• เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร

    จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

    รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP

    แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง

    Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้

    สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์
    69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี
    การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง
    การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว
    ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web
    ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร
    โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP
    บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข
    CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา

    แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร
    CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO
    เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ
    CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน

    ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที
    การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง
    อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016

    https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้ ✅ สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์ ➡️ 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี ➡️ การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง ➡️ การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว ➡️ ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web ➡️ ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร ➡️ โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP ➡️ บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข ➡️ CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา ✅ แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร ➡️ CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO ➡️ เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ ➡️ CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน ✅ ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที ➡️ การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง ➡️ อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016 https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Pressure on CISOs to stay silent about security incidents growing
    A recent survey found that 69% of CISOs have been told to keep quiet about breaches by their employers, up from 42% just two years ago.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค

    ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return”

    เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry”

    คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า

    จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้

    เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key

    เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

    จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด
    เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่
    กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา
    ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล

    การแยก CR และ LF บน teletypes
    Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย
    Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่
    ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor
    Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า
    การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key
    เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ

    การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์
    ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง”
    IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return
    ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์

    ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่
    ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line
    Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม
    การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา

    https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return” เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry” คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้ เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด ➡️ เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา ➡️ ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล ✅ การแยก CR และ LF บน teletypes ➡️ Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย ➡️ Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor ➡️ Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ➡️ การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key ➡️ เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ ✅ การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง” ➡️ IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return ➡️ ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์ ✅ ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่ ➡️ ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line ➡️ Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม ➡️ การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    ARESLUNA.ORG
    The day Return became Enter
    A deep dive into the convoluted and fascinating story of one of the most important keys on the keyboard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแรงสุดๆ
    ทัวร์ยุโรปตะวันออก 8 วัน 6 คืน
    เหลือเพียง 57,777 บาท (จากปกติ 75,555.-)
    เดินทาง 18-25 ต.ค. 68 เหลือเพียง 6 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น

    ไฮไลท์ทริป
    เวียนนา – พระราชวังฮอฟบวร์ก – มหาวิหารเซนต์สตีเฟน
    เชสกี้ ครุมลอฟ – ปราก – สะพานชาร์ลส์ – หอนาฬิกาดาราศาสตร์
    นูเรมเบิร์ก – ไฮเดลเบิร์ก – สะพาน Karl Theodor
    สตราสบูร์ก – จัตุรัสเกลแบร์ – กอลมาร์ เมืองในฝัน
    ซูริค – น้ำตกไรน์ – ถนนช้อปปิ้งบานโฮฟซตราสเซอ

    เดินทางโดย : AI-แอร์อินเดีย
    ที่นั่งมีจำนวนจำกัด จองก่อนใคร โอกาสสุดท้าย!

    #โปรไฟไหม้ #ทัวร์ยุโรป #ลดราคา #eTravelWay #ทัวร์หลุดจอง #เที่ยวคุ้ม #เที่ยวต่างประเทศ
    ✨ลดแรงสุดๆ ✨ ทัวร์ยุโรปตะวันออก 8 วัน 6 คืน 🌍 เหลือเพียง 💥57,777 บาท💥 (จากปกติ 75,555.-) เดินทาง 18-25 ต.ค. 68 ✈️ เหลือเพียง 6 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น‼️ 📌 ไฮไลท์ทริป 🇦🇹 เวียนนา – พระราชวังฮอฟบวร์ก – มหาวิหารเซนต์สตีเฟน 🇨🇿 เชสกี้ ครุมลอฟ – ปราก – สะพานชาร์ลส์ – หอนาฬิกาดาราศาสตร์ 🇩🇪 นูเรมเบิร์ก – ไฮเดลเบิร์ก – สะพาน Karl Theodor 🇫🇷 สตราสบูร์ก – จัตุรัสเกลแบร์ – กอลมาร์ เมืองในฝัน 🇨🇭 ซูริค – น้ำตกไรน์ – ถนนช้อปปิ้งบานโฮฟซตราสเซอ เดินทางโดย : 🛫 AI-แอร์อินเดีย ที่นั่งมีจำนวนจำกัด จองก่อนใคร 👉 โอกาสสุดท้าย! #โปรไฟไหม้ #ทัวร์ยุโรป #ลดราคา #eTravelWay #ทัวร์หลุดจอง #เที่ยวคุ้ม #เที่ยวต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้

    ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้

    AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้

    ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่

    นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ
    เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D
    ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต
    ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา
    BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น
    AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด
    Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา
    AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
    ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป
    AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU
    การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป
    เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก
    การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้
    AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    🎙️ เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้ AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้ ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่ นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ ➡️ เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D ➡️ ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต ➡️ ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา ➡️ BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น ➡️ AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด ➡️ Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา ➡️ AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว ➡️ ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป ➡️ AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU ➡️ การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป ➡️ เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก ➡️ การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้ ➡️ AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD comments on burning AM5 sockets — chipmaker blames motherboard vendors for not following official BIOS guidelines
    AMD provides an official response to the latest AM5 burnout/failure issues primarily affecting ASRock motherboards.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ในระดับแม่ทัพ ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา และเห็นชอบเพิ่ม 3 ประเด็น จากที่ ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ 1.ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด 2.แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3.ตั้งชุดประสานงาน Coordination Group(CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC แก้ปัญหาระดับพื้นที่ และ 4.ในการแก้ปัญหาละเมิด MOU43 กัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยไทยยืนยันเสนอให้กัมพูชาทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และแจ้งเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ปัญหา

    -พูดสาธารณะคนก็รู้หมด
    -เข้าใจผิดชิงปิดสภา
    -ไม่ได้ใช้คำเจาะจงสถาบัน
    -นิลมังกรลดแรงระเบิด
    พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ในระดับแม่ทัพ ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา และเห็นชอบเพิ่ม 3 ประเด็น จากที่ ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ 1.ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด 2.แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3.ตั้งชุดประสานงาน Coordination Group(CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC แก้ปัญหาระดับพื้นที่ และ 4.ในการแก้ปัญหาละเมิด MOU43 กัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยไทยยืนยันเสนอให้กัมพูชาทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และแจ้งเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ปัญหา -พูดสาธารณะคนก็รู้หมด -เข้าใจผิดชิงปิดสภา -ไม่ได้ใช้คำเจาะจงสถาบัน -นิลมังกรลดแรงระเบิด
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล

    แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย

    รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้

    องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้
    รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี
    สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI
    โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3
    โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง
    AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์
    การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่
    การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว
    CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    🧠 AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้ องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้ ➡️ รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี ➡️ สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI ➡️ โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3 ➡️ โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3 ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง ➡️ AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์ ➡️ การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่ ➡️ การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว ➡️ CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    95% of generative AI implementations in enterprise 'have no measurable impact on P&L', says MIT — flawed integration cited as why AI projects underperform
    AI is a powerful tool, but only if used correctly. | The study shows that AI tools must adjust to the organization’s processes for it to work effectively.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปีกเดียวเปลี่ยนโลก – เมื่อไฮโดรเจนกลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต

    ในเดือนสิงหาคม 2025 บริษัทเทคโนโลยีจากฝรั่งเศส SHZ Advanced Technologies ประกาศความร่วมมือกับ JetZero สตาร์ตอัปด้านอากาศยานจากแคลิฟอร์เนีย เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนแบบ “blended wing-body” หรือ “ปีกผสมลำตัว” ซึ่งมีดีไซน์คล้ายตัว V ที่ทั้งลำตัวและปีกทำหน้าที่ร่วมกันในการสร้างแรงยก

    เป้าหมายของโครงการคือการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ โดยใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีพลังงานต่อมวลสูงแต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป

    SHZ พัฒนาเทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอกแบบเดิม ทำให้สามารถฝังเข้าไปในโครงสร้างของเครื่องบิน Z4 ได้โดยไม่เสียพื้นที่ผู้โดยสาร JetZero ระบุว่าเครื่องบินต้นแบบขนาด 250 ที่นั่งจะพร้อมบินในปี 2027 ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA

    แม้ว่า Airbus จะชะลอแผนการผลิตเครื่องบินไฮโดรเจน และ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ แต่ JetZero และ SHZ ยังคงเดินหน้าด้วยความเชื่อมั่นว่า “ดีไซน์ใหม่ + เชื้อเพลิงใหม่” คือคำตอบของการบินแห่งอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    SHZ Advanced Technologies จากฝรั่งเศสร่วมมือกับ JetZero เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน
    เครื่องบินใช้ดีไซน์ blended wing-body ที่ลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพ
    โครงการอยู่ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA เพื่อออกแบบระบบจัดเก็บและจ่ายไฮโดรเจนเหลว
    ไฮโดรเจนมีพลังงานต่อมวลสูง แต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มาก
    SHZ พัฒนาถังเก็บไฮโดรเจนแบบใหม่ที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอก
    เครื่องบินรุ่น Z4 จะมีที่นั่ง 250 ที่นั่ง และต้นแบบจะพร้อมบินในปี 2027
    JetZero ได้รับการสนับสนุนจาก United Airlines และมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนครึ่งหนึ่ง
    Airbus ชะลอแผนเครื่องบินไฮโดรเจน และยกเลิกเป้าหมายปี 2035
    Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ของการบินด้วยไฮโดรเจน
    ดีไซน์ blended wing-body เคยใช้ใน B-2 bomber และโครงการ X-48 ของ NASA

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    EasyJet เป็นสายการบินยุโรปรายแรกที่ร่วมมือกับ JetZero เพื่อหาแนวทางลดคาร์บอน
    การบินด้วยไฮโดรเจนสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 100% หากใช้ไฮโดรเจนสีเขียว
    เทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนแบบแบนช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มพื้นที่ใช้งาน
    การออกแบบ blended wing-body ยังช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเสถียรในการบิน
    NASA มีแผนสนับสนุนการบินพลังงานสะอาดผ่านโครงการ Sustainable Flight National Partnership
    ตลาดเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า $100 พันล้านภายในปี 2040

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/french-firm-teams-up-with-jetzero-on-hydrogen-powered-flight
    ✈️ ปีกเดียวเปลี่ยนโลก – เมื่อไฮโดรเจนกลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต ในเดือนสิงหาคม 2025 บริษัทเทคโนโลยีจากฝรั่งเศส SHZ Advanced Technologies ประกาศความร่วมมือกับ JetZero สตาร์ตอัปด้านอากาศยานจากแคลิฟอร์เนีย เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนแบบ “blended wing-body” หรือ “ปีกผสมลำตัว” ซึ่งมีดีไซน์คล้ายตัว V ที่ทั้งลำตัวและปีกทำหน้าที่ร่วมกันในการสร้างแรงยก เป้าหมายของโครงการคือการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ โดยใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีพลังงานต่อมวลสูงแต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป SHZ พัฒนาเทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอกแบบเดิม ทำให้สามารถฝังเข้าไปในโครงสร้างของเครื่องบิน Z4 ได้โดยไม่เสียพื้นที่ผู้โดยสาร JetZero ระบุว่าเครื่องบินต้นแบบขนาด 250 ที่นั่งจะพร้อมบินในปี 2027 ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA แม้ว่า Airbus จะชะลอแผนการผลิตเครื่องบินไฮโดรเจน และ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ แต่ JetZero และ SHZ ยังคงเดินหน้าด้วยความเชื่อมั่นว่า “ดีไซน์ใหม่ + เชื้อเพลิงใหม่” คือคำตอบของการบินแห่งอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ SHZ Advanced Technologies จากฝรั่งเศสร่วมมือกับ JetZero เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน ➡️ เครื่องบินใช้ดีไซน์ blended wing-body ที่ลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ โครงการอยู่ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA เพื่อออกแบบระบบจัดเก็บและจ่ายไฮโดรเจนเหลว ➡️ ไฮโดรเจนมีพลังงานต่อมวลสูง แต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มาก ➡️ SHZ พัฒนาถังเก็บไฮโดรเจนแบบใหม่ที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอก ➡️ เครื่องบินรุ่น Z4 จะมีที่นั่ง 250 ที่นั่ง และต้นแบบจะพร้อมบินในปี 2027 ➡️ JetZero ได้รับการสนับสนุนจาก United Airlines และมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนครึ่งหนึ่ง ➡️ Airbus ชะลอแผนเครื่องบินไฮโดรเจน และยกเลิกเป้าหมายปี 2035 ➡️ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ของการบินด้วยไฮโดรเจน ➡️ ดีไซน์ blended wing-body เคยใช้ใน B-2 bomber และโครงการ X-48 ของ NASA ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ EasyJet เป็นสายการบินยุโรปรายแรกที่ร่วมมือกับ JetZero เพื่อหาแนวทางลดคาร์บอน ➡️ การบินด้วยไฮโดรเจนสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 100% หากใช้ไฮโดรเจนสีเขียว ➡️ เทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนแบบแบนช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มพื้นที่ใช้งาน ➡️ การออกแบบ blended wing-body ยังช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเสถียรในการบิน ➡️ NASA มีแผนสนับสนุนการบินพลังงานสะอาดผ่านโครงการ Sustainable Flight National Partnership ➡️ ตลาดเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า $100 พันล้านภายในปี 2040 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/french-firm-teams-up-with-jetzero-on-hydrogen-powered-flight
    WWW.THESTAR.COM.MY
    French firm teams up with JetZero on hydrogen-powered flight
    PARIS (Reuters) -A French technology startup unveiled plans on Wednesday to work with clean-aircraft venture JetZero to explore a potential hydrogen-powered variant of its futuristic all-wing design.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแรง 1,000.- หมดเขต 24 ส.ค.68 เท่านั้น!
    เหลือเริ่มต้น 15,988.-

    SHANGHAI - HANGZHOU
    Amazing Studio เที่ยวเต็มวัน 6 วัน 4 คืน
    บินตรง ไทยไลอ้อนแอร์ พักสบาย ช็อปกระจาย
    เดินทาง ต.ค.68

    ไฮไลท์
    หางโจว – เหิงเตี้ยน ฮอลลีวู้ดสตูดิโอจีน
    ย่านการค้าฉิงหลิงซานเหอถู
    พระราชวังฉินซีฮ่องเต้ + เช่าชุดจีนโบราณ
    เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง + โชว์สุดอลังการ
    ล่องเรือหรู The Loius Shanghai
    Starbucks Reserve – หาดไว่ทานเดอะบันด์
    ถนนนานจิง + Pop Mart
    วัดพระหยก – ตลาดเฉินหวังเมี่ยว – ถนนอู่คัง – Outlet สุดคุ้ม

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ecad2a

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ShanghaiTrip #Hangzhou #HollywoodStudioChina #เที่ยวจีน #ล่องเรือหรู #แอร์เอเชีย #ทัวร์ราคาดี #ช็อปปิ้งจีน
    ✨ ลดแรง 1,000.- หมดเขต 24 ส.ค.68 เท่านั้น! เหลือเริ่มต้น 15,988.- 🎉 SHANGHAI - HANGZHOU 🇨🇳 Amazing Studio เที่ยวเต็มวัน 6 วัน 4 คืน ✈️ บินตรง ไทยไลอ้อนแอร์ พักสบาย ช็อปกระจาย 🛍️ เดินทาง ต.ค.68 🌟 ไฮไลท์ ✔️ หางโจว – เหิงเตี้ยน ฮอลลีวู้ดสตูดิโอจีน 🎬 ✔️ ย่านการค้าฉิงหลิงซานเหอถู 🏮 ✔️ พระราชวังฉินซีฮ่องเต้ + เช่าชุดจีนโบราณ 👘 ✔️ เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง + โชว์สุดอลังการ 🎭 ✔️ ล่องเรือหรู The Loius Shanghai 🚢 ✔️ Starbucks Reserve – หาดไว่ทานเดอะบันด์ 🌆 ✔️ ถนนนานจิง + Pop Mart 🛒 ✔️ วัดพระหยก – ตลาดเฉินหวังเมี่ยว – ถนนอู่คัง – Outlet สุดคุ้ม 🛍️ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ecad2a ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ShanghaiTrip #Hangzhou #HollywoodStudioChina #เที่ยวจีน #ล่องเรือหรู #แอร์เอเชีย #ทัวร์ราคาดี #ช็อปปิ้งจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง!
    สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์
    10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK)

    ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท
    เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568

    ไฮไลต์การเดินทาง

    * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน
    * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์
    * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์
    * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach
    * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์
    * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ
    * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน

    ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e6b675

    ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c15f96

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    ✨ แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง! ✨ สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์ ❄️ 10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK) ✈️ 💰 ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท 📅 เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568 📍 ไฮไลต์การเดินทาง * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน 🏰 * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์ 🌋 * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์ 🌊 * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach 💎 * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์ 🌲 * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ 🏔️ * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน 🧜‍♀️ ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ 🌍 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e6b675 ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c15f96 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี

    ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์

    เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้

    ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน

    สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010

    https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    🧠 ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010 https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย

    SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม

    Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น

    นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์

    การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy
    ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น

    Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น
    ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง

    ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย
    ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ

    ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน

    Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล
    เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่

    Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3
    เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป

    https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    🚀🛠️ เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy ➡️ ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น ✅ Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น ➡️ ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง ✅ ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย ➡️ ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ ✅ ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน ✅ Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล ➡️ เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่ ✅ Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Reveals Humongous Grid Fins To Catch World's Largest Rocket With The Launch Tower
    SpaceX unveils 50% larger grid fins for Starship Super Heavy, enhancing performance with three fins and other upgrades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: กราฟีนที่เคยแข็งแกร่ง กลับยืดหยุ่นได้ด้วยลอนคลื่นระดับอะตอม

    นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Vienna และ Vienna University of Technology ได้ค้นพบวิธีทำให้กราฟีน—วัสดุที่บางเพียงหนึ่งอะตอมและแข็งแกร่งที่สุด—สามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น โดยใช้เทคนิคการสร้าง “ข้อบกพร่อง” (defects) ด้วยการยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเข้าไปในโครงสร้างอะตอมของกราฟีน ทำให้เกิด “vacancies” หรือช่องว่างจากอะตอมที่หายไป

    ผลลัพธ์คือเกิดลอนคลื่นคล้ายหีบเพลงในโครงสร้างของกราฟีน ซึ่งช่วยให้วัสดุสามารถยืดออกได้ง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนการยืดวัสดุเรียบ ๆ แบบเดิม

    การทดลองนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมมารบกวนพื้นผิวของกราฟีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากมีสิ่งสกปรกอยู่บนพื้นผิว จะทำให้กราฟีนกลับมาแข็งขึ้นแทนที่จะอ่อนลง

    กราฟีนถูกทำให้ยืดหยุ่นขึ้นด้วยการสร้างลอนคลื่นคล้ายหีบเพลง (accordion effect)
    ใช้การยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเพื่อสร้างช่องว่างอะตอม
    ลอนคลื่นช่วยลดแรงที่ต้องใช้ในการยืดวัสดุ

    การทดลองเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ
    ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมรบกวนพื้นผิวกราฟีน
    ทำให้ผลการทดลองแม่นยำและเสถียร

    ค่าความยืดหยุ่นของกราฟีนลดลงจาก 286 N/m เหลือ 158 N/m หลังสร้าง defects
    เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าที่ทฤษฎีเคยคาดไว้
    อธิบายความขัดแย้งในผลการทดลองก่อนหน้านี้

    การสร้าง defects แบบควบคุมได้ช่วยให้วัสดุมีคุณสมบัติใหม่
    เปิดทางสู่การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบยืดหยุ่น
    เหมาะกับเทคโนโลยีสวมใส่และอุปกรณ์พับได้

    การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า defects แบบหลายอะตอมมีผลมากกว่าการลบอะตอมเดี่ยว
    ลอนคลื่นเกิดจากแรงดึงรอบจุดที่มีหลายอะตอมหายไป
    การลบอะตอมเดี่ยวไม่ส่งผลต่อความยืดหยุ่นมากนัก

    https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-has-been-bent-like-never-before/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: กราฟีนที่เคยแข็งแกร่ง กลับยืดหยุ่นได้ด้วยลอนคลื่นระดับอะตอม นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย Vienna และ Vienna University of Technology ได้ค้นพบวิธีทำให้กราฟีน—วัสดุที่บางเพียงหนึ่งอะตอมและแข็งแกร่งที่สุด—สามารถยืดหยุ่นได้มากขึ้น โดยใช้เทคนิคการสร้าง “ข้อบกพร่อง” (defects) ด้วยการยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเข้าไปในโครงสร้างอะตอมของกราฟีน ทำให้เกิด “vacancies” หรือช่องว่างจากอะตอมที่หายไป ผลลัพธ์คือเกิดลอนคลื่นคล้ายหีบเพลงในโครงสร้างของกราฟีน ซึ่งช่วยให้วัสดุสามารถยืดออกได้ง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องใช้แรงมากเหมือนการยืดวัสดุเรียบ ๆ แบบเดิม การทดลองนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมมารบกวนพื้นผิวของกราฟีน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากมีสิ่งสกปรกอยู่บนพื้นผิว จะทำให้กราฟีนกลับมาแข็งขึ้นแทนที่จะอ่อนลง ✅ กราฟีนถูกทำให้ยืดหยุ่นขึ้นด้วยการสร้างลอนคลื่นคล้ายหีบเพลง (accordion effect) ➡️ ใช้การยิงไอออนอาร์กอนพลังงานต่ำเพื่อสร้างช่องว่างอะตอม ➡️ ลอนคลื่นช่วยลดแรงที่ต้องใช้ในการยืดวัสดุ ✅ การทดลองเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สะอาดไร้ฝุ่นและอากาศ ➡️ ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมรบกวนพื้นผิวกราฟีน ➡️ ทำให้ผลการทดลองแม่นยำและเสถียร ✅ ค่าความยืดหยุ่นของกราฟีนลดลงจาก 286 N/m เหลือ 158 N/m หลังสร้าง defects ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าที่ทฤษฎีเคยคาดไว้ ➡️ อธิบายความขัดแย้งในผลการทดลองก่อนหน้านี้ ✅ การสร้าง defects แบบควบคุมได้ช่วยให้วัสดุมีคุณสมบัติใหม่ ➡️ เปิดทางสู่การใช้งานในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบยืดหยุ่น ➡️ เหมาะกับเทคโนโลยีสวมใส่และอุปกรณ์พับได้ ✅ การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ยืนยันว่า defects แบบหลายอะตอมมีผลมากกว่าการลบอะตอมเดี่ยว ➡️ ลอนคลื่นเกิดจากแรงดึงรอบจุดที่มีหลายอะตอมหายไป ➡️ การลบอะตอมเดี่ยวไม่ส่งผลต่อความยืดหยุ่นมากนัก https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-has-been-bent-like-never-before/
    WWW.NEOWIN.NET
    The "miracle material" has been bent like never before
    Physicists discover a counterintuitive method that makes "miracle material" dramatically more stretchable, challenging long-held assumptions about its mechanical limits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: เมื่อ “Copilot” ถูกเจาะทะลุถึงราก

    ลองจินตนาการว่า AI ผู้ช่วยอัจฉริยะของคุณ—Microsoft Copilot—ที่ควรจะปลอดภัย กลับกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบเบื้องหลังได้ในระดับ root! เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในเดือนเมษายน 2025 เมื่อ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่: Python sandbox ที่รันผ่าน Jupyter Notebook เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเขียนโค้ดและวิเคราะห์ข้อมูลได้สะดวกขึ้น

    แต่ฟีเจอร์นี้กลับเปิดช่องให้แฮกเกอร์จาก Eye Security ใช้เทคนิคง่ายๆ—แค่ปลอมไฟล์ชื่อ “pgrep” แล้ววางไว้ในโฟลเดอร์ที่ระบบค้นหาเป็นอันดับแรก—ก็สามารถหลอกให้ระบบรันโค้ดของตนในสิทธิ์ root ได้ทันที!

    แม้จะไม่มีข้อมูลสำคัญรั่วไหล แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของ AI sandbox ที่แม้จะออกแบบมาอย่างดี ก็ยังมีจุดอ่อนที่ถูกมองข้าม

    Copilot เปิดตัว Python sandbox ผ่าน Jupyter Notebook ในเดือนเมษายน 2025
    ใช้ Jupyter Notebook syntax (%command) เพื่อรันโค้ดใน backend
    รันใน container ที่ใช้ผู้ใช้ชื่อ “ubuntu” ซึ่งอยู่ในกลุ่ม sudo แต่ไม่มี binary ของ sudo

    ช่องโหว่เกิดจากการใช้คำสั่ง pgrep โดยไม่ระบุ path แบบเต็มใน script ที่รันเป็น root
    ระบบค้นหาไฟล์ pgrep จาก $PATH ซึ่งมีโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้สามารถเขียนไฟล์ได้
    แฮกเกอร์สร้างไฟล์ pgrep ปลอมที่รันโค้ด Python เพื่ออ่านคำสั่งจากไฟล์และรันด้วย popen

    แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง root ภายใน container ได้สำเร็จ
    ใช้ช่องโหว่ใน script entrypoint.sh ที่รัน keepAliveJupyterSvc.sh ด้วยสิทธิ์ root
    สามารถสำรวจไฟล์ระบบและรันคำสั่งได้ในระดับสูงสุด

    Microsoft ได้รับรายงานช่องโหว่ในเดือนเมษายน และออก patch แก้ไขในเดือนกรกฎาคม 2025
    ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “moderate severity”
    ไม่มีการให้รางวัล bug bounty แต่มีการยอมรับในหน้า researcher acknowledgments

    ระบบ container ของ Copilot มีการป้องกันที่ดี ไม่พบการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    ไม่มีไฟล์สำคัญใน /root และไม่มีช่องทาง breakout จาก container
    ระบบใช้ OverlayFS และจำกัด network ด้วย /32 netmask

    AI sandbox แม้จะปลอดภัย ก็ยังมีช่องโหว่จากการตั้งค่าที่ผิดพลาด
    การไม่ระบุ path แบบเต็มใน script ที่รันด้วยสิทธิ์ root เป็นช่องทางให้แฮกเกอร์แทรกไฟล์ปลอม
    โฟลเดอร์ที่ผู้ใช้สามารถเขียนไฟล์ได้ไม่ควรถูกจัดไว้ใน $PATH ก่อนโฟลเดอร์ระบบ

    การให้สิทธิ์ root ในบางส่วนของ container เป็นความเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง
    แม้จะรันส่วนใหญ่ด้วยสิทธิ์ผู้ใช้ทั่วไป แต่บาง script ยังรันเป็น root โดยไม่จำเป็น
    การ drop privileges ควรทำตั้งแต่ต้นและไม่ย้อนกลับ

    การเปิดให้ผู้ใช้ upload ไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นช่องทางโจมตี
    ไฟล์ที่ upload เข้ามาอาจถูกใช้เป็น payload สำหรับการโจมตี
    การตรวจสอบชื่อไฟล์และเนื้อหาควรทำก่อนการรันทุกครั้ง

    การไม่ให้รางวัล bug bounty อาจลดแรงจูงใจในการรายงานช่องโหว่จากนักวิจัยอิสระ
    ช่องโหว่ระดับ root access ควรได้รับการตอบแทนเพื่อส่งเสริมการเปิดเผยอย่างรับผิดชอบ
    การไม่ให้รางวัลอาจทำให้นักวิจัยหันไปสนใจแพลตฟอร์มอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

    https://research.eye.security/how-we-rooted-copilot/
    🧠 เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: เมื่อ “Copilot” ถูกเจาะทะลุถึงราก ลองจินตนาการว่า AI ผู้ช่วยอัจฉริยะของคุณ—Microsoft Copilot—ที่ควรจะปลอดภัย กลับกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบเบื้องหลังได้ในระดับ root! เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในเดือนเมษายน 2025 เมื่อ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่: Python sandbox ที่รันผ่าน Jupyter Notebook เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเขียนโค้ดและวิเคราะห์ข้อมูลได้สะดวกขึ้น แต่ฟีเจอร์นี้กลับเปิดช่องให้แฮกเกอร์จาก Eye Security ใช้เทคนิคง่ายๆ—แค่ปลอมไฟล์ชื่อ “pgrep” แล้ววางไว้ในโฟลเดอร์ที่ระบบค้นหาเป็นอันดับแรก—ก็สามารถหลอกให้ระบบรันโค้ดของตนในสิทธิ์ root ได้ทันที! แม้จะไม่มีข้อมูลสำคัญรั่วไหล แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของ AI sandbox ที่แม้จะออกแบบมาอย่างดี ก็ยังมีจุดอ่อนที่ถูกมองข้าม ✅ Copilot เปิดตัว Python sandbox ผ่าน Jupyter Notebook ในเดือนเมษายน 2025 ➡️ ใช้ Jupyter Notebook syntax (%command) เพื่อรันโค้ดใน backend ➡️ รันใน container ที่ใช้ผู้ใช้ชื่อ “ubuntu” ซึ่งอยู่ในกลุ่ม sudo แต่ไม่มี binary ของ sudo ✅ ช่องโหว่เกิดจากการใช้คำสั่ง pgrep โดยไม่ระบุ path แบบเต็มใน script ที่รันเป็น root ➡️ ระบบค้นหาไฟล์ pgrep จาก $PATH ซึ่งมีโฟลเดอร์ที่ผู้ใช้สามารถเขียนไฟล์ได้ ➡️ แฮกเกอร์สร้างไฟล์ pgrep ปลอมที่รันโค้ด Python เพื่ออ่านคำสั่งจากไฟล์และรันด้วย popen ✅ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง root ภายใน container ได้สำเร็จ ➡️ ใช้ช่องโหว่ใน script entrypoint.sh ที่รัน keepAliveJupyterSvc.sh ด้วยสิทธิ์ root ➡️ สามารถสำรวจไฟล์ระบบและรันคำสั่งได้ในระดับสูงสุด ✅ Microsoft ได้รับรายงานช่องโหว่ในเดือนเมษายน และออก patch แก้ไขในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ ช่องโหว่ถูกจัดระดับ “moderate severity” ➡️ ไม่มีการให้รางวัล bug bounty แต่มีการยอมรับในหน้า researcher acknowledgments ✅ ระบบ container ของ Copilot มีการป้องกันที่ดี ไม่พบการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ ไม่มีไฟล์สำคัญใน /root และไม่มีช่องทาง breakout จาก container ➡️ ระบบใช้ OverlayFS และจำกัด network ด้วย /32 netmask ‼️ AI sandbox แม้จะปลอดภัย ก็ยังมีช่องโหว่จากการตั้งค่าที่ผิดพลาด ⛔ การไม่ระบุ path แบบเต็มใน script ที่รันด้วยสิทธิ์ root เป็นช่องทางให้แฮกเกอร์แทรกไฟล์ปลอม ⛔ โฟลเดอร์ที่ผู้ใช้สามารถเขียนไฟล์ได้ไม่ควรถูกจัดไว้ใน $PATH ก่อนโฟลเดอร์ระบบ ‼️ การให้สิทธิ์ root ในบางส่วนของ container เป็นความเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง ⛔ แม้จะรันส่วนใหญ่ด้วยสิทธิ์ผู้ใช้ทั่วไป แต่บาง script ยังรันเป็น root โดยไม่จำเป็น ⛔ การ drop privileges ควรทำตั้งแต่ต้นและไม่ย้อนกลับ ‼️ การเปิดให้ผู้ใช้ upload ไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นช่องทางโจมตี ⛔ ไฟล์ที่ upload เข้ามาอาจถูกใช้เป็น payload สำหรับการโจมตี ⛔ การตรวจสอบชื่อไฟล์และเนื้อหาควรทำก่อนการรันทุกครั้ง ‼️ การไม่ให้รางวัล bug bounty อาจลดแรงจูงใจในการรายงานช่องโหว่จากนักวิจัยอิสระ ⛔ ช่องโหว่ระดับ root access ควรได้รับการตอบแทนเพื่อส่งเสริมการเปิดเผยอย่างรับผิดชอบ ⛔ การไม่ให้รางวัลอาจทำให้นักวิจัยหันไปสนใจแพลตฟอร์มอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า https://research.eye.security/how-we-rooted-copilot/
    RESEARCH.EYE.SECURITY
    How we Rooted Copilot - Eye Research
    Read how we explored the Python sandbox in Copilot and got root on the underlying container
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรแรง! เที่ยว RUSSIA มอสโก - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลดทันที 11,111.-
    #ลดพิเศษ 5 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น

    เดินทาง 5–12 ต.ค. 68
    เหลือเพียง 47,777.-

    ไฮไลท์เส้นทาง:
    จัตุรัสแดง – มหาวิหารเซนต์บาซิล – ห้างกุม
    นั่งรถไฟความเร็วสูง SAPSAN สู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
    พระราชวังฤดูหนาว & เฮอร์มิเทจ – มหาวิหารไอแซค – ถนนเนฟสกี้
    พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ – โบสถ์หยดเลือด – ล่องเรือแม่น้ำเนวา (Option)
    อิสระเต็มวันในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
    Russian Circus (Option) – พระราชวังเครมลิน – ตลาดอิสมายลอฟสกี้
    รถไฟใต้ดินมอสโก – ถนนอารบัท – มหาวิหารเซนต์ซาเวียร์

    ไฟลท์ตรง BY WY / รวมอาหารและรถครบทุกวัน
    ถ่ายรูปสวยทุกมุม บรรยากาศสุดโรแมนติก

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ea66d6

    ดูทัวร์รัสเซียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/19c33b

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์รัสเซีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #RUSSIA #มอสโกเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก #ทัวร์รัสเซีย #ลดแรงแซงทุกดีล
    🪆🇷🇺 โปรแรง! เที่ยว RUSSIA มอสโก - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลดทันที 11,111.- ✨ #ลดพิเศษ 5 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น 📅 เดินทาง 5–12 ต.ค. 68 💰 เหลือเพียง 47,777.- 📍 ไฮไลท์เส้นทาง: 🟥 จัตุรัสแดง – มหาวิหารเซนต์บาซิล – ห้างกุม 🚄 นั่งรถไฟความเร็วสูง SAPSAN สู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 🏰 พระราชวังฤดูหนาว & เฮอร์มิเทจ – มหาวิหารไอแซค – ถนนเนฟสกี้ 🌊 พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ – โบสถ์หยดเลือด – ล่องเรือแม่น้ำเนวา (Option) ⛲ อิสระเต็มวันในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 🎭 Russian Circus (Option) – พระราชวังเครมลิน – ตลาดอิสมายลอฟสกี้ 🚇 รถไฟใต้ดินมอสโก – ถนนอารบัท – มหาวิหารเซนต์ซาเวียร์ 📌 ไฟลท์ตรง BY WY / รวมอาหารและรถครบทุกวัน 📸 ถ่ายรูปสวยทุกมุม บรรยากาศสุดโรแมนติก ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ea66d6 ดูทัวร์รัสเซียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/19c33b LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์รัสเซีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #RUSSIA #มอสโกเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก #ทัวร์รัสเซีย #ลดแรงแซงทุกดีล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรแรง! เที่ยว RUSSIA มอสโก - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลดทันที 11,111.-
    #ลดพิเศษ 5 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น

    เดินทาง 5–12 ต.ค. 68
    เหลือเพียง 47,777.-

    ไฮไลท์เส้นทาง:
    จัตุรัสแดง – มหาวิหารเซนต์บาซิล – ห้างกุม
    นั่งรถไฟความเร็วสูง SAPSAN สู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
    พระราชวังฤดูหนาว & เฮอร์มิเทจ – มหาวิหารไอแซค – ถนนเนฟสกี้
    พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ – โบสถ์หยดเลือด – ล่องเรือแม่น้ำเนวา (Option)
    อิสระเต็มวันในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
    Russian Circus (Option) – พระราชวังเครมลิน – ตลาดอิสมายลอฟสกี้
    รถไฟใต้ดินมอสโก – ถนนอารบัท – มหาวิหารเซนต์ซาเวียร์

    ไฟลท์ตรง BY WY / รวมอาหารและรถครบทุกวัน
    ถ่ายรูปสวยทุกมุม บรรยากาศสุดโรแมนติก

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ea66d6

    ดูทัวร์รัสเซียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/19c33b

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์รัสเซีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #RUSSIA #มอสโกเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก #ทัวร์รัสเซีย #ลดแรงแซงทุกดีล #เที่ยวกับมืออาชีพ #ราคานี้ไม่มีอีกแล้ว #ทริปในฝัน #รีบจองก่อนเต็ม
    🪆🇷🇺 โปรแรง! เที่ยว RUSSIA มอสโก - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลดทันที 11,111.- ✨ #ลดพิเศษ 5 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น 📅 เดินทาง 5–12 ต.ค. 68 💰 เหลือเพียง 47,777.- 📍 ไฮไลท์เส้นทาง: 🟥 จัตุรัสแดง – มหาวิหารเซนต์บาซิล – ห้างกุม 🚄 นั่งรถไฟความเร็วสูง SAPSAN สู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 🏰 พระราชวังฤดูหนาว & เฮอร์มิเทจ – มหาวิหารไอแซค – ถนนเนฟสกี้ 🌊 พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ – โบสถ์หยดเลือด – ล่องเรือแม่น้ำเนวา (Option) ⛲ อิสระเต็มวันในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 🎭 Russian Circus (Option) – พระราชวังเครมลิน – ตลาดอิสมายลอฟสกี้ 🚇 รถไฟใต้ดินมอสโก – ถนนอารบัท – มหาวิหารเซนต์ซาเวียร์ 📌 ไฟลท์ตรง BY WY / รวมอาหารและรถครบทุกวัน 📸 ถ่ายรูปสวยทุกมุม บรรยากาศสุดโรแมนติก ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ea66d6 ดูทัวร์รัสเซียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/19c33b LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์รัสเซีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #RUSSIA #มอสโกเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก #ทัวร์รัสเซีย #ลดแรงแซงทุกดีล #เที่ยวกับมืออาชีพ #ราคานี้ไม่มีอีกแล้ว #ทริปในฝัน #รีบจองก่อนเต็ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • HoloMem ริบบิ้นฮอโลกราฟิก – เก็บข้อมูล 200TB นาน 50 ปี ใช้พลังงานเป็นศูนย์

    HoloMem เปิดตัวเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้ริบบิ้นโพลีเมอร์บางเพียง 120 ไมครอน ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกได้หลายชั้นในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) โดยใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกเพียง $5 เป็นหัวอ่าน/เขียน

    จุดเด่นของ HoloMem:
    - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น (มากกว่า LTO-10 ถึง 11 เท่า)
    - อายุการใช้งาน 50 ปี (มากกว่าเทปแม่เหล็กถึง 10 เท่า)
    - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ
    - ขนาดแผ่นเท่ากับ LTO สามารถใช้กับหุ่นยนต์จัดการเทปเดิมได้ทันที
    - ใช้ชิ้นส่วนราคาถูกและผลิตง่าย เช่น โพลีเมอร์ไวแสงหนา 16 ไมครอน
    - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร (เทียบกับเทปแม่เหล็กที่ยาว 1,000 เมตร)

    HoloMem ยังออกแบบให้สามารถติดตั้งร่วมกับระบบจัดเก็บข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มากนัก ลดแรงเสียดทานในการเปลี่ยนผ่าน และได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK

    แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ TechRe Consultants ในสหราชอาณาจักรจะเริ่มทดลองใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลเพื่อทดสอบความทนทานและประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - HoloMem พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกบนริบบิ้นโพลีเมอร์
    - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น และอายุการใช้งาน 50 ปี
    - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ
    - ขนาดเท่ากับ LTO สามารถใช้กับระบบจัดการเทปเดิมได้ทันที
    - ใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูก ($5) และวัสดุโพลีเมอร์ที่ผลิตง่าย
    - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร เทียบกับเทปแม่เหล็ก 1,000 เมตร
    - ทำงานในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many)
    - ได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK
    - TechRe Consultants จะเริ่มทดลองใช้งานในศูนย์ข้อมูลจริง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นต้น ไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    - ต้องพิสูจน์ความทนทานและความเสถียรในสภาพแวดล้อมจริงก่อนใช้งานเชิงพาณิชย์
    - แม้จะใช้ร่วมกับระบบเดิมได้ แต่การเปลี่ยนผ่านต้องมีการฝึกอบรมและปรับกระบวนการ
    - การจัดเก็บแบบ WORM ไม่สามารถเขียนซ้ำได้ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องแก้ไขข้อมูล
    - คู่แข่งอย่าง Cerabyte และ Microsoft Project Silica ยังมีแนวทางที่ต่างกันและอาจสร้างแรงกดดันด้านนวัตกรรม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/holographic-ribbon-aims-to-oust-magnetic-tape-with-50-year-life-span-and-200tb-capacity-per-cartridge-holomem-says-optical-ribbon-based-carts-work-with-some-components-of-existing-systems-reducing-fricition
    HoloMem ริบบิ้นฮอโลกราฟิก – เก็บข้อมูล 200TB นาน 50 ปี ใช้พลังงานเป็นศูนย์ HoloMem เปิดตัวเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้ริบบิ้นโพลีเมอร์บางเพียง 120 ไมครอน ซึ่งสามารถเขียนข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกได้หลายชั้นในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) โดยใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกเพียง $5 เป็นหัวอ่าน/เขียน จุดเด่นของ HoloMem: - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น (มากกว่า LTO-10 ถึง 11 เท่า) - อายุการใช้งาน 50 ปี (มากกว่าเทปแม่เหล็กถึง 10 เท่า) - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ - ขนาดแผ่นเท่ากับ LTO สามารถใช้กับหุ่นยนต์จัดการเทปเดิมได้ทันที - ใช้ชิ้นส่วนราคาถูกและผลิตง่าย เช่น โพลีเมอร์ไวแสงหนา 16 ไมครอน - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร (เทียบกับเทปแม่เหล็กที่ยาว 1,000 เมตร) HoloMem ยังออกแบบให้สามารถติดตั้งร่วมกับระบบจัดเก็บข้อมูลเดิมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์มากนัก ลดแรงเสียดทานในการเปลี่ยนผ่าน และได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK แม้ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ TechRe Consultants ในสหราชอาณาจักรจะเริ่มทดลองใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลเพื่อทดสอบความทนทานและประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - HoloMem พัฒนาเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบฮอโลกราฟิกบนริบบิ้นโพลีเมอร์ - ความจุสูงถึง 200TB ต่อแผ่น และอายุการใช้งาน 50 ปี - ใช้พลังงานเป็นศูนย์เมื่อเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ - ขนาดเท่ากับ LTO สามารถใช้กับระบบจัดการเทปเดิมได้ทันที - ใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูก ($5) และวัสดุโพลีเมอร์ที่ผลิตง่าย - ความยาวริบบิ้นเพียง 100 เมตร เทียบกับเทปแม่เหล็ก 1,000 เมตร - ทำงานในรูปแบบ WORM (Write Once, Read Many) - ได้รับการสนับสนุนจาก Intel Ignite และ Innovate UK - TechRe Consultants จะเริ่มทดลองใช้งานในศูนย์ข้อมูลจริง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นต้น ไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ - ต้องพิสูจน์ความทนทานและความเสถียรในสภาพแวดล้อมจริงก่อนใช้งานเชิงพาณิชย์ - แม้จะใช้ร่วมกับระบบเดิมได้ แต่การเปลี่ยนผ่านต้องมีการฝึกอบรมและปรับกระบวนการ - การจัดเก็บแบบ WORM ไม่สามารถเขียนซ้ำได้ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องแก้ไขข้อมูล - คู่แข่งอย่าง Cerabyte และ Microsoft Project Silica ยังมีแนวทางที่ต่างกันและอาจสร้างแรงกดดันด้านนวัตกรรม https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/holographic-ribbon-aims-to-oust-magnetic-tape-with-50-year-life-span-and-200tb-capacity-per-cartridge-holomem-says-optical-ribbon-based-carts-work-with-some-components-of-existing-systems-reducing-fricition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • LPDDR6 มาแล้ว! หน่วยความจำยุคใหม่ที่เร็วกว่าเดิมเท่าตัว

    หลังจากปล่อย DDR5 มาเมื่อ 5 ปีก่อน ล่าสุด JEDEC (องค์กรกำหนดมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก) ได้เผยแพร่เอกสาร JESD209-6 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ LPDDR6 หรือ Low Power DDR6 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อป สมาร์ตโฟน และ edge AI

    LPDDR6 มีการปรับโครงสร้างช่องสัญญาณใหม่:
    - จาก DDR5 ที่ใช้ 2 ช่องย่อยขนาด 32-bit
    - LPDDR6 เปลี่ยนเป็น 4 ช่องย่อยขนาด 24-bit
    - ส่งผลให้ latency ลดลง และสามารถประมวลผลพร้อมกันได้มากขึ้น

    ด้านพลังงานก็มีการปรับปรุง:
    - ลดแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลง
    - เพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Voltage Frequency Scaling for Low Power (DVFSL) ที่ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความถี่ต่ำ

    ความเร็วของ LPDDR6 อยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือประมาณ 28.5–38.4 GB/s ซึ่งเร็วกว่า DDR5 ที่โอเวอร์คล็อกสูงสุดในปัจจุบัน

    บริษัทที่สนับสนุนมาตรฐานนี้มีทั้งผู้ผลิตชิป (MediaTek, Qualcomm, Samsung), ผู้ผลิตหน่วยความจำ (Micron, SK hynix), และบริษัทออกแบบ/ทดสอบระบบ (Cadence, Synopsys, Advantest, Keysight)

    แม้ LPDDR6 จะเน้นอุปกรณ์พกพา แต่ JEDEC ก็เตรียมเปิดตัวมาตรฐาน DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปีนี้เช่นกัน

    ข้อมูลจากข่าว
    - JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน LPDDR6 ผ่านเอกสาร JESD209-6
    - LPDDR6 ใช้โครงสร้างช่องสัญญาณแบบ 4x24-bit แทน 2x32-bit ของ DDR5
    - ความเร็วอยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือ 28.5–38.4 GB/s
    - มีฟีเจอร์ DVFSL เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงความถี่ต่ำ
    - ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ เช่น MediaTek, Qualcomm, Samsung, Micron, SK hynix
    - LPDDR6 เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ edge AI
    - JEDEC เตรียมเปิดตัว DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปี 2025

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - LPDDR6 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทันที อาจต้องรออีกประมาณ 1 ปีเหมือนตอน DDR5
    - อุปกรณ์ที่ใช้ DDR4 จะเริ่มถูกเลิกผลิตในปี 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องเตรียมอัปเกรด
    - ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งสูงในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
    - LPDDR6 ยังไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความจุสูงแบบเซิร์ฟเวอร์หรือเดสก์ท็อป
    - ผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องปรับปรุงระบบให้รองรับแรงดันไฟฟ้าและโครงสร้างใหม่ของ LPDDR6

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/jedec-publishes-first-lpddr6-standard-new-interface-promises-double-the-effective-bandwidth-of-current-gen
    LPDDR6 มาแล้ว! หน่วยความจำยุคใหม่ที่เร็วกว่าเดิมเท่าตัว หลังจากปล่อย DDR5 มาเมื่อ 5 ปีก่อน ล่าสุด JEDEC (องค์กรกำหนดมาตรฐานอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก) ได้เผยแพร่เอกสาร JESD209-6 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ LPDDR6 หรือ Low Power DDR6 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อป สมาร์ตโฟน และ edge AI LPDDR6 มีการปรับโครงสร้างช่องสัญญาณใหม่: - จาก DDR5 ที่ใช้ 2 ช่องย่อยขนาด 32-bit - LPDDR6 เปลี่ยนเป็น 4 ช่องย่อยขนาด 24-bit - ส่งผลให้ latency ลดลง และสามารถประมวลผลพร้อมกันได้มากขึ้น ด้านพลังงานก็มีการปรับปรุง: - ลดแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลง - เพิ่มฟีเจอร์ Dynamic Voltage Frequency Scaling for Low Power (DVFSL) ที่ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความถี่ต่ำ ความเร็วของ LPDDR6 อยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือประมาณ 28.5–38.4 GB/s ซึ่งเร็วกว่า DDR5 ที่โอเวอร์คล็อกสูงสุดในปัจจุบัน บริษัทที่สนับสนุนมาตรฐานนี้มีทั้งผู้ผลิตชิป (MediaTek, Qualcomm, Samsung), ผู้ผลิตหน่วยความจำ (Micron, SK hynix), และบริษัทออกแบบ/ทดสอบระบบ (Cadence, Synopsys, Advantest, Keysight) แม้ LPDDR6 จะเน้นอุปกรณ์พกพา แต่ JEDEC ก็เตรียมเปิดตัวมาตรฐาน DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปีนี้เช่นกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - JEDEC เปิดตัวมาตรฐาน LPDDR6 ผ่านเอกสาร JESD209-6 - LPDDR6 ใช้โครงสร้างช่องสัญญาณแบบ 4x24-bit แทน 2x32-bit ของ DDR5 - ความเร็วอยู่ที่ 10,667–14,400 MT/s หรือ 28.5–38.4 GB/s - มีฟีเจอร์ DVFSL เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงความถี่ต่ำ - ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำ เช่น MediaTek, Qualcomm, Samsung, Micron, SK hynix - LPDDR6 เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ edge AI - JEDEC เตรียมเปิดตัว DDR6 สำหรับเดสก์ท็อปภายในปี 2025 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - LPDDR6 ยังไม่พร้อมใช้งานในตลาดทันที อาจต้องรออีกประมาณ 1 ปีเหมือนตอน DDR5 - อุปกรณ์ที่ใช้ DDR4 จะเริ่มถูกเลิกผลิตในปี 2025 ทำให้ผู้ใช้ต้องเตรียมอัปเกรด - ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งสูงในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี - LPDDR6 ยังไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความจุสูงแบบเซิร์ฟเวอร์หรือเดสก์ท็อป - ผู้ผลิตอุปกรณ์ต้องปรับปรุงระบบให้รองรับแรงดันไฟฟ้าและโครงสร้างใหม่ของ LPDDR6 https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/jedec-publishes-first-lpddr6-standard-new-interface-promises-double-the-effective-bandwidth-of-current-gen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง

    แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..."

    Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน  
    • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด”
    • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น”

    โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ  
    • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน

    Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป  
    • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด

    หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี  
    • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน

    https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    ข่าวนี้เป็นเคสที่สะท้อนความ “ไม่รู้เวล่ำเวลา” ของ AI และความรู้สึกไวของสังคมต่อปัญหาการเลิกจ้าง — เมื่อ Matt Turnbull ผู้บริหารจาก Xbox Games Studio ออกมาโพสต์แนะนำว่า คนที่เพิ่งถูกไล่ออกจาก Microsoft ควรใช้ AI ช่วยบรรเทาความรู้สึก พร้อมแนบ prompt ตัวอย่างให้ใช้ Copilot สร้างความมั่นใจตนเอง 🧑‍💼🤖 แม้เจตนาอาจดี แต่โพสต์นี้โดนถล่มยับว่า “ไร้เซนส์ขั้นสุด” โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานรอบที่ 4 และทุ่มงบ $80,000 ล้านให้โครงสร้างพื้นฐาน AI จนหลายคนรู้สึกว่า "ถูกแทนที่โดย AI แล้วถูกบอกให้ใช้งาน AI เพื่อเยียวยาตัวเองอีก..." ✅ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox แนะผู้ถูกเลิกจ้างให้ใช้ AI (เช่น Copilot) ช่วยลดภาระอารมณ์-ความคิดหลังตกงาน   • แนะนำ prompt เช่น “ช่วยฉันคิดใหม่ว่าฉันเก่งเรื่องอะไร หลังรู้สึกหมดความมั่นใจจากการถูกปลด” • ชี้ว่าคนที่ตกงาน “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และ AI จะช่วยให้ “หลุดจากอารมณ์ลบได้เร็วขึ้น” ✅ โพสต์ต้นทางถูกลบหลังเกิดกระแสตีกลับ   • โดยเฉพาะในช่วงที่ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานราว 9,000 คน ในรอบที่ 4 ภายใน 18 เดือน ✅ Microsoft มีแผนลงทุนใน AI infrastructure มูลค่า $80 พันล้านภายในปีการเงินถัดไป   • เป็นการลงทุนที่ตรงข้ามกับภาพคนตกงานจากผลของ AI อย่างเห็นได้ชัด ✅ หลายบริษัทยักษ์ออกมายอมรับว่า AI จะลดแรงงานสายออฟฟิศจำนวนมากใน 3–5 ปี   • ซีอีโอจาก Ford, Amazon, Anthropic, Shopify, JPMorgan ต่างพูดคล้ายกัน https://www.techspot.com/news/108562-xbox-exec-suggests-people-use-ai-lessen-pain.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Xbox exec suggests people use AI to lessen the pain of being laid off
    Turnbull has very wisely removed his post, but it was captured by Necrosoft's Brandon Sheffield. The exec started by mentioning these are challenging times – particularly for...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025

    สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม”

    กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568
    ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ

    ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที”

    “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว

    อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง
    ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้”

    “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว

    สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที” “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้” “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อิ๊งค์" รับทัวร์ต่อเนื่องปม JBC สื่อสารล่าช้า สว.ชี้รัฐบาลสอบตก ไม่ทันเกมเขมร หลายฝ่ายแนะปรับกลยุทธ์สื่อสารให้เร็ว-ชัด-ตรงประเด็น หวังลดแรงเสียดทานทางการเมือง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056759

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    "อิ๊งค์" รับทัวร์ต่อเนื่องปม JBC สื่อสารล่าช้า สว.ชี้รัฐบาลสอบตก ไม่ทันเกมเขมร หลายฝ่ายแนะปรับกลยุทธ์สื่อสารให้เร็ว-ชัด-ตรงประเด็น หวังลดแรงเสียดทานทางการเมือง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000056759 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Sad
    Love
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1245 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวียดนามกลาง ดานัง ฮอยอัน บานาฮิลส์
    บินหรู Full Service กับ Emirates Airlines
    ลดทันที 3,000.- เหลือเพียง 12,990.-

    เดินทาง :
    • 11-14 ก.ค. 68
    • 25-28 ก.ค. 68

    โปรแกรมไฮไลท์
    หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน – ภูเขาหินอ่อน
    ล่องเรือกระด้ง – เมืองโบราณฮอยอัน – สะพานญี่ปุ่น
    🪭 ชมร้านเยื้อไผ่ – สะพานมังกรสุดอลัง
    นั่งกระเช้าบานาฮิลส์ – สวนดอกไม้ – สวนสนุกแฟนตาซีพาร์ค
    🖐 สะพานมือยักษ์ – ป๊อปมาร์ท – พระพุทธรูปหลินอึ๋ง
    ☕️ จิบกาแฟ Café Palm Beach & SON TRA MARINA CAFE
    โบสถ์สีชมพู – ช้อปปิ้งฮาน มาร์เก็ต

    ที่เดียว เที่ยวครบ ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม คาเฟ่ และแลนด์มาร์ก
    จองเลยก่อนเต็ม!

    #เวียดนามกลาง #ดานังฮอยอัน #บานาฮิลส์ #สะพานมือยักษ์ #บินหรูEmirates #เที่ยวเวียดนาม #ลดแรงแซงทุกโปร #เที่ยวฟูลเซอร์วิส

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e2c73e

    ดูทัวร์เวียดนามทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/8d0826

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์เวียดนาม #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    🌸 เวียดนามกลาง ดานัง ฮอยอัน บานาฮิลส์ ✈️ บินหรู Full Service กับ Emirates Airlines 💸 ลดทันที 3,000.- เหลือเพียง 12,990.- 📆 เดินทาง : • 11-14 ก.ค. 68 • 25-28 ก.ค. 68 📍โปรแกรมไฮไลท์ 🪨 หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน – ภูเขาหินอ่อน 🚣‍♀️ ล่องเรือกระด้ง – เมืองโบราณฮอยอัน – สะพานญี่ปุ่น 🪭 ชมร้านเยื้อไผ่ – สะพานมังกรสุดอลัง 🚡 นั่งกระเช้าบานาฮิลส์ – สวนดอกไม้ – สวนสนุกแฟนตาซีพาร์ค 🖐 สะพานมือยักษ์ – ป๊อปมาร์ท – พระพุทธรูปหลินอึ๋ง ☕️ จิบกาแฟ Café Palm Beach & SON TRA MARINA CAFE 🎀 โบสถ์สีชมพู – ช้อปปิ้งฮาน มาร์เก็ต 📌 ที่เดียว เที่ยวครบ ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม คาเฟ่ และแลนด์มาร์ก จองเลยก่อนเต็ม! #เวียดนามกลาง #ดานังฮอยอัน #บานาฮิลส์ #สะพานมือยักษ์ #บินหรูEmirates #เที่ยวเวียดนาม #ลดแรงแซงทุกโปร #เที่ยวฟูลเซอร์วิส ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e2c73e ดูทัวร์เวียดนามทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/8d0826 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์เวียดนาม #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 769 มุมมอง 0 รีวิว
  • Xu Yang นักศึกษาจีนทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของไมโครโดรน

    Xu Yang นักศึกษาชาวจีน สร้างสถิติโลกใหม่สำหรับไมโครโดรน โดยโดรนของเขา สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 340.78 กม./ชม. (211.75 ไมล์/ชม.) ซึ่งเทียบเท่ากับความเร็วของรถไฟความเร็วสูง

    Xu Yang ใช้ใบพัดที่ออกแบบเองผ่านการพิมพ์ 3 มิติ
    - ช่วยให้ โดรนของเขามีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำลายสถิติ

    ไมโครโดรนของเขามีน้ำหนักต่ำกว่า 250 กรัม
    - ทำให้ สามารถบินได้เร็วขึ้นโดยลดแรงต้านอากาศ

    สถิตินี้ได้รับการรับรองจาก Guinness World Records
    - เป็น สถิติใหม่สำหรับโดรนควอดคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ควบคุมจากระยะไกล

    Xu Yang ได้รับความช่วยเหลือจากนักแข่งโดรนมืออาชีพในการพัฒนาเทคโนโลยี
    - ทำให้ สามารถปรับปรุงการออกแบบให้เหมาะสมกับการแข่งขัน

    ไมโครโดรนกำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้น
    - อาจมีการนำไปใช้ใน การแข่งขันกีฬาและการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/chinese-student-xu-yang-breaks-impossible-microdrone-world-speed-record
    Xu Yang นักศึกษาจีนทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของไมโครโดรน Xu Yang นักศึกษาชาวจีน สร้างสถิติโลกใหม่สำหรับไมโครโดรน โดยโดรนของเขา สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 340.78 กม./ชม. (211.75 ไมล์/ชม.) ซึ่งเทียบเท่ากับความเร็วของรถไฟความเร็วสูง ✅ Xu Yang ใช้ใบพัดที่ออกแบบเองผ่านการพิมพ์ 3 มิติ - ช่วยให้ โดรนของเขามีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำลายสถิติ ✅ ไมโครโดรนของเขามีน้ำหนักต่ำกว่า 250 กรัม - ทำให้ สามารถบินได้เร็วขึ้นโดยลดแรงต้านอากาศ ✅ สถิตินี้ได้รับการรับรองจาก Guinness World Records - เป็น สถิติใหม่สำหรับโดรนควอดคอปเตอร์ขนาดเล็กที่ควบคุมจากระยะไกล ✅ Xu Yang ได้รับความช่วยเหลือจากนักแข่งโดรนมืออาชีพในการพัฒนาเทคโนโลยี - ทำให้ สามารถปรับปรุงการออกแบบให้เหมาะสมกับการแข่งขัน ✅ ไมโครโดรนกำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้น - อาจมีการนำไปใช้ใน การแข่งขันกีฬาและการพัฒนาเทคโนโลยีการบิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/chinese-student-xu-yang-breaks-impossible-microdrone-world-speed-record
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Chinese student Xu Yang breaks ‘impossible’ microdrone world speed record
    With help from other drone speedsters, Xu comes up with his own 3D-printed propellers for his superfast small quadcopter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าการออกกำลังทำเป็นยาได้ มันจะเป็นยาที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา

    การออกกำลังกาย สามารถป้องกันโรคได้ ท้้ง 3 ระดับ ครับ

    Primary Prevention – ป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค

    Secondary Prevention – ป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม

    Tertiary Prevention – ฟื้นฟูหลังเป็นโรค ไม่ให้ทรุดลง

    แต่ละ โรค มีข้อแนะนำการออกกำลังกายที่แตกต่างกันในรายละเอียด สรุปสั้นๆ

    1. ข้อเสื่อม (Arthritis)

    ควรทำ: เดินช้า | ปั่นจักรยาน | ว่ายน้ำ | เวทเบา

    เพราะ: ลดแรงกระแทก ลดน้ำหนักตัว เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อ ลดอักเสบ

    2. มะเร็ง (Cancer – เต้านม, ลำไส้, ต่อมลูกหมาก)

    ควรทำ: เดินเร็ว | ยกเวทเบา | ควบคุมอาหาร

    เพราะ: ลดไขมัน ลดฮอร์โมนที่กระตุ้นเซลล์มะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน

    3. ถุงลมโป่งพอง (COPD)

    ควรทำ: ปั่นจักรยานเบา | เวทเบา
    เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ปรับลมหายใจให้มีประสิทธิภาพ
    (ควรออกช่วงที่ใช้ยาขยายหลอดลมหรือมีออกซิเจน)

    4. ไตวายเรื้อรัง (Chronic Renal Failure)

    ควรทำ: เดินเร็ว | เวทเบา

    เพราะ: ลดความดัน คุมเบาหวาน ลดกล้ามเนื้อลีบ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน

    5. หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)

    ควรทำ: เดินช้า | เวทเบา | ปั่นจักรยานเบา

    เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูหัวใจ ลดอาการอ่อนแรง

    6. หลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)

    ควรทำ: เดินเร็ว | ปั่นจักรยาน | เวทเบา

    เพราะ: ลดไขมัน เพิ่มสมรรถภาพหัวใจ ป้องกันโรคซ้ำ

    7. สมองเสื่อม (Dementia)

    ควรทำ: เดิน | ฝึกทรงตัว | เวทเบา

    เพราะ: เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ลดล้ม ชะลอภาวะเสื่อม

    8. ซึมเศร้า (Depression)

    ควรทำ: เดินเร็ว | วิ่งเบา | โยคะ | เวท

    เพราะ: กระตุ้นสารแห่งความสุข ลดเครียด เพิ่มการเข้าสังคม

    9. กระดูกพรุน (Osteoporosis)

    ควรทำ: กระโดดเบา ๆ (ถ้าไม่ปวดข้อ) | ฝึกทรงตัว | เวท

    เพราะ: เพิ่มมวลกระดูก เสริมความแข็งแรง ลดความกลัวล้ม

    10. หลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Vascular Disease)

    ควรทำ: เครื่องปั่นจักรยาน ด้วยแขน | เดินจนปวด แล้วพัก

    เพราะ: กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดอาการปวดขา

    11. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

    ควรทำ: ฝึกทรงตัว | เวทเบา | เดิน (ถ้าปลอดภัย)

    เพราะ: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ลดล้ม (ต้องดูแลใกล้ชิด)

    12. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

    ควรทำ: เดินเร็ว | เวทเบา (วันเว้นวัน)

    เพราะ: คุมน้ำตาล ลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ใช้กลูโคสดีขึ้น
    (เลี่ยงแรงกระแทกถ้ามีปลายประสาทเสื่อม)

    13. เส้นเลือดดำขาไหลเวียนไม่ดี (Venous Insufficiency)

    ควรทำ: เดิน | ยกขา | ฝึกกล้ามเนื้อขา

    เพราะ: ช่วยส่งเลือดกลับหัวใจ ลดบวม ลดเสี่ยงอักเสบ


    ดังนั้น ยิ่งมีโรคเยอะ ยิ่งได้ประโยชน์เยอะจากการออกกำลังนะครับ ไม่ใช่ควรอยู่เฉยๆ ไม่กล้าออกกำลัง เพราะยิ่งทำให้สุขภาพไม่ดีและโรคแย่ลงครับ

    การออกกำลังจึงเป็น ยาที่ดีที่สุด อันนึงเลยครับ
    👍ถ้าการออกกำลังทำเป็นยาได้ มันจะเป็นยาที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา📌 การออกกำลังกาย สามารถป้องกันโรคได้ ท้้ง 3 ระดับ ครับ 👉Primary Prevention – ป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค 👇Secondary Prevention – ป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม 👉Tertiary Prevention – ฟื้นฟูหลังเป็นโรค ไม่ให้ทรุดลง 📌แต่ละ โรค มีข้อแนะนำการออกกำลังกายที่แตกต่างกันในรายละเอียด สรุปสั้นๆ 1. 🦴 ข้อเสื่อม (Arthritis) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินช้า | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏊‍♂️ว่ายน้ำ | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: ลดแรงกระแทก ลดน้ำหนักตัว เสริมกล้ามเนื้อรอบข้อ ลดอักเสบ 2. 🎗️ มะเร็ง (Cancer – เต้านม, ลำไส้, ต่อมลูกหมาก) ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️ยกเวทเบา | 🍽️ควบคุมอาหาร เพราะ: ลดไขมัน ลดฮอร์โมนที่กระตุ้นเซลล์มะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน 3. 🌬️ ถุงลมโป่งพอง (COPD) ควรทำ: 🚴‍♂️ปั่นจักรยานเบา | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ปรับลมหายใจให้มีประสิทธิภาพ (ควรออกช่วงที่ใช้ยาขยายหลอดลมหรือมีออกซิเจน) 4. 🩸 ไตวายเรื้อรัง (Chronic Renal Failure) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️เวทเบา เพราะ: ลดความดัน คุมเบาหวาน ลดกล้ามเนื้อลีบ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน 5. ❤️ หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure) ควรทำ: 🚶เดินช้า | 🏋️‍♂️เวทเบา | 🚴ปั่นจักรยานเบา เพราะ: เสริมกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูหัวใจ ลดอาการอ่อนแรง 6. 💓 หลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) ควรทำ: 🚶‍♀️เดินเร็ว | 🚴‍♀️ปั่นจักรยาน | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: ลดไขมัน เพิ่มสมรรถภาพหัวใจ ป้องกันโรคซ้ำ 7. 🧠 สมองเสื่อม (Dementia) ควรทำ: 🚶เดิน | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️‍♀️เวทเบา เพราะ: เพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมอง ลดล้ม ชะลอภาวะเสื่อม 8. ☁️ ซึมเศร้า (Depression) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏃‍♀️วิ่งเบา | 🧘‍♀️โยคะ | 🏋️‍♂️เวท เพราะ: กระตุ้นสารแห่งความสุข ลดเครียด เพิ่มการเข้าสังคม 9. 🦴 กระดูกพรุน (Osteoporosis) ควรทำ: 🦘กระโดดเบา ๆ (ถ้าไม่ปวดข้อ) | ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวท เพราะ: เพิ่มมวลกระดูก เสริมความแข็งแรง ลดความกลัวล้ม 10. 🦵 หลอดเลือดส่วนปลายตีบ (Peripheral Vascular Disease) ควรทำ: เครื่องปั่นจักรยาน ด้วยแขน | 🚶เดินจนปวด แล้วพัก เพราะ: กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดอาการปวดขา 11. 🧠 โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ควรทำ: ⚖️ฝึกทรงตัว | 🏋️เวทเบา | 🚶‍♀️เดิน (ถ้าปลอดภัย) เพราะ: ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ลดล้ม (ต้องดูแลใกล้ชิด) 12. 🍬 เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ควรทำ: 🚶‍♂️เดินเร็ว | 🏋️‍♀️เวทเบา (วันเว้นวัน) เพราะ: คุมน้ำตาล ลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ใช้กลูโคสดีขึ้น (เลี่ยงแรงกระแทกถ้ามีปลายประสาทเสื่อม) 13. 🦶 เส้นเลือดดำขาไหลเวียนไม่ดี (Venous Insufficiency) ควรทำ: 🚶‍♀️เดิน | 🦵ยกขา | 🏋️‍♂️ฝึกกล้ามเนื้อขา เพราะ: ช่วยส่งเลือดกลับหัวใจ ลดบวม ลดเสี่ยงอักเสบ ❤️❤️❤️ ดังนั้น ยิ่งมีโรคเยอะ ยิ่งได้ประโยชน์เยอะจากการออกกำลังนะครับ ไม่ใช่ควรอยู่เฉยๆ ไม่กล้าออกกำลัง เพราะยิ่งทำให้สุขภาพไม่ดีและโรคแย่ลงครับ การออกกำลังจึงเป็น ยาที่ดีที่สุด อันนึงเลยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 741 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสถียรของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 Intel ได้ปล่อย ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability ซึ่งเป็นปัญหาที่พบใน ซีพียูเดสก์ท็อปรุ่นที่ 13 และ 14 โดยอัปเดตใหม่นี้ ช่วยปรับปรุงเสถียรภาพของระบบโดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ

    ก่อนหน้านี้ Intel ได้ออก ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12B เพื่อลดแรงดันไฟฟ้าที่สูงเกินไป แต่ยังพบปัญหาในบางกรณี ทำให้ต้องออก เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม

    Intel ออกไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability
    - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B
    - ช่วยปรับปรุง เสถียรภาพของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14

    อัปเดตใหม่นี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของซีพียู
    - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพจากอัปเดตนี้

    Intel แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุด
    - ควรใช้ Intel Default Settings ใน BIOS เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ Vmin Shift Instability

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอัปเดต BIOS ได้จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด
    - หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับรุ่นเมนบอร์ด สามารถใช้คำสั่ง msinfo32 เพื่อตรวจสอบข้อมูลระบบ

    https://www.neowin.net/news/intel-says-latest-13th14th-gen-cpu-instability-bug-firmware-does-not-impact-performance/
    Intel ออกอัปเดตไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสถียรของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 Intel ได้ปล่อย ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability ซึ่งเป็นปัญหาที่พบใน ซีพียูเดสก์ท็อปรุ่นที่ 13 และ 14 โดยอัปเดตใหม่นี้ ช่วยปรับปรุงเสถียรภาพของระบบโดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้ Intel ได้ออก ไมโครโค้ดเวอร์ชัน 0x12B เพื่อลดแรงดันไฟฟ้าที่สูงเกินไป แต่ยังพบปัญหาในบางกรณี ทำให้ต้องออก เวอร์ชัน 0x12F เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม ✅ Intel ออกไมโครโค้ด 0x12F เพื่อแก้ไขปัญหา Vmin Shift Instability - เป็น ส่วนขยายของอัปเดต 0x12B - ช่วยปรับปรุง เสถียรภาพของซีพียูรุ่นที่ 13 และ 14 ✅ อัปเดตใหม่นี้ไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของซีพียู - Intel ยืนยันว่า ไม่มีการลดประสิทธิภาพจากอัปเดตนี้ ✅ Intel แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS เวอร์ชันล่าสุด - ควรใช้ Intel Default Settings ใน BIOS เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของ Vmin Shift Instability ✅ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอัปเดต BIOS ได้จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเมนบอร์ด - หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับรุ่นเมนบอร์ด สามารถใช้คำสั่ง msinfo32 เพื่อตรวจสอบข้อมูลระบบ https://www.neowin.net/news/intel-says-latest-13th14th-gen-cpu-instability-bug-firmware-does-not-impact-performance/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel says latest 13th/14th Gen CPU instability bug firmware does not impact performance
    Intel has issued new firmware to further fix stability issues on 13th and 14th Gen desktop processors. The new update is said to have almost no performance impact.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts