• เจเน็ต เยลเลน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (14 เม.ย.) ว่ารู้สึกกังวลอย่างยิ่งว่ามาตรการรีดภาษีคู่ค้าและนโยบายอื่นๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกัดเซาะความเชื่อถือศรัทธาที่ชาติพันธมิตรมีต่ออเมริกา และนักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ

    เยลเลน ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ เพราะทำให้โลก “ตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในสินทรัพย์ของสิ่งซึ่งเคยเป็นรากฐานของระบบการเงินโลก ซึ่งก็คือกระทรวงการคลังสหรัฐฯ”

    “ดิฉันไม่ได้มองว่า เรากำลังเห็นความผิดปกติในแง่ของการสูญเสียสภาพคล่องในตลาดไปอย่างสิ้นเชิง แต่สัญญาณที่เตือนว่าทั่วโลกกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความปลอดภัยของสินทรัพย์อันเป็นรากฐาน คือสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า”

    อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลดลงในวันจันทร์ (14) หลังจากที่รัฐบาล ทรัมป์ ประกาศระงับการรีดภาษีสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากจีนอย่างน้อยก็ชั่วคราว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีลดลง 8 จุดตั้งแต่วันศุกร์ (11) ลงมาอยู่ที่ 4.41% แต่ก็ยังสูงกว่าตัวเลข 3.99% ณ วันที่ 4 เม.ย.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000035641

    #MGROnline #เจเน็ตเยลเลน
    เจเน็ต เยลเลน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุวานนี้ (14 เม.ย.) ว่ารู้สึกกังวลอย่างยิ่งว่ามาตรการรีดภาษีคู่ค้าและนโยบายอื่นๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกัดเซาะความเชื่อถือศรัทธาที่ชาติพันธมิตรมีต่ออเมริกา และนักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ • เยลเลน ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ เพราะทำให้โลก “ตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในสินทรัพย์ของสิ่งซึ่งเคยเป็นรากฐานของระบบการเงินโลก ซึ่งก็คือกระทรวงการคลังสหรัฐฯ” • “ดิฉันไม่ได้มองว่า เรากำลังเห็นความผิดปกติในแง่ของการสูญเสียสภาพคล่องในตลาดไปอย่างสิ้นเชิง แต่สัญญาณที่เตือนว่าทั่วโลกกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความปลอดภัยของสินทรัพย์อันเป็นรากฐาน คือสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า” • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลดลงในวันจันทร์ (14) หลังจากที่รัฐบาล ทรัมป์ ประกาศระงับการรีดภาษีสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ที่นำเข้าจากจีนอย่างน้อยก็ชั่วคราว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปีลดลง 8 จุดตั้งแต่วันศุกร์ (11) ลงมาอยู่ที่ 4.41% แต่ก็ยังสูงกว่าตัวเลข 3.99% ณ วันที่ 4 เม.ย. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9680000035641 • #MGROnline #เจเน็ตเยลเลน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจเน็ต เยลเลน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่ารู้สึกกังวลอย่างยิ่งว่ามาตรการรีดภาษีคู่ค้าและนโยบายอื่นๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกัดเซาะความเชื่อถือศรัทธาที่ชาติพันธมิตรมีต่ออเมริกา และนักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000035643

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    เจเน็ต เยลเลน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่ารู้สึกกังวลอย่างยิ่งว่ามาตรการรีดภาษีคู่ค้าและนโยบายอื่นๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกัดเซาะความเชื่อถือศรัทธาที่ชาติพันธมิตรมีต่ออเมริกา และนักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000035643 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า

    ✅ Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy
    - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024
    - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า
    - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น

    ✅ ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon
    - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์
    - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy

    ✅ การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ
    - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์
    - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos
    - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล
    - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้

    ℹ️ ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon
    - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน
    - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่

    ℹ️ แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า ✅ Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024 - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น ✅ ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์ - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy ✅ การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์ - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ ℹ️ ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    WWW.TECHRADAR.COM
    Amazon paid out more to Jeff Bezos than its actual CEO in 2024
    Former CEO Jeff Bezos is still costing Amazon millions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ลงนามในข้อตกลง การกำจัดคาร์บอน ครั้งใหญ่ โดยจะซื้อ เครดิตการกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน จากบริษัท CO280 ภายในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการทำให้บริษัทมี คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030

    ✅ Microsoft ลงนามข้อตกลงกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน
    - โครงการจะเริ่มต้นในปี 2028 และดำเนินการเป็นเวลา 12 ปี
    - คาร์บอนจะถูกดักจับจาก โรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ บริเวณ Gulf Coast
    - คาร์บอนที่ถูกดักจับจะถูก เก็บรักษาอย่างถาวรในชั้นหินเกลือใต้ดิน

    ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ในการกำจัดคาร์บอน
    - ใช้ เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนแบบอะมีน (Amine-based capture technology)
    - ระบบนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมกระดาษ

    ✅ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของ Microsoft
    - Microsoft ตั้งเป้าหมายเป็น คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030
    - บริษัทต้องการกำจัด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975

    ✅ โครงการกำจัดคาร์บอนอื่นๆ ของ Microsoft
    - ซื้อเครดิต 1.5 ล้านตัน ผ่านโครงการปลูกป่าในอินเดีย
    - ซื้อเครดิต 1.6 ล้านตัน ในปานามาภายใน 30 ปี
    - ลงทุนในโครงการ Chestnut Carbon ที่นิวยอร์กเพื่อกำจัดคาร์บอน 7 ล้านตัน ภายใน 25 ปี

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - ความต้องการพลังงานของ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Microsoft เพิ่มขึ้น
    - ในปี 2023 Microsoft ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 17.2 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า

    ℹ️ ความท้าทายในการกำจัดคาร์บอน
    - แม้จะมีโครงการกำจัดคาร์บอน แต่ยังไม่แน่ชัดว่า Microsoft จะสามารถบรรลุเป้าหมาย คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ได้หรือไม่
    - เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    ℹ️ แนวโน้มของอุตสาหกรรมกำจัดคาร์บอน
    - บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Amazon และ Google กำลังลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนเช่นกัน
    - อาจมีการพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากศูนย์ข้อมูล

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-signs-a-major-new-carbon-removal-deal-that-might-be-powered-by-paper
    Microsoft ได้ลงนามในข้อตกลง การกำจัดคาร์บอน ครั้งใหญ่ โดยจะซื้อ เครดิตการกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน จากบริษัท CO280 ภายในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการทำให้บริษัทมี คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ✅ Microsoft ลงนามข้อตกลงกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน - โครงการจะเริ่มต้นในปี 2028 และดำเนินการเป็นเวลา 12 ปี - คาร์บอนจะถูกดักจับจาก โรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ บริเวณ Gulf Coast - คาร์บอนที่ถูกดักจับจะถูก เก็บรักษาอย่างถาวรในชั้นหินเกลือใต้ดิน ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ในการกำจัดคาร์บอน - ใช้ เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนแบบอะมีน (Amine-based capture technology) - ระบบนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมกระดาษ ✅ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของ Microsoft - Microsoft ตั้งเป้าหมายเป็น คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 - บริษัทต้องการกำจัด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975 ✅ โครงการกำจัดคาร์บอนอื่นๆ ของ Microsoft - ซื้อเครดิต 1.5 ล้านตัน ผ่านโครงการปลูกป่าในอินเดีย - ซื้อเครดิต 1.6 ล้านตัน ในปานามาภายใน 30 ปี - ลงทุนในโครงการ Chestnut Carbon ที่นิวยอร์กเพื่อกำจัดคาร์บอน 7 ล้านตัน ภายใน 25 ปี ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี - ความต้องการพลังงานของ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Microsoft เพิ่มขึ้น - ในปี 2023 Microsoft ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 17.2 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ℹ️ ความท้าทายในการกำจัดคาร์บอน - แม้จะมีโครงการกำจัดคาร์บอน แต่ยังไม่แน่ชัดว่า Microsoft จะสามารถบรรลุเป้าหมาย คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ได้หรือไม่ - เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ℹ️ แนวโน้มของอุตสาหกรรมกำจัดคาร์บอน - บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Amazon และ Google กำลังลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนเช่นกัน - อาจมีการพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากศูนย์ข้อมูล https://www.techradar.com/pro/microsoft-signs-a-major-new-carbon-removal-deal-that-might-be-powered-by-paper
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Laboratory Services Cooperative (LSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของ 1.6 ล้านคน โดยข้อมูลที่ถูกขโมยอาจรวมถึง ข้อมูลทางการแพทย์, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลระบุตัวตน

    ✅ LSC ตรวจพบกิจกรรมต้องสงสัยในระบบเมื่อเดือนตุลาคม 2024
    - บริษัทแจ้งตำรวจและนำผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ
    - การสอบสวนเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจได้รับผลกระทบ

    ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีหลายประเภท
    - ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล
    - ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น วันที่รับบริการ, การวินิจฉัยโรค, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    - ข้อมูลประกันสุขภาพ เช่น ชื่อแผนประกัน, หมายเลขสมาชิก
    - ข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร, รายละเอียดบัตรเครดิต

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ
    - ผู้ที่เข้ารับการตรวจผ่าน Planned Parenthood ซึ่งใช้บริการของ LSC อาจได้รับผลกระทบ
    - ข้อมูลของพนักงาน LSC และบุคคลในครอบครัวของพนักงานอาจถูกขโมยด้วย

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ข้อมูลยังไม่ถูกเผยแพร่บน Dark Web
    - ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยถูกนำไปขายหรือเผยแพร่
    - แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านการเงินและการฉ้อโกง
    - ข้อมูลการชำระเงินที่ถูกขโมยอาจถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกง
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ

    ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ
    - การโจมตีทางไซเบอร์ต่อองค์กรด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    - บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/top-us-lab-testing-firm-hit-with-major-data-leak-exposes-health-info-on-1-6-million-users
    บริษัท Laboratory Services Cooperative (LSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของ 1.6 ล้านคน โดยข้อมูลที่ถูกขโมยอาจรวมถึง ข้อมูลทางการแพทย์, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลระบุตัวตน ✅ LSC ตรวจพบกิจกรรมต้องสงสัยในระบบเมื่อเดือนตุลาคม 2024 - บริษัทแจ้งตำรวจและนำผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ - การสอบสวนเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจได้รับผลกระทบ ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีหลายประเภท - ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล - ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น วันที่รับบริการ, การวินิจฉัยโรค, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ - ข้อมูลประกันสุขภาพ เช่น ชื่อแผนประกัน, หมายเลขสมาชิก - ข้อมูลการชำระเงิน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร, รายละเอียดบัตรเครดิต ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ - ผู้ที่เข้ารับการตรวจผ่าน Planned Parenthood ซึ่งใช้บริการของ LSC อาจได้รับผลกระทบ - ข้อมูลของพนักงาน LSC และบุคคลในครอบครัวของพนักงานอาจถูกขโมยด้วย ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ข้อมูลยังไม่ถูกเผยแพร่บน Dark Web - ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าข้อมูลที่ถูกขโมยถูกนำไปขายหรือเผยแพร่ - แต่ผู้ใช้ควรเฝ้าระวังการโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว ℹ️ ความเสี่ยงด้านการเงินและการฉ้อโกง - ข้อมูลการชำระเงินที่ถูกขโมยอาจถูกนำไปใช้ในการฉ้อโกง - ผู้ใช้ควรตรวจสอบบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ ℹ️ แนวโน้มของภัยคุกคามไซเบอร์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ - การโจมตีทางไซเบอร์ต่อองค์กรด้านสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น - บริษัทต่างๆ ต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/top-us-lab-testing-firm-hit-with-major-data-leak-exposes-health-info-on-1-6-million-users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้ขายหุ้น 51% ของธุรกิจ FPGA Altera ให้กับ Silver Lake ในมูลค่า 4.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน

    ✅ Intel ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Altera ให้ Silver Lake
    - การขายหุ้นครั้งนี้ทำให้ Altera กลายเป็น บริษัท FPGA อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    - Intel ยังคงถือหุ้น 49% และจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ Altera

    ✅ เป้าหมายของ Altera หลังแยกตัว
    - มุ่งเน้นการพัฒนา FPGA สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, การบิน, การสื่อสาร และ AI
    - ขยายตลาดไปยัง แพลตฟอร์มคลาวด์, ระบบ Edge และเครือข่ายไร้สายยุคใหม่

    ✅ ผลกระทบต่อ Intel
    - ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และมุ่งเน้นธุรกิจหลัก เช่น CPU, GPU และการผลิตชิป
    - ปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของ Altera
    - Raghib Hussain จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Altera ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2025
    - เขาเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Marvell และมีประสบการณ์ในบริษัทชั้นนำ เช่น Cisco และ Cadence

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม FPGA
    - Altera อาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจาก Xilinx (AMD) และ Lattice Semiconductor
    - ต้องติดตามว่า Altera จะสามารถขยายตลาดได้เร็วแค่ไหนหลังแยกตัว

    ℹ️ แนวโน้มของ Intel หลังขายหุ้น Altera
    - Intel อาจใช้เงินจากดีลนี้เพื่อ ลงทุนในธุรกิจชิปและโรงงานผลิต
    - ต้องจับตาว่า Intel จะปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    ℹ️ ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ
    - Silver Lake ต้องวางแผนให้ Altera เติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับ Intel
    - ต้องดูว่า Altera จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาด FPGA ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-sells-51-percent-of-altera-fpga-business-to-silver-lake-for-usd4-46-billion
    Intel ได้ขายหุ้น 51% ของธุรกิจ FPGA Altera ให้กับ Silver Lake ในมูลค่า 4.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างธุรกิจและเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน ✅ Intel ขายหุ้นส่วนใหญ่ของ Altera ให้ Silver Lake - การขายหุ้นครั้งนี้ทำให้ Altera กลายเป็น บริษัท FPGA อิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก - Intel ยังคงถือหุ้น 49% และจะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของ Altera ✅ เป้าหมายของ Altera หลังแยกตัว - มุ่งเน้นการพัฒนา FPGA สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์, การบิน, การสื่อสาร และ AI - ขยายตลาดไปยัง แพลตฟอร์มคลาวด์, ระบบ Edge และเครือข่ายไร้สายยุคใหม่ ✅ ผลกระทบต่อ Intel - ลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และมุ่งเน้นธุรกิจหลัก เช่น CPU, GPU และการผลิตชิป - ปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารของ Altera - Raghib Hussain จะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Altera ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2025 - เขาเคยเป็นประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของ Marvell และมีประสบการณ์ในบริษัทชั้นนำ เช่น Cisco และ Cadence ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม FPGA - Altera อาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจาก Xilinx (AMD) และ Lattice Semiconductor - ต้องติดตามว่า Altera จะสามารถขยายตลาดได้เร็วแค่ไหนหลังแยกตัว ℹ️ แนวโน้มของ Intel หลังขายหุ้น Altera - Intel อาจใช้เงินจากดีลนี้เพื่อ ลงทุนในธุรกิจชิปและโรงงานผลิต - ต้องจับตาว่า Intel จะปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ℹ️ ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ - Silver Lake ต้องวางแผนให้ Altera เติบโตอย่างมั่นคง โดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับ Intel - ต้องดูว่า Altera จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาด FPGA ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-sells-51-percent-of-altera-fpga-business-to-silver-lake-for-usd4-46-billion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Monash ได้พัฒนา เทคโนโลยีกรองน้ำแบบใหม่ ที่สามารถกำจัดสารเคมีตกค้างที่เรียกว่า PFAS ซึ่งเป็นสารที่มีความทนทานสูงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้ กราฟีนออกไซด์ ร่วมกับ เบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน ซึ่งเป็นโมเลกุลน้ำตาลที่สามารถดักจับสารเคมีได้

    ✅ การใช้กราฟีนออกไซด์ร่วมกับเบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน
    - กราฟีนออกไซด์ถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างนาโนที่สามารถดักจับสาร PFAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - เบต้าไซโคลเด็กซ์ทรินทำหน้าที่เป็น กรงโมเลกุล ที่ช่วยกักเก็บสารเคมีอันตราย

    ✅ ประสิทธิภาพในการกำจัดสารเคมีตกค้าง
    - สามารถกำจัด PFAS ขนาดเล็ก ที่มักเล็ดลอดผ่านระบบกรองทั่วไป
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้กระบวนการกรองน้ำมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

    ✅ การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม
    - ใช้เทคนิค Shear Alignment Printing เพื่อผลิตแผ่นกรองขนาดใหญ่
    - สามารถนำไปใช้ใน โรงงานบำบัดน้ำเสีย, โรงงานอุตสาหกรรม และระบบกรองน้ำประปา

    ✅ ความร่วมมือในการพัฒนา
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Monash University, Clean TeQ Water และ NematiQ
    - มีเป้าหมายพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับสารปนเปื้อนชนิดต่างๆ

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - แม้เทคโนโลยีนี้จะช่วยกำจัดสารเคมีตกค้าง แต่ต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศเพิ่มเติม
    - การกำจัด PFAS ที่ถูกดักจับต้องใช้กระบวนการที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำ

    ℹ️ ความท้าทายในการนำไปใช้จริง
    - แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่า สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อม
    - อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงในการติดตั้งระบบกรองน้ำแบบใหม่นี้ในระดับอุตสาหกรรม

    ℹ️ แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำ
    - นักวิจัยกำลังพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ยา, สารกำจัดศัตรูพืช และโลหะหนัก
    - อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ใน ระบบกรองน้ำสำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำสะอาด

    https://www.techspot.com/news/107545-breakthrough-water-filter-eliminates-forever-chemicals-using-modified.html
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Monash ได้พัฒนา เทคโนโลยีกรองน้ำแบบใหม่ ที่สามารถกำจัดสารเคมีตกค้างที่เรียกว่า PFAS ซึ่งเป็นสารที่มีความทนทานสูงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้ กราฟีนออกไซด์ ร่วมกับ เบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน ซึ่งเป็นโมเลกุลน้ำตาลที่สามารถดักจับสารเคมีได้ ✅ การใช้กราฟีนออกไซด์ร่วมกับเบต้าไซโคลเด็กซ์ทริน - กราฟีนออกไซด์ถูกพัฒนาให้มีโครงสร้างนาโนที่สามารถดักจับสาร PFAS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เบต้าไซโคลเด็กซ์ทรินทำหน้าที่เป็น กรงโมเลกุล ที่ช่วยกักเก็บสารเคมีอันตราย ✅ ประสิทธิภาพในการกำจัดสารเคมีตกค้าง - สามารถกำจัด PFAS ขนาดเล็ก ที่มักเล็ดลอดผ่านระบบกรองทั่วไป - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้กระบวนการกรองน้ำมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ✅ การนำไปใช้ในระดับอุตสาหกรรม - ใช้เทคนิค Shear Alignment Printing เพื่อผลิตแผ่นกรองขนาดใหญ่ - สามารถนำไปใช้ใน โรงงานบำบัดน้ำเสีย, โรงงานอุตสาหกรรม และระบบกรองน้ำประปา ✅ ความร่วมมือในการพัฒนา - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Monash University, Clean TeQ Water และ NematiQ - มีเป้าหมายพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับสารปนเปื้อนชนิดต่างๆ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - แม้เทคโนโลยีนี้จะช่วยกำจัดสารเคมีตกค้าง แต่ต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศเพิ่มเติม - การกำจัด PFAS ที่ถูกดักจับต้องใช้กระบวนการที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนซ้ำ ℹ️ ความท้าทายในการนำไปใช้จริง - แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่า สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแวดล้อม - อาจต้องใช้เงินลงทุนสูงในการติดตั้งระบบกรองน้ำแบบใหม่นี้ในระดับอุตสาหกรรม ℹ️ แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีกรองน้ำ - นักวิจัยกำลังพัฒนา ระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น ยา, สารกำจัดศัตรูพืช และโลหะหนัก - อาจมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ใน ระบบกรองน้ำสำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำสะอาด https://www.techspot.com/news/107545-breakthrough-water-filter-eliminates-forever-chemicals-using-modified.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Breakthrough water filter eliminates forever chemicals using modified graphene oxide
    Researchers at Monash University have introduced a new water filtration technology that could shift the fight against PFAS – chemicals known for their environmental persistence and health...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป

    ✅ การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่
    - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน
    - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด

    ✅ การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย
    - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030
    - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก

    ✅ โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ
    - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ
    - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา
    - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
    - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา
    - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ

    ℹ️ ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน
    - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
    - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้

    ℹ️ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก
    - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ
    - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์

    https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    รัฐบาลเยอรมนีกำลังวางแผนจัดตั้ง "ซูเปอร์กระทรวงไฮเทค" เพื่อส่งเสริมการวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ นักวิจัยจากสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์เข้ามาทำงานในยุโรป ✅ การจัดตั้งกระทรวงไฮเทคใหม่ - กระทรวงใหม่นี้จะดูแลด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ควอนตัมคอมพิวติ้ง, เทคโนโลยีชีวภาพ, การพัฒนาชิป และพลังงานฟิวชัน - มีแผนแยกงานวิจัยออกจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น - เป้าหมายสำคัญคือการสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของพลังงานสะอาด ✅ การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนการวิจัย - รัฐบาลเยอรมนีให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนองค์กรวิจัย ปีละ 3% จนถึงปี 2030 - นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้เยอรมนีเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก ✅ โครงการ "1000 Minds" ดึงดูดนักวิจัยจากสหรัฐฯ - เยอรมนีเตรียมเปิดโครงการ "1000 Minds" เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ - นักวิจัยในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ การตัดงบประมาณครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขา - มีรายงานว่าบางหน่วยงาน เช่น NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration) ต้องลดงบประมาณจนถึงขั้นให้ นักวิจัยทำงานด้านอื่น เช่น ทำความสะอาดห้องน้ำ ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่อสหรัฐฯ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี - การดึงนักวิจัยจากสหรัฐฯ อาจทำให้เกิด การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของอเมริกา - อาจส่งผลต่อการแข่งขันด้าน AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ℹ️ ความท้าทายในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชัน - แม้จะมีเป้าหมายสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันที่ใช้งานได้จริง แต่เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล - การพัฒนาอาจใช้เวลาหลายสิบปี ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมได้ ℹ️ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมวิจัยโลก - หากเยอรมนีประสบความสำเร็จ อาจทำให้ยุโรปกลายเป็น ศูนย์กลางวิจัยระดับโลก แทนที่สหรัฐฯ - ประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับนโยบายเพื่อแข่งขันกับเยอรมนีในการดึงดูดนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ https://www.techspot.com/news/107547-germany-new-government-planning-super-high-tech-ministry.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New German "super-ministry" hopes to lure US researchers with cutting-edge science agenda
    Germany's three largest political parties have agreed to form a new government, uniting the center-right Christian Democrats and Christian Social Union with the center-left Social Democrats. While...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

    ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ
    - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส
    - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว
    - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า

    ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
    - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา
    - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส
    - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา

    ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า
    - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย
    - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ

    ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
    - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ

    ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต
    - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต

    https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    Nvidia ได้ประกาศย้ายฐานการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ไปยังสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตภายในประเทศเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ✅ การย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ - Nvidia จะผลิตและทดสอบชิป Blackwell และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ในโรงงานที่รัฐแอริโซนาและเท็กซัส - โรงงานผลิตครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางฟุต และเริ่มดำเนินการแล้ว - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายใน 12-15 เดือนข้างหน้า ✅ ความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ - TSMC จะผลิตชิป Blackwell ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา - Foxconn และ Wistron จะดูแลการประกอบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ในรัฐเท็กซัส - Amkor และ SPIL จะรับผิดชอบด้านบรรจุภัณฑ์และการทดสอบชิปในแอริโซนา ✅ เป้าหมายการลงทุนและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - Nvidia วางแผนลงทุนสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปีข้างหน้า - การผลิตในสหรัฐฯ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานและลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการค้า ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การย้ายฐานผลิตอาจส่งผลต่อซัพพลายเชนของบริษัทที่พึ่งพาการผลิตในเอเชีย - อาจเกิดความท้าทายด้านต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตในสหรัฐฯ ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ - การตัดสินใจของ Nvidia อาจเป็นผลจากแรงกดดันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน - อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยเตือน TSMC ว่าอาจเผชิญภาษีนำเข้าสูงถึง 100% หากไม่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรม AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - Nvidia วางแผนสร้าง "AI factories" หรือศูนย์ข้อมูลเฉพาะสำหรับงาน AI ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต - บริษัทจะใช้แพลตฟอร์ม Omniverse เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลของโรงงาน และใช้หุ่นยนต์ Isaac GR00T ในกระบวนการผลิต https://www.techspot.com/news/107542-nvidia-shifts-ai-supercomputer-production-us-first-time.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia shifts AI supercomputer production to the US for the first time
    The project spans more than a million square feet of manufacturing space, with operations already underway. Nvidia's Blackwell chips are being produced at TSMC facilities in Phoenix,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อกิจการ Allegro MicroSystems มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน

    ✅ Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อ Allegro MicroSystems
    - ข้อเสนอ $35.10 ต่อหุ้น ถูก Allegro ปฏิเสธ
    - CEO ของ Onsemi ระบุว่า Allegro ไม่เต็มใจเจรจา

    ✅ ผลกระทบต่อหุ้นของทั้งสองบริษัท
    - หุ้นของ Allegro ลดลง 12.5% หลังประกาศยกเลิกดีล
    - หุ้นของ Onsemi เพิ่มขึ้น 1%

    ✅ แผนปรับโครงสร้างของ Onsemi
    - ลดพนักงาน 2,400 ตำแหน่ง เพื่อควบคุมต้นทุน
    - มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

    ℹ️ ความเสี่ยงจากการยกเลิกดีล
    - Onsemi อาจพลาดโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์
    - Allegro อาจเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนหลังหุ้นร่วง

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป
    - การแข่งขันในตลาดชิปสำหรับยานยนต์อาจเข้มข้นขึ้น
    - บริษัทอื่นอาจพยายามเข้าซื้อ Allegro ในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/15/onsemi-shelves-69-billion-offer-to-buy-allegro-microsystems
    Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อกิจการ Allegro MicroSystems มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน ✅ Onsemi ยกเลิกข้อเสนอซื้อ Allegro MicroSystems - ข้อเสนอ $35.10 ต่อหุ้น ถูก Allegro ปฏิเสธ - CEO ของ Onsemi ระบุว่า Allegro ไม่เต็มใจเจรจา ✅ ผลกระทบต่อหุ้นของทั้งสองบริษัท - หุ้นของ Allegro ลดลง 12.5% หลังประกาศยกเลิกดีล - หุ้นของ Onsemi เพิ่มขึ้น 1% ✅ แผนปรับโครงสร้างของ Onsemi - ลดพนักงาน 2,400 ตำแหน่ง เพื่อควบคุมต้นทุน - มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ℹ️ ความเสี่ยงจากการยกเลิกดีล - Onsemi อาจพลาดโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ - Allegro อาจเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนหลังหุ้นร่วง ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป - การแข่งขันในตลาดชิปสำหรับยานยนต์อาจเข้มข้นขึ้น - บริษัทอื่นอาจพยายามเข้าซื้อ Allegro ในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/15/onsemi-shelves-69-billion-offer-to-buy-allegro-microsystems
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Onsemi shelves $6.9 billion offer to buy Allegro MicroSystems
    (Reuters) -U.S. chipmaker Onsemi scrapped its $6.9 billion offer for smaller rival Allegro MicroSystems on Monday, ending a months-long pursuit that sought to capitalize on a market downturn to boost its footprint in the automotive industry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงแนวทางที่ CISOs (Chief Information Security Officers) ควรใช้ในการสื่อสารกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ

    ✅ แนวทางการสื่อสารของ CISOs กับคณะกรรมการ
    - แปลความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้เป็นภาษาธุรกิจ
    - หาพันธมิตรในคณะกรรมการเพื่อช่วยปรับปรุงการนำเสนอ

    ✅ การพัฒนาเอกสารช่วยให้คณะกรรมการเข้าใจข้อมูล
    - เอกสารอธิบายคำศัพท์ด้านความปลอดภัย
    - เอกสารแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐาน

    ✅ การศึกษาประวัติของสมาชิกคณะกรรมการ
    - เข้าใจมุมมองและความคาดหวังของคณะกรรมการ
    - ปรับการนำเสนอให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท

    ℹ️ ข้อจำกัดของการสื่อสารด้านความปลอดภัย
    - คณะกรรมการบางคนอาจไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
    - การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

    ℹ️ ผลกระทบต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการ
    - หากข้อมูลด้านความปลอดภัยไม่ถูกนำเสนออย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
    - การขาดความเข้าใจด้านไซเบอร์อาจทำให้คณะกรรมการมองข้ามความเสี่ยงที่สำคัญ

    https://www.csoonline.com/article/3953098/what-boards-want-and-dont-want-to-hear-from-cybersecurity-leaders.html
    ข่าวนี้เล่าถึงแนวทางที่ CISOs (Chief Information Security Officers) ควรใช้ในการสื่อสารกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ ✅ แนวทางการสื่อสารของ CISOs กับคณะกรรมการ - แปลความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้เป็นภาษาธุรกิจ - หาพันธมิตรในคณะกรรมการเพื่อช่วยปรับปรุงการนำเสนอ ✅ การพัฒนาเอกสารช่วยให้คณะกรรมการเข้าใจข้อมูล - เอกสารอธิบายคำศัพท์ด้านความปลอดภัย - เอกสารแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐาน ✅ การศึกษาประวัติของสมาชิกคณะกรรมการ - เข้าใจมุมมองและความคาดหวังของคณะกรรมการ - ปรับการนำเสนอให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท ℹ️ ข้อจำกัดของการสื่อสารด้านความปลอดภัย - คณะกรรมการบางคนอาจไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี - การนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ℹ️ ผลกระทบต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการ - หากข้อมูลด้านความปลอดภัยไม่ถูกนำเสนออย่างเหมาะสม อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน - การขาดความเข้าใจด้านไซเบอร์อาจทำให้คณะกรรมการมองข้ามความเสี่ยงที่สำคัญ https://www.csoonline.com/article/3953098/what-boards-want-and-dont-want-to-hear-from-cybersecurity-leaders.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What boards want and don’t want to hear from cybersecurity leaders
    To get through to board members, cybersecurity leaders need to not only learn the language of business but how to translate cyber risk in a way board members can make sense of.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการขยายการรองรับ Windows on Arm runners ใน GitHub Actions สำหรับ ทุก public repository ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Microsoft ในการสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม Arm

    ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2022 Microsoft เปิดตัว self-hosted runners สำหรับ Windows on Arm ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ที่ใช้ Arm-based Windows ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง จากนั้นในปี 2024 GitHub ได้เปิดตัว public beta สำหรับ Arm-based Linux และ Windows runners และในเดือนกันยายน 2024 ฟีเจอร์นี้ก็ได้รับการเปิดให้ใช้งานทั่วไป

    ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขยายการรองรับ Windows on Arm runners ไปยัง ทุก public repository รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ Arm runners ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม

    Windows on Arm กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากนักพัฒนา เนื่องจาก Microsoft ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm

    ✅ การขยายการรองรับ Windows on Arm runners
    - Microsoft เปิดให้ใช้งาน Windows on Arm runners ในทุก public repository
    - รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier

    ✅ ประโยชน์ของการใช้ Arm runners
    - ช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บน Arm-based Windows ได้ง่ายขึ้น
    - ไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง

    ✅ การลงทุนของ Microsoft ใน Windows on Arm
    - Microsoft ปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm
    - Windows on Arm ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักพัฒนา

    ℹ️ ข้อจำกัดของ Windows on Arm runners
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับแต่ง workflow เพื่อรองรับ Arm architecture
    - การใช้งานบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์เท่ากับแพลตฟอร์ม x86

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
    - การขยายการรองรับ Arm อาจช่วยให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรม

    https://www.neowin.net/news/microsoft-brings-windows-on-arm-runner-support-to-github-actions-for-all-public-repositories/
    ข่าวนี้เล่าถึงการขยายการรองรับ Windows on Arm runners ใน GitHub Actions สำหรับ ทุก public repository ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของ Microsoft ในการสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์ม Arm ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2022 Microsoft เปิดตัว self-hosted runners สำหรับ Windows on Arm ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ที่ใช้ Arm-based Windows ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง จากนั้นในปี 2024 GitHub ได้เปิดตัว public beta สำหรับ Arm-based Linux และ Windows runners และในเดือนกันยายน 2024 ฟีเจอร์นี้ก็ได้รับการเปิดให้ใช้งานทั่วไป ล่าสุด Microsoft ได้ประกาศขยายการรองรับ Windows on Arm runners ไปยัง ทุก public repository รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ Arm runners ได้โดยไม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม Windows on Arm กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจากนักพัฒนา เนื่องจาก Microsoft ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm ✅ การขยายการรองรับ Windows on Arm runners - Microsoft เปิดให้ใช้งาน Windows on Arm runners ในทุก public repository - รวมถึงบัญชีที่ใช้ GitHub Free tier ✅ ประโยชน์ของการใช้ Arm runners - ช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบและสร้างซอฟต์แวร์บน Arm-based Windows ได้ง่ายขึ้น - ไม่ต้องตั้งค่าโครงสร้างพื้นฐานเอง ✅ การลงทุนของ Microsoft ใน Windows on Arm - Microsoft ปรับปรุงเครื่องมือสำหรับ Copilot+ PCs ที่ใช้ชิป Qualcomm - Windows on Arm ได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักพัฒนา ℹ️ ข้อจำกัดของ Windows on Arm runners - นักพัฒนาอาจต้องปรับแต่ง workflow เพื่อรองรับ Arm architecture - การใช้งานบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์เท่ากับแพลตฟอร์ม x86 ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ - การขยายการรองรับ Arm อาจช่วยให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรม https://www.neowin.net/news/microsoft-brings-windows-on-arm-runner-support-to-github-actions-for-all-public-repositories/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft brings Windows on Arm runner support to GitHub Actions for all public repositories
    Developers can now finally integrate Windows on Arm runners into their CI workflows across all public GitHub repositories.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

    รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง

    บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525

    #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    รอยเตอร์ - เกาหลีใต้และเวียดนามเห็นพ้องกันในวันนี้ (14) ที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลังการประชุมระดับรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ • รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเยือนเวียดนาม ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามเจรจาเพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 25% และ 46% ตามลำดับ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ค. หลังจากการระงับขึ้นภาษีทั่วโลกสิ้นสุดลง • บริษัทจากเกาหลีใต้เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้เป็นปลายทางการส่งออกอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/indochina/detail/9680000035525 • #MGROnline #เกาหลีใต้ #เวียดนาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายที่ Google กำลังเผชิญในการจัดการความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิป AI โดยบริษัทกำลังพิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับแต่งสำหรับงาน AI

    Google CFO Anat Ashkenazi เปิดเผยว่า Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการนี้ในปี 2025 นอกจากนี้ Google ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นกับ CoreWeave เพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลของ CoreWeave สำหรับชิป TPU ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง

    ในขณะเดียวกัน CoreWeave ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% ในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด

    ✅ ความต้องการชิป AI ของ Google
    - Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    - กำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการในปี 2025

    ✅ การเจรจากับ CoreWeave
    - Google พิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave
    - อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นเพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลสำหรับชิป TPU

    ✅ สถานการณ์ของ CoreWeave
    - CoreWeave เผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25%
    - ผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพา CoreWeave
    - การพึ่งพา CoreWeave อาจเพิ่มความเสี่ยงในกรณีที่บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน
    - ความไม่แน่นอนในตลาดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน

    ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    - ความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิป
    - การแข่งขันในตลาด AI อาจเข้มข้นขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่

    https://www.techradar.com/pro/google-rumored-to-be-looking-to-rent-latest-nvidia-ai-gpu-from-coreweave-because-it-doesnt-have-enough-of-them
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายที่ Google กำลังเผชิญในการจัดการความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิป AI โดยบริษัทกำลังพิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับแต่งสำหรับงาน AI Google CFO Anat Ashkenazi เปิดเผยว่า Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการนี้ในปี 2025 นอกจากนี้ Google ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นกับ CoreWeave เพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลของ CoreWeave สำหรับชิป TPU ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง ในขณะเดียวกัน CoreWeave ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% ในเวลาเพียง 48 ชั่วโมง เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด ✅ ความต้องการชิป AI ของ Google - Google มีความต้องการชิป AI มากกว่าความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน - กำลังเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการในปี 2025 ✅ การเจรจากับ CoreWeave - Google พิจารณาเช่าชิป Nvidia Blackwell จาก CoreWeave - อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเบื้องต้นเพื่อเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลสำหรับชิป TPU ✅ สถานการณ์ของ CoreWeave - CoreWeave เผชิญกับความท้าทายทางการเงิน โดยมูลค่าหุ้นลดลงถึง 25% - ผลกระทบจากภาษีของรัฐบาล Trump และความไม่แน่นอนในตลาด ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพึ่งพา CoreWeave - การพึ่งพา CoreWeave อาจเพิ่มความเสี่ยงในกรณีที่บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน - ความไม่แน่นอนในตลาดอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI - ความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิป - การแข่งขันในตลาด AI อาจเข้มข้นขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ https://www.techradar.com/pro/google-rumored-to-be-looking-to-rent-latest-nvidia-ai-gpu-from-coreweave-because-it-doesnt-have-enough-of-them
    WWW.TECHRADAR.COM
    Google rumored to be looking to rent latest Nvidia AI GPU from CoreWeave because it doesn't have enough of them
    However Google is still expected to spend significantly less than Microsoft and OpenAI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

    Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR

    นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse
    - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
    - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024

    ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR
    - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs
    - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
    - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ
    - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
    - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง
    - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด
    - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    ข่าวนี้เล่าถึงความท้าทายของ Meta ในการพัฒนาโครงการ Metaverse ซึ่งใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้ Meta ซึ่งนำโดย Mark Zuckerberg ได้เปลี่ยนชื่อจาก Facebook เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา Metaverse แต่โครงการนี้กลับกลายเป็นปัญหาทางการเงินที่ใหญ่หลวง โดยมีการสูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 สาเหตุหลักมาจากการขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการบริหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR นอกจากนี้ รายได้ประจำปีของ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ Metaverse ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากยอดขายที่อ่อนแอและการไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ✅ การลงทุนในโครงการ Metaverse - Meta ใช้เงินลงทุนกว่า 45 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา - สูญเสียเงินถึง 16 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และอีก 3.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 ✅ ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ - การแต่งตั้งผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR - ขาดความชัดเจนในกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ Reality Labs - รายได้ประจำปีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021 - ยอดขายอ่อนแอและไม่สามารถเข้าถึงตลาดหลักได้ ℹ️ ความเสี่ยงต่อความยั่งยืนของโครงการ - การสูญเสียเงินจำนวนมากอาจทำให้โครงการ Metaverse ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ - ความล้มเหลวในการเข้าถึงตลาดหลักอาจลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ℹ️ คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง - Meta ควรพัฒนากลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและตอบสนองความต้องการของตลาด - การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในด้าน AR และ VR เป็นสิ่งสำคัญ https://www.techspot.com/news/107530-four-years-meta-has-burned-through-45-billion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Four years in, Meta has burned through $45 billion chasing its metaverse dream
    Insiders say the metaverse project has become a financial sinkhole, consuming $45 billion by early 2025. That's nearly equal to the combined market caps of social media...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ "Finfluencers" หรือผู้มีอิทธิพลด้านการเงินบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการคำแนะนำด้านการลงทุน

    ในโลกของ TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ มีผู้สร้างเนื้อหาที่เรียกว่า "Finfluencers" ซึ่งมักนำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านวิดีโอสั้นๆ เช่น การแนะนำวิธีเป็นนักเทรดฟรี หรือการสร้างรายได้แบบ Passive Income อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากคำแนะนำเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรณีที่คำแนะนำไม่ได้รับการตรวจสอบหรืออาจเป็นการหลอกลวง

    ในขณะเดียวกัน มีการเรียกร้องให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers และตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

    ✅ ความนิยมของ Finfluencers
    - Finfluencers นำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย
    - เนื้อหามักเน้นการสร้างรายได้แบบ Passive Income และการเป็นนักเทรด

    ✅ คำเตือนจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC)
    - SC เตือนถึงความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ
    - อาจมีกรณีของการหลอกลวงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

    ✅ การเรียกร้องให้เพิ่มความระมัดระวัง
    - ผู้ใช้งานควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
    - การติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers ควรทำอย่างมีวิจารณญาณ

    ℹ️ ความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง
    - คำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน
    - การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียอาจเพิ่มขึ้น

    ℹ️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน
    - ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนลงทุน
    - หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/money-talks---but-should-you-listen-when-finfluencers-offer-investment-tips
    ข่าวนี้เล่าถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ "Finfluencers" หรือผู้มีอิทธิพลด้านการเงินบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ต้องการคำแนะนำด้านการลงทุน ในโลกของ TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ มีผู้สร้างเนื้อหาที่เรียกว่า "Finfluencers" ซึ่งมักนำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านวิดีโอสั้นๆ เช่น การแนะนำวิธีเป็นนักเทรดฟรี หรือการสร้างรายได้แบบ Passive Income อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) ได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากคำแนะนำเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรณีที่คำแนะนำไม่ได้รับการตรวจสอบหรืออาจเป็นการหลอกลวง ในขณะเดียวกัน มีการเรียกร้องให้ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเพิ่มความระมัดระวังในการติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers และตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ✅ ความนิยมของ Finfluencers - Finfluencers นำเสนอคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย - เนื้อหามักเน้นการสร้างรายได้แบบ Passive Income และการเป็นนักเทรด ✅ คำเตือนจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (SC) - SC เตือนถึงความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ - อาจมีกรณีของการหลอกลวงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ✅ การเรียกร้องให้เพิ่มความระมัดระวัง - ผู้ใช้งานควรตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - การติดตามคำแนะนำจาก Finfluencers ควรทำอย่างมีวิจารณญาณ ℹ️ ความเสี่ยงจากคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง - คำแนะนำที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน - การหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียอาจเพิ่มขึ้น ℹ️ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน - ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนลงทุน - หลีกเลี่ยงการลงทุนที่ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/14/money-talks---but-should-you-listen-when-finfluencers-offer-investment-tips
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Money talks – but should you listen when ‘finfluencers’ offer investment tips?
    Why the Securities Commission is reminding the public to be wary of online financial advice that offer unrealistically huge returns on investment in the short term.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ

    จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    ค่าจัดหนวด สำหรับคนที่ไม่ได้อยากไว้หนวด ผมแนะนำให้ไปกำจัดหนวดแบบถาวรครับ เพราะแค่ไม่มีหนวดภาพลักษณ์ของคุณก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งการโกนหนวดทำร้ายผิวหน้าอย่างมาก เมื่อไม่ต้องโกนหนวดแล้วผิวหน้าจึงดีขึ้นด้วย ค่ากำจัดหนวดแบบถาวรอยู่ที่ประมาณ 50,000-100,000 เยน แม้ราคาจะไม่ถือว่าถูกแต่สำหรับคนทำงานที่ต้องอาศัย ภาพลักษณ์ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนนะครับ จากหนังสือ #จิตวิทยาสายดาร์ก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทเซมิคอนดักเตอร์จีน เช่น Cambricon Technologies, Loongson, และ Maxscend Microelectronics ได้แจ้งนักลงทุนว่าภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากตลาดภายในประเทศจีน และการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้วทำให้ไม่สามารถขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ได้

    นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทาย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นตลาดภายในประเทศ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล เพื่อลดผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า

    ✅ การตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐฯ
    - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์จีนระบุว่าภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ
    - การคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้วทำให้ไม่สามารถขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ได้

    ✅ การปรับตัวของบริษัทจีน
    - บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นตลาดภายในประเทศ
    - สร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพัฒนาเทคโนโลยี
    - การคว่ำบาตรและภาษีอาจลดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    - การพึ่งพาตลาดภายในประเทศอาจจำกัดการเติบโตในระยะยาว

    ℹ️ ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    - ความขัดแย้งทางการค้าอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ
    - การตอบโต้ทางการค้าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-chip-giants-say-they-dont-care-about-u-s-tariffs-many-dont-sell-to-the-u-s-anyway-due-to-existing-sanctions
    บริษัทเซมิคอนดักเตอร์จีน เช่น Cambricon Technologies, Loongson, และ Maxscend Microelectronics ได้แจ้งนักลงทุนว่าภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากตลาดภายในประเทศจีน และการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้วทำให้ไม่สามารถขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ได้ นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทาย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นตลาดภายในประเทศ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล เพื่อลดผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า ✅ การตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐฯ - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์จีนระบุว่าภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ - การคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้วทำให้ไม่สามารถขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ได้ ✅ การปรับตัวของบริษัทจีน - บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นตลาดภายในประเทศ - สร้างความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล ℹ️ ความเสี่ยงต่อการพัฒนาเทคโนโลยี - การคว่ำบาตรและภาษีอาจลดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง - การพึ่งพาตลาดภายในประเทศอาจจำกัดการเติบโตในระยะยาว ℹ️ ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ - ความขัดแย้งทางการค้าอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ - การตอบโต้ทางการค้าอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinese-chip-giants-say-they-dont-care-about-u-s-tariffs-many-dont-sell-to-the-u-s-anyway-due-to-existing-sanctions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน

    Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta
    - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน
    - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน

    ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์
    - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน
    - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์

    ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล
    - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี

    ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta
    - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta
    - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

    https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    Sarah Wynn-Williams อดีตผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ได้ให้การต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า Meta และ Zuckerberg พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงตลาดจีนที่มีประชากร 1.4 พันล้านคน รวมถึงการเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน Meta ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยโฆษกของ Meta ระบุว่าข้อกล่าวหานั้น "ไม่เป็นความจริงและห่างไกลจากความเป็นจริง" และยืนยันว่า Meta ไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน นอกจากนี้ Wynn-Williams ยังกล่าวว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีนผ่านการเปิดเผยโมเดล Llama AI และยังร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Mark Zuckerberg และ Meta - Sarah Wynn-Williams กล่าวหาว่า Zuckerberg เสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีน - Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการในประเทศจีน ✅ การพัฒนา AI และเครื่องมือเซ็นเซอร์ - Wynn-Williams อ้างว่า Meta มีส่วนช่วยในการพัฒนา AI ของจีน - Meta ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการพัฒนาเครื่องมือเซ็นเซอร์ ℹ️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล - การเสนอข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันให้กับรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูล - การเปิดเผยโมเดล AI อาจเพิ่มความสามารถของจีนในด้านเทคโนโลยี ℹ️ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นใน Meta - ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจลดความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุนใน Meta - การจัดการข้อกล่าวหาอย่างโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น https://www.techradar.com/pro/security/zuckerberg-offered-us-data-to-china-in-bid-to-enter-market-ex-meta-exec-tells-senate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • Albert Saniger ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของแอป Nate ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอปของเขาใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่แท้จริงแล้วกลับใช้แรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้าในฟิลิปปินส์และโรมาเนีย มาฟังรายละเอียดกันค่ะ:

    Saniger เปิดตัวแอป Nate ในปี 2018 โดยโฆษณาว่าเป็นแอปที่ใช้ AI ในการทำงาน เช่น การกรอกข้อมูลการชำระเงินและการจัดส่งสินค้า รวมถึงการยืนยันการซื้อ แต่จากการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ พบว่าแอปนี้พึ่งพาแรงงานมนุษย์เป็นหลักในการดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของ Saniger ที่ว่าแอปนี้ไม่ใช้ "บอทที่โง่เขลา"

    ในปี 2021 Saniger ได้สั่งให้ทีมวิศวกรของเขาพัฒนาบอทเพื่อช่วยดำเนินการซื้อสินค้า แต่บอทเหล่านี้ยังคงทำงานร่วมกับทีมมนุษย์ และไม่ได้เป็น AI ที่ทำงานอัตโนมัติอย่างที่โฆษณาไว้

    แอป Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนตั้งแต่เปิดตัว โดยในปี 2021 ระดมทุนได้ถึง 38 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 บริษัทถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลังจากหมดเงินทุน ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด

    ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Albert Saniger
    - Saniger ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอป Nate ใช้ AI แต่แท้จริงแล้วใช้แรงงานมนุษย์

    ✅ การทำงานของแอป Nate
    - แอป Nate โฆษณาว่าใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้า
    - แต่กลับพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้า

    ✅ การระดมทุนของ Nate
    - Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์
    - แต่ต้องขายทรัพย์สินในปี 2023 หลังหมดเงินทุน

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของ AI
    - กรณีนี้อาจทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่อ้างว่าใช้ AI

    ℹ️ ผลกระทบต่อนักลงทุน
    - นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมดจากการลงทุนใน Nate เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง

    https://www.techspot.com/news/107510-founder-nate-app-faces-fraud-charge-using-ai.html
    Albert Saniger ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของแอป Nate ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอปของเขาใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้าออนไลน์ แต่แท้จริงแล้วกลับใช้แรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้าในฟิลิปปินส์และโรมาเนีย มาฟังรายละเอียดกันค่ะ: Saniger เปิดตัวแอป Nate ในปี 2018 โดยโฆษณาว่าเป็นแอปที่ใช้ AI ในการทำงาน เช่น การกรอกข้อมูลการชำระเงินและการจัดส่งสินค้า รวมถึงการยืนยันการซื้อ แต่จากการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ พบว่าแอปนี้พึ่งพาแรงงานมนุษย์เป็นหลักในการดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของ Saniger ที่ว่าแอปนี้ไม่ใช้ "บอทที่โง่เขลา" ในปี 2021 Saniger ได้สั่งให้ทีมวิศวกรของเขาพัฒนาบอทเพื่อช่วยดำเนินการซื้อสินค้า แต่บอทเหล่านี้ยังคงทำงานร่วมกับทีมมนุษย์ และไม่ได้เป็น AI ที่ทำงานอัตโนมัติอย่างที่โฆษณาไว้ แอป Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนตั้งแต่เปิดตัว โดยในปี 2021 ระดมทุนได้ถึง 38 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 บริษัทถูกบังคับให้ขายทรัพย์สินหลังจากหมดเงินทุน ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด ✅ ข้อกล่าวหาต่อ Albert Saniger - Saniger ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงจากการอ้างว่าแอป Nate ใช้ AI แต่แท้จริงแล้วใช้แรงงานมนุษย์ ✅ การทำงานของแอป Nate - แอป Nate โฆษณาว่าใช้ AI ในการดำเนินการซื้อสินค้า - แต่กลับพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในศูนย์บริการลูกค้า ✅ การระดมทุนของ Nate - Nate ระดมทุนได้กว่า 50 ล้านดอลลาร์ - แต่ต้องขายทรัพย์สินในปี 2023 หลังหมดเงินทุน ℹ️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของ AI - กรณีนี้อาจทำให้ผู้คนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่อ้างว่าใช้ AI ℹ️ ผลกระทบต่อนักลงทุน - นักลงทุนสูญเสียเงินเกือบทั้งหมดจากการลงทุนใน Nate เนื่องจากข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง https://www.techspot.com/news/107510-founder-nate-app-faces-fraud-charge-using-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Founder of Nate app faces fraud charge for using "AI" that was really human call center workers
    Saniger launched the Nate app in 2018. It promises to act as a universal shopping cart that simplifies online shopping by enabling users to skip the checkout...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการลงทุนครั้งสำคัญในบริษัท Safe Superintelligence (SSI) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Alphabet และ Nvidia เข้าร่วมลงทุน มาฟังกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง:

    SSI ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet และ Nvidia ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพที่พัฒนา AI ขั้นสูงที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Alphabet ยังได้ทำข้อตกลงผ่านแผนกคลาวด์คอมพิวติ้งของตนเพื่อขายชิปประมวลผล AI (TPUs) ให้กับ SSI ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานด้าน AI โดยเฉพาะ

    SSI ถูกประเมินมูลค่าล่าสุดที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ AI เนื่องจากความสำเร็จของ Sutskever ในการพัฒนาโมเดล AI ที่ล้ำสมัย

    ✅ การลงทุนใน SSI Alphabet และ Nvidia ร่วมลงทุนใน SSI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever

    ✅ ข้อตกลงด้านชิปประมวลผล AI Alphabet ขายชิป TPUs ให้กับ SSI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา AI

    ✅ มูลค่าของ SSI SSI ถูกประเมินมูลค่าที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพ AI ที่มีชื่อเสียง

    ℹ️ ความต้องการพลังการประมวลผล การพัฒนา AI ขั้นสูงต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับสตาร์ทอัพที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ

    ℹ️ การแข่งขันในตลาดชิป AI ตลาดชิป AI มีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักเช่น Nvidia, Alphabet และ Amazon ที่พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/exclusive-alphabet-nvidia-invest-in-openai-co-founder-sutskever039s-ssi-source-says
    ข่าวนี้เล่าถึงการลงทุนครั้งสำคัญในบริษัท Safe Superintelligence (SSI) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI โดยมีบริษัทใหญ่เช่น Alphabet และ Nvidia เข้าร่วมลงทุน มาฟังกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง: SSI ได้รับการสนับสนุนจาก Alphabet และ Nvidia ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในสตาร์ทอัพที่พัฒนา AI ขั้นสูงที่ต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล Alphabet ยังได้ทำข้อตกลงผ่านแผนกคลาวด์คอมพิวติ้งของตนเพื่อขายชิปประมวลผล AI (TPUs) ให้กับ SSI ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานด้าน AI โดยเฉพาะ SSI ถูกประเมินมูลค่าล่าสุดที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ AI เนื่องจากความสำเร็จของ Sutskever ในการพัฒนาโมเดล AI ที่ล้ำสมัย ✅ การลงทุนใน SSI Alphabet และ Nvidia ร่วมลงทุนใน SSI ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ก่อตั้งโดย Ilya Sutskever ✅ ข้อตกลงด้านชิปประมวลผล AI Alphabet ขายชิป TPUs ให้กับ SSI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา AI ✅ มูลค่าของ SSI SSI ถูกประเมินมูลค่าที่ 32 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพ AI ที่มีชื่อเสียง ℹ️ ความต้องการพลังการประมวลผล การพัฒนา AI ขั้นสูงต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับสตาร์ทอัพที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ℹ️ การแข่งขันในตลาดชิป AI ตลาดชิป AI มีการแข่งขันสูง โดยมีผู้เล่นหลักเช่น Nvidia, Alphabet และ Amazon ที่พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/exclusive-alphabet-nvidia-invest-in-openai-co-founder-sutskever039s-ssi-source-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Exclusive-Alphabet, Nvidia invest in OpenAI co-founder Sutskever's SSI, source says
    SAN FRANCISCO (Reuters) - Alphabet and Nvidia have joined prominent venture capital investors to back Safe Superintelligence (SSI), a startup co-founded by OpenAI's former chief scientist Ilya Sutskever that has quickly risen to become one of the most valuable artificial intelligence startups months after its launch, a source familiar with the matter said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023

    ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI

    ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร

    ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม

    ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    มีอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนสิบสองคนตัดสินใจยื่นเอกสารเพื่อสนับสนุนการฟ้องร้องของ Elon Musk ว่า OpenAI ควรรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไว้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่มันกลับทำให้เกิดคำถามว่าองค์กรยังยึดมั่นในเป้าหมายเดิมหรือไม่ Musk กล่าวหาว่า OpenAI หลุดจากเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนา AI เพื่อมนุษยชาติแทนที่จะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เมื่อย้อนมาดูต้นเรื่อง OpenAI ก่อตั้งโดย Musk และ Sam Altman ในปี 2015 โดยมีเป้าหมายในการสร้าง AI อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ Musk ออกจาก OpenAI ก่อนที่มันจะเติบโตเป็นองค์กรชั้นนำในเทคโนโลยี AI และต่อมาได้จัดตั้งบริษัท AI ของเขาเองชื่อ xAI ในปี 2023 ✅ อดีตพนักงาน OpenAI สนับสนุน Musk ในคดีฟ้องร้อง อดีตพนักงาน 12 คนจาก OpenAI สนับสนุน Elon Musk ในความพยายามรักษาสถานะองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ OpenAI ✅ ข้อกล่าวหาจาก Musk Musk อ้างว่า OpenAI ละเลยเป้าหมายเดิมและมุ่งเน้นที่ผลกำไร ✅ จุดประสงค์การเปลี่ยนแปลง OpenAI ชี้แจงว่าการเปลี่ยนแปลงมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเดิม ✅ ความสำคัญของโครงสร้างองค์กร อดีตพนักงานระบุว่าการรักษาโครงสร้างองค์กรเดิมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ℹ️ ข้อกังวลเรื่องเป้าหมาย การเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ OpenAI สูญเสียการควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ ℹ️ แรงกดดันด้านการลงทุน OpenAI ต้องเผชิญแรงกดดันในการระดมทุน 40 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเร่งให้ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/12/group-of-ex-openai-employees-back-musk039s-lawsuit-to-halt-openai-restructure
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Group of ex-OpenAI employees back Musk's lawsuit to halt OpenAI restructure
    SAN FRANCISCO (Reuters) - A dozen former OpenAI employees filed a legal brief on Friday backing co-founder Elon Musk's lawsuit aimed at keeping the non-profit status of OpenAI, marking the latest development in the dispute over the future of the artificial intelligence firm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pavel Prass หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Yandex กำลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท VK ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยการเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการรวมตัวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัสเซีย

    ✅ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน VK:
    - Pavel Prass กำลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน VK ผ่านบริษัทที่เขามีหุ้นส่วนน้อย
    - VK กำลังออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อระดมเงิน 115 พันล้านรูเบิล (ประมาณ 1.37 พันล้านดอลลาร์) เพื่อลดภาระหนี้

    ✅ การเปลี่ยนแปลงใน Yandex:
    - ในเดือนกรกฎาคม 2024 Yandex ได้ขายสินทรัพย์ในรัสเซียให้กับกลุ่มนักลงทุนรัสเซีย ซึ่งรวมถึง Prass และบริษัทอื่นๆ
    - การขายนี้ช่วยลดการถือครองของต่างชาติใน Yandex และเพิ่มการควบคุมของรัฐบาลรัสเซีย

    ✅ สถานการณ์ทางการเงินของ VK:
    - VK รายงานผลขาดทุนสุทธิกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และกำลังพยายามปรับโครงสร้างทางการเงิน

    ✅ การออกหุ้นเพิ่มทุน:
    - VK วางแผนออกหุ้นเพิ่มทุน 354 ล้านหุ้นในราคา 324.9 รูเบิลต่อหุ้น โดยผู้ซื้อจะถือครอง 61% ของทุนที่เพิ่มขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/yandex-co-owner-to-increase-stake-in-rival-russian-tech-firm-vk
    Pavel Prass หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Yandex กำลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท VK ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยการเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการรวมตัวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัสเซีย ✅ การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน VK: - Pavel Prass กำลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน VK ผ่านบริษัทที่เขามีหุ้นส่วนน้อย - VK กำลังออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อระดมเงิน 115 พันล้านรูเบิล (ประมาณ 1.37 พันล้านดอลลาร์) เพื่อลดภาระหนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงใน Yandex: - ในเดือนกรกฎาคม 2024 Yandex ได้ขายสินทรัพย์ในรัสเซียให้กับกลุ่มนักลงทุนรัสเซีย ซึ่งรวมถึง Prass และบริษัทอื่นๆ - การขายนี้ช่วยลดการถือครองของต่างชาติใน Yandex และเพิ่มการควบคุมของรัฐบาลรัสเซีย ✅ สถานการณ์ทางการเงินของ VK: - VK รายงานผลขาดทุนสุทธิกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และกำลังพยายามปรับโครงสร้างทางการเงิน ✅ การออกหุ้นเพิ่มทุน: - VK วางแผนออกหุ้นเพิ่มทุน 354 ล้านหุ้นในราคา 324.9 รูเบิลต่อหุ้น โดยผู้ซื้อจะถือครอง 61% ของทุนที่เพิ่มขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/11/yandex-co-owner-to-increase-stake-in-rival-russian-tech-firm-vk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yandex co-owner to increase stake in rival Russian tech firm VK
    (Reuters) - One of the co-owners of Russian tech company Yandex, Pavel Prass, is set to increase his stake in Yandex rival VK through another company he has a minority stake in, a VK statement published on Friday showed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองคำกลับมาทำ New high 11/04/68 #ราคาทองคำ #GCAP GOLD #นักลงทุน #คุย คุ้ย หุ้น
    ทองคำกลับมาทำ New high 11/04/68 #ราคาทองคำ #GCAP GOLD #นักลงทุน #คุย คุ้ย หุ้น
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 542 มุมมอง 42 0 รีวิว
Pages Boosts