รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท
.
วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60
.
สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
.
1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,
.
2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60
.
3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,
.
4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265
.
5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
.
อ่านเพิ่มเติม..
https://sondhitalk.com/detail/9680000009738
.........
Sondhi X
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยสำนักงานคดีพิเศษ สั่งฟ้องทนายตั้ม ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ทั้งสำนวนทำผิดในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งภรรยา พี่สาว และพวก รวมทั้งพนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย พร้อมขอศาลสั่งให้กลุ่มผู้ต้องหาชดใช้เงินคุณอ้อย ทั้งแอปฯ หวยออนไลน์ ส่วนต่างรถเบนซ์ และสแกมเมอร์ทิพย์ รวม 111 ล้านบาท
.
วันนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม จากพนักงานสอบสวนกองปราบปราม จำนวน 2 สำนวน เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 และได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้ สำนักงานคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวและมีคำสั่ง ได้แก่ สำนวนที่ 1 (สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ พ.ต.ต.สันติชัย ศรีสวัสดิ์ สารวัตร กก.3 บก.ป. ผู้กล่าวหา กับนายษิทรา และ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือดาว พี่สาวภรรยานายษิทรา พนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60 และสั่งฟ้อง น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), 5, 9 วรรคสอง และมาตรา 60
.
สำนวนที่ 2 น.ส.จตุพร กับพวกรวม 4 คน ผู้กล่าวหา นายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา, นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองสามีภรรยากรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ, น.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยานายษิทรา, น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 2566 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 2567 ในหลายท้องที่ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน สำนวนคดีนี้เป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของอัยการสูงสุด โดยอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวน ทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
.
1. สั่งฟ้องนายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานฉ้อโกง (กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3, 83, 84, 91, 137, 173, 264, 265, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,
.
2. สั่งฟ้องนางปทิตตา ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.ปิณฑิรา ผู้ต้องหาที่ 5 ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60
.
3. สั่งฟ้องนายนุวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.สารินี ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ), สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 137, 173, 267, 268, 341, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (18), 5, 6, 9, 60,
.
4. สั่งฟ้อง น.ส.แก้วสวรรค์ ผู้ต้องหาที่ 6 และ น.ส.มนันพัทธ์ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265
.
5. ขอศาลสั่งให้นายษิทรา ผู้ต้องหาที่ 1 คืนหรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1, ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
.
อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009738
.........
Sondhi X