวงหลังติดอยู่ในกามสุข ไม่อาจเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งมารตนนี้เคยมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง พระองค์ได้เล่าให้ พระอานนท์ฟัง ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค สรุปว่า สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำลังหนีออกจาก เมืองกบิลพัสดุเพื่อบรรพชา มาเชื่อว่าวัสสวัดดีมาร ได้เข้ามาห้ามมิให้ ออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่พระโพธิสัตว์ได้ปฏิเสธและขับไล่มารไปเสีย ต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ ก่อนจะตรัสรู้ พญามารได้นำเสนามารไปรบกวน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทศบารมี ของพระโพธิสัตว์ อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ณ ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่อุรุเวลาเสนานิคม สามารถอ่านต่อที่เว็บไซต์พระนิพพานได้ https://www.thenirvanalive.com/2023/03/10/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-6/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • พุทธโอวาท ตอน อเนญชสัปปายสูตร

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิคมชื่อกัมมาสธรรม ของชาวกุรุในแคว้นกุรุสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว

    พระมีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามไม่เที่ยง เป็นของว่าง
    เปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา ลักษณะของกามดังนี้ ได้ทำความล่อลวงเป็นที่บ่นถึงของคน
    พาล กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
    ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่ง มาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่หากินของมาร
    ในกามนี้ ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้เกิดที่ใจคือ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป
    กามนั่นเอง ย่อม เกิดเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้

    สามารถอ่านศึกษาต่อที่เว็บไซต์พระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2024/09/05/พทธโอวาท-อเนญชสปปายสตร/

    #พุทธโอวาท
    พุทธโอวาท ตอน อเนญชสัปปายสูตร สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิคมชื่อกัมมาสธรรม ของชาวกุรุในแคว้นกุรุสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระมีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามไม่เที่ยง เป็นของว่าง เปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา ลักษณะของกามดังนี้ ได้ทำความล่อลวงเป็นที่บ่นถึงของคน พาล กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่ง มาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่หากินของมาร ในกามนี้ ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้เกิดที่ใจคือ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป กามนั่นเอง ย่อม เกิดเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้ สามารถอ่านศึกษาต่อที่เว็บไซต์พระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2024/09/05/พทธโอวาท-อเนญชสปปายสตร/ #พุทธโอวาท
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว