• “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง”

    ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000

    Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง

    ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง

    Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman

    นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก
    ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง
    ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น
    การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด
    Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่
    มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น
    OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร
    นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี
    ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล
    การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน
    การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง
    การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    📉 “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง” ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000 Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก ➡️ ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง ➡️ ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น ➡️ การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด ➡️ Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่ ➡️ มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร ➡️ นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล ➡️ การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง ➡️ การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bank of England, IMF, warn AI bubble risk has shades of 2000 dotcom crash — Goldman Sachs cautions we're not there 'yet'
    Of the five stages of a bubble, we're already in stage three, according to one investment strategist.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • “RISC-V ทะลุ 25% ส่วนแบ่งตลาดชิป — ISA เปิดมาตรฐานกำลังเปลี่ยนโฉมโลกฮาร์ดแวร์”

    RISC-V International เตรียมประกาศอย่างเป็นทางการในงาน RISC-V Summit North America ว่า RISC-V ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมคำสั่งแบบเปิด (ISA) ได้ทะลุ 25% ของส่วนแบ่งตลาดซิลิคอนทั่วโลกแล้วในปี 2025 ซึ่งเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 5 ปี โดยเดิมทีคาดว่าจะถึงจุดนี้ในปี 2030

    RISC-V เป็น ISA ที่เปิดให้ทุกคนใช้งานและพัฒนาได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ต่างจาก ARM ที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์และค่ารอยัลตี้ให้กับบริษัทแม่ การเปิดกว้างนี้ทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถออกแบบโปรเซสเซอร์ที่เหมาะกับงานเฉพาะได้อย่างอิสระ และลดต้นทุนการพัฒนา

    การเติบโตของ RISC-V ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งานในอุปกรณ์ Edge AI เช่น ฮับข้อมูลในชุมชนขนาดเล็ก ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูล

    SHD Group คาดว่า RISC-V จะมีการจัดส่งชิปมากกว่า 21 พันล้านตัวภายในปี 2031 และสร้างรายได้รวมกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยมีการใช้งานใน IoT, ยานยนต์, blockchain, และระบบ AI ที่ออกแบบในคลาวด์โดย AWS

    Meta ก็เข้าร่วมขบวนด้วย โดยเพิ่งเข้าซื้อบริษัท Rivos ซึ่งเป็นผู้พัฒนา GPU บน RISC-V เพื่อสร้าง accelerator สำหรับ AI โดยเฉพาะ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RISC-V มีส่วนแบ่งตลาดซิลิคอนถึง 25% ในปี 2025
    เดิมคาดว่าจะถึงจุดนี้ในปี 2030 แต่เกิดเร็วกว่าคาดถึง 5 ปี
    เป็น ISA แบบเปิดที่ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์หรือรอยัลตี้
    ใช้งานใน Edge AI, IoT, ยานยนต์ และ blockchain
    SHD Group คาดว่าจะมีการจัดส่งชิป RISC-V มากกว่า 21 พันล้านตัวภายในปี 2031
    รายได้รวมจาก RISC-V คาดว่าจะเกิน 2 พันล้านดอลลาร์
    Meta เข้าซื้อบริษัท Rivos เพื่อพัฒนา GPU บน RISC-V
    Summit มีผู้ร่วมบรรยายจาก Google, AWS, NASA และ Ethereum Foundation

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ISA คือชุดคำสั่งที่กำหนดวิธีการทำงานของโปรเซสเซอร์
    ARM เป็น ISA แบบปิดที่ใช้ในมือถือและแล็ปท็อปจำนวนมาก
    Edge AI ช่วยลดการพึ่งพาคลาวด์และเพิ่มความเร็วในการประมวลผล
    RISC-V มีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบชิปเฉพาะทาง
    การเติบโตของ RISC-V สะท้อนถึงความนิยมในระบบเปิดและการพัฒนาแบบร่วมมือ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/risc-v-set-to-announce-25-percent-market-penetration-open-standard-isa-is-ahead-of-schedule-securing-fast-growing-silicon-footprint
    📈 “RISC-V ทะลุ 25% ส่วนแบ่งตลาดชิป — ISA เปิดมาตรฐานกำลังเปลี่ยนโฉมโลกฮาร์ดแวร์” RISC-V International เตรียมประกาศอย่างเป็นทางการในงาน RISC-V Summit North America ว่า RISC-V ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมคำสั่งแบบเปิด (ISA) ได้ทะลุ 25% ของส่วนแบ่งตลาดซิลิคอนทั่วโลกแล้วในปี 2025 ซึ่งเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 5 ปี โดยเดิมทีคาดว่าจะถึงจุดนี้ในปี 2030 RISC-V เป็น ISA ที่เปิดให้ทุกคนใช้งานและพัฒนาได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ต่างจาก ARM ที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์และค่ารอยัลตี้ให้กับบริษัทแม่ การเปิดกว้างนี้ทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถออกแบบโปรเซสเซอร์ที่เหมาะกับงานเฉพาะได้อย่างอิสระ และลดต้นทุนการพัฒนา การเติบโตของ RISC-V ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งานในอุปกรณ์ Edge AI เช่น ฮับข้อมูลในชุมชนขนาดเล็ก ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูล SHD Group คาดว่า RISC-V จะมีการจัดส่งชิปมากกว่า 21 พันล้านตัวภายในปี 2031 และสร้างรายได้รวมกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยมีการใช้งานใน IoT, ยานยนต์, blockchain, และระบบ AI ที่ออกแบบในคลาวด์โดย AWS Meta ก็เข้าร่วมขบวนด้วย โดยเพิ่งเข้าซื้อบริษัท Rivos ซึ่งเป็นผู้พัฒนา GPU บน RISC-V เพื่อสร้าง accelerator สำหรับ AI โดยเฉพาะ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RISC-V มีส่วนแบ่งตลาดซิลิคอนถึง 25% ในปี 2025 ➡️ เดิมคาดว่าจะถึงจุดนี้ในปี 2030 แต่เกิดเร็วกว่าคาดถึง 5 ปี ➡️ เป็น ISA แบบเปิดที่ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์หรือรอยัลตี้ ➡️ ใช้งานใน Edge AI, IoT, ยานยนต์ และ blockchain ➡️ SHD Group คาดว่าจะมีการจัดส่งชิป RISC-V มากกว่า 21 พันล้านตัวภายในปี 2031 ➡️ รายได้รวมจาก RISC-V คาดว่าจะเกิน 2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Meta เข้าซื้อบริษัท Rivos เพื่อพัฒนา GPU บน RISC-V ➡️ Summit มีผู้ร่วมบรรยายจาก Google, AWS, NASA และ Ethereum Foundation ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ISA คือชุดคำสั่งที่กำหนดวิธีการทำงานของโปรเซสเซอร์ ➡️ ARM เป็น ISA แบบปิดที่ใช้ในมือถือและแล็ปท็อปจำนวนมาก ➡️ Edge AI ช่วยลดการพึ่งพาคลาวด์และเพิ่มความเร็วในการประมวลผล ➡️ RISC-V มีความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบชิปเฉพาะทาง ➡️ การเติบโตของ RISC-V สะท้อนถึงความนิยมในระบบเปิดและการพัฒนาแบบร่วมมือ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/risc-v-set-to-announce-25-percent-market-penetration-open-standard-isa-is-ahead-of-schedule-securing-fast-growing-silicon-footprint
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • “เสียงสะท้อนจากสังคมอเมริกัน — การพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายอาจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด”

    แม้การพนันกีฬาจะถูกกฎหมายในสหรัฐฯ อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2018 หลังคำตัดสินของศาลสูง แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Pew Research Center ในปี 2025 กลับสะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปของประชาชน โดยมีจำนวนผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมาย “เป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม” เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2022 เป็น 43% ในปี 2025 และมองว่า “เป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา” เพิ่มจาก 33% เป็น 40%

    แม้จะมีการเติบโตของตลาดการพนันกีฬา โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์ แต่จำนวนผู้ที่ลงเดิมพันจริงกลับไม่เพิ่มขึ้นมากนัก โดย 22% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ระบุว่าเคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 19% ในปี 2022 และที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจาก “การเดิมพันออนไลน์” เท่านั้น

    กลุ่มที่มีแนวโน้มเดิมพันมากที่สุดคือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม และกลุ่มคนผิวดำและฮิสแปนิก ซึ่งมีอัตราการเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุดเช่นกัน เช่น ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่เคยมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีมีสัดส่วนเพิ่มจาก 22% เป็น 47% ในเวลาเพียง 3 ปี

    แม้การพนันกีฬาจะสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องการเสพติดการพนัน การละเมิดกฎในวงการกีฬา และผลกระทบต่อความโปร่งใสของการแข่งขัน ซึ่งในช่วงหลังมีกรณีที่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทีมถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนันมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายเป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม
    40% มองว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2022
    22% ของผู้ใหญ่เคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 2022
    การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจากการเดิมพันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มจาก 6% เป็น 10%
    กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม มีอัตราการเดิมพันสูงที่สุด
    คนผิวดำและฮิสแปนิกมีแนวโน้มเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่น
    กลุ่มคนหนุ่มสาวเปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุด
    การพนันกีฬาถูกกฎหมายใน 38 รัฐ รวมถึง D.C. และเปอร์โตริโก
    การโฆษณาเกี่ยวกับการพนันกีฬาเพิ่มขึ้นในรายการถ่ายทอดสดกีฬา
    การพนันกีฬาสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การพนันกีฬาในสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วหลังคำตัดสินของศาลสูงในปี 2018
    การเดิมพันออนไลน์มีความสะดวกและเข้าถึงง่าย ทำให้เป็นช่องทางหลักของผู้เล่น
    หลายรัฐใช้รายได้จากการพนันเพื่อสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุข
    นักกีฬาหลายคนถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนัน เช่น NFL และ NCAA
    การเสพติดการพนันเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐฯ

    https://www.pewresearch.org/short-reads/2025/10/02/americans-increasingly-see-legal-sports-betting-as-a-bad-thing-for-society-and-sports/
    🎲 “เสียงสะท้อนจากสังคมอเมริกัน — การพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายอาจไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่คิด” แม้การพนันกีฬาจะถูกกฎหมายในสหรัฐฯ อย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2018 หลังคำตัดสินของศาลสูง แต่ผลสำรวจล่าสุดจาก Pew Research Center ในปี 2025 กลับสะท้อนมุมมองที่เปลี่ยนไปของประชาชน โดยมีจำนวนผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมาย “เป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม” เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2022 เป็น 43% ในปี 2025 และมองว่า “เป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา” เพิ่มจาก 33% เป็น 40% แม้จะมีการเติบโตของตลาดการพนันกีฬา โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์ แต่จำนวนผู้ที่ลงเดิมพันจริงกลับไม่เพิ่มขึ้นมากนัก โดย 22% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ระบุว่าเคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 19% ในปี 2022 และที่น่าสนใจคือ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจาก “การเดิมพันออนไลน์” เท่านั้น กลุ่มที่มีแนวโน้มเดิมพันมากที่สุดคือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม และกลุ่มคนผิวดำและฮิสแปนิก ซึ่งมีอัตราการเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุดเช่นกัน เช่น ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่เคยมองว่าเป็นเรื่องไม่ดีมีสัดส่วนเพิ่มจาก 22% เป็น 47% ในเวลาเพียง 3 ปี แม้การพนันกีฬาจะสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องการเสพติดการพนัน การละเมิดกฎในวงการกีฬา และผลกระทบต่อความโปร่งใสของการแข่งขัน ซึ่งในช่วงหลังมีกรณีที่นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทีมถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนันมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 43% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มองว่าการพนันกีฬาแบบถูกกฎหมายเป็นสิ่งไม่ดีต่อสังคม ➡️ 40% มองว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อกีฬา เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2022 ➡️ 22% ของผู้ใหญ่เคยเดิมพันกีฬาในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 19% ในปี 2022 ➡️ การเพิ่มขึ้นทั้งหมดมาจากการเดิมพันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มจาก 6% เป็น 10% ➡️ กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเฉพาะชายหนุ่ม มีอัตราการเดิมพันสูงที่สุด ➡️ คนผิวดำและฮิสแปนิกมีแนวโน้มเดิมพันสูงกว่ากลุ่มอื่น ➡️ กลุ่มคนหนุ่มสาวเปลี่ยนมุมมองต่อการพนันกีฬาไปในทางลบมากที่สุด ➡️ การพนันกีฬาถูกกฎหมายใน 38 รัฐ รวมถึง D.C. และเปอร์โตริโก ➡️ การโฆษณาเกี่ยวกับการพนันกีฬาเพิ่มขึ้นในรายการถ่ายทอดสดกีฬา ➡️ การพนันกีฬาสร้างรายได้ให้รัฐและผู้ประกอบการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การพนันกีฬาในสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็วหลังคำตัดสินของศาลสูงในปี 2018 ➡️ การเดิมพันออนไลน์มีความสะดวกและเข้าถึงง่าย ทำให้เป็นช่องทางหลักของผู้เล่น ➡️ หลายรัฐใช้รายได้จากการพนันเพื่อสนับสนุนงบประมาณด้านการศึกษาและสาธารณสุข ➡️ นักกีฬาหลายคนถูกลงโทษจากการละเมิดกฎการพนัน เช่น NFL และ NCAA ➡️ การเสพติดการพนันเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในสหรัฐฯ https://www.pewresearch.org/short-reads/2025/10/02/americans-increasingly-see-legal-sports-betting-as-a-bad-thing-for-society-and-sports/
    WWW.PEWRESEARCH.ORG
    Americans increasingly see legal sports betting as a bad thing for society and sports
    Today, 43% of U.S. adults say the fact that sports betting is now legal in much of the country is a bad thing for society, up from 34% in 2022.
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • “BlackRock ทุ่ม $40 พันล้าน ซื้อกิจการศูนย์ข้อมูล Aligned — ขยายพอร์ต AI Infrastructure สู่ 5GW ทั่วอเมริกา”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลก็พุ่งทะยานตาม ล่าสุด BlackRock ผ่านบริษัทลูก Global Infrastructure Partners (GIP) ได้ประกาศดีลมูลค่า $40 พันล้านเพื่อเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ซึ่งมีศูนย์ข้อมูลรวม 78 แห่ง ครอบคลุม 50 แคมปัสในสหรัฐฯ และอเมริกาใต้ รวมกำลังประมวลผลกว่า 5 กิกะวัตต์

    Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่เน้นรองรับงาน AI โดยเฉพาะ มีลูกค้าระดับ hyperscale และบริษัท AI อย่าง Lambda และเคยได้รับเงินลงทุนกว่า $12 พันล้านในต้นปีนี้จาก Macquarie Asset Management เพื่อเร่งขยายกิจการ

    ดีลนี้ยังมีผู้ร่วมวงอย่าง MGX บริษัทลงทุนด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Mubadala Investment Co. ซึ่งแสดงความสนใจลงทุนใน Aligned แบบแยกต่างหาก โดย MGX ยังมีบทบาทในโครงการ Stargate — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้านที่ได้รับการสนับสนุนจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank

    การเข้าซื้อ Aligned จะทำให้ GIP มีพอร์ตศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยซื้อกิจการ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 และยังมีแผนซื้อกิจการบริษัทพลังงาน AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI

    แม้ดีลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถือเป็นหนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดของปีนี้ และสะท้อนถึงกระแสการลงทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีความกังวลจากนักวิเคราะห์บางส่วนว่า หากเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่ตลาดคาดหวัง อาจเกิดฟองสบู่ในภาคโครงสร้างพื้นฐานได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BlackRock ผ่าน GIP เตรียมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40 พันล้าน
    Aligned มีศูนย์ข้อมูล 78 แห่งใน 50 แคมปัส รวมกำลังประมวลผลกว่า 5GW
    ลูกค้าหลักของ Aligned ได้แก่ hyperscale cloud และบริษัท AI เช่น Lambda
    Aligned เคยได้รับเงินลงทุน $12 พันล้านจาก Macquarie ในต้นปีนี้
    MGX บริษัทลงทุนด้าน AI จาก Mubadala สนใจลงทุนใน Aligned แบบแยก
    MGX มีบทบาทในโครงการ Stargate ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้าน
    GIP เคยซื้อ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021
    GIP กำลังพิจารณาซื้อกิจการ AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI
    ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในดีลโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ความต้องการศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของโมเดล LLM และการใช้งาน edge AI
    การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI สูงกว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไปหลายเท่า
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างระบบที่รองรับชิป AI กว่า 2 ล้านตัว
    ตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า $6.7 ล้านล้านภายในปี 2030
    BlackRock มีมูลค่าตลาดรวมกว่า $189 พันล้าน และถือเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/blackrock-subsidiary-buys-up-78-data-centers-totaling-5-gigawatts-in-usd40-billion-deal-ai-vendor-aligned-added-to-companys-portfolio
    🏢 “BlackRock ทุ่ม $40 พันล้าน ซื้อกิจการศูนย์ข้อมูล Aligned — ขยายพอร์ต AI Infrastructure สู่ 5GW ทั่วอเมริกา” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลก็พุ่งทะยานตาม ล่าสุด BlackRock ผ่านบริษัทลูก Global Infrastructure Partners (GIP) ได้ประกาศดีลมูลค่า $40 พันล้านเพื่อเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ซึ่งมีศูนย์ข้อมูลรวม 78 แห่ง ครอบคลุม 50 แคมปัสในสหรัฐฯ และอเมริกาใต้ รวมกำลังประมวลผลกว่า 5 กิกะวัตต์ Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่เน้นรองรับงาน AI โดยเฉพาะ มีลูกค้าระดับ hyperscale และบริษัท AI อย่าง Lambda และเคยได้รับเงินลงทุนกว่า $12 พันล้านในต้นปีนี้จาก Macquarie Asset Management เพื่อเร่งขยายกิจการ ดีลนี้ยังมีผู้ร่วมวงอย่าง MGX บริษัทลงทุนด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Mubadala Investment Co. ซึ่งแสดงความสนใจลงทุนใน Aligned แบบแยกต่างหาก โดย MGX ยังมีบทบาทในโครงการ Stargate — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้านที่ได้รับการสนับสนุนจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank การเข้าซื้อ Aligned จะทำให้ GIP มีพอร์ตศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยซื้อกิจการ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 และยังมีแผนซื้อกิจการบริษัทพลังงาน AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI แม้ดีลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถือเป็นหนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดของปีนี้ และสะท้อนถึงกระแสการลงทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีความกังวลจากนักวิเคราะห์บางส่วนว่า หากเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่ตลาดคาดหวัง อาจเกิดฟองสบู่ในภาคโครงสร้างพื้นฐานได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BlackRock ผ่าน GIP เตรียมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40 พันล้าน ➡️ Aligned มีศูนย์ข้อมูล 78 แห่งใน 50 แคมปัส รวมกำลังประมวลผลกว่า 5GW ➡️ ลูกค้าหลักของ Aligned ได้แก่ hyperscale cloud และบริษัท AI เช่น Lambda ➡️ Aligned เคยได้รับเงินลงทุน $12 พันล้านจาก Macquarie ในต้นปีนี้ ➡️ MGX บริษัทลงทุนด้าน AI จาก Mubadala สนใจลงทุนใน Aligned แบบแยก ➡️ MGX มีบทบาทในโครงการ Stargate ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ GIP เคยซื้อ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 ➡️ GIP กำลังพิจารณาซื้อกิจการ AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในดีลโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ความต้องการศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของโมเดล LLM และการใช้งาน edge AI ➡️ การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI สูงกว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไปหลายเท่า ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างระบบที่รองรับชิป AI กว่า 2 ล้านตัว ➡️ ตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า $6.7 ล้านล้านภายในปี 2030 ➡️ BlackRock มีมูลค่าตลาดรวมกว่า $189 พันล้าน และถือเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/blackrock-subsidiary-buys-up-78-data-centers-totaling-5-gigawatts-in-usd40-billion-deal-ai-vendor-aligned-added-to-companys-portfolio
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft”

    แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร

    แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง

    ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์

    OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้

    แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024
    ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ
    ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์
    ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์
    ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์
    จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่
    เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก
    ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์
    กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์
    Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร
    ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
    การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI
    การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด
    นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้

    https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    💸 “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft” แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้ แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 ➡️ ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ➡️ เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ➡️ ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ➡️ การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด ➡️ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้ https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้,
    ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย,
    ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้,
    ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน.
    ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด.

    https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    จีนมีดีคือจีนแท้,จีนไม่ดีคือจีนเทา มันใฝ่ทรยศจีนแท้ได้,ทำลายคนจีนแท้ในประเทศจีนได้, ..จริงๆจีนมีนโยบายตนเองชัด,ถ้านายกฯเราดีก็ชัดเจนกับจีนได้หมด,แต่มิใช่แบบลาวแบบเขมร ทาสหนี้จีนเมืองขึ้นจีน ขายแผ่นดินให้จีนยึดครองได้หลากหลายวิธีลักษณะแบบนั้น,จีนปัจจุบันมองผลประโยชน์สำคัญเป็นหลักแล้วก่อนมองด้านอดีตที่เคยสัมพันธ์กันมาก่อน,นโยบายไทยเราก็อนาถด้วย จุดยืนตนเองไม่มี เพราะนักการเมืองไทยและข้าราชการไทยเราทุจริตไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ถูกตังเจ้าสัวไทยนอมินีจีนซื้อด้วยเงินก็ขาอ่อนหมดแล้ว,รากฐานคือผู้นำผู้ปกครองเรากาก ไม่มีอะไรเลย,จีนจึงเต็มไทยไปหมดรวมต่างด้าวด้วย,ต่างด้าวต่างชาติมีงานในไทยมากเท่าไร คนไทยก็ตกงานมากเท่านั่นเพราะเอกชนไทยและต่างชาติสุมหัวกันทำลายแรงงานคนไทยได้สบาย สุดท้ายคนไทยตกงาน ขาดรายได้รายรับ ถูกยึดที่ดินผิดปกติด้วยกฎหมายเปิดช่องมากมายจากนักการเมืองปกครองประเทศแบบสาระเลวชั่ว,จีนแฟร์มาก เราประเทศได้ผู้นำเอาคนไทยมาก่อนมันจะจบเลย,คนไทยจะมีงานทำเกือบหมด,ไม่มีงานทางตรงจากประจำกิจการบริษัทโรงงานก็เป็นงานทางอ้อมส่งวัตถุดิบเข้ากิจการโรงงานบริษัทนั้นๆได้,มีรายได้รายรับผ่านช่องทางนี้ได้,กระทรวงแรงงานเรากากไม่มีอะไรหรอก บริหารจัดการไม่เป็น,ต้นน้ำคือโรงเรียนวิลัยมหาลัยไทยตน ปลายน้ำคือกิจการเอกชนและหน่วนงานรัฐบาล ตนต้องส่งแรงงานไทยตนทั้งหมดให้ถึงฝั่งจะเป็นด้านเอกชนที่คนไทยนั้นๆสนใจทำงานหรือหน่วยงานระบบราชการตนก็ต้องส่งคนไทนนั้นๆถึงฝันใฝ่ด้วย,ชี้แนะวิชาชีพ อาชีพแต่แรก,เตรียมรองรับเมื่อเขาจบการศึกษา ประสานแหล่งงานเตรียมพร้อมรับแรงงานคนไทยเข้าทำงาน ทั้งเอกชนและทางรัฐเองที่สรรหากำลังพลบุคลากร,ตลอดทั่วโลกด้วย ติดตามทุกๆสัปดาห์หรือเดือนด้วยเพื่อปกป้องคนไทยเรา หรืออาชญากรรมค้ามนุษย์ทั้งในไทยเองและที่ต่างประเทศ.,กระทรวงแรงงานเราจึงกากตอบไม่ผิด,ตนต้องอุดช่องขัดขวางมิให้ประสิทธิภาพหน้าที่ตนลดลง ดูแลรายรับคนได้ได้ทั่วประเทศ,ส่งเสริมทักษะและอาชีพจริง สนับสนุนแหล่งเงินทุนสร้างรายได้รายรับด้วย,บริหารและบริการแบบครบวงจรอุ่นใจเมื่อทุกๆคนไทยเข้าไปหาว่ามีโอกาสสร้างรายรับเข้าบ้านแน่นอนเมื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานนี้,คนไทยเราไม่อดตายมีเงินมีตังมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเลี้ยงชีพตนและคนที่ตนอยากดูแลเลี้ยงดูด้วย, ..จีน อินเดีย อินโดฯ เอเชียเราคือตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่โตมากสามารถพึงพากันในเอเชียในหลายๆด้านได้สบายเช่นตลาดสร้างรายได้แลกเปลี่ยนกันในแต่ละประเทศ,หรือสร้างความสงบร่มเย็นปลอดสงครามสู้รบใดๆทั้งภายในและแบบเขมรยิงใส่ไทยเราก่อนแบบนี้, ..จีนเป็นพี่ใหญ่ที่ดีกับไทยในอดีตแต่ไส้ในเราไม่รู้ว่าไปแลกกับผลประโยชน์ของประเทศไทยอะไรบ้าง,ทุกๆบ้านไส้ในเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับเรา,แต่ทั้งหมดคบกันอาจด้วยผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ.,น้อยมาที่สายสัมพันธุ์มาก่อน,แต่จีนแท้ สายสัมพันธุ์ที่ดีอาจมาก่อนเสมอ,คนจีนที่นิสัยดีๆซื่อสัตย์ซื่อตรงมีไม่น้อย ตลอดผู้นำจีนแม้เขาคือคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นคนดีในหมู่คอมมิวนิสต์เขาได้,คนดีคบกันไม่สนใจว่าปกครองด้วยระบบอะไรหรอก,เพราะคนดีจะไม่ทรยศและหักหลังกันและกันเด็ดขาด.,ต่างตักเตือนเฝ้าระวังภัยให้กันและกันเมื่อมีภัยเกิดขึ้น.,ไม่ทิ้งกันเช่นกัน. ..ดีที่สุดเรา..ประเทศไทนคนไทยเราต้องสามัคคีกันพึ่งพากันและกันช่วยเหลือกันและกันดีที่สุด. https://youtube.com/shorts/mNwZxmoscYQ?si=XiKZq615VFPIjxNd
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 Reviews
  • รัฐปะลิสเตรียมเก็บเงิน 2-5 ริงกิต นักท่องเที่ยวเข้าไทย

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลท้องถิ่นรัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย กำลังศึกษารายละเอียดข้อเสนอที่จะเก็บค่าธรรมเนียมของรัฐระหว่าง 2 ถึง 5 ริงกิต (15.27 ถึง 38.18 บาท) จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศมายังประเทศไทย ผ่านศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ด่านควบคุมโรค และรักษาความปลอดภัย (ICQS) ด่านปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และด่านวังเกอเลียน ตรงข้ามด่านพรมแดนวังประจัน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล

    นายโมห์ด ซูกรี รามิล มุขมนตรีรัฐปะลิส กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นรัฐปะลิสจำเป็นต้องศึกษาข้อเสนอนี้ ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอดังกล่าวต่อรัฐบาลกลางเพื่อพิจารณาต่อไป หากรัฐบาลกลางอนุมัติจะช่วยสร้างรายได้ให้กับรัฐปะลิส สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในรัฐปะลิสได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา และคาดหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลาง

    สำหรับด่านปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เป็นด่านเข้า-ออกระหว่างไทยและมาเลเซีย ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง รองจากด่านบูกิตกายฺูฮิตัม รัฐเคดะห์ ตรงข้ามด่านพรมแดนสะเดา ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะด่านปาดังเบซาร์มีทางรถไฟรางเดี่ยวขนาด 1 เมตร (Meter gauge) เชื่อมระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ขณะที่ด่านบูกิตกายฺูฮิตัม นิยมเดินทางด้วยรถยนต์ ระหว่างถนนเพชรเกษม ฝั่งประเทศไทย กับทางด่วนเหนือ-ใต้สาย E1 ฝั่งประเทศมาเลเซีย

    ข้อมูลคนเดินทางเข้า-ออก ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ (ประเทศไทย) ปีงบประมาณ 2568 นับเฉพาะเดือน ต.ค. 2567 ถึง ส.ค. 2568 พบว่ามีคนเดินทางขาเข้ารวม 1,612,651 คน คนเดินทางขาออกรวม 1,601,166 คน โดยพบว่าคนเดินทางเข้า-ออกมากที่สุดคือเดือน ธ.ค. 2567 ขาเข้า 176,555 คน ขาออก 173,027 คน น้อยที่สุดคือเดือน พ.ย. 2567 ขาเข้า 120,748 คน ขาออก 125,091 คน

    หากรัฐบาลรัฐปะลิสมีการเรียกเก็บเงิน 2 ถึง 5 ริงกิต จำนวน 120,000 คน จะสร้างรายได้อย่างน้อย 240,000 ถึง 600,000 ริงกิต หรือประมาณ 1.83 ถึง 4.58 ล้านบาท

    ส่วนผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น คนไทย ที่ผ่านมาหากมีการค้างคืนที่มาเลเซีย จะต้องเสียภาษีท่องเที่ยว 10 ริงกิตต่อคืน (76.37 บาท) บวกกับบางรัฐเรียกเก็บภาษีจากรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มเติม เช่น ภาษีท้องถิ่นสำหรับโรงแรมในรัฐปีนัง หากเป็นโรงแรมระดับ 1-2 ดาว เรียกเก็บ 2 ริงกิตต่อคืน และระดับ 3 ดาวขึ้นไป เรียกเก็บ 3 ริงกิตต่อคืน (22.91 บาท) หากรัฐปะลิสมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เมื่อออกนอกประเทศมาเลเซีย จะทำให้นักท่องเที่ยวมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

    #Newskit
    รัฐปะลิสเตรียมเก็บเงิน 2-5 ริงกิต นักท่องเที่ยวเข้าไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลท้องถิ่นรัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย กำลังศึกษารายละเอียดข้อเสนอที่จะเก็บค่าธรรมเนียมของรัฐระหว่าง 2 ถึง 5 ริงกิต (15.27 ถึง 38.18 บาท) จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางออกนอกประเทศมายังประเทศไทย ผ่านศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ด่านควบคุมโรค และรักษาความปลอดภัย (ICQS) ด่านปาดังเบซาร์ ตรงข้ามด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และด่านวังเกอเลียน ตรงข้ามด่านพรมแดนวังประจัน ต.วังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล นายโมห์ด ซูกรี รามิล มุขมนตรีรัฐปะลิส กล่าวว่า รัฐบาลท้องถิ่นรัฐปะลิสจำเป็นต้องศึกษาข้อเสนอนี้ ก่อนที่จะยื่นข้อเสนอดังกล่าวต่อรัฐบาลกลางเพื่อพิจารณาต่อไป หากรัฐบาลกลางอนุมัติจะช่วยสร้างรายได้ให้กับรัฐปะลิส สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในรัฐปะลิสได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา และคาดหวังว่าจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลาง สำหรับด่านปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เป็นด่านเข้า-ออกระหว่างไทยและมาเลเซีย ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง รองจากด่านบูกิตกายฺูฮิตัม รัฐเคดะห์ ตรงข้ามด่านพรมแดนสะเดา ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เพราะด่านปาดังเบซาร์มีทางรถไฟรางเดี่ยวขนาด 1 เมตร (Meter gauge) เชื่อมระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ขณะที่ด่านบูกิตกายฺูฮิตัม นิยมเดินทางด้วยรถยนต์ ระหว่างถนนเพชรเกษม ฝั่งประเทศไทย กับทางด่วนเหนือ-ใต้สาย E1 ฝั่งประเทศมาเลเซีย ข้อมูลคนเดินทางเข้า-ออก ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ (ประเทศไทย) ปีงบประมาณ 2568 นับเฉพาะเดือน ต.ค. 2567 ถึง ส.ค. 2568 พบว่ามีคนเดินทางขาเข้ารวม 1,612,651 คน คนเดินทางขาออกรวม 1,601,166 คน โดยพบว่าคนเดินทางเข้า-ออกมากที่สุดคือเดือน ธ.ค. 2567 ขาเข้า 176,555 คน ขาออก 173,027 คน น้อยที่สุดคือเดือน พ.ย. 2567 ขาเข้า 120,748 คน ขาออก 125,091 คน หากรัฐบาลรัฐปะลิสมีการเรียกเก็บเงิน 2 ถึง 5 ริงกิต จำนวน 120,000 คน จะสร้างรายได้อย่างน้อย 240,000 ถึง 600,000 ริงกิต หรือประมาณ 1.83 ถึง 4.58 ล้านบาท ส่วนผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น คนไทย ที่ผ่านมาหากมีการค้างคืนที่มาเลเซีย จะต้องเสียภาษีท่องเที่ยว 10 ริงกิตต่อคืน (76.37 บาท) บวกกับบางรัฐเรียกเก็บภาษีจากรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มเติม เช่น ภาษีท้องถิ่นสำหรับโรงแรมในรัฐปีนัง หากเป็นโรงแรมระดับ 1-2 ดาว เรียกเก็บ 2 ริงกิตต่อคืน และระดับ 3 ดาวขึ้นไป เรียกเก็บ 3 ริงกิตต่อคืน (22.91 บาท) หากรัฐปะลิสมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เมื่อออกนอกประเทศมาเลเซีย จะทำให้นักท่องเที่ยวมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย #Newskit
    Haha
    1
    1 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?”

    ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน

    ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ

    Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย

    ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป

    ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U
    ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ
    รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste
    รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า
    iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud
    ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร
    เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน
    ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม
    การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ
    มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม
    การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย
    การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    📦 “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?” ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ ➡️ รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste ➡️ รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า ➡️ iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud ➡️ ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน ➡️ ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม ➡️ การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ ➡️ มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม ➡️ การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย ➡️ การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • “เมื่อโรงพยาบาลกลายเป็นสินทรัพย์: งานวิจัยชี้อัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นหลังถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน”

    งานวิจัยล่าสุดจาก Harvard Medical School และสถาบันพันธมิตรได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการโดยบริษัททุนเอกชน (Private Equity) มีอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ถูกซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย Medicare ซึ่งมักเป็นผู้สูงอายุและมีความเปราะบางทางสุขภาพ

    การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ และเปรียบเทียบกับข้อมูลจากโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่มีขนาดและทำเลใกล้เคียงกัน พบว่าหลังการซื้อกิจการ โรงพยาบาลเหล่านี้มีการลดจำนวนพนักงานลงเฉลี่ย 11.6% และลดค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนในห้องฉุกเฉินและ ICU ลงถึง 18% และ 16% ตามลำดับ

    นักวิจัยชี้ว่า การลดจำนวนบุคลากรในพื้นที่ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ห้องฉุกเฉินและ ICU ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการรักษา และอาจเป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิต

    นอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลที่ถูกซื้อโดยทุนเอกชนมีแนวโน้มที่จะส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น และลดระยะเวลาการรักษาใน ICU เพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้นผลกำไรเป็นหลัก มากกว่าคุณภาพการดูแลผู้ป่วย

    แม้จะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบ แต่บริษัททุนเอกชนยังคงเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาลจิตเวชและโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทที่มีทางเลือกจำกัด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยพบว่าอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้น 13% หลังโรงพยาบาลถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน
    วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วย Medicare กว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ
    เปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่ไม่ได้ถูกซื้อ
    จำนวนพนักงานลดลงเฉลี่ย 11.6% หลังการซื้อกิจการ
    ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนใน ER ลดลง 18% และ ICU ลดลง 16%
    โรงพยาบาลมีแนวโน้มส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น
    ระยะเวลาการรักษาใน ICU ถูกลดลงเพื่อควบคุมต้นทุน
    บริษัททุนเอกชนยังคงซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
    ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของทุนเอกชน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Private Equity ใช้เงินกู้ในการซื้อกิจการ ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับหนี้เพิ่ม
    กลยุทธ์หลักคือเพิ่มรายได้ในระยะสั้น แล้วลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไร
    การลดพนักงานมักหมายถึงการลดคุณภาพการดูแลผู้ป่วย
    โรงพยาบาลที่ถูกซื้อบางแห่งขายที่ดินเพื่อสร้างรายได้ แต่ต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่ม
    รัฐบางแห่ง เช่น Oregon และ Indiana เริ่มออกกฎหมายควบคุมการเข้าซื้อกิจการโดยทุนเอกชน

    https://www.nbcnews.com/news/us-news/death-rates-rose-hospital-ers-private-equity-firms-took-study-finds-rcna233211
    🏥 “เมื่อโรงพยาบาลกลายเป็นสินทรัพย์: งานวิจัยชี้อัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นหลังถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน” งานวิจัยล่าสุดจาก Harvard Medical School และสถาบันพันธมิตรได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า โรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการโดยบริษัททุนเอกชน (Private Equity) มีอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้นถึง 13% เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้ถูกซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วย Medicare ซึ่งมักเป็นผู้สูงอายุและมีความเปราะบางทางสุขภาพ การศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ และเปรียบเทียบกับข้อมูลจากโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่มีขนาดและทำเลใกล้เคียงกัน พบว่าหลังการซื้อกิจการ โรงพยาบาลเหล่านี้มีการลดจำนวนพนักงานลงเฉลี่ย 11.6% และลดค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนในห้องฉุกเฉินและ ICU ลงถึง 18% และ 16% ตามลำดับ นักวิจัยชี้ว่า การลดจำนวนบุคลากรในพื้นที่ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น ห้องฉุกเฉินและ ICU ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการรักษา และอาจเป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของอัตราการเสียชีวิต นอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลที่ถูกซื้อโดยทุนเอกชนมีแนวโน้มที่จะส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น และลดระยะเวลาการรักษาใน ICU เพื่อควบคุมต้นทุน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ทางการเงินที่เน้นผลกำไรเป็นหลัก มากกว่าคุณภาพการดูแลผู้ป่วย แม้จะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบ แต่บริษัททุนเอกชนยังคงเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงโรงพยาบาลจิตเวชและโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบทที่มีทางเลือกจำกัด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยพบว่าอัตราการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินเพิ่มขึ้น 13% หลังโรงพยาบาลถูกซื้อโดยบริษัททุนเอกชน ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วย Medicare กว่า 1 ล้านรายในโรงพยาบาลที่ถูกซื้อกิจการ ➡️ เปรียบเทียบกับโรงพยาบาลอีก 293 แห่งที่ไม่ได้ถูกซื้อ ➡️ จำนวนพนักงานลดลงเฉลี่ย 11.6% หลังการซื้อกิจการ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนใน ER ลดลง 18% และ ICU ลดลง 16% ➡️ โรงพยาบาลมีแนวโน้มส่งผู้ป่วยหนักไปยังโรงพยาบาลอื่นมากขึ้น ➡️ ระยะเวลาการรักษาใน ICU ถูกลดลงเพื่อควบคุมต้นทุน ➡️ บริษัททุนเอกชนยังคงซื้อกิจการโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ➡️ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลในสหรัฐฯ กว่า 488 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารของทุนเอกชน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Private Equity ใช้เงินกู้ในการซื้อกิจการ ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับหนี้เพิ่ม ➡️ กลยุทธ์หลักคือเพิ่มรายได้ในระยะสั้น แล้วลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไร ➡️ การลดพนักงานมักหมายถึงการลดคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ➡️ โรงพยาบาลที่ถูกซื้อบางแห่งขายที่ดินเพื่อสร้างรายได้ แต่ต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่ม ➡️ รัฐบางแห่ง เช่น Oregon และ Indiana เริ่มออกกฎหมายควบคุมการเข้าซื้อกิจการโดยทุนเอกชน https://www.nbcnews.com/news/us-news/death-rates-rose-hospital-ers-private-equity-firms-took-study-finds-rcna233211
    WWW.NBCNEWS.COM
    Death rates rose in hospital ERs after private equity firms took over, study finds
    The increased deaths in emergency departments at private equity-owned hospitals are most likely the result of reduced staffing levels, researchers say.
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • “OpenSSF เตือนหนัก: โครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สไม่ใช่ของฟรี — ถึงเวลาที่องค์กรต้องจ่ายคืนให้ระบบที่พวกเขาพึ่งพา”

    Open Source Security Foundation (OpenSSF) พร้อมด้วยมูลนิธิซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สชั้นนำ เช่น Eclipse, Python, Rust, OpenJS และ Sonatype ได้ออกแถลงการณ์ร่วมในเดือนกันยายน 2025 เพื่อประกาศจุดยืนว่า “โอเพ่นซอร์สไม่ใช่บริการฟรี” และเตือนว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนซอฟต์แวร์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไม่ยั่งยืน

    องค์กรเหล่านี้ต้องรับภาระการดาวน์โหลดแพ็กเกจระดับ “หลายล้านล้านครั้งต่อเดือน” โดยไม่มีรายได้ที่สอดคล้องกับการใช้งานจริง ส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการบริจาค, เงินทุนจากผู้สนับสนุนไม่กี่ราย และแรงงานอาสาสมัคร ซึ่งไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากระบบ CI/CD, container builds และ AI agents ที่สแกน repository แบบอัตโนมัติ

    OpenSSF ชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สไม่ใช่แค่ package registry แต่ยังรวมถึงระบบ build, test, deploy, CDN, cloud storage และระบบความปลอดภัยที่ต้องทำงานตลอดเวลา — ทั้งหมดนี้มีต้นทุนที่องค์กรผู้ใช้งานจำนวนมากไม่ได้แบกรับ

    เพื่อแก้ปัญหา OpenSSF เสนอแนวทางใหม่ เช่น การสร้างโมเดล “tiered access” ที่ให้บริการฟรีสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่คิดค่าบริการสำหรับองค์กรขนาดใหญ่, การจับมือกับภาคธุรกิจเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานตามสัดส่วนการใช้งาน, และการเพิ่มบริการเสริมเชิงพาณิชย์ เช่น analytics หรือ SLA ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

    แม้สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ OpenSSF เตือนว่า หากไม่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ระบบที่เป็นรากฐานของซอฟต์แวร์ทั่วโลกอาจล่มสลายได้ในอนาคตอันใกล้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSF และมูลนิธิซอฟต์แวร์หลายแห่งออกแถลงการณ์ร่วมเตือนเรื่องความยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส
    โครงสร้างพื้นฐานรองรับการดาวน์โหลดหลายล้านล้านครั้งต่อเดือน แต่ยังพึ่งพาการบริจาค
    ระบบที่เกี่ยวข้องรวมถึง build, test, deploy, CDN, cloud และระบบความปลอดภัย
    ปริมาณการใช้งานจากระบบอัตโนมัติ เช่น CI/CD และ AI agents เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    OpenSSF เสนอโมเดล tiered access และความร่วมมือเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้
    มีการเสนอให้เพิ่มบริการเสริม เช่น analytics และ SLA สำหรับองค์กร
    แถลงการณ์ร่วมลงนามโดย Eclipse, Python, Rust, OpenJS, Sonatype และอื่น ๆ
    สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบโอเพ่นซอร์ส

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GitHub เคยเสนอให้รัฐบาลมองโอเพ่นซอร์สเป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” และสนับสนุนงบประมาณ
    EU เสนอ Sovereign Tech Fund มูลค่า €350 ล้านเพื่อสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส
    โครงการ Asahi Linux เคยประสบปัญหาบุคลากรลาออกเพราะความเหนื่อยล้าและขาดทุนสนับสนุน
    Bruce Perens เสนอ “Post-Open Zero Cost License” เพื่อบังคับให้บริษัทที่ใช้โอเพ่นซอร์สต้องจ่าย
    โครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สมีบทบาทสำคัญในระบบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ทั่วโลก

    https://securityonline.info/openssf-warns-open-source-software-is-not-a-free-service/
    🌍 “OpenSSF เตือนหนัก: โครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สไม่ใช่ของฟรี — ถึงเวลาที่องค์กรต้องจ่ายคืนให้ระบบที่พวกเขาพึ่งพา” Open Source Security Foundation (OpenSSF) พร้อมด้วยมูลนิธิซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สชั้นนำ เช่น Eclipse, Python, Rust, OpenJS และ Sonatype ได้ออกแถลงการณ์ร่วมในเดือนกันยายน 2025 เพื่อประกาศจุดยืนว่า “โอเพ่นซอร์สไม่ใช่บริการฟรี” และเตือนว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนซอฟต์แวร์ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไม่ยั่งยืน องค์กรเหล่านี้ต้องรับภาระการดาวน์โหลดแพ็กเกจระดับ “หลายล้านล้านครั้งต่อเดือน” โดยไม่มีรายได้ที่สอดคล้องกับการใช้งานจริง ส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการบริจาค, เงินทุนจากผู้สนับสนุนไม่กี่ราย และแรงงานอาสาสมัคร ซึ่งไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากระบบ CI/CD, container builds และ AI agents ที่สแกน repository แบบอัตโนมัติ OpenSSF ชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สไม่ใช่แค่ package registry แต่ยังรวมถึงระบบ build, test, deploy, CDN, cloud storage และระบบความปลอดภัยที่ต้องทำงานตลอดเวลา — ทั้งหมดนี้มีต้นทุนที่องค์กรผู้ใช้งานจำนวนมากไม่ได้แบกรับ เพื่อแก้ปัญหา OpenSSF เสนอแนวทางใหม่ เช่น การสร้างโมเดล “tiered access” ที่ให้บริการฟรีสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่คิดค่าบริการสำหรับองค์กรขนาดใหญ่, การจับมือกับภาคธุรกิจเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานตามสัดส่วนการใช้งาน, และการเพิ่มบริการเสริมเชิงพาณิชย์ เช่น analytics หรือ SLA ที่มีความน่าเชื่อถือสูง แม้สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ OpenSSF เตือนว่า หากไม่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ระบบที่เป็นรากฐานของซอฟต์แวร์ทั่วโลกอาจล่มสลายได้ในอนาคตอันใกล้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSF และมูลนิธิซอฟต์แวร์หลายแห่งออกแถลงการณ์ร่วมเตือนเรื่องความยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส ➡️ โครงสร้างพื้นฐานรองรับการดาวน์โหลดหลายล้านล้านครั้งต่อเดือน แต่ยังพึ่งพาการบริจาค ➡️ ระบบที่เกี่ยวข้องรวมถึง build, test, deploy, CDN, cloud และระบบความปลอดภัย ➡️ ปริมาณการใช้งานจากระบบอัตโนมัติ เช่น CI/CD และ AI agents เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ OpenSSF เสนอโมเดล tiered access และความร่วมมือเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้ ➡️ มีการเสนอให้เพิ่มบริการเสริม เช่น analytics และ SLA สำหรับองค์กร ➡️ แถลงการณ์ร่วมลงนามโดย Eclipse, Python, Rust, OpenJS, Sonatype และอื่น ๆ ➡️ สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบโอเพ่นซอร์ส ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GitHub เคยเสนอให้รัฐบาลมองโอเพ่นซอร์สเป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” และสนับสนุนงบประมาณ ➡️ EU เสนอ Sovereign Tech Fund มูลค่า €350 ล้านเพื่อสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส ➡️ โครงการ Asahi Linux เคยประสบปัญหาบุคลากรลาออกเพราะความเหนื่อยล้าและขาดทุนสนับสนุน ➡️ Bruce Perens เสนอ “Post-Open Zero Cost License” เพื่อบังคับให้บริษัทที่ใช้โอเพ่นซอร์สต้องจ่าย ➡️ โครงสร้างพื้นฐานโอเพ่นซอร์สมีบทบาทสำคัญในระบบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ทั่วโลก https://securityonline.info/openssf-warns-open-source-software-is-not-a-free-service/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenSSF Warns: Open Source Software Is Not a Free Service
    OpenSSF and other foundations warn that they can no longer be the unpaid gatekeepers of the software supply chain and that enterprises must contribute financially.
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • เข้าคิวด่านสะเดา 3 ชั่วโมง ทำลายการท่องเที่ยวไทย

    ในช่วงวันหยุดยาวของประเทศมาเลเซีย เนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และปิดภาคเรียนระยะสั้น ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมาก โดยเฉพาะด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา แต่ก็ประสบปัญหาต่อคิวยาวนาน ขาไปต้องรอกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนขากลับรถติดหน้าด่านยาวเหยียด มาไม่ทันเวลาด่านปิด 5 ทุ่ม ต้องค้างคืนจ่ายค่าโรงแรมเกือบ 3,000 บาท กลายเป็นไวรัลในสื่อมาเลเซีย

    ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา ถึงกับตั้งคำถามว่า "เราจะต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาอุดหนุนพี่น้องคนไทย ด้วยการปล่อยให้เขาเข้าแถวรอข้ามแดน 3 ชั่วโมง โดยที่ส่วนกลางไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นเลยเหรอ? โดยกล่าวว่า หลายปีแล้วที่ต้องเจอกับภาพนักท่องเที่ยวแออัดที่ด่านสะเดา คนยืนรอเข้าแถวนานหลายชั่วโมงเพื่อเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างรายได้ให้กับคนไทย ล่าสุดยังคงได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า ต้องใช้เวลาข้ามด่านนานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่เรื่องนี้มีมานานแล้ว แต่ส่วนกลางไม่เคยแก้ไขใดๆ เลย ลำพังให้หน้างานแก้ไขอย่างเดียวคงไม่สามารถทำได้

    เรื่องนี้ต้องแก้ที่โครงสร้างของระบบ กรมศุลกากรควรให้ความสำคัญกับคนไม่น้อยไปกว่าสินค้า เพราะปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปมาก ควรปรับรูปแบบการยื่นเอกสารนำรถยนต์เข้ามาท่องเที่ยวให้เป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อลดการจราจรที่แออัด นอกจากอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวแล้ว ยังสร้างความโปร่งใส เท่าเทียมให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอีกด้วย ดังเช่นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ดำเนินการแก้ไขการยื่นเอกสาร ตม.6 เป็นออนไลน์แล้ว แก้ปัญหาได้มากเลยทีเดียว

    "ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะผม มีอีกหลายๆ คนที่ทนกับเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นส่วนกลางไม่ควรมองนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย อะไรที่เห็นปัญหาแล้วไม่แก้ไข แปลว่าอะไร เรื่องนี้ผมจะรอ รมว.คลังคนใหม่ ที่เป็นคนนอกวงการการเมือง หวังว่าท่านจะเข้าใจและจะให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาให้กับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งผมจะได้นำเสนอเรื่องนี้ต่อท่านและคาดหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะหลุดพ้นจากบ่วงปัญหานี้ที่หมักมานานเสียที"

    อีกด้านหนึ่ง เถกิง สมทรัพย์ อดีตสื่อมวลชนอาวุโส ที่ผันตัวทำบริษัททัวร์ Around the world แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กว่า "อวสานการท่องเที่ยวชายแดนไทย-มาเลเซีย ถ้ารัฐบาลไม่ลงไปกำกับดูแลให้เกิดความคล่องตัวจริงจัง อย่าคิดว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย" โดยเห็นว่า เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ต้องลงไปดูแล เพราะเป็นรายได้ทั้งนั้น เชื่อว่าด้วยความสามารถของด่านไทยจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้

    #Newskit
    เข้าคิวด่านสะเดา 3 ชั่วโมง ทำลายการท่องเที่ยวไทย ในช่วงวันหยุดยาวของประเทศมาเลเซีย เนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และปิดภาคเรียนระยะสั้น ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวนมาก โดยเฉพาะด่านพรมแดนสะเดา จ.สงขลา แต่ก็ประสบปัญหาต่อคิวยาวนาน ขาไปต้องรอกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนขากลับรถติดหน้าด่านยาวเหยียด มาไม่ทันเวลาด่านปิด 5 ทุ่ม ต้องค้างคืนจ่ายค่าโรงแรมเกือบ 3,000 บาท กลายเป็นไวรัลในสื่อมาเลเซีย ดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา ถึงกับตั้งคำถามว่า "เราจะต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาอุดหนุนพี่น้องคนไทย ด้วยการปล่อยให้เขาเข้าแถวรอข้ามแดน 3 ชั่วโมง โดยที่ส่วนกลางไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นเลยเหรอ? โดยกล่าวว่า หลายปีแล้วที่ต้องเจอกับภาพนักท่องเที่ยวแออัดที่ด่านสะเดา คนยืนรอเข้าแถวนานหลายชั่วโมงเพื่อเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างรายได้ให้กับคนไทย ล่าสุดยังคงได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่า ต้องใช้เวลาข้ามด่านนานกว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่เรื่องนี้มีมานานแล้ว แต่ส่วนกลางไม่เคยแก้ไขใดๆ เลย ลำพังให้หน้างานแก้ไขอย่างเดียวคงไม่สามารถทำได้ เรื่องนี้ต้องแก้ที่โครงสร้างของระบบ กรมศุลกากรควรให้ความสำคัญกับคนไม่น้อยไปกว่าสินค้า เพราะปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปมาก ควรปรับรูปแบบการยื่นเอกสารนำรถยนต์เข้ามาท่องเที่ยวให้เป็นรูปแบบออนไลน์ เพื่อลดการจราจรที่แออัด นอกจากอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวแล้ว ยังสร้างความโปร่งใส เท่าเทียมให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอีกด้วย ดังเช่นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ดำเนินการแก้ไขการยื่นเอกสาร ตม.6 เป็นออนไลน์แล้ว แก้ปัญหาได้มากเลยทีเดียว "ผมคิดว่าไม่ใช่เฉพาะผม มีอีกหลายๆ คนที่ทนกับเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นส่วนกลางไม่ควรมองนักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย อะไรที่เห็นปัญหาแล้วไม่แก้ไข แปลว่าอะไร เรื่องนี้ผมจะรอ รมว.คลังคนใหม่ ที่เป็นคนนอกวงการการเมือง หวังว่าท่านจะเข้าใจและจะให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาให้กับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งผมจะได้นำเสนอเรื่องนี้ต่อท่านและคาดหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะหลุดพ้นจากบ่วงปัญหานี้ที่หมักมานานเสียที" อีกด้านหนึ่ง เถกิง สมทรัพย์ อดีตสื่อมวลชนอาวุโส ที่ผันตัวทำบริษัททัวร์ Around the world แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กว่า "อวสานการท่องเที่ยวชายแดนไทย-มาเลเซีย ถ้ารัฐบาลไม่ลงไปกำกับดูแลให้เกิดความคล่องตัวจริงจัง อย่าคิดว่านักท่องเที่ยวมาเลเซียเป็นของตาย" โดยเห็นว่า เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ต้องลงไปดูแล เพราะเป็นรายได้ทั้งนั้น เชื่อว่าด้วยความสามารถของด่านไทยจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ #Newskit
    Like
    Sad
    3
    2 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • ..นายกฯหนูถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ออกมาประกาศยกเลิกmou43,44,tor46อย่างเป็นทางการเลยนะ,น่าผิดหวังมาก แม้ให้บอกว่าให้อำนาจแม่ทัพจัดการเรื่องเขมรเต็มที่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกกลับไม่ยอมประกาศเพื่อสนับสนุนทหารให้ชอบธรรมต่อหน้าชาวโลกว่า ไทยยอมรับอัตรา1:50,000สากลเท่านั้น,ตนในนามรัฐบาลปัจจุบันจึงทำการยกเลิกmou43,44,tor46ที่มิชอบธรรมตั้งแต่แรกนี้ทันที จากการกระทำโดยมิชอบของรัฐบาลชุดอดีตซึ่งขัดแย้งเรื่องอธิปไตยชาติไทยโดยตรง,นี้นายกฯหนูต้องประกาศให้ชัดเจนและเป็นทางการแบบนี้,ไม่เล่นเป็นเด็กขายของ เลอะเทอะไปวันๆ,อยากเป็นนายกฯต่อและคือตำนานที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแบบนี้,ร้อยความผิดมีมามากมาย,แต่เมื่อในปัจจุบันตนมีโอกาสเต็มมือเต็มที่ในการทำเพื่อชาติแบบยกเลิกmou43,44,tor46ต้องทำเลย.,ลากยาวอัดโฆษณากัญชาเสรีเพื่อสมุนไพรพึ่งพาตนเองแห่งชาติ สร้างรายได้และรักษาตรเองพื้นบ้านยาครอบจักรวาลตนต้องต่อยอดคู่ขนานในอำนาจ4เดือนนี้ด้วย,อย่าสนใจการโจมตีขุดเชิงลบมาทำลายผลประโยชน์มากมายมหาศาลของประชาชนคนไทยเมื่อใช้ถูกทางถูกวิธีได้,สุราเหล้าเบียร์ยาบ้ามันโหดร้ายชั่วเลวมากกว่ามาก,ตั้งกระทรวงกัญชากัญชงแห่งชาติเลย,ใช้ใยกัญชากัญชงผสมเทคโนโลยีอื่นผลิตเครื่องบินรบ ยานบินอวกาศได้สบายโน้น,ชุดเกราะกันกระสุนน้ำหนักเบาก็ได้,อัดกราฟีนตรงกลางอีก,แข็งกว่าเพชรอีก, พืชกัญชากัญชงสามารถผสมผสานประยุกต์เป็นรายการสินค้าได้กว่า50,00-100,000รายการสินค้าได้อย่างสบาย,โรคซึมเศร้า เสียเส้น รักษาได้ดี ยาครอบจักรวาลด้วย, พืชฝิ่นก็เสรีปลูกเลย อเมริกายังให้อัฟกานิสถานปลูกเลยบังหน้า,สกัดยาแก้ปวดใช้เองภายในประเทศไทยเรา,ควบคุมดีๆจะเป็นเหี้ยอะไร,และมิใช่ปิดกั้นประชาชนแบบยุคกัญชาเสรีแหกตาแบบในอดีตที่ผ่านมากะทำแดกเองทรยศประชาชน,สร้างเงื่อนไขต้นทุนสูงสาระพัดห้ามประชาชนทางตรงและทางอ้อม,ปลูกหัวไร่ปลายนาก็โคตรงามปกติได้,ปลูกกัญชากัญชงสามารถล้างพิษโลหะหนักต่างๆในดินได้,ปรับสภาพดินเป็นปุ๋ยอย่างดีก็ได้,ที่ผ่านมาเลอะเทอะอย่างยิ่ง,บ่อเงินบ่อทองคำเขียวบนดินเพื่อประชาชนคนเกษตรชัดเจน แต่รัฐบาลเลวเกินไปจึงกระทำล้มเหลว,
    ..จริงๆจะตังดิจิดัล มีส่วนดีมากมาย ลดต้นทุนอะไรเยอะ,แค่คนควบคุมระบบมันโปร่งใส่แค่ไหน,แบงค์ชาติปัจจุบันจริงสมควรถูกยุบทิ้งเพราะรัฐบาลไม่สามารถสั่งการควบคุมได้ บริหารจัดการเด็ดขาดไม่ได้ ในกรณีรัฐบาลมาจากคนดีมีคุณธรรมโปร่งใส่จิตใจงามของผู้นำนายกฯนั้นของคนไทย,นายกฯต้องสามารถควบคุมทั้งหมดของทุกๆกลไกภายในประเทศ,แต่แบงค์ชาติไม่ใช่บวกก่อกำเนิดมาจากเป้าหมายdeep stateเพื่อปกครองครอบงำควบคุมประเทศนั้นๆโดยผ่านธนาคารกลางในชาตินั้นๆหรือแบงค์ชาติไทยนั้นเอง,ถูกควบคุมโดยผ่านกลไกระบบเงินโลกโดยอัตโนมัติ,ทิศทางต่างๆจึงพยายามควบคุมให้สอดคล้องกับนโยบายโลกเป็นสำคัญโดยลืมตัวตนไปว่าตนคือคนไทยต้องช่วยคนไทยก่อน ปกป้องคนไทยก่อนจากกฎหมาย เงื่อนไขกติกาธนาคารเอกชนที่เอาเปรียบประชาชนคนไทยตน ต้องเด็ดขาดออกกฎกติกาต่างๆควบคุมธนาคารพานิชย์ค้ากำไรดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมต่างๆหรือค่าบริการใดๆของบริการทางธุรกรรมต่างๆของธนาคารได้ แต่แบงค์ชาติไทยหาเป็นเช่นนั้น ดูจากการสวนกระแสทำกำไรรายได้มหาศาลของธนาคารเอกชนในไทยที่ผ่านมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วไทยประชาชนขาดทุนกิจการปิดตัวลงเป็นว่าเล่น หนี้สินประชาชนเต็มเพดาน แต่ธนาคารเหล่านีักลับประกาศผลกำไรประกอบการอันงดงามกว่าหมื่นล้านแสนล้านที่โชว์ในตลาดset,แบงค์ชาติจึงสมควรถูกยุบทิ้งเหมือนกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเด่นชัดในเรื่องอธิปไตยไทยดินแดนตนที่รับรู้ตื้นลึกหนาบางหมดแต่ละเว้นต่อหน้าที่ตนพึ่งกระทำจนนำไปสู่การสูญเสียดินแดนถึง1:150,000 จากกรณีmou43ใช้1:200,000นั้นไม่ใช้1:50,000ที่สากลทั่วโลกยอมรับปกติแบบกรณีเวียดนามกับเขมร,กรณีลาวใช้กับเขมรที่อัตรา1:50,000ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศรับรู้ดีทุกๆอย่าง,แต่ละเว้นในหน้าที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน สมควรถูกประหารชีวิตทั้งกระทรวงให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง,เมื่อชาติตกเป็นทาสเป็นเชลยศึกศัตรูสงครามแพ้ต่ออธิปไตยตนที่ปกป้องไม่ได้ ทุกข์แสนสาหัสต่อคนประชาชนทั้งแผ่นดินไทยตนต้องบังเกิดขึ้นแน่นอนชัดเจน.,คนกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดต้องถูกลงโทษไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งปัจจุบันไร้สำนึก สันดานในจิตในใจตนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังแถลงไขช่วยเหลือเขมร,เรา..ประชาชนคนไทยรับสันดานพฤติกรรมจริตจัญไรชั่วเลวนี้ไม่ได้จริงๆ.,นายกฯใหม่ที่เป็นภาวะผู้นำดีมีคุณธรรมโปร่งใส่อ่านขาดทุกๆปัญหาย่อมยุบทิ้งทันทีกระทรวงการต่างประเทศนี้และแบงค์ชาติในไทย,ก่อตั้งใหม่ได้ทันที,เป็นหน่วยงานที่ยืนเคียงข้างประเทศและประชาชนคนไทยชัดเจนในการดำรงความผาสุกจริงแก่สัมมาชีวิตคนไทยเรา,กระบวนการดูดเงินที่ผิดปกติ กระบวนการอายัดบัญชีประชาชนที่มั่วไร้ประสิทธิภาพมีวาระซ่อนเร่นด้วยถูกว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทยตนเองสร้างโกลาหลวุ่นวายในบ้านในเมืองตนชัดเจนด้วย,เงินเทาเงินมืดเงินดำมากมายไหลผ่านเข้าออกในประเทศไทยตนเองแบงค์ชาตินี้รับรู้หมดล่ะแต่ไม่จัดการห่าอะไรตลอดเรื่อยมาที่ผ่านๆมา,เงินไหลเข้าจากต่างชาติมากมายมาปั่นป่วนไทยให้หน่วยองค์กรสากลผีบ้าต่างๆแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สามารถอายัดเงินชั่วเลวนั้นทันทีได้ด้วย ห้ามไหลออกก็ได้ มาปั่นค่าเงินบาทแบยโซรอสมันทำก็ห้ามเงินไหลออกก็ได้ ออกไปก็ประสานงานปลายทางให้โอนคืนด้วย,ถ้ามันไม่ช่วยก็ห้ามปลายทางนั้นมาเชื่อมระบบการเงินกับไทยทันที,บล็อคแบงค์ต่างชาตินั้นทันทีที่สนับสนุนอาชญากรรมทางการเงินเพื่อโจมตีค่าเวินบาทและเศรษฐกิจไทยให้พังพินาศ,นี้คือนายกฯต้องเห็นทุกๆบัญชีใครทั้งหมดในประเทศได้ มรึงจะร่ำรวยหลัก 100ล้านล้านบาทนายกฯต้องเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินได้,นี้ห่าอะไรปกปิดหมด บล็อคการเข้าถึงของอำนาจรัฐบาลตนเอง,สั่งลดดอกเบี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้,เช่นนายกฯสั่งแบงค์เอกชนในไทยทั้งหมด,ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดจะMLR Mห่าอะไร มาใช้อัตราเดียวคือดอกเบี้ยเงินกู้ทุกๆกรณีที่0.25%ต่อปีทั้งหมด,ดอกเบี้ยเงินฝากที่0.01%ต่อปี จะกระตุ้นการใช้จ่ายทันที,แบงค์ไหนไม่พอใจในประเทศไทยก็ปิดตัวลงไป,ธนาคารรัฐ ใช้อัตราเงินกู้แค่0.15%ต่อปี,นี้บวกอะไรแอบแฝงเพื่อแดกสาระพัดไม่รวมค่าธรรมเนียมค่าดำเนินการค่านั้นค่านี้อีก,กำไรตรึมไม่รวมขายประกันในแบงค์ขายผ่านบัตรATMอีกเอาเปรียบประชาชนสาระพัดแต่แบงค์ชาติเลวเหล่านี้กลับนิ่งเฉย,deep stateจะควบคุมปกครองประเทศใดๆสำเร็จมันควบคุมธนาคารในชาตินั้นๆก่อน,จีนมันควบคุมไม่ได้ ก็ไปควบคุมวิธีอื่นแทน,แต่จีนสามารถจัดการได้ เรา..ไทยต้องจัดการได้เช่นกัน,แต่นายกฯต้องเป็นคนดีจริงๆนะมิใช่เหี้ยแบบอดีตๆที่ผ่านมาแบบไอ้หน้าหล่อเสือกเอาmouไปเข้าunเป็นสนธิสัญญาอีกถือว่าเข้า ม.119อาญาประหารชีวิตชัดเจน,แม้เรายกเลิกสนธิสัญญาได้ ปฏิเสธธุรกรรมลงนามบันทึกใดๆได้หมดล่ะที่ทำเหี้ยกับใครไว้ หากมิชอบไม่เป็นการดีต่ออธิปไตยไทย เราฉีกทิ้งได้หมดล่ะ ,
    ..นายกฯปัจจุบันจึงต้องแสดงตัวตนและบทบาทตนเองออกมาให้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ในการจะกอดหรือยกเลิกmou43,44นี้,ตอนนี้ก็ผ่านมา20วันแล้ว,เจตนารมณ์อันชัดเจนของตนเองยังไม่มี,อ้างนั้นอ้างนี้ถือว่าไม่มีความจริงใจต่ออธิปไตยดิรแดนชาติที่ตั้นตอปัญหาทั้งหมดมาจากmouนี้ทั้งสิ้น,ตนต้องมั่นใจในตนเองในบทบาทนายกฯตนเองที่มีอำนาจเต็มแล้ว จนสามารถสั่งยุบสภาได้โน้น,พะสาประกาศยกเลิกmou43,44ด้วยตนเอง มันสามารถทำได้,ประชาชนทั้งประเทศเชียร์อยู่แล้วเสือกยังไม่มีความกล้าหาญ ยังขี้ขลาดอีกอยู่ ใช้ไม่ได้,ไม่จะบ้าบอว่ารอบคอบหรือไม่รอบคอบห่าอะไรเลย,ประชาชนทั้งประเทศสนับสนุนต้องยกเลิกmouผีบ้านี้อยู่แล้ว,สมัยหน้านายกฯคนที่33เป็นอีกโน้น,คดีเขากระโดง ฮั่วสว.เรื่องขี้หมาเลย, นายกฯคนต่อไปได้เป็นแน่นอน.,ทำสิ่งที่ถูกต้องจบเลย,เขากระโดงก็คืนเสียแม้กรมที่ดินไม่ว่าไรพอเป็นพิธีให้เกียรติ จะมีอำนาจอยู่ก็ตาม เหยียบไม่เอาผิดก็ตาม, นายกฯคนต่อไปรื้อมาเล่นงานใหม่ได้หมดล่ะถ้าจะจัดการ,เมื่อตนสิ้นอำนาจอันตรายมากหากไม่สำนึกทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ต่ออีก,หากสำนึกกลับตัวกลับใจ สามารถนำพาพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนเป็นพรรคภูมิใจธรรมได้ ย่อมอาจเป็นราชสีห์แทนงูเห่าที่เขาเหยียดหยามทั้งประเทศได้.,โทนี่ก็เป็นนายกฯยังติดคุกได้นะ.,ความดีจะคุ้มครองคนกระทำดี.
    ..อาสนธิท้าทายวัดใจ,แต่วัดใจเพื่อสนับสนุนให้กระทำสิ่งดีๆความดี มันดีต่อตนเองและประเทศชาติด้วย ถ้าไม่ทำ เสียของ เสียหายแก่ตนเองทันที ตราบาปตลอดชีวิต อับอายแก่วงศ์ตระกูลอีกเมื่อมีโอกาสทำสิ่งดีๆความดีเสือกไม่ทำ,ใฝ่ต่อขั่วเลวด้วยเกรงกลัวมันที่จะแแสิ่งไม่ดีตนออกมา,มันไม่คุ้มหรอก,สู้ทำสิ่งดีๆไปเลย แฉออกมาก็ชั่งหัวมัน,ผิดคือผิด ,แต่กูตอนนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อตัวกูเองและประเทศชาติแผ่นดินไทยกูตอนนี้ กูยอมแลก,นี้ต้องประมาณนี้น่ะจึง อัพเลเวลได้แน่นอน.,จะเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ที่ดีๆทันที ลูกหลานววศ์ตระกูลตนแม้เคยผ่านอดีตเหลวร้ายใดๆมา ผิดพลาดไป เขามาเห็นมาดูประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลตนก็จะภาคภูมิใจ แม้กูเป็นโจรโกงกินเหี้ยสาระพัดภายในประเทศแต่กลับแดนอธิปไตยไทยกูปกป้องเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ,อนาคตเขาเหล่านั้นจะดำรงตั้งในกิจกรรมทำความดีสิ่งดีๆแน่นอน,ไม่ละอายใจต่อแผ่นดินแทนบรรพบุรุษตนเอง,ก้มหน้าไม่อายแผ่นดินไทย เงยหน้าท้าฟ้าได้ เหินฟ้า!!!ประมาณนั้น,แต่ถ้าตัดสินใจผิด ก้มหน้าก้มตากอดmiuผีบ้านี้อยู่แถแถลงเลอะเทอะไม่เรื่อย,ดับอนาถแน่นอน,ทรัพย์สินอาจถูกยึดหมดทั้งตระกูลหรือพร้อมถูกประหารชีวิตด้วย.,ทหารไทยใจรักชาติรักแผ่นดินไทยดีๆเขามีข้อมูลว่าใครดีใครชั่วเลว ใครกลับตัวกลับใจหมดล่ะ,โอกาสมี2เส้นทาง ทางสวรรค์เห็นชัดเจน และทางลงนรกก็ไม่ธรรมดาด้วย,ทานยาสีเม็ดอะไรแค่นั้น.

    https://youtube.com/shorts/4if56ZNYpSQ?si=yH7PxuCOucsjv6Zq
    ..นายกฯหนูถึงปัจจุบันนี้ยังไม่ออกมาประกาศยกเลิกmou43,44,tor46อย่างเป็นทางการเลยนะ,น่าผิดหวังมาก แม้ให้บอกว่าให้อำนาจแม่ทัพจัดการเรื่องเขมรเต็มที่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกกลับไม่ยอมประกาศเพื่อสนับสนุนทหารให้ชอบธรรมต่อหน้าชาวโลกว่า ไทยยอมรับอัตรา1:50,000สากลเท่านั้น,ตนในนามรัฐบาลปัจจุบันจึงทำการยกเลิกmou43,44,tor46ที่มิชอบธรรมตั้งแต่แรกนี้ทันที จากการกระทำโดยมิชอบของรัฐบาลชุดอดีตซึ่งขัดแย้งเรื่องอธิปไตยชาติไทยโดยตรง,นี้นายกฯหนูต้องประกาศให้ชัดเจนและเป็นทางการแบบนี้,ไม่เล่นเป็นเด็กขายของ เลอะเทอะไปวันๆ,อยากเป็นนายกฯต่อและคือตำนานที่ดีต้องกล้าตัดสินใจแบบนี้,ร้อยความผิดมีมามากมาย,แต่เมื่อในปัจจุบันตนมีโอกาสเต็มมือเต็มที่ในการทำเพื่อชาติแบบยกเลิกmou43,44,tor46ต้องทำเลย.,ลากยาวอัดโฆษณากัญชาเสรีเพื่อสมุนไพรพึ่งพาตนเองแห่งชาติ สร้างรายได้และรักษาตรเองพื้นบ้านยาครอบจักรวาลตนต้องต่อยอดคู่ขนานในอำนาจ4เดือนนี้ด้วย,อย่าสนใจการโจมตีขุดเชิงลบมาทำลายผลประโยชน์มากมายมหาศาลของประชาชนคนไทยเมื่อใช้ถูกทางถูกวิธีได้,สุราเหล้าเบียร์ยาบ้ามันโหดร้ายชั่วเลวมากกว่ามาก,ตั้งกระทรวงกัญชากัญชงแห่งชาติเลย,ใช้ใยกัญชากัญชงผสมเทคโนโลยีอื่นผลิตเครื่องบินรบ ยานบินอวกาศได้สบายโน้น,ชุดเกราะกันกระสุนน้ำหนักเบาก็ได้,อัดกราฟีนตรงกลางอีก,แข็งกว่าเพชรอีก, พืชกัญชากัญชงสามารถผสมผสานประยุกต์เป็นรายการสินค้าได้กว่า50,00-100,000รายการสินค้าได้อย่างสบาย,โรคซึมเศร้า เสียเส้น รักษาได้ดี ยาครอบจักรวาลด้วย, พืชฝิ่นก็เสรีปลูกเลย อเมริกายังให้อัฟกานิสถานปลูกเลยบังหน้า,สกัดยาแก้ปวดใช้เองภายในประเทศไทยเรา,ควบคุมดีๆจะเป็นเหี้ยอะไร,และมิใช่ปิดกั้นประชาชนแบบยุคกัญชาเสรีแหกตาแบบในอดีตที่ผ่านมากะทำแดกเองทรยศประชาชน,สร้างเงื่อนไขต้นทุนสูงสาระพัดห้ามประชาชนทางตรงและทางอ้อม,ปลูกหัวไร่ปลายนาก็โคตรงามปกติได้,ปลูกกัญชากัญชงสามารถล้างพิษโลหะหนักต่างๆในดินได้,ปรับสภาพดินเป็นปุ๋ยอย่างดีก็ได้,ที่ผ่านมาเลอะเทอะอย่างยิ่ง,บ่อเงินบ่อทองคำเขียวบนดินเพื่อประชาชนคนเกษตรชัดเจน แต่รัฐบาลเลวเกินไปจึงกระทำล้มเหลว, ..จริงๆจะตังดิจิดัล มีส่วนดีมากมาย ลดต้นทุนอะไรเยอะ,แค่คนควบคุมระบบมันโปร่งใส่แค่ไหน,แบงค์ชาติปัจจุบันจริงสมควรถูกยุบทิ้งเพราะรัฐบาลไม่สามารถสั่งการควบคุมได้ บริหารจัดการเด็ดขาดไม่ได้ ในกรณีรัฐบาลมาจากคนดีมีคุณธรรมโปร่งใส่จิตใจงามของผู้นำนายกฯนั้นของคนไทย,นายกฯต้องสามารถควบคุมทั้งหมดของทุกๆกลไกภายในประเทศ,แต่แบงค์ชาติไม่ใช่บวกก่อกำเนิดมาจากเป้าหมายdeep stateเพื่อปกครองครอบงำควบคุมประเทศนั้นๆโดยผ่านธนาคารกลางในชาตินั้นๆหรือแบงค์ชาติไทยนั้นเอง,ถูกควบคุมโดยผ่านกลไกระบบเงินโลกโดยอัตโนมัติ,ทิศทางต่างๆจึงพยายามควบคุมให้สอดคล้องกับนโยบายโลกเป็นสำคัญโดยลืมตัวตนไปว่าตนคือคนไทยต้องช่วยคนไทยก่อน ปกป้องคนไทยก่อนจากกฎหมาย เงื่อนไขกติกาธนาคารเอกชนที่เอาเปรียบประชาชนคนไทยตน ต้องเด็ดขาดออกกฎกติกาต่างๆควบคุมธนาคารพานิชย์ค้ากำไรดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมต่างๆหรือค่าบริการใดๆของบริการทางธุรกรรมต่างๆของธนาคารได้ แต่แบงค์ชาติไทยหาเป็นเช่นนั้น ดูจากการสวนกระแสทำกำไรรายได้มหาศาลของธนาคารเอกชนในไทยที่ผ่านมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วไทยประชาชนขาดทุนกิจการปิดตัวลงเป็นว่าเล่น หนี้สินประชาชนเต็มเพดาน แต่ธนาคารเหล่านีักลับประกาศผลกำไรประกอบการอันงดงามกว่าหมื่นล้านแสนล้านที่โชว์ในตลาดset,แบงค์ชาติจึงสมควรถูกยุบทิ้งเหมือนกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเด่นชัดในเรื่องอธิปไตยไทยดินแดนตนที่รับรู้ตื้นลึกหนาบางหมดแต่ละเว้นต่อหน้าที่ตนพึ่งกระทำจนนำไปสู่การสูญเสียดินแดนถึง1:150,000 จากกรณีmou43ใช้1:200,000นั้นไม่ใช้1:50,000ที่สากลทั่วโลกยอมรับปกติแบบกรณีเวียดนามกับเขมร,กรณีลาวใช้กับเขมรที่อัตรา1:50,000ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศรับรู้ดีทุกๆอย่าง,แต่ละเว้นในหน้าที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน สมควรถูกประหารชีวิตทั้งกระทรวงให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง,เมื่อชาติตกเป็นทาสเป็นเชลยศึกศัตรูสงครามแพ้ต่ออธิปไตยตนที่ปกป้องไม่ได้ ทุกข์แสนสาหัสต่อคนประชาชนทั้งแผ่นดินไทยตนต้องบังเกิดขึ้นแน่นอนชัดเจน.,คนกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดต้องถูกลงโทษไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งปัจจุบันไร้สำนึก สันดานในจิตในใจตนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังแถลงไขช่วยเหลือเขมร,เรา..ประชาชนคนไทยรับสันดานพฤติกรรมจริตจัญไรชั่วเลวนี้ไม่ได้จริงๆ.,นายกฯใหม่ที่เป็นภาวะผู้นำดีมีคุณธรรมโปร่งใส่อ่านขาดทุกๆปัญหาย่อมยุบทิ้งทันทีกระทรวงการต่างประเทศนี้และแบงค์ชาติในไทย,ก่อตั้งใหม่ได้ทันที,เป็นหน่วยงานที่ยืนเคียงข้างประเทศและประชาชนคนไทยชัดเจนในการดำรงความผาสุกจริงแก่สัมมาชีวิตคนไทยเรา,กระบวนการดูดเงินที่ผิดปกติ กระบวนการอายัดบัญชีประชาชนที่มั่วไร้ประสิทธิภาพมีวาระซ่อนเร่นด้วยถูกว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทยตนเองสร้างโกลาหลวุ่นวายในบ้านในเมืองตนชัดเจนด้วย,เงินเทาเงินมืดเงินดำมากมายไหลผ่านเข้าออกในประเทศไทยตนเองแบงค์ชาตินี้รับรู้หมดล่ะแต่ไม่จัดการห่าอะไรตลอดเรื่อยมาที่ผ่านๆมา,เงินไหลเข้าจากต่างชาติมากมายมาปั่นป่วนไทยให้หน่วยองค์กรสากลผีบ้าต่างๆแบงค์ชาติก็เห็นหมดล่ะ สามารถอายัดเงินชั่วเลวนั้นทันทีได้ด้วย ห้ามไหลออกก็ได้ มาปั่นค่าเงินบาทแบยโซรอสมันทำก็ห้ามเงินไหลออกก็ได้ ออกไปก็ประสานงานปลายทางให้โอนคืนด้วย,ถ้ามันไม่ช่วยก็ห้ามปลายทางนั้นมาเชื่อมระบบการเงินกับไทยทันที,บล็อคแบงค์ต่างชาตินั้นทันทีที่สนับสนุนอาชญากรรมทางการเงินเพื่อโจมตีค่าเวินบาทและเศรษฐกิจไทยให้พังพินาศ,นี้คือนายกฯต้องเห็นทุกๆบัญชีใครทั้งหมดในประเทศได้ มรึงจะร่ำรวยหลัก 100ล้านล้านบาทนายกฯต้องเข้าไปตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินได้,นี้ห่าอะไรปกปิดหมด บล็อคการเข้าถึงของอำนาจรัฐบาลตนเอง,สั่งลดดอกเบี้ยห่าอะไรก็ไม่ได้,เช่นนายกฯสั่งแบงค์เอกชนในไทยทั้งหมด,ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดจะMLR Mห่าอะไร มาใช้อัตราเดียวคือดอกเบี้ยเงินกู้ทุกๆกรณีที่0.25%ต่อปีทั้งหมด,ดอกเบี้ยเงินฝากที่0.01%ต่อปี จะกระตุ้นการใช้จ่ายทันที,แบงค์ไหนไม่พอใจในประเทศไทยก็ปิดตัวลงไป,ธนาคารรัฐ ใช้อัตราเงินกู้แค่0.15%ต่อปี,นี้บวกอะไรแอบแฝงเพื่อแดกสาระพัดไม่รวมค่าธรรมเนียมค่าดำเนินการค่านั้นค่านี้อีก,กำไรตรึมไม่รวมขายประกันในแบงค์ขายผ่านบัตรATMอีกเอาเปรียบประชาชนสาระพัดแต่แบงค์ชาติเลวเหล่านี้กลับนิ่งเฉย,deep stateจะควบคุมปกครองประเทศใดๆสำเร็จมันควบคุมธนาคารในชาตินั้นๆก่อน,จีนมันควบคุมไม่ได้ ก็ไปควบคุมวิธีอื่นแทน,แต่จีนสามารถจัดการได้ เรา..ไทยต้องจัดการได้เช่นกัน,แต่นายกฯต้องเป็นคนดีจริงๆนะมิใช่เหี้ยแบบอดีตๆที่ผ่านมาแบบไอ้หน้าหล่อเสือกเอาmouไปเข้าunเป็นสนธิสัญญาอีกถือว่าเข้า ม.119อาญาประหารชีวิตชัดเจน,แม้เรายกเลิกสนธิสัญญาได้ ปฏิเสธธุรกรรมลงนามบันทึกใดๆได้หมดล่ะที่ทำเหี้ยกับใครไว้ หากมิชอบไม่เป็นการดีต่ออธิปไตยไทย เราฉีกทิ้งได้หมดล่ะ , ..นายกฯปัจจุบันจึงต้องแสดงตัวตนและบทบาทตนเองออกมาให้ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ในการจะกอดหรือยกเลิกmou43,44นี้,ตอนนี้ก็ผ่านมา20วันแล้ว,เจตนารมณ์อันชัดเจนของตนเองยังไม่มี,อ้างนั้นอ้างนี้ถือว่าไม่มีความจริงใจต่ออธิปไตยดิรแดนชาติที่ตั้นตอปัญหาทั้งหมดมาจากmouนี้ทั้งสิ้น,ตนต้องมั่นใจในตนเองในบทบาทนายกฯตนเองที่มีอำนาจเต็มแล้ว จนสามารถสั่งยุบสภาได้โน้น,พะสาประกาศยกเลิกmou43,44ด้วยตนเอง มันสามารถทำได้,ประชาชนทั้งประเทศเชียร์อยู่แล้วเสือกยังไม่มีความกล้าหาญ ยังขี้ขลาดอีกอยู่ ใช้ไม่ได้,ไม่จะบ้าบอว่ารอบคอบหรือไม่รอบคอบห่าอะไรเลย,ประชาชนทั้งประเทศสนับสนุนต้องยกเลิกmouผีบ้านี้อยู่แล้ว,สมัยหน้านายกฯคนที่33เป็นอีกโน้น,คดีเขากระโดง ฮั่วสว.เรื่องขี้หมาเลย, นายกฯคนต่อไปได้เป็นแน่นอน.,ทำสิ่งที่ถูกต้องจบเลย,เขากระโดงก็คืนเสียแม้กรมที่ดินไม่ว่าไรพอเป็นพิธีให้เกียรติ จะมีอำนาจอยู่ก็ตาม เหยียบไม่เอาผิดก็ตาม, นายกฯคนต่อไปรื้อมาเล่นงานใหม่ได้หมดล่ะถ้าจะจัดการ,เมื่อตนสิ้นอำนาจอันตรายมากหากไม่สำนึกทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ต่ออีก,หากสำนึกกลับตัวกลับใจ สามารถนำพาพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนเป็นพรรคภูมิใจธรรมได้ ย่อมอาจเป็นราชสีห์แทนงูเห่าที่เขาเหยียดหยามทั้งประเทศได้.,โทนี่ก็เป็นนายกฯยังติดคุกได้นะ.,ความดีจะคุ้มครองคนกระทำดี. ..อาสนธิท้าทายวัดใจ,แต่วัดใจเพื่อสนับสนุนให้กระทำสิ่งดีๆความดี มันดีต่อตนเองและประเทศชาติด้วย ถ้าไม่ทำ เสียของ เสียหายแก่ตนเองทันที ตราบาปตลอดชีวิต อับอายแก่วงศ์ตระกูลอีกเมื่อมีโอกาสทำสิ่งดีๆความดีเสือกไม่ทำ,ใฝ่ต่อขั่วเลวด้วยเกรงกลัวมันที่จะแแสิ่งไม่ดีตนออกมา,มันไม่คุ้มหรอก,สู้ทำสิ่งดีๆไปเลย แฉออกมาก็ชั่งหัวมัน,ผิดคือผิด ,แต่กูตอนนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อตัวกูเองและประเทศชาติแผ่นดินไทยกูตอนนี้ กูยอมแลก,นี้ต้องประมาณนี้น่ะจึง อัพเลเวลได้แน่นอน.,จะเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ที่ดีๆทันที ลูกหลานววศ์ตระกูลตนแม้เคยผ่านอดีตเหลวร้ายใดๆมา ผิดพลาดไป เขามาเห็นมาดูประวัติศาสตร์วงศ์ตระกูลตนก็จะภาคภูมิใจ แม้กูเป็นโจรโกงกินเหี้ยสาระพัดภายในประเทศแต่กลับแดนอธิปไตยไทยกูปกป้องเพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ,อนาคตเขาเหล่านั้นจะดำรงตั้งในกิจกรรมทำความดีสิ่งดีๆแน่นอน,ไม่ละอายใจต่อแผ่นดินแทนบรรพบุรุษตนเอง,ก้มหน้าไม่อายแผ่นดินไทย เงยหน้าท้าฟ้าได้ เหินฟ้า!!!ประมาณนั้น,แต่ถ้าตัดสินใจผิด ก้มหน้าก้มตากอดmiuผีบ้านี้อยู่แถแถลงเลอะเทอะไม่เรื่อย,ดับอนาถแน่นอน,ทรัพย์สินอาจถูกยึดหมดทั้งตระกูลหรือพร้อมถูกประหารชีวิตด้วย.,ทหารไทยใจรักชาติรักแผ่นดินไทยดีๆเขามีข้อมูลว่าใครดีใครชั่วเลว ใครกลับตัวกลับใจหมดล่ะ,โอกาสมี2เส้นทาง ทางสวรรค์เห็นชัดเจน และทางลงนรกก็ไม่ธรรมดาด้วย,ทานยาสีเม็ดอะไรแค่นั้น. https://youtube.com/shorts/4if56ZNYpSQ?si=yH7PxuCOucsjv6Zq
    0 Comments 0 Shares 459 Views 0 Reviews
  • “ForgeCraft: เครือข่ายจีนขายบัตรประชาชนปลอมกว่า 6,500 ใบ — เมื่อเอกสารปลอมกลายเป็นอาวุธไซเบอร์ระดับโลก”

    การสืบสวนล่าสุดโดยบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ CloudSEK ได้เปิดโปงเครือข่ายขนาดใหญ่ในจีนที่ดำเนินการขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดาอย่างเป็นระบบ โดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า “ForgeCraft” เครือข่ายนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 83 แห่งในการขายเอกสารปลอมที่มีคุณภาพสูง ทั้งบัตรขับขี่และบัตรประกันสังคม พร้อมบาร์โค้ดที่สแกนได้ ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง

    จากรายงานพบว่า มีการขายบัตรปลอมไปแล้วกว่า 6,500 ใบให้กับผู้ซื้อกว่า 4,500 รายในอเมริกาเหนือ สร้างรายได้มากกว่า $785,000 โดยผู้ซื้อกว่า 60% มีอายุมากกว่า 25 ปี และมีกรณีศึกษาที่พบว่ามีการซื้อใบขับขี่เชิงพาณิชย์ปลอมถึง 42 ใบ เพื่อนำไปใช้ในบริษัทขนส่งที่มีประวัติปัญหาด้านกฎหมาย

    บัตรปลอมเหล่านี้ถูกใช้ในหลายกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ การสร้างบัญชีโซเชียลมีเดีย การผ่านการยืนยันตัวตนกับธนาคาร การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และแม้แต่การหลอกลวงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในรัฐที่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแบบสหราชอาณาจักร

    เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เครือข่ายนี้ใช้วิธี “บรรจุภัณฑ์ลับ” โดยซ่อนบัตรไว้ในสิ่งของทั่วไป เช่น กระเป๋า ของเล่น หรือกล่องกระดาษ และจัดส่งผ่าน FedEx หรือ USPS พร้อมวิดีโอสอนวิธีแกะกล่องเพื่อหาบัตรที่ซ่อนอยู่

    การชำระเงินทำผ่านช่องทางหลากหลาย ทั้ง PayPal, LianLian Pay และคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum โดย CloudSEK สามารถติดตามไปถึงผู้ดำเนินการหลักในเมืองเซียะเหมิน ประเทศจีน และจับภาพใบหน้าผ่านเว็บแคมได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครือข่าย ForgeCraft ขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดากว่า 6,500 ใบ
    ใช้เว็บไซต์กว่า 83 แห่งในการดำเนินการ พร้อมเทคนิคบรรจุภัณฑ์ลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    รายได้รวมกว่า $785,000 จากผู้ซื้อกว่า 4,500 ราย
    บัตรปลอมมีคุณภาพสูง มีบาร์โค้ด ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง

    การใช้งานและผลกระทบ
    ใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนกับธนาคาร
    ใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียและเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่
    ใช้ขับรถเชิงพาณิชย์โดยไม่มีใบอนุญาตจริง
    อาจถูกใช้ในการหลอกลวงการเลือกตั้งและข้ามด่านตรวจคนเข้าเมือง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การปลอมแปลงเอกสารเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและระบบการเงิน
    บัตรปลอมสามารถใช้ใน SIM swap และการเข้ายึดบัญชีออนไลน์
    การใช้คริปโตในการชำระเงินช่วยให้ผู้ขายไม่สามารถถูกติดตามได้ง่าย
    CloudSEK แนะนำให้หน่วยงานรัฐยึดโดเมนและให้บริษัทขนส่งตรวจสอบบรรจุภัณฑ์อย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/chinese-network-ofake-us-canadian-ids/
    🕵️‍♂️ “ForgeCraft: เครือข่ายจีนขายบัตรประชาชนปลอมกว่า 6,500 ใบ — เมื่อเอกสารปลอมกลายเป็นอาวุธไซเบอร์ระดับโลก” การสืบสวนล่าสุดโดยบริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ CloudSEK ได้เปิดโปงเครือข่ายขนาดใหญ่ในจีนที่ดำเนินการขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดาอย่างเป็นระบบ โดยใช้ชื่อปฏิบัติการว่า “ForgeCraft” เครือข่ายนี้มีเว็บไซต์มากกว่า 83 แห่งในการขายเอกสารปลอมที่มีคุณภาพสูง ทั้งบัตรขับขี่และบัตรประกันสังคม พร้อมบาร์โค้ดที่สแกนได้ ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง จากรายงานพบว่า มีการขายบัตรปลอมไปแล้วกว่า 6,500 ใบให้กับผู้ซื้อกว่า 4,500 รายในอเมริกาเหนือ สร้างรายได้มากกว่า $785,000 โดยผู้ซื้อกว่า 60% มีอายุมากกว่า 25 ปี และมีกรณีศึกษาที่พบว่ามีการซื้อใบขับขี่เชิงพาณิชย์ปลอมถึง 42 ใบ เพื่อนำไปใช้ในบริษัทขนส่งที่มีประวัติปัญหาด้านกฎหมาย บัตรปลอมเหล่านี้ถูกใช้ในหลายกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุ การสร้างบัญชีโซเชียลมีเดีย การผ่านการยืนยันตัวตนกับธนาคาร การขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต และแม้แต่การหลอกลวงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในรัฐที่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแบบสหราชอาณาจักร เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เครือข่ายนี้ใช้วิธี “บรรจุภัณฑ์ลับ” โดยซ่อนบัตรไว้ในสิ่งของทั่วไป เช่น กระเป๋า ของเล่น หรือกล่องกระดาษ และจัดส่งผ่าน FedEx หรือ USPS พร้อมวิดีโอสอนวิธีแกะกล่องเพื่อหาบัตรที่ซ่อนอยู่ การชำระเงินทำผ่านช่องทางหลากหลาย ทั้ง PayPal, LianLian Pay และคริปโตเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin และ Ethereum โดย CloudSEK สามารถติดตามไปถึงผู้ดำเนินการหลักในเมืองเซียะเหมิน ประเทศจีน และจับภาพใบหน้าผ่านเว็บแคมได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครือข่าย ForgeCraft ขายบัตรประชาชนปลอมของสหรัฐฯ และแคนาดากว่า 6,500 ใบ ➡️ ใช้เว็บไซต์กว่า 83 แห่งในการดำเนินการ พร้อมเทคนิคบรรจุภัณฑ์ลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ รายได้รวมกว่า $785,000 จากผู้ซื้อกว่า 4,500 ราย ➡️ บัตรปลอมมีคุณภาพสูง มีบาร์โค้ด ฮอโลแกรม และรอย UV เหมือนของจริง ✅ การใช้งานและผลกระทบ ➡️ ใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุและการยืนยันตัวตนกับธนาคาร ➡️ ใช้สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียและเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้ใหญ่ ➡️ ใช้ขับรถเชิงพาณิชย์โดยไม่มีใบอนุญาตจริง ➡️ อาจถูกใช้ในการหลอกลวงการเลือกตั้งและข้ามด่านตรวจคนเข้าเมือง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การปลอมแปลงเอกสารเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและระบบการเงิน ➡️ บัตรปลอมสามารถใช้ใน SIM swap และการเข้ายึดบัญชีออนไลน์ ➡️ การใช้คริปโตในการชำระเงินช่วยให้ผู้ขายไม่สามารถถูกติดตามได้ง่าย ➡️ CloudSEK แนะนำให้หน่วยงานรัฐยึดโดเมนและให้บริษัทขนส่งตรวจสอบบรรจุภัณฑ์อย่างเข้มงวด https://hackread.com/chinese-network-ofake-us-canadian-ids/
    HACKREAD.COM
    Chinese Network Selling Thousands of Fake US and Canadian IDs
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 304 Views 0 Reviews
  • มาเลย์ฯ เมินลังกาวี แห่เที่ยวไทยคึกคัก

    ช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และช่วงปิดภาคเรียน ระหว่างวันที่ 13-16 ก.ย.ที่ผ่านมา ภาคใต้ของไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียประมาณ 200,000 ราย จุดหมายปลายทางยอดนิยมมีทั้งอำเภอหาดใหญ่ และหาดสมิหลา อำเภอเมืองสงขลา รวมทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยเฉพาะอำเภอเบตง ซึ่งภาคใต้ของไทยมีชื่อเสียงเรื่องความคุ้มค่า โดยเฉพาะค่าครองชีพที่ไม่สูง สแกน QR Code จ่ายเงินข้ามแดนได้ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ มีนักช้อปสนใจจับจ่ายห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีสินค้า อาหารพร้อมทาน และเครื่องดื่มที่ไม่มีขายในมาเลเซีย หรือสินค้าที่ราคาถูกกว่ามาเลเซีย รวมทั้งยังมีวัฒนธรรมที่งดงาม ความเป็นมิตรและอัธยาศัยดีของคนไทย

    ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.ถึง 14 ก.ย.2568 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนประเทศไทยสะสมรวม 3,278,963 คน เป็นอันดับหนึ่งแซงหน้านักท่องเที่ยวจีน

    ในทางกลับกัน นายไซนูดิน คาเดียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมการท่องเที่ยวลังกาวี (LTA) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Harian Metro สื่อมาเลเซียว่า นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะลังกาวี รัฐเคดะห์ ในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย ลดลง 30-39% เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน นักท่องเที่ยวภายในประเทศมาเลเซียจำนวนมาก เลือกเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้ของไทย หลายคนเลือกจุดหมายปลายทางไปหาดใหญ่ เพราะข้อเสนอน่าสนใจกว่า และค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ปัญหาที่้เกิดขึ้นคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ย่ำแย่ ทั้งเรือข้ามฟากที่ใช้เวลารอคิวยาวนาน หรือตั๋วเครื่องบินราคาสูงกว่า 1,000 ริงกิต (มากกว่า 7,500 บาท) แม้ว่าเกาะลังกาวียังคงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้ทันสมัยได้

    ด้านนายบาร์โจยา บาร์ได นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในมาเลเซียกล่าวว่า มีชาวมาเลเซียราว 100,000 คนมุ่งหน้าไปยังประเทศไทยในช่วงวันหยุดยาว มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 600 ริงกิตต่อคน (ประมาณ 4,500 บาท) คาดว่าเม็ดเงินจะไหลออกนอกประเทศมากกว่า 130 ล้านริงกิต (ประมาณ 982 ล้านบาท) ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศมาเลเซีย แต่กลับสร้างรายได้มหาศาลแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่ธุรกิจในประเทศพลาดโอกาสสร้างรายได้จากวันหยุดนักขัตฤกษ์ หากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อปรับปรุงต้นทุนและประสบการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศ กระแสนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ไหลออกนอกประเทศในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์จะยังคงมีอยู่ต่อไป

    #Newskit
    มาเลย์ฯ เมินลังกาวี แห่เที่ยวไทยคึกคัก ช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย และช่วงปิดภาคเรียน ระหว่างวันที่ 13-16 ก.ย.ที่ผ่านมา ภาคใต้ของไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียประมาณ 200,000 ราย จุดหมายปลายทางยอดนิยมมีทั้งอำเภอหาดใหญ่ และหาดสมิหลา อำเภอเมืองสงขลา รวมทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส โดยเฉพาะอำเภอเบตง ซึ่งภาคใต้ของไทยมีชื่อเสียงเรื่องความคุ้มค่า โดยเฉพาะค่าครองชีพที่ไม่สูง สแกน QR Code จ่ายเงินข้ามแดนได้ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย อาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ มีนักช้อปสนใจจับจ่ายห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีสินค้า อาหารพร้อมทาน และเครื่องดื่มที่ไม่มีขายในมาเลเซีย หรือสินค้าที่ราคาถูกกว่ามาเลเซีย รวมทั้งยังมีวัฒนธรรมที่งดงาม ความเป็นมิตรและอัธยาศัยดีของคนไทย ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.ถึง 14 ก.ย.2568 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนประเทศไทยสะสมรวม 3,278,963 คน เป็นอันดับหนึ่งแซงหน้านักท่องเที่ยวจีน ในทางกลับกัน นายไซนูดิน คาเดียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมการท่องเที่ยวลังกาวี (LTA) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Harian Metro สื่อมาเลเซียว่า นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะลังกาวี รัฐเคดะห์ ในช่วงวันหยุดยาวเนื่องในวันรวมชาติมาเลเซีย ลดลง 30-39% เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน นักท่องเที่ยวภายในประเทศมาเลเซียจำนวนมาก เลือกเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคใต้ของไทย หลายคนเลือกจุดหมายปลายทางไปหาดใหญ่ เพราะข้อเสนอน่าสนใจกว่า และค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ปัญหาที่้เกิดขึ้นคือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ย่ำแย่ ทั้งเรือข้ามฟากที่ใช้เวลารอคิวยาวนาน หรือตั๋วเครื่องบินราคาสูงกว่า 1,000 ริงกิต (มากกว่า 7,500 บาท) แม้ว่าเกาะลังกาวียังคงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้ทันสมัยได้ ด้านนายบาร์โจยา บาร์ได นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในมาเลเซียกล่าวว่า มีชาวมาเลเซียราว 100,000 คนมุ่งหน้าไปยังประเทศไทยในช่วงวันหยุดยาว มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 600 ริงกิตต่อคน (ประมาณ 4,500 บาท) คาดว่าเม็ดเงินจะไหลออกนอกประเทศมากกว่า 130 ล้านริงกิต (ประมาณ 982 ล้านบาท) ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศมาเลเซีย แต่กลับสร้างรายได้มหาศาลแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่ธุรกิจในประเทศพลาดโอกาสสร้างรายได้จากวันหยุดนักขัตฤกษ์ หากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อปรับปรุงต้นทุนและประสบการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศ กระแสนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ไหลออกนอกประเทศในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์จะยังคงมีอยู่ต่อไป #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • Google ร่วมมือ HUMAN สกัดขบวนการโกงโฆษณา SlopAds — แอป Android กว่า 224 ตัวถูกถอดออกจาก Play Store

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การลบแอปธรรมดา แต่เป็นการเปิดโปงขบวนการโกงโฆษณาขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในแอป Android กว่า 224 ตัว ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 38 ล้านครั้งทั่วโลก โดยขบวนการนี้มีชื่อว่า “SlopAds” และถูกเปิดโปงโดยทีม Satori Threat Intelligence ของบริษัท HUMAN ร่วมกับ Google

    SlopAds ใช้เทคนิคซับซ้อน เช่น steganography (การซ่อนข้อมูลในไฟล์ภาพ), การสร้าง WebView ล่องหนในแอป, และการตรวจสอบว่าแอปถูกติดตั้งจากโฆษณาหรือไม่ เพื่อเริ่มต้นการโกงคลิกโฆษณาแบบลับๆ โดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว

    เมื่อแอปถูกติดตั้งผ่านโฆษณา มันจะดาวน์โหลดโมดูลชื่อ FatModule ซึ่งซ่อนอยู่ในไฟล์ PNG และเมื่อถูกถอดรหัส มันจะสร้าง WebView ที่โหลดเว็บไซต์ของผู้โจมตี เช่น เกม HTML5 หรือเว็บข่าวปลอม เพื่อจำลองการคลิกโฆษณาและสร้างรายได้แบบผิดกฎหมาย

    ที่น่าตกใจคือ ขบวนการนี้สามารถสร้าง bid request ได้ถึง 2.3 พันล้านครั้งต่อวัน และมีการกระจายตัวในกว่า 228 ประเทศ โดยมีสัดส่วนการใช้งานมากที่สุดในสหรัฐฯ (30%) อินเดีย (10%) และบราซิล (7%)

    แม้ Google จะลบแอปทั้งหมดออกจาก Play Store และแจ้งเตือนผู้ใช้แล้ว แต่ HUMAN เตือนว่า ขบวนการนี้มีความซับซ้อนและอาจกลับมาในรูปแบบใหม่อีกครั้งในอนาคต

    ขบวนการโกงโฆษณา SlopAds ถูกเปิดโปงและสกัดโดย HUMAN และ Google
    ใช้แอป Android กว่า 224 ตัวที่เน้นธีม AI เช่น StableDiffusion, ChatGLM
    แอปถูกดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งทั่วโลก
    สร้าง bid request ได้สูงถึง 2.3 พันล้านครั้งต่อวัน

    เทคนิคที่ใช้ในการโกงโฆษณา
    ใช้ steganography ซ่อนโมดูล FatModule ในไฟล์ PNG
    สร้าง WebView ล่องหนเพื่อโหลดเว็บไซต์ของผู้โจมตี
    ตรวจสอบว่าผู้ใช้ติดตั้งแอปจากโฆษณาหรือไม่ ก่อนเริ่มการโกง

    Google ดำเนินการลบแอปและแจ้งเตือนผู้ใช้
    แอปทั้งหมดถูกถอดออกจาก Play Store
    ผู้ใช้ที่ติดตั้งแอปได้รับการแจ้งเตือนให้ลบออกทันที

    HUMAN เตือนถึงความซับซ้อนของ SlopAds
    ใช้การตรวจจับแบบ conditional execution เพื่อหลบเลี่ยงนักวิจัย
    มีการใช้ระบบวัดผลโฆษณาเพื่อสร้างข้อมูลปลอมที่ดูเหมือนจริง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Android
    แอปที่ดูเหมือนปลอดภัยอาจมีพฤติกรรมลับซ่อนอยู่
    การติดตั้งแอปจากโฆษณาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    ขบวนการโกงโฆษณาอาจกลับมาในรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม

    https://www.techradar.com/pro/security/google-dismantles-huge-android-ad-fraud-network-distributing-malware-through-224-apps
    📰 Google ร่วมมือ HUMAN สกัดขบวนการโกงโฆษณา SlopAds — แอป Android กว่า 224 ตัวถูกถอดออกจาก Play Store เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การลบแอปธรรมดา แต่เป็นการเปิดโปงขบวนการโกงโฆษณาขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในแอป Android กว่า 224 ตัว ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 38 ล้านครั้งทั่วโลก โดยขบวนการนี้มีชื่อว่า “SlopAds” และถูกเปิดโปงโดยทีม Satori Threat Intelligence ของบริษัท HUMAN ร่วมกับ Google SlopAds ใช้เทคนิคซับซ้อน เช่น steganography (การซ่อนข้อมูลในไฟล์ภาพ), การสร้าง WebView ล่องหนในแอป, และการตรวจสอบว่าแอปถูกติดตั้งจากโฆษณาหรือไม่ เพื่อเริ่มต้นการโกงคลิกโฆษณาแบบลับๆ โดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว เมื่อแอปถูกติดตั้งผ่านโฆษณา มันจะดาวน์โหลดโมดูลชื่อ FatModule ซึ่งซ่อนอยู่ในไฟล์ PNG และเมื่อถูกถอดรหัส มันจะสร้าง WebView ที่โหลดเว็บไซต์ของผู้โจมตี เช่น เกม HTML5 หรือเว็บข่าวปลอม เพื่อจำลองการคลิกโฆษณาและสร้างรายได้แบบผิดกฎหมาย ที่น่าตกใจคือ ขบวนการนี้สามารถสร้าง bid request ได้ถึง 2.3 พันล้านครั้งต่อวัน และมีการกระจายตัวในกว่า 228 ประเทศ โดยมีสัดส่วนการใช้งานมากที่สุดในสหรัฐฯ (30%) อินเดีย (10%) และบราซิล (7%) แม้ Google จะลบแอปทั้งหมดออกจาก Play Store และแจ้งเตือนผู้ใช้แล้ว แต่ HUMAN เตือนว่า ขบวนการนี้มีความซับซ้อนและอาจกลับมาในรูปแบบใหม่อีกครั้งในอนาคต ✅ ขบวนการโกงโฆษณา SlopAds ถูกเปิดโปงและสกัดโดย HUMAN และ Google ➡️ ใช้แอป Android กว่า 224 ตัวที่เน้นธีม AI เช่น StableDiffusion, ChatGLM ➡️ แอปถูกดาวน์โหลดมากกว่า 38 ล้านครั้งทั่วโลก ➡️ สร้าง bid request ได้สูงถึง 2.3 พันล้านครั้งต่อวัน ✅ เทคนิคที่ใช้ในการโกงโฆษณา ➡️ ใช้ steganography ซ่อนโมดูล FatModule ในไฟล์ PNG ➡️ สร้าง WebView ล่องหนเพื่อโหลดเว็บไซต์ของผู้โจมตี ➡️ ตรวจสอบว่าผู้ใช้ติดตั้งแอปจากโฆษณาหรือไม่ ก่อนเริ่มการโกง ✅ Google ดำเนินการลบแอปและแจ้งเตือนผู้ใช้ ➡️ แอปทั้งหมดถูกถอดออกจาก Play Store ➡️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งแอปได้รับการแจ้งเตือนให้ลบออกทันที ✅ HUMAN เตือนถึงความซับซ้อนของ SlopAds ➡️ ใช้การตรวจจับแบบ conditional execution เพื่อหลบเลี่ยงนักวิจัย ➡️ มีการใช้ระบบวัดผลโฆษณาเพื่อสร้างข้อมูลปลอมที่ดูเหมือนจริง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Android ⛔ แอปที่ดูเหมือนปลอดภัยอาจมีพฤติกรรมลับซ่อนอยู่ ⛔ การติดตั้งแอปจากโฆษณาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ ขบวนการโกงโฆษณาอาจกลับมาในรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม https://www.techradar.com/pro/security/google-dismantles-huge-android-ad-fraud-network-distributing-malware-through-224-apps
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่”

    หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง

    Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47%

    นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว”

    แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020
    เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน
    ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี
    เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง
    สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์

    ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด
    พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา
    หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025
    รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด
    Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี
    การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group
    การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง
    Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน
    การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม”
    การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง
    การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร
    การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    🦁 “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่” หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47% นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว” แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020 ➡️ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน ➡️ ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี ➡️ เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง ➡️ สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ ✅ ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด ➡️ พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา ➡️ หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025 ➡️ รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด ➡️ Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี ➡️ การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group ➡️ การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง ➡️ Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน ⛔ การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม” ⛔ การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง ⛔ การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร ⛔ การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma returns with a vengeance to 'Make Alibaba Great Again'
    During China's yearslong crackdown on the tech sector, Alibaba Group Holding Ltd's internal messaging boards lit up with dreams to "MAGA" – Make Alibaba Great Again. Now, the company is deploying one of its most potent weapons to accomplish that mission: Jack Ma.
    0 Comments 0 Shares 325 Views 0 Reviews
  • “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน”

    Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต

    แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน

    OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ

    รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI
    ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่
    เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit
    ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น
    Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI

    เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง
    OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น
    เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่
    ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google
    เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน
    Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019
    AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน
    การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    💼 “Microsoft–OpenAI เซ็น MOU เปิดทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ — จุดเปลี่ยนจากองค์กรไม่แสวงกำไรสู่บริษัทมหาชน” Microsoft และ OpenAI ประกาศร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับใหม่เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2025 เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือในระยะถัดไป โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างจากองค์กรไม่แสวงกำไรไปสู่บริษัทแบบ for-profit ซึ่งจะสามารถระดมทุนและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในอนาคต แม้ข้อตกลงนี้ยังไม่เป็นสัญญาผูกพัน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทที่มีบทบาทสูงสุดในวงการ AI โดยเฉพาะในยุคที่ ChatGPT และโมเดลภาษาขนาดใหญ่กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลายภาคส่วน OpenAI ต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลดการพึ่งพา Microsoft ทั้งในด้านเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการเซ็นสัญญา cloud computing กับ Oracle และ Google เพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ยังเผชิญกับแรงต้านจากหลายฝ่าย เช่น อัยการรัฐแคลิฟอร์เนียและเดลาแวร์ที่เปิดการสอบสวน รวมถึง Elon Musk ที่ยื่นฟ้องเพื่อหยุดการเปลี่ยนแปลง โดยอ้างว่า OpenAI ละทิ้งพันธกิจเดิมในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ✅ รายละเอียดของข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ OpenAI ➡️ ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดความร่วมมือระยะใหม่ ➡️ เปิดทางให้ OpenAI ปรับโครงสร้างเป็นบริษัทแบบ for-profit ➡️ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินหรือสัดส่วนการถือหุ้น ➡️ Microsoft ยังคงเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI แม้บริษัทจะบรรลุ AGI ✅ เป้าหมายของการปรับโครงสร้าง ➡️ OpenAI ต้องการระดมทุนเพิ่มเติมและเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ➡️ เปลี่ยนจาก nonprofit เป็น public benefit corporation โดย nonprofit ยังคงถือหุ้นใหญ่ ➡️ ลดการพึ่งพา Microsoft โดยเซ็นสัญญา cloud กับ Oracle และ Google ➡️ เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น xAI และ Anthropic ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมินในตลาดเอกชนกว่า $500 พันล้าน ➡️ Microsoft ลงทุนใน OpenAI มากกว่า $13 พันล้านตั้งแต่ปี 2019 ➡️ AGI (Artificial General Intelligence) ถูกนิยามใหม่เป็นระบบที่สร้างรายได้เกิน $100 พันล้าน ➡️ การเปลี่ยนโครงสร้างต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/12/microsoft-openai-sign-mou-for-next-phase-of-partnership
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft, OpenAI reach non-binding deal to allow OpenAI to restructure
    (Reuters) - Microsoft and OpenAI said on Thursday they have signed a non-binding deal for new relationship terms that would allow OpenAI to proceed to restructure itself into a for-profit company, marking a new phase of the most high-profile partnerships to fund the ChatGPT frenzy.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนภาพจำ บขส. รถทัวร์ใหม่-พนักงานต้อนรับสีชมพู

    รถโดยสารใหม่สีชมพู ยี่ห้อเอ็ม.อา.เอ็น (M.A.N) สัญชาติเยอรมนี ของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ซึ่งเช่ารถโดยสารจำนวน 311 คัน จากบริษัท อิทธิพรอิมปอร์ต จำกัด เป็นเวลา 5 ปี วงเงิน 3,018 ล้านบาท เพื่อทดแทนรถโดยสารรุ่นเก่าที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10-30 ปี ในทุกเส้นทางทั่วประเทศ ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และทยอยรับรถจนครบ 311 คันภายในปลายเดือน ธ.ค.2568 โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 จะพยายามใช้รถรุ่นใหม่ทั้งระบบ และหยุดใช้รถรุ่นเก่าทั้งหมด

    พร้อมกันนี้ ยังได้เปลี่ยนแบบฟอร์มชุดพนักงานต้อนรับ และพนักงานขับรถหญิง โทนสีชมพูทั้งหมด นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ บขส. ทั้งเรื่องของรถ ชุดพนักงาน และการให้บริการเป็นภาพจำใหม่ สีชมพู ซึ่งเป็นสีแห่งความรักความอบอุ่น และเข้าถึงง่าย

    สำหรับรถโดยสารใหม่ มีความยาว 12 เมตร 3 มาตรฐาน ได้แก่ 1. รถปรับอากาศชั้น 1 VIP จำนวน 24 ที่นั่ง 2. รถปรับอากาศชั้น 1 พิเศษ จำนวน 32 ที่นั่ง และ 3. รถปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 36 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 5 ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องน้ำ ช่องเก็บสัมภาระ ช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ และบริการไว-ไฟฟรี พร้อมระบบ GPS และกล้อง CCTV

    ในรอบปีที่ผ่านมา บขส.ได้พัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิดเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อท่าอากาศยาน 3 เส้นทาง สุวรรณภูมิ-พัทยา, ดอนเมือง-พัทยา ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด และดอนเมือง-หัวหิน การเพิ่มบริการส่งพัสดุถึงบ้าน นำร่องพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปัจจุบันมีรายได้ 1,988 ล้านบาท ขาดทุน 170 ล้านบาท ขาดทุนสะสมตั้งแต่ช่วงโควิด-19 รวม 3,000 ล้านบาท ตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะสร้างรายได้ 3,500 ล้านบาทต่อปี กำไร 1,000 ล้านบาทต่อปี และแก้ขาดทุนสะสม เพื่อให้ บขส.อยู่ได้โดยไม่ของบประมาณจากรัฐ

    ปัจจุบัน บขส.ให้บริการรวม 62 เส้นทาง 175 เที่ยววิ่งต่อวัน แบ่งเป็นภาคเหนือ 19 เส้นทาง 68 เที่ยววิ่งต่อวัน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 18 เส้นทาง 58 เที่ยววิ่งต่อวัน และภาคใต้ 25 เส้นทาง 49 เที่ยววิ่งต่อวัน โดยมีช่องทางจำหน่ายตั๋วโดยสารอย่างเป็นทางการ ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร (จตุจักร ตลิ่งชัน และเอกมัย) สถานีเดินรถ บขส. ทั่วประเทศ เว็บไซต์ transport.co.th แอปพลิเคชัน E-Ticket เฟซบุ๊ก BorKorSor99 และไลน์ @TCL99

    #Newskit
    เปลี่ยนภาพจำ บขส. รถทัวร์ใหม่-พนักงานต้อนรับสีชมพู รถโดยสารใหม่สีชมพู ยี่ห้อเอ็ม.อา.เอ็น (M.A.N) สัญชาติเยอรมนี ของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ซึ่งเช่ารถโดยสารจำนวน 311 คัน จากบริษัท อิทธิพรอิมปอร์ต จำกัด เป็นเวลา 5 ปี วงเงิน 3,018 ล้านบาท เพื่อทดแทนรถโดยสารรุ่นเก่าที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 10-30 ปี ในทุกเส้นทางทั่วประเทศ ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และทยอยรับรถจนครบ 311 คันภายในปลายเดือน ธ.ค.2568 โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2569 จะพยายามใช้รถรุ่นใหม่ทั้งระบบ และหยุดใช้รถรุ่นเก่าทั้งหมด พร้อมกันนี้ ยังได้เปลี่ยนแบบฟอร์มชุดพนักงานต้อนรับ และพนักงานขับรถหญิง โทนสีชมพูทั้งหมด นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ บขส. ทั้งเรื่องของรถ ชุดพนักงาน และการให้บริการเป็นภาพจำใหม่ สีชมพู ซึ่งเป็นสีแห่งความรักความอบอุ่น และเข้าถึงง่าย สำหรับรถโดยสารใหม่ มีความยาว 12 เมตร 3 มาตรฐาน ได้แก่ 1. รถปรับอากาศชั้น 1 VIP จำนวน 24 ที่นั่ง 2. รถปรับอากาศชั้น 1 พิเศษ จำนวน 32 ที่นั่ง และ 3. รถปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 36 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน Euro 5 ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ภายในรถมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ห้องน้ำ ช่องเก็บสัมภาระ ช่องเสียบ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ และบริการไว-ไฟฟรี พร้อมระบบ GPS และกล้อง CCTV ในรอบปีที่ผ่านมา บขส.ได้พัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิดเส้นทางเดินรถเชื่อมต่อท่าอากาศยาน 3 เส้นทาง สุวรรณภูมิ-พัทยา, ดอนเมือง-พัทยา ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด และดอนเมือง-หัวหิน การเพิ่มบริการส่งพัสดุถึงบ้าน นำร่องพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ปัจจุบันมีรายได้ 1,988 ล้านบาท ขาดทุน 170 ล้านบาท ขาดทุนสะสมตั้งแต่ช่วงโควิด-19 รวม 3,000 ล้านบาท ตั้งเป้าภายใน 2 ปี จะสร้างรายได้ 3,500 ล้านบาทต่อปี กำไร 1,000 ล้านบาทต่อปี และแก้ขาดทุนสะสม เพื่อให้ บขส.อยู่ได้โดยไม่ของบประมาณจากรัฐ ปัจจุบัน บขส.ให้บริการรวม 62 เส้นทาง 175 เที่ยววิ่งต่อวัน แบ่งเป็นภาคเหนือ 19 เส้นทาง 68 เที่ยววิ่งต่อวัน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก 18 เส้นทาง 58 เที่ยววิ่งต่อวัน และภาคใต้ 25 เส้นทาง 49 เที่ยววิ่งต่อวัน โดยมีช่องทางจำหน่ายตั๋วโดยสารอย่างเป็นทางการ ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร (จตุจักร ตลิ่งชัน และเอกมัย) สถานีเดินรถ บขส. ทั่วประเทศ เว็บไซต์ transport.co.th แอปพลิเคชัน E-Ticket เฟซบุ๊ก BorKorSor99 และไลน์ @TCL99 #Newskit
    1 Comments 0 Shares 432 Views 0 Reviews
  • อนุทินถูกวางยาจาก รมต.กลาโหมแล้ว,ประกาศเปิดด่าน แบบนี้ทำคนไทยผิดหวังทั้งประเทศไปเลย,อย่าเอาเศษเงินคนละครึ่งมาตบหัวแลกเปิดด่านช่วยเขมรนะ,เจ้าสัวกิจการใครต้องขุดออกมาประจานกันจริงๆแล้ว เจ้าสัวเหล่านี้คิดแต่ประโยชน์ของตนเอง,เอกชนต่างชาติที่มีกิจการในไทยก็ด้วยที่ใช้ไทยหาตังกับการค้าขายเขมร เร่งการเปิดด่านก็ด้วย,
    ..กฎอัยการศึกไร้น้ำยาจริงๆ.
    ..อนุทินจะต้องถูกยุบพรรคทันที,หากยังใช้คนไม่ถูกแบบนี้,ไม่เด็ดขาดตัดศักยภาพทางทหารศัตรู เสมือนคนยินยอมลงนามเปิดด่านคือไส้ศึกช่วยเพิ่มเสบียงเพิ่มกำลังศัตรูให้มีแรงมาทำสงครามกับไทยนั้นเอง,เสริมกำลังเสริมเสบียงให้พร้อมก่อนมารบกับไทยแบบรอบแรก,กักตุนเสบียงต่างๆทุกๆรูปแบบ หรือเร่งรีบต้องเปิดด่านช่วยเหลือเขมรชัดเจน,การประชุมนี้ถือว่าไม่มีสาระและประโยชน์อะไร เสียเวลาด้วย,สมควรยุบและยุติวิถีการเจรจานี้ทันที,เขมรต้องถูกปิดด่านถาวรจากฝั่งไทยทุกๆกรณีตลอดพรมแดน ไม่มีการเจรจาใดๆอีกต่อไปแม้ไม่มีการรบ จนกว่าเราจะสร้างรั้วลวดหนามกำแพงถาวรลวดหนามนี้เสร็จสมบูรณ์ตลอดแนวพรมแดนเขมรทั้งหมด,
    ..เราสามารถสร้างกำแพงในเขตพื้นที่ดินแดนเราเองทันทีได้ห่างจากเส้นศูนย์กลางปกติ10-20เมตร.จากเสาหมุดเขตแดนได้,โดยตรงแนวเส้นเสาหมุดที่เล็งตรงจากเสาต่อเสาหมุดเขตแดนเราล็อกด้วยพิกัดgpsถาวรได้,สร้างรั้วลวดหนามง่ายๆปกติธรรมดาแบบเสารั้วไทบ้านๆเราได้ต้นทุนไม่แพงให้รู้ว่าแนวนี้คือเขตไทยฝั่งไทย จากนั้นวัดเข้ามาฝั่งไทยดินแดนเราเองจากรั้วเขตแดนธรรมดาง่ายๆกันเขมรกับไทยนั้นวัดเข้ามาสักบวกลบ10-20เมตร เราสามารถสร้างกำแพงรั้วลวดหนามชนิดถาวรมั่นคงไปเลยต่ออีกชั้นหนึ่ง, เราสามารถเดินรถลาดตะเวนตลอดแนวลวดหนามถาวรได้,รั้วปกติธรรมดากั้นด่านแรก,ด่านสองรั้วกำแพงสูงถาวรลวดหนามกั้นอีกชั้น,ใช้งบ25,000บาทคนละครึ่งนั้นล่ะ,เราคนไทยเสียสละพร้อมใจกันไม่รับตังนี้,แล้วเร่งรีบเอาตังนี้ที่ต้องด่วนและด่วนที่สุดสร้างกั้นเขมรให้เสร็จโดยรวดเร็ว เราจะตัดตอนภัยคุกคามนี้อีกตัวไปได้ มันจะเป็นจะตายก็ประเทศของมันชาติเนรคุณทรยศนี้ เจ้าสัวเอกชนไทยและต่างชาติในไทยเสียดายโอกาสก็ปิดกิจการในไทยทันทีแล้วย้ายไปเขมรเสีย อย่ามาโคตรพ่อโคตรแมร่งมรึงเอาอธิปไตยความมั่นคงของชาติไทยเรามาสร้างรายได้กำไรมหาศาลหาแดกบนสนามรบสนามความขัดแย้งนี้ ในการทำกำไร,จะว่ามรึงไทยและเขมรรบกัน กูคนค้าขายไม่เกี่ยวหรือกูคนต่างชาติเปิดกิจการในไทยมรึงไม่เกี่ยว,รัฐบาลไทยมรึงต้องเปิดด่านให้อำนวยกูค้าขายทำเงิน ส่งเสบียงอาหารยาสะสมให้ทหารเขมรได้เสรีดีต่อการทำกำไรการค้ากูฝั่งเขมร,อธิปไตยไทยมรึงก็เรื่องของมรึงไม่เกี่ยวกับกูคนต่างชาติเจ้าสัวไทยแบบกูก็ได้วย.

    https://youtube.com/watch?v=l84ju69tsDQ&si=lulzR-gFbJ6y6haE
    อนุทินถูกวางยาจาก รมต.กลาโหมแล้ว,ประกาศเปิดด่าน แบบนี้ทำคนไทยผิดหวังทั้งประเทศไปเลย,อย่าเอาเศษเงินคนละครึ่งมาตบหัวแลกเปิดด่านช่วยเขมรนะ,เจ้าสัวกิจการใครต้องขุดออกมาประจานกันจริงๆแล้ว เจ้าสัวเหล่านี้คิดแต่ประโยชน์ของตนเอง,เอกชนต่างชาติที่มีกิจการในไทยก็ด้วยที่ใช้ไทยหาตังกับการค้าขายเขมร เร่งการเปิดด่านก็ด้วย, ..กฎอัยการศึกไร้น้ำยาจริงๆ. ..อนุทินจะต้องถูกยุบพรรคทันที,หากยังใช้คนไม่ถูกแบบนี้,ไม่เด็ดขาดตัดศักยภาพทางทหารศัตรู เสมือนคนยินยอมลงนามเปิดด่านคือไส้ศึกช่วยเพิ่มเสบียงเพิ่มกำลังศัตรูให้มีแรงมาทำสงครามกับไทยนั้นเอง,เสริมกำลังเสริมเสบียงให้พร้อมก่อนมารบกับไทยแบบรอบแรก,กักตุนเสบียงต่างๆทุกๆรูปแบบ หรือเร่งรีบต้องเปิดด่านช่วยเหลือเขมรชัดเจน,การประชุมนี้ถือว่าไม่มีสาระและประโยชน์อะไร เสียเวลาด้วย,สมควรยุบและยุติวิถีการเจรจานี้ทันที,เขมรต้องถูกปิดด่านถาวรจากฝั่งไทยทุกๆกรณีตลอดพรมแดน ไม่มีการเจรจาใดๆอีกต่อไปแม้ไม่มีการรบ จนกว่าเราจะสร้างรั้วลวดหนามกำแพงถาวรลวดหนามนี้เสร็จสมบูรณ์ตลอดแนวพรมแดนเขมรทั้งหมด, ..เราสามารถสร้างกำแพงในเขตพื้นที่ดินแดนเราเองทันทีได้ห่างจากเส้นศูนย์กลางปกติ10-20เมตร.จากเสาหมุดเขตแดนได้,โดยตรงแนวเส้นเสาหมุดที่เล็งตรงจากเสาต่อเสาหมุดเขตแดนเราล็อกด้วยพิกัดgpsถาวรได้,สร้างรั้วลวดหนามง่ายๆปกติธรรมดาแบบเสารั้วไทบ้านๆเราได้ต้นทุนไม่แพงให้รู้ว่าแนวนี้คือเขตไทยฝั่งไทย จากนั้นวัดเข้ามาฝั่งไทยดินแดนเราเองจากรั้วเขตแดนธรรมดาง่ายๆกันเขมรกับไทยนั้นวัดเข้ามาสักบวกลบ10-20เมตร เราสามารถสร้างกำแพงรั้วลวดหนามชนิดถาวรมั่นคงไปเลยต่ออีกชั้นหนึ่ง, เราสามารถเดินรถลาดตะเวนตลอดแนวลวดหนามถาวรได้,รั้วปกติธรรมดากั้นด่านแรก,ด่านสองรั้วกำแพงสูงถาวรลวดหนามกั้นอีกชั้น,ใช้งบ25,000บาทคนละครึ่งนั้นล่ะ,เราคนไทยเสียสละพร้อมใจกันไม่รับตังนี้,แล้วเร่งรีบเอาตังนี้ที่ต้องด่วนและด่วนที่สุดสร้างกั้นเขมรให้เสร็จโดยรวดเร็ว เราจะตัดตอนภัยคุกคามนี้อีกตัวไปได้ มันจะเป็นจะตายก็ประเทศของมันชาติเนรคุณทรยศนี้ เจ้าสัวเอกชนไทยและต่างชาติในไทยเสียดายโอกาสก็ปิดกิจการในไทยทันทีแล้วย้ายไปเขมรเสีย อย่ามาโคตรพ่อโคตรแมร่งมรึงเอาอธิปไตยความมั่นคงของชาติไทยเรามาสร้างรายได้กำไรมหาศาลหาแดกบนสนามรบสนามความขัดแย้งนี้ ในการทำกำไร,จะว่ามรึงไทยและเขมรรบกัน กูคนค้าขายไม่เกี่ยวหรือกูคนต่างชาติเปิดกิจการในไทยมรึงไม่เกี่ยว,รัฐบาลไทยมรึงต้องเปิดด่านให้อำนวยกูค้าขายทำเงิน ส่งเสบียงอาหารยาสะสมให้ทหารเขมรได้เสรีดีต่อการทำกำไรการค้ากูฝั่งเขมร,อธิปไตยไทยมรึงก็เรื่องของมรึงไม่เกี่ยวกับกูคนต่างชาติเจ้าสัวไทยแบบกูก็ได้วย. https://youtube.com/watch?v=l84ju69tsDQ&si=lulzR-gFbJ6y6haE
    0 Comments 0 Shares 323 Views 0 Reviews
  • “AI ไม่บูมแล้ว? อัตราการใช้งาน AI ในบริษัทใหญ่ลดลงต่อเนื่อง — สัญญาณสะท้อนความจริงหลังคลื่นกระแส”

    ถ้าเมื่อปีที่แล้วคุณรู้สึกว่า AI กำลังครองโลก — ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Midjourney, หรือระบบอัตโนมัติในองค์กร — คุณไม่ได้คิดไปเอง เพราะช่วงนั้นคือจุดพีคของกระแส AI ที่ทุกบริษัทต่างรีบปรับตัวเพื่อไม่ให้ตกขบวน แต่ตอนนี้…ข้อมูลจาก U.S. Census Bureau กลับชี้ว่า “บริษัทขนาดใหญ่กำลังลดการใช้งาน AI ลงอย่างต่อเนื่อง”

    จากการสำรวจธุรกิจมากกว่า 1.2 ล้านแห่งทั่วสหรัฐฯ พบว่า บริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 250 คน มีอัตราการใช้งาน AI ลดลงจาก 13.5% ในเดือนมิถุนายน เหลือเพียง 12% ในปลายเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2022

    แม้บริษัทขนาดเล็กบางกลุ่มยังคงเพิ่มการใช้งาน AI แต่ภาพรวมกลับสะท้อนความลังเล โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่า 95% ของบริษัทที่นำ AI ไปใช้ “ไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ได้จริง” และหลายแห่งเริ่มกลับมาจ้างพนักงานมนุษย์อีกครั้ง หลังพบว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่แรงงานได้อย่างสมบูรณ์

    นอกจากนี้ยังมีสัญญาณจากตลาด เช่น ราคาหุ้น Nvidia ที่ตกลงหลังประกาศว่า “GPU สำหรับ AI ขายหมดแล้ว” และการเปิดตัว GPT-5 ที่ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ตามที่คาดหวัง — ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิเคราะห์บางคนเริ่มพูดถึง “AI winter” หรือช่วงชะลอตัวของวงการ AI ที่อาจกำลังเริ่มต้น

    ข้อมูลจาก U.S. Census Bureau
    สำรวจธุรกิจ 1.2 ล้านแห่งทุกสองสัปดาห์
    บริษัทขนาดใหญ่ (มากกว่า 250 คน) ลดการใช้งาน AI จาก 13.5% เหลือ 12%
    เป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2022
    บริษัทขนาดเล็กบางกลุ่มยังคงเพิ่มการใช้งาน

    สาเหตุที่ทำให้การใช้งาน AI ลดลง
    95% ของบริษัทที่ใช้ AI ไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ได้
    AI ยังไม่สามารถแทนแรงงานมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
    บริษัทเริ่มกลับมาจ้างพนักงานหลังพบข้อจำกัดของ AI
    GPT-5 เปิดตัวแล้วแต่ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ตามที่คาดหวัง

    บริบทจากภายนอก
    Nvidia ประกาศว่า GPU สำหรับ AI ขายหมด แต่ราคาหุ้นกลับตก
    นักเศรษฐศาสตร์บางคนเปรียบเทียบกระแส AI กับฟองสบู่ dot-com
    AMD ยังเชื่อว่า AI “ยังถูกประเมินต่ำ” และมีศักยภาพอีกมาก
    McKinsey รายงานว่า 92% ของบริษัทยังคงวางแผนลงทุนใน AI เพิ่มขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-adoption-rate-is-declining-among-large-companies-us-census-bureau-claims-fewer-businesses-are-using-ai-tools
    📉 “AI ไม่บูมแล้ว? อัตราการใช้งาน AI ในบริษัทใหญ่ลดลงต่อเนื่อง — สัญญาณสะท้อนความจริงหลังคลื่นกระแส” ถ้าเมื่อปีที่แล้วคุณรู้สึกว่า AI กำลังครองโลก — ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Midjourney, หรือระบบอัตโนมัติในองค์กร — คุณไม่ได้คิดไปเอง เพราะช่วงนั้นคือจุดพีคของกระแส AI ที่ทุกบริษัทต่างรีบปรับตัวเพื่อไม่ให้ตกขบวน แต่ตอนนี้…ข้อมูลจาก U.S. Census Bureau กลับชี้ว่า “บริษัทขนาดใหญ่กำลังลดการใช้งาน AI ลงอย่างต่อเนื่อง” จากการสำรวจธุรกิจมากกว่า 1.2 ล้านแห่งทั่วสหรัฐฯ พบว่า บริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 250 คน มีอัตราการใช้งาน AI ลดลงจาก 13.5% ในเดือนมิถุนายน เหลือเพียง 12% ในปลายเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2022 แม้บริษัทขนาดเล็กบางกลุ่มยังคงเพิ่มการใช้งาน AI แต่ภาพรวมกลับสะท้อนความลังเล โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่า 95% ของบริษัทที่นำ AI ไปใช้ “ไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ได้จริง” และหลายแห่งเริ่มกลับมาจ้างพนักงานมนุษย์อีกครั้ง หลังพบว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่แรงงานได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีสัญญาณจากตลาด เช่น ราคาหุ้น Nvidia ที่ตกลงหลังประกาศว่า “GPU สำหรับ AI ขายหมดแล้ว” และการเปิดตัว GPT-5 ที่ไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ตามที่คาดหวัง — ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิเคราะห์บางคนเริ่มพูดถึง “AI winter” หรือช่วงชะลอตัวของวงการ AI ที่อาจกำลังเริ่มต้น ✅ ข้อมูลจาก U.S. Census Bureau ➡️ สำรวจธุรกิจ 1.2 ล้านแห่งทุกสองสัปดาห์ ➡️ บริษัทขนาดใหญ่ (มากกว่า 250 คน) ลดการใช้งาน AI จาก 13.5% เหลือ 12% ➡️ เป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2022 ➡️ บริษัทขนาดเล็กบางกลุ่มยังคงเพิ่มการใช้งาน ✅ สาเหตุที่ทำให้การใช้งาน AI ลดลง ➡️ 95% ของบริษัทที่ใช้ AI ไม่สามารถสร้างรายได้ใหม่ได้ ➡️ AI ยังไม่สามารถแทนแรงงานมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ ➡️ บริษัทเริ่มกลับมาจ้างพนักงานหลังพบข้อจำกัดของ AI ➡️ GPT-5 เปิดตัวแล้วแต่ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ตามที่คาดหวัง ✅ บริบทจากภายนอก ➡️ Nvidia ประกาศว่า GPU สำหรับ AI ขายหมด แต่ราคาหุ้นกลับตก ➡️ นักเศรษฐศาสตร์บางคนเปรียบเทียบกระแส AI กับฟองสบู่ dot-com ➡️ AMD ยังเชื่อว่า AI “ยังถูกประเมินต่ำ” และมีศักยภาพอีกมาก ➡️ McKinsey รายงานว่า 92% ของบริษัทยังคงวางแผนลงทุนใน AI เพิ่มขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-adoption-rate-is-declining-among-large-companies-us-census-bureau-claims-fewer-businesses-are-using-ai-tools
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล

    Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ

    ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น

    Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก

    แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า

    Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา

    จุดเด่นของ Zen Browser
    พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium
    เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก
    มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น

    ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป
    ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน
    Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน
    Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ
    Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar

    ความสัมพันธ์กับ Arc Browser
    มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces
    Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security
    Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง

    ความโปร่งใสและการสนับสนุน
    ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้
    พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง
    เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส

    https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Chrome สู่ Zen: เมื่อเบราว์เซอร์กลายเป็นเครื่องมือเพื่อความสงบ ไม่ใช่แค่การเข้าถึงข้อมูล Zen Browser เป็นเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox โดยไม่ใช้เอนจิน Chromium ที่เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่พึ่งพา จุดเด่นของ Zen คือการออกแบบที่เน้นความสงบ ความเป็นส่วนตัว และการปรับแต่งที่ลึกกว่าปกติ ทันทีที่เปิดใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับ onboarding ที่ไม่เหมือนใคร—เลือกธีม, ปรับทิศทางของ gradient, และแม้แต่ปรับ grain effect ของพื้นหลังได้ตามใจ จากนั้นจะเข้าสู่ UI ที่ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอนแบบ Chrome ซึ่งช่วยให้โฟกัสกับเนื้อหาได้มากขึ้น Zen ยังมีฟีเจอร์ productivity เช่น Split View ที่เปิดสองลิงก์ข้างกันได้, Workspaces ที่แยกธีมและแท็บตามบริบท เช่น งานหรือเรียน และ Zen Mods ซึ่งเป็นปลั๊กอินจากชุมชนที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น Super URL bar ที่ปรับแต่งหน้าตาแถบ URL ได้ละเอียดมาก แม้ Zen จะมีความคล้ายกับ Arc Browser ที่เคยได้รับความนิยมในปี 2024 แต่ Arc หยุดพัฒนาไปเพราะปัญหาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขณะที่ Zen ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนโอเพ่นซอร์ส และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคงกว่า Zen ยังเน้นความโปร่งใสด้านการเงิน โดยไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ แต่พึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ใช้โดยตรงผ่านการบริจาค และยังไม่มีแผนสร้างรายได้จากโฆษณา ✅ จุดเด่นของ Zen Browser ➡️ พัฒนาบน Firefox ไม่ใช้ Chromium ➡️ เน้นความเป็นส่วนตัวและการปรับแต่ง UI อย่างลึก ➡️ มี onboarding ที่ให้เลือกธีมและเอฟเฟกต์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ✅ ฟีเจอร์ที่แตกต่างจากเบราว์เซอร์ทั่วไป ➡️ ใช้ sidebar แนวตั้งแทนแถบแนวนอน ➡️ Split View เปิดสองลิงก์ข้างกัน ➡️ Workspaces แยกแท็บตามบริบท พร้อมธีมเฉพาะ ➡️ Zen Mods เพิ่มฟีเจอร์จากชุมชน เช่น Super URL bar ✅ ความสัมพันธ์กับ Arc Browser ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย Arc เช่น split view และ workspaces ➡️ Arc หยุดพัฒนาเพราะปัญหาด้าน performance และ security ➡️ Zen ยังคงพัฒนาโดยชุมชน และมีพื้นฐานจาก Firefox ที่มั่นคง ✅ ความโปร่งใสและการสนับสนุน ➡️ ไม่ขายข้อมูลผู้ใช้ ➡️ พึ่งพาการบริจาคและผู้สนับสนุนโดยตรง ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาร่วมสร้างฟีเจอร์ใหม่ผ่านโอเพ่นซอร์ส https://www.slashgear.com/1957695/why-people-are-switching-to-zen-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many People Are Switching To This Web Browser - Here's Why - SlashGear
    Zen is a beautiful Free and Open Source Firefox-based alternative to Google Chrome, but has some limitations such as the inability to play DRM-protected media.
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • ..เขมรสมควรสิ้นชาติจริงๆนะ ใครก็ตามขึ้นมาปกครองภายในเขมรแทนฮุนเซน ก็จะเหมือนเดิม สันดานคนชาตินี้มันนอนลึกแล้ว ฝังลึกจริงๆ,การเกิดใหม่อาจช่วยปลดปล่อยจิตวิญญาณนี้ได้.,คือเต็มที่สุดๆจริงๆ ,มันเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชาติประเทศที่อยู่ใกล้ชิดติดกับมัน,ขนาดไม่ใกล้ชิดเดอะแก๊งสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์ยังสร้างหายนะไปทั่วโลก ปั่นป่วนทุกๆองค์กรทั่วโลก แฮกข้อมูลชาติต่างๆจนตั้งข้อหาอาชญากรรมไซเบอร์ได้อีก,ค้าแรงงาน ทารุนมนุษย์ ค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ฮับสาระพัดเลวชั่วอีกแห่งของโลก ประจำเอเชียน ประจำอาเชียนด้วย ,ชาติอาเชียนเราจึงสมควรร่วมกันกำจัดและทำลายประเทศนี้เถอะให้สิ้นชาติไป,ลาวมีทางออกทะเลได้ด้วย เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกด้านอาหารเพิ่มขึ้น.

    ..เขมรเปิดก่อน ยิงใส่ไทยก่อนจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก,อยู่เฉยๆดีๆมาทำยิงระเบิดใส่ไทย,มันสมควรมีประเทศแบบนี้ร่วมกันมั้ย,เขมรจึงต้องถูกกำจัดสิ้นประเทศสิ้นชาติทันที,ไม่มีการอภัยใดๆ,เรากำจัดภัยร้ายของชาวโลกด้วยเพราะมันหลอกลวงจากทั่วโลกมาฆ่าค้าอวัยวะมนุษย์ที่เขมรนี้,สร้างรายได้อย่างมหาศาลเป็นอันมาก,ปล่อยเขมรนานเท่าไร อันตรายต่อคนทั้งโลกนานเท่านั้น.


    https://youtube.com/shorts/RP4mwP2eyiI?si=oshZ5CUelcNAk3Cl
    ..เขมรสมควรสิ้นชาติจริงๆนะ ใครก็ตามขึ้นมาปกครองภายในเขมรแทนฮุนเซน ก็จะเหมือนเดิม สันดานคนชาตินี้มันนอนลึกแล้ว ฝังลึกจริงๆ,การเกิดใหม่อาจช่วยปลดปล่อยจิตวิญญาณนี้ได้.,คือเต็มที่สุดๆจริงๆ ,มันเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชาติประเทศที่อยู่ใกล้ชิดติดกับมัน,ขนาดไม่ใกล้ชิดเดอะแก๊งสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์ยังสร้างหายนะไปทั่วโลก ปั่นป่วนทุกๆองค์กรทั่วโลก แฮกข้อมูลชาติต่างๆจนตั้งข้อหาอาชญากรรมไซเบอร์ได้อีก,ค้าแรงงาน ทารุนมนุษย์ ค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ฮับสาระพัดเลวชั่วอีกแห่งของโลก ประจำเอเชียน ประจำอาเชียนด้วย ,ชาติอาเชียนเราจึงสมควรร่วมกันกำจัดและทำลายประเทศนี้เถอะให้สิ้นชาติไป,ลาวมีทางออกทะเลได้ด้วย เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกด้านอาหารเพิ่มขึ้น. ..เขมรเปิดก่อน ยิงใส่ไทยก่อนจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก,อยู่เฉยๆดีๆมาทำยิงระเบิดใส่ไทย,มันสมควรมีประเทศแบบนี้ร่วมกันมั้ย,เขมรจึงต้องถูกกำจัดสิ้นประเทศสิ้นชาติทันที,ไม่มีการอภัยใดๆ,เรากำจัดภัยร้ายของชาวโลกด้วยเพราะมันหลอกลวงจากทั่วโลกมาฆ่าค้าอวัยวะมนุษย์ที่เขมรนี้,สร้างรายได้อย่างมหาศาลเป็นอันมาก,ปล่อยเขมรนานเท่าไร อันตรายต่อคนทั้งโลกนานเท่านั้น. https://youtube.com/shorts/RP4mwP2eyiI?si=oshZ5CUelcNAk3Cl
    0 Comments 0 Shares 351 Views 0 Reviews
  • Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท

    แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย

    Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC

    แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel
    หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด
    มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี
    Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ
    ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น
    Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์
    ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน
    Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง
    Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    🎙️ Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel ➡️ หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด ➡️ มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี ➡️ Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ ➡️ ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น ➡️ Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน ➡️ Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง ➡️ Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์ ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    WCCFTECH.COM
    Hassett Thinks Intel Will "Get Its Act Together" With Cash Inflow, But Morgan Stanley Contends There's No "Quick Fix"
    Morgan Stanley's Joseph Moore believes that Intel's turnaround would be a lengthy affair, with no simple remedies available.
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
More Results