• “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ”

    Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22

    Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ

    แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ

    Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล

    นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin
    เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX
    รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ
    สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T
    ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock
    มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว
    วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล
    รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่
    MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง
    MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed
    Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril
    ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ

    https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    ✈️ “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ” Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22 Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin ➡️ เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX ➡️ รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ ➡️ สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T ➡️ ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock ➡️ มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว ➡️ วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ➡️ รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่ ➡️ MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง ➡️ MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed ➡️ Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril ➡️ ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Lockheed Martin's Skunk Works Project Is No Longer A Secret: Meet The Vectis Combat Drone - SlashGear
    The Lockheed Martin Vectis drone is a combat-ready aircraft revealed in an uncharacteristically public manner, and is also reportedly headed for open market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ”

    ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI”

    Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ

    เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ

    6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว

    Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้
    Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร
    อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์
    Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ
    Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028
    6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์
    เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง
    Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้
    การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
    6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล
    Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน
    Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing

    https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    📡 “Qualcomm เปิดวิสัยทัศน์ ‘AI คือ UI’ พร้อมประกาศเปิดตัว 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 — โลกกำลังเข้าสู่ยุค Agentic AI เต็มรูปแบบ” ในงาน Snapdragon Summit 2025 ที่ฮาวาย Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ประกาศอย่างชัดเจนว่า “AI จะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของมนุษย์กับอุปกรณ์” โดยไม่ใช่แค่การตอบคำถามหรือแนะนำเท่านั้น แต่จะกลายเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจบริบท, คาดการณ์ความต้องการ, และลงมือทำแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ — นี่คือแนวคิดของ “Agentic AI” Qualcomm วางแผนให้แพลตฟอร์ม Snapdragon รุ่นใหม่ทั้งหมดรองรับการทำงานแบบ agent-driven โดยเฉพาะในอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แว่น AR, สมาร์ตวอทช์, หูฟัง และแม้แต่แหวนอัจฉริยะ ซึ่งจะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” ที่ AI สามารถทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง Qualcomm ยังประกาศเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่ไม่เพียงแต่เร็วขึ้น แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” โดยใช้ AI ในการจัดสรรแบนด์วิดท์, วิเคราะห์ข้อมูลเซนเซอร์, และเชื่อมต่อ edge กับ cloud อย่างมีประสิทธิภาพ 6G จะใช้คลื่น terahertz ที่ให้ความเร็วและความหน่วงต่ำระดับใหม่ รองรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การควบคุมอุปกรณ์แบบเรียลไทม์, การแสดงผล AR/VR, และการประมวลผล AI แบบกระจายตัว Qualcomm ยังเน้นว่า agentic computing จะเปลี่ยนโครงสร้างของชิปโดยสิ้นเชิง เช่น การออกแบบหน่วยความจำใหม่, โปรเซสเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง, และโมเดล AI ที่สามารถฝึกใน cloud แต่ปรับแต่งได้ทันทีบน edge ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm ประกาศว่า “AI คือ UI” และจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้ ➡️ Agentic AI จะทำงานแทนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เช่น จัดการอีเมล, นัดหมาย, หรือจองร้านอาหาร ➡️ อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกันเป็น “ecosystem of you” เช่น แว่น AR, หูฟัง, สมาร์ตวอทช์ ➡️ Snapdragon รุ่นใหม่จะรองรับ agent-driven computing เต็มรูปแบบ ➡️ Qualcomm เตรียมเปิดตัวโซลูชัน 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2028 ➡️ 6G จะใช้คลื่น terahertz และมี AI ฝังในเครือข่ายเพื่อจัดการแบนด์วิดท์แบบเรียลไทม์ ➡️ เครือข่าย 6G จะเชื่อม edge กับ cloud เพื่อสร้างประสบการณ์ AI แบบต่อเนื่อง ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Samsung และ XREAL ในโครงการ AR และ XR ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือแนวคิดที่ AI ไม่รอคำสั่ง แต่คาดการณ์และลงมือทำแทนผู้ใช้ ➡️ การประมวลผลแบบ edge ช่วยให้ AI ทำงานเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น ➡️ 6G จะเป็นเครือข่ายแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ➡️ Qualcomm เป็นสมาชิกของ 3GPP และ Verizon 6G Innovation Forum ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดมาตรฐาน ➡️ Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ X2 Elite Extreme เป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ agentic computing https://securityonline.info/qualcomms-ai-revolution-the-future-of-the-ai-as-the-ui-and-6g-connectivity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qualcomm's AI Revolution: The Future of the "AI as the UI" and 6G Connectivity
    Qualcomm unveils its vision for an "AI as the UI" future, with Agentic AI and a 2028 roadmap for commercial-ready 6G mobile network solutions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน”

    Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2

    ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร

    ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย

    แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook
    ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน
    ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com
    รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ
    ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน
    รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร
    ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด
    Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook
    ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง
    AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน
    การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    📨 “Perplexity เปิดตัว Email Assistant — ผู้ช่วย AI สำหรับกล่องจดหมาย แต่ค่าบริการแรงถึง $200 ต่อเดือน” Perplexity บริษัทด้าน AI ที่กำลังมาแรง ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ “Email Assistant” ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถจัดการกล่องจดหมายของคุณได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการสรุปอีเมล, เขียนตอบกลับในสไตล์ของคุณ, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน หรือแม้แต่จัดหมวดหมู่อีเมลด้วย smart labels — ทั้งหมดนี้ทำงานได้ทั้งใน Gmail และ Outlook2 ฟีเจอร์นี้ไม่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะจะเปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิกระดับสูงสุด “Perplexity Max” ซึ่งมีค่าบริการถึง $200 ต่อเดือน โดยรวมฟีเจอร์ Email Assistant เข้าไปในแพ็กเกจที่มีสิทธิ์เข้าถึงโมเดลขั้นสูง, Labs ไม่จำกัด และฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Email Assistant ได้ง่าย ๆ เพียงส่งอีเมลไปที่ assistant@perplexity.com หรือ CC เข้าไปในเธรดที่ต้องการให้ช่วยจัดการ ระบบจะรู้ทันทีว่าเป็นคุณ และเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น ตรวจสอบปฏิทิน, เสนอเวลานัดหมาย, ส่งคำเชิญประชุม หรือสรุปเนื้อหาอีเมลให้เข้าใจง่าย แม้ราคาจะสูง แต่ Perplexity เน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง โดยระบบรองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสแบบ enterprise-grade และยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Perplexity เปิดตัว Email Assistant สำหรับ Gmail และ Outlook ➡️ ฟีเจอร์รวมถึงการเขียนตอบอีเมล, สรุปเนื้อหา, จัดตารางนัดหมาย, เพิ่มลงปฏิทิน ➡️ ใช้งานผ่านการส่งอีเมลหรือ CC ไปที่ assistant@perplexity.com ➡️ รองรับ smart labels เพื่อจัดหมวดหมู่อีเมลแบบอัตโนมัติ ➡️ ใช้ได้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Perplexity Max ที่มีค่าบริการ $200/เดือน ➡️ รองรับ SOC 2 และ GDPR พร้อมการเข้ารหัสระดับองค์กร ➡️ ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity Max ยังรวมฟีเจอร์ Comet browser และ Labs ไม่จำกัด ➡️ Google Gemini และ Microsoft Copilot ก็มีฟีเจอร์คล้ายกันใน Gmail และ Outlook ➡️ ตลาด productivity software มีมูลค่ากว่า $50 พันล้าน และกำลังแข่งขันสูง ➡️ AI agent แบบนี้สามารถลดเวลาทำงานของผู้ช่วยและฝ่ายบุคคลได้หลายชั่วโมงต่อวัน ➡️ การจัดการอีเมลอัตโนมัติเป็นเทรนด์ใหม่ในองค์กรยุค AI https://www.techradar.com/pro/perplexity-launches-an-ai-assistant-for-your-inbox-but-you-wont-believe-how-much-it-costs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “6 วิธีใหม่ในการใช้ AI ปกป้ององค์กรจากภัยไซเบอร์ — จากการคาดการณ์ล่วงหน้า สู่การหลอกลวงผู้โจมตีแบบสร้างสรรค์”

    ในยุคที่ภัยไซเบอร์มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 6 วิธีใหม่ที่องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์

    1️⃣ Anticipating Attacks Before They Occur — คาดการณ์การโจมตีก่อนเกิดจริง
    AI แบบ “Predictive” จะวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, DNS, พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อคาดเดาว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจากที่ใด โดยใช้เทคนิค random forest ซึ่งเป็นอัลกอริธึมที่เรียนรู้จากฐานข้อมูล “ground truth” ที่บันทึกโครงสร้างดีและไม่ดีของระบบ

    จุดเด่นคือสามารถตอบสนองอัตโนมัติได้ทันที โดยไม่ต้องรอมนุษย์ตัดสินใจ

    เหมาะกับองค์กรที่มี alert จำนวนมาก และต้องการลด false positive

    เสริม: ระบบนี้คล้ายกับการมี “เรดาร์ล่วงหน้า” ที่สามารถบอกได้ว่าใครกำลังจะยิงมิสไซล์ใส่เรา ก่อนที่มันจะถูกปล่อยจริง

    2️⃣ Generative Adversarial Networks (GANs) — ฝึกระบบด้วยการจำลองภัยใหม่
    GANs ประกอบด้วยสองส่วน:

    Generator สร้างสถานการณ์โจมตีใหม่ เช่น malware, phishing, intrusion

    Discriminator เรียนรู้แยกแยะว่าอะไรคือภัยจริง

    ระบบจะฝึกตัวเองผ่านการจำลองโจมตีหลายล้านรูปแบบ ทำให้สามารถรับมือกับภัยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นได้

    เสริม: เหมือนฝึกนักมวยให้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เคยเจอ โดยใช้ AI สร้างคู่ซ้อมที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ

    3️⃣ AI Analyst Assistant — ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ที่ไม่หลับไม่นอน
    AI จะทำหน้าที่ตรวจสอบ alert จากหลายแหล่งข้อมูล เช่น log, threat intel, user behavior แล้วสรุปเป็น “เรื่องราว” ที่พร้อมให้มนุษย์ตัดสินใจ

    ลดเวลาการตรวจสอบจาก 1 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่กี่นาที

    ช่วยให้ทีม SOC รับมือกับ alert จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่คอยเตรียมเอกสารให้คุณก่อนประชุม โดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมเอง

    4️⃣ Micro-Deviation Detection — ตรวจจับความเบี่ยงเบนเล็ก ๆ ที่มนุษย์มองไม่เห็น
    AI จะเรียนรู้พฤติกรรมปกติของระบบ เช่น เวลา login, รูปแบบการใช้งาน แล้วแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เช่น login จากประเทศใหม่ หรือการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่เคยแตะ

    ไม่ต้องพึ่ง rule-based หรือ signature แบบเดิม

    ระบบจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับข้อมูลมากขึ้น

    เสริม: เหมือนมี AI ที่รู้ว่า “พฤติกรรมปกติ” ของคุณคืออะไร และจะเตือนทันทีเมื่อคุณทำอะไรแปลกไป

    5️⃣ Automated Alert Triage — ตรวจสอบและตอบสนอง alert แบบอัตโนมัติ
    AI จะตรวจสอบ alert ทีละตัว แล้วตัดสินใจว่าเป็นภัยจริงหรือไม่ โดยพูดคุยกับเครื่องมืออื่นในระบบ เช่น EDR, SIEM เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

    หากเป็นภัยจริง จะแจ้งทีมงานทันที พร้อมแนะนำวิธีแก้ไข

    ลดภาระงานของนักวิเคราะห์ และเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง

    เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่ไม่เพียงแต่บอกว่า “มีปัญหา” แต่ยังบอกว่า “ควรแก้ยังไง” ด้วย

    6️⃣ Proactive Generative Deception — สร้างโลกปลอมให้แฮกเกอร์หลงทาง
    AI จะสร้างเครือข่ายปลอม, ข้อมูลปลอม, พฤติกรรมผู้ใช้ปลอม เพื่อหลอกล่อผู้โจมตีให้เสียเวลาและทรัพยากรกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายจริง

    เก็บข้อมูลจากการกระทำของผู้โจมตีได้แบบเรียลไทม์

    เปลี่ยนจาก “ตั้งรับ” เป็น “รุกกลับ” โดยใช้ AI สร้างกับดักอัจฉริยะ

    เสริม: เหมือนสร้างบ้านปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง เพื่อให้ขโมยเข้าไปแล้วติดอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ว่าไม่ได้ขโมยอะไรเลย

    https://www.csoonline.com/article/4059116/6-novel-ways-to-use-ai-in-cybersecurity.html
    🧠 “6 วิธีใหม่ในการใช้ AI ปกป้ององค์กรจากภัยไซเบอร์ — จากการคาดการณ์ล่วงหน้า สู่การหลอกลวงผู้โจมตีแบบสร้างสรรค์” ในยุคที่ภัยไซเบอร์มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 6 วิธีใหม่ที่องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ 1️⃣ Anticipating Attacks Before They Occur — คาดการณ์การโจมตีก่อนเกิดจริง AI แบบ “Predictive” จะวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, DNS, พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อคาดเดาว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจากที่ใด โดยใช้เทคนิค random forest ซึ่งเป็นอัลกอริธึมที่เรียนรู้จากฐานข้อมูล “ground truth” ที่บันทึกโครงสร้างดีและไม่ดีของระบบ ✔️ จุดเด่นคือสามารถตอบสนองอัตโนมัติได้ทันที โดยไม่ต้องรอมนุษย์ตัดสินใจ ✔️เหมาะกับองค์กรที่มี alert จำนวนมาก และต้องการลด false positive 🧠 เสริม: ระบบนี้คล้ายกับการมี “เรดาร์ล่วงหน้า” ที่สามารถบอกได้ว่าใครกำลังจะยิงมิสไซล์ใส่เรา ก่อนที่มันจะถูกปล่อยจริง 2️⃣ Generative Adversarial Networks (GANs) — ฝึกระบบด้วยการจำลองภัยใหม่ GANs ประกอบด้วยสองส่วน: ✔️ Generator สร้างสถานการณ์โจมตีใหม่ เช่น malware, phishing, intrusion ✔️ Discriminator เรียนรู้แยกแยะว่าอะไรคือภัยจริง ระบบจะฝึกตัวเองผ่านการจำลองโจมตีหลายล้านรูปแบบ ทำให้สามารถรับมือกับภัยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นได้ 🧠 เสริม: เหมือนฝึกนักมวยให้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เคยเจอ โดยใช้ AI สร้างคู่ซ้อมที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ 3️⃣ AI Analyst Assistant — ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ที่ไม่หลับไม่นอน AI จะทำหน้าที่ตรวจสอบ alert จากหลายแหล่งข้อมูล เช่น log, threat intel, user behavior แล้วสรุปเป็น “เรื่องราว” ที่พร้อมให้มนุษย์ตัดสินใจ ✔️ ลดเวลาการตรวจสอบจาก 1 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่กี่นาที ✔️ ช่วยให้ทีม SOC รับมือกับ alert จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🧠 เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่คอยเตรียมเอกสารให้คุณก่อนประชุม โดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมเอง 4️⃣ Micro-Deviation Detection — ตรวจจับความเบี่ยงเบนเล็ก ๆ ที่มนุษย์มองไม่เห็น AI จะเรียนรู้พฤติกรรมปกติของระบบ เช่น เวลา login, รูปแบบการใช้งาน แล้วแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เช่น login จากประเทศใหม่ หรือการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่เคยแตะ ✔️ ไม่ต้องพึ่ง rule-based หรือ signature แบบเดิม ✔️ ระบบจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับข้อมูลมากขึ้น 🧠 เสริม: เหมือนมี AI ที่รู้ว่า “พฤติกรรมปกติ” ของคุณคืออะไร และจะเตือนทันทีเมื่อคุณทำอะไรแปลกไป 5️⃣ Automated Alert Triage — ตรวจสอบและตอบสนอง alert แบบอัตโนมัติ AI จะตรวจสอบ alert ทีละตัว แล้วตัดสินใจว่าเป็นภัยจริงหรือไม่ โดยพูดคุยกับเครื่องมืออื่นในระบบ เช่น EDR, SIEM เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ✔️ หากเป็นภัยจริง จะแจ้งทีมงานทันที พร้อมแนะนำวิธีแก้ไข ✔️ ลดภาระงานของนักวิเคราะห์ และเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง 🧠 เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่ไม่เพียงแต่บอกว่า “มีปัญหา” แต่ยังบอกว่า “ควรแก้ยังไง” ด้วย 6️⃣ Proactive Generative Deception — สร้างโลกปลอมให้แฮกเกอร์หลงทาง AI จะสร้างเครือข่ายปลอม, ข้อมูลปลอม, พฤติกรรมผู้ใช้ปลอม เพื่อหลอกล่อผู้โจมตีให้เสียเวลาและทรัพยากรกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายจริง ✔️ เก็บข้อมูลจากการกระทำของผู้โจมตีได้แบบเรียลไทม์ ✔️ เปลี่ยนจาก “ตั้งรับ” เป็น “รุกกลับ” โดยใช้ AI สร้างกับดักอัจฉริยะ 🧠 เสริม: เหมือนสร้างบ้านปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง เพื่อให้ขโมยเข้าไปแล้วติดอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ว่าไม่ได้ขโมยอะไรเลย https://www.csoonline.com/article/4059116/6-novel-ways-to-use-ai-in-cybersecurity.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    6 novel ways to use AI in cybersecurity
    AI is changing everything, including cybersecurity. Here are six creative AI methods you can use to help protect your enterprise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ”

    กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว

    ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง

    ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา

    อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI
    พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
    ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ
    ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี
    รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI

    การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย
    เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน
    เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
    การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน
    การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ
    การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    🌾 “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ” กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI ➡️ พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ ➡️ ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี ➡️ รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI ✅ การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย ➡️ เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน ➡️ เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ➡️ การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน ➡️ การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • “11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำให้ขโมยคิดว่าคุณอยู่บ้าน — เทคนิคหลอกตาเพื่อความปลอดภัยในยุคสมาร์ตโฮม”

    ในยุคที่บ้านว่างเปล่าคือเป้าหมายของโจร อุปกรณ์สมาร์ตโฮมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “หลอก” ให้ผู้ไม่หวังดีคิดว่ามีคนอยู่บ้าน แม้คุณจะกำลังเดินทางไกลหรือพักผ่อนอยู่ต่างจังหวัดก็ตาม

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยสร้างภาพลวงตาให้บ้านดูมีชีวิต เช่น ไฟ floodlight ที่เปิดเมื่อมีการเคลื่อนไหว, ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลา, กล้องที่ซ่อนอยู่ในหลอดไฟ, ไปจนถึงเครื่องจำลองแสงจากทีวี—all เพื่อให้บ้านดูเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา

    อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้แค่เปิดปิดตามเวลา แต่ยังใช้ “ความสุ่ม” และ “พฤติกรรมเลียนแบบ” เช่น การเปิดไฟแบบไม่สม่ำเสมอ หรือการเปิดเพลงผ่าน Echo Pop เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมือนมีคนอยู่จริง ๆ

    แม้เทคโนโลยีจะไม่สามารถป้องกันขโมยได้ 100% แต่การทำให้บ้านของคุณดูไม่น่าเสี่ยง ก็เพียงพอที่จะทำให้โจรเลือกเป้าหมายอื่นแทน

    อุปกรณ์สมาร์ตที่ช่วยหลอกขโมย
    Smart Wi-Fi Floodlights: เปิดไฟเมื่อมีการเคลื่อนไหว และสามารถควบคุมจากแอป
    Motorized Roller Shades: ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลาแบบไม่สม่ำเสมอ
    Wyze Video Doorbell Pro: กล้องหน้าบ้านที่แจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้าใกล้
    Lorex Smart Lightbulb Camera: กล้องซ่อนในหลอดไฟที่หมุนได้ 360°
    Robot Lawn Mower: ตัดหญ้าอัตโนมัติแม้เจ้าของไม่อยู่บ้าน
    Smart Package Vault: ตู้รับพัสดุอัจฉริยะที่ซ่อนกล่องจากสายตาคนภายนอก
    FakeTV Simulator: อุปกรณ์จำลองแสงจากทีวีเพื่อให้ดูเหมือนมีคนดูอยู่
    Amazon Echo Pop: ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมดผ่านเสียงและตั้งเวลาเปิดเพลง
    Kasa Smart Bulbs: หลอดไฟที่เปิดปิดแบบสุ่มเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมจริง
    Smart Garage Door Opener: เปิดปิดประตูโรงรถจากระยะไกล
    Wi-Fi Sprinkler Timer: ตั้งเวลารดน้ำต้นไม้เพื่อให้บ้านดูมีคนดูแล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ “Away Mode” บนอุปกรณ์ช่วยสร้างความสุ่มที่ดูสมจริง
    การเปิดไฟในห้องต่าง ๆ ด้วยความสว่างที่ต่างกันช่วยให้ดูเหมือนมีคนอยู่
    การใช้กล้องที่ไม่ดูเหมือนกล้องช่วยลดการหลบเลี่ยงจากขโมยที่มีประสบการณ์
    การควบคุมผ่านสมาร์ตฮับ เช่น Alexa หรือ Google Home ช่วยให้จัดการง่ายขึ้น

    https://www.slashgear.com/1971492/smart-products-that-make-thieves-think-you-are-home/
    🏠 “11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำให้ขโมยคิดว่าคุณอยู่บ้าน — เทคนิคหลอกตาเพื่อความปลอดภัยในยุคสมาร์ตโฮม” ในยุคที่บ้านว่างเปล่าคือเป้าหมายของโจร อุปกรณ์สมาร์ตโฮมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการ “หลอก” ให้ผู้ไม่หวังดีคิดว่ามีคนอยู่บ้าน แม้คุณจะกำลังเดินทางไกลหรือพักผ่อนอยู่ต่างจังหวัดก็ตาม บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 11 อุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยสร้างภาพลวงตาให้บ้านดูมีชีวิต เช่น ไฟ floodlight ที่เปิดเมื่อมีการเคลื่อนไหว, ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลา, กล้องที่ซ่อนอยู่ในหลอดไฟ, ไปจนถึงเครื่องจำลองแสงจากทีวี—all เพื่อให้บ้านดูเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้แค่เปิดปิดตามเวลา แต่ยังใช้ “ความสุ่ม” และ “พฤติกรรมเลียนแบบ” เช่น การเปิดไฟแบบไม่สม่ำเสมอ หรือการเปิดเพลงผ่าน Echo Pop เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมือนมีคนอยู่จริง ๆ แม้เทคโนโลยีจะไม่สามารถป้องกันขโมยได้ 100% แต่การทำให้บ้านของคุณดูไม่น่าเสี่ยง ก็เพียงพอที่จะทำให้โจรเลือกเป้าหมายอื่นแทน ✅ อุปกรณ์สมาร์ตที่ช่วยหลอกขโมย ➡️ Smart Wi-Fi Floodlights: เปิดไฟเมื่อมีการเคลื่อนไหว และสามารถควบคุมจากแอป ➡️ Motorized Roller Shades: ม่านอัตโนมัติที่เปิดปิดตามเวลาแบบไม่สม่ำเสมอ ➡️ Wyze Video Doorbell Pro: กล้องหน้าบ้านที่แจ้งเตือนเมื่อมีคนเข้าใกล้ ➡️ Lorex Smart Lightbulb Camera: กล้องซ่อนในหลอดไฟที่หมุนได้ 360° ➡️ Robot Lawn Mower: ตัดหญ้าอัตโนมัติแม้เจ้าของไม่อยู่บ้าน ➡️ Smart Package Vault: ตู้รับพัสดุอัจฉริยะที่ซ่อนกล่องจากสายตาคนภายนอก ➡️ FakeTV Simulator: อุปกรณ์จำลองแสงจากทีวีเพื่อให้ดูเหมือนมีคนดูอยู่ ➡️ Amazon Echo Pop: ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมดผ่านเสียงและตั้งเวลาเปิดเพลง ➡️ Kasa Smart Bulbs: หลอดไฟที่เปิดปิดแบบสุ่มเพื่อเลียนแบบพฤติกรรมจริง ➡️ Smart Garage Door Opener: เปิดปิดประตูโรงรถจากระยะไกล ➡️ Wi-Fi Sprinkler Timer: ตั้งเวลารดน้ำต้นไม้เพื่อให้บ้านดูมีคนดูแล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ “Away Mode” บนอุปกรณ์ช่วยสร้างความสุ่มที่ดูสมจริง ➡️ การเปิดไฟในห้องต่าง ๆ ด้วยความสว่างที่ต่างกันช่วยให้ดูเหมือนมีคนอยู่ ➡️ การใช้กล้องที่ไม่ดูเหมือนกล้องช่วยลดการหลบเลี่ยงจากขโมยที่มีประสบการณ์ ➡️ การควบคุมผ่านสมาร์ตฮับ เช่น Alexa หรือ Google Home ช่วยให้จัดการง่ายขึ้น https://www.slashgear.com/1971492/smart-products-that-make-thieves-think-you-are-home/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    11 Smart Products That Can Fool Thieves Into Thinking You're Home - SlashGear
    If you're planning to be away from home for an extended period of time, you may be worrying about the risk of a break-in. These smart home products can help.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 55,ยึดอำนาจมา อำนาจเต็มมือ สั่ง ม.44แบบไหนก็ได้,ยุทธศาสตร์ชาติ20ปีด้วยนะ.
    ..คิดในมุมบวกแบบบวกโคตรๆ 3ป.อาจคือผู้เสียสละร่วมกับโทนี่ก็ได้,เพื่อลากไส้เขมรและผู้สนับสนุนเขมรทั้งหมด ตลอดพวกจะล้มจะยึดจะทำลายประเทศไทยให้เปิดเผยออกมาทั้งหมด เพื่อเก็บกวาดครั้งเดียว จะบ่อนจะพื้นที่ดินแดนจะอะไรชั่วเลวสาระพัดที่กระทำต่อแผ่นดินไทยประเทศไทยคนเสียสละเหล่านี้รับบทเล่นเต็มที่ แม้คนทั้งชาติจะตราหน้าว่าขายชาติก็ตาม เพื่อล่อเหยื่อตัวพ่อตัวแม่ออกมาได้จริงๆ,ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ จนกระทั่งขายวิญญาณให้ซาตานก็ได้เพื่อแลกกับความไว้วางใจของซาตาน แต่บทสุดท้ายคือพลิก เป้าหมายคือเพื่อทำลายซาตานให้พินาศทั้งหมดทั้งเครือข่ายนั้นเอง,เสียสละตนเองเพื่อพิทักษ์คนหมู่มากหรือประเทศไทย,ต้องสร้างสตอรี่เรื่องราวให้มีเหตุต่อการจบของเรื่อง ซึ่งธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอนั้นเอง.,เรทไรเดอร์ประมาณนั้น,ลุง3ป.บวกโทนี่รับบทถูกคนแล้วและอาจวางแผนกันมานานตั้งแต่ร.9แล้วก็ด้วย,อาจอยู่ที่ต่างประเทศโน้น,โดยฝ่ายแสงช่วยสนับสนุนพิเศษ,และอาจเดินทางไปเห็นอนาคตด้วยยานข้ามเวลามาแล้ว,ที่ฝ่ายแสงพาไปเห็น,โลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ
    ..ฝ่ายมืดแพ้สิ้นท่าแล้วก็ว่า,แค่ปลุกให้เราประชาชนมาตื่นรู้ค่าจริงแค่นั้น แบบตายจริง เจ็งจริงจึงกระตุ้นแรงขับเคลื่อนยากตื่นรู้ร่วมกันได้ เหมือนเราคนไทยสามัคคีร่วมใจกันปิดด่านเขมรจนกว่าจะเขมรหมดศักยภาพสิ้นฤทธิ์มาเป็นภัยอันตรายใดๆต่อประเทศไทยได้,โทนี่ที่ติดคุกก็เพื่อคุ้มครองชีวิตโทนี่ได้100%เท่านั้นแม้เป็นตัวปลอมก็ตามแต่,ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยจากคนที่จะทำร้ายดีที่สุด,ทั้งหมดถูกวางเนื้อเรื่องไว้หมดแล้วจากผู้สร้างหนังเรื่องไทยยึดภูมะเขือนี้.
    ..นี้คือมโนแบบเชิงบวกโคตรๆ พวกนี้คือฮีโร่ คนไทยรู้หรือยังว่า ..ไม่มีอะไรจะสุดยอดไปกว่าที่คนไทยเรารักกัน คนไทยเราสามัคคีกัน และช่วยเหลือกันและกันพึ่งพากันเองดีที่สุด,มิตรที่ดีที่สุดคือไทยเราเอง คือคนไทยทั้งประเทศเราเอง.,และสุดท้ายเรา..ประชาชนอาจร่วมกัน อภัยกันและกันในความผิดพลาดทั้งของตนเองและคนอื่น,เพื่อร่วมสร้างชาติไทยเราใหม่อีกครั้ง,ถอยแก่คนไทยเราเอง เพื่อก้าวไปอย่างรุ่งโรจน์ร่วมกันในยุคสมัยหน้า,ศัตรูที่แท้จริงมิใช่คนภายในชาติไทยเรา แต่คือคนหมายไม่ดีต่อประเทศไทยและคนไทยเรา ให้แตกแยกกัน จะทางศาสนา เชื้อชาติ และใดๆก็ตาม,การล้างกวาดล้างประเทศไทยที่ดีที่สุดคือล้างแบบให้อภัยกัน ทุกๆคนที่ทำผิดพลาดหวังได้รับการอภัยเพื่อกลับตัวกลับใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เคยทำผิดพลาดในอดีต,คนลักษณะนี้สมควรให้อภัยเมื่อสำนึกแล้วมาทำความดีเพื่อประเทศชาติร่วมกัน,แต่กับคนไม่สำนึก เราก็มิอาจให้อภัยได้ทางตายเท่านั้นคือสิ่งที่มันต้องได้รับเช่นกัน.,ชาติจึงจะเดินต่อไปได้,สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้คือสถาบันกษัตริย์เราเท่านั้นจะเคลียร์ตรงนี้ได้,คือคนระบบแบบราชการไทยทั้งหมด ต้องเห็นค่าการสำนึกนี้ ถวายสัตย์นั้นเอง กลับตัวกลับใจใหม่ ความชั่วใดๆในอดีตจะไม่คิดคำนวนกลับมาอีกแก่บรรดาข้าราชการไทยทั่วประเทศ จงกลับเนื้อกลับตัวกลับใจตั้งมั่นทำความดีเพื่อชาติคือประชาชนและเพื่อแผ่นดินอธิปไตยไทยที่เกิดอาศัยดำรงชีพและตายนี้,คนข้าราชการไทยเราจะเกิดใหม่ทันที,ความผิดใดๆคือเป็นศูนย์,อภัยโทษนั้นเอง,ต่อมาคือประชาชนคนไทย ความผิดใดๆโทษอภัยหมด,ตั้งต้นชีวิตใหม่ ,หากข้าราชการไทยคนใด พ่อค้าเจ้าสัวใดยังมีพฤติกรรมชั่วเลวเหมือนเดิม โทษอาญาหนักแน่นอน,อาจยึดทรัพย์ทั้งตระกูล,ประหารชีวิตพร้อม,ส่วย เถื่อนทหารนายพลใดยังรับไม่ซื่อคือตายสถานเดียว,อะไรไม่ถูกต้องทำให้ถูกต้อง,สุดท้ายคนไทยจะเป็นหัวโขนอะไรใดๆจะรักเข้าใจกันหมด,สามัคคีร่วมแรงใจลงใจกันทั่วประเทศ,เรา..ทั้งประเทศไทยประชาชนคนไทยจะเสมือนเม็ดทรายเป็นเม็ดหินหลายลูกรวมกองกันเป็นภูเขาเงินภูเขาทองภูเขาเพชรที่แข็วแกร่งกว่าใดๆมิปานแน่นอน ตั้งสง่าใหญ่โตองอาจประดับคู่เคียงข้างโลกอย่างอารยะธรรมใดๆเสมอเหมือนมิมีแน่นอนในยุคปัจจุบันนี้,ยุคคนเหนือมนุษย์รวมสาระพัดทุกๆศาสตราจักรวาลอาจมารวมไว้ที่ไทยเรานี้,จะล้ำๆต่างดาวยุคอารยะธรรมใดๆก็ตามThe godsใดๆที่ผ่านมาเหยียบโลกนี้มากมายเพียงใดก็ตาม,สนามหลวงแห่งกายเนื้อนี้คนไทยเราตีแตกหมดนั้นเอง,จะโคตรสุดยอดอัจฉริยะขนาดไหนอีก,บรรลุธรรมจักรวาลเป็นว่าเล่นนั้นเอง,โดยต่างดาวใดๆที่มาเยือนมายึดครองโลกมากมายหลายล้านล้านปีก็ยังกระทำไม่ได้เช่นคนไทยเราทำได้นับจากยุคนี้ร.10เราเป็นต้นไปนั้นเอง.,
    อภัยหนี้ อภัยโทษ จึงคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยจิตวิญญาณ.
    https://youtube.com/shorts/laYhDaCK47s?si=k-m4UrsIFSNUBfd1
    55,ยึดอำนาจมา อำนาจเต็มมือ สั่ง ม.44แบบไหนก็ได้,ยุทธศาสตร์ชาติ20ปีด้วยนะ. ..คิดในมุมบวกแบบบวกโคตรๆ 3ป.อาจคือผู้เสียสละร่วมกับโทนี่ก็ได้,เพื่อลากไส้เขมรและผู้สนับสนุนเขมรทั้งหมด ตลอดพวกจะล้มจะยึดจะทำลายประเทศไทยให้เปิดเผยออกมาทั้งหมด เพื่อเก็บกวาดครั้งเดียว จะบ่อนจะพื้นที่ดินแดนจะอะไรชั่วเลวสาระพัดที่กระทำต่อแผ่นดินไทยประเทศไทยคนเสียสละเหล่านี้รับบทเล่นเต็มที่ แม้คนทั้งชาติจะตราหน้าว่าขายชาติก็ตาม เพื่อล่อเหยื่อตัวพ่อตัวแม่ออกมาได้จริงๆ,ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ จนกระทั่งขายวิญญาณให้ซาตานก็ได้เพื่อแลกกับความไว้วางใจของซาตาน แต่บทสุดท้ายคือพลิก เป้าหมายคือเพื่อทำลายซาตานให้พินาศทั้งหมดทั้งเครือข่ายนั้นเอง,เสียสละตนเองเพื่อพิทักษ์คนหมู่มากหรือประเทศไทย,ต้องสร้างสตอรี่เรื่องราวให้มีเหตุต่อการจบของเรื่อง ซึ่งธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอนั้นเอง.,เรทไรเดอร์ประมาณนั้น,ลุง3ป.บวกโทนี่รับบทถูกคนแล้วและอาจวางแผนกันมานานตั้งแต่ร.9แล้วก็ด้วย,อาจอยู่ที่ต่างประเทศโน้น,โดยฝ่ายแสงช่วยสนับสนุนพิเศษ,และอาจเดินทางไปเห็นอนาคตด้วยยานข้ามเวลามาแล้ว,ที่ฝ่ายแสงพาไปเห็น,โลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ ..ฝ่ายมืดแพ้สิ้นท่าแล้วก็ว่า,แค่ปลุกให้เราประชาชนมาตื่นรู้ค่าจริงแค่นั้น แบบตายจริง เจ็งจริงจึงกระตุ้นแรงขับเคลื่อนยากตื่นรู้ร่วมกันได้ เหมือนเราคนไทยสามัคคีร่วมใจกันปิดด่านเขมรจนกว่าจะเขมรหมดศักยภาพสิ้นฤทธิ์มาเป็นภัยอันตรายใดๆต่อประเทศไทยได้,โทนี่ที่ติดคุกก็เพื่อคุ้มครองชีวิตโทนี่ได้100%เท่านั้นแม้เป็นตัวปลอมก็ตามแต่,ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยจากคนที่จะทำร้ายดีที่สุด,ทั้งหมดถูกวางเนื้อเรื่องไว้หมดแล้วจากผู้สร้างหนังเรื่องไทยยึดภูมะเขือนี้. ..นี้คือมโนแบบเชิงบวกโคตรๆ พวกนี้คือฮีโร่ คนไทยรู้หรือยังว่า ..ไม่มีอะไรจะสุดยอดไปกว่าที่คนไทยเรารักกัน คนไทยเราสามัคคีกัน และช่วยเหลือกันและกันพึ่งพากันเองดีที่สุด,มิตรที่ดีที่สุดคือไทยเราเอง คือคนไทยทั้งประเทศเราเอง.,และสุดท้ายเรา..ประชาชนอาจร่วมกัน อภัยกันและกันในความผิดพลาดทั้งของตนเองและคนอื่น,เพื่อร่วมสร้างชาติไทยเราใหม่อีกครั้ง,ถอยแก่คนไทยเราเอง เพื่อก้าวไปอย่างรุ่งโรจน์ร่วมกันในยุคสมัยหน้า,ศัตรูที่แท้จริงมิใช่คนภายในชาติไทยเรา แต่คือคนหมายไม่ดีต่อประเทศไทยและคนไทยเรา ให้แตกแยกกัน จะทางศาสนา เชื้อชาติ และใดๆก็ตาม,การล้างกวาดล้างประเทศไทยที่ดีที่สุดคือล้างแบบให้อภัยกัน ทุกๆคนที่ทำผิดพลาดหวังได้รับการอภัยเพื่อกลับตัวกลับใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เคยทำผิดพลาดในอดีต,คนลักษณะนี้สมควรให้อภัยเมื่อสำนึกแล้วมาทำความดีเพื่อประเทศชาติร่วมกัน,แต่กับคนไม่สำนึก เราก็มิอาจให้อภัยได้ทางตายเท่านั้นคือสิ่งที่มันต้องได้รับเช่นกัน.,ชาติจึงจะเดินต่อไปได้,สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้คือสถาบันกษัตริย์เราเท่านั้นจะเคลียร์ตรงนี้ได้,คือคนระบบแบบราชการไทยทั้งหมด ต้องเห็นค่าการสำนึกนี้ ถวายสัตย์นั้นเอง กลับตัวกลับใจใหม่ ความชั่วใดๆในอดีตจะไม่คิดคำนวนกลับมาอีกแก่บรรดาข้าราชการไทยทั่วประเทศ จงกลับเนื้อกลับตัวกลับใจตั้งมั่นทำความดีเพื่อชาติคือประชาชนและเพื่อแผ่นดินอธิปไตยไทยที่เกิดอาศัยดำรงชีพและตายนี้,คนข้าราชการไทยเราจะเกิดใหม่ทันที,ความผิดใดๆคือเป็นศูนย์,อภัยโทษนั้นเอง,ต่อมาคือประชาชนคนไทย ความผิดใดๆโทษอภัยหมด,ตั้งต้นชีวิตใหม่ ,หากข้าราชการไทยคนใด พ่อค้าเจ้าสัวใดยังมีพฤติกรรมชั่วเลวเหมือนเดิม โทษอาญาหนักแน่นอน,อาจยึดทรัพย์ทั้งตระกูล,ประหารชีวิตพร้อม,ส่วย เถื่อนทหารนายพลใดยังรับไม่ซื่อคือตายสถานเดียว,อะไรไม่ถูกต้องทำให้ถูกต้อง,สุดท้ายคนไทยจะเป็นหัวโขนอะไรใดๆจะรักเข้าใจกันหมด,สามัคคีร่วมแรงใจลงใจกันทั่วประเทศ,เรา..ทั้งประเทศไทยประชาชนคนไทยจะเสมือนเม็ดทรายเป็นเม็ดหินหลายลูกรวมกองกันเป็นภูเขาเงินภูเขาทองภูเขาเพชรที่แข็วแกร่งกว่าใดๆมิปานแน่นอน ตั้งสง่าใหญ่โตองอาจประดับคู่เคียงข้างโลกอย่างอารยะธรรมใดๆเสมอเหมือนมิมีแน่นอนในยุคปัจจุบันนี้,ยุคคนเหนือมนุษย์รวมสาระพัดทุกๆศาสตราจักรวาลอาจมารวมไว้ที่ไทยเรานี้,จะล้ำๆต่างดาวยุคอารยะธรรมใดๆก็ตามThe godsใดๆที่ผ่านมาเหยียบโลกนี้มากมายเพียงใดก็ตาม,สนามหลวงแห่งกายเนื้อนี้คนไทยเราตีแตกหมดนั้นเอง,จะโคตรสุดยอดอัจฉริยะขนาดไหนอีก,บรรลุธรรมจักรวาลเป็นว่าเล่นนั้นเอง,โดยต่างดาวใดๆที่มาเยือนมายึดครองโลกมากมายหลายล้านล้านปีก็ยังกระทำไม่ได้เช่นคนไทยเราทำได้นับจากยุคนี้ร.10เราเป็นต้นไปนั้นเอง., อภัยหนี้ อภัยโทษ จึงคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยจิตวิญญาณ. https://youtube.com/shorts/laYhDaCK47s?si=k-m4UrsIFSNUBfd1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อินเทอร์เน็ตใหญ่แค่ไหน? — เมื่อข้อมูลทะลุ 181 Zettabytes และโลกต้องจ่ายด้วยพลังงานและน้ำมหาศาล”

    ลองจินตนาการว่าในเวลาเพียงหนึ่งนาทีของอินเทอร์เน็ต มีการสตรีม Netflix กว่าล้านชั่วโมง อัปโหลดวิดีโอ YouTube หลายพันชั่วโมง และโพสต์ภาพบน Instagram นับไม่ถ้วน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวินาที

    ข้อมูลทั่วโลกในปี 2024 มีปริมาณถึง 149 Zettabytes และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 181 Zettabytesภายในสิ้นปี 20252 โดยบางการคาดการณ์อาจอยู่ที่ 175 ZB แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่ง Zettabyte หนึ่งเท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes — ขนาดที่สมองมนุษย์แทบจินตนาการไม่ออก

    แต่การวัด “ขนาดของอินเทอร์เน็ต” ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณข้อมูล เพราะยังมีข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Google หรือ search engine เช่น ฐานข้อมูลส่วนตัว แอปพลิเคชัน และเครือข่ายปิด ซึ่งเรียกรวมกันว่า “Deep Web” และยังมี “Dark Web” ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่านั้นอีก

    ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นทุกวันกว่า 402 ล้าน Terabytes จากโพสต์โซเชียลมีเดีย วิดีโอ อุปกรณ์ IoT รถยนต์อัจฉริยะ และระบบคลาวด์ แม้แต่ CERN ก็ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งเทียบได้กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

    แต่เบื้องหลังโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือผลกระทบทางกายภาพที่ไม่อาจมองข้าม — ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 2% ของทั้งโลก และบางแห่งใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน แม้บางบริษัทจะเริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการขยายตัวของข้อมูลที่ไม่มีวันหยุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปริมาณข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ 181 Zettabytes
    หนึ่ง Zettabyte เท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes
    ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นกว่า 402 ล้าน Terabytes ต่อวัน
    CERN ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์

    ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง
    Deep Web และ Dark Web ไม่สามารถเข้าถึงผ่าน search engine
    แอปพลิเคชันและเครือข่ายปิดมีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไม่ถูกนับรวม
    ขนาดของอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถวัดได้แน่นอน

    ผลกระทบทางกายภาพจากข้อมูล
    ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าราว 2% ของโลก
    บางศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน
    Amazon เริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” เพื่อช่วยลดผลกระทบ
    Cloud storage ช่วยแบ่งเบาภาระจากศูนย์ข้อมูล แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IDC คาดว่าปริมาณข้อมูลจะเพิ่มเป็น 394 Zettabytes ภายในปี 2028
    การเติบโตของ AI และ IoT เป็นตัวเร่งให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    การวัดขนาดอินเทอร์เน็ตต้องพิจารณา 5V: Volume, Variety, Velocity, Value, Veracity
    การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัย การตลาด และ AI มีประโยชน์มหาศาล แต่ต้องแลกด้วยทรัพยากร

    https://www.slashgear.com/1970107/how-big-is-the-internet-data-size/
    🌐 “อินเทอร์เน็ตใหญ่แค่ไหน? — เมื่อข้อมูลทะลุ 181 Zettabytes และโลกต้องจ่ายด้วยพลังงานและน้ำมหาศาล” ลองจินตนาการว่าในเวลาเพียงหนึ่งนาทีของอินเทอร์เน็ต มีการสตรีม Netflix กว่าล้านชั่วโมง อัปโหลดวิดีโอ YouTube หลายพันชั่วโมง และโพสต์ภาพบน Instagram นับไม่ถ้วน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวินาที ข้อมูลทั่วโลกในปี 2024 มีปริมาณถึง 149 Zettabytes และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 181 Zettabytesภายในสิ้นปี 20252 โดยบางการคาดการณ์อาจอยู่ที่ 175 ZB แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่ง Zettabyte หนึ่งเท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes — ขนาดที่สมองมนุษย์แทบจินตนาการไม่ออก แต่การวัด “ขนาดของอินเทอร์เน็ต” ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณข้อมูล เพราะยังมีข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Google หรือ search engine เช่น ฐานข้อมูลส่วนตัว แอปพลิเคชัน และเครือข่ายปิด ซึ่งเรียกรวมกันว่า “Deep Web” และยังมี “Dark Web” ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกกว่านั้นอีก ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นทุกวันกว่า 402 ล้าน Terabytes จากโพสต์โซเชียลมีเดีย วิดีโอ อุปกรณ์ IoT รถยนต์อัจฉริยะ และระบบคลาวด์ แม้แต่ CERN ก็ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งเทียบได้กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่เบื้องหลังโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือผลกระทบทางกายภาพที่ไม่อาจมองข้าม — ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกใช้ไฟฟ้าราว 2% ของทั้งโลก และบางแห่งใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน แม้บางบริษัทจะเริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับการขยายตัวของข้อมูลที่ไม่มีวันหยุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปริมาณข้อมูลทั่วโลกในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ 181 Zettabytes ➡️ หนึ่ง Zettabyte เท่ากับหนึ่งล้านล้าน Gigabytes ➡️ ข้อมูลใหม่เกิดขึ้นกว่า 402 ล้าน Terabytes ต่อวัน ➡️ CERN ผลิตข้อมูลระดับ Petabyte ต่อวันจากการทดลองฟิสิกส์ ✅ ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง ➡️ Deep Web และ Dark Web ไม่สามารถเข้าถึงผ่าน search engine ➡️ แอปพลิเคชันและเครือข่ายปิดมีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ไม่ถูกนับรวม ➡️ ขนาดของอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถวัดได้แน่นอน ✅ ผลกระทบทางกายภาพจากข้อมูล ➡️ ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าราว 2% ของโลก ➡️ บางศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมากถึง 5 ล้านแกลลอนต่อวันเพื่อระบายความร้อน ➡️ Amazon เริ่มใช้ “น้ำรีไซเคิล” เพื่อช่วยลดผลกระทบ ➡️ Cloud storage ช่วยแบ่งเบาภาระจากศูนย์ข้อมูล แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IDC คาดว่าปริมาณข้อมูลจะเพิ่มเป็น 394 Zettabytes ภายในปี 2028 ➡️ การเติบโตของ AI และ IoT เป็นตัวเร่งให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ การวัดขนาดอินเทอร์เน็ตต้องพิจารณา 5V: Volume, Variety, Velocity, Value, Veracity ➡️ การใช้ข้อมูลเพื่อการวิจัย การตลาด และ AI มีประโยชน์มหาศาล แต่ต้องแลกด้วยทรัพยากร https://www.slashgear.com/1970107/how-big-is-the-internet-data-size/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How Big Is The Internet? Here's How Much Data Is On It - SlashGear
    We may use the internet every day, but we take the massive resource for granted. How much data is actually on the internet and how is it quantified?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi Jammer: อุปกรณ์เล็กที่สร้างช่องโหว่ใหญ่ — เมื่อบ้านอัจฉริยะอาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด”

    ในยุคที่บ้านอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย เซ็นเซอร์ประตู และระบบแจ้งเตือนผ่านแอปมือถือ กลับมีภัยเงียบที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Wi-Fi Jammer” — อุปกรณ์ที่สามารถรบกวนสัญญาณไร้สายและทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานชั่วคราว

    แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีสายลับ แต่ Wi-Fi Jammer มีขายจริงในตลาดมืด และมีราคาตั้งแต่ $200 ไปจนถึงมากกว่า $2,000 โดยสามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์แจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์นี้ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทั้งสำหรับประชาชนทั่วไปและแม้แต่ตำรวจท้องถิ่น โดยหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน เพราะมันสามารถรบกวนการสื่อสารฉุกเฉินได้

    ข่าวที่ออกมาในช่วงหลังมักเน้นความน่ากลัวของอุปกรณ์นี้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิสและฟีนิกซ์ ที่มีรายงานว่ามีการใช้ jammer ในการขโมยของ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะการใช้งาน jammer ต้องอยู่ใกล้เป้าหมายมาก และอุปกรณ์อย่างกล้องหน้าบ้านที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวมักจะบันทึกภาพผู้บุกรุกไว้ได้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัด

    นอกจากนี้ Wi-Fi Jammer ยังรบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บ้านข้างเคียงได้รับผลกระทบไปด้วย และสร้างความสนใจจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้ง่าย ทำให้ผู้บุกรุกอาจไม่เลือกใช้วิธีนี้หากต้องการความเงียบและรวดเร็ว

    ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่าในช่วงปี 1994–2011 ผู้บุกรุกส่วนใหญ่เข้าบ้านผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อกหรือหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และในปี 2025 จำนวนการบุกรุกบ้านลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน และลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wi-Fi Jammer เป็นอุปกรณ์ที่รบกวนสัญญาณไร้สาย เช่น กล้องและเซ็นเซอร์บ้านอัจฉริยะ
    มีราคาตั้งแต่ $200–$2,000 และสามารถกดปุ่มเพื่อรบกวนสัญญาณได้ทันที
    ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นก็ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Oregon เสนอร่างกฎหมาย SB 959 เพื่อเพิ่ม jammer ในรายการเครื่องมือโจรกรรม
    ADT และบริษัทความปลอดภัยอื่น ๆ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ออกกฎหมายควบคุม jammer
    Jammer รบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจกระทบบ้านข้างเคียง
    กล้องที่มี motion detection มักบันทึกภาพผู้บุกรุกได้ก่อนสัญญาณจะถูกตัด

    สถิติและแนวโน้ม
    การบุกรุกบ้านในสหรัฐฯ ลดลง 19% ในครึ่งปีแรกของ 2025
    ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลจาก Council on Criminal Justice
    ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ยังใช้วิธีง่าย ๆ เช่น เข้าทางประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ล็อก
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสริมระบบป้องกันรอบบ้าน เช่น ไฟส่องสว่างและเสียงเตือน

    https://www.slashgear.com/1969940/do-wifi-jammers-work-home-security-risks/
    📶 “Wi-Fi Jammer: อุปกรณ์เล็กที่สร้างช่องโหว่ใหญ่ — เมื่อบ้านอัจฉริยะอาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด” ในยุคที่บ้านอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย เซ็นเซอร์ประตู และระบบแจ้งเตือนผ่านแอปมือถือ กลับมีภัยเงียบที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Wi-Fi Jammer” — อุปกรณ์ที่สามารถรบกวนสัญญาณไร้สายและทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานชั่วคราว แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีสายลับ แต่ Wi-Fi Jammer มีขายจริงในตลาดมืด และมีราคาตั้งแต่ $200 ไปจนถึงมากกว่า $2,000 โดยสามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์แจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์นี้ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทั้งสำหรับประชาชนทั่วไปและแม้แต่ตำรวจท้องถิ่น โดยหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน เพราะมันสามารถรบกวนการสื่อสารฉุกเฉินได้ ข่าวที่ออกมาในช่วงหลังมักเน้นความน่ากลัวของอุปกรณ์นี้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิสและฟีนิกซ์ ที่มีรายงานว่ามีการใช้ jammer ในการขโมยของ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะการใช้งาน jammer ต้องอยู่ใกล้เป้าหมายมาก และอุปกรณ์อย่างกล้องหน้าบ้านที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวมักจะบันทึกภาพผู้บุกรุกไว้ได้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัด นอกจากนี้ Wi-Fi Jammer ยังรบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บ้านข้างเคียงได้รับผลกระทบไปด้วย และสร้างความสนใจจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้ง่าย ทำให้ผู้บุกรุกอาจไม่เลือกใช้วิธีนี้หากต้องการความเงียบและรวดเร็ว ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่าในช่วงปี 1994–2011 ผู้บุกรุกส่วนใหญ่เข้าบ้านผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อกหรือหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และในปี 2025 จำนวนการบุกรุกบ้านลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน และลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wi-Fi Jammer เป็นอุปกรณ์ที่รบกวนสัญญาณไร้สาย เช่น กล้องและเซ็นเซอร์บ้านอัจฉริยะ ➡️ มีราคาตั้งแต่ $200–$2,000 และสามารถกดปุ่มเพื่อรบกวนสัญญาณได้ทันที ➡️ ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นก็ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Oregon เสนอร่างกฎหมาย SB 959 เพื่อเพิ่ม jammer ในรายการเครื่องมือโจรกรรม ➡️ ADT และบริษัทความปลอดภัยอื่น ๆ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ออกกฎหมายควบคุม jammer ➡️ Jammer รบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจกระทบบ้านข้างเคียง ➡️ กล้องที่มี motion detection มักบันทึกภาพผู้บุกรุกได้ก่อนสัญญาณจะถูกตัด ✅ สถิติและแนวโน้ม ➡️ การบุกรุกบ้านในสหรัฐฯ ลดลง 19% ในครึ่งปีแรกของ 2025 ➡️ ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลจาก Council on Criminal Justice ➡️ ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ยังใช้วิธีง่าย ๆ เช่น เข้าทางประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ล็อก ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสริมระบบป้องกันรอบบ้าน เช่น ไฟส่องสว่างและเสียงเตือน https://www.slashgear.com/1969940/do-wifi-jammers-work-home-security-risks/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Do Wi-Fi Jammers Really Work? What To Know About The Home Security Threat - SlashGear
    Wi-Fi Jammers are a recurring concern for many homeowners who rely on a wi-fi signal for home security, but how much of a threat are the devices?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ

    Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที

    จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด

    นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน

    ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ

    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่
    มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา
    เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์

    ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG
    ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด
    คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า

    ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban
    ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป
    เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต
    อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย
    ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    📰 Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI ที่ดูดีแต่มีเหตุผลชาญฉลาดที่ควรคิดก่อนซื้อ Meta เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ “Ray-Ban Display” ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดเล็กบนเลนส์ขวา ใช้สำหรับดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสายวิดีโอ และใช้งานฟีเจอร์ AI แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลย แว่นตานี้ยังเชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยแปลภาษา ดูแผนที่ และเข้าใจสิ่งรอบตัวได้ทันที จุดเด่นอีกอย่างคือการควบคุมด้วย “Neural Band” สายรัดข้อมือ EMG ที่แปลการเคลื่อนไหวของนิ้วมือเป็นคำสั่ง เช่น การแตะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เพื่อเลื่อนหน้าจอหรือคลิก ซึ่งคล้ายกับฟีเจอร์บน Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า แม้จะดูเป็นก้าวใหม่ของการคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ แต่คำว่า “private computing” ที่ Meta เน้นย้ำกลับถูกตั้งคำถาม เพราะบริษัทมีประวัติด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การถูกฟ้องร้องจากอดีตหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ WhatsApp ที่กล่าวหาว่าพนักงานหลายพันคนสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่จำกัด นอกจากนี้ Meta ยังเคยถูกปรับกว่า 8 พันล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อตกลงด้านข้อมูลส่วนบุคคล และมีแผนใช้ข้อมูลจากโพสต์และภาพของผู้ใช้ในยุโรปเพื่อฝึก AI โดยไม่ได้ให้ทางเลือกในการปฏิเสธอย่างชัดเจน ในยุคที่ AI สามารถเข้าใจภาพ เสียง และข้อความจากผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ การใส่แว่นตาที่มีไมโครโฟน กล้อง และ AI ตลอดเวลา จึงอาจเป็นดาบสองคมที่ควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจซื้อ ✅ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display แว่นตา AI รุ่นใหม่ ➡️ มีหน้าจอบนเลนส์ขวา ใช้ดูข้อความ ถ่ายภาพ รับสาย และแปลภาษา ➡️ เชื่อมต่อกับ Meta AI เพื่อช่วยเข้าใจสิ่งรอบตัวแบบเรียลไทม์ ✅ ควบคุมด้วย Neural Band สายรัดข้อมือ EMG ➡️ ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือแทนการแตะหรือพูด ➡️ คล้าย Apple Watch แต่แม่นยำและลื่นไหลกว่า ✅ ดีไซน์เน้นความเรียบหรูแบบ Ray-Ban ➡️ ไม่ดูเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีจนเกินไป ➡️ เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ✅ Meta เน้นคำว่า “private computing” ในการโปรโมต ➡️ อ้างว่ามีการเข้ารหัสและเชื่อมต่อแบบปลอดภัย ➡️ ใช้กับ WhatsApp, Messenger และ Instagram ได้โดยตรง https://www.slashgear.com/1972038/ray-ban-meta-ai-glasses-display-look-great-smart-reason-not-buy/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Meta's New AI Glasses Look Great, But There's A Smart Reason Not To Buy Them - SlashGear
    These Ray-Ban Display glasses look high tech enough, but with the injection of AI comes serious privacy concerns, for both the wearer and those around them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ChatGPT Projects เปิดให้ใช้ฟรีแล้ว — ฟีเจอร์จัดการงานระยะยาวที่เคยอยู่หลัง paywall กลายเป็นเครื่องมือหลักสำหรับทุกคน

    ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2020 ChatGPT ได้กลายเป็นผู้ช่วยสารพัดด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโค้ด คิดไอเดีย หรือแม้แต่แต่งกลอน แต่ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมหลายอย่าง เช่น การอัปโหลดไฟล์ การตั้งคำสั่งเฉพาะ และการใช้ GPT-5 มักถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงินเท่านั้น

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 OpenAI ได้ปลดล็อกฟีเจอร์ “Projects” ให้ผู้ใช้แบบฟรีสามารถใช้งานได้ทั่วโลก โดย Projects คือพื้นที่ทำงานอัจฉริยะที่รวมแชต ไฟล์ และคำสั่งเฉพาะไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้บริบทต่อเนื่อง เช่น การเขียนนิยาย การวางแผนธุรกิจ หรือการเรียนระยะยาว

    ผู้ใช้สามารถสร้างโปรเจกต์ใหม่ กำหนดโทนการตอบ เช่น “ช่วยคิดแบบนักการตลาด” หรือ “ตอบแบบกระชับและใช้ bullet point” และอัปโหลดไฟล์อ้างอิงได้สูงสุด 5 ไฟล์ในบัญชีฟรี (25 ไฟล์สำหรับ Plus และ 40 ไฟล์สำหรับ Pro/Enterprise) โดยไฟล์เหล่านี้สามารถถูกเรียกใช้ในแชตได้ทันที เช่น สร้างตารางจากข้อมูลใน Excel หรือดึงคำพูดจาก PDF

    Projects ยังรองรับการย้ายแชตเก่าเข้าไปในโปรเจกต์ใหม่ได้ โดยแชตจะรับบริบทและคำสั่งของโปรเจกต์นั้นทันที และสามารถกำหนดสีหรือไอคอนให้แต่ละโปรเจกต์เพื่อแยกงานได้ชัดเจน ทั้งหมดนี้ใช้งานได้ทั้งบนเว็บและมือถือ

    Projects เปิดให้ผู้ใช้แบบฟรีใช้งานได้แล้ว
    เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน
    เปิดให้ใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ 3 กันยายน 2025

    Projects คือพื้นที่ทำงานอัจฉริยะสำหรับงานระยะยาว
    รวมแชต ไฟล์ และคำสั่งเฉพาะไว้ในที่เดียว
    เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้บริบทต่อเนื่อง เช่น เขียนหนังสือ วางแผนธุรกิจ หรือเรียน

    รองรับการอัปโหลดไฟล์อ้างอิง
    บัญชีฟรี: 5 ไฟล์ / Plus: 25 ไฟล์ / Pro: 40 ไฟล์
    ใช้ไฟล์ในแชตได้ทันที เช่น สร้างตารางจาก Excel หรือดึงข้อมูลจาก PDF

    ตั้งคำสั่งเฉพาะในแต่ละโปรเจกต์ได้
    เช่น “ตอบแบบ mentor”, “ใช้ภาษาทางการ”, “ถามกลับก่อนตอบ”
    คำสั่งจะมีผลเฉพาะในโปรเจกต์นั้น ไม่กระทบการตั้งค่าทั่วไป

    ย้ายแชตเก่าเข้าโปรเจกต์ใหม่ได้
    ใช้เมนู “Add to project” หรือ drag & drop
    แชตจะรับบริบทและคำสั่งของโปรเจกต์ทันที

    รองรับการใช้งานข้ามอุปกรณ์
    ใช้งานได้ทั้งบนเว็บและมือถือ
    กำหนดสีและไอคอนเพื่อแยกงานแต่ละโปรเจกต์

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของ Projects
    โปรเจกต์แบบ memory-only ไม่มีรายการความจำให้ลบแบบละเอียด
    หากต้องการให้ AI ลืมไฟล์หรือแชต ต้องลบออกจากโปรเจกต์หรือลบทิ้งทั้งหมด
    ผู้ใช้แบบองค์กรต้องเปิด memory ก่อนจึงจะใช้ project-only memory ได้
    ข้อมูลจากบัญชีฟรี/Plus/Pro อาจถูกใช้ในการฝึกโมเดล หากไม่ปิด “Improve the model for everyone” ใน Settings

    https://www.slashgear.com/1968178/chatgpt-projects-best-paid-feature-now-free/
    📰 ChatGPT Projects เปิดให้ใช้ฟรีแล้ว — ฟีเจอร์จัดการงานระยะยาวที่เคยอยู่หลัง paywall กลายเป็นเครื่องมือหลักสำหรับทุกคน ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2020 ChatGPT ได้กลายเป็นผู้ช่วยสารพัดด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโค้ด คิดไอเดีย หรือแม้แต่แต่งกลอน แต่ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมหลายอย่าง เช่น การอัปโหลดไฟล์ การตั้งคำสั่งเฉพาะ และการใช้ GPT-5 มักถูกจำกัดไว้เฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงินเท่านั้น ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 OpenAI ได้ปลดล็อกฟีเจอร์ “Projects” ให้ผู้ใช้แบบฟรีสามารถใช้งานได้ทั่วโลก โดย Projects คือพื้นที่ทำงานอัจฉริยะที่รวมแชต ไฟล์ และคำสั่งเฉพาะไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้บริบทต่อเนื่อง เช่น การเขียนนิยาย การวางแผนธุรกิจ หรือการเรียนระยะยาว ผู้ใช้สามารถสร้างโปรเจกต์ใหม่ กำหนดโทนการตอบ เช่น “ช่วยคิดแบบนักการตลาด” หรือ “ตอบแบบกระชับและใช้ bullet point” และอัปโหลดไฟล์อ้างอิงได้สูงสุด 5 ไฟล์ในบัญชีฟรี (25 ไฟล์สำหรับ Plus และ 40 ไฟล์สำหรับ Pro/Enterprise) โดยไฟล์เหล่านี้สามารถถูกเรียกใช้ในแชตได้ทันที เช่น สร้างตารางจากข้อมูลใน Excel หรือดึงคำพูดจาก PDF Projects ยังรองรับการย้ายแชตเก่าเข้าไปในโปรเจกต์ใหม่ได้ โดยแชตจะรับบริบทและคำสั่งของโปรเจกต์นั้นทันที และสามารถกำหนดสีหรือไอคอนให้แต่ละโปรเจกต์เพื่อแยกงานได้ชัดเจน ทั้งหมดนี้ใช้งานได้ทั้งบนเว็บและมือถือ ✅ Projects เปิดให้ผู้ใช้แบบฟรีใช้งานได้แล้ว ➡️ เคยเป็นฟีเจอร์เฉพาะสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน ➡️ เปิดให้ใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ 3 กันยายน 2025 ✅ Projects คือพื้นที่ทำงานอัจฉริยะสำหรับงานระยะยาว ➡️ รวมแชต ไฟล์ และคำสั่งเฉพาะไว้ในที่เดียว ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้บริบทต่อเนื่อง เช่น เขียนหนังสือ วางแผนธุรกิจ หรือเรียน ✅ รองรับการอัปโหลดไฟล์อ้างอิง ➡️ บัญชีฟรี: 5 ไฟล์ / Plus: 25 ไฟล์ / Pro: 40 ไฟล์ ➡️ ใช้ไฟล์ในแชตได้ทันที เช่น สร้างตารางจาก Excel หรือดึงข้อมูลจาก PDF ✅ ตั้งคำสั่งเฉพาะในแต่ละโปรเจกต์ได้ ➡️ เช่น “ตอบแบบ mentor”, “ใช้ภาษาทางการ”, “ถามกลับก่อนตอบ” ➡️ คำสั่งจะมีผลเฉพาะในโปรเจกต์นั้น ไม่กระทบการตั้งค่าทั่วไป ✅ ย้ายแชตเก่าเข้าโปรเจกต์ใหม่ได้ ➡️ ใช้เมนู “Add to project” หรือ drag & drop ➡️ แชตจะรับบริบทและคำสั่งของโปรเจกต์ทันที ✅ รองรับการใช้งานข้ามอุปกรณ์ ➡️ ใช้งานได้ทั้งบนเว็บและมือถือ ➡️ กำหนดสีและไอคอนเพื่อแยกงานแต่ละโปรเจกต์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของ Projects ⛔ โปรเจกต์แบบ memory-only ไม่มีรายการความจำให้ลบแบบละเอียด ⛔ หากต้องการให้ AI ลืมไฟล์หรือแชต ต้องลบออกจากโปรเจกต์หรือลบทิ้งทั้งหมด ⛔ ผู้ใช้แบบองค์กรต้องเปิด memory ก่อนจึงจะใช้ project-only memory ได้ ⛔ ข้อมูลจากบัญชีฟรี/Plus/Pro อาจถูกใช้ในการฝึกโมเดล หากไม่ปิด “Improve the model for everyone” ใน Settings https://www.slashgear.com/1968178/chatgpt-projects-best-paid-feature-now-free/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Was One Of ChatGPT's Best Paid Features (And Now It's Free) - SlashGear
    ChatGPT’s “Projects” feature -- once exclusive to paid users -- is now available for free, letting everyone better organize chats into folders.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์”

    MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน

    เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า

    MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm

    ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน
    ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก
    เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E

    กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน
    ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing
    มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC
    MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง
    ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน
    การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
    เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ

    https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    🧠 “MediaTek ปล่อยชิปเรือธงบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC — ก้าวแรกสู่ยุคใหม่ของ AI, มือถือ และยานยนต์” MediaTek ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงตัวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรของ TSMC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่เข้าสู่ยุค 2nm อย่างเป็นทางการ โดยชิปนี้จะเข้าสู่การผลิตจำนวนมากในช่วงปลายปี 2026 และพร้อมวางจำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกัน เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของลอจิกได้ถึง 1.2 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด 18% ที่พลังงานเท่าเดิม และลดการใช้พลังงานลงถึง 36% ที่ความเร็วเท่าเดิม เมื่อเทียบกับกระบวนการ N3E รุ่นก่อนหน้า MediaTek ยังไม่เปิดเผยว่าชิปนี้จะใช้ในผลิตภัณฑ์ใดโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC หรือชิปสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทเคยร่วมมือกันในโปรเจกต์ GB10 “Grace Blackwell” Superchip ที่ใช้กระบวนการ 3nm ชิปใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น มือถือระดับเรือธง, คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง, ยานยนต์อัจฉริยะ และเซิร์ฟเวอร์ edge computing โดย MediaTek ยืนยันว่าการร่วมมือกับ TSMC จะช่วยให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานได้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MediaTek ประกาศ tape-out ชิป SoC รุ่นเรือธงที่ใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ เข้าสู่การผลิตจำนวนมากปลายปี 2026 และวางจำหน่ายช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ ใช้โครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet เป็นครั้งแรก ➡️ เพิ่ม logic density 1.2 เท่า, เพิ่ม performance 18%, ลดพลังงาน 36% เทียบกับ N3E ✅ กลุ่มเป้าหมายและการใช้งาน ➡️ ชิปนี้อาจใช้ในมือถือ, คอมพิวเตอร์, ยานยนต์ และ edge computing ➡️ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ NVIDIA ในกลุ่ม AI PC ➡️ MediaTek และ TSMC มีความร่วมมือระยะยาวในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ➡️ ชิปนี้จะเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2P คือรุ่นพัฒนาต่อจาก N2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ Apple และ AMD ก็เตรียมใช้เทคโนโลยี 2nm ในชิปของตนในปี 2026 เช่นกัน ➡️ การใช้ nanosheet transistor ช่วยให้สามารถใส่ accelerator และ IP block ได้มากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม ➡️ เหมาะกับงาน on-device AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ใช้พลังงานต่ำ https://wccftech.com/mediatek-tapes-out-flagship-soc-tsmc-2nm-process-production-availability-end-2026/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Tapes Out Flagship SoC Using TSMC's 2nm Process, Mass Production & Availability By End of 2026
    MediaTek has announced the tape-out of its flagship SoC, fabricated on TSMC's 2nm process node, which will be available by the end of 2026.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง”

    ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

    Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน

    Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น

    Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

    Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ

    Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์
    ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง
    การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ
    AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร
    การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม
    SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
    ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท
    การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    🤖 “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง” ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์ ➡️ ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง ➡️ การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ ➡️ AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร ➡️ การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม ➡️ SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ➡️ ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท ➡️ การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs grapple with the realities of applying AI to security functions
    Viewed as a copilot to augment rather than revolutionize security operations, well-governed AI can deliver incremental results, according to security leaders’ early returns.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์”

    xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก

    P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น:

    - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว
    - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ
    - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end
    - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที

    นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier

    xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985

    จุดเด่นของ xTool P3
    เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ
    ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ
    AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ
    รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว

    ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม
    AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ
    RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก
    Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง
    ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ
    เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง
    มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985

    https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    🔧 “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์” xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น: - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985 ✅ จุดเด่นของ xTool P3 ➡️ เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ ➡️ ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ ➡️ AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ ➡️ รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว ✅ ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ➡️ AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ ➡️ RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก ➡️ Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง ➡️ ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ ➡️ เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง ➡️ มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985 https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    xTool P3: Industrial-Grade 80W CO₂ Laser Brings Automation To SMBs And Makers - SlashGear
    Whether you're a small business owner or just a creative with a workshop, a laser machine can upgrade your setup. Find out what makes the xTool P3 so special.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะในแคมปัสอัมสเตอร์ดัม — ฟรีซักผ้าแค่ชั่วคราว ก่อนระบบพังยับและนักศึกษาต้องเดินไกล”

    กลางเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฮกเกอร์นิรนามสามารถเจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าทั้งหมดเปิดให้ใช้งานฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ส่งผลให้นักศึกษากว่า 1,250 คนได้ซักผ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย — แต่ความสะดวกนี้อยู่ได้ไม่นาน

    บริษัท Duwo ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบเครื่องซักผ้าในแคมปัสตัดสินใจปิดการใช้งานเครื่องทั้งหมดในที่สุด โดยให้เหตุผลว่า “รายได้จากการซักผ้าเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้” แม้จะดูเหมือนค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่เมื่อรวมจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดแล้วก็กลายเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้ให้บริการ

    แม้จะมีเครื่องซักผ้าแบบอนาล็อก 10 เครื่องอยู่ใกล้ ๆ แต่หลายเครื่องมักเสียหรือใช้งานไม่ได้ โดยมีนักศึกษารายหนึ่งระบุว่า “มีเครื่องที่ใช้ได้จริงแค่เครื่องเดียวสำหรับนักศึกษาทั้งหมด” จนเกิดความกังวลเรื่องการระบาดของเหาเนื่องจากไม่สามารถซักผ้าได้อย่างสม่ำเสมอ

    Duwo จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบอนาล็อก โดยคาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่อีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน อาคารพักอาศัยอื่น ๆ ก็เริ่มหันหลังให้กับเครื่องซักผ้า IoT เช่นกัน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Sijmen Ruwhof ให้ความเห็นว่า การหาตัวแฮกเกอร์นั้นใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินคดี แม้จะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 6 ปีหากพบว่าเจตนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถด้านโปรแกรมมิ่งที่ “อดใจไม่ไหว” เมื่อเห็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะอยู่ตรงหน้า

    เหตุการณ์การแฮกระบบเครื่องซักผ้า
    เกิดขึ้นที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัมช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2025
    แฮกเกอร์เจาะระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าใช้งานฟรี
    Duwo ปิดระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะทั้งหมดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
    นักศึกษากว่า 1,250 คนได้รับผลกระทบจากการปิดระบบ

    ทางเลือกและการแก้ไข
    มีเครื่องซักผ้าอนาล็อก 10 เครื่องใกล้แคมปัส แต่มักเสียหรือใช้งานไม่ได้
    Duwo เตรียมติดตั้งเครื่องอนาล็อกเพิ่มอีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้
    อาคารพักอาศัยอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    นักศึกษาบางส่วนเดินไปใช้งานเครื่องซักผ้าในอาคารใกล้เคียงที่มีเครื่องมากกว่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่องซักผ้า IoT เป็นเป้าหมายใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ในยุคที่ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเน็ต
    การแฮกอุปกรณ์ IoT สามารถนำไปใช้โจมตีเว็บไซต์หรือระบบอื่นผ่าน botnet ได้
    การแฮกแบบ “zero-touch” ไม่ต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง — ใช้แค่โปรแกรมจากแล็ปท็อป
    การโจมตีอุปกรณ์อัจฉริยะในชีวิตประจำวันเริ่มมีผลกระทบจริงมากขึ้นในหลายประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-breaks-into-on-campus-smart-washing-machines-management-eventually-disables-devices-leaving-thousands-of-students-with-no-reliable-laundry-service
    🧺 “แฮกเกอร์เจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะในแคมปัสอัมสเตอร์ดัม — ฟรีซักผ้าแค่ชั่วคราว ก่อนระบบพังยับและนักศึกษาต้องเดินไกล” กลางเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อแฮกเกอร์นิรนามสามารถเจาะระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่ใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าทั้งหมดเปิดให้ใช้งานฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ส่งผลให้นักศึกษากว่า 1,250 คนได้ซักผ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย — แต่ความสะดวกนี้อยู่ได้ไม่นาน บริษัท Duwo ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบเครื่องซักผ้าในแคมปัสตัดสินใจปิดการใช้งานเครื่องทั้งหมดในที่สุด โดยให้เหตุผลว่า “รายได้จากการซักผ้าเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาบริการให้มีราคาที่เข้าถึงได้” แม้จะดูเหมือนค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่เมื่อรวมจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดแล้วก็กลายเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้ให้บริการ แม้จะมีเครื่องซักผ้าแบบอนาล็อก 10 เครื่องอยู่ใกล้ ๆ แต่หลายเครื่องมักเสียหรือใช้งานไม่ได้ โดยมีนักศึกษารายหนึ่งระบุว่า “มีเครื่องที่ใช้ได้จริงแค่เครื่องเดียวสำหรับนักศึกษาทั้งหมด” จนเกิดความกังวลเรื่องการระบาดของเหาเนื่องจากไม่สามารถซักผ้าได้อย่างสม่ำเสมอ Duwo จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบอนาล็อก โดยคาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่อีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน อาคารพักอาศัยอื่น ๆ ก็เริ่มหันหลังให้กับเครื่องซักผ้า IoT เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ Sijmen Ruwhof ให้ความเห็นว่า การหาตัวแฮกเกอร์นั้นใช้ทรัพยากรสูงและอาจไม่คุ้มค่าในการดำเนินคดี แม้จะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 6 ปีหากพบว่าเจตนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถด้านโปรแกรมมิ่งที่ “อดใจไม่ไหว” เมื่อเห็นเครื่องซักผ้าอัจฉริยะอยู่ตรงหน้า ✅ เหตุการณ์การแฮกระบบเครื่องซักผ้า ➡️ เกิดขึ้นที่ Spinozacampus ในอัมสเตอร์ดัมช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ แฮกเกอร์เจาะระบบชำระเงินดิจิทัล ทำให้เครื่องซักผ้าใช้งานฟรี ➡️ Duwo ปิดระบบเครื่องซักผ้าอัจฉริยะทั้งหมดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ➡️ นักศึกษากว่า 1,250 คนได้รับผลกระทบจากการปิดระบบ ✅ ทางเลือกและการแก้ไข ➡️ มีเครื่องซักผ้าอนาล็อก 10 เครื่องใกล้แคมปัส แต่มักเสียหรือใช้งานไม่ได้ ➡️ Duwo เตรียมติดตั้งเครื่องอนาล็อกเพิ่มอีก 5 เครื่องในเร็ว ๆ นี้ ➡️ อาคารพักอาศัยอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนกลับไปใช้เครื่องแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ นักศึกษาบางส่วนเดินไปใช้งานเครื่องซักผ้าในอาคารใกล้เคียงที่มีเครื่องมากกว่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่องซักผ้า IoT เป็นเป้าหมายใหม่ของการโจมตีไซเบอร์ในยุคที่ทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อเน็ต ➡️ การแฮกอุปกรณ์ IoT สามารถนำไปใช้โจมตีเว็บไซต์หรือระบบอื่นผ่าน botnet ได้ ➡️ การแฮกแบบ “zero-touch” ไม่ต้องเข้าถึงเครื่องโดยตรง — ใช้แค่โปรแกรมจากแล็ปท็อป ➡️ การโจมตีอุปกรณ์อัจฉริยะในชีวิตประจำวันเริ่มมีผลกระทบจริงมากขึ้นในหลายประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-breaks-into-on-campus-smart-washing-machines-management-eventually-disables-devices-leaving-thousands-of-students-with-no-reliable-laundry-service
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน

    ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล

    ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์

    Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI

    Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

    Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ

    Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง

    แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน
    ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล
    การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท

    อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน
    แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses
    Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+
    นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ
    AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI
    Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน
    การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Siri ถึง Symphony of AI: เมื่ออุปกรณ์รอบตัวกลายเป็นผู้ช่วยที่รู้ใจยิ่งกว่าสมาร์ตโฟน ในขณะที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางลงเพียงเล็กน้อย โลกเทคโนโลยีกำลังมองไปไกลกว่านั้น—ไปยังยุคที่สมาร์ตโฟนอาจกลายเป็นอุปกรณ์รอง เพราะผู้ช่วย AI จะกลายเป็นศูนย์กลางของการคำนวณส่วนบุคคล ผู้บริหารจากบริษัทใหญ่ เช่น Meta, Google, Amazon, Qualcomm และ Nothing ต่างเห็นตรงกันว่าอุปกรณ์สวมใส่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่การใช้งานแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาอัจฉริยะที่เข้าใจสิ่งที่เรามองเห็น, นาฬิกาที่จัดการชีวิตให้เรา, หรือจี้ติดเสื้อที่บันทึกบทสนทนาและให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ Meta ได้พัฒนา Ray-Ban Meta ที่มีผู้ช่วย AI ในตัว และเตรียมเปิดตัว Orion แว่นตาที่มีหน้าจอในเฟรม ส่วน Google ก็มีต้นแบบแว่นตาที่ใช้ Gemini เป็นผู้ช่วย AI Amazon มองว่า “Ambient Computing” จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ—อุปกรณ์ที่อยู่รอบตัว เช่น ลำโพงและจอภาพ จะทำงานร่วมกับ AI เพื่อให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา Carl Pei จาก Nothing เชื่อว่า “นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่” จะกลายเป็นศูนย์กลางของ AI ที่รู้จักพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดการชีวิตให้โดยอัตโนมัติ Limitless AI พัฒนา “AI Pendant” ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้เราจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และแม้แต่ช่วยให้เป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น โดยอิงจากบทสนทนาในชีวิตจริง ✅ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากสมาร์ตโฟน ➡️ ผู้ช่วย AI จะกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักของอุปกรณ์ส่วนบุคคล ➡️ การใช้งานแอปและเมนูจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานผ่านเสียงและบริบท ✅ อุปกรณ์ใหม่ที่กำลังมาแทนสมาร์ตโฟน ➡️ แว่นตาอัจฉริยะ: Ray-Ban Meta, Orion, Google Gemini Glasses ➡️ Ambient Computing: ลำโพงและจอภาพที่ทำงานร่วมกับ AI เช่น Alexa+ ➡️ นาฬิกาอัจฉริยะยุคใหม่: จัดการชีวิตและงานโดยอัตโนมัติ ➡️ AI Recorder: Limitless Pendant ที่บันทึกเสียงและให้คำแนะนำ ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ LongCat และ Gemini: โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนผู้ช่วย AI ➡️ Mixture-of-Experts (MoE): เปิดใช้งานเฉพาะส่วนที่จำเป็นเพื่อประหยัดพลังงาน ➡️ การเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชิ้นเป็น “Symphony of AI” ที่ทำงานร่วมกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/13/ai-could-make-the-smartphone-passe-what-comes-next
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI could make the smartphone passe. What comes next?
    Modern artificially intelligent assistants, which are far more capable and flexible than clunky voice helpers like Siri, are poised to become the central operating system of all our personal computing devices, superseding smartphone software in importance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากปลอกเท้าเด็กถึงหม้ออบอัจฉริยะ: เมื่อแกดเจ็ตเล็ก ๆ กลายเป็นฮีโร่ของชีวิตประจำวัน

    ในยุคที่เทคโนโลยีถูกพูดถึงแต่เรื่อง AI, สมาร์ตโฟนเรือธง หรือหุ่นยนต์สุดล้ำ มีอุปกรณ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ขึ้นพาดหัวข่าว แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใช้จริงอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่เราพบทุกวัน

    อุปกรณ์อัจฉริยะที่ถูกมองข้ามแต่มีประโยชน์จริง
    Rabbit Air A3: ฟอกอากาศพร้อมรายงานคุณภาพแบบเรียลไทม์
    Petcube GPS Tracker: ติดตามสัตว์เลี้ยงแบบเรียลไทม์ พร้อมโหมด Lost Dog
    KeySmart SmartCard: ขนาดเท่าบัตรเครดิต ใช้ Find My และชาร์จไร้สาย
    Tovala Smart Oven: สแกน QR code ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ
    Petkit Eversweet: น้ำพุสัตว์เลี้ยงพร้อม motion sensor และแจ้งเตือน
    Yoto Player: เครื่องเล่นหนังสือเสียงสำหรับเด็ก ไม่มีหน้าจอ
    Skylight Frame: กรอบรูปดิจิทัลที่รับภาพจากแอป
    Owlet Dream Sock: วัดชีพจรและออกซิเจนของทารก
    Oral B iO: แปรงสีฟันอัจฉริยะพร้อมเซนเซอร์แรงกด
    Smart Nora: อุปกรณ์ลดการกรนแบบไม่รบกวนการนอน
    X-Sense Smoke Detector: แจ้งเตือนผ่านมือถือ แยกแยะควันจากอาหาร
    Dyson Co-anda2x: เครื่องจัดแต่งผมอัจฉริยะพร้อม RFID และโปรไฟล์ผู้ใช้
    Itigoitie Smart Pot: กระถางต้นไม้ที่แจ้งเตือนความต้องการของพืช

    https://www.slashgear.com/1959415/overlooked-smart-gadgets-users-say-worth-trying/
    🎙️ เรื่องเล่าจากปลอกเท้าเด็กถึงหม้ออบอัจฉริยะ: เมื่อแกดเจ็ตเล็ก ๆ กลายเป็นฮีโร่ของชีวิตประจำวัน ในยุคที่เทคโนโลยีถูกพูดถึงแต่เรื่อง AI, สมาร์ตโฟนเรือธง หรือหุ่นยนต์สุดล้ำ มีอุปกรณ์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ขึ้นพาดหัวข่าว แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใช้จริงอย่างต่อเนื่อง เพราะมันช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ ที่เราพบทุกวัน ✅ อุปกรณ์อัจฉริยะที่ถูกมองข้ามแต่มีประโยชน์จริง ➡️ Rabbit Air A3: ฟอกอากาศพร้อมรายงานคุณภาพแบบเรียลไทม์ ➡️ Petcube GPS Tracker: ติดตามสัตว์เลี้ยงแบบเรียลไทม์ พร้อมโหมด Lost Dog ➡️ KeySmart SmartCard: ขนาดเท่าบัตรเครดิต ใช้ Find My และชาร์จไร้สาย ➡️ Tovala Smart Oven: สแกน QR code ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ ➡️ Petkit Eversweet: น้ำพุสัตว์เลี้ยงพร้อม motion sensor และแจ้งเตือน ➡️ Yoto Player: เครื่องเล่นหนังสือเสียงสำหรับเด็ก ไม่มีหน้าจอ ➡️ Skylight Frame: กรอบรูปดิจิทัลที่รับภาพจากแอป ➡️ Owlet Dream Sock: วัดชีพจรและออกซิเจนของทารก ➡️ Oral B iO: แปรงสีฟันอัจฉริยะพร้อมเซนเซอร์แรงกด ➡️ Smart Nora: อุปกรณ์ลดการกรนแบบไม่รบกวนการนอน ➡️ X-Sense Smoke Detector: แจ้งเตือนผ่านมือถือ แยกแยะควันจากอาหาร ➡️ Dyson Co-anda2x: เครื่องจัดแต่งผมอัจฉริยะพร้อม RFID และโปรไฟล์ผู้ใช้ ➡️ Itigoitie Smart Pot: กระถางต้นไม้ที่แจ้งเตือนความต้องการของพืช https://www.slashgear.com/1959415/overlooked-smart-gadgets-users-say-worth-trying/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Overlooked Smart Gadgets Users Say Are Worth Trying For Yourself - SlashGear
    These underrated smart gadgets may seem quirky, but users say they quietly solve daily hassles and prove more useful than their flashy tech counterparts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Breeze ถึง Copilot: เมื่อ KDE Frameworks 6.18 เปลี่ยนปุ่มว่างเปล่าให้กลายเป็นปุ่มอัจฉริยะ

    ในเดือนกันยายน 2025 KDE Project ได้ปล่อย KDE Frameworks 6.18 ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพื้นฐานที่ทำงานร่วมกับ KDE Plasma 6.4.5 และ KDE Gear 25.08.1 โดยมีฟีเจอร์เด่นคือการรองรับ “Copilot Key” บนแล็ปท็อปยุคใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นปุ่มที่ไม่มีฟังก์ชันใน Linux เลย

    ตอนนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ Copilot Key ใช้เรียกแอปหรือคำสั่งต่าง ๆ ได้ผ่านระบบ shortcut ของ KDE โดยสามารถใช้ร่วมกับปุ่มอื่นได้ เช่น Copilot + T เพื่อเปิด Terminal หรือ Copilot + B เพื่อเปิด Browser แม้จะยังไม่สามารถ rebind ให้เลียนแบบปุ่มอื่นได้ แต่ทีมพัฒนากำลังทำให้รองรับในอนาคต

    นอกจากนี้ KDE Frameworks 6.18 ยังปรับปรุงการโหลด toolbar ให้ลื่นไหลขึ้น, เพิ่มระบบ inhibit sleep/screen lock สำหรับ task ที่ลงทะเบียนกับ Plasma job tracker, และปรับปรุง dialog “New Folder” ให้รองรับ path ยาว ๆ แบบ word-wrap

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือการลบไอคอนแอป third-party ที่มีสีออกจากธีม Breeze เพื่อไม่ให้ไป override branding ของนักพัฒนาแอปอื่น และลดภาระในการดูแลไอคอนที่เปลี่ยนบ่อยตามเวอร์ชันของแอป

    ยังมีการแก้บั๊กหลายจุด เช่น widget sensor ที่ขนาดผิด, crash เมื่อ drag ไฟล์จาก Dolphin ไปยัง desktop, และปัญหา draggable list ที่ไม่สามารถ scroll ขึ้นได้ใน Kirigami-based apps

    การรองรับ Copilot Key บน KDE
    สามารถใช้ Copilot Key ตั้งค่าเรียกแอปหรือคำสั่งผ่าน shortcut
    ใช้งานร่วมกับปุ่มอื่นได้ เช่น Copilot + T
    ยังไม่สามารถ rebind ให้เลียนแบบปุ่มอื่นได้ แต่กำลังพัฒนาอยู่

    การปรับปรุง UI และระบบพื้นฐาน
    ปรับการโหลด toolbar ให้ลื่นขึ้น
    เพิ่มระบบ inhibit sleep/screen lock สำหรับ task ที่ลงทะเบียน
    ปรับ dialog “New Folder” ให้รองรับ path ยาวแบบ word-wrap

    การเปลี่ยนแปลงในธีม Breeze
    ลบไอคอน third-party ที่มีสีออกจากธีม Breeze
    เหตุผลคือไม่ต้องการ override branding และลดภาระการดูแล
    ผู้ใช้สามารถสร้างธีมใหม่และอัปโหลดไปยัง KDE Store ได้

    การแก้ไขบั๊กสำคัญ
    แก้ widget sensor ที่ขนาดผิดบน panel แบบ fit-content
    แก้ crash เมื่อ drag ไฟล์จาก Dolphin ไปยัง desktop หรือกลับกัน
    แก้ draggable list ที่ไม่สามารถ scroll ขึ้นได้ใน Kirigami-based apps

    https://9to5linux.com/kde-frameworks-6-18-lets-you-use-your-laptops-copilot-key-for-launching-apps
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Breeze ถึง Copilot: เมื่อ KDE Frameworks 6.18 เปลี่ยนปุ่มว่างเปล่าให้กลายเป็นปุ่มอัจฉริยะ ในเดือนกันยายน 2025 KDE Project ได้ปล่อย KDE Frameworks 6.18 ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพื้นฐานที่ทำงานร่วมกับ KDE Plasma 6.4.5 และ KDE Gear 25.08.1 โดยมีฟีเจอร์เด่นคือการรองรับ “Copilot Key” บนแล็ปท็อปยุคใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นปุ่มที่ไม่มีฟังก์ชันใน Linux เลย ตอนนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ Copilot Key ใช้เรียกแอปหรือคำสั่งต่าง ๆ ได้ผ่านระบบ shortcut ของ KDE โดยสามารถใช้ร่วมกับปุ่มอื่นได้ เช่น Copilot + T เพื่อเปิด Terminal หรือ Copilot + B เพื่อเปิด Browser แม้จะยังไม่สามารถ rebind ให้เลียนแบบปุ่มอื่นได้ แต่ทีมพัฒนากำลังทำให้รองรับในอนาคต นอกจากนี้ KDE Frameworks 6.18 ยังปรับปรุงการโหลด toolbar ให้ลื่นไหลขึ้น, เพิ่มระบบ inhibit sleep/screen lock สำหรับ task ที่ลงทะเบียนกับ Plasma job tracker, และปรับปรุง dialog “New Folder” ให้รองรับ path ยาว ๆ แบบ word-wrap อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือการลบไอคอนแอป third-party ที่มีสีออกจากธีม Breeze เพื่อไม่ให้ไป override branding ของนักพัฒนาแอปอื่น และลดภาระในการดูแลไอคอนที่เปลี่ยนบ่อยตามเวอร์ชันของแอป ยังมีการแก้บั๊กหลายจุด เช่น widget sensor ที่ขนาดผิด, crash เมื่อ drag ไฟล์จาก Dolphin ไปยัง desktop, และปัญหา draggable list ที่ไม่สามารถ scroll ขึ้นได้ใน Kirigami-based apps ✅ การรองรับ Copilot Key บน KDE ➡️ สามารถใช้ Copilot Key ตั้งค่าเรียกแอปหรือคำสั่งผ่าน shortcut ➡️ ใช้งานร่วมกับปุ่มอื่นได้ เช่น Copilot + T ➡️ ยังไม่สามารถ rebind ให้เลียนแบบปุ่มอื่นได้ แต่กำลังพัฒนาอยู่ ✅ การปรับปรุง UI และระบบพื้นฐาน ➡️ ปรับการโหลด toolbar ให้ลื่นขึ้น ➡️ เพิ่มระบบ inhibit sleep/screen lock สำหรับ task ที่ลงทะเบียน ➡️ ปรับ dialog “New Folder” ให้รองรับ path ยาวแบบ word-wrap ✅ การเปลี่ยนแปลงในธีม Breeze ➡️ ลบไอคอน third-party ที่มีสีออกจากธีม Breeze ➡️ เหตุผลคือไม่ต้องการ override branding และลดภาระการดูแล ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างธีมใหม่และอัปโหลดไปยัง KDE Store ได้ ✅ การแก้ไขบั๊กสำคัญ ➡️ แก้ widget sensor ที่ขนาดผิดบน panel แบบ fit-content ➡️ แก้ crash เมื่อ drag ไฟล์จาก Dolphin ไปยัง desktop หรือกลับกัน ➡️ แก้ draggable list ที่ไม่สามารถ scroll ขึ้นได้ใน Kirigami-based apps https://9to5linux.com/kde-frameworks-6-18-lets-you-use-your-laptops-copilot-key-for-launching-apps
    9TO5LINUX.COM
    KDE Frameworks 6.18 Lets You Use Your Laptop's Copilot Key for Launching Apps - 9to5Linux
    KDE Frameworks 6.18 open-source software suite is out now with various improvements and bug fixes for KDE apps and the Plasma desktop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “LUBA Mini AWD LiDAR: หุ่นยนต์ตัดหญ้าอัจฉริยะที่ไม่หลงทางอีกต่อไป — เมื่อ LiDAR, RTK และกล้อง 3D รวมพลังในระบบ Tri-Fusion”

    หุ่นยนต์ตัดหญ้าเคยเป็นของเล่นสำหรับคนรักเทคโนโลยี แต่วันนี้มันกลายเป็นเครื่องมือจริงจังสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความแม่นยำและความสะดวกสบาย ล่าสุด Mammotion เปิดตัว LUBA Mini AWD LiDAR หุ่นยนต์ตัดหญ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบนำทาง Tri-Fusion ซึ่งรวมเทคโนโลยีสามอย่างไว้ในเครื่องเดียว: RTK, กล้อง 3D และ LiDAR แบบ solid-state

    แต่ละเทคโนโลยีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง — RTK เหมาะกับพื้นที่โล่งแต่สัญญาณดาวเทียมอาจถูกบังด้วยต้นไม้, LiDAR แม่นยำในพื้นที่มีสิ่งกีดขวางแต่ไม่ดีในพื้นที่โล่ง, ส่วนกล้อง 3D ช่วยหลบหลีกวัตถุแต่ต้องการแสงเพื่อทำงานได้ดี. LUBA Mini AWD LiDAR จึงใช้ระบบ Tri-Fusion เพื่อสลับการทำงานระหว่างสามเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าที่มีร่มเงา, ทางลาด, หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง

    ตัวเครื่องยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ที่สามารถไต่ทางลาดได้ถึง 80% และตัดหญ้าได้แม้ในพื้นที่ขรุขระหรือริมแม่น้ำ โดยไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐานภายนอก ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นมาก

    เทคโนโลยี Tri-Fusion ใน LUBA Mini AWD LiDAR
    รวม RTK, LiDAR และกล้อง 3D เพื่อความแม่นยำระดับ ±1 ซม.
    สลับการทำงานระหว่างเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ
    RTK ใช้ในพื้นที่โล่ง, LiDAR ใช้ในพื้นที่มีสิ่งกีดขวาง, กล้องใช้หลบหลีกวัตถุ
    ไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐาน — ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว

    ความสามารถของตัวเครื่อง
    ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ไต่ทางลาดได้ถึง 80%
    ตัดหญ้าได้ในพื้นที่ขนาด 1,500 ตร.ม. ด้วยความแม่นยำสูง
    ใช้ LiDAR แบบ 144-beam สร้างแผนที่ 3D ด้วย 200,000 จุดต่อวินาที
    ตรวจจับวัตถุที่สะท้อนแสงต่ำ เช่น สัตว์เลี้ยงหรือของเล่นสีดำ

    การใช้งานจริงและความสะดวก
    ทำงานเงียบ (ต่ำกว่า 60 dB) เหมาะกับพื้นที่อยู่อาศัย
    รองรับการทำงานหลายโซนในสนามเดียวกัน
    ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน — ระบบประเมินสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ
    เหมาะกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้, เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง, หรือสิ่งกีดขวางอื่น ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี LiDAR เคยใช้ในหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่เพิ่งถูกนำมาใช้ในหุ่นยนต์ตัดหญ้า
    RTK คือเทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในงานเกษตรแม่นยำและโดรน
    กล้อง 3D ช่วยให้หุ่นยนต์หลบหลีกวัตถุได้แม่นยำขึ้น แต่ต้องการแสง
    Mammotion เคยใช้ระบบ dual-sensor ในรุ่นก่อนหน้า ก่อนพัฒนาเป็น Tri-Fusion

    https://www.techradar.com/home/smart-home/this-new-robot-mower-switches-between-lidar-rtk-and-cameras-to-make-sure-it-never-gets-lost
    🌿 “LUBA Mini AWD LiDAR: หุ่นยนต์ตัดหญ้าอัจฉริยะที่ไม่หลงทางอีกต่อไป — เมื่อ LiDAR, RTK และกล้อง 3D รวมพลังในระบบ Tri-Fusion” หุ่นยนต์ตัดหญ้าเคยเป็นของเล่นสำหรับคนรักเทคโนโลยี แต่วันนี้มันกลายเป็นเครื่องมือจริงจังสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการความแม่นยำและความสะดวกสบาย ล่าสุด Mammotion เปิดตัว LUBA Mini AWD LiDAR หุ่นยนต์ตัดหญ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมระบบนำทาง Tri-Fusion ซึ่งรวมเทคโนโลยีสามอย่างไว้ในเครื่องเดียว: RTK, กล้อง 3D และ LiDAR แบบ solid-state แต่ละเทคโนโลยีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง — RTK เหมาะกับพื้นที่โล่งแต่สัญญาณดาวเทียมอาจถูกบังด้วยต้นไม้, LiDAR แม่นยำในพื้นที่มีสิ่งกีดขวางแต่ไม่ดีในพื้นที่โล่ง, ส่วนกล้อง 3D ช่วยหลบหลีกวัตถุแต่ต้องการแสงเพื่อทำงานได้ดี. LUBA Mini AWD LiDAR จึงใช้ระบบ Tri-Fusion เพื่อสลับการทำงานระหว่างสามเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าที่มีร่มเงา, ทางลาด, หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ตัวเครื่องยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ที่สามารถไต่ทางลาดได้ถึง 80% และตัดหญ้าได้แม้ในพื้นที่ขรุขระหรือริมแม่น้ำ โดยไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐานภายนอก ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นมาก ✅ เทคโนโลยี Tri-Fusion ใน LUBA Mini AWD LiDAR ➡️ รวม RTK, LiDAR และกล้อง 3D เพื่อความแม่นยำระดับ ±1 ซม. ➡️ สลับการทำงานระหว่างเทคโนโลยีตามสภาพแวดล้อมแบบอัตโนมัติ ➡️ RTK ใช้ในพื้นที่โล่ง, LiDAR ใช้ในพื้นที่มีสิ่งกีดขวาง, กล้องใช้หลบหลีกวัตถุ ➡️ ไม่ต้องใช้สายล้อมเขตหรือสถานีฐาน — ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ✅ ความสามารถของตัวเครื่อง ➡️ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) ไต่ทางลาดได้ถึง 80% ➡️ ตัดหญ้าได้ในพื้นที่ขนาด 1,500 ตร.ม. ด้วยความแม่นยำสูง ➡️ ใช้ LiDAR แบบ 144-beam สร้างแผนที่ 3D ด้วย 200,000 จุดต่อวินาที ➡️ ตรวจจับวัตถุที่สะท้อนแสงต่ำ เช่น สัตว์เลี้ยงหรือของเล่นสีดำ ✅ การใช้งานจริงและความสะดวก ➡️ ทำงานเงียบ (ต่ำกว่า 60 dB) เหมาะกับพื้นที่อยู่อาศัย ➡️ รองรับการทำงานหลายโซนในสนามเดียวกัน ➡️ ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน — ระบบประเมินสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ ➡️ เหมาะกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้, เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง, หรือสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี LiDAR เคยใช้ในหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่เพิ่งถูกนำมาใช้ในหุ่นยนต์ตัดหญ้า ➡️ RTK คือเทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในงานเกษตรแม่นยำและโดรน ➡️ กล้อง 3D ช่วยให้หุ่นยนต์หลบหลีกวัตถุได้แม่นยำขึ้น แต่ต้องการแสง ➡️ Mammotion เคยใช้ระบบ dual-sensor ในรุ่นก่อนหน้า ก่อนพัฒนาเป็น Tri-Fusion https://www.techradar.com/home/smart-home/this-new-robot-mower-switches-between-lidar-rtk-and-cameras-to-make-sure-it-never-gets-lost
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NVIDIA เปิดตัว Rubin CPX: ชิป AI ที่แยกงานประมวลผลออกเป็นสองเฟส — ยกระดับการตอบสนองโมเดลยาวล้านโทเคนแบบไม่ต้องรอ”

    ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่ตอบคำถามสั้น ๆ แต่ต้องเข้าใจบทสนทนายาว ๆ โค้ดทั้งโปรเจกต์ หรือวิดีโอความยาวเป็นชั่วโมง NVIDIA ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Disaggregated Inference” ซึ่งแยกงานประมวลผลออกเป็นสองเฟสหลัก: เฟสบริบท (Context Phase) และเฟสสร้างผลลัพธ์ (Generation Phase)

    Rubin CPX คือ GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเฟสบริบท ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูงเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น โค้ดทั้ง repository หรือบทสนทนาในหลาย session โดย Rubin CPX ให้พลังถึง 30 petaFLOPs ด้วย NVFP4 และใช้หน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 128 GB — ต่างจาก Rubin GPU รุ่นหลักที่ใช้ HBM4 ขนาด 288 GB เพื่อรองรับเฟสสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง

    แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เพราะ NVIDIA ได้พิสูจน์แล้วผ่านการทดสอบ MLPerf โดยใช้เทคนิค “Disaggregated Serving” ที่แยกงาน context และ generation ออกจากกัน ทำให้ throughput ต่อ GPU เพิ่มขึ้นเกือบ 50% และลด latency ได้อย่างชัดเจน

    Rubin CPX จะถูกนำไปใช้ในระบบ Vera Rubin NVL144 CPX rack ซึ่งประกอบด้วย Rubin GPU 144 ตัว, Rubin CPX 144 ตัว, Vera CPU 36 ตัว, หน่วยความจำ 100 TB และแบนด์วิดท์ 1.7 PB/s — ให้พลังรวมถึง 8 exaFLOPs ซึ่งสูงกว่า GB300 NVL72 ถึง 7.5 เท่า

    Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ระบุว่า Rubin CPX คือ “GPU CUDA ตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อ AI ที่ต้องใช้บริบทยาวมหาศาล” และจะเป็นหัวใจของยุคใหม่ที่ AI ไม่ใช่แค่ autocomplete แต่เป็นผู้ช่วยที่เข้าใจงานทั้งระบบ

    สถาปัตยกรรม Disaggregated Inference
    แยกงาน inference ออกเป็น 2 เฟส: Context (compute-bound) และ Generation (memory-bound)
    เฟสบริบทใช้ Rubin CPX ที่เน้นพลังประมวลผล
    เฟสสร้างผลลัพธ์ใช้ Rubin GPU ที่เน้นแบนด์วิดท์หน่วยความจำ
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ต้องใช้ GPU แบบอเนกประสงค์

    ข้อมูลทางเทคนิคของ Rubin CPX
    พลังประมวลผล 30 petaFLOPs ด้วย NVFP4
    หน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 128 GB
    ใช้ดีไซน์แบบ monolithic die ต่างจาก Rubin GPU ที่เป็น dual-die chiplet
    ออกแบบมาเพื่องานที่มีบริบทยาว เช่น โค้ดทั้งโปรเจกต์หรือวิดีโอหลายชั่วโมง

    ระบบ Vera Rubin NVL144 CPX
    ประกอบด้วย Rubin GPU 144 ตัว, Rubin CPX 144 ตัว, Vera CPU 36 ตัว
    หน่วยความจำรวม 100 TB และแบนด์วิดท์ 1.7 PB/s
    พลังรวม 8 exaFLOPs — สูงกว่า GB300 NVL72 ถึง 7.5 เท่า
    รองรับการประมวลผล AI ระดับโรงงาน (AI Factory)

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rubin CPX ใช้ในงานที่ต้องประมวลผลล้านโทเคน เช่น video search, code analysis
    ใช้ร่วมกับ InfiniBand หรือ Spectrum-X Ethernet สำหรับการ scale-out
    NVIDIA ใช้ Dynamo orchestration layer เพื่อจัดการการแยกงานแบบอัจฉริยะ
    ผลการทดสอบ MLPerf ล่าสุดแสดงว่า Disaggregated Serving เพิ่มประสิทธิภาพได้จริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-rubin-cpx-forms-one-half-of-new-disaggregated-ai-inference-architecture-approach-splits-work-between-compute-and-bandwidth-optimized-chips-for-best-performance
    🧠 “NVIDIA เปิดตัว Rubin CPX: ชิป AI ที่แยกงานประมวลผลออกเป็นสองเฟส — ยกระดับการตอบสนองโมเดลยาวล้านโทเคนแบบไม่ต้องรอ” ในยุคที่ AI ไม่ได้แค่ตอบคำถามสั้น ๆ แต่ต้องเข้าใจบทสนทนายาว ๆ โค้ดทั้งโปรเจกต์ หรือวิดีโอความยาวเป็นชั่วโมง NVIDIA ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Disaggregated Inference” ซึ่งแยกงานประมวลผลออกเป็นสองเฟสหลัก: เฟสบริบท (Context Phase) และเฟสสร้างผลลัพธ์ (Generation Phase) Rubin CPX คือ GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเฟสบริบท ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูงเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น โค้ดทั้ง repository หรือบทสนทนาในหลาย session โดย Rubin CPX ให้พลังถึง 30 petaFLOPs ด้วย NVFP4 และใช้หน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 128 GB — ต่างจาก Rubin GPU รุ่นหลักที่ใช้ HBM4 ขนาด 288 GB เพื่อรองรับเฟสสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง แนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เพราะ NVIDIA ได้พิสูจน์แล้วผ่านการทดสอบ MLPerf โดยใช้เทคนิค “Disaggregated Serving” ที่แยกงาน context และ generation ออกจากกัน ทำให้ throughput ต่อ GPU เพิ่มขึ้นเกือบ 50% และลด latency ได้อย่างชัดเจน Rubin CPX จะถูกนำไปใช้ในระบบ Vera Rubin NVL144 CPX rack ซึ่งประกอบด้วย Rubin GPU 144 ตัว, Rubin CPX 144 ตัว, Vera CPU 36 ตัว, หน่วยความจำ 100 TB และแบนด์วิดท์ 1.7 PB/s — ให้พลังรวมถึง 8 exaFLOPs ซึ่งสูงกว่า GB300 NVL72 ถึง 7.5 เท่า Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ระบุว่า Rubin CPX คือ “GPU CUDA ตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อ AI ที่ต้องใช้บริบทยาวมหาศาล” และจะเป็นหัวใจของยุคใหม่ที่ AI ไม่ใช่แค่ autocomplete แต่เป็นผู้ช่วยที่เข้าใจงานทั้งระบบ ✅ สถาปัตยกรรม Disaggregated Inference ➡️ แยกงาน inference ออกเป็น 2 เฟส: Context (compute-bound) และ Generation (memory-bound) ➡️ เฟสบริบทใช้ Rubin CPX ที่เน้นพลังประมวลผล ➡️ เฟสสร้างผลลัพธ์ใช้ Rubin GPU ที่เน้นแบนด์วิดท์หน่วยความจำ ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ต้องใช้ GPU แบบอเนกประสงค์ ✅ ข้อมูลทางเทคนิคของ Rubin CPX ➡️ พลังประมวลผล 30 petaFLOPs ด้วย NVFP4 ➡️ หน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 128 GB ➡️ ใช้ดีไซน์แบบ monolithic die ต่างจาก Rubin GPU ที่เป็น dual-die chiplet ➡️ ออกแบบมาเพื่องานที่มีบริบทยาว เช่น โค้ดทั้งโปรเจกต์หรือวิดีโอหลายชั่วโมง ✅ ระบบ Vera Rubin NVL144 CPX ➡️ ประกอบด้วย Rubin GPU 144 ตัว, Rubin CPX 144 ตัว, Vera CPU 36 ตัว ➡️ หน่วยความจำรวม 100 TB และแบนด์วิดท์ 1.7 PB/s ➡️ พลังรวม 8 exaFLOPs — สูงกว่า GB300 NVL72 ถึง 7.5 เท่า ➡️ รองรับการประมวลผล AI ระดับโรงงาน (AI Factory) ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rubin CPX ใช้ในงานที่ต้องประมวลผลล้านโทเคน เช่น video search, code analysis ➡️ ใช้ร่วมกับ InfiniBand หรือ Spectrum-X Ethernet สำหรับการ scale-out ➡️ NVIDIA ใช้ Dynamo orchestration layer เพื่อจัดการการแยกงานแบบอัจฉริยะ ➡️ ผลการทดสอบ MLPerf ล่าสุดแสดงว่า Disaggregated Serving เพิ่มประสิทธิภาพได้จริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-rubin-cpx-forms-one-half-of-new-disaggregated-ai-inference-architecture-approach-splits-work-between-compute-and-bandwidth-optimized-chips-for-best-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • จริงๆเอาไปสร้างกำแพงรั้วลวดหนามน่าจะดีกว่า ตั้ง25,000ล้านบาท,พร้อมสร้างทันทีตลอดแนวเลยนะ เอาแบบให้เอกชนพื้นที่นั่นๆร่วมกันสร้างพร้อมกัน เสร็จทันทีตลอดพรมแดนแน่นอนภายใน3-4เดือนนี้พร้อมระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะตลอดแนวพรมแดน เลเซอร์ตรวจจับความร้อนการเคลื่อนไหวอีก,กม.ละ10ล้านบาทสูงสุดไม่เกินนี้,ประมาณ800กม.ก็8,000ล้านบาทเอง เอาไปสร้างที่ภาคใต้ต่อแค่600กว่ากม.ก็6,000-7,000ล้านบาทเอง.ตังเหลือตรึม.

    https://youtube.com/watch?v=vgIkG9EuvH0&si=bwfgF7qCsXmzTgbO
    จริงๆเอาไปสร้างกำแพงรั้วลวดหนามน่าจะดีกว่า ตั้ง25,000ล้านบาท,พร้อมสร้างทันทีตลอดแนวเลยนะ เอาแบบให้เอกชนพื้นที่นั่นๆร่วมกันสร้างพร้อมกัน เสร็จทันทีตลอดพรมแดนแน่นอนภายใน3-4เดือนนี้พร้อมระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะตลอดแนวพรมแดน เลเซอร์ตรวจจับความร้อนการเคลื่อนไหวอีก,กม.ละ10ล้านบาทสูงสุดไม่เกินนี้,ประมาณ800กม.ก็8,000ล้านบาทเอง เอาไปสร้างที่ภาคใต้ต่อแค่600กว่ากม.ก็6,000-7,000ล้านบาทเอง.ตังเหลือตรึม. https://youtube.com/watch?v=vgIkG9EuvH0&si=bwfgF7qCsXmzTgbO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook”

    ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว

    iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน

    หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว

    กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture

    ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30%

    iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ

    ดีไซน์และวัสดุ
    บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม
    ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง
    Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่
    มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว

    หน้าจอและการแสดงผล
    Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260
    รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display
    ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1
    รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating

    กล้องและการถ่ายภาพ
    กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm
    กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม
    รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่
    ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode

    ชิปและประสิทธิภาพ
    A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator
    N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot
    C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30%
    รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต

    แบตเตอรี่และการใช้งาน
    ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ
    รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง
    รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W

    ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่
    iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ
    รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games
    ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB
    มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก
    เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน

    https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    📱 “iPhone Air เปิดตัวแล้ว! บางเฉียบ 5.6 มม. พร้อมชิป A19 Pro และกล้อง 48MP ที่ถ่ายได้ 4 ระยะ — เบาเหมือนฝัน แรงเหมือน MacBook” ถ้าคุณเคยคิดว่า iPhone จะบางได้แค่ไหน — Apple เพิ่งตอบคำถามนั้นด้วยการเปิดตัว “iPhone Air” รุ่นใหม่ล่าสุดที่บางเพียง 5.6 มิลลิเมตร แต่ยังคงความแรงระดับโปรด้วยชิป A19 Pro และกล้องที่ถ่ายได้ถึง 4 ระยะในตัวเดียว iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ไทเทเนียมเกรด 5 แบบเงาสะท้อน พร้อม Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่ากระจกสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 3 เท่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึง “plateau” กล้องที่ถูกเจาะแบบละเอียดเพื่อเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ตลอดวัน หน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display พร้อมความสว่างสูงสุด 3,000 nits — ใช้งานกลางแดดได้สบาย และยังมี Action Button กับ Camera Control ที่ช่วยให้เรียกใช้งานฟีเจอร์ได้รวดเร็ว กล้องหลัง 48MP Fusion สามารถถ่ายภาพได้ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm และ 52mm ด้วยการครอปในเซนเซอร์แบบ AI พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift และ Photonic Engine รุ่นใหม่ ส่วนกล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์แบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone ถ่ายวิดีโอ 4K HDR ได้แบบนิ่งสุดๆ และยังสามารถถ่ายพร้อมกันทั้งกล้องหน้าและหลังด้วย Dual Capture ภายในใช้ชิป A19 Pro ที่มี CPU 6-core และ GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ในทุกคอร์ GPU เพื่อรองรับโมเดล AI แบบ on-device ได้อย่างลื่นไหล รวมถึงชิป N1 สำหรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread และโมเด็ม C1X ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่าแต่ใช้พลังงานน้อยลง 30% iPhone Air ใช้ eSIM เท่านั้น เพื่อประหยัดพื้นที่ภายใน และมาพร้อม iOS 26 ที่มี Apple Intelligence สำหรับแปลภาษาแบบเรียลไทม์, ค้นหาข้อมูลจากภาพหน้าจอ และจัดการข้อความแบบอัจฉริยะ ✅ ดีไซน์และวัสดุ ➡️ บางเพียง 5.6 มม. น้ำหนัก 165 กรัม ➡️ ใช้ไทเทเนียมเกรด 5 พร้อม Ceramic Shield 2 ทั้งหน้าและหลัง ➡️ Plateau กล้องแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ มี Action Button และ Camera Control สำหรับเรียกใช้งานเร็ว ✅ หน้าจอและการแสดงผล ➡️ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736x1260 ➡️ รองรับ ProMotion 120Hz และ Always-On Display ➡️ ความสว่างสูงสุด 3,000 nits และ contrast 2,000,000:1 ➡️ รองรับ HDR, True Tone, และ anti-reflective coating ✅ กล้องและการถ่ายภาพ ➡️ กล้องหลัง 48MP Fusion รองรับ 4 ระยะ: 26mm, 28mm, 35mm, 52mm ➡️ กล้องหน้า Center Stage 18MP ใช้เซนเซอร์สี่เหลี่ยม ➡️ รองรับ Dual Capture, Focus Control, และ Photographic Styles ใหม่ ➡️ ถ่ายวิดีโอ 4K60 Dolby Vision พร้อม Spatial Audio และ Action Mode ✅ ชิปและประสิทธิภาพ ➡️ A19 Pro: CPU 6-core + GPU 5-core พร้อม Neural Accelerator ➡️ N1: รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6, Thread และปรับปรุง AirDrop/Hotspot ➡️ C1X: โมเด็มเร็วกว่าเดิม 2 เท่า ใช้พลังงานน้อยลง 30% ➡️ รองรับการรันโมเดล AI บนอุปกรณ์แบบไม่ต้องต่อเน็ต ✅ แบตเตอรี่และการใช้งาน ➡️ ใช้ Adaptive Power Mode ใน iOS 26 เพื่อจัดการพลังงานอัจฉริยะ ➡️ รองรับ MagSafe Battery แบบบางที่เพิ่มเวลาเล่นวิดีโอถึง 40 ชั่วโมง ➡️ รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 20W ✅ ระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์ใหม่ ➡️ iOS 26 มาพร้อม Apple Intelligence สำหรับแปลภาษา, ค้นหาจากภาพ, และจัดการข้อความ ➡️ รองรับ Live Translation, Visual Intelligence และ Apple Games ➡️ ใช้ eSIM เท่านั้น รองรับกว่า 500 ผู้ให้บริการทั่วโลก ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่น 256GB ➡️ มีรุ่น 512GB และ 1TB ให้เลือก ➡️ เปิดพรีออเดอร์วันที่ 12 กันยายน และวางขายวันที่ 19 กันยายน https://www.apple.com/newsroom/2025/09/introducing-iphone-air-a-powerful-new-iphone-with-a-breakthrough-design/
    WWW.APPLE.COM
    Introducing iPhone Air, a powerful new iPhone with a breakthrough design
    Apple today debuted the all-new iPhone Air, the thinnest iPhone ever made, with pro performance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SiFive เปิดตัว RISC-V Gen 2 IP — ชิปใหม่ที่รวมพลัง Scalar, Vector และ Matrix เพื่อเร่ง AI ตั้งแต่ IoT จนถึง Data Center!”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาอุปกรณ์ IoT ที่ต้องการประมวลผล AI แบบเรียลไทม์ หรือคุณเป็นผู้ดูแลระบบในศูนย์ข้อมูลที่ต้องรันโมเดล LLM ขนาดมหึมา — ตอนนี้ SiFive ได้เปิดตัวชุด IP ใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมทั้งหมด ด้วยการรวมพลังการประมวลผลแบบ scalar, vector และ matrix เข้าไว้ในสถาปัตยกรรม RISC-V รุ่นล่าสุด

    SiFive เปิดตัว “2nd Generation Intelligence IP” ซึ่งประกอบด้วย 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ X160 Gen 2, X180 Gen 2, X280 Gen 2, X390 Gen 2 และ XM Gen 2 โดย X160 และ X180 เป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด ส่วนอีกสามรุ่นเป็นการอัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า จุดเด่นคือการรองรับการประมวลผลแบบเวกเตอร์และเมทริกซ์ที่เหมาะกับงาน AI ทุกระดับ ตั้งแต่ edge computing ไปจนถึง data center

    X160 และ X180 ถูกออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ฝังตัวที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่ เช่น รถยนต์อัตโนมัติ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และระบบ IoT อัจฉริยะ ส่วน XM Gen 2 มาพร้อม matrix engine ที่ปรับขนาดได้ เหมาะกับงาน inference โมเดลขนาดใหญ่ เช่น LLM และ AI ด้านภาพ

    ทุก IP ในซีรีส์นี้สามารถทำหน้าที่เป็น Accelerator Control Unit (ACU) เพื่อควบคุม accelerator ภายนอกผ่านอินเทอร์เฟซ SSCI และ VCIX ซึ่งช่วยลดภาระของซอฟต์แวร์และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนาน

    SiFive ยังชี้ว่า vector engine มีข้อได้เปรียบเหนือ CPU แบบ scalar โดยสามารถประมวลผลข้อมูลหลายชุดพร้อมกัน ลด overhead และใช้พลังงานน้อยลง — เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพในพื้นที่จำกัด

    การเปิดตัว IP ใหม่ของ SiFive
    เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ Gen 2: X160, X180, X280, X390 และ XM
    X160 และ X180 เป็นรุ่นใหม่สำหรับ edge และ IoT
    X280, X390 และ XM เป็นรุ่นอัปเกรดจากเวอร์ชันก่อน
    รองรับ scalar, vector และ matrix compute ในสถาปัตยกรรมเดียว

    จุดเด่นด้านเทคโนโลยี
    XM Gen 2 มี matrix engine ที่ปรับขนาดได้ รองรับงาน AI ขนาดใหญ่
    Vector engine ลด overhead และใช้พลังงานน้อยกว่าการประมวลผลแบบ scalar
    รองรับ datatype ใหม่ เช่น BF16 และ vector crypto extensions
    มี memory subsystem ที่ลด latency และเพิ่ม throughput

    การใช้งานในโลกจริง
    X160 และ X180 เหมาะกับรถยนต์อัตโนมัติ, หุ่นยนต์, IoT อัจฉริยะ
    X390 Gen 2 รองรับ 4-core cache-coherent complex และ bandwidth สูงถึง 1 TB/s
    ทุก IP สามารถทำหน้าที่เป็น ACU เพื่อควบคุม accelerator ภายนอก
    ใช้ SSCI และ VCIX interface เพื่อเชื่อมต่อกับ co-processor

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deloitte คาดการณ์ว่า edge AI จะเติบโตถึง 78% ในปีนี้
    SiFive ได้รับการยอมรับจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ Tier 1 ในสหรัฐฯ
    IP ทั้งหมดพร้อมให้ license แล้ว และจะมี silicon ตัวแรกใน Q2 2026
    SiFive จะโชว์ผลิตภัณฑ์ในงาน AI Infra Summit ที่ Santa Clara

    คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและองค์กร
    IP เหล่านี้ยังอยู่ในช่วง pre-silicon — ประสิทธิภาพจริงต้องรอการพิสูจน์
    การใช้งาน matrix engine ต้องมีการออกแบบซอฟต์แวร์ที่รองรับโดยเฉพาะ
    การเชื่อมต่อกับ accelerator ภายนอกต้องใช้ interface เฉพาะ SSCI/VCIX
    หากใช้ในระบบที่ไม่รองรับ vector หรือ matrix compute อาจไม่เห็นประโยชน์เต็มที่
    การนำไปใช้ใน edge device ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน

    https://www.techpowerup.com/340788/sifives-new-risc-v-ip-combines-scalar-vector-and-matrix-compute-to-accelerate-ai-from-the-far-edge-iot-to-the-data-center
    🧠 “SiFive เปิดตัว RISC-V Gen 2 IP — ชิปใหม่ที่รวมพลัง Scalar, Vector และ Matrix เพื่อเร่ง AI ตั้งแต่ IoT จนถึง Data Center!” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาอุปกรณ์ IoT ที่ต้องการประมวลผล AI แบบเรียลไทม์ หรือคุณเป็นผู้ดูแลระบบในศูนย์ข้อมูลที่ต้องรันโมเดล LLM ขนาดมหึมา — ตอนนี้ SiFive ได้เปิดตัวชุด IP ใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมทั้งหมด ด้วยการรวมพลังการประมวลผลแบบ scalar, vector และ matrix เข้าไว้ในสถาปัตยกรรม RISC-V รุ่นล่าสุด SiFive เปิดตัว “2nd Generation Intelligence IP” ซึ่งประกอบด้วย 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ X160 Gen 2, X180 Gen 2, X280 Gen 2, X390 Gen 2 และ XM Gen 2 โดย X160 และ X180 เป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด ส่วนอีกสามรุ่นเป็นการอัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า จุดเด่นคือการรองรับการประมวลผลแบบเวกเตอร์และเมทริกซ์ที่เหมาะกับงาน AI ทุกระดับ ตั้งแต่ edge computing ไปจนถึง data center X160 และ X180 ถูกออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ฝังตัวที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและพื้นที่ เช่น รถยนต์อัตโนมัติ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และระบบ IoT อัจฉริยะ ส่วน XM Gen 2 มาพร้อม matrix engine ที่ปรับขนาดได้ เหมาะกับงาน inference โมเดลขนาดใหญ่ เช่น LLM และ AI ด้านภาพ ทุก IP ในซีรีส์นี้สามารถทำหน้าที่เป็น Accelerator Control Unit (ACU) เพื่อควบคุม accelerator ภายนอกผ่านอินเทอร์เฟซ SSCI และ VCIX ซึ่งช่วยลดภาระของซอฟต์แวร์และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนาน SiFive ยังชี้ว่า vector engine มีข้อได้เปรียบเหนือ CPU แบบ scalar โดยสามารถประมวลผลข้อมูลหลายชุดพร้อมกัน ลด overhead และใช้พลังงานน้อยลง — เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพในพื้นที่จำกัด ✅ การเปิดตัว IP ใหม่ของ SiFive ➡️ เปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ Gen 2: X160, X180, X280, X390 และ XM ➡️ X160 และ X180 เป็นรุ่นใหม่สำหรับ edge และ IoT ➡️ X280, X390 และ XM เป็นรุ่นอัปเกรดจากเวอร์ชันก่อน ➡️ รองรับ scalar, vector และ matrix compute ในสถาปัตยกรรมเดียว ✅ จุดเด่นด้านเทคโนโลยี ➡️ XM Gen 2 มี matrix engine ที่ปรับขนาดได้ รองรับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ Vector engine ลด overhead และใช้พลังงานน้อยกว่าการประมวลผลแบบ scalar ➡️ รองรับ datatype ใหม่ เช่น BF16 และ vector crypto extensions ➡️ มี memory subsystem ที่ลด latency และเพิ่ม throughput ✅ การใช้งานในโลกจริง ➡️ X160 และ X180 เหมาะกับรถยนต์อัตโนมัติ, หุ่นยนต์, IoT อัจฉริยะ ➡️ X390 Gen 2 รองรับ 4-core cache-coherent complex และ bandwidth สูงถึง 1 TB/s ➡️ ทุก IP สามารถทำหน้าที่เป็น ACU เพื่อควบคุม accelerator ภายนอก ➡️ ใช้ SSCI และ VCIX interface เพื่อเชื่อมต่อกับ co-processor ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deloitte คาดการณ์ว่า edge AI จะเติบโตถึง 78% ในปีนี้ ➡️ SiFive ได้รับการยอมรับจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ Tier 1 ในสหรัฐฯ ➡️ IP ทั้งหมดพร้อมให้ license แล้ว และจะมี silicon ตัวแรกใน Q2 2026 ➡️ SiFive จะโชว์ผลิตภัณฑ์ในงาน AI Infra Summit ที่ Santa Clara ‼️ คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและองค์กร ⛔ IP เหล่านี้ยังอยู่ในช่วง pre-silicon — ประสิทธิภาพจริงต้องรอการพิสูจน์ ⛔ การใช้งาน matrix engine ต้องมีการออกแบบซอฟต์แวร์ที่รองรับโดยเฉพาะ ⛔ การเชื่อมต่อกับ accelerator ภายนอกต้องใช้ interface เฉพาะ SSCI/VCIX ⛔ หากใช้ในระบบที่ไม่รองรับ vector หรือ matrix compute อาจไม่เห็นประโยชน์เต็มที่ ⛔ การนำไปใช้ใน edge device ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน https://www.techpowerup.com/340788/sifives-new-risc-v-ip-combines-scalar-vector-and-matrix-compute-to-accelerate-ai-from-the-far-edge-iot-to-the-data-center
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SiFive's New RISC-V IP Combines Scalar, Vector and Matrix Compute to Accelerate AI from the Far Edge IoT to the Data Center
    Further expanding SiFive's lead in RISC-V AI IP, the company today launched its 2nd Generation Intelligence family, featuring five new RISC-V-based products designed to accelerate AI workloads across thousands of potential applications. The lineup includes two entirely new products—the X160 Gen 2 an...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว

    ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง

    ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

    ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที

    แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

    ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่

    ความสามารถของ Smart Circuit Breaker
    ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์
    ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์
    แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย
    ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    รุ่นที่ได้รับความนิยม
    Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน
    Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร
    Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน

    การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม
    ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย
    มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ
    ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล

    https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ✅ ความสามารถของ Smart Circuit Breaker ➡️ ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย ➡️ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ รุ่นที่ได้รับความนิยม ➡️ Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน ➡️ Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร ➡️ Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน ✅ การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย ➡️ มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ ➡️ ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Are Smart Circuit Breakers Really Worth Installing? Here's What Users Say - SlashGear
    Along with smart technology used throughout your home appliances, upgrading your breaker box with smart circuit breakers is essential to modernizing your home.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ

    ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม

    A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3

    ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง

    การเปิดตัว DingTalk A1
    เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk
    ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม
    มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap

    ความสามารถด้าน AI
    เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab
    รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม
    ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus

    การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5
    TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight
    DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก

    แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน
    มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน
    คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030
    การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    🎙️ เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3 ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง ✅ การเปิดตัว DingTalk A1 ➡️ เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk ➡️ ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม ➡️ มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab ➡️ รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม ➡️ ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus ✅ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5 ➡️ TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight ➡️ DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก ✅ แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน ➡️ มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน ➡️ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030 ➡️ การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China’s latest AI gadget is a credit card-sized recorder from Alibaba’s DingTalk
    Transcription capability developed with Alibaba's Tongyi AI lab, using over 100 million hours of audio content for training.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts