• #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 713 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลจาก Biothai

    ถ้าไม่กล้ากิน ไชน์มัสแคน ผลไม้นำเข้าจากจีน และผลไม้อื่นใดที่เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง

    นี่เลย #ส้มโอ โดยจากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในส้มโอ 16 ตัวอย่าง ไม่เจอสารเคมีเลย 15 ตัวอย่าง ส่วนอีก 1 ตัวอย่างพบการตกค้างเล็กน้อยในระดับไม่เกินมาตรฐาน จากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 500 ชนิด โดยห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ของ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) !
    ข้อมูลจาก Biothai ถ้าไม่กล้ากิน ไชน์มัสแคน ผลไม้นำเข้าจากจีน และผลไม้อื่นใดที่เสี่ยงต่อสารพิษตกค้าง นี่เลย #ส้มโอ โดยจากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในส้มโอ 16 ตัวอย่าง ไม่เจอสารเคมีเลย 15 ตัวอย่าง ส่วนอีก 1 ตัวอย่างพบการตกค้างเล็กน้อยในระดับไม่เกินมาตรฐาน จากการตรวจหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชกว่า 500 ชนิด โดยห้องปฏิบัติการในประเทศสหราชอาณาจักร ของ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) !
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาชวนคุยเรื่องสารพิษตกค้างใน อาหารกันครับ หลายคนคง กังวลเรื่องนี้ รู้ไหมว่าเราสามารถ หลีกเลี่ยงสารพิษตกค้างได้ ** โดยการหันมาใช้ชีวภัณฑ์ในการ กำจัดโรคและแมลง มาดูแล สุขภาพของเราและคนที่เรารักด้วย การเลือกทานอาหารที่ปลอดภัยกัน นะคะ #สารพิษตกค้าง #อาหาร ปลอดภัย #ชีวภัณฑ์ #เมล่อน
    วันนี้มาชวนคุยเรื่องสารพิษตกค้างใน อาหารกันครับ หลายคนคง กังวลเรื่องนี้ รู้ไหมว่าเราสามารถ หลีกเลี่ยงสารพิษตกค้างได้ ** โดยการหันมาใช้ชีวภัณฑ์ในการ กำจัดโรคและแมลง มาดูแล สุขภาพของเราและคนที่เรารักด้วย การเลือกทานอาหารที่ปลอดภัยกัน นะคะ #สารพิษตกค้าง #อาหาร ปลอดภัย #ชีวภัณฑ์ #เมล่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe **

    " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม "

    หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​

    แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ

    -----

    แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว

    อาทิเช่น​

    1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้

    2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

    ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์**

    3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง

    4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้

    -----

    📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้:

    1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001).

    2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016).

    3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016).

    -----

    ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe ** " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม " หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​ แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ ----- แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว อาทิเช่น​ 1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้ 2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์** 3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง 4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้ ----- 📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้: 1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001). 2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016). 3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016). ----- ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe **

    " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม "

    หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​

    แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ

    -----

    แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว

    อาทิเช่น​

    1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้

    2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย

    ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์**

    3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง

    4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้

    -----

    📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้:

    1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001).

    2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016).

    3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level):

    คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016).

    -----

    ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ** ขอบคุณบทความจาก คุณเอส @s.supershe ** " 74% ของสารพิษตกค้างเป็น #สารดูดซึม " หมายความว่า​ สารพิษเหล่านี้จะซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของผักและผลไม้ ทำให้การล้างภายนอกไม่สามารถกำจัดสารออกได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าการใช้เบกกิ้งโซดา​ จะสามารถลดการตกค้างของสารเคมีบนพื้นผิวของผักผลไม้ได้บ้าง (แค่ได้บ้าง​ ไม่ได้หมายความว่าได้ทั้งหมด)​ แต่สำหรับ ** #สารที่ซึมเข้าไปในเนื้อของพืช ** #เบกกิ้งโซดา ไม่สามารถช่วยได้ในระดับที่มีประสิทธิภาพ ----- แต่ข่าวดี​ก็คือ ​#คลอเรลล่าที่ปลอดภัย​ สามารถ​จับสาร​พิษ​ ที่ตรวจพบในตัวอย่างองุ่นที่ปรากฏเป็นข่าวได้หลายตัว อาทิเช่น​ 1. #Carbendazim (คาร์เบนดาซิม): เป็นสารฆ่าเชื้อรา​ ที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีคุณสมบัติในการจับสารพิษและช่วยขับออกจากร่างกายได้ 2. #Chlorpyrifos (คลอร์ไพริฟอส): ยาฆ่าแมลง​ ที่มีผลต่อระบบประสาท คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​มีความสามารถ​ในการขับสารพิษนี้ออกจากร่างกาย ⚠️เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง!! ส่งผลกระทบต่อ​ พัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะใน **เด็ก และ ทารกในครรภ์** 3. #Imidacloprid (อิมิดาคลอพริด): ยาฆ่าแมลง​ ที่อาจทำลายระบบประสาทส่วนกลาง คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​สามารถจับสารนี้ได้ในระดับหนึ่ง 4. #Imazalil (อิมาซาลิล): เป็นสารฆ่า! เชื้อรา​ที่ใช้กันในผลไม้ คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีความสามารถในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้ ----- 📍โดยใช้กลไกที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างทางเซลล์ของมัน ซึ่งกลไกหลักๆ มีดังนี้: 1. #การจับสารพิษด้วยกลุ่มโปรตีนพิเศษ (Metal Binding Protein): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีโปรตีนที่เรียกว่า Metal Binding Protein ซึ่งสามารถจับกับโลหะหนัก​ และ​ สารพิษที่มีอนุภาคเล็กได้ โปรตีนนี้มีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษที่มีโครงสร้างเฉพาะ​ ทำให้สามารถขับสารออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นผ่านทางระบบขับถ่าย สารพิษอย่าง Carbendazim และ Imidacloprid สามารถถูกจับได้โดยกลไกนี้ เนื่องจากมีการจับกับโปรตีนที่คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ผลิตออกมาเพื่อป้องกันการสะสมของสารพิษ (Shim et al., 2008; Merchant, 2001). 2. #การดูดซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane Absorption): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีเซลล์ผนังที่แข็งแรง​ และ​ มีคุณสมบัติเป็นสารดูดซับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถจับสารพิษที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ซับซ้อน เช่น Chlorpyrifos และ Imazalil ได้ การดูดซึมผ่านผนังเซลล์ของคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ช่วยขจัดสารพิษเหล่านี้ออกจากกระแสเลือด และทำให้ร่างกายขับออกทางระบบขับถ่ายได้ง่าย (Queiroz et al., 2020; Jeon et al., 2016). 3. #การกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษในระดับเซลล์ (Detoxification at Cellular Level): คลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย สารพิษอย่าง Chlorpyrifos ที่มีผลต่อระบบประสาทมักสร้างอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งคลอเรลล่าที่​ปลอดภัย​ มีคุณสมบัติช่วยลดผลกระทบนี้ และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย (Bermejo et al., 2008; Jeon et al., 2016). ----- ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุข #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1526 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยทานด้วย🤕แพงก็แพงแถมสารพิษตกค้างอีกอยากจะ😡 "ทำไมไม่ตรวจสารพิษก่อนนำไปวางขาย ผู้บริโภคช่างโชคร้ายใครรับผิดชอบงานนี้😭????:why
    เคยทานด้วย🤕แพงก็แพงแถมสารพิษตกค้างอีกอยากจะ😡 "ทำไมไม่ตรวจสารพิษก่อนนำไปวางขาย ผู้บริโภคช่างโชคร้ายใครรับผิดชอบงานนี้😭????:why
    สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง เผยพบสารเคมีเกษตรตกค้างในเกือบทุกตัวอย่างที่ตรวจ และพบตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000102869

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก
    .
    เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย
    .
    ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย
    .
    ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา
    ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง
    .
    ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่
    ............
    Sondhi X
    องุ่นพิษ 'ไชน์มัสแคท' สารเคมีเกิน 50 ชนิด เสี่ยงอันตรายล้างยาก . เป็นข่าวที่สะเทือนประชาชนผู้บริโภคพอสมควร ภายหลังเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มตรวจองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล พบสารเคมีเกษตรตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากถึงร้อยละ 95.8 โดยปัจจจุบันองุ่นพันธุ์นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย . ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทมีทั้งหมดทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลข้อค้นพบสำคัญของการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในองุ่นไชน์มัสแคท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ร้อยละ 95.8 ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด เช่น สารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 2. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด โดยเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เช่น Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย . ดังนั้น เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอว่า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท ควรจัดเก็บออกจากชั้นวาง แถลงมาตรการที่ชัดเจนกับซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตที่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน เช่น ผู้ประกอบการต้องยกเลิกการนำเข้าจากซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตนั้นเมื่อมีการกระทำผิดซ้ำอีก ผู้ประกอบการนำเข้า ห้างโมเดิร์นเทรดและผู้จำหน่ายต้องระบุแหล่งที่มา/ประเทศต้นทางของสินค้านำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้เมื่อเกิดปัญหา ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข ควรใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่กำหนดผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายต้องติดฉลากแสดงที่มาและประเทศต้นทาง เพิ่มมาตรการในการรับประกันคุณภาพความปลอดภัย และ สร้างระบบ Rapid Alert System ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์แบบนี้อย่างรวดเร็ว เช่น การแจ้งให้ทราบ การเรียกคืน การทำลายสินค้า ทันทีที่ตรวจพบ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจวิเคราะห์จากประเทศต้นทางหรือแหล่งผลิตที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง . ที่สำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายความปลอดภัยของผักผลไม้ โดยในปี 2573 ผักผลไม้ที่จำหน่ายในประเทศไทย มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน ไม่เกิน 5% และกำหนดเป้าหมายและงบประมาณในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหาร โดยในปี 2571 ประเทศไทยมีระบบ Rapid Alert System เพื่อให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนเร่งด่วนที่มีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อสถานการณ์ และมีกลไกการเชื่อมต่อข้อมูลและติดตามการจัดการปัญหาตลอดห่วงโซ่ ............ Sondhi X
    Like
    Angry
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1358 มุมมอง 1 รีวิว
  • เปิดผลสุ่มตรวจ "องุ่นไชน์มัสแคท" นำเข้า อึ้ง! พบสารพิษตกค้าง 50 ชนิด

    https://liff.line.me/1454988218-NjbXbq18/v2/article/BEYa9g6?utm_source=lineshare
    เปิดผลสุ่มตรวจ "องุ่นไชน์มัสแคท" นำเข้า อึ้ง! พบสารพิษตกค้าง 50 ชนิด https://liff.line.me/1454988218-NjbXbq18/v2/article/BEYa9g6?utm_source=lineshare
    LIFF.LINE.ME
    Today
    แตะที่นี่เพื่อเปิดลิงก์
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24 ตุลาคม 2567-Thai-PAN ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ถ่ายทอดสดจากห้องประชุมชั้น 2 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
    โดย..
    1. คุณปรกชล อู๋ทรัพย์ - เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช Thai-PAN
    2. คุณทัศนีย์ แน่นอุดร - นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
    3. ภญ. สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้อำนวยการกองอาหาร - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
    4. ดร.วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ผู้อำนวยการกองด่านอาหารและยา - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
    ชวนตั้งคำถาม โดย คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล

    สรุปผลตรวจวันนี้
    1. ประเทศผู้ผลิตองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ที่สุ่มซื้อมาจากการสั่งออนไลน์ 2 ตัวอย่าง มาจากร้านค้าและตลาด 7 ตัวอย่าง และจากโมเดิร์นเทรด 15 ตัวอย่าง สามารถระบุได้เพียง 9 ตัวอย่างว่ามาจากประเทศจีน อีก 15 ตัวอย่างไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้

    2. 95.8% ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น 2 กรณี 1) องุ่น 1 ตัวอย่าง พบสารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ทั้งนี้ตามกฎหมายต้องตรวจไม่พบเนื่องจากยกเลิกค่า MRL แล้ว 2) องุ่นอีก 22 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้าง 14 ชนิด เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต (สารพิษตกค้างที่ไม่มีค่า MRL ตามกฎหมายกำหนดให้พบได้ไม่เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต 0.01 mg/kg) ซึ่งสารเหล่านี้อาจยังไม่มีการประเมินความปลอดภัย

    3. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด พบว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ยกเลิกการใช้ในประเทศไทย) จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินใดๆภายใต้กฎหมายไทย

    4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย

    5. องุ่นไชน์มัสแคทแต่ละตัวอย่างพบสารพิษตกค้างระหว่าง 7-18 ชนิด โดยจำนวน 23 จาก 24 ตัวอย่างพบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด 1-6 ชนิด

    ที่มา https://www.facebook.com/share/v/C6K7h2P7pNNFv5ZY/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    24 ตุลาคม 2567-Thai-PAN ร่วมกับ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจสารพิษในองุ่นไชน์มัสแคททั้งหมด 24 ตัวอย่าง ถ่ายทอดสดจากห้องประชุมชั้น 2 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดย.. 1. คุณปรกชล อู๋ทรัพย์ - เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช Thai-PAN 2. คุณทัศนีย์ แน่นอุดร - นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 3. ภญ. สุภาวดี ธีระวัฒน์สกุล ผู้อำนวยการกองอาหาร - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 4. ดร.วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ผู้อำนวยการกองด่านอาหารและยา - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ชวนตั้งคำถาม โดย คุณกรรณิการ์ กิจติเวชกุล สรุปผลตรวจวันนี้ 1. ประเทศผู้ผลิตองุ่นไชน์มัสแคท 24 ตัวอย่าง ที่สุ่มซื้อมาจากการสั่งออนไลน์ 2 ตัวอย่าง มาจากร้านค้าและตลาด 7 ตัวอย่าง และจากโมเดิร์นเทรด 15 ตัวอย่าง สามารถระบุได้เพียง 9 ตัวอย่างว่ามาจากประเทศจีน อีก 15 ตัวอย่างไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ 2. 95.8% ของตัวอย่างองุ่นไชน์มัสแคทหรือ 23 จาก 24 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด แบ่งเป็น 2 กรณี 1) องุ่น 1 ตัวอย่าง พบสารคลอร์ไพริฟอสซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ทั้งนี้ตามกฎหมายต้องตรวจไม่พบเนื่องจากยกเลิกค่า MRL แล้ว 2) องุ่นอีก 22 ตัวอย่าง พบสารพิษตกค้าง 14 ชนิด เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต (สารพิษตกค้างที่ไม่มีค่า MRL ตามกฎหมายกำหนดให้พบได้ไม่เกินค่าดีฟอลต์ลิมิต 0.01 mg/kg) ซึ่งสารเหล่านี้อาจยังไม่มีการประเมินความปลอดภัย 3. พบสารพิษตกค้างทั้งหมด 50 ชนิด พบว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จำนวน 26 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ยกเลิกการใช้ในประเทศไทย) จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ Chlorpyrifos และ Endrin aldehyde และเป็นสารที่อยู่นอกบัญชีวัตถุอันตรายมากถึง 22 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่ยังไม่มีการประเมินใดๆภายใต้กฎหมายไทย 4. จากสารพิษตกค้าง 50 ชนิด มีสารประเภทดูดซึม (Systemic pesticide) 37 ชนิด หรือคิดเป็น 74% ของสารพิษตกค้าง โดยสารกลุ่มนี้มีโอกาสตกค้างอยู่ในเนื้อเยื่อขององุ่น ซึ่งการล้างสารกลุ่มนี้ออกจากเนื้อเยื่อพืชคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย 5. องุ่นไชน์มัสแคทแต่ละตัวอย่างพบสารพิษตกค้างระหว่าง 7-18 ชนิด โดยจำนวน 23 จาก 24 ตัวอย่างพบสารพิษตกค้างเกินค่าที่กฎหมายกำหนด 1-6 ชนิด ที่มา https://www.facebook.com/share/v/C6K7h2P7pNNFv5ZY/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ

    **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด**

    เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย

    เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด

    3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ :

    1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล

    การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013)

    2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค

    งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019)

    3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

    การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน

    การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009)

    ---------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้

    "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน"

    โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001).

    ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013)

    ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด** เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด 3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ : 1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013) 2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019) 3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009) --------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้ "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน" โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001). ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013) ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ

    **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด**

    เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย

    เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด

    3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ :

    1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล

    การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013)

    2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค

    งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019)

    3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

    การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน

    การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009)

    ---------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้

    "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน"

    โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001).

    ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013)

    ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด** เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด 3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ : 1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013) 2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019) 3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009) --------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้ "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน" โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001). ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013) ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1072 มุมมอง 0 รีวิว