• “ศิริกัญญา" ตอก นายกฯแก้ศก.เหลว ลงคะแนนให้เสียของ เย้ยไม่เหมือนโฆษณามาทำเองเละคามือ บริหารพลาดอิท่าไหนทำคนคิดถึง “ลุงตู่” เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่เกษตรกรยันนักลงทุน บอกค่าแรง 400 หลอกลวงล้วนๆ เชื่อหลังชนฝาก็เอานโยบายเก่ามาปัดฝุ่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028455
    “ศิริกัญญา" ตอก นายกฯแก้ศก.เหลว ลงคะแนนให้เสียของ เย้ยไม่เหมือนโฆษณามาทำเองเละคามือ บริหารพลาดอิท่าไหนทำคนคิดถึง “ลุงตู่” เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่เกษตรกรยันนักลงทุน บอกค่าแรง 400 หลอกลวงล้วนๆ เชื่อหลังชนฝาก็เอานโยบายเก่ามาปัดฝุ่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000028455
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เรียกร้องมาเลเซียให้แก้ปัญหาช่องโหว่การส่งต่อชิป AI ระดับสูงของ NVIDIA ไปยังจีนอย่างผิดกฎหมาย มาเลเซียได้เริ่มจัดการเรื่องนี้แล้ว ด้วยการตั้งทีมตรวจสอบเพื่อควบคุมการส่งออก โดยชิป AI ของ NVIDIA มีความสำคัญมากในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง การขยับตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการคงความได้เปรียบของตนในด้าน AI ท่ามกลางการแข่งขันกับจีน

    มาตรการของมาเลเซีย:
    - มาเลเซียได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการส่งออกชิปของ NVIDIA โดยเน้นให้เซิร์ฟเวอร์ไปถึงศูนย์ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนเส้นทางไปยังจีน.

    ปัญหาการค้าผ่านช่องทางลับ:
    - การส่งต่อชิป NVIDIA ไปยังจีนเกิดขึ้นแม้จะมีข้อจำกัดการส่งออก โดยในกรณีหนึ่ง พบชาวสิงคโปร์ 3 คนขายเซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA มูลค่า 390 ล้านดอลลาร์ให้กับจีน.

    ผลกระทบและความสำคัญของชิป AI:
    - ชิป AI ของ NVIDIA เช่น Blackwell GPU มีความสำคัญอย่างมากสำหรับศูนย์ข้อมูล AI และมีความต้องการสูงทั่วโลก การขาดตลาดอาจทำให้รายได้ของ NVIDIA ลดลงหากช่องโหว่ถูกแก้ไข.

    ความท้าทายสำหรับมาเลเซีย:
    - แม้มาเลเซียจะได้รับการกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าผิดกฎหมาย แต่รัฐมนตรีการค้าของมาเลเซียปฏิเสธว่ามีหลักฐานเพียงพอ และประเทศเองก็มีความต้องการใช้ชิป AI สูงเนื่องจากได้รับการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ถึง 25 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศ.

    https://wccftech.com/the-us-has-reportedly-demanded-malaysia-to-patch-trade-loopholes/
    สหรัฐฯ เรียกร้องมาเลเซียให้แก้ปัญหาช่องโหว่การส่งต่อชิป AI ระดับสูงของ NVIDIA ไปยังจีนอย่างผิดกฎหมาย มาเลเซียได้เริ่มจัดการเรื่องนี้แล้ว ด้วยการตั้งทีมตรวจสอบเพื่อควบคุมการส่งออก โดยชิป AI ของ NVIDIA มีความสำคัญมากในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง การขยับตัวครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการคงความได้เปรียบของตนในด้าน AI ท่ามกลางการแข่งขันกับจีน มาตรการของมาเลเซีย: - มาเลเซียได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการส่งออกชิปของ NVIDIA โดยเน้นให้เซิร์ฟเวอร์ไปถึงศูนย์ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนเส้นทางไปยังจีน. ปัญหาการค้าผ่านช่องทางลับ: - การส่งต่อชิป NVIDIA ไปยังจีนเกิดขึ้นแม้จะมีข้อจำกัดการส่งออก โดยในกรณีหนึ่ง พบชาวสิงคโปร์ 3 คนขายเซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA มูลค่า 390 ล้านดอลลาร์ให้กับจีน. ผลกระทบและความสำคัญของชิป AI: - ชิป AI ของ NVIDIA เช่น Blackwell GPU มีความสำคัญอย่างมากสำหรับศูนย์ข้อมูล AI และมีความต้องการสูงทั่วโลก การขาดตลาดอาจทำให้รายได้ของ NVIDIA ลดลงหากช่องโหว่ถูกแก้ไข. ความท้าทายสำหรับมาเลเซีย: - แม้มาเลเซียจะได้รับการกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าผิดกฎหมาย แต่รัฐมนตรีการค้าของมาเลเซียปฏิเสธว่ามีหลักฐานเพียงพอ และประเทศเองก็มีความต้องการใช้ชิป AI สูงเนื่องจากได้รับการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ถึง 25 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศ. https://wccftech.com/the-us-has-reportedly-demanded-malaysia-to-patch-trade-loopholes/
    WCCFTECH.COM
    The US Has Reportedly Demanded Malaysia To Patch "Trade Loopholes" That Have Transferred Billions in NVIDIA AI Chips to China
    Malaysia is now starting its crackdown on the "trade loopholes", which involved the transfer of NVIDIA's AI chips to China, by illegal means.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • KENSUI Tokyo Open Trap Bar ออกแบบได้ดีเยียม....สุด สุด

    รวมเอา BAR 3 ชนิด คือ Seal Row Bar + Trap Bar + Cambered Bar รวมไว้ในหนึ่งเดียว ทำให้สามารถฝึกได้หลากหลายที่สุด
    ราคาในญี่ปุ่น (ประมาณ) 8,500 บาท

    ฉันทำเองได้ โดยใช้เหล็ก REBAR TATA รุ่น SD-40T ขนาด 25 mm. ซื้อที่ร้านค้าของเก่า ยาวประมาณ 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม ราคาไม่เกิน 200 บาท นำไปดัดด้วยเครื่องดัดเหล็ก RB-32 ได้สวยงาม..ง่ายๆ
    https://www.youtube.com/watch?v=vDGPChZNuZ8&t=80s

    เมื่อดัดเสร็จ นำไปยิงทราย เพื่อกำจัดสนิม แล้วส่งโรงชุบกัลวาไนซ์
    ค่าชุบ(งานน้อยชิ้น-ชิ้นเดียว) กิโลละ 20 บาท รอรับได้เลย
    เมื่อชุบออกมาจะไม่เป็นสนิม...ตลอดอายุการใช้งาน
    เล่นได้หลากหลาย มากกว่า 15 ท่าฝึก (ตามภาพ)
    สรุป ลงทุนไม่เกิน 500 บาท
    KENSUI Tokyo Open Trap Bar ออกแบบได้ดีเยียม....สุด สุด รวมเอา BAR 3 ชนิด คือ Seal Row Bar + Trap Bar + Cambered Bar รวมไว้ในหนึ่งเดียว ทำให้สามารถฝึกได้หลากหลายที่สุด ราคาในญี่ปุ่น (ประมาณ) 8,500 บาท ฉันทำเองได้ โดยใช้เหล็ก REBAR TATA รุ่น SD-40T ขนาด 25 mm. ซื้อที่ร้านค้าของเก่า ยาวประมาณ 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม ราคาไม่เกิน 200 บาท นำไปดัดด้วยเครื่องดัดเหล็ก RB-32 ได้สวยงาม..ง่ายๆ https://www.youtube.com/watch?v=vDGPChZNuZ8&t=80s เมื่อดัดเสร็จ นำไปยิงทราย เพื่อกำจัดสนิม แล้วส่งโรงชุบกัลวาไนซ์ ค่าชุบ(งานน้อยชิ้น-ชิ้นเดียว) กิโลละ 20 บาท รอรับได้เลย เมื่อชุบออกมาจะไม่เป็นสนิม...ตลอดอายุการใช้งาน เล่นได้หลากหลาย มากกว่า 15 ท่าฝึก (ตามภาพ) สรุป ลงทุนไม่เกิน 500 บาท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4
    .
    งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ
    .
    ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม
    .
    การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน
    .
    เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น
    .
    เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้
    .
    พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้”
    .
    สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้
    .
    ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ
    ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น
    .
    ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 4 . งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ รวมทั้งยิ่งทำงานหนัก ที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพียงใด ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถในงานเป็นอย่างดี พร้อมทั้งใส่ใจหาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเองเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ . ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก สูงสุดไม่เกิน 30ปีเศษ ก็ถึงวัยเกษียณ หากตลอดอายุการทำงานนั้นมิได้มีการวางแผนด้านรายได้และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และรัดกุมแล้ว เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก กล่าวคือ มีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว ก็ขาดรายได้ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุขและสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่า มีความสุขเพียงครึ่งเดียวของช่วงเวลา นั่นคือ สุขในวัยทำงานและทุกข์ในวัยพ้นทำงาน คำถามสำคัญก็คือ ทำอย่างไรบุคคลหนึ่งที่ทำงานมาตลอดชีวิต จะมีความสุขอันเกิดจากความมั่นคงทางการเงินไปตลอด มีมาตราฐานการครองชีพในระดับที่น่าพอใจอย่างคงที่ แม้จะพ้นจากวัยทำงานแล้วก็ตาม . การบรรลุคุณภาพชีวิตที่น่าพึงปรารถนาดังกล่าว เจ้าของรายได้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองในเบื้องแรก ไม่อาจหวังพึ่งภาครัฐ หรือนายจ้าง เพราะไม่อาจวางใจได้ว่าตนเองจะได้รับความมั่นคงในชีวิตสมดังใจหวังได้ เจ้าของรายได้จะต้องเป็นที่พึ่งของตนเองด้วยการวางแผน การหารายได้ การใช้จ่าย และการออม เพราะการออมจะนำไปสู่การลงทุน และการเกิดของรายได้ทั้งในวัยทำงานและวันพ้นทำงานโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน . เงินออม เป็นฐานสำคัญของการเป็นมิตรของเงิน และเงินออมของบุคคลจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า ความมัธยัสถ์ ซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช้จ่ายอย่างโง่เขลาเบาปัญญา ในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ตามแฟชั่น ทั้งๆที่ไม่จำเป็น . เงินออมของบุคคลใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายต่ำกว่ารายได้ และรายจ่ายจะต่ำกว่ารายได้ก็ต่อเมื่อมีความมัธยัสถ์เป็นอุปนิสัย การมัธยัสถ์มิใช่การเอาเปรียบหรือเห็นแก่ตัว หากเป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีวิตซึ่งใครก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ การที่บางคนชอบใช้เงินสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ซื้อของต่างๆโดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์ของการใช้สอย ก็เป็นแบบแผนหนึ่งของการดำรงชีพ คนมัธยัสถ์ที่ใจกว้างรู้จักการให้อย่างมีความหมาย อาจมีจำนวนมากกว่าคนสุรุ่ยสุร่ายที่ใจแคบและไม่รู้จักการให้ก็เป็นได้ . พฤติกรรมโดยรวมของบุคคลที่จะทำให้เงินเป็นมิตร ก็คือ “กินอยู่ต่ำกว่าฐานะ” หรือดังคำโบราณที่ว่า “จงมีเกินใช้ แต่อย่าใช้เกินมี” กล่าวคือ ไม่ว่าจะสามารถอยู่กินในระดับที่คนมีรายได้ขนาดเดียวกันอยู่กินได้อย่างไร ก็จงอยู่กินต่ำกว่าระดับนั้นเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้มีเงินออม และมีโอกาสให้ “เงินทำงานรับใช้” . สำหรับความเป็นศัตรูของเงินนั้น หมายถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เจ้าของเงิน อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้จ่าย ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีข้อสังเกตหลายประการดังต่อไปนี้ . ประการแรก : คือความปรารถนาที่จะบริโภคอย่างทันด่วนของผู้บริโภคโดยทั่วไป เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ยินดีกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง เพียงเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องใจ ประการที่สอง : การกู้ยืมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจับจ่าย ณ เวลานั้น จึงต้องกู้ยืม ซึ่งก็คือการนำรายได้ในอนาคตของตนมาใช้โดยต้องจ่ายต้นทุนสูง ต้นเหตุของการกู้ยืมส่วนใหญ่ก็มาจากรายจ่ายสูงกว่ารายได้ และเมือนั้นเงินก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย เพราะดอกเบี้ยจะทำงานตลอดเวลา และคอยทิ่มแทงเจ้าของไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น . ต้นทุนของการกู้ยืมนั้นสูง ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 100,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 9 ต่อปี ถ้ากู้เงินโดยไม่ชำระอย่างใดทั้งสิ้น ภายในเวลา 8 ปี ยอดเงินต้นและดอกเบี้ยรวมกัน จะเพิ่มอีกประมาณหนึ่งเท่าตัวเป็น 200,000 บาท และหากยังไม่ชำระอีก ในเวลา 8 ปีต่อมา ยอดเงินนี้ก็จะสูงขึ้นอีกเป็น 400,000 บาท หรือประมาณ 4 เท่าตัว ของเงินต้นในเวลา 16 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบเงินทุนไหลออกจากอียูแตะระดับ 300,000 ล้านยูโรปต่อปี หลังนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเคลื่อนย้ายเงินเข้าสู่ทรัพย์สินที่อยู่นอกภูมิภาค จากคำกล่าวอ้างของ อันโตนิโอ คอสตา ประธานคณะมนตรียุโรป เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางปัญหาต่างๆนานา ที่บางส่วนเป็นผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งในยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000027776
    พบเงินทุนไหลออกจากอียูแตะระดับ 300,000 ล้านยูโรปต่อปี หลังนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเคลื่อนย้ายเงินเข้าสู่ทรัพย์สินที่อยู่นอกภูมิภาค จากคำกล่าวอ้างของ อันโตนิโอ คอสตา ประธานคณะมนตรียุโรป เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางปัญหาต่างๆนานา ที่บางส่วนเป็นผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งในยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000027776
    Like
    Haha
    Sad
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 730 มุมมอง 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 2
    .
    การครองชีวิตอย่างมีกิน มีใช้เสมอกันตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในวัยทำงานหาเงินหรือวัยพ้นทำงานที่พลังในการหารายได้ลดน้อยลง หากใช้เงินในวัยทำงานอย่างไม่มีการวางแผนเพื่ออนาคตอย่างดีแล้ว ชีวิตในวัยบั้นปลายก็จะลำบาก
    .
    แผนการอดออมในช่วงวัยทำงาน เพื่อเก็บเงินไว้ใช้ เพื่อความมั่นคงในอนาคต เปรียบเสทอนการ “ยอมจน (วันนี้) เพื่อรวย (วันข้างหน้า)” ในขณะที่หากไม่มีแผนอดออมเพื่ออนาคต มีเงินเท่าใดใช้ไปอย่างสนุกในวัยทำงาน จะเปรียบเสมือนกับการ ราย (วันนี้) เพื่อจน (วันข้างหน้า)
    .
    มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกชีวิตของตนเองได้ว่าจะสนุกสนานในการใช้เงินในวันนี้แต่ไม่มีอนาคตที่มั่นคง หรือจะยอมทนลำบากด้านเงินทองในวันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงในวันข้างหน้า อย่าลืมว่าชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก และการยอมรับผล จากการเลือกนั่น
    .
    อย่างไรที่เรียกว่า “รวย” รายได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะของแหล่งที่มา อย่างแรกต้องออกแรงทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง อย่างที่ 2 ไม่ต้องออกแรงทำงาน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ เมื่อใดที่มาตราฐานการครองชีพอยู่ในระดับสุขสบาย มีปัจจัยสี่ และความสะดวกสบายอื่นๆ อย่างครบถ้วนในระดับหนึ่ง และมีรายได้จากการไม่ต้องทำงานสูงกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ก็เรียกได้ว่าเป็น “คนรวย” แล้ว
    .
    การทำงานก่อให้เกิดรายได้ และรายได้นั้นก็ต้องจ่ายออกไปเป็นค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ค่าเดินทาง ค่าบันเทิงหย่อนใจ ฯลฯ เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หากไม่ระวัง รายได้ทั้งเดือนจะหมดสิ้นไป หรืออาจต้องขอจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่เพิ่มเติม หรืออาจต้องกู้ยิมเพิ่มเติมจนเป็นหนี้เป็นสิน อย่างนี้เรียกว่าไม่มีเงินออม
    .
    The Richest Man in Babylon ซึ่งเขียนโดย G.S. Clason เมื่อ 100 ปีก่อน เป็นหนังสือที่มียอดขายรวมมากกว่า 1.5 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้สอนเรื่องการสร้างความร่ำรวยด้วยการออม และการลงทุนที่ชาญฉลาดในรูปแบบของนิทาน สถานที่คือ เมืองบาบิโลนของอณาจักรเมโสโปเตเมีย แหล่งวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลกเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว
    .
    เรื่องมีอยู่ว่า... 2 หนุ่มช่างซ่อมล้อรถ และนักดนตรีของเมืองนี้มีภรรยาและลูกที่ต้องเลี้ยงดู ทำให้เขาทั้ง 2 ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ทั้งสองหารือกันว่า ทำอย่างไรจึงจะรวย จึงพากันไปถามอาร์กอด คนรวยที่สุดในบาบิโลน ทั้งคู่ถามว่าเขามีโชคอย่างไรจึงร่ำรวยเช่นนี้ได้ อาร์กอดตอบว่า การคิดว่าโชคคือตัวการสำคัญที่ทำให้คนร่ำรวยนั้นผิดถนัด เหตุที่ทั้ง 2 ยากจนก็เพราะไม่รู้กฏเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่ง ตัวเขาได้เรียนรู้ความลับของการเป็นคนรวย จากคนให้กู้เงินที่ว่า “ส่วนหนึ่งของเงินที่หามาได้จะต้องเก็บไว้ให้มันเป็นของเราเสมอ
    .
    ทั้งสองจึงถามต่อว่า “ก็เงินที่เราหามาได้ มันไม่ใช่ของเราทั้งหมดหรอกหรือ” อาร์กอดตอบว่า ไม่ใช่ เพราะเมื่อมีรายได้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการครองชีพและหาความสุขก็จะกินมันไปหมด ตัวเราจะกลายเป็นทาสของงาน มีชีวิตและความสุขบ้างไปวัน ๆ เท่านั้น ถ้าจะให้รายได้บางส่วนเป็นของเราเองอย่างแท้จริงแล้ว ต้องกันส่วนหนึ่งออกมาต่างหาก โดยไม่นำไปใช้จ่าย เงินที่กันออกไปนี้ ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของรายได้
    .
    เงินที่กันไว้นี้ เมื่อสะสมหลายปีเข้า ก็จะเป็นก้อนใหญ่และสร้างรายได้ให้เราได้ ( เช่น เอาไปให้คนกู้ หรือปลูกบ้านเช่า) โดยเราไม่ต้องทำงาน เมื่อเริ่มต้นอาจมีไม่มาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญต้องยึดกฏที่ว่า “ต้องจ่ายเงินให้ตัวเราเองก่อนเสมอ” กล่าวคือ ทำให้ส่วนหนึ่งของรายได้มาเป็นของเรา ทั้งนี้ไม่ว่าจะหามาได้มากหรือน้อยเพียงใด
    .
    สิ่งที่ อาร์กอด พูดถึงนี้ก็คือ “เงินออม” นั่นเอง ถ้าคนทำงานปล่อยให้เงินที่หามาได้ ถูกใช้จ่ายไปตามยถากรรมแล้ว ก็ถือได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของเงินที่หามาได้เลย เพราะเขาไม่ได้จ่ายเงินเป็นรางวัลให้ตัวเอง และเก็บไว้เป็นของเขาเอง. เงินออมเป็นรางวัลที่ผู้ทำงานต้องกันไว้ให้ตนเองเสมอ ปัจจุบันอัตราที่ควรกันไว้นี้เข้มข้นกว่าสมัย บาบิโลน อาร์กอดสมัยใหม่แนะนำว่า ให้กันเงินไว้อย่างต่ำร้อยละ 15 ของรายได้
    .
    ความสำคัญของการออมสรุปได้ดังนี้
    ประการแรก : การออมสม่ำเสมอเป็นการสะสมเงินรางวัลของผู้ทำงาน เพื่อให้เป็นเงินก้อนไปลงทุนในกิจกรรมซึ่งจะนำผลตอบแทนในรูปอื่นที่มิได้มาจากการตรากตรำออกแรงหาเงินมาให้เจ้าของ เช่น ดอกเบี้ยค่าเช่า
    ประการที่สอง : การออมเงินทำให้เกิดกระบวนการ “เงินทำงานรับใช้” ขึ้น โดยเจ้าของไม่ต้องออกแรงก็ได้ผลตอบแทนดังกล่าวแล้วในข้อแรก
    ประการที่สาม : การออมเป็นการสร้างนิสัยให้รู้จักประหยัด เพราะยิ่งใช้จ่ายน้อยเท่าใดก็สามารถออมได้มากเพียงนั้น
    ประการสุดท้าย : ถ้าไม่มีการออม ก็ไม่มีการลงทุนในอนาคต เพราะการขยายกิจการเดิมหรือลงทุนใหม่ล้วนต้องการเงินลงทุนเพิ่มทั้งสิ้น และเงินลงทุนนั้นต้องมาจากที่ใดสักแห่ง ถ้าไม่มาจากเงินออมที่เกิดจากการกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้ ก็ต้องมาจากเงินกู้ยืม ซึ่งเงินกู้ยืมนั้น วันหนึ่งก็ต้องใช้คืนเจ้าของพร้อมด้วยดอกเบี้ย การออมจึงเป็นแหล่งเงินของการลงทุนที่ถูกกว่าการกู้ยืม
    .
    เศรษฐศาสตร์ให้คำจำกัดความว่า เงินออมคือส่วนของรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ในกรณีของรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ในกรณีของอาร์กอดที่ให้กันเงินออมไว้ร้อยละ 10 ของรายได้เลยนั้น มีความหมายว่าบังคับให้บริโภคเพียงร้อยละ 90 ของรายได้เท่านั้น
    .
    ตราบใดที่สามารถควบคุมการใช้จ่ายจนมีเงินเหลือออมแล้ว อานุภาพอันเกิดจากการมีวินัยบังคับใจตนเองนี้จะทำให้เงินออมเติบโตขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อด้วย “ดีเอ็นเอ” ที่ฝังตัวอยู่ในเงินออมที่มีชื่อว่า “ดอกเบี้ยทบต้น”
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 2 . การครองชีวิตอย่างมีกิน มีใช้เสมอกันตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในวัยทำงานหาเงินหรือวัยพ้นทำงานที่พลังในการหารายได้ลดน้อยลง หากใช้เงินในวัยทำงานอย่างไม่มีการวางแผนเพื่ออนาคตอย่างดีแล้ว ชีวิตในวัยบั้นปลายก็จะลำบาก . แผนการอดออมในช่วงวัยทำงาน เพื่อเก็บเงินไว้ใช้ เพื่อความมั่นคงในอนาคต เปรียบเสทอนการ “ยอมจน (วันนี้) เพื่อรวย (วันข้างหน้า)” ในขณะที่หากไม่มีแผนอดออมเพื่ออนาคต มีเงินเท่าใดใช้ไปอย่างสนุกในวัยทำงาน จะเปรียบเสมือนกับการ ราย (วันนี้) เพื่อจน (วันข้างหน้า) . มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกชีวิตของตนเองได้ว่าจะสนุกสนานในการใช้เงินในวันนี้แต่ไม่มีอนาคตที่มั่นคง หรือจะยอมทนลำบากด้านเงินทองในวันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงในวันข้างหน้า อย่าลืมว่าชีวิตเป็นเรื่องของการเลือก และการยอมรับผล จากการเลือกนั่น . อย่างไรที่เรียกว่า “รวย” รายได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะของแหล่งที่มา อย่างแรกต้องออกแรงทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง อย่างที่ 2 ไม่ต้องออกแรงทำงาน เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ เมื่อใดที่มาตราฐานการครองชีพอยู่ในระดับสุขสบาย มีปัจจัยสี่ และความสะดวกสบายอื่นๆ อย่างครบถ้วนในระดับหนึ่ง และมีรายได้จากการไม่ต้องทำงานสูงกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ก็เรียกได้ว่าเป็น “คนรวย” แล้ว . การทำงานก่อให้เกิดรายได้ และรายได้นั้นก็ต้องจ่ายออกไปเป็นค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ค่าเดินทาง ค่าบันเทิงหย่อนใจ ฯลฯ เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า หากไม่ระวัง รายได้ทั้งเดือนจะหมดสิ้นไป หรืออาจต้องขอจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่เพิ่มเติม หรืออาจต้องกู้ยิมเพิ่มเติมจนเป็นหนี้เป็นสิน อย่างนี้เรียกว่าไม่มีเงินออม . The Richest Man in Babylon ซึ่งเขียนโดย G.S. Clason เมื่อ 100 ปีก่อน เป็นหนังสือที่มียอดขายรวมมากกว่า 1.5 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้สอนเรื่องการสร้างความร่ำรวยด้วยการออม และการลงทุนที่ชาญฉลาดในรูปแบบของนิทาน สถานที่คือ เมืองบาบิโลนของอณาจักรเมโสโปเตเมีย แหล่งวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลกเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว . เรื่องมีอยู่ว่า... 2 หนุ่มช่างซ่อมล้อรถ และนักดนตรีของเมืองนี้มีภรรยาและลูกที่ต้องเลี้ยงดู ทำให้เขาทั้ง 2 ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ทั้งสองหารือกันว่า ทำอย่างไรจึงจะรวย จึงพากันไปถามอาร์กอด คนรวยที่สุดในบาบิโลน ทั้งคู่ถามว่าเขามีโชคอย่างไรจึงร่ำรวยเช่นนี้ได้ อาร์กอดตอบว่า การคิดว่าโชคคือตัวการสำคัญที่ทำให้คนร่ำรวยนั้นผิดถนัด เหตุที่ทั้ง 2 ยากจนก็เพราะไม่รู้กฏเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่ง ตัวเขาได้เรียนรู้ความลับของการเป็นคนรวย จากคนให้กู้เงินที่ว่า “ส่วนหนึ่งของเงินที่หามาได้จะต้องเก็บไว้ให้มันเป็นของเราเสมอ . ทั้งสองจึงถามต่อว่า “ก็เงินที่เราหามาได้ มันไม่ใช่ของเราทั้งหมดหรอกหรือ” อาร์กอดตอบว่า ไม่ใช่ เพราะเมื่อมีรายได้ ค่าใช้จ่ายเพื่อการครองชีพและหาความสุขก็จะกินมันไปหมด ตัวเราจะกลายเป็นทาสของงาน มีชีวิตและความสุขบ้างไปวัน ๆ เท่านั้น ถ้าจะให้รายได้บางส่วนเป็นของเราเองอย่างแท้จริงแล้ว ต้องกันส่วนหนึ่งออกมาต่างหาก โดยไม่นำไปใช้จ่าย เงินที่กันออกไปนี้ ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ . เงินที่กันไว้นี้ เมื่อสะสมหลายปีเข้า ก็จะเป็นก้อนใหญ่และสร้างรายได้ให้เราได้ ( เช่น เอาไปให้คนกู้ หรือปลูกบ้านเช่า) โดยเราไม่ต้องทำงาน เมื่อเริ่มต้นอาจมีไม่มาก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญต้องยึดกฏที่ว่า “ต้องจ่ายเงินให้ตัวเราเองก่อนเสมอ” กล่าวคือ ทำให้ส่วนหนึ่งของรายได้มาเป็นของเรา ทั้งนี้ไม่ว่าจะหามาได้มากหรือน้อยเพียงใด . สิ่งที่ อาร์กอด พูดถึงนี้ก็คือ “เงินออม” นั่นเอง ถ้าคนทำงานปล่อยให้เงินที่หามาได้ ถูกใช้จ่ายไปตามยถากรรมแล้ว ก็ถือได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของเงินที่หามาได้เลย เพราะเขาไม่ได้จ่ายเงินเป็นรางวัลให้ตัวเอง และเก็บไว้เป็นของเขาเอง. เงินออมเป็นรางวัลที่ผู้ทำงานต้องกันไว้ให้ตนเองเสมอ ปัจจุบันอัตราที่ควรกันไว้นี้เข้มข้นกว่าสมัย บาบิโลน อาร์กอดสมัยใหม่แนะนำว่า ให้กันเงินไว้อย่างต่ำร้อยละ 15 ของรายได้ . ความสำคัญของการออมสรุปได้ดังนี้ ประการแรก : การออมสม่ำเสมอเป็นการสะสมเงินรางวัลของผู้ทำงาน เพื่อให้เป็นเงินก้อนไปลงทุนในกิจกรรมซึ่งจะนำผลตอบแทนในรูปอื่นที่มิได้มาจากการตรากตรำออกแรงหาเงินมาให้เจ้าของ เช่น ดอกเบี้ยค่าเช่า ประการที่สอง : การออมเงินทำให้เกิดกระบวนการ “เงินทำงานรับใช้” ขึ้น โดยเจ้าของไม่ต้องออกแรงก็ได้ผลตอบแทนดังกล่าวแล้วในข้อแรก ประการที่สาม : การออมเป็นการสร้างนิสัยให้รู้จักประหยัด เพราะยิ่งใช้จ่ายน้อยเท่าใดก็สามารถออมได้มากเพียงนั้น ประการสุดท้าย : ถ้าไม่มีการออม ก็ไม่มีการลงทุนในอนาคต เพราะการขยายกิจการเดิมหรือลงทุนใหม่ล้วนต้องการเงินลงทุนเพิ่มทั้งสิ้น และเงินลงทุนนั้นต้องมาจากที่ใดสักแห่ง ถ้าไม่มาจากเงินออมที่เกิดจากการกันส่วนหนึ่งของรายได้ไว้ ก็ต้องมาจากเงินกู้ยืม ซึ่งเงินกู้ยืมนั้น วันหนึ่งก็ต้องใช้คืนเจ้าของพร้อมด้วยดอกเบี้ย การออมจึงเป็นแหล่งเงินของการลงทุนที่ถูกกว่าการกู้ยืม . เศรษฐศาสตร์ให้คำจำกัดความว่า เงินออมคือส่วนของรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ในกรณีของรายได้ที่เหลือจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ในกรณีของอาร์กอดที่ให้กันเงินออมไว้ร้อยละ 10 ของรายได้เลยนั้น มีความหมายว่าบังคับให้บริโภคเพียงร้อยละ 90 ของรายได้เท่านั้น . ตราบใดที่สามารถควบคุมการใช้จ่ายจนมีเงินเหลือออมแล้ว อานุภาพอันเกิดจากการมีวินัยบังคับใจตนเองนี้จะทำให้เงินออมเติบโตขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อด้วย “ดีเอ็นเอ” ที่ฝังตัวอยู่ในเงินออมที่มีชื่อว่า “ดอกเบี้ยทบต้น”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 มีนาคม 2568-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กSiamtownUSระบุว่าเริ่มตรวจโซเชียลมีเดีย ผู้ขอใบเขียว-สัญชาติแอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : หนึ่งในมาตรการตรวจเข้มต่างชาติที่ต้องการเข้าประเทศ หรืออยู่ในประเทศแบบถาวร คือต้องยอมให้ตรวจ “โซเชียลมีเดีย” ด้วย มีผลทั้งกับผู้ขอใบเขียว เปลี่ยนสัญชาติ รวมถึงการขอเข้าประเทศชั่วคราวด้วย กระทรวงความมั่นคงภายใน (โฮมแลนด์ฯ) ประกาศผ่านเว็บไซต์ the Federal Register เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 ถึงมาตรการใหม่ที่จะกระชับการตรวจสอบประวัติผู้ยื่นขอรับสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ ตั้งแต่การยื่นขอใบเขียวจนถึงการยื่นขอเปลี่ยนสัญชาติ ให้มีความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นมาตรการดังกล่าวคือ “ผู้ยื่นแบบฟอร์ม ต้องให้ข้อมูลโซเชียลมีเดีย เพื่อให้รัฐตรวจสอบด้วย”รายละเอียดที่ระบุใน เดอะเฟดเดอรัล รีจีสเตอร์ บอกว่า มาตรการใหม่ ซึ่งมีขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งบริหารเลขที่ 14161 ว่าด้วยการคุ้มครองสหรัฐอเมริกา จากภัยก่อการร้ายต่างประเทศ, เพื่อความมั่นคงภายใน และความปลอดภัยของสาธารณะชน ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมาโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติ (U.S. Citizenship and Immigration Service – USCIS) จะเรียกเก็บข้อมูลโซเชียลมีเดีย (แต่ไม่เรียกเก็บพาสเวิร์ด) เพื่อตรวจสอบว่าผู้ยื่นแบบฟอร์มขอรับประโยชน์จาก USCIS มีความเสี่ยงใดๆ ต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยต่อสาธารณะหรือไม่มาตรการใหม่ จะมีผลกับผู้ยื่นแบบฟอร์มเกี่ยวกับอิมมิเกรชั่น 9 ประเภท คือ-N-400 (Application for Naturalization) ขอเปลี่ยนสัญชาติ-I-131 (Application for Travel Document) ขอเดินทางออกนอกประเทศ-I-192 (Application for Advance Permission to Enter as Nonimmigrant) วีซ่าชั่วคราว สำหรับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น การลงทุน ศึกษาดูงาน ประชุม การปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน การเผยแผ่ศาสนา เป็นต้น-I-485 (Application for Adjustment of Status) ขอปรับสถานภาพ (ขอใบเขียว)-I-589 (Application for Asylum and for Withholding of Removal) ขอลี้ภัยหรือขอระงับการเนรเทศ-I-590 (Registration for Classification as Refugee) ขอรับการจัดประเภทเป็นผู้ลี้ภัย-I-730 (Refugee/Asylee Relative Petition) ขอให้ญาติได้รับการให้สถานะผู้ลี้ภัย-I-751 (Petition to Remove Conditions on Residence) ขอยกเลิกเงื่อนไขการพำนักอาศัย-I-829 (Petition by Investor to Remove Conditions on Permanent Resident Status) ขอจากนักลงทุน ให้ยกเลิกเงื่อนไขสถานะผู้พำนักถาวรสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฯ ประเมินว่าการกระชับมาตรการตรวจสอบฯ ครั้งนี้ มีผลกับผู้ยื่นแบบฟอร์มต่างๆ ปีละกว่า 3.5 ล้านคนอย่างไรก็ตาม หากไม่เห็นชอบกับมาตรการใหม่ของกระทรวงความมั่นคงภายในฯ สาธารณชนมีเวลา 60 วันนับจากการประกาศใน the Federal Register เพื่อยื่นคัดค้าน (ผ่านการแสดงความเห็น) ที่ https://www.regulations.gov/document/USCIS-2025-0003-0001) โดยกระทรวงความมั่นคงฯ จะทำการทบทวนความเห็นเหล่านี้อีกครั้ง ก่อนจะประกาศใช้ (หรือเพิกถอน).
    22 มีนาคม 2568-รายงานจากเพจเฟซบุ๊กSiamtownUSระบุว่าเริ่มตรวจโซเชียลมีเดีย ผู้ขอใบเขียว-สัญชาติแอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : หนึ่งในมาตรการตรวจเข้มต่างชาติที่ต้องการเข้าประเทศ หรืออยู่ในประเทศแบบถาวร คือต้องยอมให้ตรวจ “โซเชียลมีเดีย” ด้วย มีผลทั้งกับผู้ขอใบเขียว เปลี่ยนสัญชาติ รวมถึงการขอเข้าประเทศชั่วคราวด้วย กระทรวงความมั่นคงภายใน (โฮมแลนด์ฯ) ประกาศผ่านเว็บไซต์ the Federal Register เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 ถึงมาตรการใหม่ที่จะกระชับการตรวจสอบประวัติผู้ยื่นขอรับสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ ตั้งแต่การยื่นขอใบเขียวจนถึงการยื่นขอเปลี่ยนสัญชาติ ให้มีความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นมาตรการดังกล่าวคือ “ผู้ยื่นแบบฟอร์ม ต้องให้ข้อมูลโซเชียลมีเดีย เพื่อให้รัฐตรวจสอบด้วย”รายละเอียดที่ระบุใน เดอะเฟดเดอรัล รีจีสเตอร์ บอกว่า มาตรการใหม่ ซึ่งมีขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งบริหารเลขที่ 14161 ว่าด้วยการคุ้มครองสหรัฐอเมริกา จากภัยก่อการร้ายต่างประเทศ, เพื่อความมั่นคงภายใน และความปลอดภัยของสาธารณะชน ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมาโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติ (U.S. Citizenship and Immigration Service – USCIS) จะเรียกเก็บข้อมูลโซเชียลมีเดีย (แต่ไม่เรียกเก็บพาสเวิร์ด) เพื่อตรวจสอบว่าผู้ยื่นแบบฟอร์มขอรับประโยชน์จาก USCIS มีความเสี่ยงใดๆ ต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยต่อสาธารณะหรือไม่มาตรการใหม่ จะมีผลกับผู้ยื่นแบบฟอร์มเกี่ยวกับอิมมิเกรชั่น 9 ประเภท คือ-N-400 (Application for Naturalization) ขอเปลี่ยนสัญชาติ-I-131 (Application for Travel Document) ขอเดินทางออกนอกประเทศ-I-192 (Application for Advance Permission to Enter as Nonimmigrant) วีซ่าชั่วคราว สำหรับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น การลงทุน ศึกษาดูงาน ประชุม การปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน การเผยแผ่ศาสนา เป็นต้น-I-485 (Application for Adjustment of Status) ขอปรับสถานภาพ (ขอใบเขียว)-I-589 (Application for Asylum and for Withholding of Removal) ขอลี้ภัยหรือขอระงับการเนรเทศ-I-590 (Registration for Classification as Refugee) ขอรับการจัดประเภทเป็นผู้ลี้ภัย-I-730 (Refugee/Asylee Relative Petition) ขอให้ญาติได้รับการให้สถานะผู้ลี้ภัย-I-751 (Petition to Remove Conditions on Residence) ขอยกเลิกเงื่อนไขการพำนักอาศัย-I-829 (Petition by Investor to Remove Conditions on Permanent Resident Status) ขอจากนักลงทุน ให้ยกเลิกเงื่อนไขสถานะผู้พำนักถาวรสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฯ ประเมินว่าการกระชับมาตรการตรวจสอบฯ ครั้งนี้ มีผลกับผู้ยื่นแบบฟอร์มต่างๆ ปีละกว่า 3.5 ล้านคนอย่างไรก็ตาม หากไม่เห็นชอบกับมาตรการใหม่ของกระทรวงความมั่นคงภายในฯ สาธารณชนมีเวลา 60 วันนับจากการประกาศใน the Federal Register เพื่อยื่นคัดค้าน (ผ่านการแสดงความเห็น) ที่ https://www.regulations.gov/document/USCIS-2025-0003-0001) โดยกระทรวงความมั่นคงฯ จะทำการทบทวนความเห็นเหล่านี้อีกครั้ง ก่อนจะประกาศใช้ (หรือเพิกถอน).
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ประธานาธิบดีเปลี่ยนผ่านแห่งบูร์กินาฟาโซ ประเทศในแอฟริกา ปฎิเสธ MBS มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่เสนอจะสร้างมัสยิด 200 แห่งให้บูร์กินาฟาโซ บอกว่าประเทศเค้ามีมัสยิดเพียงพอแล้ว แล้วขอให้ซาอุฯลงทุนในโครงการที่จะสร้างประโยชน์แก่ชาวบูร์กินาฟาโซโดยตรงแทน อย่าง โรงเรียน โรงพยาบาล โครงการที่จะสร้างงานให้แก่ชาวบูร์กินาฟาโซ ฯลฯ
    .
    ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ขึ้นเป็นผู้นำฯจากการยึดอำนาจจาก ปธน.รักษาการ พ.ท.Paul-Henri Sandaogo Damiba ในปี 2022 (ที่ก็ไปยึดอำนาจจากผู้นำฯคนก่อน)
    หลังจากนั้นก็นำบูร์กินาฟาโซถอยห่างจากฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ยึดเหมืองทองกลับมาเป็นของรัฐ ระงับการส่งออก"unrefined gold"ไปยังยุโรป

    ยกเลิกข้อตกลงทางทหารและเชิญทหารฝรั่งเศสออกไป ถอนตัวจากกลุ่ม ECOWAS ที่ใช้สกุลเงิน CFA Franc โดยมีเป้ามหายที่จะเลิกใช้ CFA Franc ฯลฯ

    หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ฝรั่งเศสยังมีอิทธิพลและบทบาทในแอฟริกาสูงมาก ความขัดแย้งภายในหลายประเทศในทวีปแอฟฟริกาก็มีฝรั่งเศสเป็นผู้เข้าไปสนับสนุนคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

    หลายประเทศในแอฟริกาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง กลุ่มประเทศในแอฟริกากลางและตะวันตกสิบกว่าประเทศ ใช้สกุลเงินกลางที่เรียกว่า CFA Franc ซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส มีธนาคารกลางฝรั่งเศสเป็นผู้พิมพ์ธนบัติที่ใช้หมุนเวียน ทุนสำรองระหว่างประเทศราวๆครึ่งนึงของประเทศเหล่านี้จึงฝากไว้กับฝรั่งเศส
    .
    ผู้กองตราโอเร่เป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงมากโดยเฉพาะกับคนในวัยหนุ่มสาวทั้งในประเทศและในทวีปแอฟฟริกา
    เค้ามีนโยบายนำประเทศพึ่งพาตัวเอง(self sufficient) พยายามนำประเทศปลดแอกจากอิทธิพลตะวันตก ฯลฯ
    ปฎิเสธเงินกู้จาก IMF และ ธนาคารโลก โดยบอกว่า ไม่ต้องการให้ประเทศเป็นทาสทางการเงินขององค์กรเหล่านี้ บูร์กินาฟาโซสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ที่มาพร้อมเงื่อนไขจากทางตะวันตก
    เค้าบอกว่าโครงสร้างฯที่เป็นอยู่มีปัญหา ทรัพยากรของแอฟฟริกาถูกผ่องถ่ายไปยังทวีปอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรมมานานแล้ว ฯลฯ
    .
    อย่างไรก็ตามผู้นำบูร์กินาฟาโซที่ยังกินเงินเดือนทหารยศร้อยเอกมาจนถึงตอนนี้ แค่ในระยะสองปีกว่าที่ผ่านมาเคยถูกพยายามลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ตัวเลขสูงหน่อยก็ 16 ครั้ง ..... แล้วก็เคยมีข่าวว่าบริษัทใหญ่ๆของต่างประเทศไปจนถึงระดับรัฐบาลต่างประเทศพยายามติดสินบนเค้า แต่โดนตะเพิดหมดเลย


    https://web.facebook.com/SiriuS.is.A.Star/posts/pfbid0VDcG4SWpyvfaLPv7HqEaamAS6Nryssc8GjFUrg7jzXoAs1vu8vK53q83xnFQbjy9l
    ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ประธานาธิบดีเปลี่ยนผ่านแห่งบูร์กินาฟาโซ ประเทศในแอฟริกา ปฎิเสธ MBS มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่เสนอจะสร้างมัสยิด 200 แห่งให้บูร์กินาฟาโซ บอกว่าประเทศเค้ามีมัสยิดเพียงพอแล้ว แล้วขอให้ซาอุฯลงทุนในโครงการที่จะสร้างประโยชน์แก่ชาวบูร์กินาฟาโซโดยตรงแทน อย่าง โรงเรียน โรงพยาบาล โครงการที่จะสร้างงานให้แก่ชาวบูร์กินาฟาโซ ฯลฯ . ร.อ.อิบราฮิม ตราโอเร่ ปัจจุบันอายุ 37 ปี ขึ้นเป็นผู้นำฯจากการยึดอำนาจจาก ปธน.รักษาการ พ.ท.Paul-Henri Sandaogo Damiba ในปี 2022 (ที่ก็ไปยึดอำนาจจากผู้นำฯคนก่อน) หลังจากนั้นก็นำบูร์กินาฟาโซถอยห่างจากฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม ยึดเหมืองทองกลับมาเป็นของรัฐ ระงับการส่งออก"unrefined gold"ไปยังยุโรป ยกเลิกข้อตกลงทางทหารและเชิญทหารฝรั่งเศสออกไป ถอนตัวจากกลุ่ม ECOWAS ที่ใช้สกุลเงิน CFA Franc โดยมีเป้ามหายที่จะเลิกใช้ CFA Franc ฯลฯ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ฝรั่งเศสยังมีอิทธิพลและบทบาทในแอฟริกาสูงมาก ความขัดแย้งภายในหลายประเทศในทวีปแอฟฟริกาก็มีฝรั่งเศสเป็นผู้เข้าไปสนับสนุนคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หลายประเทศในแอฟริกาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการหรือภาษาที่สอง กลุ่มประเทศในแอฟริกากลางและตะวันตกสิบกว่าประเทศ ใช้สกุลเงินกลางที่เรียกว่า CFA Franc ซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส มีธนาคารกลางฝรั่งเศสเป็นผู้พิมพ์ธนบัติที่ใช้หมุนเวียน ทุนสำรองระหว่างประเทศราวๆครึ่งนึงของประเทศเหล่านี้จึงฝากไว้กับฝรั่งเศส . ผู้กองตราโอเร่เป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงมากโดยเฉพาะกับคนในวัยหนุ่มสาวทั้งในประเทศและในทวีปแอฟฟริกา เค้ามีนโยบายนำประเทศพึ่งพาตัวเอง(self sufficient) พยายามนำประเทศปลดแอกจากอิทธิพลตะวันตก ฯลฯ ปฎิเสธเงินกู้จาก IMF และ ธนาคารโลก โดยบอกว่า ไม่ต้องการให้ประเทศเป็นทาสทางการเงินขององค์กรเหล่านี้ บูร์กินาฟาโซสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินกู้ที่มาพร้อมเงื่อนไขจากทางตะวันตก เค้าบอกว่าโครงสร้างฯที่เป็นอยู่มีปัญหา ทรัพยากรของแอฟฟริกาถูกผ่องถ่ายไปยังทวีปอื่นโดยได้รับค่าตอบแทนอย่างไม่เป็นธรรมมานานแล้ว ฯลฯ . อย่างไรก็ตามผู้นำบูร์กินาฟาโซที่ยังกินเงินเดือนทหารยศร้อยเอกมาจนถึงตอนนี้ แค่ในระยะสองปีกว่าที่ผ่านมาเคยถูกพยายามลอบสังหารมาแล้วหลายครั้ง ตัวเลขสูงหน่อยก็ 16 ครั้ง ..... แล้วก็เคยมีข่าวว่าบริษัทใหญ่ๆของต่างประเทศไปจนถึงระดับรัฐบาลต่างประเทศพยายามติดสินบนเค้า แต่โดนตะเพิดหมดเลย https://web.facebook.com/SiriuS.is.A.Star/posts/pfbid0VDcG4SWpyvfaLPv7HqEaamAS6Nryssc8GjFUrg7jzXoAs1vu8vK53q83xnFQbjy9l
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • TDRI เตือนรัฐหยุดแจกเงินดิจิทัล หลังไปไม่ช่วยกระตุ้น ศก. แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน

    (21 มี.ค. 68) ดร.สมชัย จิตสุชน เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลในเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ขณะที่เฟส 3 หนุนทบทวนเงื่อนไขเปิดทางใช้เงินหมื่นซื้อคอร์สอัปสกิล-รีสกิลได้ หวังพัฒนาทักษะคน เตือน รัฐบาลรับมือเศรษฐกิจซบเซา จากปัจจัยภายนอก-ในประเทศ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้า – หนี้ครัวเรือนสูง ห่วงภาระการคลัง ทำเรตติงประเทศตก

    ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปีว่า มีการคาดการณ์กันว่าในเฟสที่ 3 นี้อาจได้ผลบ้าง เพราะกลุ่มคนที่แจกยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ที่ไม่มากนัก เมื่อได้เงินมาอาจจะใช้เร็ว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะได้ผลมากกว่าเฟส 1 ที่มอบให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตามหากอยากให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริง ๆ รัฐบาลควรละทิ้งแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น และไม่ควรเปิดทางให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออะไรก็ได้ แต่ควรกำหนดให้ใช้ไปกับการหาความรู้ อัปสกิล รีสกิล ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนพอดี เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังจะเข้าสู่กำลังแรงงานซึ่งอาจจะนำเงินจำนวนนี้ไปเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งแม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้นมากนัก แต่ผลในระยะยาวจะดีกว่ากันมากเพราะเป็นการดึงศักยภาพของคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์

    สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับสิทธิทั้งหมดนั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า เป็นการทำให้ตรงกับที่หาเสียงไว้ แต่เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินโครงการทั้งเฟส 1- 2 รวมทั้งเฟส 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีจริงอย่างที่หาเสียงไว้ จึงควรทบทวน

    “ตอนที่หาเสียงไว้ และตอนที่เป็นรัฐบาลใหม่ ๆ บอกว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู บางคนบอกจะทำให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่มีคนเชื่อ และวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ในเมื่อมันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ไม่ควรจะเดินหน้าต่อ เรามองว่าเงินนี้นำไปทําอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้มากกว่าเยอะ” ดร.สมชัยระบุ

    เตือนหยุดสุรุ่ยสุร่ายแจกเงินหมื่น แนะใช้งบพัฒนาดิจิทัล อินเทอร์เน็ตฟรี ดึงศักยภาพคน หนุนเศรษฐกิจ ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากงบประมาณหลายแสนล้านที่ต้องเสียไปจากการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสูญเสียที่มากกว่าตัวเงินเสียอีก เพราะอย่าลืมว่าวันนี้ภาคการคลังของไทยอ่อนแอมาก ประเทศไทยมีเงินน้อยลง ประชาชนก็มีเงินน้อยลง เพราะฉะนั้นนำเงินงบประมาณไปใช้ต้องคิดอย่างระมัดระวัง ถ้านำไปใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้ จนทำให้เรื่องที่สมควรใช้จะถูกตัดทิ้งไปก็น่าเสียดาย เช่น เรื่องการพัฒนาทักษะของคน การปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งระบบสวัสดิการสังคมของไทยก็ยังมีปัญหาในบางจุด และเรื่องของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งกันดีขึ้น ทั้งหมดนี้จําเป็นต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลในการเดินหน้า แต่อาจถูกชะลอออกไปเพราะเอาเงินมาใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้แบบนี้ ดังนั้นไม่สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าเงินดิจิทัลในเฟสต่อไปอีก

    “รัฐบาลควรนำงบประมาณไปลงทุนในเรื่องของดิจิทัล ทําอินเทอร์เน็ตฟรี ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยได้มาก ในเรื่องของผลิตภาพของประชาชน เพราะเกิดการพัฒนาตัวเองและสร้างรายได้ ผมเชื่อว่ามีอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ของประเทศอยู่มาก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้รับโอกาส รัฐบาลก็ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่เขามีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าทํา แต่คงไม่ได้ทํา ถ้าเกิดว่าต้องมาจ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” ดร.สมชัยระบุ

    สงครามการค้าจะทำเศรษฐกิจไทยซบเซา ห่วงภาคการคลังมีปัญหา หนี้รัฐ-ครัวเรือนสูงชนเพดาน ดร.สมชัย ในฐานะอดีตกนง.ยังมีข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า ต้องพยายามแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น อย่าเน้นระยะสั้น เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต กาสิโน พนันออนไลน์ แต่ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มมาตรการระยะยาวมากขึ้น และจะต้องเตรียมรับมือกับความยากลําบากที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่คาดว่าจะมาแบบเต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับยุคทรัมป์ 1.0 ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายปีที่ผ่านมาถูกมองว่าดีเกินไปจนน่าจะมาถึงอาจจะซบเซาลงตามวัฏจักร รวมทั้งเรื่องของสงครามยูเครนในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อไทยในฐานประเทศที่พึ่งพาการส่งออก และท่องเที่ยวมาก ขณะที่ในประเทศเองหนี้ครัวเรือนสูง ความสามารถในการผลิตไม่ได้ดีมากนัก เพราะฉะนั้นจะมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในเข้ามาพร้อมกัน

    “เศรษฐกิจคงซบเซาต่อไป และมองไป 4 ปีถัดไป ภาพก็จะคล้ายกันถ้าไม่ได้มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว และถ้ามีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังแบบนี้ ภาคการคลังจะมีปัญหา หนี้สาธารณะก็คงจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีภายในไม่กี่ปีนี้ ในขณะที่ภาระการจ่ายหนี้ของรัฐบาล ทั้งดอกเบี้ย และเงินต้น ก็มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปใกล้ ๆ ชน 15 เปอร์เซ็นต์ที่กําหนดในกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะทําให้เรตติ้งของภาครัฐไทยแย่ลงในสายตาของบริษัทประเมินเรตติง ซึ่งเป็นผลเสียระยะยาว เพราะว่าหมายถึง ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล และจะลามไปถึงภาคเอกชนอาจจะสูงขึ้น ซึ่งก็จะซ้ำเติมเรื่องของเศรษฐกิจเข้าไปอีก” ดร.สมชัยกล่าว

    Cr. #TheStatesTimes
    TDRI เตือนรัฐหยุดแจกเงินดิจิทัล หลังไปไม่ช่วยกระตุ้น ศก. แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน (21 มี.ค. 68) ดร.สมชัย จิตสุชน เตือนรัฐ หยุดเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลในเฟสต่อไป แนะใช้งบแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวแทน ขณะที่เฟส 3 หนุนทบทวนเงื่อนไขเปิดทางใช้เงินหมื่นซื้อคอร์สอัปสกิล-รีสกิลได้ หวังพัฒนาทักษะคน เตือน รัฐบาลรับมือเศรษฐกิจซบเซา จากปัจจัยภายนอก-ในประเทศ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้า – หนี้ครัวเรือนสูง ห่วงภาระการคลัง ทำเรตติงประเทศตก ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัลเฟส 3 ที่ให้กับผู้มีอายุ 16-20 ปีว่า มีการคาดการณ์กันว่าในเฟสที่ 3 นี้อาจได้ผลบ้าง เพราะกลุ่มคนที่แจกยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ที่ไม่มากนัก เมื่อได้เงินมาอาจจะใช้เร็ว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะได้ผลมากกว่าเฟส 1 ที่มอบให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตามหากอยากให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริง ๆ รัฐบาลควรละทิ้งแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวมากขึ้น และไม่ควรเปิดทางให้นำเงินจำนวนนี้ไปซื้ออะไรก็ได้ แต่ควรกำหนดให้ใช้ไปกับการหาความรู้ อัปสกิล รีสกิล ซึ่งเหมาะสมกับกลุ่มเยาวชนพอดี เพราะเป็นกลุ่มที่กำลังจะเข้าสู่กำลังแรงงานซึ่งอาจจะนำเงินจำนวนนี้ไปเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งแม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้นมากนัก แต่ผลในระยะยาวจะดีกว่ากันมากเพราะเป็นการดึงศักยภาพของคนซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์ สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรียืนยันว่าทุกคนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับสิทธิทั้งหมดนั้น ดร.สมชัย กล่าวว่า เป็นการทำให้ตรงกับที่หาเสียงไว้ แต่เห็นชัดแล้วว่าการดำเนินโครงการทั้งเฟส 1- 2 รวมทั้งเฟส 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีจริงอย่างที่หาเสียงไว้ จึงควรทบทวน “ตอนที่หาเสียงไว้ และตอนที่เป็นรัฐบาลใหม่ ๆ บอกว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู บางคนบอกจะทำให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่มีคนเชื่อ และวันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ในเมื่อมันพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ก็ไม่ควรจะเดินหน้าต่อ เรามองว่าเงินนี้นำไปทําอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้มากกว่าเยอะ” ดร.สมชัยระบุ เตือนหยุดสุรุ่ยสุร่ายแจกเงินหมื่น แนะใช้งบพัฒนาดิจิทัล อินเทอร์เน็ตฟรี ดึงศักยภาพคน หนุนเศรษฐกิจ ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากงบประมาณหลายแสนล้านที่ต้องเสียไปจากการใช้จ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความสูญเสียที่มากกว่าตัวเงินเสียอีก เพราะอย่าลืมว่าวันนี้ภาคการคลังของไทยอ่อนแอมาก ประเทศไทยมีเงินน้อยลง ประชาชนก็มีเงินน้อยลง เพราะฉะนั้นนำเงินงบประมาณไปใช้ต้องคิดอย่างระมัดระวัง ถ้านำไปใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้ จนทำให้เรื่องที่สมควรใช้จะถูกตัดทิ้งไปก็น่าเสียดาย เช่น เรื่องการพัฒนาทักษะของคน การปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อน การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมทั้งระบบสวัสดิการสังคมของไทยก็ยังมีปัญหาในบางจุด และเรื่องของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งกันดีขึ้น ทั้งหมดนี้จําเป็นต้องใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลในการเดินหน้า แต่อาจถูกชะลอออกไปเพราะเอาเงินมาใช้ในเรื่องที่ไม่สมควรใช้แบบนี้ ดังนั้นไม่สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าเงินดิจิทัลในเฟสต่อไปอีก “รัฐบาลควรนำงบประมาณไปลงทุนในเรื่องของดิจิทัล ทําอินเทอร์เน็ตฟรี ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยได้มาก ในเรื่องของผลิตภาพของประชาชน เพราะเกิดการพัฒนาตัวเองและสร้างรายได้ ผมเชื่อว่ามีอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ของประเทศอยู่มาก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้รับโอกาส รัฐบาลก็ควรจัดสรรงบประมาณเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่เขามีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าทํา แต่คงไม่ได้ทํา ถ้าเกิดว่าต้องมาจ่ายเงินแบบสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ” ดร.สมชัยระบุ สงครามการค้าจะทำเศรษฐกิจไทยซบเซา ห่วงภาคการคลังมีปัญหา หนี้รัฐ-ครัวเรือนสูงชนเพดาน ดร.สมชัย ในฐานะอดีตกนง.ยังมีข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า ต้องพยายามแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น อย่าเน้นระยะสั้น เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต กาสิโน พนันออนไลน์ แต่ควรเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มมาตรการระยะยาวมากขึ้น และจะต้องเตรียมรับมือกับความยากลําบากที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่คาดว่าจะมาแบบเต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับยุคทรัมป์ 1.0 ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในหลายปีที่ผ่านมาถูกมองว่าดีเกินไปจนน่าจะมาถึงอาจจะซบเซาลงตามวัฏจักร รวมทั้งเรื่องของสงครามยูเครนในยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อไทยในฐานประเทศที่พึ่งพาการส่งออก และท่องเที่ยวมาก ขณะที่ในประเทศเองหนี้ครัวเรือนสูง ความสามารถในการผลิตไม่ได้ดีมากนัก เพราะฉะนั้นจะมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในเข้ามาพร้อมกัน “เศรษฐกิจคงซบเซาต่อไป และมองไป 4 ปีถัดไป ภาพก็จะคล้ายกันถ้าไม่ได้มีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว และถ้ามีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังแบบนี้ ภาคการคลังจะมีปัญหา หนี้สาธารณะก็คงจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพีภายในไม่กี่ปีนี้ ในขณะที่ภาระการจ่ายหนี้ของรัฐบาล ทั้งดอกเบี้ย และเงินต้น ก็มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปใกล้ ๆ ชน 15 เปอร์เซ็นต์ที่กําหนดในกฎหมาย ทั้งหมดนี้จะทําให้เรตติ้งของภาครัฐไทยแย่ลงในสายตาของบริษัทประเมินเรตติง ซึ่งเป็นผลเสียระยะยาว เพราะว่าหมายถึง ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล และจะลามไปถึงภาคเอกชนอาจจะสูงขึ้น ซึ่งก็จะซ้ำเติมเรื่องของเศรษฐกิจเข้าไปอีก” ดร.สมชัยกล่าว Cr. #TheStatesTimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทุนมาเลย์สนใจรถไฟทางคู่ ชุมพร-ปาดังเบซาร์

    ในช่วงที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพอาเซียนในปี 2025 และรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ของประเทศไทย อาจจะได้เห็นข่าวความร่วมมือระหว่างมาเลเซียและไทยเป็นระยะ ล่าสุด พลเอกอาวุโส โมห์ด อาซูมิ โมฮัมเหม็ด (Mohd Azumi Mohamed) ประธานบริษัท ดายะ มาจู อินฟาสตรัคเจอร์ เอเชีย (Dhaya Maju Infrastructure Asia) หรือ DMIA บริษัทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากประเทศมาเลเซีย ได้เข้าพบกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม และคณะ ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา

    โดยบริษัท DMIA ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมการลงทุนในรูปแบบระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) โครงการรถไฟทางคู่ ชุมพร-ปาดังเบซาร์ เชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีความยินดีที่ DMIA ให้ความสนใจ และหวังว่าจะได้มีความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของทั้งสองประเทศร่วมกันในอนาคต ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ในด้านการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงระบบรางข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างไทยและมาเลเซียอีกด้วย

    ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร และช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ระยะทาง 44 กิโลเมตร งานออกแบบแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและงานโยธา ส่วนช่วงหาดใหญ่-สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ระยะทาง 216 กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้

    สำหรับบริษัท DMIA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 มีประสบการณ์งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง อสังหาริมทรัพย์ การฟื้นฟูเมือง การก่อสร้างและปรับปรุงทางรถไฟ ทั้งในประเทศมาเลเซียและต่างประเทศ นับเฉพาะโครงการทางรถไฟ เป็นผู้รับเหมาหลักโครงการปรับปรุงรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้าบนหุบเขาแคลง (KVDT) ตั้งแต่ราวังถึงซาลักเซาต์ (Rawang-Salak South) และโครงการระยะที่ 2 (KVDT2) จากซาลักเซาต์ถึงเซเรมบัน (Salak South-Seremban) และจากเคแอลเซ็นทรัลถึงพอร์ตแคลง (KL Sentral-Port Klang) เป็นต้น

    #Newskit
    ทุนมาเลย์สนใจรถไฟทางคู่ ชุมพร-ปาดังเบซาร์ ในช่วงที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพอาเซียนในปี 2025 และรัฐบาลอันวาร์ อิบราฮิม มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ของประเทศไทย อาจจะได้เห็นข่าวความร่วมมือระหว่างมาเลเซียและไทยเป็นระยะ ล่าสุด พลเอกอาวุโส โมห์ด อาซูมิ โมฮัมเหม็ด (Mohd Azumi Mohamed) ประธานบริษัท ดายะ มาจู อินฟาสตรัคเจอร์ เอเชีย (Dhaya Maju Infrastructure Asia) หรือ DMIA บริษัทพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากประเทศมาเลเซีย ได้เข้าพบกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม และคณะ ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยบริษัท DMIA ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมการลงทุนในรูปแบบระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) โครงการรถไฟทางคู่ ชุมพร-ปาดังเบซาร์ เชื่อมต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีความยินดีที่ DMIA ให้ความสนใจ และหวังว่าจะได้มีความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของทั้งสองประเทศร่วมกันในอนาคต ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ในด้านการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงระบบรางข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างไทยและมาเลเซียอีกด้วย ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร และช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ระยะทาง 44 กิโลเมตร งานออกแบบแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและงานโยธา ส่วนช่วงหาดใหญ่-สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ระยะทาง 216 กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ สำหรับบริษัท DMIA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 มีประสบการณ์งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง อสังหาริมทรัพย์ การฟื้นฟูเมือง การก่อสร้างและปรับปรุงทางรถไฟ ทั้งในประเทศมาเลเซียและต่างประเทศ นับเฉพาะโครงการทางรถไฟ เป็นผู้รับเหมาหลักโครงการปรับปรุงรถไฟทางคู่ติดระบบไฟฟ้าบนหุบเขาแคลง (KVDT) ตั้งแต่ราวังถึงซาลักเซาต์ (Rawang-Salak South) และโครงการระยะที่ 2 (KVDT2) จากซาลักเซาต์ถึงเซเรมบัน (Salak South-Seremban) และจากเคแอลเซ็นทรัลถึงพอร์ตแคลง (KL Sentral-Port Klang) เป็นต้น #Newskit
    Like
    Love
    5
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลูกชาย "สันติ" ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคมซื้ออาคาร Skyy9 เผยขายตึกให้ เอจีอาร์อี 101 ได้รับชำระเงินโอนกรรมสิทธิเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอีก

    เมื่อวันที่ 20 มี.ค.เวลา 10.30 น.ที่อาคารรัชดาวัน นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ผู้บริหารบริษัท วอเตอร์เกทพาวิลเลี่ยน ลูกชายนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ทำการซื้ออาคาร Skyy9 หรือ ชื่อเดิม Cas Capital หรือ ในอดีตชื่อ ICE ในราคาประมาณ 7,000 ล้านบาทนั้น ต่อมาเริ่มมีกระแสในทำนองว่า ประกันสังคมได้ซื้ออาคารดังกล่าวในราคาที่สูง จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นการซื้อจากบริษัทของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปเชื่อมโยงว่าเป็นตนนั้น

    “ผมขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของตึกที่ผมบริหารจัดการอยู่นั้น ว่า บริษัทฯ ได้เคยเป็นเจ้าของอาคารตึก ICE ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร โดยบริษัท วอเตอร์เกท ซื้อมาตั้งแต่ปี 2560 โดยในขณะนั้น อาคารนี้เป็นอาคารร้าง และมีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และใช้งานได้ โดยเป็นการลงทุนซื้ออาคารเก่าซึ่งเป็นห้องชุด โดยซื้อมาจากหลายเจ้าของ ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว

    "ในระหว่างที่ถือครองอยู่นั้น เคยได้มีแผนการที่จะปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานตามเดิมที่อาคารนี้เคยเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ถือครองทรัพย์สินนี้อยู่ ได้มีพรรคพวกที่อยู่ในวงการการเงินและอสังหาริมทรัพย์มาแนะนำให้รู้จักกับผู้สนใจลงทุนซื้ออาคารนี้หลายราย หนึ่งในนั้นคือผู้ซื้อ คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นกองทุน PE Fund (กองทุนที่ระดมทุนจากผู้มีเงินหลากหลายราย) ในต่างประเทศ“ นายพัฒนา กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026637

    #MGROnline #สำนักงานประกันสังคม #อาคารSkyy9
    ลูกชาย "สันติ" ตั้งโต๊ะแถลง ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคมซื้ออาคาร Skyy9 เผยขายตึกให้ เอจีอาร์อี 101 ได้รับชำระเงินโอนกรรมสิทธิเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2562 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอีก • เมื่อวันที่ 20 มี.ค.เวลา 10.30 น.ที่อาคารรัชดาวัน นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ ผู้บริหารบริษัท วอเตอร์เกทพาวิลเลี่ยน ลูกชายนายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ทำการซื้ออาคาร Skyy9 หรือ ชื่อเดิม Cas Capital หรือ ในอดีตชื่อ ICE ในราคาประมาณ 7,000 ล้านบาทนั้น ต่อมาเริ่มมีกระแสในทำนองว่า ประกันสังคมได้ซื้ออาคารดังกล่าวในราคาที่สูง จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นการซื้อจากบริษัทของลูกชายนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปเชื่อมโยงว่าเป็นตนนั้น • “ผมขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของตึกที่ผมบริหารจัดการอยู่นั้น ว่า บริษัทฯ ได้เคยเป็นเจ้าของอาคารตึก ICE ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร โดยบริษัท วอเตอร์เกท ซื้อมาตั้งแต่ปี 2560 โดยในขณะนั้น อาคารนี้เป็นอาคารร้าง และมีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถใช้ประโยชน์ และใช้งานได้ โดยเป็นการลงทุนซื้ออาคารเก่าซึ่งเป็นห้องชุด โดยซื้อมาจากหลายเจ้าของ ตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว • "ในระหว่างที่ถือครองอยู่นั้น เคยได้มีแผนการที่จะปรับปรุงอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานตามเดิมที่อาคารนี้เคยเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ถือครองทรัพย์สินนี้อยู่ ได้มีพรรคพวกที่อยู่ในวงการการเงินและอสังหาริมทรัพย์มาแนะนำให้รู้จักกับผู้สนใจลงทุนซื้ออาคารนี้หลายราย หนึ่งในนั้นคือผู้ซื้อ คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นกองทุน PE Fund (กองทุนที่ระดมทุนจากผู้มีเงินหลากหลายราย) ในต่างประเทศ“ นายพัฒนา กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9680000026637 • #MGROnline #สำนักงานประกันสังคม #อาคารSkyy9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    จีนไม่ยอมเสียท่าเรือคลองปานามา 📌สั่งตรวจสอบดีลขาย CK Hutchison มูลค่า $22.8 พันล้าน ให้ BlackRock ดึงประเด็นความมั่นคง-กฎหมายต่อต้านการผูกขาด 📌หลังสหรัฐฯ แสดงความยินดี ฮ่องกง-ปักกิ่งประณามเป็น "การกลั่นแกล้ง" ทางเศรษฐกิจ ด้าน CK Hutchison ยืนยันเป็นธุรกรรมเชิงพาณิชย์👉รัฐบาลจีนกำลังตรวจสอบข้อตกลงการขายท่าเรือบริเวณคลองปานามาของบริษัท CK Hutchison จากฮ่องกงให้กับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดยบริษัท BlackRock ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปักกิ่งได้สั่งการให้หน่วยงานหลายแห่งดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งเป็นคำสั่งจากผู้นำระดับสูงของจีน ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้แสดงความยินดีกับข้อตกลงนี้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่ในอดีตเคยกล่าวหาว่าจีนพยายามควบคุมเส้นทางน้ำสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ และเรียกร้องให้ "ถอดคลองปานามาออกจากการควบคุมของจีน" อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์หลังการประกาศข้อตกลง สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้เผยแพร่บทวิจารณ์ที่เรียกการขายครั้งนี้ว่าเป็น "การทรยศต่อจีน" และละเลยผลประโยชน์ของชาติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้กล่าวว่า "จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการละเมิดหรือบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศอื่นๆ ด้วยการบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้ง" ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยแถลงของจอห์น ลี ผู้นำฮ่องกง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ยุติธรรมสำหรับองค์กรธุรกิจ ด้านบริษัท CK Hutchison ยืนยันว่าข้อตกลงนี้ "มีลักษณะเชิงพาณิชย์ล้วนๆ และไม่เกี่ยวข้องกับรายงานข่าวการเมืองล่าสุดเกี่ยวกับท่าเรือปานามา" และระบุว่าได้ตกลงเจรจากับกลุ่ม BlackRock แต่เพียงผู้เดียวเป็นเวลา 145 วัน แม้ข้อตกลงยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจีนจะสามารถใช้กลไกใดในการยับยั้งการขายนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากธุรกิจที่ Hutchison กำลังขายมีฐานอยู่นอกประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทเองก็จดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน #imctnews รายงาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Meta และ Google กำลังร่วมมือกันสนับสนุนการเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 เพราะพลังงานนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการพลังงานมหาศาลจาก AI แถมยังเป็นพลังงานสะอาดและต่อเนื่อง พวกเขายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างเตาปฏิกรณ์จิ๋วเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก

    เป้าหมายของโครงการ:
    - พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพลังงานสะอาดและต่อเนื่องสำหรับศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ซึ่งมีความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ.
    - โครงการนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น micro nuclear reactors ที่คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2030.

    บริษัทที่มีบทบาทสำคัญ:
    - Amazon ได้ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในโครงการและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในปีที่ผ่านมา และมุ่งสู่เป้าหมายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040.
    - Meta และ Google มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว.

    การสนับสนุนระดับโลก:
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก 31 ประเทศ บริษัทในอุตสาหกรรมกว่า 140 แห่ง และธนาคารใหญ่ ๆ อีก 14 แห่งทั่วโลก ผ่านการประชุมที่ World Nuclear Symposium 2023.

    ความสำคัญต่อ AI และศูนย์ข้อมูล:
    - พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบสำหรับการป้องกันความไม่เสถียรของระบบพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เช่น การประมวลผล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-mia-as-amazon-meta-google-and-others-join-consortium-to-triple-nuclear-energy-output-by-2050
    บริษัทใหญ่อย่าง Amazon, Meta และ Google กำลังร่วมมือกันสนับสนุนการเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 เพราะพลังงานนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการพลังงานมหาศาลจาก AI แถมยังเป็นพลังงานสะอาดและต่อเนื่อง พวกเขายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อย่างเตาปฏิกรณ์จิ๋วเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก เป้าหมายของโครงการ: - พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพลังงานสะอาดและต่อเนื่องสำหรับศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ซึ่งมีความต้องการพลังงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ. - โครงการนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกถึงสามเท่าภายในปี 2050 ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น micro nuclear reactors ที่คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2030. บริษัทที่มีบทบาทสำคัญ: - Amazon ได้ลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในโครงการและเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์ในปีที่ผ่านมา และมุ่งสู่เป้าหมายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040. - Meta และ Google มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว. การสนับสนุนระดับโลก: - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก 31 ประเทศ บริษัทในอุตสาหกรรมกว่า 140 แห่ง และธนาคารใหญ่ ๆ อีก 14 แห่งทั่วโลก ผ่านการประชุมที่ World Nuclear Symposium 2023. ความสำคัญต่อ AI และศูนย์ข้อมูล: - พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบสำหรับการป้องกันความไม่เสถียรของระบบพลังงานในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เช่น การประมวลผล AI ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-mia-as-amazon-meta-google-and-others-join-consortium-to-triple-nuclear-energy-output-by-2050
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวียดนามกำลังวางเดิมพันใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการสร้างโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์แห่งแรกของประเทศภายในปี 2030 พร้อมเป้าหมายระยะยาวที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักของโลกในปี 2050 รัฐบาลยังเตรียมสนับสนุนเต็มที่ ทั้งในด้านการเงินและสิทธิพิเศษทางภาษี แต่ความท้าทายใหญ่อยู่ที่งบประมาณซึ่งยังน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงการในประเทศชั้นนำอื่น อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของเวียดนามและการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอาจทำให้ประเทศนี้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ได้

    เป้าหมายระยะยาว:
    - ระยะที่หนึ่งภายในปี 2030 จะมุ่งสร้างโรงงานผลิตหนึ่งแห่ง บริษัทออกแบบชิป 100 แห่ง และศูนย์บรรจุภัณฑ์/ทดสอบ 10 แห่ง.
    - ระยะที่สอง (2030-2040) ขยายไปสู่โรงงานสองแห่ง และบริษัทออกแบบชิปเพิ่มเป็น 200 แห่ง รวมทั้งศูนย์บรรจุภัณฑ์ 15 แห่ง.
    - ระยะที่สาม (2040-2050) ตั้งเป้าเพิ่มโรงงานเป็นสามแห่ง บริษัทออกแบบ 300 แห่ง และสร้างรายได้มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี.

    การสนับสนุนจากรัฐบาล:
    - รัฐบาลเวียดนามจะครอบคลุมต้นทุนสูงถึง 30% ของโครงการ พร้อมเสนอสิทธิพิเศษทางภาษี และจัดตั้งคณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ

    พันธมิตรและการลงทุนจากต่างประเทศ:
    - มีความพยายามดึงดูดการลงทุนจากบริษัทใหญ่ ๆ เช่น GlobalFoundries และ Powerchip Semiconductor รวมถึงการส่งเสริมการร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นอย่าง Viettel

    ความท้าทายที่ต้องเผชิญ:
    - การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้งบประมาณมากถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่างบประมาณในปัจจุบันของโครงการ
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเวียดนามควรมุ่งเน้นที่การบรรจุภัณฑ์และการทดสอบก่อน เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงก่อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง

    https://www.techspot.com/news/107191-vietnam-wants-compete-taiwan-establishing-first-wafer-fab.html
    เวียดนามกำลังวางเดิมพันใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการสร้างโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์แห่งแรกของประเทศภายในปี 2030 พร้อมเป้าหมายระยะยาวที่จะกลายเป็นผู้เล่นหลักของโลกในปี 2050 รัฐบาลยังเตรียมสนับสนุนเต็มที่ ทั้งในด้านการเงินและสิทธิพิเศษทางภาษี แต่ความท้าทายใหญ่อยู่ที่งบประมาณซึ่งยังน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงการในประเทศชั้นนำอื่น อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นของเวียดนามและการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอาจทำให้ประเทศนี้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ได้ เป้าหมายระยะยาว: - ระยะที่หนึ่งภายในปี 2030 จะมุ่งสร้างโรงงานผลิตหนึ่งแห่ง บริษัทออกแบบชิป 100 แห่ง และศูนย์บรรจุภัณฑ์/ทดสอบ 10 แห่ง. - ระยะที่สอง (2030-2040) ขยายไปสู่โรงงานสองแห่ง และบริษัทออกแบบชิปเพิ่มเป็น 200 แห่ง รวมทั้งศูนย์บรรจุภัณฑ์ 15 แห่ง. - ระยะที่สาม (2040-2050) ตั้งเป้าเพิ่มโรงงานเป็นสามแห่ง บริษัทออกแบบ 300 แห่ง และสร้างรายได้มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี. การสนับสนุนจากรัฐบาล: - รัฐบาลเวียดนามจะครอบคลุมต้นทุนสูงถึง 30% ของโครงการ พร้อมเสนอสิทธิพิเศษทางภาษี และจัดตั้งคณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำ พันธมิตรและการลงทุนจากต่างประเทศ: - มีความพยายามดึงดูดการลงทุนจากบริษัทใหญ่ ๆ เช่น GlobalFoundries และ Powerchip Semiconductor รวมถึงการส่งเสริมการร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่นอย่าง Viettel ความท้าทายที่ต้องเผชิญ: - การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงต้องใช้งบประมาณมากถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่างบประมาณในปัจจุบันของโครงการ - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเวียดนามควรมุ่งเน้นที่การบรรจุภัณฑ์และการทดสอบก่อน เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงก่อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง https://www.techspot.com/news/107191-vietnam-wants-compete-taiwan-establishing-first-wafer-fab.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Vietnam wants to compete with Taiwan by establishing its first wafer fab
    TrendForce reports that the facility will focus on producing specialized chips for high-tech applications like AI, defense tech, and more. It has some serious financial backing as...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ripple Labs ได้รับข่าวดีเมื่อ SEC ตัดสินใจยุติอุทธรณ์คดีที่เกี่ยวกับสถานะของ XRP หลังจากคดีนี้ดำเนินมายาวนาน คำตัดสินที่เคยออกมาก่อนหน้าในปี 2023 ระบุว่า XRP ที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะไม่ใช่หลักทรัพย์ แต่ Ripple ยังต้องแก้ไขข้อกฎหมายสำหรับการขายที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสถาบัน. การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ SEC ภายใต้การบริหารของ Trump ดูเหมือนจะช่วยเสริมความมั่นใจในอุตสาหกรรมคริปโตได้ไม่น้อย แต่ Ripple ก็ยังต้องจัดการกับคดีอื่น ๆ ที่รออยู่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/ripple-ceo-says-us-sec-will-drop-appeal-against-crypto-firm
    Ripple Labs ได้รับข่าวดีเมื่อ SEC ตัดสินใจยุติอุทธรณ์คดีที่เกี่ยวกับสถานะของ XRP หลังจากคดีนี้ดำเนินมายาวนาน คำตัดสินที่เคยออกมาก่อนหน้าในปี 2023 ระบุว่า XRP ที่ซื้อขายในตลาดสาธารณะไม่ใช่หลักทรัพย์ แต่ Ripple ยังต้องแก้ไขข้อกฎหมายสำหรับการขายที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสถาบัน. การเปลี่ยนแปลงท่าทีของ SEC ภายใต้การบริหารของ Trump ดูเหมือนจะช่วยเสริมความมั่นใจในอุตสาหกรรมคริปโตได้ไม่น้อย แต่ Ripple ก็ยังต้องจัดการกับคดีอื่น ๆ ที่รออยู่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/ripple-ceo-says-us-sec-will-drop-appeal-against-crypto-firm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Ripple Labs says US SEC ends appeal over crypto oversight
    NEW YORK (Reuters) -Ripple Labs said on Wednesday the U.S. Securities and Exchange Commission ended its appeal from a court ruling that the regulator's prior chief had said would make it harder to oversee cryptocurrency markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia และ xAI ของ Elon Musk ได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร AI Infrastructure Partnership หรือ AIP ซึ่งตั้งเป้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วมกับ Microsoft และ BlackRock โครงการนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ก้าวล้ำขึ้น โดยเฉพาะการฝึกโมเดลใหญ่ ๆ อย่าง ChatGPT ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การจัดการพลังงานและการระดมทุนมหาศาล แต่ก็เป็นก้าวใหญ่ที่จะผลักดันการประมวลผล AI ให้ทรงพลังและเข้าถึงได้มากขึ้นในอนาคต

    การเปลี่ยนชื่อกลุ่มพันธมิตร:
    - กลุ่มพันธมิตรนี้เดิมมีชื่ออื่น แต่เปลี่ยนมาเป็น AI Infrastructure Partnership เพื่อสะท้อนเป้าหมายและความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่จะสร้างขึ้น.

    บทบาทของ Nvidia และพันธมิตรอื่น ๆ:
    - Nvidia มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค พร้อมสนับสนุนการออกแบบและพัฒนาคลัสเตอร์ชิปสำหรับการประมวลผล AI.
    - พันธมิตรที่ร่วมโครงการ เช่น GE Vernova และ NextEra Energy จะช่วยในด้านการจัดการพลังงานและการพัฒนาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง.

    การแข่งขันด้าน AI ระดับโลก:
    - โครงการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันระหว่างประเทศในด้าน AI โดย Stargate ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลและบริษัทเอกชน เช่น OpenAI, Oracle และ SoftBank ก็ตั้งเป้าลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI.

    ประโยชน์และความท้าทาย:
    - AIP มุ่งเพิ่มความสามารถในการประมวลผล AI แต่ต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการระดมทุนจากนักลงทุนทั่วโลก.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/nvidia-xai-to-join-microsoft-blackrock-to-develop-ai-infrastructure
    Nvidia และ xAI ของ Elon Musk ได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร AI Infrastructure Partnership หรือ AIP ซึ่งตั้งเป้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วมกับ Microsoft และ BlackRock โครงการนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ก้าวล้ำขึ้น โดยเฉพาะการฝึกโมเดลใหญ่ ๆ อย่าง ChatGPT ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การจัดการพลังงานและการระดมทุนมหาศาล แต่ก็เป็นก้าวใหญ่ที่จะผลักดันการประมวลผล AI ให้ทรงพลังและเข้าถึงได้มากขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนชื่อกลุ่มพันธมิตร: - กลุ่มพันธมิตรนี้เดิมมีชื่ออื่น แต่เปลี่ยนมาเป็น AI Infrastructure Partnership เพื่อสะท้อนเป้าหมายและความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่จะสร้างขึ้น. บทบาทของ Nvidia และพันธมิตรอื่น ๆ: - Nvidia มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค พร้อมสนับสนุนการออกแบบและพัฒนาคลัสเตอร์ชิปสำหรับการประมวลผล AI. - พันธมิตรที่ร่วมโครงการ เช่น GE Vernova และ NextEra Energy จะช่วยในด้านการจัดการพลังงานและการพัฒนาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูง. การแข่งขันด้าน AI ระดับโลก: - โครงการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันระหว่างประเทศในด้าน AI โดย Stargate ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลและบริษัทเอกชน เช่น OpenAI, Oracle และ SoftBank ก็ตั้งเป้าลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI. ประโยชน์และความท้าทาย: - AIP มุ่งเพิ่มความสามารถในการประมวลผล AI แต่ต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการระดมทุนจากนักลงทุนทั่วโลก. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/nvidia-xai-to-join-microsoft-blackrock-to-develop-ai-infrastructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nvidia, Musk's xAI to join Microsoft, BlackRock and MGX to develop AI infrastructure
    (Reuters) -Nvidia and Elon Musk's xAI have joined a consortium backed by Microsoft, investment fund MGX and BlackRock to expand AI infrastructure in the U.S., the companies said on Wednesday, as a global race to dominate the nascent technology intensifies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนได้เข้าสู่ยุคของโรงงานมืดที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนงานและไม่มีไฟฟ้า

    ภาคการผลิตกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูล

    สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเกิดขึ้นของ "โรงงานมืด" ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นโรงงานแห่งอนาคตที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันโดยไม่มีการแทรกแซงของมนุษย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และผลผลิตให้สูงสุด

    ทำความเข้าใจแนวคิดของโรงงานมืด

    โรงงานมืดเป็นโรงงานผลิตขั้นสูงที่พึ่งพาระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนงานในสถานที่

    โรงงานเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกัน และโปรโตคอลอัตโนมัติที่ซับซ้อนเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น

    โรงงานมืดทำงานได้โดยไม่ต้องมีแสงสว่าง โดยไม่ต้องมีมนุษย์อยู่ด้วย ทำให้ลดการใช้พลังงานและต้นทุนการดำเนินงานลง พร้อมทั้งรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ
    คุณสมบัติหลักของโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

    1. *ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร*: โรงงานอัตโนมัติผสานรวมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อจัดการทุกด้านของการผลิต ตั้งแต่การจัดการวัสดุและการประกอบไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและการรับรองคุณภาพ

    2. *เครือข่ายเครื่องจักรอัจฉริยะ*: ด้วยการเชื่อมต่อปัญญาประดิษฐ์และ IoT เครื่องจักรภายในโรงงานอัตโนมัติจะสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติและคาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา

    3. *การควบคุมคุณภาพที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์*: อัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องจักรจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาความไม่สม่ำเสมอและข้อบกพร่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานที่เหนือกว่า

    4. *สภาพแวดล้อมการผลิตที่สะอาดเป็นพิเศษ*: โรงงานอัตโนมัติใช้ระบบฟอกอากาศและกำจัดฝุ่นอัตโนมัติเพื่อรักษาสภาพปลอดเชื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยา

    5. *การผลิตความเร็วสูงและปรับขนาดได้*: ระบบอัตโนมัติช่วยให้การผลิตมีความเร็วและปรับขนาดได้อย่างไม่มีใครเทียบ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ
    6. *การดำเนินงานที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืน*: โรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสมที่สุด ส่งเสริมแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    การเพิ่มขึ้นของการลงทุนด้านการผลิตอัจฉริยะ

    การลงทุนจำนวนมากในด้านระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นแรงผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว

    บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการผลิตรุ่นต่อไปเหล่านี้ โดยตระหนักถึงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาคุณภาพที่เหนือกว่า

    อนาคตของการผลิต

    การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะมีผลที่ตามมาในวงกว้าง เช่น:

    - เพิ่มผลผลิตผ่านการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่หยุดชะงัก
    - รับรองคุณภาพที่ดีขึ้นผ่านการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์
    - แนวทางการผลิตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการพลังงานอัตโนมัติ
    - ความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น

    บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่ของการผลิต

    โรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการผลิตอย่างแข็งขัน

    การใช้ประโยชน์จาก AI, ​​IoT และระบบอัตโนมัติช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปลดล็อกประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับขนาด และความยั่งยืนที่ไม่เคยมีมาก่อนได้

    ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไป โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ปฏิวัติการผลิตทั่วโลก และปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ
    จีนได้เข้าสู่ยุคของโรงงานมืดที่เป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนงานและไม่มีไฟฟ้า ภาคการผลิตกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูล สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเกิดขึ้นของ "โรงงานมืด" ที่ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นโรงงานแห่งอนาคตที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันโดยไม่มีการแทรกแซงของมนุษย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และผลผลิตให้สูงสุด ทำความเข้าใจแนวคิดของโรงงานมืด โรงงานมืดเป็นโรงงานผลิตขั้นสูงที่พึ่งพาระบบอัตโนมัติทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนงานในสถานที่ โรงงานเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ระบบ IoT ที่เชื่อมต่อกัน และโปรโตคอลอัตโนมัติที่ซับซ้อนเพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น โรงงานมืดทำงานได้โดยไม่ต้องมีแสงสว่าง โดยไม่ต้องมีมนุษย์อยู่ด้วย ทำให้ลดการใช้พลังงานและต้นทุนการดำเนินงานลง พร้อมทั้งรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ คุณสมบัติหลักของโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ 1. *ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร*: โรงงานอัตโนมัติผสานรวมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อจัดการทุกด้านของการผลิต ตั้งแต่การจัดการวัสดุและการประกอบไปจนถึงการบรรจุหีบห่อและการรับรองคุณภาพ 2. *เครือข่ายเครื่องจักรอัจฉริยะ*: ด้วยการเชื่อมต่อปัญญาประดิษฐ์และ IoT เครื่องจักรภายในโรงงานอัตโนมัติจะสื่อสารแบบเรียลไทม์ ทำการปรับเปลี่ยนโดยอัตโนมัติและคาดการณ์ความต้องการในการบำรุงรักษา 3. *การควบคุมคุณภาพที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์*: อัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องจักรจะตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาความไม่สม่ำเสมอและข้อบกพร่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานที่เหนือกว่า 4. *สภาพแวดล้อมการผลิตที่สะอาดเป็นพิเศษ*: โรงงานอัตโนมัติใช้ระบบฟอกอากาศและกำจัดฝุ่นอัตโนมัติเพื่อรักษาสภาพปลอดเชื้อ ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยา 5. *การผลิตความเร็วสูงและปรับขนาดได้*: ระบบอัตโนมัติช่วยให้การผลิตมีความเร็วและปรับขนาดได้อย่างไม่มีใครเทียบ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ 6. *การดำเนินงานที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืน*: โรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสมที่สุด ส่งเสริมแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขึ้นของการลงทุนด้านการผลิตอัจฉริยะ การลงทุนจำนวนมากในด้านระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นแรงผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมขยายตัว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาศูนย์กลางการผลิตรุ่นต่อไปเหล่านี้ โดยตระหนักถึงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาคุณภาพที่เหนือกว่า อนาคตของการผลิต การเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะมีผลที่ตามมาในวงกว้าง เช่น: - เพิ่มผลผลิตผ่านการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่หยุดชะงัก - รับรองคุณภาพที่ดีขึ้นผ่านการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ - แนวทางการผลิตที่ยั่งยืนผ่านการจัดการพลังงานอัตโนมัติ - ความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น บทสรุป: ก้าวสู่ยุคใหม่ของการผลิต โรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ห่างไกลอีกต่อไป แต่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการผลิตอย่างแข็งขัน การใช้ประโยชน์จาก AI, ​​IoT และระบบอัตโนมัติช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปลดล็อกประสิทธิภาพ ความสามารถในการปรับขนาด และความยั่งยืนที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไป โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ปฏิวัติการผลิตทั่วโลก และปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม

    เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง

    นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ

    ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม

    Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

    การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว

    #Newskit
    ซื้อหนี้ประชาชน อันตรายบนศีลธรรม เป็นที่วิจารณ์ไม่หยุด สำหรับแนวคิดรับซื้อหนี้จากประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคาร แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ โดยอ้างว่าจะให้หนี้สินคนไทยหมดไป ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท ให้เอกชนลงทุน แม้แนวคิดดูเลื่อนลอย แต่ก็เป็นความกังวลของสังคมไทย นักกลยุทธ์การลงทุนรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า "การซื้อหนี้ 16 ล้านล้านบาท ไม่มีเอกชนหน้าโง่ที่ไหนซื้อหนี้ราคาสูงแล้วมาแฮร์คัต (Hair Cut หรือปิดจบด้วยเงินก้อน) ให้ลูกหนี้ ถ้ารัฐไม่ล้างผลาญงบฯ จ่ายส่วนต่างให้" มีชาวเน็ตแชร์ออกไปนับร้อยครั้ง นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า แนวคิดการรับซื้อหนี้เสียของประชาชน จากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ กรอบสำคัญคือต้องมองให้ครบ บูรณาการผลกระทบต่างๆ สำคัญคือที่มาของเงินมาจากไหน เพราะอาจจะเป็นภาระทางการคลังได้ และคำนึงผลกระทบเชิง Moral hazard ต้องหาจุดตรงกลางในการช่วยเหลือ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบงก์ชาติยึดหลักแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 3 ประการ คือ 1. ต้องสนับสนุนวินัยทางการเงินที่ดี ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ทำให้เกิดปัญหา Moral hazard 2. สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ในระยะข้างหน้า และ 3. ต้องแก้ปัญหาหนี้อย่างตรงจุด และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบการเงินในภาพรวม Moral hazard หรือภัยทางศีลธรรม อันตรายบนศีลธรรม จรรยาสามานย์ แล้วแต่จะเรียก เกิดขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้เสียคือลูกหนี้ มีแรงจูงใจหรือมีสิ่งล่อใจแล้วเอาเปรียบอีกฝ่ายโดยเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าล้มเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ได้รับการช่วยเหลือ เปรียบคนเบี้ยวหนี้กองทุน กยศ.คิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลจะลดยอดหนี้ให้ ชาวนาไม่ฟังทางการทำนาในฤดูแล้ง เมื่อเสียหายก็ได้เงินชดเชยจากรัฐบาล เป็นเครื่องมือให้นักการเมืองฉวยโอกาสสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การซื้อหนี้จากธนาคารแล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน เหมือนเริ่มต้นจะสวยหรูแต่ขมขื่นระยะยาว เฉกเช่นบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง เปิดฉากกวาดลูกค้าจากค่ายอื่นแล้วได้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นปัญหา มีประวัติผิดนัดชำระหนี้จากที่อื่นย้ายหนีจำนวนมาก สุดท้ายก็สร้างปัญหา ผลประกอบการขาดทุนย่อยยับ แล้วขายพอร์ตสินเชื่อให้กับผู้สนใจรายใหม่ จากนั้นรายใหม่ก็อาจนำไปเล่นแร่แปรธาตุ เช่น ปล่อยหุ้นกู้แล้วไม่จ่ายคืน กลายเป็นมันนี่เกมที่อาจทำให้นักลงทุนซึ่งเป็นคนธรรมดาอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • "หมอรุ่งเรือง" เตือนภัย! มิจฉาชีพปลอม TikTok หลอกลงทุนสูญเงินกว่าแสน
    https://www.thai-tai.tv/news/17709/
    "หมอรุ่งเรือง" เตือนภัย! มิจฉาชีพปลอม TikTok หลอกลงทุนสูญเงินกว่าแสน https://www.thai-tai.tv/news/17709/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนตำนานทักษิณ ทำแคปิตอล โอเค

    นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดงที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ตอนหนึ่งระบุว่า วันก่อนคิดกับนายกฯ (แพทองธาร ชินวัตร) ดังๆ ทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมดไปได้ คิดดังๆ ว่าเราจะซื้อหนี้ทั้งหมด ซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคารดีหรือไม่ แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาทสามารถให้เอกชนลงทุน เรียกเสียงฮือฮาแก่ผู้สนับสนุน แม้จะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ทำให้ย้อนถึงสมัยเป็นนักธุรกิจ ตระกูลชินวัตรทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลมาก่อน ภายใต้ชื่อ "แคปปิตอล โอเค"

    ปี 2546 กลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลชินวัตร ร่วมทุนกับดีบีเอส แบงก์ ลิมิเต็ด ประเทศสิงคโปร์ เจ้าของธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ ในขณะนั้น ก่อตั้งบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อไม่มีหลักประกัน บัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อต่างๆ โดยกลุ่มชินคอร์ปฯ ถือหุ้น 60% และดีบีเอส 40% ผ่านไป 2 ปีมีลูกค้าราว 6 แสนราย ส่วนมากเป็นสินเชื่อบุคคล 60% สินเชื่อเช่าซื้อ 30% และบัตรเครดิต 10%

    23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 1,487.74 ล้านหุ้น รวม 73,271.20 ล้านบาท ทำให้แคปปิตอล โอเค ไม่ได้เป็นของตระกูลชินวัตรอีกต่อไป หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาลทักษิณถูกประชาชนชุมนุมขับไล่และเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ธุรกิจสินเชื่อของแคปิตอลโอเคเริ่มซบเซา แม้กลุ่มชินคอร์ปฯ ซื้อหุ้นที่เหลือจากดีบีเอส กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5,200 ล้านบาท แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น

    ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2550 กลุ่มชินคอร์ปฯ จึงได้ขายหุ้นแคปปิตอล โอเค ซึ่งขณะนั้นมีทุนจดทะเบียน 7,500 ล้านบาท ให้กับ 2 บริษัท ได้แก่ เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ (ACAP) และออริกซ์ คอร์ปอเรชั่น (บริษัทย่อยของ ORIX) เพื่อลดภาระผลขาดทุนจากการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ และลดภาระการสนับสนุนเงินทุนแก่แคปปิตอล โอเค ในอนาคต หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจซบเซา ปลายปี 2552 แคปปิตอล โอเค จึงหยุดการให้สินเชื่อลูกค้าบุคคลในที่สุด

    ปัจจุบัน แคปปิตอล โอเค เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP ซึ่งมีปัญหาการผิดนัดชําระหนี้หุ้นกู้รวม 7 รุ่น กว่า 4,000 ล้านบาท เคยถูกสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษอดีตผู้บริหารกรณีทุจริต และผู้ถือหุ้นกู้กำลังร้องเรียนหน่วยงานทีเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบธรรมาภิบาล

    #Newskit
    ย้อนตำนานทักษิณ ทำแคปิตอล โอเค นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยต่อกลุ่มคนเสื้อแดงที่จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ตอนหนึ่งระบุว่า วันก่อนคิดกับนายกฯ (แพทองธาร ชินวัตร) ดังๆ ทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมดไปได้ คิดดังๆ ว่าเราจะซื้อหนี้ทั้งหมด ซื้อหนี้ประชาชนออกจากระบบธนาคารดีหรือไม่ แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำมาหากินใหม่ ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาทสามารถให้เอกชนลงทุน เรียกเสียงฮือฮาแก่ผู้สนับสนุน แม้จะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ทำให้ย้อนถึงสมัยเป็นนักธุรกิจ ตระกูลชินวัตรทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลมาก่อน ภายใต้ชื่อ "แคปปิตอล โอเค" ปี 2546 กลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลชินวัตร ร่วมทุนกับดีบีเอส แบงก์ ลิมิเต็ด ประเทศสิงคโปร์ เจ้าของธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ ในขณะนั้น ก่อตั้งบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อไม่มีหลักประกัน บัตรเครดิต และสินเชื่อเช่าซื้อต่างๆ โดยกลุ่มชินคอร์ปฯ ถือหุ้น 60% และดีบีเอส 40% ผ่านไป 2 ปีมีลูกค้าราว 6 แสนราย ส่วนมากเป็นสินเชื่อบุคคล 60% สินเชื่อเช่าซื้อ 30% และบัตรเครดิต 10% 23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 1,487.74 ล้านหุ้น รวม 73,271.20 ล้านบาท ทำให้แคปปิตอล โอเค ไม่ได้เป็นของตระกูลชินวัตรอีกต่อไป หลังจากนั้นเมื่อรัฐบาลทักษิณถูกประชาชนชุมนุมขับไล่และเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ธุรกิจสินเชื่อของแคปิตอลโอเคเริ่มซบเซา แม้กลุ่มชินคอร์ปฯ ซื้อหุ้นที่เหลือจากดีบีเอส กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5,200 ล้านบาท แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2550 กลุ่มชินคอร์ปฯ จึงได้ขายหุ้นแคปปิตอล โอเค ซึ่งขณะนั้นมีทุนจดทะเบียน 7,500 ล้านบาท ให้กับ 2 บริษัท ได้แก่ เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ (ACAP) และออริกซ์ คอร์ปอเรชั่น (บริษัทย่อยของ ORIX) เพื่อลดภาระผลขาดทุนจากการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทฯ และลดภาระการสนับสนุนเงินทุนแก่แคปปิตอล โอเค ในอนาคต หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจซบเซา ปลายปี 2552 แคปปิตอล โอเค จึงหยุดการให้สินเชื่อลูกค้าบุคคลในที่สุด ปัจจุบัน แคปปิตอล โอเค เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP ซึ่งมีปัญหาการผิดนัดชําระหนี้หุ้นกู้รวม 7 รุ่น กว่า 4,000 ล้านบาท เคยถูกสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษอดีตผู้บริหารกรณีทุจริต และผู้ถือหุ้นกู้กำลังร้องเรียนหน่วยงานทีเกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบธรรมาภิบาล #Newskit
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขย่าวงการศาสนา! วัดป่าถูกแฉเป็นเครือข่ายธุรกิจแฝง พระสงฆ์ใช้ศรัทธาชักชวนศิษย์ลงทุน ก่อนกลายเป็นขบวนการฉ้อโกงกว่า 200 ล้านบาท

    #sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #sondhix #เปิดโปงเครือข่ายวัดป่า #เครือข่ายธุรกิจวัดป่า #ศรัทธาถูกใช้บังหน้า #ธรรมะกลายเป็นธุรกิจ
    เขย่าวงการศาสนา! วัดป่าถูกแฉเป็นเครือข่ายธุรกิจแฝง พระสงฆ์ใช้ศรัทธาชักชวนศิษย์ลงทุน ก่อนกลายเป็นขบวนการฉ้อโกงกว่า 200 ล้านบาท #sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #sondhix #เปิดโปงเครือข่ายวัดป่า #เครือข่ายธุรกิจวัดป่า #ศรัทธาถูกใช้บังหน้า #ธรรมะกลายเป็นธุรกิจ
    Like
    Angry
    Love
    21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2076 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • รัฐบาลจีนตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาในปี 2025 เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์, AI, และควอนตัมคอมพิวติ้ง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก งบนี้ยังครอบคลุมการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านโครงการสินเชื่อและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ แม้ว่าผลลัพธ์อาจใช้เวลาพัฒนาไปอีกหลายปี

    จุดมุ่งหมายและโครงการสำคัญ:
    - งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในโครงการ "Science and Technology Innovation 2030" ซึ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น วงจรรวม (Integrated Circuits) และ AI.
    - โครงการดังกล่าวไม่เพียงเน้นผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่ยังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการค้นคว้าพื้นฐาน (Fundamental Research) เพื่อการแข่งขันในอนาคต.

    การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs):
    - รัฐบาลมีแผนสนับสนุน SMEs ที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมด้วยโครงการสินเชื่อพิเศษและกลไกการแบ่งปันความเสี่ยงผ่านกองทุนรับประกันการเงินระดับประเทศ.
    - นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่.

    ความสำคัญในบริบทโลก:
    - การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยให้จีนก้าวทันหรือแม้กระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯ ในการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI

    แม้ว่าการลงทุนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในสถานการณ์ที่การเติบโตชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์มองว่าผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-to-spend-usd55-billion-on-r-and-d-in-2025-semiconductor-ai-and-quantum-computing-fields-to-benefit
    รัฐบาลจีนตั้งเป้าเพิ่มงบวิจัยและพัฒนาในปี 2025 เป็น 55 พันล้านดอลลาร์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์, AI, และควอนตัมคอมพิวติ้ง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก งบนี้ยังครอบคลุมการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านโครงการสินเชื่อและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ แม้ว่าผลลัพธ์อาจใช้เวลาพัฒนาไปอีกหลายปี จุดมุ่งหมายและโครงการสำคัญ: - งบประมาณส่วนหนึ่งจะถูกใช้ในโครงการ "Science and Technology Innovation 2030" ซึ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น วงจรรวม (Integrated Circuits) และ AI. - โครงการดังกล่าวไม่เพียงเน้นผลลัพธ์ในระยะสั้น แต่ยังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการค้นคว้าพื้นฐาน (Fundamental Research) เพื่อการแข่งขันในอนาคต. การสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): - รัฐบาลมีแผนสนับสนุน SMEs ที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมด้วยโครงการสินเชื่อพิเศษและกลไกการแบ่งปันความเสี่ยงผ่านกองทุนรับประกันการเงินระดับประเทศ. - นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่. ความสำคัญในบริบทโลก: - การลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงจะช่วยให้จีนก้าวทันหรือแม้กระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯ ในการแข่งขันด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI แม้ว่าการลงทุนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในสถานการณ์ที่การเติบโตชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์มองว่าผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-to-spend-usd55-billion-on-r-and-d-in-2025-semiconductor-ai-and-quantum-computing-fields-to-benefit
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China to spend $55 billion on R&D in 2025 — Semiconductor, AI and quantum computing fields to benefit
    China set to inject $55 billion in research and development of fundamental technologies and innovating enterprises.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Samsung ตอนนี้เจอปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ที่คู่แข่งกำลังนำหน้าไปไกล Jay Y. Lee ประธานของบริษัทถึงกับออกมาเตือนผู้บริหารว่า นี่คือสถานการณ์ 'เป็นตาย' และเรียกร้องให้มีการลงทุนระยะยาว แม้ว่าจะต้องยอมลดกำไรระยะสั้น. การประชุมผู้ถือหุ้นที่จะถึงนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามองว่าสิ่งที่ Lee เสนอนี้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนได้มากแค่ไหน แต่นับว่าคำพูดของเขาก็มีผลแล้ว เพราะหุ้นของ Samsung เพิ่งกระโดดขึ้นกว่า 5%

    https://www.techspot.com/news/107174-samsung-ceo-warns-do-or-die-situation-urges.html
    "Samsung ตอนนี้เจอปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ที่คู่แข่งกำลังนำหน้าไปไกล Jay Y. Lee ประธานของบริษัทถึงกับออกมาเตือนผู้บริหารว่า นี่คือสถานการณ์ 'เป็นตาย' และเรียกร้องให้มีการลงทุนระยะยาว แม้ว่าจะต้องยอมลดกำไรระยะสั้น. การประชุมผู้ถือหุ้นที่จะถึงนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ต้องจับตามองว่าสิ่งที่ Lee เสนอนี้จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนได้มากแค่ไหน แต่นับว่าคำพูดของเขาก็มีผลแล้ว เพราะหุ้นของ Samsung เพิ่งกระโดดขึ้นกว่า 5% https://www.techspot.com/news/107174-samsung-ceo-warns-do-or-die-situation-urges.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Samsung CEO warns of "do-or-die" situation, urges investment over short-term profits
    Lee's remarks were delivered via a prerecorded video at a recent internal seminar attended by approximately 2,000 executives from Samsung's various affiliates. The seminars are part of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • Canary Capital กำลังทำสิ่งที่น่าจับตามองในวงการคริปโต โดยพวกเขากำลังขออนุมัติจาก SEC เพื่อตั้ง ETF ที่เชื่อมโยงกับเหรียญ Sui ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดกว่า 7.4 พันล้านดอลลาร์ ความน่าสนใจอยู่ที่ตอนนี้กฎระเบียบในสหรัฐฯ อาจจะผ่อนคลายขึ้นหลังประธานาธิบดี Donald Trump เข้ามาบริหาร ตลาดคริปโตจึงเต็มไปด้วยความหวังว่า ETF ใหม่ ๆ จะได้รับการอนุมัติเร็วขึ้นในปี 2025 หากสำเร็จ ETF นี้จะช่วยให้เหรียญ Sui มีชื่อเสียงและโอกาสมากขึ้นในหมู่นักลงทุน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/canary-capital-continues-flurry-of-us-crypto-etf-filings-with-sui-proposal
    Canary Capital กำลังทำสิ่งที่น่าจับตามองในวงการคริปโต โดยพวกเขากำลังขออนุมัติจาก SEC เพื่อตั้ง ETF ที่เชื่อมโยงกับเหรียญ Sui ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าตลาดกว่า 7.4 พันล้านดอลลาร์ ความน่าสนใจอยู่ที่ตอนนี้กฎระเบียบในสหรัฐฯ อาจจะผ่อนคลายขึ้นหลังประธานาธิบดี Donald Trump เข้ามาบริหาร ตลาดคริปโตจึงเต็มไปด้วยความหวังว่า ETF ใหม่ ๆ จะได้รับการอนุมัติเร็วขึ้นในปี 2025 หากสำเร็จ ETF นี้จะช่วยให้เหรียญ Sui มีชื่อเสียงและโอกาสมากขึ้นในหมู่นักลงทุน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/canary-capital-continues-flurry-of-us-crypto-etf-filings-with-sui-proposal
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Canary Capital continues flurry of US crypto ETF filings with Sui proposal
    (Reuters) - Canary Capital Group, a digital assets investment firm, said on Monday that it is seeking the green light from regulators to launch an exchange-traded fund tied to the spot price of Sui, a cryptocurrency associated with Sui Network, a blockchain service provider.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google กำลังคิดใหญ่ด้วยการเจรจาซื้อ Wiz สตาร์ตอัพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยเงินมหาศาลถึง 30 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้ถ้าสำเร็จ นับว่าเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดของ Alphabet เลยก็ว่าได้. Wiz เองก็เด่นเรื่องการใช้ AI ช่วยองค์กรตรวจจับความเสี่ยงในระบบคลาวด์ และเหมาะกับความต้องการในยุคที่องค์กรต่าง ๆ ต้องป้องกันข้อมูลดิจิทัลให้ดีกว่าเดิม แต่การซื้อครั้งนี้ก็อาจถูกจับตามองในเรื่องการผูกขาดตลาดด้วย

    เบื้องหลังของ Wiz:
    - Wiz เป็นสตาร์ตอัพที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาโซลูชันความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อตรวจจับและแก้ไขความเสี่ยงในระบบคลาวด์ขององค์กร.
    - มูลค่าของ Wiz ล่าสุดในปี 2024 อยู่ที่ 12 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนรอบก่อน.

    ผลกระทบของการซื้อกิจการ:
    - หากการเข้าซื้อสำเร็จ Alphabet จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้มากขึ้น ท่ามกลางความกังวลขององค์กรที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ระบบ CrowdStrike ล่มทั่วโลกเมื่อปีที่ผ่านมา.
    - อย่างไรก็ตาม ดีลนี้น่าจะเผชิญการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแล เนื่องจากมีมูลค่าสูงและอาจกระทบเรื่องการแข่งขันในตลาด.

    ตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เติบโต:
    - อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ มุ่งลงทุนในการป้องกันระบบดิจิทัล.
    - Alphabet มีแผนใช้ Wiz เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตัวเอง ซึ่งปีที่ผ่านมา สร้างรายได้กว่า 43 พันล้านดอลลาร์.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/alphabet-back-in-deal-to-buy-cybersecurity-startup-wiz-for-30-billion-wsj-reports
    Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google กำลังคิดใหญ่ด้วยการเจรจาซื้อ Wiz สตาร์ตอัพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยเงินมหาศาลถึง 30 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้ถ้าสำเร็จ นับว่าเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดของ Alphabet เลยก็ว่าได้. Wiz เองก็เด่นเรื่องการใช้ AI ช่วยองค์กรตรวจจับความเสี่ยงในระบบคลาวด์ และเหมาะกับความต้องการในยุคที่องค์กรต่าง ๆ ต้องป้องกันข้อมูลดิจิทัลให้ดีกว่าเดิม แต่การซื้อครั้งนี้ก็อาจถูกจับตามองในเรื่องการผูกขาดตลาดด้วย เบื้องหลังของ Wiz: - Wiz เป็นสตาร์ตอัพที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาโซลูชันความปลอดภัยบนระบบคลาวด์ โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อตรวจจับและแก้ไขความเสี่ยงในระบบคลาวด์ขององค์กร. - มูลค่าของ Wiz ล่าสุดในปี 2024 อยู่ที่ 12 พันล้านดอลลาร์จากการระดมทุนรอบก่อน. ผลกระทบของการซื้อกิจการ: - หากการเข้าซื้อสำเร็จ Alphabet จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้มากขึ้น ท่ามกลางความกังวลขององค์กรที่เพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ระบบ CrowdStrike ล่มทั่วโลกเมื่อปีที่ผ่านมา. - อย่างไรก็ตาม ดีลนี้น่าจะเผชิญการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแล เนื่องจากมีมูลค่าสูงและอาจกระทบเรื่องการแข่งขันในตลาด. ตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เติบโต: - อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ มุ่งลงทุนในการป้องกันระบบดิจิทัล. - Alphabet มีแผนใช้ Wiz เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตัวเอง ซึ่งปีที่ผ่านมา สร้างรายได้กว่า 43 พันล้านดอลลาร์. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/18/alphabet-back-in-deal-to-buy-cybersecurity-startup-wiz-for-30-billion-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alphabet back in talks to buy cybersecurity startup Wiz for $30 billion, source says
    (Reuters) -Google-parent Alphabet is in advanced talks to acquire cybersecurity startup Wiz for around $30 billion, a source familiar with the matter said on Monday, potentially marking the tech giant's largest deal to date.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts