• บทความกฎหมาย EP.31

    ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม

    ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.31 ทนายความมิใช่เพียงผู้ประกอบวิชาชีพ แต่คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐ ในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดระเบียบสังคม การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดสำหรับทุกคน ทว่าด้วยความสลับซับซ้อนและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวบทกฎหมายและระเบียบปฏิบัติทางศาล ทำให้ประชาชนทั่วไปยากที่จะสามารถดำเนินคดีหรือปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีอยู่ของทนายความจึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนทางกฎหมาย เป็นปากเสียง และเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางวิชาการที่ถูกต้อง การเริ่มต้นตั้งแต่การให้คำปรึกษาเบื้องต้น การจัดเตรียมเอกสาร การสืบพยานหลักฐาน ไปจนถึงการว่าความในศาล ล้วนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจากทนายความผู้ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในข้อกฎหมายแพ่ง อาญา ปกครอง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทนายความที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบไปด้วยความรู้ทางวิชาการที่มั่นคง จริยธรรมและมรรยาททนายความที่เคร่งครัด ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน และทักษะการสื่อสารที่คมคายและน่าเชื่อถือ การทำหน้าที่ว่าความในศาลนั้น ทนายความต้องแสดงความสามารถในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อสนับสนุนลูกความของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้กรอบของกฎหมายและจริยธรรม โดยต้องรักษาความลับของลูกความและหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของวิชาชีพ ในหลายกรณี บทบาทของทนายความมิได้จำกัดอยู่แค่การสู้คดีในศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท การเจรจาต่อรอง การร่างสัญญา และการวางแผนทางกฎหมายเชิงป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อพิพาทในอนาคต ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ทรงคุณค่าในการช่วยลดภาระของศาลและช่วยให้คู่ความสามารถหาข้อยุติที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ซึ่งรวมถึงการจัดหาทนายความขอแรงหรือทนายความอาสาสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิในการต่อสู้คดีและการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจ ทนายความจึงเป็นด่านหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเป็นผู้ที่คอยตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความท้าทายในปัจจุบันที่ทนายความต้องเผชิญคือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาความรู้และทักษะใหม่อยู่เสมอเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกความได้อย่างทันท่วงที ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อทนายความเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิชาชีพนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามและเป็นที่พึ่งของสังคม ด้วยเหตุนี้ ทนายความจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนกับระบบกฎหมาย เป็นผู้ที่คอยนำทางและปกป้องผลประโยชน์ของลูกความอย่างซื่อสัตย์และมีจรรยาบรรณ การเลือกใช้บริการทนายความที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความยุติธรรมและสร้างความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน การทำงานอย่างหนักและความมุ่งมั่นของทนายความแต่ละคนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคดีความของลูกความเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด การให้ความเคารพและตระหนักถึงบทบาทอันทรงเกียรตินี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในสังคมไทยตลอดไป
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.30

    อำนาจหน้าที่ของตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายมิได้จำกัดอยู่เพียงการปรากฏกายในเครื่องแบบ แต่คือการเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการบังคับใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสาธารณชน บทบาทหลักของตำรวจจึงครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการกระทำผิดทางอาญา การป้องปรามมิให้เกิดความวุ่นวาย ไปจนถึงภารกิจอันละเอียดอ่อนของการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด การใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การเรียกตรวจสอบ การจับกุม หรือการควบคุมตัวชั่วคราว จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่จะทำให้อำนาจรัฐมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชน ในแง่ของการสืบสวน ตำรวจคือด่านแรกที่ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงให้แก่การพิจารณาคดีในชั้นอัยการและศาล การตัดสินใจทุกครั้ง ตั้งแต่การลงบันทึกประจำวันไปจนถึงการสรุปสำนวนคดี ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพและสิทธิของบุคคล รวมถึงความยุติธรรมที่สังคมคาดหวัง การเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายจึงหมายถึงการรับผิดชอบต่อการรักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างแท้จริง

    ภารกิจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของตำรวจเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์พื้นฐานของรัฐและประชาชน การป้องกันอาชญากรรมมิใช่เพียงการลาดตระเวนหรือการตั้งจุดตรวจ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์อาชญากรรมเชิงพื้นที่และเชิงสังคม การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อขจัดช่องโหว่และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการกระทำผิด สำหรับการสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญในการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การสอบปากคำ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงการกระทำผิดไปยังผู้ต้องหาได้อย่างปราศจากข้อสงสัย หน้าที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการลงโทษเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเป็นผู้ถืออำนาจตามกฎหมายที่ต้องใช้ดุลยพินิจภายใต้ความรับผิดชอบอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความซับซ้อนของอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ทั้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติ บทบาทของตำรวจจึงต้องพัฒนาตามทันเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

    ดังนั้น ตำรวจจึงเป็นมากกว่าผู้จับกุมหรือผู้สอบสวน แต่เป็นเสาหลักแห่งการบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในชีวิตประจำวันของพลเมืองทุกคน การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจคือการแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยของรัฐในการคุ้มครองพลเมืองภายใต้หลักนิติธรรม ความสำเร็จของภารกิจตำรวจจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเข้มแข็งของระบบกฎหมายในสังคม การมุ่งมั่นในจรรยาบรรณ การพัฒนาความรู้ทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และการยึดมั่นในความยุติธรรม จะเป็นเกราะป้องกันและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้สังคมไทยยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้ร่มเงาของกฎหมายตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.30 อำนาจหน้าที่ของตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายมิได้จำกัดอยู่เพียงการปรากฏกายในเครื่องแบบ แต่คือการเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการบังคับใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสาธารณชน บทบาทหลักของตำรวจจึงครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันการกระทำผิดทางอาญา การป้องปรามมิให้เกิดความวุ่นวาย ไปจนถึงภารกิจอันละเอียดอ่อนของการสืบสวนสอบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด การใช้อำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การเรียกตรวจสอบ การจับกุม หรือการควบคุมตัวชั่วคราว จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่จะทำให้อำนาจรัฐมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชน ในแง่ของการสืบสวน ตำรวจคือด่านแรกที่ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงให้แก่การพิจารณาคดีในชั้นอัยการและศาล การตัดสินใจทุกครั้ง ตั้งแต่การลงบันทึกประจำวันไปจนถึงการสรุปสำนวนคดี ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพและสิทธิของบุคคล รวมถึงความยุติธรรมที่สังคมคาดหวัง การเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายจึงหมายถึงการรับผิดชอบต่อการรักษาหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างแท้จริง ภารกิจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของตำรวจเป็นไปเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์พื้นฐานของรัฐและประชาชน การป้องกันอาชญากรรมมิใช่เพียงการลาดตระเวนหรือการตั้งจุดตรวจ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์อาชญากรรมเชิงพื้นที่และเชิงสังคม การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค เพื่อขจัดช่องโหว่และปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการกระทำผิด สำหรับการสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญในการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การสอบปากคำ และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงการกระทำผิดไปยังผู้ต้องหาได้อย่างปราศจากข้อสงสัย หน้าที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการลงโทษเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเป็นผู้ถืออำนาจตามกฎหมายที่ต้องใช้ดุลยพินิจภายใต้ความรับผิดชอบอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความซับซ้อนของอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ทั้งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติ บทบาทของตำรวจจึงต้องพัฒนาตามทันเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายทางกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้น ตำรวจจึงเป็นมากกว่าผู้จับกุมหรือผู้สอบสวน แต่เป็นเสาหลักแห่งการบังคับใช้กฎหมายที่สร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นในชีวิตประจำวันของพลเมืองทุกคน การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจคือการแสดงออกถึงอำนาจอธิปไตยของรัฐในการคุ้มครองพลเมืองภายใต้หลักนิติธรรม ความสำเร็จของภารกิจตำรวจจึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความเข้มแข็งของระบบกฎหมายในสังคม การมุ่งมั่นในจรรยาบรรณ การพัฒนาความรู้ทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และการยึดมั่นในความยุติธรรม จะเป็นเกราะป้องกันและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้สังคมไทยยังคงไว้ซึ่งความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้ร่มเงาของกฎหมายตลอดไป
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.22

    อำนาจแห่งการพรากชีวิต การฆาตกรรมคือความมืดมนที่สุดของการกระทำมนุษย์ มันคือการตัดสินใจอย่างจงใจและเลือดเย็นที่จะยุติการมีอยู่ของผู้อื่น การกระทำนี้มิใช่เพียงการละเมิดกฎหมายอาญา แต่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมจริยธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน กฎหมายของทุกประเทศล้วนถือว่าการฆ่าผู้อื่นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นการทำลายสิทธิที่ไม่อาจโอนได้และไม่อาจเรียกคืนได้นั่นคือสิทธิในการมีชีวิต การกระทำโดยเจตนาให้ผู้อื่นตายนั้นแตกต่างจากการกระทำอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากมันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสร้างความสูญเสียที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ ความรุนแรงของบทลงโทษทางกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับการฆาตกรรม ไม่ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดว่า สังคมถือว่าการกระทำนี้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของส่วนรวม การฆาตกรรมสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ผู้คนหวาดระแวง และทำลายใยแห่งความไว้ใจที่ผูกพันผู้คนไว้ด้วยกัน

    การฆาตกรรมจึงไม่ใช่แค่คดีความส่วนบุคคล แต่เป็นบาดแผลทางสังคมที่ต้องได้รับการเยียวยาด้วยความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด เมื่อมีผู้ใดก้าวข้ามเส้นแบ่งแห่งความมีสติและกระทำสิ่งที่มิอาจให้อภัยได้เช่นนี้ ระบบยุติธรรมต้องทำหน้าที่ด้วยความเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษทัณฑ์ที่สาสมกับความผิดที่ได้ก่อขึ้น การลงโทษที่หนักหน่วงนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการยับยั้งการกระทำผิดซ้ำในอนาคต และเพื่อส่งสัญญาณอันหนักแน่นไปยังสังคมว่า ชีวิตของพลเมืองทุกคนนั้นมีค่าและได้รับการคุ้มครองอย่างเคร่งครัดภายใต้หลักนิติรัฐ นอกเหนือจากการลงโทษแล้ว สังคมยังต้องพิจารณาถึงรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงในเชิงโครงสร้างและจิตวิทยา เพื่อหาทางป้องกันและลดเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดเช่นนี้ในระยะยาว

    ดังนั้น การฆาตกรรม คือ การกระทำที่โหดร้ายและเป็นความผิดร้ายแรงที่สุดที่เกิดจากเจตนาชั่วร้ายของมนุษย์ การตอบสนองของสังคมและกฎหมายต้องเป็นไปอย่างหนักแน่นและไม่ประนีประนอม เพื่อปกป้องสิทธิในการมีชีวิตของทุกคน และเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักการแห่งความยุติธรรมที่ว่า ไม่มีใครมีอำนาจเหนือชีวิตของผู้อื่น การรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีอารยะ
    บทความกฎหมาย EP.22 อำนาจแห่งการพรากชีวิต การฆาตกรรมคือความมืดมนที่สุดของการกระทำมนุษย์ มันคือการตัดสินใจอย่างจงใจและเลือดเย็นที่จะยุติการมีอยู่ของผู้อื่น การกระทำนี้มิใช่เพียงการละเมิดกฎหมายอาญา แต่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานที่สุดของศีลธรรมจริยธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน กฎหมายของทุกประเทศล้วนถือว่าการฆ่าผู้อื่นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นการทำลายสิทธิที่ไม่อาจโอนได้และไม่อาจเรียกคืนได้นั่นคือสิทธิในการมีชีวิต การกระทำโดยเจตนาให้ผู้อื่นตายนั้นแตกต่างจากการกระทำอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากมันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสร้างความสูญเสียที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ ความรุนแรงของบทลงโทษทางกฎหมายที่กำหนดไว้สำหรับการฆาตกรรม ไม่ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดว่า สังคมถือว่าการกระทำนี้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของส่วนรวม การฆาตกรรมสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ผู้คนหวาดระแวง และทำลายใยแห่งความไว้ใจที่ผูกพันผู้คนไว้ด้วยกัน การฆาตกรรมจึงไม่ใช่แค่คดีความส่วนบุคคล แต่เป็นบาดแผลทางสังคมที่ต้องได้รับการเยียวยาด้วยความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด เมื่อมีผู้ใดก้าวข้ามเส้นแบ่งแห่งความมีสติและกระทำสิ่งที่มิอาจให้อภัยได้เช่นนี้ ระบบยุติธรรมต้องทำหน้าที่ด้วยความเด็ดขาด รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษทัณฑ์ที่สาสมกับความผิดที่ได้ก่อขึ้น การลงโทษที่หนักหน่วงนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการยับยั้งการกระทำผิดซ้ำในอนาคต และเพื่อส่งสัญญาณอันหนักแน่นไปยังสังคมว่า ชีวิตของพลเมืองทุกคนนั้นมีค่าและได้รับการคุ้มครองอย่างเคร่งครัดภายใต้หลักนิติรัฐ นอกเหนือจากการลงโทษแล้ว สังคมยังต้องพิจารณาถึงรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงในเชิงโครงสร้างและจิตวิทยา เพื่อหาทางป้องกันและลดเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดเช่นนี้ในระยะยาว ดังนั้น การฆาตกรรม คือ การกระทำที่โหดร้ายและเป็นความผิดร้ายแรงที่สุดที่เกิดจากเจตนาชั่วร้ายของมนุษย์ การตอบสนองของสังคมและกฎหมายต้องเป็นไปอย่างหนักแน่นและไม่ประนีประนอม เพื่อปกป้องสิทธิในการมีชีวิตของทุกคน และเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักการแห่งความยุติธรรมที่ว่า ไม่มีใครมีอำนาจเหนือชีวิตของผู้อื่น การรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตคือหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีอารยะ
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.17

    คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด

    แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

    ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.17 คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • ภาพรวมของเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง จุดเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเสียดินแดน และ ความเชื่อมโยงของเอกสารแต่ละฉบับ


    ---

    1. TOR 2003 (Terms of Reference 2003)

    ความหมาย:
    กรอบข้อตกลงในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมการ JBC เพื่อ “สำรวจ” และ “ปักปันเขตแดนทางบก”
    ประเด็นสำคัญ:

    อ้างอิง MOU 2000

    ข้อ 1.1.3 ระบุใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งอาจรวม แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map)


    ความเสี่ยง:
    การยอมรับแผนที่ 1:200,000 ซึ่งไม่ได้จัดทำโดยไทย อาจเป็นการยอมรับ “ข้อเท็จจริงบนแผนที่” ที่เอื้อให้ไทยเสียดินแดนโดยเฉพาะรอบปราสาทพระวิหาร


    ---

    2. JBC (Joint Boundary Commission)

    ความหมาย:
    คณะกรรมาธิการร่วม ไทย-กัมพูชา ทำหน้าที่ระดับ "นโยบาย" เพื่อกำหนดแนวทางการปักปันเขตแดน

    ความเชื่อมโยง:

    อ้างอิง TOR2003 เป็นกรอบการดำเนินการ

    รับความเห็นจาก JWG และ JTSC

    จัดทำแผนงานเสนอรัฐบาลอนุมัติ


    ความเสี่ยง:
    หาก JBC ยึดแนวที่เสนอโดย JWG/JTSC ซึ่งอิงแผนที่ 1:200,000 ก็อาจถือเป็นการรับรองแนวเขตที่เสียดินแดน


    ---

    3. JWG (Joint Working Group)

    ความหมาย:
    คณะทำงานระดับเทคนิค-ปฏิบัติการ ภายใต้ JBC มีหน้าที่ดำเนินงานภาคสนาม เช่น การสำรวจร่วม ตรวจสอบพิกัด ร่างแผนที่

    ความเสี่ยง:
    หาก JWG ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นฐานข้อมูล (เช่น ในการใช้ LIDAR) แล้ว JBC รับรองแนวเหล่านั้น ไทยจะเสียเปรียบโดยปริยาย


    ---

    4. JTSC (Joint Technical Sub-Commission)

    ความหมาย:
    คณะกรรมาธิการย่อยฝ่ายเทคนิค มีบทบาทใกล้เคียงกับ JWG แต่เน้นงานเทคนิค-วิชาการ-กฎหมายมากขึ้น เช่น ตีความแผนที่, วางหลักวิชาการการกำหนดเขตแดน

    ความเสี่ยง:
    การตีความแผนที่โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐ หรือผลประโยชน์ของไทย อาจกลายเป็น “หลักฐานทางเทคนิค” ที่ยืนยันการยอมรับเขตแดนฝั่งกัมพูชา


    ---

    5. MOU 2000 (Memorandum of Understanding 2000)

    ความหมาย:
    ข้อตกลงเบื้องต้นว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกัน “สำรวจ” และ “กำหนดเขตแดน” ตาม “หลักกฎหมายระหว่างประเทศ” และ “สถานะที่มีอยู่ในปัจจุบัน” (existing situation)

    ความเชื่อมโยง:

    เป็นรากฐานให้เกิด TOR2003

    ใช้ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารด้วย


    ความเสี่ยง:
    คำว่า “existing situation” อาจตีความว่าพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองอยู่ = สถานะที่ไทยยอมรับ (ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียสิทธิเหนือดินแดน)


    ---

    6. MOU 2001

    ความหมาย:
    ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการสำรวจและจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

    ความเสี่ยง:
    การจัดทำแผนที่ Orthophoto หรือ LIDAR ถ้าอิงพื้นฐานจากแผนที่ 1:200,000 หรือ Annex I Map โดยไม่ได้คัดค้าน อาจถือเป็นการ “ยอมรับโดยพฤตินัย” ต่อแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง
    ภาพรวมของเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง จุดเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเสียดินแดน และ ความเชื่อมโยงของเอกสารแต่ละฉบับ --- 🔹 1. TOR 2003 (Terms of Reference 2003) ความหมาย: กรอบข้อตกลงในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา ภายใต้คณะกรรมการ JBC เพื่อ “สำรวจ” และ “ปักปันเขตแดนทางบก” ประเด็นสำคัญ: อ้างอิง MOU 2000 ข้อ 1.1.3 ระบุใช้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งอาจรวม แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map) ความเสี่ยง: ✅ การยอมรับแผนที่ 1:200,000 ซึ่งไม่ได้จัดทำโดยไทย อาจเป็นการยอมรับ “ข้อเท็จจริงบนแผนที่” ที่เอื้อให้ไทยเสียดินแดนโดยเฉพาะรอบปราสาทพระวิหาร --- 🔹 2. JBC (Joint Boundary Commission) ความหมาย: คณะกรรมาธิการร่วม ไทย-กัมพูชา ทำหน้าที่ระดับ "นโยบาย" เพื่อกำหนดแนวทางการปักปันเขตแดน ความเชื่อมโยง: อ้างอิง TOR2003 เป็นกรอบการดำเนินการ รับความเห็นจาก JWG และ JTSC จัดทำแผนงานเสนอรัฐบาลอนุมัติ ความเสี่ยง: ✅ หาก JBC ยึดแนวที่เสนอโดย JWG/JTSC ซึ่งอิงแผนที่ 1:200,000 ก็อาจถือเป็นการรับรองแนวเขตที่เสียดินแดน --- 🔹 3. JWG (Joint Working Group) ความหมาย: คณะทำงานระดับเทคนิค-ปฏิบัติการ ภายใต้ JBC มีหน้าที่ดำเนินงานภาคสนาม เช่น การสำรวจร่วม ตรวจสอบพิกัด ร่างแผนที่ ความเสี่ยง: ✅ หาก JWG ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นฐานข้อมูล (เช่น ในการใช้ LIDAR) แล้ว JBC รับรองแนวเหล่านั้น ไทยจะเสียเปรียบโดยปริยาย --- 🔹 4. JTSC (Joint Technical Sub-Commission) ความหมาย: คณะกรรมาธิการย่อยฝ่ายเทคนิค มีบทบาทใกล้เคียงกับ JWG แต่เน้นงานเทคนิค-วิชาการ-กฎหมายมากขึ้น เช่น ตีความแผนที่, วางหลักวิชาการการกำหนดเขตแดน ความเสี่ยง: ✅ การตีความแผนที่โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐ หรือผลประโยชน์ของไทย อาจกลายเป็น “หลักฐานทางเทคนิค” ที่ยืนยันการยอมรับเขตแดนฝั่งกัมพูชา --- 🔹 5. MOU 2000 (Memorandum of Understanding 2000) ความหมาย: ข้อตกลงเบื้องต้นว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกัน “สำรวจ” และ “กำหนดเขตแดน” ตาม “หลักกฎหมายระหว่างประเทศ” และ “สถานะที่มีอยู่ในปัจจุบัน” (existing situation) ความเชื่อมโยง: เป็นรากฐานให้เกิด TOR2003 ใช้ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารด้วย ความเสี่ยง: ✅ คำว่า “existing situation” อาจตีความว่าพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองอยู่ = สถานะที่ไทยยอมรับ (ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียสิทธิเหนือดินแดน) --- 🔹 6. MOU 2001 ความหมาย: ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการสำรวจและจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ความเสี่ยง: ✅ การจัดทำแผนที่ Orthophoto หรือ LIDAR ถ้าอิงพื้นฐานจากแผนที่ 1:200,000 หรือ Annex I Map โดยไม่ได้คัดค้าน อาจถือเป็นการ “ยอมรับโดยพฤตินัย” ต่อแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง
    0 Comments 1 Shares 645 Views 0 Reviews
  • ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อาวุธ
    หยุดวาทกรรม “นิติสงคราม”

    ใครๆ ก็อ้างว่า “ประชาชนเลือกมา” จึงไม่มีใครควรถอดถอนนักการเมืองได้นอกจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ — แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง

    ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจต้องถูก จำกัด ด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ให้ใครได้อำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ การแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็เพื่อให้อำนาจถ่วงดุลกัน และไม่มีฝ่ายใดล้ำเส้นหน้าที่ของอีกฝ่าย เป็นการคานอำนาจทำให้เกิดการตรวจสอบ

    https://web.facebook.com/share/p/1EB7uCfGWV/
    ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่อาวุธ หยุดวาทกรรม “นิติสงคราม” ใครๆ ก็อ้างว่า “ประชาชนเลือกมา” จึงไม่มีใครควรถอดถอนนักการเมืองได้นอกจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ — แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่บิดเบือนหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจต้องถูก จำกัด ด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ให้ใครได้อำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจ การแยกอำนาจออกเป็น บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ก็เพื่อให้อำนาจถ่วงดุลกัน และไม่มีฝ่ายใดล้ำเส้นหน้าที่ของอีกฝ่าย เป็นการคานอำนาจทำให้เกิดการตรวจสอบ https://web.facebook.com/share/p/1EB7uCfGWV/
    0 Comments 0 Shares 437 Views 0 Reviews
  • "พิชิต ชื่นบาน" แฉบันทึก "กรธ.รธน.60" ชี้ "คุณสมบัตินายกฯ" เปิดช่องกลั่นแกล้งทางการเมือง
    https://www.thai-tai.tv/news/19972/
    .
    #เพื่อไทย #พิชิตชื่นบาน #รัฐธรรมนูญ60 #ศาลรัฐธรรมนูญ #ศาลการเมือง #กลั่นแกล้งทางการเมือง #หลักนิติรัฐ #ความแน่นอนของกฎหมาย #การเมืองไทย
    "พิชิต ชื่นบาน" แฉบันทึก "กรธ.รธน.60" ชี้ "คุณสมบัตินายกฯ" เปิดช่องกลั่นแกล้งทางการเมือง https://www.thai-tai.tv/news/19972/ . #เพื่อไทย #พิชิตชื่นบาน #รัฐธรรมนูญ60 #ศาลรัฐธรรมนูญ #ศาลการเมือง #กลั่นแกล้งทางการเมือง #หลักนิติรัฐ #ความแน่นอนของกฎหมาย #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • เอาแล้ว! 'ไอติม' เดือด ลั่นการสร้างสังคมที่เสพติด“จริยธรรม” กลั่นแกล้งกันทางการเมือง มีแต่จะบั่นทอนหลักนิติรัฐ
    https://www.thai-tai.tv/news/19916/
    เอาแล้ว! 'ไอติม' เดือด ลั่นการสร้างสังคมที่เสพติด“จริยธรรม” กลั่นแกล้งกันทางการเมือง มีแต่จะบั่นทอนหลักนิติรัฐ https://www.thai-tai.tv/news/19916/
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เผย คณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ พิจารณามติแพทยสภาให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาตัวที่รพ.ตำรวจ มีความเห็นว่าข้อมูลที่แพทยสภาส่งมายังไม่ครบ เพราะต้องพิจารณากฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันตัดสินด้วยหลักนิติรัฐ นิติธรรม คือความถูกต้อง เนื่องจากมีเอกสารเข้ามาจากทั้งแพทย์และแพทยสภา เหมือนตาชั่งที่มีข้อมูลทั้งซ้ายและขวา เราไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ นอกจากดุลยพินิจเพื่อรายงานความเห็นว่าเป็นอย่างไร แพทย์ต้องคำนึงถึงความเจ็บป่วย วันนี้ที่ต้องโดนด่าคือจริยธรรมของแพทยสภาไม่มี เพราะลืมนกหวีดไว้ข้างหลังตอนแถลงข่าว

    -คิดก่อนไปศาลเองหรือไม่
    -บัตรทองไม่มีวันล่มสลาย
    -หาช่องหักลบจ่ายจำนำข้าว
    -เปิดฟังความเห็นโทเคนดิจิทัล
    นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย เผย คณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ พิจารณามติแพทยสภาให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาตัวที่รพ.ตำรวจ มีความเห็นว่าข้อมูลที่แพทยสภาส่งมายังไม่ครบ เพราะต้องพิจารณากฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันตัดสินด้วยหลักนิติรัฐ นิติธรรม คือความถูกต้อง เนื่องจากมีเอกสารเข้ามาจากทั้งแพทย์และแพทยสภา เหมือนตาชั่งที่มีข้อมูลทั้งซ้ายและขวา เราไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ นอกจากดุลยพินิจเพื่อรายงานความเห็นว่าเป็นอย่างไร แพทย์ต้องคำนึงถึงความเจ็บป่วย วันนี้ที่ต้องโดนด่าคือจริยธรรมของแพทยสภาไม่มี เพราะลืมนกหวีดไว้ข้างหลังตอนแถลงข่าว -คิดก่อนไปศาลเองหรือไม่ -บัตรทองไม่มีวันล่มสลาย -หาช่องหักลบจ่ายจำนำข้าว -เปิดฟังความเห็นโทเคนดิจิทัล
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 633 Views 28 0 Reviews
  • ศึกวิวาทะดุเดือดในทำเนียบขาว ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อความเห็นต่างในบรรดาสมาชิกรีพับลิกันของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบั่นทอนแนวโน้มที่สภาคองเกรสจะอนุมัติเงินช่วยเหลือรอบใหม่ใดๆ สำหรับเคียฟ ในการทำสงครามกับรัสเซีย บางส่วนถึงขั้นตะเพิด เซเลนสกี พ้นจากตำแหน่งและเร่งเร้าให้ยุติความช่วยเหลือทางทหารที่มอบแก่ประเทศแห่งนี้
    .
    สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนที่เคยสนับสนุนยูเครนมาช้านาน ได้หันมาด่าทอ เซเลนสกี ตามหลังเหตุโต้เถียงกันในวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ปะทะคารมกับผู้นำยูเครน ต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก กล่าวหาเขาขาดความเคารพ
    .
    วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม เรียกร้อง เซเลนสกี ปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ก็ลาออกไป ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเข้าร่วมประชุมที่เป็นไปอย่างฉันมิตรระหว่างเซเลนสกีกับบรรดาสมาชิกวุฒิสภาสิบกว่าคน
    .
    "สิ่งที่ผมเห็นในห้องทำงานรูปไข่ คือการขาดความเคารพ และผมไม่รู้ว่าเราจะสามารถคบหาเซเลนสกีได้อีกหรือไม่" เกรแฮม พันธมิตรผู้ใกล้ชิดทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ระหว่างเดินทางออกจากทำเนียบขาว ตามหลังเหตุกระทบกระทั่ง ที่ฉุดความสัมพันธ์ระหว่างเคียฟกับพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาแห่งสงคราม ดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบใหม่
    .
    "เขาจำเป็นต้องลาออกและส่งใครบางคนมา ใครที่เราสามารถทำธุระปะปังกันได้ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง" วุฒิสภาจากเซาท์แคโรโลนากล่าว ส่วน บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากเทนเนสซี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ครั้งที่ทรัมป์ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยแรก โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ "สหรัฐอเมริกาจะไม่มอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าอีกต่อไป"
    .
    แม้สมาชิกรีพับลิกันเกือบทั้งหมดที่แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์ แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าร่วมกับเดโมแครตในการปกป้องยูเครน ในนั้นรวมถึง ไมค์ ลอเวอร์ ส.ส.จากนิวยอร์ก ที่โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ "พลาดโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสหรัฐฯ และเคียฟ นั่นคือข้อตกลงหนึ่งๆ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะก่อผลลัพธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่เข้มแข็ง"
    .
    ดอน เบคอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหัวสายกลางของรีพับลิกัน จากเนบราสกา ก็สนับสนุนเคียฟเช่นกัน โดยบอกว่า "มันเป็นวันที่แย่สำหรับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ยูเครนต้องการเอกราช ตลาดเสรีและหลักนิติรัฐ พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก รัสเซียเกลียดเราและค่านิยมตะวันตกของเรา พวกเราควรแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเรายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ" อย่างไรก็ตามไม่มีสมาชิกสภาคองเกรสรีพับลิกันรายใดที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ หรือแวนซ์
    .
    เซเลนสกี เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน เพื่อลงนามในข้อตกลงหนึ่งสำหรับร่วมกับสหรัฐฯ ในการพัฒนาทรัพยากรทางธรรมชาติอันมั่งคั่งของยูเครน
    .
    ผู้นำยูเครนมองว่าการพบปะกับทรัมป์และแวนซ์ เป็นโอกาสโน้มน้าวไม่ให้ สหรัฐฯ หันไปยืนเคียงข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการทำสงครามกับยูเครน อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่า เซเลนสกี ถูกไล่ออกจากทำเนียบขาวและไม่มีการลงนามในข้อตกลงใดๆ
    .
    บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ หวังว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเอาชนะใจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากสมาชิกรีพับลิกันของทรัมป์ ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สำหรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต
    .
    ที่ผ่านมา สภาคองเกรสอนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วกว่า 175,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ ปูติน เปิดฉากรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เงินช่วยเหลือก้อนสุดท้ายที่ผ่านความเห็นชอบต้องย้อนกลับไปในเดือนเมษายนเลยทีเดียว ครั้งที่พรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และ โจ ไบเดน ยังคงเป็นประธานาธิบดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020218
    ..................
    Sondhi X
    ศึกวิวาทะดุเดือดในทำเนียบขาว ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ก่อความเห็นต่างในบรรดาสมาชิกรีพับลิกันของประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบั่นทอนแนวโน้มที่สภาคองเกรสจะอนุมัติเงินช่วยเหลือรอบใหม่ใดๆ สำหรับเคียฟ ในการทำสงครามกับรัสเซีย บางส่วนถึงขั้นตะเพิด เซเลนสกี พ้นจากตำแหน่งและเร่งเร้าให้ยุติความช่วยเหลือทางทหารที่มอบแก่ประเทศแห่งนี้ . สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนที่เคยสนับสนุนยูเครนมาช้านาน ได้หันมาด่าทอ เซเลนสกี ตามหลังเหตุโต้เถียงกันในวันศุกร์ (28 ก.พ.) ที่ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ปะทะคารมกับผู้นำยูเครน ต่อหน้าสื่อมวลชนทั่วโลก กล่าวหาเขาขาดความเคารพ . วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม เรียกร้อง เซเลนสกี ปรับเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ก็ลาออกไป ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเข้าร่วมประชุมที่เป็นไปอย่างฉันมิตรระหว่างเซเลนสกีกับบรรดาสมาชิกวุฒิสภาสิบกว่าคน . "สิ่งที่ผมเห็นในห้องทำงานรูปไข่ คือการขาดความเคารพ และผมไม่รู้ว่าเราจะสามารถคบหาเซเลนสกีได้อีกหรือไม่" เกรแฮม พันธมิตรผู้ใกล้ชิดทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าว ระหว่างเดินทางออกจากทำเนียบขาว ตามหลังเหตุกระทบกระทั่ง ที่ฉุดความสัมพันธ์ระหว่างเคียฟกับพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาแห่งสงคราม ดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบใหม่ . "เขาจำเป็นต้องลาออกและส่งใครบางคนมา ใครที่เราสามารถทำธุระปะปังกันได้ หรือไม่อย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง" วุฒิสภาจากเซาท์แคโรโลนากล่าว ส่วน บิล ฮาเกอร์ตี วุฒิสมาชิกจากเทนเนสซี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ครั้งที่ทรัมป์ นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยแรก โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ "สหรัฐอเมริกาจะไม่มอบเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าอีกต่อไป" . แม้สมาชิกรีพับลิกันเกือบทั้งหมดที่แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์ แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าร่วมกับเดโมแครตในการปกป้องยูเครน ในนั้นรวมถึง ไมค์ ลอเวอร์ ส.ส.จากนิวยอร์ก ที่โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่าการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ "พลาดโอกาสสำคัญสำหรับทั้งสหรัฐฯ และเคียฟ นั่นคือข้อตกลงหนึ่งๆ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะก่อผลลัพธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่เข้มแข็ง" . ดอน เบคอน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหัวสายกลางของรีพับลิกัน จากเนบราสกา ก็สนับสนุนเคียฟเช่นกัน โดยบอกว่า "มันเป็นวันที่แย่สำหรับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ยูเครนต้องการเอกราช ตลาดเสรีและหลักนิติรัฐ พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก รัสเซียเกลียดเราและค่านิยมตะวันตกของเรา พวกเราควรแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าเรายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ" อย่างไรก็ตามไม่มีสมาชิกสภาคองเกรสรีพับลิกันรายใดที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ หรือแวนซ์ . เซเลนสกี เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน เพื่อลงนามในข้อตกลงหนึ่งสำหรับร่วมกับสหรัฐฯ ในการพัฒนาทรัพยากรทางธรรมชาติอันมั่งคั่งของยูเครน . ผู้นำยูเครนมองว่าการพบปะกับทรัมป์และแวนซ์ เป็นโอกาสโน้มน้าวไม่ให้ สหรัฐฯ หันไปยืนเคียงข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในการทำสงครามกับยูเครน อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่า เซเลนสกี ถูกไล่ออกจากทำเนียบขาวและไม่มีการลงนามในข้อตกลงใดๆ . บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายของเคียฟ หวังว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเอาชนะใจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากสมาชิกรีพับลิกันของทรัมป์ ซึ่งครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สำหรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต . ที่ผ่านมา สภาคองเกรสอนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วกว่า 175,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ ปูติน เปิดฉากรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เงินช่วยเหลือก้อนสุดท้ายที่ผ่านความเห็นชอบต้องย้อนกลับไปในเดือนเมษายนเลยทีเดียว ครั้งที่พรรคเดโมแครต ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และ โจ ไบเดน ยังคงเป็นประธานาธิบดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000020218 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    17
    0 Comments 1 Shares 1929 Views 0 Reviews
  • เจ้าหน้าที่รัฐ "ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด" ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเสีย จนถูกฟ้องร้อง ผลคำตัดสินของศาลระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้นมีความผิด

    แต่สังคมส่วนหนึ่ง พยายามเข้าข้างเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกล่าวหาผู้ประกอบการว่า เป็น "นายทุน" ที่ใช้อิทธิพลทำให้ผลของคำตัดสินเข้าข้างนายทุน

    ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าหน้าที่รัฐ "ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด" กับประชาชนธรรมดา สังคมคงรุมประณามเจ้าหน้าที่รัฐรายนั้น

    สิ่งที่ทุกคนควรตระหนักคือ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ของกฎหมาย

    ประเทศที่มีประชาธิปไตยควรอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ การกระทำใดๆ ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ หากเจ้าหน้าที่รัฐทำเกินอำนาจหน้าที่จากที่กฎหมายกำหนด ควรมีความผิด และต้องได้รับการลงโทษ
    เจ้าหน้าที่รัฐ "ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด" ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเสีย จนถูกฟ้องร้อง ผลคำตัดสินของศาลระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้นมีความผิด แต่สังคมส่วนหนึ่ง พยายามเข้าข้างเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกล่าวหาผู้ประกอบการว่า เป็น "นายทุน" ที่ใช้อิทธิพลทำให้ผลของคำตัดสินเข้าข้างนายทุน ในทำนองเดียวกัน หากเจ้าหน้าที่รัฐ "ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด" กับประชาชนธรรมดา สังคมคงรุมประณามเจ้าหน้าที่รัฐรายนั้น สิ่งที่ทุกคนควรตระหนักคือ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ของกฎหมาย ประเทศที่มีประชาธิปไตยควรอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ การกระทำใดๆ ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ หากเจ้าหน้าที่รัฐทำเกินอำนาจหน้าที่จากที่กฎหมายกำหนด ควรมีความผิด และต้องได้รับการลงโทษ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 294 Views 0 Reviews
  • ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...???
    .
    ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...???
    .
    คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...???
    .
    ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...???
    .
    ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น
    .
    ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้....
    .
    สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด...
    .
    เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ...
    .
    เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี
    .
    คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป
    .
    อ้างแต่ คะแนนเสียง...
    .
    คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้...
    .
    แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้
    .
    ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ...
    .
    และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง...
    .
    ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!!
    .
    เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!!
    .
    เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง...
    .
    แปลกนะ...!!!
    .
    ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว...
    .
    เว้นเสียแต่ว่า...
    .
    จะจงใจ...
    .
    1.แกล้งโง่
    2.ให้ข้อมูลไม่ครบ
    3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ
    .
    ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง...
    .
    โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด"
    .
    พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน...
    .
    "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด"
    .
    นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว"
    .
    ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ...
    .
    หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...???
    .

    .
    ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ...
    ...
    ...
    อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ...
    .
    หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น...
    .
    ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ
    .
    ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ
    .
    ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ
    .
    ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
    .
    หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้
    .
    การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ...
    .
    นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!!
    .
    เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง
    .
    แบบนี้เป็นต้น ครับ
    .
    สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!!
    .
    เน๊าะ...!!!
    .

    ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...??? . ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...??? . คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...??? . ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...??? . ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น . ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้.... . สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด... . เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ... . เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี . คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป . อ้างแต่ คะแนนเสียง... . คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้... . แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้ . ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ... . และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง... . ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!! . เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!! . เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง... . แปลกนะ...!!! . ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว... . เว้นเสียแต่ว่า... . จะจงใจ... . 1.แกล้งโง่ 2.ให้ข้อมูลไม่ครบ 3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ . ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง... . โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด" . พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน... . "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด" . นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว" . ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ... . หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...??? . 🤣🤣🤣🤣 . ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ... ... ... อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ... . หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น... . ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ . ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ . ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์ . อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ . ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย . หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้ . การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ... . นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!! . เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง . แบบนี้เป็นต้น ครับ . สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!! . เน๊าะ...!!! . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    โรมท่องซ้ำ ไม่เอานิติสงคราม 10/10/67 #โรม รังสิมันต์ #นิติสงคราม #การเมือง #พรรคประชาชน
    0 Comments 0 Shares 832 Views 361 0 Reviews