• ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 111 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #หวังอันอวี่wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #หวังอันอวี่wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 126 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 294 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #จ้าวลู่ซือ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #จ้าวลู่ซือ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 291 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลีหลานตี๋ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลีหลานตี๋ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    4
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 374 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลีหลานตี๋ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลีหลานตี๋ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 859 มุมมอง 735 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitines
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitines
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 370 0 รีวิว
  • แฟนเพจทุกท่าน สมมุติทุนดาร์คทุ่มงบเล่นเพจปลิว คงรู้นะว่าจะไปตามกันต่อที่ไหน ถ้ารู้พิมพ์ว่ารู้ครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    แฟนเพจทุกท่าน สมมุติทุนดาร์คทุ่มงบเล่นเพจปลิว คงรู้นะว่าจะไปตามกันต่อที่ไหน ถ้ารู้พิมพ์ว่ารู้ครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 757 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติTikTok@yuija6055 # หวังอันอวี่ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติTikTok@yuija6055 # หวังอันอวี่ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1637 มุมมอง 827 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติTikTok@yui6005 #หวังอันอวี่ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติTikTok@yui6005 #หวังอันอวี่ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1612 มุมมอง 869 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #หวังอันอวี่ #หลี่หลานตี๋ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #หวังอันอวี่ #หลี่หลานตี๋ #ซีรีส์ #ว่างว่างก็แวะมา Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1606 มุมมอง 518 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1390 มุมมอง 493 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 992 มุมมอง 486 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTokyuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTokyuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1013 มุมมอง 728 0 รีวิว
  • อีกคำถามนึงนะ สมมุติเพื่อนช.มารับเพื่อนสาวไปตีสองกลับมาส่งเช้า แล้วจุ๊บกันดูดดื่ม มันเกินเพื่อนมั๊ยนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    อีกคำถามนึงนะ สมมุติเพื่อนช.มารับเพื่อนสาวไปตีสองกลับมาส่งเช้า แล้วจุ๊บกันดูดดื่ม มันเกินเพื่อนมั๊ยนะ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Wow
    Sad
    18
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถามแฟนเพจนิดนึง สมมุติว่า เพื่อนกินตับเพื่อน เค้าจะใส่สร้อยคู่รักมั๊ยครับ ถามก่อนโพสเชิงลึกนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ถามแฟนเพจนิดนึง สมมุติว่า เพื่อนกินตับเพื่อน เค้าจะใส่สร้อยคู่รักมั๊ยครับ ถามก่อนโพสเชิงลึกนะ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Sad
    11
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ผลพิสูจน์%ทองออกมาแล้ว.
    ..คนทั่วไป ส่วนใหญ่&เข้าใจง่าย ไม่เล่นวลีคำหรือเลี่ยงบาลีวิธีสร้างคำแบบนักกฎหมายชิงชัยหมายเอาชนะความกัน,จะรับรู้ตรงกันว่า ถ้าไม่ตรงปก ตรงมาตราฐาน ไม่ถึงขั้นถึงเกณฑ์จะมีเนื้อทองจริงก็ตาม ถือว่านั้นคือทองปลอมใช่หรือไม่ในความเข้าใจคนไทบ้านๆเราเข้าใจ,ตามเกณฑ์ก็ขายคืนได้เต็มราคานั้นคือสมมุติตกลงกันไว้ว่านี้คือทองคำจริงผ่านเกณฑ์ยอมรับได้ ว่าจริง ทองจริง,แต่ซื้อเต็มราคาเท่าราคาทองคำจริงที่ว่า แล้วจะเอาไปขายคืนหรือขายต่อจะร้านรับซื้อทองทั่วไทยที่ไหนๆก็ตามกลับบอกว่าได้ราคาน้อยกว่าที่ซื้อมาหรือไม่รับซื้อเลย นี้เขาเรียกว่าทองปลอมทองเก๊ใช่หรือไม่.
    ..ผลพิสูจน์%ทองออกมาแล้ว. ..คนทั่วไป ส่วนใหญ่&เข้าใจง่าย ไม่เล่นวลีคำหรือเลี่ยงบาลีวิธีสร้างคำแบบนักกฎหมายชิงชัยหมายเอาชนะความกัน,จะรับรู้ตรงกันว่า ถ้าไม่ตรงปก ตรงมาตราฐาน ไม่ถึงขั้นถึงเกณฑ์จะมีเนื้อทองจริงก็ตาม ถือว่านั้นคือทองปลอมใช่หรือไม่ในความเข้าใจคนไทบ้านๆเราเข้าใจ,ตามเกณฑ์ก็ขายคืนได้เต็มราคานั้นคือสมมุติตกลงกันไว้ว่านี้คือทองคำจริงผ่านเกณฑ์ยอมรับได้ ว่าจริง ทองจริง,แต่ซื้อเต็มราคาเท่าราคาทองคำจริงที่ว่า แล้วจะเอาไปขายคืนหรือขายต่อจะร้านรับซื้อทองทั่วไทยที่ไหนๆก็ตามกลับบอกว่าได้ราคาน้อยกว่าที่ซื้อมาหรือไม่รับซื้อเลย นี้เขาเรียกว่าทองปลอมทองเก๊ใช่หรือไม่.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 77 0 รีวิว
  • ชืวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 To Fly with You #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชืวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 To Fly with You #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1286 มุมมอง 580 0 รีวิว
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติTikTok@yuija6055 To Fly with You #หวังอนอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติTikTok@yuija6055 To Fly with You #หวังอนอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1279 มุมมอง 403 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ TikTok@yuija6055 #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #wanganyu #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1163 มุมมอง 335 0 รีวิว
  • กองทุนรวมทองคำ ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (3)

    มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ นอกจากข้อดี-ข้อเสีย จากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่า แล้วยังปัจจัยอื่น ที่มีผลต่อผลตอบแทนที่เราจะได้รับ เมื่อดูจาก NAV ของกองทุน เช่น

    • ค่าธรรมเนียมกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
    • ผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ผลตอบแทนของ Feeder Fund ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก (Master Fund) เป็นหลัก
    • นโยบายการลงทุนของกองทุน แต่ละกองทุนจะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อผลตอบแทนที่ได้รับ
    • เมื่อค่าเงินบาทแข็ง มักพบว่าหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศ (Feeder Fund) ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มี NAV ลดลง เมื่อเทียบกับกองทุนที่ลงทุนคล้ายกัน แต่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หมายความว่าเงินบาทมีค่ามากกว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมื่อแปลงกลับมูลค่าหน่วยลงทุนส่วนของเรา ที่แฝงอยู่ในหน่วยลงทุนหลักที่ปลายทางต่างประเทศ ซึ่งเป็นสกุลดอลลาร์ มีค่าลดลง เช่น ตอนเริ่มต้นลงทุน สมมุติว่าเราซื้อหน่วยลงทุน 1,000 หน่วย ตอนที่ค่าเงินบาทเท่ากับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และ NAV ของกองทุนอยู่ที่ 35 บาทต่อหน่วย หมายความว่า เงินของเรา 35,000 บาท จะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ เพื่อไปลงทุนใน GLD ETF แต่พอต่อมาหลังจากนั้นสักระยะหนึ่งเกิดค่าเงินบาทแข็งค่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่ามูลค่าของทองคำใน GLD ETF จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อนำเงินกลับมาแปลงเป็นเงินบาท จะได้เงินบาทน้อยลง กลายเป็น 30,000 บาท ทำให้ NAV ของกองทุนลดลงเหลือ 30 บาทต่อหน่วย ทำให้มูลค่าของหน่วยลงทุนของเราลดลง
    กองทุนรวมทองคำ ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (3) มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ นอกจากข้อดี-ข้อเสีย จากปัจจัยค่าเงินบาทแข็งค่า แล้วยังปัจจัยอื่น ที่มีผลต่อผลตอบแทนที่เราจะได้รับ เมื่อดูจาก NAV ของกองทุน เช่น • ค่าธรรมเนียมกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย • ผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ผลตอบแทนของ Feeder Fund ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก (Master Fund) เป็นหลัก • นโยบายการลงทุนของกองทุน แต่ละกองทุนจะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อผลตอบแทนที่ได้รับ • เมื่อค่าเงินบาทแข็ง มักพบว่าหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศ (Feeder Fund) ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มี NAV ลดลง เมื่อเทียบกับกองทุนที่ลงทุนคล้ายกัน แต่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หมายความว่าเงินบาทมีค่ามากกว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมื่อแปลงกลับมูลค่าหน่วยลงทุนส่วนของเรา ที่แฝงอยู่ในหน่วยลงทุนหลักที่ปลายทางต่างประเทศ ซึ่งเป็นสกุลดอลลาร์ มีค่าลดลง เช่น ตอนเริ่มต้นลงทุน สมมุติว่าเราซื้อหน่วยลงทุน 1,000 หน่วย ตอนที่ค่าเงินบาทเท่ากับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และ NAV ของกองทุนอยู่ที่ 35 บาทต่อหน่วย หมายความว่า เงินของเรา 35,000 บาท จะถูกแปลงเป็นเงินดอลลาร์ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ เพื่อไปลงทุนใน GLD ETF แต่พอต่อมาหลังจากนั้นสักระยะหนึ่งเกิดค่าเงินบาทแข็งค่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเป็น 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่ามูลค่าของทองคำใน GLD ETF จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อนำเงินกลับมาแปลงเป็นเงินบาท จะได้เงินบาทน้อยลง กลายเป็น 30,000 บาท ทำให้ NAV ของกองทุนลดลงเหลือ 30 บาทต่อหน่วย ทำให้มูลค่าของหน่วยลงทุนของเราลดลง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า

    เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้”

    แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.?

    ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี

    เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต

    แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.?

    โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว

    (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้)
    ---------

    ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร

    สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้

    ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป

    การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ

    ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ ..
    1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร
    2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง

    แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.?

    พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert

    พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์

    แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert

    ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง

    app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา
    👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk

    หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ

    โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป

    ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม

    ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน

    ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้

    โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ

    หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม

    ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม

    ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง

    หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ

    ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM

    แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.?

    แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก

    โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application

    เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด

    ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน

    พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย

    แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.?

    หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย

    อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น

    แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้

    แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก

    ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม

    แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้

    ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง

    app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง)
    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank)

    👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB)

    แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา

    โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน

    โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน

    ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย

    ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน

    สวัสดี
    @ไร้เงา แต่เร้าตรีน


    #เดอะลู๊ค บ่อนลอยฟ้า เราท่านอาจเคยเห็นโฆษณาเว็บพนันที่บอกว่า“เป็นเว็บตรง API จากต่างประเทศ ใช้ระบบฝากถอนออโต้” แปะ Banner เว็บพนันโฆษณาชวนเชื่อล่อผีพนันกันมีให้เห็นทุกแพล็ตฟอร์มออนไลน์ แล้วเคยสงสัยกันไหมว่าการฝากถอนออโต้มันทำกันได้ด้วยเหรอ.? ก็การฝากถอนเงินใดๆกับสถาบันการเงิน มันต้องทำโดยสุจริตทุกการฝาก-ถอน จะถูก Record จัดเก็บไว้นานนับ 10 ปี เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอบัญชีมาตรวจสอบได้ และเส้นเงินมันไม่เคยโกหก เว้นเสียแต่ว่าพนักงานธนาคารจะทุจริต แล้วทำไมคนทำเว็บพนันถึงมีระบบฝากถอนเงินได้ตลอดเวลา เหมือนสถาบันการเงินยังไงยังงั้นเลย.? โพสต์นี้จะเขียนถึงระบบฝากถอนออโต้ของ #เดอะลู๊ค ตัวตึงบ่อนลอยฟ้า ที่จัดจำหน่ายระบบฝากถอนออโตให้คนทำเว็บพนันมานานมากแล้ว (ล่าสุดแหล่งข่าวเรายืนยันข้อมูลว่าคดีของ เดอะลู๊ค และคดีของป้ายแพง อัยการจะสั่งไม่ฟ้องทั้ง 2 คดี จับตาดูจะสั่ง เร็วๆนี้) --------- ระบบฝากถอนโต้..หลักการทำงานโดยปกติแล้วในการฝาก จะใช้ในการเปรียบเทียบ ยอดฝากจากธนาคาร สมมุติว่าลูกค้าฝากมา 100 บาท ระบบของเว็บพนันก็จะเช็คยอด 100 บาทนี้ ถ้าหากชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชีตรงกับ ชื่อ - นามสกุล และ เลขบัญชี ที่มีในระบบ ก็จะให้เติมเครดิตให้ลูกค้าคนนี้ไป การถอนก็ใช้หลักการ โอนเงินผ่านระบบหลังบ้าน โดยที่ไม่ต้องมีคนมานั่งโอนเงินใน App มือถือ ระบบถอนนี้จะใช้อยู่ 2 วิธีคือ .. 1. ให้แอดมินโอนเงินผ่าน app ธนาคาร 2. ยืนยันจากระบบหลังบ้าน แล้วระบบก็จะโอนเงินให้เอง แล้วจะเช็คยอดเงินในธนาคารกันอย่างไร.? พวกนี้จะมีวิธีการ เช็ค ผ่าน sms alert จากธนาคาร หรือ หน้าเว็บ และ app ธนาคาร หากเช็คผ่าน sms alert พวกนี้จะมีการสร้าง app ขึ้นมาตัวหนึ่ง เพื่อมาเก็บ notification ในมือถือ แล้วส่งต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ แล้วนำข้อความนั้นไป เปรียบเทียบในระบบ เพื่อจะเติมเครดิตให้ลูกค้า โดยการเช็คผ่าน sms alert ทางธนาคารจะมีการส่ง จำนวนยอด และ เลขบัญชี 4 ตัวท้าย หรือ 6 ตัวท้าย แล้วก็ ชื่อ - นามสกุล มานั้นเอง app จะส่งต่อข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์ ที่เว็บพนันสร้างขึ้นมา 👉 https://play.google.com/store/apps/details?id=com.exp.ff http://dd88bet.com/app_sms.apk หากเช็คผ่านหน้าเว็บ เช่น scbeasy หรือ kbiz พวกนี้จะสร้างบอทมาตัวหนึ่งเพื่อจะให้บอทตัวนี้ไปเช็คยอดเงินในหน้าเว็บธนาคารต่างๆ โดยจะตั้งเวลาในการเข้าไปเช็ค เช่น ทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ธนาคารจับได้ โดยปกติแล้วหากเราเข้าหน้าเว็บถี่เกินไป ธนาคารจะมีการป้องกันโดยใช้ reCAPTCHA (เครื่องมือตรวจจับว่าผู้ใช้เป็นมนุษย์จริงๆไหม)แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเว็บพนันมันจะใช้วิธีการ bypass captcha เพื่อเข้าใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แล้วบอทก็จะเข้าเช็คว่ามียอดใหม่มาไหม ถ้ามียอดใหม่เข้ามาก็ให้ดึงยอดนั้นมาเปรียบเทียบในระบบหลังบ้าน ในการเปรียบเทียบในหน้าเว็บ ธนาคารจะมีเวลา จำนวนเงิน และ ชื่อ - นามสกุล ให้ โดยที่เขาจะเอาเวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุลนี้ เป็นการเช็คยอดต่างๆ หากสมมุติว่าลูกค้าฝาก 100 บาทยอดแรกเลย บอทก็จะเอายอดนี้ไปเช็คในระบบหลังบ้านว่ามียอดนี้ไหม ถ้าไม่มีก็ให้ดึงยอดนี้มา แล้วถ้ามียอดที่ 2 มาก็เอามาเช็คอีกรอบว่า ยอดนี้ ( เวลา จำนวนเงิน เลขบัญชี และ ชื่อ - นามสกุล ) นี้ มีในระบบไหม ถ้าไม่มีก็ดึงมาเติมได้เลย แต่ถ้าสมมุติว่ามี ก็จะข้ามไปดึงยอดอื่น แค่นั้นเอง หากผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เวลาเราเปิดบัญชีใหม่ขึ้นมา แล้วหากเราต้องการเข้าใช้งาน app ธนาคารในมือถือ ในการเชื่อมทางธนาคารจะให้กรอก บัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตร ATM แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาไปเชื่อมกับบัญชีไว้ได้เลย ใช่ไหม.? แต่..พวกเว็บพนันมันล้ำกว่านั้น มันจะมีการแกะ app หรือแฮก โดยหลักแล้วก็ต้อง root เครื่องมือถือ แล้ว bypass เพื่อเอาเส้น api ใน app มาทำเป็น web application เพื่อที่พวกมันจะไม่ต้องทำธุรกรรมต่างๆผ่าน app มือถือ แต่ไปทำผ่านเว็บแทน ทุกอย่างที่ทำผ่านหน้าเว็บก็จะเหมือนใน app มือถือหมด ในการเชื่อมก็ต้องกรอก เลขประชาชน ปีเกิด หมายเลขบัตร และ รหัสบัตรเอทีเอ็ม แล้วก็รอรับ otp จากเบอร์ที่เราเอาเชื่อมกับบัญชีไว้ เหมือนกัน พอกรอกเสร็จก็สามารถใช้ โอน เช็คยอดเข้า-ออก ดูจำนวนคงเหลือ ถอนเงิน ได้เหมือน app ธนาคารเลย แล้วพวกคนทำเว็บพนันมันเช็คยอดเงินกันอย่างไร.? หากใช้ผ่าน app ธนาคาร โดยปกติแล้ว เงินเข้า-ออก เราก็สามารถดูได้ทันที แบบ Real-time เลย อันนี้แหละพวกมันจะเอา api ในส่วนเงินเข้าออก มาเช็คแล้วเปรียบเทียบ เหมือนกับทุกๆอันที่อธิบายไปตอนต้น แต่มันต่างกันที่หากผ่านแอพธนาคาร สามารถใช้โอนได้ ปกติแล้วพวกเว็บพนันก็จะใช้วิธีนี้ในการทำระบบถอนออโต้ โดยที่เอา เส้น api ในส่วนของการโอนเงินไปใช้ แล้วเอาไปเช็คว่า หากสมมุติว่าลูกค้าแจ้งถอนมา 100 บาท ระบบหลังบ้านก็จะเอาข้อมูลลูกค้าคนนั้น เช่น ชื่อ - นามสกุล เลขบัญชี จำนวนเงิน ไปกรอก ในสิ่งที่ต้องกรอกก็มีแค่ เลขบัญชี จำนวนเงิน แต่ชื่อจะเป็นการเปรียบเทียบว่าตรงกับลูกค้าไหม แต่จริงๆส่วนใหญ่แล้ว เขาจะให้แอดมินเช็คเองว่าชื่อตรงกันไหม ถ้าตรงก็กดยืนยันถอนไปให้ หรือ โอนให้ ทุกครั้งก่อนจะถอนเงินจะมีการยืนยันทุกครั้ง เหมือนที่เราทำการโอนเงินให้คนอื่นใน app มือถือ เราก็แค่กรอกเลขบัญชี จำนวนเงินที่จะโอนให้แค่นั้นเอง app สำหรับแกะธนาคาร (รีบดูก่อนถูกลบทิ้ง) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/kbrg.apk (ธนาคาร Kbank) 👉 https://d29xpgmn3rqne6.cloudfront.net/fastforward/Register+KPLUS+GSB.apk ( ธนาคาร Kbank และ GSB) แล้วอีกวิธีระบบถอน ผ่าน หน้าเว็บธนาคาร เช่น scbeasy แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ใช้กัน ส่วนมากเขาจะใช้ในกรณีที่แบบอื่นมีปัญหา โดยที่ใช้บอทไปกรอกข้อมูลเช่น เลขบัญชี จำนวน แต่กรณีโอนผ่านหน้าเว็บ ทุกครั้งต้องยืนยัน otp แต่ก็สามารถทำได้เหมือนกัน โดยใช้หลักการเหมือนเช็คยอดผ่าน sms alert โดยเขาจะให้บอทเอา otp นั้นมากรอกอีกครั้ง เพื่อจะทำการโอน ต้องขอบอกเลยว่าคนกลุ่มนี้โคตรอันตราย ต่อระบบการเงินของประเทศไทย ขอแนะนำให้แฟนเพจคัดลอกบทความเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน เผื่อถูกรายงานโพสต์ปลิวไปยังมีบทความอ่าน สวัสดี @ไร้เงา แต่เร้าตรีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #พ่อแม่ครูอาจารย์ #วัดป่าบ้านตาด #พระอรหันต์ #วิมุตติ #สมมุติ #ทําไมพระอรหันต์ถึงเคี้ยวหมาก
    #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #พ่อแม่ครูอาจารย์ #วัดป่าบ้านตาด #พระอรหันต์ #วิมุตติ #สมมุติ #ทําไมพระอรหันต์ถึงเคี้ยวหมาก
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 93 0 รีวิว
  • #EP2
    เอากันตามตรง ถ้าขายแบบตรงๆ กำไรน้อย..ส่วนที่กำไรชัดเจน คือ 2 สิ่ง คือ ส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ทอง กับส่วนต่างของค่าแรงช่างขึ้นงาน (สมมุติจ้างช่างชิ้นละ 200 ก็เก็บ 4-600 เป็นต้น งานตลับแพงกว่านี้ 1500-3000)
    ก็เหมือนร้านขายทองรูปพรรณ ถ้าขายปกติอย่างเดียว กำไรแค่ค่ากำเน็จ และอาจกำไรราคาทองที่เปลี่ยนแปลง ..(แต่อันนี้มันไม่ยั่งยืน สมมุติคุณมี Stock 3 กิโล คุณก็กำไรแค่ 3 กิโลนั้น ..แล้วไงต่อ คุณก็ต้องไปหามาใหม่ 3 กิโล ในราคาตลาด...เพื่อมาขาย ทำธุรกิจต่อ..หรือจะกำไรแล้วเลิกเลย .ก็คงไม่ใช่
    ส่วนที่กำไรจริงๆคือ รับซื้อทองเก่า รับจำนำแล้วขาดส่ง ระยะหลังมีระบบออมทอง มีคนเอาเงินมาฝากไว้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย..
    วันนี้ข่าวใหญ่ เรื่องซื้อทองในเฟส หรือ Tiktok ไม่ทราบ แล้วเอาไปขาย สรุปขายไม่ได้...อยากบอกว่า ด้วยความที่ผู้เขียนสนิทกับเศรษญีชาวจีนท่านนึง เทคโนโลยีเคลือบทองคำแบบนี้ มีมา 15 ปีแล้ว พร้อมใบ certificate ครบ การันตี Gold 99.9 .(ผู้เขียนได้มา 15 ปีก่อน เป็นแบงค์ Us dollars ทองคำ (แต่ทำโดยจีน)
    ...ออกตัวก่อน ส่วนตัวไม่ได้อ่าน ว่าใครขาย ใครซื้อ และไม่ทราบด้วย และมันไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงไม่ได้สนใจ . ,
    ..แต่บอกได้อย่างนึง ถ้าขายเป็นทองแท้ แต่เขาพิสูจน์แล้วไม่ใช่ทองคำ และถ้ามีผู้เสียหายจำนวนมาก ก็โดนคดี ฉัอโกงประชาชน เต็มๆ......ถ้าเคลียร์ได้ก็ดี คดีนี้ แรง....ถ้าความเสียหายมาก บางทีศาลไม่ให้ประกัน...สู้ไปติดไปกันมาเยอะแล้ว คดีนี้...
    พรก อภัยโทษมาในวาระสำคัญ ก็มักไม่ cover คดีแบบนี้ ส่วนใหญ่มักติดยาว..
    #ไม่โลภไม่โดน# #ท่องไว้#
    #EP2 เอากันตามตรง ถ้าขายแบบตรงๆ กำไรน้อย..ส่วนที่กำไรชัดเจน คือ 2 สิ่ง คือ ส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ทอง กับส่วนต่างของค่าแรงช่างขึ้นงาน (สมมุติจ้างช่างชิ้นละ 200 ก็เก็บ 4-600 เป็นต้น งานตลับแพงกว่านี้ 1500-3000) ก็เหมือนร้านขายทองรูปพรรณ ถ้าขายปกติอย่างเดียว กำไรแค่ค่ากำเน็จ และอาจกำไรราคาทองที่เปลี่ยนแปลง ..(แต่อันนี้มันไม่ยั่งยืน สมมุติคุณมี Stock 3 กิโล คุณก็กำไรแค่ 3 กิโลนั้น ..แล้วไงต่อ คุณก็ต้องไปหามาใหม่ 3 กิโล ในราคาตลาด...เพื่อมาขาย ทำธุรกิจต่อ..หรือจะกำไรแล้วเลิกเลย .ก็คงไม่ใช่ ส่วนที่กำไรจริงๆคือ รับซื้อทองเก่า รับจำนำแล้วขาดส่ง ระยะหลังมีระบบออมทอง มีคนเอาเงินมาฝากไว้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย.. วันนี้ข่าวใหญ่ เรื่องซื้อทองในเฟส หรือ Tiktok ไม่ทราบ แล้วเอาไปขาย สรุปขายไม่ได้...อยากบอกว่า ด้วยความที่ผู้เขียนสนิทกับเศรษญีชาวจีนท่านนึง เทคโนโลยีเคลือบทองคำแบบนี้ มีมา 15 ปีแล้ว พร้อมใบ certificate ครบ การันตี Gold 99.9 .(ผู้เขียนได้มา 15 ปีก่อน เป็นแบงค์ Us dollars ทองคำ (แต่ทำโดยจีน) ...ออกตัวก่อน ส่วนตัวไม่ได้อ่าน ว่าใครขาย ใครซื้อ และไม่ทราบด้วย และมันไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงไม่ได้สนใจ . , ..แต่บอกได้อย่างนึง ถ้าขายเป็นทองแท้ แต่เขาพิสูจน์แล้วไม่ใช่ทองคำ และถ้ามีผู้เสียหายจำนวนมาก ก็โดนคดี ฉัอโกงประชาชน เต็มๆ......ถ้าเคลียร์ได้ก็ดี คดีนี้ แรง....ถ้าความเสียหายมาก บางทีศาลไม่ให้ประกัน...สู้ไปติดไปกันมาเยอะแล้ว คดีนี้... พรก อภัยโทษมาในวาระสำคัญ ก็มักไม่ cover คดีแบบนี้ ส่วนใหญ่มักติดยาว.. #ไม่โลภไม่โดน# #ท่องไว้#
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ฝันคืนสู่ต้าชิง #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ฝันคืนสู่ต้าชิง #ซีรีส์ #หวังอันอวี่ #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1530 มุมมอง 890 0 รีวิว
  • ชวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #ซีรีส์ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    ชวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #ซีรีส์ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1366 มุมมอง 532 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #ซีรีส์ #WeTV #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #ซีรีส์ #WeTV #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1232 มุมมอง 1019 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV #LOVEOFNIRVANA #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV #LOVEOFNIRVANA #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 936 มุมมอง 534 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #ซีรีส์ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ขอบคุณที่มีเธอ #ซีรีส์ #หลินอี #หลี่หลานตี๋ #WeTV #Thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 958 มุมมอง 557 0 รีวิว
  • ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV #LOVEOFNIRVANA #Thaitimes
    ชีวิตคือสมมุติ #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV #LOVEOFNIRVANA #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 398 0 รีวิว
  • ...อันดับแรกที่ท่านต้องพิจารณา คือ รับประกันโดยใคร? คนๆนั้นมีศักยภาพรับผิดชอบไหม ถ้ามีปัญหา...
    ที่พบเจอมากเลย คือ คำพูดส่งเดช ที่ทำให้ขายได้ ถึงเวลามีปัญหาก็หายตัว.
    ตัวอย่าง สมมุติคุณเดินตลาด คนเจอของชิ้นนึง จะราคาเท่าไรก็ตามที คนขายบอกรับประกันยันลูกบวช ...แต่พอมีปัญหา ต้องมาทะเลาะกันวุ่นวาย..หรือไม่ก็หายไปเลย
    ..ในวงการพระ มีทั้งโดนอุ้มไปกระทืบ มีทั้งติดคุกมากมาย แต่ไม่เป็นข่าว ด้วยเหตุที่ไม่มีเงินคืนนี่ละ เวลาพระมีปัญหา....
    ..สิ่งที่ตาสีตาสาหรือขาวบ้านทั่วไปควรรู้ การแต่งนิยายขายพระส่งเดช รับประกันส่งเดช ถึงเวลามีปัญหาไม่มีคืนเขา ระวังอายุจะสั้น..แต่ถ้าคุณขายให้เซียน จบ. เก๊ก็ไม่เกี่ยว ขึ้นศาลก็ชนะ ดุลพินิจของศาล ให้ความเห็นว่า เซียนคือผู้เชี่ยวชาญ และยึดเป็นอาชีพ ฉะนั้นความผิดพลาด เกิดจากตัวคุณเอง (ที่พลาด) คงฟ้องร้องว่าเขาฉัอโกงไม่ได้
    ...อันดับแรกที่ท่านต้องพิจารณา คือ รับประกันโดยใคร? คนๆนั้นมีศักยภาพรับผิดชอบไหม ถ้ามีปัญหา... ที่พบเจอมากเลย คือ คำพูดส่งเดช ที่ทำให้ขายได้ ถึงเวลามีปัญหาก็หายตัว. ตัวอย่าง สมมุติคุณเดินตลาด คนเจอของชิ้นนึง จะราคาเท่าไรก็ตามที คนขายบอกรับประกันยันลูกบวช ...แต่พอมีปัญหา ต้องมาทะเลาะกันวุ่นวาย..หรือไม่ก็หายไปเลย ..ในวงการพระ มีทั้งโดนอุ้มไปกระทืบ มีทั้งติดคุกมากมาย แต่ไม่เป็นข่าว ด้วยเหตุที่ไม่มีเงินคืนนี่ละ เวลาพระมีปัญหา.... ..สิ่งที่ตาสีตาสาหรือขาวบ้านทั่วไปควรรู้ การแต่งนิยายขายพระส่งเดช รับประกันส่งเดช ถึงเวลามีปัญหาไม่มีคืนเขา ระวังอายุจะสั้น..แต่ถ้าคุณขายให้เซียน จบ. เก๊ก็ไม่เกี่ยว ขึ้นศาลก็ชนะ ดุลพินิจของศาล ให้ความเห็นว่า เซียนคือผู้เชี่ยวชาญ และยึดเป็นอาชีพ ฉะนั้นความผิดพลาด เกิดจากตัวคุณเอง (ที่พลาด) คงฟ้องร้องว่าเขาฉัอโกงไม่ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีวันอาทิตย์ ชีวิตคือสมมุติ #Thaitimes #LOVEOFNIRVANA
    #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV
    สวัสดีวันอาทิตย์ ชีวิตคือสมมุติ #Thaitimes #LOVEOFNIRVANA #ซีรีส์ #เหรินเจียหลุน #หลี่หลานตี๋ #WeTV
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 336 0 รีวิว
  • หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ในยุโรป สหรัฐจะโดนด้วย

    อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ กล่าว วอชิงตันจะไม่สามารถซ่อนตัวจากความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ได้ หากมันเริ่มต้นที่ยุโรป

    ความกลัวว่าอาจมีการลุกลามระหว่างรัสเซียและ NATO ในเรื่องยูเครนทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายงานว่ามหาอำนาจตะวันตกครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้เคียฟทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตอันโตนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ว่า รู้สึกประหลาดใจกับ “ภาพลวงตา” ที่ว่า “หากมีข้อขัดแย้ง มันจะไม่ลุกลามไปยังดินแดนของสหรัฐอเมริกา”

    “ผมพยายามถ่ายทอดประเด็นที่สำคัญให้พวกเขาฟังอยู่ตลอดเวลาว่า ชาวอเมริกันไม่สามารถนั่งอยู่หลังผืนน้ำในมหาสมุทรนี้เฉยๆได้ สงครามครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้นเราจึงพูดอยู่เสมอว่า – อย่าเล่นกับคำพูดทางการเมืองนี้” Antonov กล่าว

    นอกจากนี้เขายังกล่าวด้วยว่าในขณะที่ประเทศตะวันตกกล่าวหารัสเซียว่า "ข่มขู่ที่จะใช้กำลังทางทหาร" สหรัฐฯ ต้องการตรวจสอบผลที่ตามมาของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ต่อยุโรปตะวันออก เห็นได้ชัดว่าโทนอฟหมายถึงการศึกษาที่ได้รับคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจำลองผลกระทบของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ต่อการเกษตรทั่วโลก ตามประกาศเชิญชวนที่โพสต์บนแพลตฟอร์มการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล การศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาค “นอกยุโรปตะวันออกและรัสเซียตะวันตก” ซึ่งในการจำลองเป็นศูนย์กลางของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ในกรณีสมมุติ

    เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเตือนว่าการยกเลิกข้อจำกัดในการใช้อาวุธตะวันตกของยูเครนเพื่อโจมตีรัสเซียจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในการขัดแย้งกับรัสเซีย และจะได้พบกับการตอบสนองที่เหมาะสม

    วาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าวย้ำในภายหลังว่า การอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกจัดหาให้ จะถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงในความขัดแย้งโดยนาโต้

    ที่มา RT
    หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ในยุโรป สหรัฐจะโดนด้วย อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ กล่าว วอชิงตันจะไม่สามารถซ่อนตัวจากความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ได้ หากมันเริ่มต้นที่ยุโรป ความกลัวว่าอาจมีการลุกลามระหว่างรัสเซียและ NATO ในเรื่องยูเครนทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายงานว่ามหาอำนาจตะวันตกครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้เคียฟทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตอันโตนอฟ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ว่า รู้สึกประหลาดใจกับ “ภาพลวงตา” ที่ว่า “หากมีข้อขัดแย้ง มันจะไม่ลุกลามไปยังดินแดนของสหรัฐอเมริกา” “ผมพยายามถ่ายทอดประเด็นที่สำคัญให้พวกเขาฟังอยู่ตลอดเวลาว่า ชาวอเมริกันไม่สามารถนั่งอยู่หลังผืนน้ำในมหาสมุทรนี้เฉยๆได้ สงครามครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคน ดังนั้นเราจึงพูดอยู่เสมอว่า – อย่าเล่นกับคำพูดทางการเมืองนี้” Antonov กล่าว นอกจากนี้เขายังกล่าวด้วยว่าในขณะที่ประเทศตะวันตกกล่าวหารัสเซียว่า "ข่มขู่ที่จะใช้กำลังทางทหาร" สหรัฐฯ ต้องการตรวจสอบผลที่ตามมาของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ต่อยุโรปตะวันออก เห็นได้ชัดว่าโทนอฟหมายถึงการศึกษาที่ได้รับคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจำลองผลกระทบของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ต่อการเกษตรทั่วโลก ตามประกาศเชิญชวนที่โพสต์บนแพลตฟอร์มการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล การศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ภูมิภาค “นอกยุโรปตะวันออกและรัสเซียตะวันตก” ซึ่งในการจำลองเป็นศูนย์กลางของการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ในกรณีสมมุติ เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเตือนว่าการยกเลิกข้อจำกัดในการใช้อาวุธตะวันตกของยูเครนเพื่อโจมตีรัสเซียจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสหรัฐฯ และพันธมิตรในการขัดแย้งกับรัสเซีย และจะได้พบกับการตอบสนองที่เหมาะสม วาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าวย้ำในภายหลังว่า การอนุญาตให้เคียฟใช้อาวุธพิสัยไกลที่ตะวันตกจัดหาให้ จะถือเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงในความขัดแย้งโดยนาโต้ ที่มา RT
    Like
    12
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1258 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมมุติว่า นักลงทุนรายย่อยเรา
    ไม่ได้ไปไล่ซื้อหุ้นที่ราคาสูงๆ ความหมายคือ
    ไม่ซื้อหุ้นตามกระแส หรือ กลัวตกรถ เหมือนแต่ก่อน
    แต่กลับรอจังหวะที่ 3 กลุ่มที่เหลือ ฟัดกันเอง
    แล้วค่อยเข้าซื้อที่ราคาเหมาะสม อะไรจะเกิดขึ้น?
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    สมมุติว่า นักลงทุนรายย่อยเรา ไม่ได้ไปไล่ซื้อหุ้นที่ราคาสูงๆ ความหมายคือ ไม่ซื้อหุ้นตามกระแส หรือ กลัวตกรถ เหมือนแต่ก่อน แต่กลับรอจังหวะที่ 3 กลุ่มที่เหลือ ฟัดกันเอง แล้วค่อยเข้าซื้อที่ราคาเหมาะสม อะไรจะเกิดขึ้น? #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 911 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox)

    2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1]

    เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก

    ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย

    อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520

    ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2]

    จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4]

    ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่?

    อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3]

    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3]

    แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3]

    คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่

    ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า

    “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน

    ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง

    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น

    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน)

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน

    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก

    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6]

    ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า

    ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว

    อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3]

    โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ

    ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3]

    ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3]

    การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3]

    นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว

    แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่

    โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7]

    ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก

    แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7]

    จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย

    อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า

    “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8]

    นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้

    “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย  

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ

    2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน

    และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8]

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า

    “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี

    วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
    2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน

    ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี
    ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน

    “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9]

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์

    จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15]

    นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16]

    หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด

    แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้

    โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ

    อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า

    ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17]

    หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด

    ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    12 กันยายน 2567

    อ้างอิง
    [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0.

    [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017
    https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html

    [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558
    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977

    [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center
    https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/

    [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg

    [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903

    [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567
    https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php

    [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567
    https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577

    [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178

    [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615

    [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798

    [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335

    [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723

    [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒

    ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox) 2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1] เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2] จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4] ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3] เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3] แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3] คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่ ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน) และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6] ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3] โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3] ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3] การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3] นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่ โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7] ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7] จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8] นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย   1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ 2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8] เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9] อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15] นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16] หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้ โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17] หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 12 กันยายน 2567 อ้างอิง [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0. [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017 https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558 https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977 [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/ [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024 https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903 [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567 https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567 https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577 [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178 [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615 [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798 [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335 [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723 [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒
    Like
    Love
    Yay
    116
    3 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 3131 มุมมอง 3 รีวิว
  • ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ใน การนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (This tow Forturn on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พบ. ว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพัน กับศาสนาใด” จํานวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 5

    อันดับ 4) ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง ๒.๒ พัน ร้านคน

    อันดับ 6 ศาสนาอิสลาม มีอยู่ประมาณ ๑๖ พันล้านคน

    อันดับ ๓ สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดง ตน ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน ๑.๑ พันร้านคน

    คนที่นับถือศาสนาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาเลย หรือไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ นี่ก็น่าจะเหมารวม ได้ว่าเป็นคนไร้ศาสนาเช่นกัน


    อันดับ 4 ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือ ๑,๐๐๐ ล้านคน โดย อยู่ในประเทศอินเดีย

    อันดับ 4 ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือ ๕๐๐ ล้านคน

    อันดับ 5 กลุ่มศาสนาเสียๆ เช่น บากาโย ลัทธิเต๋า เจนในน ซิกข์ เทนริเดียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณ * ล้านคนทั่วโลก
    อันดับ 4 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพอื่นๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ ๕๐๕ ล้านคน

    อันดับ 6 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล และที่อื่นๆ ๑๔ ล้านคน


    เมื่อถึง พ.ศ. นี้ แน่นอนว่าคนไร้ศาสนาคงมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ แปลว่าสังคมจะเลวลง เพราะคนไร้ศาสนาไม่ได้แปลว่า ไร้เมตตา ใช้ ปัญญา หรือไร้คุณธรรม คนไร้ศาสนาอาจเพราะเหตุผลมากมาย เช่น

    เมื่อพิธีกรรม

    ๒. รู้สึกเป็นอิสระมากกว่า

    ไม่มีศาสนา ทําดีได้

    ๔. ศาสนาทำให้คนฆ่ากันเพราะความแตกต่างของศรัทธา

    สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้าไม่เพราะการเมือง ก็ เพราะศาสนานั่นเอง

    ๕. คำสอนทางอภิปรัชญาของศาสนาต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ แต่ถ้าเป็นคำสอนทางด้านจริยธรรม เช่น ความอดทน ความเพียร

    พ ร ะ ม ห า วั เรี ย ว ช น โ ล 66

    เมตตากรุณา คนทั่วไปก็ทำกันโดยปกติอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องมี ศาสนา และอีกร้อยแปดพันเก้า

    ถ้าถามผู้เขียนเอง ก็ยอมรับความเห็นที่แตกต่างทุกคนมีสิทธิที่ จะเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้

    สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อนับถือศาสนาอะไร ล้วนสร้างสมมุติขึ้นมาในภายหลังว่า ฉันเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนา

    บางครั้งการไร้ศาสนา อาจช่วยให้ไร้อัตตาตัวตนได้ง่ายกว่า เพราะไม่ถูกปลูกฝังให้จมอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนา

    ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อนำเสนอวิธีฝึกใจที่เหมาะสำหรับมวล
    สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-3/

    #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา #ศาสนา
    ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ใน การนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (This tow Forturn on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พบ. ว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพัน กับศาสนาใด” จํานวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 5 อันดับ 4) ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง ๒.๒ พัน ร้านคน อันดับ 6 ศาสนาอิสลาม มีอยู่ประมาณ ๑๖ พันล้านคน อันดับ ๓ สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดง ตน ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน ๑.๑ พันร้านคน คนที่นับถือศาสนาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาเลย หรือไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ นี่ก็น่าจะเหมารวม ได้ว่าเป็นคนไร้ศาสนาเช่นกัน อันดับ 4 ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือ ๑,๐๐๐ ล้านคน โดย อยู่ในประเทศอินเดีย อันดับ 4 ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือ ๕๐๐ ล้านคน อันดับ 5 กลุ่มศาสนาเสียๆ เช่น บากาโย ลัทธิเต๋า เจนในน ซิกข์ เทนริเดียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณ * ล้านคนทั่วโลก อันดับ 4 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพอื่นๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ ๕๐๕ ล้านคน อันดับ 6 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล และที่อื่นๆ ๑๔ ล้านคน เมื่อถึง พ.ศ. นี้ แน่นอนว่าคนไร้ศาสนาคงมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ แปลว่าสังคมจะเลวลง เพราะคนไร้ศาสนาไม่ได้แปลว่า ไร้เมตตา ใช้ ปัญญา หรือไร้คุณธรรม คนไร้ศาสนาอาจเพราะเหตุผลมากมาย เช่น เมื่อพิธีกรรม ๒. รู้สึกเป็นอิสระมากกว่า ไม่มีศาสนา ทําดีได้ ๔. ศาสนาทำให้คนฆ่ากันเพราะความแตกต่างของศรัทธา สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้าไม่เพราะการเมือง ก็ เพราะศาสนานั่นเอง ๕. คำสอนทางอภิปรัชญาของศาสนาต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ แต่ถ้าเป็นคำสอนทางด้านจริยธรรม เช่น ความอดทน ความเพียร พ ร ะ ม ห า วั เรี ย ว ช น โ ล 66 เมตตากรุณา คนทั่วไปก็ทำกันโดยปกติอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องมี ศาสนา และอีกร้อยแปดพันเก้า ถ้าถามผู้เขียนเอง ก็ยอมรับความเห็นที่แตกต่างทุกคนมีสิทธิที่ จะเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อนับถือศาสนาอะไร ล้วนสร้างสมมุติขึ้นมาในภายหลังว่า ฉันเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนา บางครั้งการไร้ศาสนา อาจช่วยให้ไร้อัตตาตัวตนได้ง่ายกว่า เพราะไม่ถูกปลูกฝังให้จมอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนา ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อนำเสนอวิธีฝึกใจที่เหมาะสำหรับมวล สามารถอ่านต่อที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/2023/03/09/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%95-3/ #เว็บบอร์ดพระนิพพาน #thaitimes #เว็บไซต์พระนิพพาน #เว็บไซต์ธรรมะ #ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา #ศาสนา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 572 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสอบสวนฝีดาษลิงธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ประดิษฐ์

    6 กันยายน 2024
    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลก กำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก
    เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์
    มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการ เฉพาะของวุฒิสภาสพรัฐโดย
    กรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน
    ขั้นตอนตัดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง
    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น
    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร เฟาซี

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้ายโดย สมมุติว่ามีการ ใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน
    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก
    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก

    ข้อมูลฉบับเต็มจากการสอบสวน
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email
    การสอบสวนฝีดาษลิงธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ประดิษฐ์ 6 กันยายน 2024 ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลก กำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์ มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการ เฉพาะของวุฒิสภาสพรัฐโดย กรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนตัดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร เฟาซี และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้ายโดย สมมุติว่ามีการ ใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก ข้อมูลฉบับเต็มจากการสอบสวน https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    Love
    Sad
    14
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 5
    เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป”
    เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก
    สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป
    จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !”
    เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย
    ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน
    ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้
    เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย
    เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้
    ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ
    หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith
    พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น
    ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล
    แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 5 เมื่อความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุ มสถานกงสุลที่ Benghazi ในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2012 Sean Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการข่าว ยังนั่งเล่นเกมส์ Eve Online อยู่หน้าจอ เขาอายุ 34 ปี มาจากกองทัพอากาศและอยู่กระทรวงการต่างประเทศมากว่า 10 ปีแล้ว เมียและลูก 2 คน อยู่ที่ประเทศ Netherlands เขาเป็นคนที่เล่นเกมส์ Eve นี้อย่างติดพันโดยใช้ชื่อว่า vile_rat เขาพิมพ์ถึงคู่เล่นเขา 6 นาที ก่อน 2 ทุ่ม ว่า “สมมุติว่าเรารอดตายจากคืนนี้” มันดูเป็นตลกโหด แต่ Smith ผ่านสถานการณ์หนักกว่า Benghazi มาเยอะแล้ว เขาพิมพ์ข้อความเพิ่ม “เราเห็นตำรวจคนหนึ่งที่ดูแลบริเวณ กำลังถ่ายรูป” เขาคงจะหมายความถึง ชาวลิเบียพวกที่เดินตรวจการณ์อยู่รอบบริเวณกงสุล แต่ยังมีการ์ดอีก 9 คน อยู่ในบริเวณกงสุล 5 คนเป็นคนอเมริกันติดอาวุธพร้อม และอีก 4 คน เป็นทหารชาวลิเบียจากหน่วย 17th of February Martyrs Brigade เป็นทหารพวกเดียวกับที่ดูแล Stevens เมื่อเขามาอยู่ที่ Benghazi ในตอนแรก สองชั่วโมงต่อมา เวลา 9.40 น. vile_rat พิมพ์ว่า “ฉิบหายแล้ว เสียงปืนยิง” แล้วเขาก็เลิกติดต่อไป จากรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเห็นจากจอที่ monitor ประตูหน้ากงสุลว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากติดอาวุธกำลังบุกเข้ามา เป็นคนกลุ่มใหญ่มากจนนับไม่ไหว เขากดปุ่มเตือนภัย คว้าไมค์แล้วตะโกนว่า “ถูกโจมตี ! ถูกโจมตี !” เจ้าหน้าที่ดูแลด้านความปลอดภัยอีก 4 คนอยู่ในเรือนใหญ่กับ Stevens และ Smith คนหนึ่งรีบพา Stevens และ Smith เข้าไปที่ส่วนหลังของตึกและปลดแผงเหล็กปิดตึกในส่วนที่เป็นห้องนิรภัย เจ้าหน้าที่อีก 3 คน กระโดดไปคว้าปืนออโตเมติกและเสื้อเกราะ เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับ Stevens และ Smith พูดวิทยุบอกว่าพวกเขาปลอดภัยดีและอยู่ในห้องนิรภัย ซุ้มทหารด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้าเริ่มถูกไฟเผา และผู้โจมตีได้กระจายตัวไปรอบ ๆ บริเวณ พวกเขาพังประตูหน้าเข้ามาได้ และพยายามทำลายล็อคแผ่นเหล็กเพื่อเข้ามายังส่วนใน แต่ทำลายไม่สำเร็จ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลซุ่มเงียบอยู่ใต้เงามืด เตรียมพร้อมที่จะยิงถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในห้องนิรภัย แต่ไม่มีใครบุกรุกเข้ามา พวกจู่โจมกลับเอาน้ำมันดีเซลจากซุ้มทหารมาเทราดพื้นและเครื่องเรือน แล้วจุดไฟ หลังจากนั้นทั้งเรือนก็มีแต่ไฟลุกโชน ควันไฟผสมน้ำมันผสมเครื่องเรือนที่เริ่มละลาย เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณกงสุล ทำให้พวกที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างในเริ่มสำลักควัน Stevens, Smith และผู้คุ้มกันย้ายไปที่ห้องน้ำ พยายามไปที่หน้าต่างที่มีลูกกรงติดอยู่ ควันเริ่มเป็นหมอกสีดำ พวกเขานอนลงกับพื้นพยายามสูดอากาศที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตึก ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกมานอกห้องนิรภัย จึงคลานมาที่ห้องนอนซึ่งมีหน้าต่างที่สามารถเปิดจากในห้องได้ เจ้าหน้าที่คุ้มกันเริ่มหายใจไม่ออก และมองเห็นไม่ชัดเจนจากควันไฟ เขาพยายามกระโดดออกไปที่ระเบียง โดยเอากระสอบทรายคลุมตัว ยังไม่ทันไรเขาก็เจอไฟไหม้ทั้งตัว และพวกจู่โจมก็โหมยิงใส่เขานับไม่ถ้วน พวกจู่โจมมีเป็นสิบๆคน ทั้ง Stevens และ Smith ไม่ได้ตามเจ้าหน้าที่คุ้มกันไปที่หน้าต่าง เจ้าหน้าที่จึงปืนย้อนกลับมาหาทั้งสองคนใหม่ เขาหาทั้งสองคนไม่เจอ เขากลับออกไปใหม่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาปีนเข้าปีนออกอยู่หลายรอบ ก็ยังหาทั้งสองคนไม่เจอ คอและปอดเขาแสบไปหมด เขาพยายามปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคา และก็หมดสติไปหลังจากที่วิทยุเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นให้มาช่วย เจ้าหน้าที่อเมริกันอีก 4 คน ฟังเสียงพูดทางวิทยุเกือบไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันพวกจู่โจมก็บุกเข้ามาในตึก B ตึกเล็กที่อยู่ในบริเวณ แต่ไม่สามารถฝ่าแท่งกั้นเข้ามายังด้านในของห้องได้ และก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติการกลางได้ ที่ตึก B และศูนย์ปฏิบัติการกลางดูเหมือนจะไม่มีโทรศัพท์สายตรง แต่พวกเขามองเห็นควันดำลอยขึ้นมา พวกเขาคิดว่าจะต้องไปที่ห้องนิรภัยของตึกกลางให้ได้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพยายามเปิดประตูตึกกลาง โดยการโยนระเบิดใส่พวกจู่โจมเพื่อเปิดทาง เขากลับเข้ามาที่ตึก B ใหม่ รวมตัวกับอีก 2 คน แล้วทั้ง 3 ก็ไปที่รถ SUV หุ้มเกราะค่อยๆขับมาที่ตึกกลาง 2 คนพยายามยิงตรึงพวกจู่โจม ขณะที่อีก 1 คนพยายามเข้าไปที่ตึกกลาง เขาควานหา Stevens และ Smith และเมื่อควันหนาขึ้นเขาก็คลานออกมา เขาทำอยู่อย่างนี้จนหมดสภาพ เจ้าหน้าที่อีกคนเข้าไปแทน และก็อีกคน คนหนึ่งเจอ Smith และลากออกมา ปรากฏว่า Smith เสียชีวิตแล้วจากควันไฟ แต่พวกเขาก็ยังหา Stevens ยังไม่เจอ หน่วยกำลังเสริมมาถึง (ในรายงานไม่ได้ระบุว่ามาถึงเวลาใด) เจ้าหน้าที่อเมริกัน 6 คน จากหน่วยประจำการที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 ไมล์ มาพร้อมด้วยทหารอีก 16 คนจากหน่วยที่ 17th February Martyrs Brigade พวกเขาเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ 1 คน ในศูนย์ปฏิบัติการกลาง ซึ่งพยายามโทรศัพท์เรียกหน่วยเสริมจากทุกแห่งรวมทั้งจาก Tripoli หลังจากนั้นพวกเขารวมตัวกันที่ประตูหน้าและจัดการหาตัว Stevens ใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่พบ พวกอเมริกันและทหารลิเบียที่เป็นฝ่ายเดียวกันพยายามจะรักษากงสุลไว้ แต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งกงสุลและอพยพออกไป เจ้าหน้าที่อัดตัวรวมกันอยู่ในรถ SUV พร้อมด้วยร่างของ Smith พวกอเมริกันที่หลบหนีออกมาโดนทั้งไฟเผาและถูกยิง พวกเขาพยายามฝ่าดงกระสุนออกมาจากบริเวณกงสุล รถวิ่งไปตามถนนเพื่อไปยังหน่วยเสริมกำลังของอเมริกัน ระหว่างทางพวกเขายังโดนไล่ยิงและปาระเบิดใส่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน่วยเสริมกำลังจนได้ พวกเขาเข้าประจำที่และยิงต่อสู้กับพวกจู่โจมต่อ เช้ามืดกองกำลังอเมริกันจาก Tripoli บินมาสมทบ การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป พวกอเมริกันเจ็บและตายเพิ่มขึ้น (ในจำนวนผู้ตาย มีเจ้าหน้าที่ CIA อีก 2 คน ชื่อ Tyrone S. Woods และ Glen Doherty เจ้าหน้าที่ Woods คือ คนที่อยู่กับฑูต Stevens ในห้องนิรภัยตอนแรก) ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจหนีออกไปจากเมือง พวกเขาได้จัดขบวนรถ SUV วิ่งไปทางสนามบินโดยความช่วยเหลือของทหารลิเบียที่เป็นพวก ในที่สุดก็ขึ้นเครื่องบิน 2 ลำ ออกมาได้หมดตอนเช้ามืดของวันนั้น ในที่สุดไฟที่สถานกงสุลก็เริ่มมอด พวกจู่โจมหายไปหมด ชาวลิเบียซึ่งอาจจะเป็นพวกที่ตั้งใจเข้าไปขโมยของ หรือเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น พาตัวเข้าไปที่ห้องนิรภัยจนได้ และพวกเขาก็พบ Stevens พวกเขาลากร่าง Stevens ออกมา แบกไปขึ้นรถและนำไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินพยายามช่วยกู้ชีวิต Stevens อยู่ประมาณ 45 นาที แต่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร เขาเจอมือถือที่กระเป๋าของ Stevens จึงเรียกหมายเลขต่างๆ ซึ่งกลายเป็นการพูดโทรศัพท์ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 4
    ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.2011 Feltman ซึ่งเป็นทั้งนายและเพื่อน Stevens เดินทางมา Benghazi เพื่อมาฟังความคืบหน้า ในการนัดพบครั้งหลังสุดในวันที่ 20 สิงหาคม กับแกนนำระดับสูงของฝ่ายกบฎ ซึ่งเป็นระดับรัฐมนตรี ฝ่ายอเมริกันอยากรู้ให้แน่ใจว่าฝ่ายกบฏจะบุก Tripoli เมื่อไหร่
    เมื่อทั้ง 2 คนเดินเข้าไปที่โรงแรม El Fadeel Hotel ซึ่งรัฐมนตรีนั่งคอยอยู่ในห้องประชุม Stevens กระซิบบอก Feltman ว่า เรายังมีเวลา เราไปนั่งสังเกตการณ์สักพักกันดีกว่า Stevens ชอบไปซุ่มสังเกตการณ์ตามร้านกาแฟ หรือตลาด ในสำนักงานหรือห้องรับแขก เขาต้องการได้ข้อมูล บางที่เป็นข้อมูลทั่วไป บางที่เป็นข้อมูลเฉพาะ เขาบอกว่าเราจะไม่ได้ข้อมูลนั้นจากการถามตรงๆหรอก เราจะได้จากการฟังมากกว่าการถาม แล้วเขาจะใช้วิธีหยุดฟังเวลาคุย หยุดเพื่อสร้างโอกาส ให้อีกฝ่ายพูดเติม
    รัฐมนตรีที่พวกอเมริกันจะไปคุยด้วยนี้ เป็นรัฐมนตรีที่ Qaddafi ตัดสินประหารชีวิตหลังจาก ที่เจ้าตัวหนีมาแล้ว รัฐมนตรีทักทายกับอเมริกันอย่างเป็นมิตร ชาถูกนำมาเสริฟ การสนทนาเริ่มขึ้น รัฐมนตรีเล่าถึงการที่เตรียมบุก Tripoli ซึ่งขณะนั้นการรบกำลังรุกไปที่ Soug-al-Jumaa เมืองที่อยู่ติด ๆ กับ Barghazi ส่วนเมืองอื่นๆจะลุกฮือพร้อมนำอาวุธที่ลอบนำเข้าไปไว้ในเมืองแล้ว และถึงตอนนั้นชาวเมือง Tripoli ก็จะประกาศว่าพวกเขาได้ทำการปฏิวัติแล้ว และกองกำลังคณะปฏิวัติก็จะรุกคืบไปทางตะวันออกต่อไป
    รัฐมนตรีอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติการอย่างชัดเจน แต่ Felthman ยังสงสัยว่า ไอ้ทีพูดมาทั้งหมดจะเชื่อถือได้ขนาดไหน
    “แล้วทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” Stevens ถาม
    “จวนแล้วละ” รัฐมนตรีตอบ
    Stevens จิบชา แล้วถามต่อว่า เออ ! จวนแล้วของคุณนี่หมายความว่าอย่างไรนะ
    “ในไม่ช้านี้ละ”
    “เราได้ยินมาแยะแล้ว” Stevens พูดนุ่มๆ และเงียบ มันไม่ใช่ความเงียบแบบที่ทำให้อึดอัด แต่ดูเป็นการพักคิดมากกว่า Stevens เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้ความเงียบกลายเป็นการเชื้อเชิญ
    รัฐมนตรีพูดต่อว่า “มันจะเริ่มคืนนี้แล้วละ”
    นี่เป็นข้อมูลที่น่าตื่นเต้น สมมุติว่าเป็นเรื่องจริง จังหวะเวลา การออกแบบ การจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้ในเมืองหลวงของประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการมากว่า 40 ปี ! ทั้ง Stevens และ Felthman ต่างรีบส่งรหัสลับรายงานไปทางวอซิงตัน แต่มันก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก ใครจะรู้ว่าจะเชื่อใครได้ขนาดไหนในระหว่างการทำสงคราม ?
    ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินหลังกำแพง Château Christophe ความมืดค่อยๆเข้ามาครอบคลุมเถาองุ่นต้นฝรั่งและเรือนรับรอง หลังจากมืดสนิท Felthman ได้ยินเสียงของปืนไรเฟิลดังก้อง เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องเหมือนการเฉลิมฉลอง
    การต่อสู้ที่ Tripoli ได้เริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับเสียงสวดที่กำลังเริ่มเช่นกัน และเมืองที่ตื่นขึ้นมาเมืองแรกคือ Souq al-Jamaa
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 4 ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ.2011 Feltman ซึ่งเป็นทั้งนายและเพื่อน Stevens เดินทางมา Benghazi เพื่อมาฟังความคืบหน้า ในการนัดพบครั้งหลังสุดในวันที่ 20 สิงหาคม กับแกนนำระดับสูงของฝ่ายกบฎ ซึ่งเป็นระดับรัฐมนตรี ฝ่ายอเมริกันอยากรู้ให้แน่ใจว่าฝ่ายกบฏจะบุก Tripoli เมื่อไหร่ เมื่อทั้ง 2 คนเดินเข้าไปที่โรงแรม El Fadeel Hotel ซึ่งรัฐมนตรีนั่งคอยอยู่ในห้องประชุม Stevens กระซิบบอก Feltman ว่า เรายังมีเวลา เราไปนั่งสังเกตการณ์สักพักกันดีกว่า Stevens ชอบไปซุ่มสังเกตการณ์ตามร้านกาแฟ หรือตลาด ในสำนักงานหรือห้องรับแขก เขาต้องการได้ข้อมูล บางที่เป็นข้อมูลทั่วไป บางที่เป็นข้อมูลเฉพาะ เขาบอกว่าเราจะไม่ได้ข้อมูลนั้นจากการถามตรงๆหรอก เราจะได้จากการฟังมากกว่าการถาม แล้วเขาจะใช้วิธีหยุดฟังเวลาคุย หยุดเพื่อสร้างโอกาส ให้อีกฝ่ายพูดเติม รัฐมนตรีที่พวกอเมริกันจะไปคุยด้วยนี้ เป็นรัฐมนตรีที่ Qaddafi ตัดสินประหารชีวิตหลังจาก ที่เจ้าตัวหนีมาแล้ว รัฐมนตรีทักทายกับอเมริกันอย่างเป็นมิตร ชาถูกนำมาเสริฟ การสนทนาเริ่มขึ้น รัฐมนตรีเล่าถึงการที่เตรียมบุก Tripoli ซึ่งขณะนั้นการรบกำลังรุกไปที่ Soug-al-Jumaa เมืองที่อยู่ติด ๆ กับ Barghazi ส่วนเมืองอื่นๆจะลุกฮือพร้อมนำอาวุธที่ลอบนำเข้าไปไว้ในเมืองแล้ว และถึงตอนนั้นชาวเมือง Tripoli ก็จะประกาศว่าพวกเขาได้ทำการปฏิวัติแล้ว และกองกำลังคณะปฏิวัติก็จะรุกคืบไปทางตะวันออกต่อไป รัฐมนตรีอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติการอย่างชัดเจน แต่ Felthman ยังสงสัยว่า ไอ้ทีพูดมาทั้งหมดจะเชื่อถือได้ขนาดไหน “แล้วทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” Stevens ถาม “จวนแล้วละ” รัฐมนตรีตอบ Stevens จิบชา แล้วถามต่อว่า เออ ! จวนแล้วของคุณนี่หมายความว่าอย่างไรนะ “ในไม่ช้านี้ละ” “เราได้ยินมาแยะแล้ว” Stevens พูดนุ่มๆ และเงียบ มันไม่ใช่ความเงียบแบบที่ทำให้อึดอัด แต่ดูเป็นการพักคิดมากกว่า Stevens เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการทำให้ความเงียบกลายเป็นการเชื้อเชิญ รัฐมนตรีพูดต่อว่า “มันจะเริ่มคืนนี้แล้วละ” นี่เป็นข้อมูลที่น่าตื่นเต้น สมมุติว่าเป็นเรื่องจริง จังหวะเวลา การออกแบบ การจับอาวุธลุกขึ้นมาต่อสู้ในเมืองหลวงของประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการมากว่า 40 ปี ! ทั้ง Stevens และ Felthman ต่างรีบส่งรหัสลับรายงานไปทางวอซิงตัน แต่มันก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก ใครจะรู้ว่าจะเชื่อใครได้ขนาดไหนในระหว่างการทำสงคราม ? ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินหลังกำแพง Château Christophe ความมืดค่อยๆเข้ามาครอบคลุมเถาองุ่นต้นฝรั่งและเรือนรับรอง หลังจากมืดสนิท Felthman ได้ยินเสียงของปืนไรเฟิลดังก้อง เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องเหมือนการเฉลิมฉลอง การต่อสู้ที่ Tripoli ได้เริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับเสียงสวดที่กำลังเริ่มเช่นกัน และเมืองที่ตื่นขึ้นมาเมืองแรกคือ Souq al-Jamaa คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน
    ผ้าไหมพื้นเรียบ ทอพิเศษ ถมดิ้นทอง พระภูษาลายพุ่มข้าวบินฑ์ยกทอง
    ทรงห่มผ้าทรงสะพักประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
    [28 กรกฎาคม 2567]
    .
    คำว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ในทางช่างศิลป์ไทยแต่เดิมกำหนดเอารูปแบบ สวดทรงจากบาตรพระ โดยใช้สมมุติฐานเอาไว้ว่าถ้าพระภิกษุนำเอาบาตรออกบิณฑบาตตอนเช้าตรู่เพื่อเลี้ยง ชีพอันเป็นกิจวัตรหากผู้คนที่ตัก ข้าวใส่บาตรพระจนเต็มและพูนสูงขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว(เป็น การสมมุติ เชิงศิลปะ) ทั้งนี้ไม่ต้องปิดฝาบาตรรูปทรงภายนอกของบาตรและข้าวที่บิณฑบาตได้ก็จะเข้ารูปส่งท้ายกับดอกบัวตูม เพราะถ้าพิจารณาดู แล้วส่วนก้นบาดของพระเป็นแบบมนๆ ค่อนข้างแหลมแหลม ถ้าวางไว้เฉพาะบาทบาทจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งวางให้ตรงๆไม่ได้ จึงต้องเชิงบาทเข้ารอบ รับจึงจะวางตรงได้ ช่วงที่เกิดจาก ท่าบิณฑบาตนี้ ท่านโบราณอาจารย์ในทางการช่างศิลปะไทยได้ขนานนามไว้ว่า “ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์”
    .
    ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด
    ----
    THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH
    THAI METAL-THREAD BROCADE PHUM KAO BIN MOTIF
    AND DECORATE’ S SHOULDER SASH OF THE MOST ILLUSTIOUS ORDER OF THE ROYAL HOUSE OF CHAKRI
    .
    Phum Khao Bin In Thai artisans, originally the style was specified. Praying from the monk's bowl Using the assumption that if the monks took their alms bowls to go out for alms early in the morning to earn a living as a routine practice, if the people who scooped rice into the monk's alms bowls were full and piled up to the max (this is an artistic supposition). There is no need to close the lid of the alms bowl. The outer shape of the alms bowl and the rice received will be shaped like a lotus bud. Because if you look at it, the bottom of the bowl is round and rather pointed. If placed only on the footpath, it will tilt to one side and cannot be placed straight. Therefore, you have to put your feet around it to be able to place it straight. The part that occurs from this alms-giving posture, the ancient teachers in Thai art called it the “rice bundle shape”.
    .
    Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides.
    ____________________________________
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    ฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน ผ้าไหมพื้นเรียบ ทอพิเศษ ถมดิ้นทอง พระภูษาลายพุ่มข้าวบินฑ์ยกทอง ทรงห่มผ้าทรงสะพักประจำเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ [28 กรกฎาคม 2567] . คำว่าพุ่มข้าวบิณฑ์ในทางช่างศิลป์ไทยแต่เดิมกำหนดเอารูปแบบ สวดทรงจากบาตรพระ โดยใช้สมมุติฐานเอาไว้ว่าถ้าพระภิกษุนำเอาบาตรออกบิณฑบาตตอนเช้าตรู่เพื่อเลี้ยง ชีพอันเป็นกิจวัตรหากผู้คนที่ตัก ข้าวใส่บาตรพระจนเต็มและพูนสูงขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว(เป็น การสมมุติ เชิงศิลปะ) ทั้งนี้ไม่ต้องปิดฝาบาตรรูปทรงภายนอกของบาตรและข้าวที่บิณฑบาตได้ก็จะเข้ารูปส่งท้ายกับดอกบัวตูม เพราะถ้าพิจารณาดู แล้วส่วนก้นบาดของพระเป็นแบบมนๆ ค่อนข้างแหลมแหลม ถ้าวางไว้เฉพาะบาทบาทจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งวางให้ตรงๆไม่ได้ จึงต้องเชิงบาทเข้ารอบ รับจึงจะวางตรงได้ ช่วงที่เกิดจาก ท่าบิณฑบาตนี้ ท่านโบราณอาจารย์ในทางการช่างศิลปะไทยได้ขนานนามไว้ว่า “ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์” . ชุดไทยบรมพิมาน : ตั้งตามชื่อพระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ใช้ในงานพระราชพิธีและงานพิธีกลางคืน เสื้อแขนยาว คอกลมมีขอบตั้ง ตัวเสื้อและซิ่นติดกันเป็นชุดเดียว ตัดเย็บด้วยผ้าไหมที่มีทองแกมหรือ ยกทองทั้งตัวก็ได้ นุ่งจีบแล้วใช้เข็มขัดไทยคาด ---- THAI NATIONAL ATTIRE IN THAI BOROMPHIMAN WITH THAI METAL-THREAD BROCADE PHUM KAO BIN MOTIF AND DECORATE’ S SHOULDER SASH OF THE MOST ILLUSTIOUS ORDER OF THE ROYAL HOUSE OF CHAKRI . Phum Khao Bin In Thai artisans, originally the style was specified. Praying from the monk's bowl Using the assumption that if the monks took their alms bowls to go out for alms early in the morning to earn a living as a routine practice, if the people who scooped rice into the monk's alms bowls were full and piled up to the max (this is an artistic supposition). There is no need to close the lid of the alms bowl. The outer shape of the alms bowl and the rice received will be shaped like a lotus bud. Because if you look at it, the bottom of the bowl is round and rather pointed. If placed only on the footpath, it will tilt to one side and cannot be placed straight. Therefore, you have to put your feet around it to be able to place it straight. The part that occurs from this alms-giving posture, the ancient teachers in Thai art called it the “rice bundle shape”. . Thai Boromphiman is a one-piece dress with long- sleeved plain bodice and stand collar. The silk and metal-thread brocade skirt with a sewn-in front pleat reflects the pleated hip wrappers worn by the women of the court in the nineteenth century. The style is named after Borom Phiman Mansion, on the grounds of the Grand Palace, and is worn for formal events and official ceremonies; it can also be worn by royal brides. ____________________________________ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida พระราชินี Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การสหกรณ์

    อธิบายการสหกรณ์อย่างง่าย ๆ กรณีผู้ใหญ่ 3 คน รวมเงินกันเพื่อจะไปเที่ยวปีใหม่ ที่ชายทะเล หรือภูเขา หรือน้ำตก ก็ได้ เก็บเงินคนละ 1000 บาท ด้วยความสมัครใจ แล้วทั้งสามคนก็ไปเที่ยวชายทะเล ภูเขา หรือน้ำตก ตามที่ต้องการ ไปเที่ยวแล้วได้ความสุข จ่ายค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เมื่อกลับมาแล้วพบว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์สหกรณ์ได้ 3 กรณี

    1. กรณีพอดี กรณีค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ พอดีกับเงินที่เก็บไป ทุกคนที่ไปเที่ยวร่วมกัน ได้ความสุข การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง

    2. กรณีมีส่วนเกิน (surplus) ศัพท์คำนี้มีในหลักการสหกรณ์สากลที่ 3 จ่ายค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วเงินที่เก็บยังเหลืออยู่ใช้ไม่หมด สมมุติว่าเหลืออยู่ 300 บาท ทุกคนที่ไปได้รับความสุขจากการไปเที่ยวครั้งนี้ ก็นำเงินที่เก็บมาเกินเฉลี่ยคืนคนละ 100 บาท การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง

    3. กรณีมีส่วนขาด (deficit) จ่ายค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายอื่น แล้ว ปรากฏว่า เงินที่เก็บมาไม่พอขาดไป 900 บาท ทุกคนได้รับความสุขจากการมาเที่ยวครั้งนี้ และลงมติว่า จะเก็บเงินเพิ่มอีกคนละ 300 บาท เพื่อจ่ายเป็นค่าใช้จ่าย เนื่องจากประมาณการค่าใช้จ่ายผิด การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทั้งสามกรณี ผู้ที่มาร่วมทุน ร่วมแรง ร่วมใจกัน (สมาชิก) ได้รับความสุข จากการบริการของการมาร่วมกัน (การสหกรณ์) อย่างง่าย ๆ

    หากมีคนใจร้าย มาบอกว่า เงิน 300 บาท สำหรับกรณีที่เป็นส่วนเกิน (Surplus) เป็น กำไร (Profit) ซึ่งต้องมุ่งให้เกิดกำไรสูง ๆ จนถึงสูงสุด ก็เกิดปัญหา ไม่ได้รับความสุขจากการแบ่งปันเท่าที่ควร อาจเกิดการขัดแย้ง

    หากมีคนใจร้าย บอกว่า เงิน 900 บาท สำหรับกรณีส่วนขาด (deficit) เป็นขาดทุน (Loss) โดยมุ่งจะไม่ให้เกิดขาดทุน ก็จะไม่ได้รับความสุขจากการร่วมมือกัน

    ความเป็นจริง คือ เงินที่เก็บมาจากความสมัครใจ เพื่อต้องการบริการคือความสุขจากการรวมกันไปเที่ยว สหกรณ์นั้นสมาชิกเป็นเจ้าของและผู้ใช้บริการ เป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่มีกำไร ไม่มีขาดทุน มีส่วนเกิน (Surplus) เฉลี่ยคืน มีส่วนขาด (deficit) ก็เก็บเพิ่ม เพื่อความสุขจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน และจะมีการประหยัดเนื่องจากระดับขนาดของการรวมกัน (Economies of scale) เช่น ใช้รถคันเดียวแทนที่จะต้องใช้ถึง 3 คัน ในกิจกรรมที่เกิดขึ้น

    สหกรณ์จึงมุ่งที่จะบริการสมาชิก member service ให้เกิดความสุขร่วมกันจากการรวมกัน ด้วยน้ำใจไมตรี

    ตามหลักการสหกรณ์สากลที่สากลโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน จะไม่ใช้คำว่า "profit" หรือ "กำไร" กับสหกรณ์แต่จะใช้คำว่า "surplus" หรือ "ประโยชน์ส่วนเกิน" กับสหกรณ์ จะเห็นได้ชัดเจนจากหลักการสหกรณ์สากล ข้อที่ 3 ด้านล่างนี้

    3rd Principle : Member Economic Participation

    Members contribute equitably to, and democratically control, the capital of their co-operative. At least part of that capital is usually the common property of the co-operative. Members usually receive limited compensation, if any, on capital subscribed as a condition of membership. Members allocate surpluses for any or all of the following purposes: developing their co-operative, possibly by setting up reserves, part of which at least would be indivisible; benefiting members in proportion to their transactions with the co-operative; and supporting other activities approved by the membership.

    หลักการที่ 3 : การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจโดยสมาชิก

    สมาชิกสหกรณ์พึงมีความเที่ยงธรรมในการให้ และควบคุมการใช้เงินทุนในสหกรณ์ตามแนวทางประชาธิปไตย ทุนของสหกรณ์อย่างน้อยส่วนหนึ่งต้องเป็นทรัพย์สินส่วนร่วมของสหกรณ์ สมาชิกจะได้รับผลตอบแทนสำหรับเงินทุนตามเงื่อนไขแห่งสมาชิกภาพในอัตราที่จำกัด (ถ้ามี) มวลสมาชิกเป็นผู้จัดสรรผลประโยชน์ ส่วนเกินเพื่อจุดมุ่งหมายประการใดประการหนึ่ง หรือทั้งหมดจากดังต่อไปนี้ คือ เพื่อการพัฒนาสหกรณ์ของตนโดยจัดให้เป็นทุนของสหกรณ์ ซึ่งส่วนหนึ่งของทุนนี้ต้องนำมาแบ่งปันกัน เพื่อเป็นผลประโยชน์แก่สมาชิกตามส่วนของปริมาณธุรกิจที่ทำกับสหกรณ์ และเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่นใดที่มวลสมาชิกเห็นชอบ

    บทความ : พีระพงศ์ วาระเสน เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ชุมชนออนไลน์ GotoKnow ชุมชนออนไลน์เพื่อจัดการความรู้

    https://www.gotoknow.org/posts/514689

    ภาพประกอบ : facebook แบบโปร์ไฟล์ ชื่อบัญชี Kanharith Khieu
    #การสหกรณ์ อธิบายการสหกรณ์อย่างง่าย ๆ กรณีผู้ใหญ่ 3 คน รวมเงินกันเพื่อจะไปเที่ยวปีใหม่ ที่ชายทะเล หรือภูเขา หรือน้ำตก ก็ได้ เก็บเงินคนละ 1000 บาท ด้วยความสมัครใจ แล้วทั้งสามคนก็ไปเที่ยวชายทะเล ภูเขา หรือน้ำตก ตามที่ต้องการ ไปเที่ยวแล้วได้ความสุข จ่ายค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เมื่อกลับมาแล้วพบว่า โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์สหกรณ์ได้ 3 กรณี 1. กรณีพอดี กรณีค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ พอดีกับเงินที่เก็บไป ทุกคนที่ไปเที่ยวร่วมกัน ได้ความสุข การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง 2. กรณีมีส่วนเกิน (surplus) ศัพท์คำนี้มีในหลักการสหกรณ์สากลที่ 3 จ่ายค่ารถ ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วเงินที่เก็บยังเหลืออยู่ใช้ไม่หมด สมมุติว่าเหลืออยู่ 300 บาท ทุกคนที่ไปได้รับความสุขจากการไปเที่ยวครั้งนี้ ก็นำเงินที่เก็บมาเกินเฉลี่ยคืนคนละ 100 บาท การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง 3. กรณีมีส่วนขาด (deficit) จ่ายค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายอื่น แล้ว ปรากฏว่า เงินที่เก็บมาไม่พอขาดไป 900 บาท ทุกคนได้รับความสุขจากการมาเที่ยวครั้งนี้ และลงมติว่า จะเก็บเงินเพิ่มอีกคนละ 300 บาท เพื่อจ่ายเป็นค่าใช้จ่าย เนื่องจากประมาณการค่าใช้จ่ายผิด การสหกรณ์ครั้งนี้ก็จบลง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทั้งสามกรณี ผู้ที่มาร่วมทุน ร่วมแรง ร่วมใจกัน (สมาชิก) ได้รับความสุข จากการบริการของการมาร่วมกัน (การสหกรณ์) อย่างง่าย ๆ หากมีคนใจร้าย มาบอกว่า เงิน 300 บาท สำหรับกรณีที่เป็นส่วนเกิน (Surplus) เป็น กำไร (Profit) ซึ่งต้องมุ่งให้เกิดกำไรสูง ๆ จนถึงสูงสุด ก็เกิดปัญหา ไม่ได้รับความสุขจากการแบ่งปันเท่าที่ควร อาจเกิดการขัดแย้ง หากมีคนใจร้าย บอกว่า เงิน 900 บาท สำหรับกรณีส่วนขาด (deficit) เป็นขาดทุน (Loss) โดยมุ่งจะไม่ให้เกิดขาดทุน ก็จะไม่ได้รับความสุขจากการร่วมมือกัน ความเป็นจริง คือ เงินที่เก็บมาจากความสมัครใจ เพื่อต้องการบริการคือความสุขจากการรวมกันไปเที่ยว สหกรณ์นั้นสมาชิกเป็นเจ้าของและผู้ใช้บริการ เป็นคน ๆ เดียวกัน ไม่มีกำไร ไม่มีขาดทุน มีส่วนเกิน (Surplus) เฉลี่ยคืน มีส่วนขาด (deficit) ก็เก็บเพิ่ม เพื่อความสุขจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน และจะมีการประหยัดเนื่องจากระดับขนาดของการรวมกัน (Economies of scale) เช่น ใช้รถคันเดียวแทนที่จะต้องใช้ถึง 3 คัน ในกิจกรรมที่เกิดขึ้น สหกรณ์จึงมุ่งที่จะบริการสมาชิก member service ให้เกิดความสุขร่วมกันจากการรวมกัน ด้วยน้ำใจไมตรี ตามหลักการสหกรณ์สากลที่สากลโลกใช้อยู่ในปัจจุบัน จะไม่ใช้คำว่า "profit" หรือ "กำไร" กับสหกรณ์แต่จะใช้คำว่า "surplus" หรือ "ประโยชน์ส่วนเกิน" กับสหกรณ์ จะเห็นได้ชัดเจนจากหลักการสหกรณ์สากล ข้อที่ 3 ด้านล่างนี้ 3rd Principle : Member Economic Participation Members contribute equitably to, and democratically control, the capital of their co-operative. At least part of that capital is usually the common property of the co-operative. Members usually receive limited compensation, if any, on capital subscribed as a condition of membership. Members allocate surpluses for any or all of the following purposes: developing their co-operative, possibly by setting up reserves, part of which at least would be indivisible; benefiting members in proportion to their transactions with the co-operative; and supporting other activities approved by the membership. หลักการที่ 3 : การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจโดยสมาชิก สมาชิกสหกรณ์พึงมีความเที่ยงธรรมในการให้ และควบคุมการใช้เงินทุนในสหกรณ์ตามแนวทางประชาธิปไตย ทุนของสหกรณ์อย่างน้อยส่วนหนึ่งต้องเป็นทรัพย์สินส่วนร่วมของสหกรณ์ สมาชิกจะได้รับผลตอบแทนสำหรับเงินทุนตามเงื่อนไขแห่งสมาชิกภาพในอัตราที่จำกัด (ถ้ามี) มวลสมาชิกเป็นผู้จัดสรรผลประโยชน์ ส่วนเกินเพื่อจุดมุ่งหมายประการใดประการหนึ่ง หรือทั้งหมดจากดังต่อไปนี้ คือ เพื่อการพัฒนาสหกรณ์ของตนโดยจัดให้เป็นทุนของสหกรณ์ ซึ่งส่วนหนึ่งของทุนนี้ต้องนำมาแบ่งปันกัน เพื่อเป็นผลประโยชน์แก่สมาชิกตามส่วนของปริมาณธุรกิจที่ทำกับสหกรณ์ และเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่นใดที่มวลสมาชิกเห็นชอบ บทความ : พีระพงศ์ วาระเสน เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ชุมชนออนไลน์ GotoKnow ชุมชนออนไลน์เพื่อจัดการความรู้ https://www.gotoknow.org/posts/514689 ภาพประกอบ : facebook แบบโปร์ไฟล์ ชื่อบัญชี Kanharith Khieu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kidzooona เป็นศูนย์การเรียนรู้และเล่นในร่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต เป็นที่ยอดนิยมสำหรับครอบครัวที่มองหากิจกรรมสนุกๆ สำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-12 ปี ที่นี่มีการออกแบบโซนการเล่นต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กๆ ผ่านการเล่นแบบโต้ตอบ เช่น มินิมาร์เก็ต ห้องครัว สระลูกบอล สนามเด็กเล่นในร่ม และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ

    จุดเด่นของ Kidzooona:
    - โซนการเล่นหลากหลาย: มีการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนต่างๆ เช่น โซนการเล่นสมมุติ โซนกีฬา โซนสร้างสรรค์ เช่น การระบายสี และการประดิษฐ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆ ให้กับเด็ก
    - ความปลอดภัยสูง: มีเจ้าหน้าที่ดูแลและตรวจสอบความปลอดภัยของเด็กๆ ตลอดเวลา ทำให้ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้ลูกเล่นได้อย่างสบายใจ
    - กิจกรรมเสริมสร้างทักษะ: นอกจากการเล่นสนุกแล้ว Kidzooona ยังมีส่วนเสริมทักษะทางการสื่อสารและการเข้าสังคมผ่านการเล่นเป็นทีมกับเพื่อนๆ

    ค่าบริการและข้อกำหนด:
    - ค่าบริการ: ราคาบัตรเข้า Kidzooona อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและวัน เช่น วันธรรมดาหรือวันหยุด โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อเด็กหนึ่งคน
    - ข้อกำหนดการเข้าใช้บริการ: ทุกคนที่เข้าใช้บริการต้องใส่ถุงเท้าเพื่อความสะอาดและความปลอดภัย

    Kidzooona เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน โดยมีทั้งความสนุกและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่เล่นที่ปลอดภัยและมีความสร้างสรรค์สำหรับลูกน้อย Kidzooona เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด!

    #thaitimes #พาไปเที่ยว
    Kidzooona เป็นศูนย์การเรียนรู้และเล่นในร่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต เป็นที่ยอดนิยมสำหรับครอบครัวที่มองหากิจกรรมสนุกๆ สำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-12 ปี ที่นี่มีการออกแบบโซนการเล่นต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กๆ ผ่านการเล่นแบบโต้ตอบ เช่น มินิมาร์เก็ต ห้องครัว สระลูกบอล สนามเด็กเล่นในร่ม และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ จุดเด่นของ Kidzooona: - โซนการเล่นหลากหลาย: มีการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนต่างๆ เช่น โซนการเล่นสมมุติ โซนกีฬา โซนสร้างสรรค์ เช่น การระบายสี และการประดิษฐ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆ ให้กับเด็ก - ความปลอดภัยสูง: มีเจ้าหน้าที่ดูแลและตรวจสอบความปลอดภัยของเด็กๆ ตลอดเวลา ทำให้ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้ลูกเล่นได้อย่างสบายใจ - กิจกรรมเสริมสร้างทักษะ: นอกจากการเล่นสนุกแล้ว Kidzooona ยังมีส่วนเสริมทักษะทางการสื่อสารและการเข้าสังคมผ่านการเล่นเป็นทีมกับเพื่อนๆ ค่าบริการและข้อกำหนด: - ค่าบริการ: ราคาบัตรเข้า Kidzooona อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและวัน เช่น วันธรรมดาหรือวันหยุด โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อเด็กหนึ่งคน - ข้อกำหนดการเข้าใช้บริการ: ทุกคนที่เข้าใช้บริการต้องใส่ถุงเท้าเพื่อความสะอาดและความปลอดภัย Kidzooona เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน โดยมีทั้งความสนุกและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่เล่นที่ปลอดภัยและมีความสร้างสรรค์สำหรับลูกน้อย Kidzooona เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด! #thaitimes #พาไปเที่ยว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 566 มุมมอง 0 รีวิว