• “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป”

    YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด

    ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก

    เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี

    เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ

    อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง
    เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน
    ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก
    สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์
    seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว
    ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน
    ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป
    ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    📱 “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป” YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง ➡️ เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน ➡️ ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก ➡️ สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ➡️ ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ ➡️ seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว ➡️ ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน ➡️ ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป ➡️ ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A Man Bought Two Refurbished iPhones From Temu - Here's What He Found When He Opened Them - SlashGear
    A teardown of two refurbished iPhone 14 Pros from Temu revealed pristine OEM parts but raised questions about pricing and platform risks.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • “เมื่อความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย — เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม?”

    บทความ “Our efforts, in part, define us” จากเว็บไซต์ Weakty ได้ตั้งคำถามที่สะเทือนใจคนทำงานยุค AI อย่างลึกซึ้ง: เมื่อสิ่งที่เคยต้องใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่หรือไม่?

    ผู้เขียนเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นเมื่อการเขียนโค้ด ซึ่งเคยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ กลับถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถสร้างโค้ดได้ในพริบตา แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า “ความพยายาม” ที่เคยเป็นแก่นของงาน กลับถูกลดทอนลงอย่างน่าหดหู่

    เขายกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เคยถ่ายภาพฟิล์มด้วยความรักและพิถีพิถัน แต่เมื่อสมาร์ตโฟนทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องง่าย ความหมายของงานนั้นก็เริ่มจางหายไป ความพยายามที่เคยเป็นรากฐานของตัวตน กลับถูกแทนที่ด้วยความสะดวก และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” เมื่อสิ่งที่เคยนิยามเรากลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้

    บทความยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่เริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เคยใช้ทักษะและประสบการณ์เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้คนรู้สึกสูญเสียคุณค่าในสิ่งที่เคยเป็น “งานของตน”

    แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ และไม่ต้องการให้คนถูกกีดกันจากความสะดวก แต่เขาก็ยังรู้สึกถึง “ความเศร้าแปลก ๆ” ที่เกิดจากการที่ความพยายามกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนตั้งคำถามว่า เมื่อสิ่งที่เคยใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม
    ยกตัวอย่างการถ่ายภาพฟิล์มที่เคยเป็นงานศิลป์ แต่ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ตโฟน
    การเขียนโค้ดที่เคยเป็นงานหลักของผู้เขียน ถูกแทนที่ด้วย AI ที่สร้างโค้ดได้อย่างรวดเร็ว
    ความพยายามเคยเป็นสิ่งที่นิยามตัวตน แต่เมื่อมันหายไป ความหมายของงานก็เปลี่ยนไป
    องค์กรเริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางจิตใจ
    ผู้เขียนรู้สึกว่าการใช้ความสามารถเพื่อแลกเงินเคยมีคุณค่า เพราะมันต้องใช้ความพยายาม
    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจาก Wharton และ McKinsey ระบุว่า AI ไม่ได้แทนที่งาน แต่เปลี่ยนรูปแบบของงานและคุณค่าที่คนได้รับจากงานนั้น
    คนมักยอมรับการใช้ AI ในงานที่น่าเบื่อ แต่ต่อต้านเมื่อ AI เข้ามาแทนที่ทักษะที่นิยามตัวตนของพวกเขา
    การใช้ AI อย่างมีสติควรเน้นการเสริมทักษะ ไม่ใช่แทนที่ความสามารถของมนุษย์
    องค์กรที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพมักลงทุนในการฝึกอบรมและปรับโครงสร้างงานใหม่เพื่อรักษาคุณค่าของพนักงาน
    ความพยายามยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการสร้างความหมาย ไม่ว่าจะในงานหรือชีวิตส่วนตัว



    https://weakty.com/posts/efforts/
    🧠 “เมื่อความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย — เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม?” บทความ “Our efforts, in part, define us” จากเว็บไซต์ Weakty ได้ตั้งคำถามที่สะเทือนใจคนทำงานยุค AI อย่างลึกซึ้ง: เมื่อสิ่งที่เคยต้องใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่หรือไม่? ผู้เขียนเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นเมื่อการเขียนโค้ด ซึ่งเคยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ กลับถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถสร้างโค้ดได้ในพริบตา แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า “ความพยายาม” ที่เคยเป็นแก่นของงาน กลับถูกลดทอนลงอย่างน่าหดหู่ เขายกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เคยถ่ายภาพฟิล์มด้วยความรักและพิถีพิถัน แต่เมื่อสมาร์ตโฟนทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องง่าย ความหมายของงานนั้นก็เริ่มจางหายไป ความพยายามที่เคยเป็นรากฐานของตัวตน กลับถูกแทนที่ด้วยความสะดวก และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” เมื่อสิ่งที่เคยนิยามเรากลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ บทความยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่เริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เคยใช้ทักษะและประสบการณ์เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้คนรู้สึกสูญเสียคุณค่าในสิ่งที่เคยเป็น “งานของตน” แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ และไม่ต้องการให้คนถูกกีดกันจากความสะดวก แต่เขาก็ยังรู้สึกถึง “ความเศร้าแปลก ๆ” ที่เกิดจากการที่ความพยายามกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนตั้งคำถามว่า เมื่อสิ่งที่เคยใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม ➡️ ยกตัวอย่างการถ่ายภาพฟิล์มที่เคยเป็นงานศิลป์ แต่ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ตโฟน ➡️ การเขียนโค้ดที่เคยเป็นงานหลักของผู้เขียน ถูกแทนที่ด้วย AI ที่สร้างโค้ดได้อย่างรวดเร็ว ➡️ ความพยายามเคยเป็นสิ่งที่นิยามตัวตน แต่เมื่อมันหายไป ความหมายของงานก็เปลี่ยนไป ➡️ องค์กรเริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางจิตใจ ➡️ ผู้เขียนรู้สึกว่าการใช้ความสามารถเพื่อแลกเงินเคยมีคุณค่า เพราะมันต้องใช้ความพยายาม ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจาก Wharton และ McKinsey ระบุว่า AI ไม่ได้แทนที่งาน แต่เปลี่ยนรูปแบบของงานและคุณค่าที่คนได้รับจากงานนั้น ➡️ คนมักยอมรับการใช้ AI ในงานที่น่าเบื่อ แต่ต่อต้านเมื่อ AI เข้ามาแทนที่ทักษะที่นิยามตัวตนของพวกเขา ➡️ การใช้ AI อย่างมีสติควรเน้นการเสริมทักษะ ไม่ใช่แทนที่ความสามารถของมนุษย์ ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพมักลงทุนในการฝึกอบรมและปรับโครงสร้างงานใหม่เพื่อรักษาคุณค่าของพนักงาน ➡️ ความพยายามยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการสร้างความหมาย ไม่ว่าจะในงานหรือชีวิตส่วนตัว https://weakty.com/posts/efforts/
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • “AI ไม่แทนที่นักรังสีวิทยา — แม้จะวิเคราะห์ภาพได้แม่นยำ แต่ยังขาดความเข้าใจและบริบทในโลกจริง”

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังแทรกซึมเข้าสู่ทุกวงการ หนึ่งในสาขาที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ “รังสีวิทยา” เพราะเป็นงานที่ดูเหมือนจะเหมาะกับการแทนที่มนุษย์ที่สุด — มีภาพดิจิทัลชัดเจน มีเกณฑ์วัดผล และเป็นงานที่ทำซ้ำได้ง่าย

    โมเดลอย่าง CheXNet, Annalise.ai, Lunit, Aidoc และ Qure.ai สามารถวิเคราะห์ภาพเอ็กซ์เรย์และ CT ได้แม่นยำกว่าคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลายกรณี และมีมากกว่า 700 โมเดลที่ได้รับการรับรองจาก FDA แล้ว บางระบบสามารถจัดลำดับเคสเร่งด่วน สร้างรายงานเบื้องต้น หรือแม้แต่ทำงานโดยไม่ต้องมีแพทย์อ่านภาพเลย เช่น IDx-DR

    แต่ในทางปฏิบัติ ความต้องการนักรังสีวิทยากลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2025 มีการเปิดรับแพทย์เฉพาะทางรังสีวิทยาในสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเงินเดือนเฉลี่ยพุ่งถึง $520,000 ต่อปี

    เหตุผลหลักมี 3 ข้อ:

    1️⃣ โมเดล AI ทำงานได้ดีใน “การทดสอบ” แต่ไม่สามารถรักษาความแม่นยำใน “โรงพยาบาลจริง” ได้ เพราะข้อมูลที่ใช้ฝึกมักมาจากแหล่งเดียว และไม่ครอบคลุมความหลากหลายของผู้ป่วย

    2️⃣กฎหมายและบริษัทประกันยังไม่อนุญาตให้ใช้ AI แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพราะความเสี่ยงสูงหากเกิดข้อผิดพลาด

    3️⃣งานของนักรังสีวิทยาไม่ได้มีแค่การวินิจฉัยภาพ แต่ยังรวมถึงการสื่อสารกับทีมแพทย์ การปรับแผนการตรวจ การสอน และการดูแลผู้ป่วย

    แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้ปริมาณงานเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อโรงพยาบาลเปลี่ยนจากฟิล์มเป็นระบบดิจิทัลในปี 2000 ซึ่งทำให้การอ่านภาพเร็วขึ้น แต่จำนวนการตรวจกลับเพิ่มขึ้นถึง 60% เพราะต้นทุนด้านเวลาลดลง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI อย่าง CheXNet, Lunit, Aidoc, Qure.ai สามารถวิเคราะห์ภาพได้แม่นยำกว่ามนุษย์ในบางกรณี
    มีมากกว่า 700 โมเดลที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับงานรังสีวิทยา
    IDx-DR เป็นหนึ่งในไม่กี่ระบบที่สามารถทำงานโดยไม่ต้องมีแพทย์อ่านภาพ
    ปี 2025 มีการเปิดรับแพทย์รังสีวิทยาในสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์
    เงินเดือนเฉลี่ยของนักรังสีวิทยาอยู่ที่ $520,000 ต่อปี
    โมเดล AI ทำงานได้ดีใน benchmark แต่ลดลงเมื่อใช้ในโรงพยาบาลจริง
    งานของนักรังสีวิทยามีมากกว่าการวินิจฉัย เช่น การสื่อสารกับทีมแพทย์และการสอน
    การเปลี่ยนจากฟิล์มเป็นดิจิทัลในปี 2000 ทำให้จำนวนการตรวจเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โมเดล AI มักฝึกจากข้อมูลที่มีโครงสร้างดี เช่น ภาพที่ชัดเจนและมีการยืนยันผล
    ข้อมูลจากเด็ก ผู้หญิง และกลุ่มชาติพันธุ์น้อยมักมีน้อยในชุดฝึก ทำให้เกิด bias
    การใช้ AI ในโรงพยาบาลต้องมีการ revalidate แม้จะผ่านการรับรองมาแล้ว
    บริษัทประกันมักไม่ครอบคลุมความเสียหายจากการวินิจฉัยโดย AI อัตโนมัติ
    ปัจจุบันมีเพียง 19% ของโรงพยาบาลที่ใช้ AI แล้วรายงานว่า “ประสบความสำเร็จสูง”

    https://www.worksinprogress.news/p/why-ai-isnt-replacing-radiologists
    🧠 “AI ไม่แทนที่นักรังสีวิทยา — แม้จะวิเคราะห์ภาพได้แม่นยำ แต่ยังขาดความเข้าใจและบริบทในโลกจริง” ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังแทรกซึมเข้าสู่ทุกวงการ หนึ่งในสาขาที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ “รังสีวิทยา” เพราะเป็นงานที่ดูเหมือนจะเหมาะกับการแทนที่มนุษย์ที่สุด — มีภาพดิจิทัลชัดเจน มีเกณฑ์วัดผล และเป็นงานที่ทำซ้ำได้ง่าย โมเดลอย่าง CheXNet, Annalise.ai, Lunit, Aidoc และ Qure.ai สามารถวิเคราะห์ภาพเอ็กซ์เรย์และ CT ได้แม่นยำกว่าคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลายกรณี และมีมากกว่า 700 โมเดลที่ได้รับการรับรองจาก FDA แล้ว บางระบบสามารถจัดลำดับเคสเร่งด่วน สร้างรายงานเบื้องต้น หรือแม้แต่ทำงานโดยไม่ต้องมีแพทย์อ่านภาพเลย เช่น IDx-DR แต่ในทางปฏิบัติ ความต้องการนักรังสีวิทยากลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2025 มีการเปิดรับแพทย์เฉพาะทางรังสีวิทยาในสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเงินเดือนเฉลี่ยพุ่งถึง $520,000 ต่อปี เหตุผลหลักมี 3 ข้อ: 1️⃣ โมเดล AI ทำงานได้ดีใน “การทดสอบ” แต่ไม่สามารถรักษาความแม่นยำใน “โรงพยาบาลจริง” ได้ เพราะข้อมูลที่ใช้ฝึกมักมาจากแหล่งเดียว และไม่ครอบคลุมความหลากหลายของผู้ป่วย 2️⃣กฎหมายและบริษัทประกันยังไม่อนุญาตให้ใช้ AI แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพราะความเสี่ยงสูงหากเกิดข้อผิดพลาด 3️⃣งานของนักรังสีวิทยาไม่ได้มีแค่การวินิจฉัยภาพ แต่ยังรวมถึงการสื่อสารกับทีมแพทย์ การปรับแผนการตรวจ การสอน และการดูแลผู้ป่วย แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่กลับทำให้ปริมาณงานเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อโรงพยาบาลเปลี่ยนจากฟิล์มเป็นระบบดิจิทัลในปี 2000 ซึ่งทำให้การอ่านภาพเร็วขึ้น แต่จำนวนการตรวจกลับเพิ่มขึ้นถึง 60% เพราะต้นทุนด้านเวลาลดลง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI อย่าง CheXNet, Lunit, Aidoc, Qure.ai สามารถวิเคราะห์ภาพได้แม่นยำกว่ามนุษย์ในบางกรณี ➡️ มีมากกว่า 700 โมเดลที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับงานรังสีวิทยา ➡️ IDx-DR เป็นหนึ่งในไม่กี่ระบบที่สามารถทำงานโดยไม่ต้องมีแพทย์อ่านภาพ ➡️ ปี 2025 มีการเปิดรับแพทย์รังสีวิทยาในสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ➡️ เงินเดือนเฉลี่ยของนักรังสีวิทยาอยู่ที่ $520,000 ต่อปี ➡️ โมเดล AI ทำงานได้ดีใน benchmark แต่ลดลงเมื่อใช้ในโรงพยาบาลจริง ➡️ งานของนักรังสีวิทยามีมากกว่าการวินิจฉัย เช่น การสื่อสารกับทีมแพทย์และการสอน ➡️ การเปลี่ยนจากฟิล์มเป็นดิจิทัลในปี 2000 ทำให้จำนวนการตรวจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โมเดล AI มักฝึกจากข้อมูลที่มีโครงสร้างดี เช่น ภาพที่ชัดเจนและมีการยืนยันผล ➡️ ข้อมูลจากเด็ก ผู้หญิง และกลุ่มชาติพันธุ์น้อยมักมีน้อยในชุดฝึก ทำให้เกิด bias ➡️ การใช้ AI ในโรงพยาบาลต้องมีการ revalidate แม้จะผ่านการรับรองมาแล้ว ➡️ บริษัทประกันมักไม่ครอบคลุมความเสียหายจากการวินิจฉัยโดย AI อัตโนมัติ ➡️ ปัจจุบันมีเพียง 19% ของโรงพยาบาลที่ใช้ AI แล้วรายงานว่า “ประสบความสำเร็จสูง” https://www.worksinprogress.news/p/why-ai-isnt-replacing-radiologists
    WWW.WORKSINPROGRESS.NEWS
    AI isn't replacing radiologists
    Radiology combines digital images, clear benchmarks, and repeatable tasks. But demand for human radiologists is ay an all-time high.
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • 19-09-68/01 : หมี CNN / "FRIDAY JASON" ศุกร์ สยิวกิ้ว! EP35 (มาตามนัด)

    ปิดด่าน สำคัญกว่าที่คิด สกัดเงินฟอก สกัดเงินมืด มีเงินแต่เอาไปใช้ไม่ได้ ที่ผ่านมา มันเอามาฟอกที่ไทยเนี่ยแหละ เงินบาทไทยสดสด ที่อีขะแมร์ต้องการ ขนทองคำไปส่งขะแมร์ แผนลับตั้งแต่อีแม่กะบังลมสั่ง ในที่สุด ตัวการใหญ่ก็อยู่ไม่ได้โผล่ ส่งทั้งกระเช้าดอกไม้ บอกนัยยะ อำนาจมันอยู่ไม่นานดอกน่ะ ออกหน้าสั่งการพรรค เพราะอีผัวเหี้ยหมดสภาพไปแล้ว นอนกระดิกตรีนในคุกคลองเปรม อีลูกส่ายหัว ไม่มีใครกล้ามาเป็นเหยื่อให้อีพ่อแล้ว ตายยกโคตร วันนี้ เสื้อแดงรู้เช่นเห็นชาติแล้ว เลวกว่า เหี้ยกว่า ระยำสลัดหมากว่าอีเหลี่ยม มีเพียงตัวเดียว นั่นคือ "อีกะบังลม" เงินที่โกงแผ่นดินทั้งหมดอยู่ที่มัน โยกย้ายไปตามหมู่เกาะแคริบเบี้ยน

    อีโง่ยุโรป หมดท่า กลายร่างเป็นหมาบ้าแล้ว! ไล่งับทั้ง BRICS รัสเซีย อีแขก อ้าว..เว้นจีนไว้ทำไมล่ะจ๊ะ? อ๋อ..จะเสี้ยมจีนให้แตกเหรอ เหี้ยมะกันจะดึงรัสเซีย แยกจากจีนยังทำไม่ได้ แล้วไอ้โง่อย่างมรึงที่สติปัญญา IQ 18 จะมาหลอกจีน IQ 180 เนี่ยน่ะ ควายจ๋า..ไปแดร๊กหญ้าให้อิ่มเหอะ พรุ่งนี้ก็โดนเชือดแล้ว มันต้องการอะไร ก่อนจะริท้าสู่ขั้วใหม่ ช่วยแหกตาดูด้วยว่า วันนี้ มรึงเองยังต้องแบมือขอพลังงานรัสเซีย แบมือขอโลจิสติคจากจีน แบมือขอตลาดจากอาหรับ แล้วมรึงคลั่งจนลืมสิ่งที่จำเป็นต้องมี นั่นคือ "การคลัง" EURO อ่อนค่า พิมพ์แบงค์มั่วซั่วตามอีวอชิงตัน ทองคำจะเอาจากไหนล่ะ รัสเซียผูกสัมปทานในแอฟริกาสิ้น จะขอใคร

    เปลี่ยนปุ๊บ ออกสื่อปั๊บ! อะไรน่ะ? กูหูไม่ฟาดชิมิ? ภาค 1 ขู่ขะแมร์โว๊ย? อย่ายั่วยุ ใช้กฎหมายไทยบังคับคดีทั้งหมด เข้ามาเหยียบก็แผ่นดินกู ใช้กฎหมายกู พอเอาจริง ม็อบตอแหลวงแตกทันที ถูกจับไปขังคุกไม่ต้องรอนาน แล้วทำไม? มรึงไม่ทำตั้งแต่แรกล่ะ? คำตอบคือ บ่อนคือต้นเหตุ ส่วยเดือนล่ะ 100 ล้านคือสาเหตุ แหล่งฟอกเงินคือหม้อข้าวของบรรดา BIG เขียวขายชาติ ชัดพอมั้ย? แต่ตอนนี้ เกิดการปฎิวัติเงียบ ระดับนายพัน จับกลุ่มขู่นายพล นายจ๊ะ อันนี้อธิปไตยของชาติน่ะ นายอย่าแตะ เดี๋ยวพวกผมเอาจริง! (เสียงในฟิล์มจากชายแแดน) มรึงถึงได้เห็นภาพวันนี้ไง กูบอกให้รู้ไว้ ใหญ่แค่ไหน แค่วังสั่งคำเดียว หัวหลุดทั้งยวงบูรพาสุนัข บูรพาพยัคฆ์ของจริงมีเยอะ แต่ถูกบูรพาสุนัขคาบไปแดร๊ก ถึงเวลาเปลี่ยนหัวเหี้ยแล้วจ๊ะ

    ส่งสัญญาน เอาโต๊ะลุงตู่กลับมาใช้ต่อในทำเนียบ หันทิศทางเดียวกัน จะบอกอะไรรึจ๊ะ? บ้างก็อ้าง โต๊ะที่บ้านใหญ่ หรู ไม่เข้ากับสไตล์ห้อง เดี๋ยวผิดสังเกตุ แค่ 4 เดือน จะทำอะไรให้หมั่นไส้มากไม่ดี สร้างภาพสิจ๊ะ อยู่ให้คนเค้ารัก ไปให้คนเค้าคิดถึง อีเพ่นู๋ มันอยู่เป็น ไม่งั้นคงไม่มีวาสนาขึ้นแท่นบังลังก์เมฆดอก ขนาดอีลุงป้อมรอคอยมาทั้งชีวิต ยังไม่ได้เป็น กระแสตีกลับ จนป่านนี้ ยังตั้งครม.ไม่ได้ ติดเรื่องคุณสมบัติ เพราะมีแต่เหี้ยไปจัญไรมา สภาพแค่เอาตัวรอดไปวันวัน จะเอา จะเอา แต่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องของชาติ ปากท้องประชาชนก่อน นี่ไง "นักการเมือง" อีส้มเน่ามั่น งวดหน้ากูแลนด์สไลด์หนักกว่านี้แน่ อ๋อ..เหรอ หายไป 70% น่ะสิ เดี๋ยวรู้กัน

    ฮาแตก! อีฮุน จอมตอแหล สร้างภาพตลอด จีนหนุน จีนให้อภัย จีนเปิดทางเดินให้ต่อ แต่ของจริง จีนไม่เปิดระบบยิงขีปนาวุธให้อีขะแมร์มาทำร้ายไทย จีนไม่สร้างอะไรเพิ่มทั้งนั้น จีนถอนการลงทุนออกมา จีนห้ามนักท่องเที่ยวไปขะแมร์ นี่เหรอ ที่เค้าเรียกว่าหนุน เสพสื่อ ให้ดูของจริง อย่าเชื่อแค่เค้าเล่าอ้าง? สติทำให้ฉลาด เพราะคิดขัดแย้งไว้ก่อน จะได้คำตอบ ตั้งคำถามก่อน จะได้คำตอบ อย่าเชื่อ ให้ใช้ปัญญา ว่าข้อเท็จจริงคือ สื่อเล่าอ้างคือ กองทัพไทย เริ่มลงมือปิดกั้นทุกทางเชื่อมไทย-ขะแมร์ ส่งสัญญาน งานนี้ กูเอามรึงถึงตายคาตรีน พนมเปญแค่ขนมกรุบ

    ฝั่งโลกอาหรับก็ไม่เบา MBS ล่าสุดจับมือปากีฯ เซ็นต์ควมร่วมมือแผนความมั่นคง แปลว่าอะไร? อียิวจะโดนหนักไงล่ะ? ดอกนี้ ปากีขอมา กูจะเอาคืนมรึง ที่ไปหนุนอีแขกมารุกรานกูก่อน รออิมราน ข่านขึ้นแท่นเมื่อไหร่ กูบอกเลย ประกาศศักดาแน่ QATAR เจ็บแค้น ทั้งอียิว เหี้ยมะกัน ส่งผลให้ ราชวงศ์ในอาหรับ ลงมติเชือดอียิวแบบไม่ให้เหลือซาก อิหร่านมาเต็ม ต้องถามแบบนี้ว่า ยังจะเหลือใครที่เอาอียิวล่ะ ขนาดอีจอร์แดง ขี้ข้าชั้นสวะ ที่อะไรก็แล้วแต่นายใหญ่ ยังฉี่แตก เค้าลงขันมุสลิมปาร์ตี้อียิวโดยตรงแล้ว คนย้ายออกจากเยรูซาเล็มแล้ว รู้ตัวแล้ว อิหร่านนำทัพ เตรียมยกพลขึ้นบก ไม่ต้องถามน่ะ ยังจะเหลือเหี้ยยิวรอต้อนรับอีกมั้ย?

    เวรกรรมทันตาเห็น อีเศษฝรั่ง บ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้ว ขนส่งปิด รถสาธารณะปิด รถไม่วิ่ง ร้านค้าปิด ธนาคารไม่มีคน มันหายไปไหนกันหมดล่ะ? ลงถนนกันหมดทั้งแผ่นดินแล้ว กูว่าแล้ว สุดท้าย ปากท้องชาวบ้าน คือสิ่งที่อันตรายที่สุด จีน รัสเซีย มองเห็น แต่มรึงมันโง่ไงล่ะ อีมาครง งานนี้เอาถึง "กิโยติน" เลยน่ะ ย้อนภาพประวัติศาสตร์กลับมาทันที เมื่องานไม่มี ไร้บ้าน อาหารไม่พอ ข้าวยาก หมากแพง ชีวิตอยู่ไปวันวัน ใครล่ะ ที่ทำให้มรึงจนตรอก "ประชาธิปไตย" ที่มรึงเลือกกันเองไงล่ะ มันช่วยให้มรึงหายอิ่มมั้ย มีแต่จะเอาสงครามท่าเดียว ตามใบสั่งนายจ้าง แดร๊กเข้าไปสิ ยุโรปสิ้นแล้ววันนี้ VISA น่ะเหรอ? ให้เข้าฟรี ยังไม่เอาเลย มีแต่โจรกับโจร

    มอ 144 มาเต็มตรีน ไวฟ้าผ่า โยกเงินเหรอ เงิน 10000 เหรอ เดี๋ยวตามด้วยชั้น 14 มาตามสเตป ไล่เบี้ยขี้ข้าหมารับใช้ทุกองค์กร ทุกไอ้อี อย่าคิดว่ายุบสภา แล้วจบน่ะ เปลี่ยนรัฐบาลแล้วปล้วกันไปน่ะ คำฟ้อง อยู่ที่ศาลยังมีครบทุกข้อหา เป้าแท้จริงคือ ล้างบางพรรคขายชาติให้สิ้นซาก ทั้งอีแดง อีส้มเน่า อีน้ำเงิน และบรรดาพรรคตัวปลากรอบทั้งหลาย โดนหมดจ๊ะ พายเรือให้โจรนั่ง เซ็นต์ MOU43/44 ของเก่าก็โดน เพราะมันเป็นผลพ่วงมาจนถึงปัจจุบัน มรึงดู ทุกความระยำอัปรีย์จัญไรของไอ้อีขายชาติทั้งหลาย มันมาผูกปมเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด แม้แต่คดีผีน้องโม สีเทา สีดำ มีเอี่ยวหมด ที่ศาลใจเย็น เพราะมันผูกกันทั้ง 3 ศาลไงล่ะ จับมัดเผาทีเดียว!

    มรึงดูความอดอยากของคนสิ? อีปารี แจกไก่ทอด เป็นเหตุชุลมุนกลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่มัน "โกลาหล" ดูเปลือกภายนอก คือวัยรุ่นตามอินฟลูเอนเซอร์ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว แค่ร้านไทยเปิดใหม่โปรโมต แจกฟรี ข้าวหน้าไก่ทอด 1000 ชุด มรึงถึงกับต้องแย่งกันอย่างกะหมา มันใช่เหรอ? แล้วไอ้หน่วยควบคุมมาได้ยังไง เร็วปร๊ีด! ทุกอย่างคือการจัดฉาก ไม่ต้องถามว่าฝ่ายการเมืองเล่นเหี้ยอาไยอีก? มรึงเลือกตั้งใหม่ ยุบสภา กันให้ตาย เลือกกี่รอบก็เหมือนเดิม เพราะนายทุนใหญ่ใครล่ะ? ทำไมต้องเป็นร้านอาหารไทย? หากเป็นร้านอื่นจะไวปานนี้มั้ย? อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย คนเริ่มแค่ไม่กี่คน สร้างปัญหาเป็นข่าวไปทั่วโลกได้ ด้วยเงินลงทุนนิดหน่อย เข้าใจเล่นน่ะมรึง? ร้านก็ดังไปเลย สื่อก็ได้ตีข่าว เจ้าหน้าที่ได้ออกแรง ส่งสัญญานซ้อมกันไว้ก่อนสิน่ะ ก่อนจะแตกจริง เพราะชาวปารี คือนักปฎิวัติอยู่แล้ว

    เนปาลโมเดล ไฟไหม้ฟางซะงั้น? อ้าวทำไมล่ะ? เพราะมันของปลอมไงล่ะ ทุกอย่างถูกจัดฉากขึ้นมา ตามใบสั่ง เหตุผลเดียวคือเปลี่ยนรัฐบาล ไอ้ที่มีอยู่ก่อน คืออิงขั้วใหม่ สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ย เมื่อมรึงตีตัวห่าง กูก็ต้องส่ง เหี้ย C ไปเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำกันมาเป็นศตวรรษ ชาวบ้านถูกปั่นหัว ใครให้มรึงแตะโซเชี่ยล ปิดปุ๊บ อาละวาดปั๊บ แปลว่า โซเชี่ยลกำหนดความบ้าคลั่งของคนได้จริง ทุกชาติกลัวเนปาลโมเดล สั่งคุมเข้มความมั่นคงทันที จากนี้ไป ความวุ่นวายจะไม่จบ ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีศูนย์รวมจิตใจ เหลือแต่ดูแลกันเอง ก็อ้อยเข้าปากเหี้ยไงล่ะ? และนี่ คือสิ่งที่เหี้ย C รอคอยมานานกว่า 93 ปี วังไทย ตียังไงก็ไม่แตก เพราะมีทศพิธราชธรรมเป็นเสาหลัก ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คือเป้าหมายของพวกมัน เงินถุงแดง ที่เก็บกันมาจนวันนี้ รู้มั้ยว่า มันมากมายมหาศาลขนาดไหน เหี้ยเลียปาก?

    ปล.ชัดเจน! เมื่อ 3 ปีก่อน ปูตินพูดชัด "ไม่ยึด แต่จะทำลายให้สิ้นซาก" คราวนั้นหลายคนเข้าใจว่ายูเครน แต่วันนี้ ถึงบางอ้อ ปูตินหมายหัว "ยุโรปจ๊ะ" เพราะเนื้อแท้แล้ว เพราะมีพวกมรึง ก็จะมียูเครน 2..3..4 ไม่สิ้นสุด แล้วทำไม ไม่จัดการที่ต้นตอเลยล่ะ แผนถึงถูกออกแบบมาเพื่อดันเบลารุสขึ้นแท่นหัวหมู่ทะลวงฟัน ISKANDER ใช่ว่าจะให้ใครไปง่ายๆ หากไม่มั่นใจ และซี๊ปึกกันจริง วันนี้ เป็นที่ประจักษ์ WAGNER อยู่กันเต็มแผ่นดินอีโปล ตามพรมแดนเพี๊ยบ เพื่อเปิดทาง ปูทางให้ กองทัพ Z ดาหน้าเข้ายึดยุโรปในไม่ช้านี้ จับตาให้ดีดี ปูติน เคยพูดอะไรไว้ แล้วทำได้จริงเสมอ อีโง่ยุโรป ดิ้นให้ตาย หมาก็ไม่แล เหี้ยวอชิงตัน มันถูกปูตินสะกดไว้แล้วที่อลาสก้า "อย่าเสือก" ยุ่งเมื่อไหร่ ถึงวอชิงตันแน่ มรึงกล้าวัดมั้ยล่ะ? เมื่อรัสเซียบุกยึดยุโรป แล้วโลกอาหรับ บุกขยี้เยรูซาเล็ม เป็นจังหวะเดียวที่จีนจะดาหน้าปูพรมยึดไต้หวัน ถามว่า อะไรจะเกิดขึ้น? อเมริกาจะไม่เสือกเพราะถังแตก และรอดูผลลัพธ์ กูไม่ต้องเหนื่อย มีคนขยี้อียิวและยุดรปให้กูฟรีๆ แต่ช้าก่อน เค้าอ่านมรึงทะลุ สุดท้ายมรึงก็ต้องมาเอี่ยวอยู่ดี เพราะเค้าจ้องหลังบ้านมรึงแล้วไงล่ะ ทันที ที่วอชิงตันแตก มันคือโอกาสทองที่ปูตินจะเข้ายึดอลาสก้า ดินแดนที่เป็นของรัสเซียเก่า โดยอ้างว่ายังมีชาวพื้นเมืองรัสเซียอยู่ที่นั่น ต้องการแยกตัวกลับบ้าน แผนนี้จะใช้เมื่อเหี้ยไม่ตกลงยอมขายแต่โดยดี สงครามไม่ต้องการเหตุผล ทุกอย่างวัดกันที่ปากกระบอกปืน ใครใหญ่กว่าก็งาบไปแดร๊ก โลกเรียนรู้จากสิ่งนี้มาเป็น 1000 ปีแล้ว สงครามจะกระจายไปทั่วโลก แต่จะไม่บ้าคลั่งเท่า WWII จะไม่มีการใช้นุ๊กจริง ใช้แค่มินิคุ๊กกี้ ตามพื้นที่จำเพาะแต่ละเป้าหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงความวินาศฉิบหายทั้งโลก ไอ้สัส! แค่มินิคุ๊กกี้ ก็อ่วมแล้วน่ะมรึง เพราะขนาดความเสียหาย มันแรงกว่าที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ ซะอีก แค่มลพิษน้อยกว่าเท่านั้นเอง แต่อาวุธร้ายรัสเซีย ไม่ใช่แบบนั้น มันจ้องทำลายโสตประสาทของมนุษย์ พิการทั้งกองทัพ แบบที่ทหารอเมริกันโดนมาแล้วหลายพันตัว อยากรู้ให้ไปถามที่สวนสัตว์มอสโคว์

    หมี CNN(อะไรน่ะ อียิวเตรียมใช้เสียงเลเซอร์ยิงสกัดไฮเปอร์โซนิค อ๋อเหรอ? มีเท่าไหร่กันล่ะ ยิงได้จริงเหรอ รัศมีทำการแค่ไหน อะไรที่มรึงมี รัสเซีย จีน อิหร่าน แม้แต่โสมแดงก็มี ไอ้ควาย? ทำไม หน่วยข่าวกรองเค้าจะไม่รู้ ว่ามรึงมีของเหี้ยอะไรอีก ระยะคือข้อจำกัดของเลเซอร์ยิว ระบบดาวเทียมนำร่องสั่งการ คือคีย์ของการทำงานทั้งระบบ แค่จัดสัญญาน GPS มรึง คือจบทันที และหากจะล่อจริง เค้าใช้ ไฮเปอร์โซนิค15 มัคขึ้นไป มรึงยิงยังไงก็ไม่ทัน เพราะมันมีปล่อยลูกหลอกด้วยไงล่ะ มรึงมีปัญญายิงพร้อมกัน 5 เป้าหมายมั้ยล่ะ? จุดอ่อนเพี๊ยบ มันใช้ได้กับโดรน เพื่อกวาด แต่ใช้กับไฮเปอร์โซนิคจริงยาก เค้าคำนวณกันมาก่อนแล้ว ไอ้ควาย)
    19 กันยายน 68
    09.30 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    19-09-68/01 : หมี CNN / "FRIDAY JASON" ศุกร์ สยิวกิ้ว! EP35 (มาตามนัด) ปิดด่าน สำคัญกว่าที่คิด สกัดเงินฟอก สกัดเงินมืด มีเงินแต่เอาไปใช้ไม่ได้ ที่ผ่านมา มันเอามาฟอกที่ไทยเนี่ยแหละ เงินบาทไทยสดสด ที่อีขะแมร์ต้องการ ขนทองคำไปส่งขะแมร์ แผนลับตั้งแต่อีแม่กะบังลมสั่ง ในที่สุด ตัวการใหญ่ก็อยู่ไม่ได้โผล่ ส่งทั้งกระเช้าดอกไม้ บอกนัยยะ อำนาจมันอยู่ไม่นานดอกน่ะ ออกหน้าสั่งการพรรค เพราะอีผัวเหี้ยหมดสภาพไปแล้ว นอนกระดิกตรีนในคุกคลองเปรม อีลูกส่ายหัว ไม่มีใครกล้ามาเป็นเหยื่อให้อีพ่อแล้ว ตายยกโคตร วันนี้ เสื้อแดงรู้เช่นเห็นชาติแล้ว เลวกว่า เหี้ยกว่า ระยำสลัดหมากว่าอีเหลี่ยม มีเพียงตัวเดียว นั่นคือ "อีกะบังลม" เงินที่โกงแผ่นดินทั้งหมดอยู่ที่มัน โยกย้ายไปตามหมู่เกาะแคริบเบี้ยน อีโง่ยุโรป หมดท่า กลายร่างเป็นหมาบ้าแล้ว! ไล่งับทั้ง BRICS รัสเซีย อีแขก อ้าว..เว้นจีนไว้ทำไมล่ะจ๊ะ? อ๋อ..จะเสี้ยมจีนให้แตกเหรอ เหี้ยมะกันจะดึงรัสเซีย แยกจากจีนยังทำไม่ได้ แล้วไอ้โง่อย่างมรึงที่สติปัญญา IQ 18 จะมาหลอกจีน IQ 180 เนี่ยน่ะ ควายจ๋า..ไปแดร๊กหญ้าให้อิ่มเหอะ พรุ่งนี้ก็โดนเชือดแล้ว มันต้องการอะไร ก่อนจะริท้าสู่ขั้วใหม่ ช่วยแหกตาดูด้วยว่า วันนี้ มรึงเองยังต้องแบมือขอพลังงานรัสเซีย แบมือขอโลจิสติคจากจีน แบมือขอตลาดจากอาหรับ แล้วมรึงคลั่งจนลืมสิ่งที่จำเป็นต้องมี นั่นคือ "การคลัง" EURO อ่อนค่า พิมพ์แบงค์มั่วซั่วตามอีวอชิงตัน ทองคำจะเอาจากไหนล่ะ รัสเซียผูกสัมปทานในแอฟริกาสิ้น จะขอใคร เปลี่ยนปุ๊บ ออกสื่อปั๊บ! อะไรน่ะ? กูหูไม่ฟาดชิมิ? ภาค 1 ขู่ขะแมร์โว๊ย? อย่ายั่วยุ ใช้กฎหมายไทยบังคับคดีทั้งหมด เข้ามาเหยียบก็แผ่นดินกู ใช้กฎหมายกู พอเอาจริง ม็อบตอแหลวงแตกทันที ถูกจับไปขังคุกไม่ต้องรอนาน แล้วทำไม? มรึงไม่ทำตั้งแต่แรกล่ะ? คำตอบคือ บ่อนคือต้นเหตุ ส่วยเดือนล่ะ 100 ล้านคือสาเหตุ แหล่งฟอกเงินคือหม้อข้าวของบรรดา BIG เขียวขายชาติ ชัดพอมั้ย? แต่ตอนนี้ เกิดการปฎิวัติเงียบ ระดับนายพัน จับกลุ่มขู่นายพล นายจ๊ะ อันนี้อธิปไตยของชาติน่ะ นายอย่าแตะ เดี๋ยวพวกผมเอาจริง! (เสียงในฟิล์มจากชายแแดน) มรึงถึงได้เห็นภาพวันนี้ไง กูบอกให้รู้ไว้ ใหญ่แค่ไหน แค่วังสั่งคำเดียว หัวหลุดทั้งยวงบูรพาสุนัข บูรพาพยัคฆ์ของจริงมีเยอะ แต่ถูกบูรพาสุนัขคาบไปแดร๊ก ถึงเวลาเปลี่ยนหัวเหี้ยแล้วจ๊ะ ส่งสัญญาน เอาโต๊ะลุงตู่กลับมาใช้ต่อในทำเนียบ หันทิศทางเดียวกัน จะบอกอะไรรึจ๊ะ? บ้างก็อ้าง โต๊ะที่บ้านใหญ่ หรู ไม่เข้ากับสไตล์ห้อง เดี๋ยวผิดสังเกตุ แค่ 4 เดือน จะทำอะไรให้หมั่นไส้มากไม่ดี สร้างภาพสิจ๊ะ อยู่ให้คนเค้ารัก ไปให้คนเค้าคิดถึง อีเพ่นู๋ มันอยู่เป็น ไม่งั้นคงไม่มีวาสนาขึ้นแท่นบังลังก์เมฆดอก ขนาดอีลุงป้อมรอคอยมาทั้งชีวิต ยังไม่ได้เป็น กระแสตีกลับ จนป่านนี้ ยังตั้งครม.ไม่ได้ ติดเรื่องคุณสมบัติ เพราะมีแต่เหี้ยไปจัญไรมา สภาพแค่เอาตัวรอดไปวันวัน จะเอา จะเอา แต่ไม่มีใครคิดถึงเรื่องของชาติ ปากท้องประชาชนก่อน นี่ไง "นักการเมือง" อีส้มเน่ามั่น งวดหน้ากูแลนด์สไลด์หนักกว่านี้แน่ อ๋อ..เหรอ หายไป 70% น่ะสิ เดี๋ยวรู้กัน ฮาแตก! อีฮุน จอมตอแหล สร้างภาพตลอด จีนหนุน จีนให้อภัย จีนเปิดทางเดินให้ต่อ แต่ของจริง จีนไม่เปิดระบบยิงขีปนาวุธให้อีขะแมร์มาทำร้ายไทย จีนไม่สร้างอะไรเพิ่มทั้งนั้น จีนถอนการลงทุนออกมา จีนห้ามนักท่องเที่ยวไปขะแมร์ นี่เหรอ ที่เค้าเรียกว่าหนุน เสพสื่อ ให้ดูของจริง อย่าเชื่อแค่เค้าเล่าอ้าง? สติทำให้ฉลาด เพราะคิดขัดแย้งไว้ก่อน จะได้คำตอบ ตั้งคำถามก่อน จะได้คำตอบ อย่าเชื่อ ให้ใช้ปัญญา ว่าข้อเท็จจริงคือ สื่อเล่าอ้างคือ กองทัพไทย เริ่มลงมือปิดกั้นทุกทางเชื่อมไทย-ขะแมร์ ส่งสัญญาน งานนี้ กูเอามรึงถึงตายคาตรีน พนมเปญแค่ขนมกรุบ ฝั่งโลกอาหรับก็ไม่เบา MBS ล่าสุดจับมือปากีฯ เซ็นต์ควมร่วมมือแผนความมั่นคง แปลว่าอะไร? อียิวจะโดนหนักไงล่ะ? ดอกนี้ ปากีขอมา กูจะเอาคืนมรึง ที่ไปหนุนอีแขกมารุกรานกูก่อน รออิมราน ข่านขึ้นแท่นเมื่อไหร่ กูบอกเลย ประกาศศักดาแน่ QATAR เจ็บแค้น ทั้งอียิว เหี้ยมะกัน ส่งผลให้ ราชวงศ์ในอาหรับ ลงมติเชือดอียิวแบบไม่ให้เหลือซาก อิหร่านมาเต็ม ต้องถามแบบนี้ว่า ยังจะเหลือใครที่เอาอียิวล่ะ ขนาดอีจอร์แดง ขี้ข้าชั้นสวะ ที่อะไรก็แล้วแต่นายใหญ่ ยังฉี่แตก เค้าลงขันมุสลิมปาร์ตี้อียิวโดยตรงแล้ว คนย้ายออกจากเยรูซาเล็มแล้ว รู้ตัวแล้ว อิหร่านนำทัพ เตรียมยกพลขึ้นบก ไม่ต้องถามน่ะ ยังจะเหลือเหี้ยยิวรอต้อนรับอีกมั้ย? เวรกรรมทันตาเห็น อีเศษฝรั่ง บ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้ว ขนส่งปิด รถสาธารณะปิด รถไม่วิ่ง ร้านค้าปิด ธนาคารไม่มีคน มันหายไปไหนกันหมดล่ะ? ลงถนนกันหมดทั้งแผ่นดินแล้ว กูว่าแล้ว สุดท้าย ปากท้องชาวบ้าน คือสิ่งที่อันตรายที่สุด จีน รัสเซีย มองเห็น แต่มรึงมันโง่ไงล่ะ อีมาครง งานนี้เอาถึง "กิโยติน" เลยน่ะ ย้อนภาพประวัติศาสตร์กลับมาทันที เมื่องานไม่มี ไร้บ้าน อาหารไม่พอ ข้าวยาก หมากแพง ชีวิตอยู่ไปวันวัน ใครล่ะ ที่ทำให้มรึงจนตรอก "ประชาธิปไตย" ที่มรึงเลือกกันเองไงล่ะ มันช่วยให้มรึงหายอิ่มมั้ย มีแต่จะเอาสงครามท่าเดียว ตามใบสั่งนายจ้าง แดร๊กเข้าไปสิ ยุโรปสิ้นแล้ววันนี้ VISA น่ะเหรอ? ให้เข้าฟรี ยังไม่เอาเลย มีแต่โจรกับโจร มอ 144 มาเต็มตรีน ไวฟ้าผ่า โยกเงินเหรอ เงิน 10000 เหรอ เดี๋ยวตามด้วยชั้น 14 มาตามสเตป ไล่เบี้ยขี้ข้าหมารับใช้ทุกองค์กร ทุกไอ้อี อย่าคิดว่ายุบสภา แล้วจบน่ะ เปลี่ยนรัฐบาลแล้วปล้วกันไปน่ะ คำฟ้อง อยู่ที่ศาลยังมีครบทุกข้อหา เป้าแท้จริงคือ ล้างบางพรรคขายชาติให้สิ้นซาก ทั้งอีแดง อีส้มเน่า อีน้ำเงิน และบรรดาพรรคตัวปลากรอบทั้งหลาย โดนหมดจ๊ะ พายเรือให้โจรนั่ง เซ็นต์ MOU43/44 ของเก่าก็โดน เพราะมันเป็นผลพ่วงมาจนถึงปัจจุบัน มรึงดู ทุกความระยำอัปรีย์จัญไรของไอ้อีขายชาติทั้งหลาย มันมาผูกปมเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด แม้แต่คดีผีน้องโม สีเทา สีดำ มีเอี่ยวหมด ที่ศาลใจเย็น เพราะมันผูกกันทั้ง 3 ศาลไงล่ะ จับมัดเผาทีเดียว! มรึงดูความอดอยากของคนสิ? อีปารี แจกไก่ทอด เป็นเหตุชุลมุนกลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่มัน "โกลาหล" ดูเปลือกภายนอก คือวัยรุ่นตามอินฟลูเอนเซอร์ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว แค่ร้านไทยเปิดใหม่โปรโมต แจกฟรี ข้าวหน้าไก่ทอด 1000 ชุด มรึงถึงกับต้องแย่งกันอย่างกะหมา มันใช่เหรอ? แล้วไอ้หน่วยควบคุมมาได้ยังไง เร็วปร๊ีด! ทุกอย่างคือการจัดฉาก ไม่ต้องถามว่าฝ่ายการเมืองเล่นเหี้ยอาไยอีก? มรึงเลือกตั้งใหม่ ยุบสภา กันให้ตาย เลือกกี่รอบก็เหมือนเดิม เพราะนายทุนใหญ่ใครล่ะ? ทำไมต้องเป็นร้านอาหารไทย? หากเป็นร้านอื่นจะไวปานนี้มั้ย? อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย คนเริ่มแค่ไม่กี่คน สร้างปัญหาเป็นข่าวไปทั่วโลกได้ ด้วยเงินลงทุนนิดหน่อย เข้าใจเล่นน่ะมรึง? ร้านก็ดังไปเลย สื่อก็ได้ตีข่าว เจ้าหน้าที่ได้ออกแรง ส่งสัญญานซ้อมกันไว้ก่อนสิน่ะ ก่อนจะแตกจริง เพราะชาวปารี คือนักปฎิวัติอยู่แล้ว เนปาลโมเดล ไฟไหม้ฟางซะงั้น? อ้าวทำไมล่ะ? เพราะมันของปลอมไงล่ะ ทุกอย่างถูกจัดฉากขึ้นมา ตามใบสั่ง เหตุผลเดียวคือเปลี่ยนรัฐบาล ไอ้ที่มีอยู่ก่อน คืออิงขั้วใหม่ สูตรสำเร็จความใคร่เหี้ย เมื่อมรึงตีตัวห่าง กูก็ต้องส่ง เหี้ย C ไปเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำกันมาเป็นศตวรรษ ชาวบ้านถูกปั่นหัว ใครให้มรึงแตะโซเชี่ยล ปิดปุ๊บ อาละวาดปั๊บ แปลว่า โซเชี่ยลกำหนดความบ้าคลั่งของคนได้จริง ทุกชาติกลัวเนปาลโมเดล สั่งคุมเข้มความมั่นคงทันที จากนี้ไป ความวุ่นวายจะไม่จบ ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีศูนย์รวมจิตใจ เหลือแต่ดูแลกันเอง ก็อ้อยเข้าปากเหี้ยไงล่ะ? และนี่ คือสิ่งที่เหี้ย C รอคอยมานานกว่า 93 ปี วังไทย ตียังไงก็ไม่แตก เพราะมีทศพิธราชธรรมเป็นเสาหลัก ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คือเป้าหมายของพวกมัน เงินถุงแดง ที่เก็บกันมาจนวันนี้ รู้มั้ยว่า มันมากมายมหาศาลขนาดไหน เหี้ยเลียปาก? ปล.ชัดเจน! เมื่อ 3 ปีก่อน ปูตินพูดชัด "ไม่ยึด แต่จะทำลายให้สิ้นซาก" คราวนั้นหลายคนเข้าใจว่ายูเครน แต่วันนี้ ถึงบางอ้อ ปูตินหมายหัว "ยุโรปจ๊ะ" เพราะเนื้อแท้แล้ว เพราะมีพวกมรึง ก็จะมียูเครน 2..3..4 ไม่สิ้นสุด แล้วทำไม ไม่จัดการที่ต้นตอเลยล่ะ แผนถึงถูกออกแบบมาเพื่อดันเบลารุสขึ้นแท่นหัวหมู่ทะลวงฟัน ISKANDER ใช่ว่าจะให้ใครไปง่ายๆ หากไม่มั่นใจ และซี๊ปึกกันจริง วันนี้ เป็นที่ประจักษ์ WAGNER อยู่กันเต็มแผ่นดินอีโปล ตามพรมแดนเพี๊ยบ เพื่อเปิดทาง ปูทางให้ กองทัพ Z ดาหน้าเข้ายึดยุโรปในไม่ช้านี้ จับตาให้ดีดี ปูติน เคยพูดอะไรไว้ แล้วทำได้จริงเสมอ อีโง่ยุโรป ดิ้นให้ตาย หมาก็ไม่แล เหี้ยวอชิงตัน มันถูกปูตินสะกดไว้แล้วที่อลาสก้า "อย่าเสือก" ยุ่งเมื่อไหร่ ถึงวอชิงตันแน่ มรึงกล้าวัดมั้ยล่ะ? เมื่อรัสเซียบุกยึดยุโรป แล้วโลกอาหรับ บุกขยี้เยรูซาเล็ม เป็นจังหวะเดียวที่จีนจะดาหน้าปูพรมยึดไต้หวัน ถามว่า อะไรจะเกิดขึ้น? อเมริกาจะไม่เสือกเพราะถังแตก และรอดูผลลัพธ์ กูไม่ต้องเหนื่อย มีคนขยี้อียิวและยุดรปให้กูฟรีๆ แต่ช้าก่อน เค้าอ่านมรึงทะลุ สุดท้ายมรึงก็ต้องมาเอี่ยวอยู่ดี เพราะเค้าจ้องหลังบ้านมรึงแล้วไงล่ะ ทันที ที่วอชิงตันแตก มันคือโอกาสทองที่ปูตินจะเข้ายึดอลาสก้า ดินแดนที่เป็นของรัสเซียเก่า โดยอ้างว่ายังมีชาวพื้นเมืองรัสเซียอยู่ที่นั่น ต้องการแยกตัวกลับบ้าน แผนนี้จะใช้เมื่อเหี้ยไม่ตกลงยอมขายแต่โดยดี สงครามไม่ต้องการเหตุผล ทุกอย่างวัดกันที่ปากกระบอกปืน ใครใหญ่กว่าก็งาบไปแดร๊ก โลกเรียนรู้จากสิ่งนี้มาเป็น 1000 ปีแล้ว สงครามจะกระจายไปทั่วโลก แต่จะไม่บ้าคลั่งเท่า WWII จะไม่มีการใช้นุ๊กจริง ใช้แค่มินิคุ๊กกี้ ตามพื้นที่จำเพาะแต่ละเป้าหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงความวินาศฉิบหายทั้งโลก ไอ้สัส! แค่มินิคุ๊กกี้ ก็อ่วมแล้วน่ะมรึง เพราะขนาดความเสียหาย มันแรงกว่าที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ ซะอีก แค่มลพิษน้อยกว่าเท่านั้นเอง แต่อาวุธร้ายรัสเซีย ไม่ใช่แบบนั้น มันจ้องทำลายโสตประสาทของมนุษย์ พิการทั้งกองทัพ แบบที่ทหารอเมริกันโดนมาแล้วหลายพันตัว อยากรู้ให้ไปถามที่สวนสัตว์มอสโคว์ หมี CNN(อะไรน่ะ อียิวเตรียมใช้เสียงเลเซอร์ยิงสกัดไฮเปอร์โซนิค อ๋อเหรอ? มีเท่าไหร่กันล่ะ ยิงได้จริงเหรอ รัศมีทำการแค่ไหน อะไรที่มรึงมี รัสเซีย จีน อิหร่าน แม้แต่โสมแดงก็มี ไอ้ควาย? ทำไม หน่วยข่าวกรองเค้าจะไม่รู้ ว่ามรึงมีของเหี้ยอะไรอีก ระยะคือข้อจำกัดของเลเซอร์ยิว ระบบดาวเทียมนำร่องสั่งการ คือคีย์ของการทำงานทั้งระบบ แค่จัดสัญญาน GPS มรึง คือจบทันที และหากจะล่อจริง เค้าใช้ ไฮเปอร์โซนิค15 มัคขึ้นไป มรึงยิงยังไงก็ไม่ทัน เพราะมันมีปล่อยลูกหลอกด้วยไงล่ะ มรึงมีปัญญายิงพร้อมกัน 5 เป้าหมายมั้ยล่ะ? จุดอ่อนเพี๊ยบ มันใช้ได้กับโดรน เพื่อกวาด แต่ใช้กับไฮเปอร์โซนิคจริงยาก เค้าคำนวณกันมาก่อนแล้ว ไอ้ควาย) 19 กันยายน 68 09.30 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    1 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA

    ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร

    เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์

    ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์

    แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต

    นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV
    ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร
    สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี

    ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray
    ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล
    สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย

    พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD)
    เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ
    ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV
    ลดความซับซ้อนของระบบออปติก
    อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV
    แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม
    กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้
    วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray
    ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    📰 Soft X-Ray Lithography กับความหวังใหม่ของการผลิตชิประดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร — เทคโนโลยี B-EUV กำลังท้าทาย EUV รุ่น Hyper-NA ในโลกของการผลิตชิปที่เล็กลงเรื่อย ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นั่นคือ “Beyond EUV” หรือ B-EUV ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ในช่วง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่นสั้นเพียง 6.5–6.7 นาโนเมตร เพื่อสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนที่ละเอียดระดับต่ำกว่า 5 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการแทนที่ EUV แบบ Hyper-NA ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะสามารถผลิตชิปรุ่น 2 นาโนเมตรได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบออปติกที่ซับซ้อนและมีราคาสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ ทีมวิจัยของศาสตราจารย์ Michael Tsapatsis ได้ค้นพบว่าโลหะอย่าง “สังกะสี” สามารถดูดซับแสง Soft X-ray และปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีในสารอินทรีย์ที่เรียกว่า “อิมิดาโซล” ซึ่งเป็นวัสดุเรซิสต์ชนิดใหม่ที่สามารถสร้างลวดลายบนแผ่นซิลิคอนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ชื่อว่า “Chemical Liquid Deposition” (CLD) ที่สามารถเคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบวัสดุเรซิสต์แบบใหม่ได้รวดเร็วขึ้น และอาจนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์ แม้เทคโนโลยี B-EUV จะยังอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่มีเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง แต่การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาวัสดุเรซิสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการผลิตชิปขนาดเล็กในอนาคต ✅ นักวิจัยจาก Johns Hopkins พัฒนาเทคโนโลยี B-EUV ➡️ ใช้แสง Soft X-ray ที่มีความยาวคลื่น 6.5–6.7 นาโนเมตร ➡️ สามารถสร้างลวดลายบนชิปที่เล็กกว่า 5 นาโนเมตรได้ในทางทฤษฎี ✅ ค้นพบวัสดุเรซิสต์ใหม่ที่ตอบสนองต่อแสง Soft X-ray ➡️ ใช้โลหะอย่างสังกะสีร่วมกับสารอินทรีย์อิมิดาโซล ➡️ สังกะสีปล่อยอิเล็กตรอนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นในการสร้างลวดลาย ✅ พัฒนาเทคนิค Chemical Liquid Deposition (CLD) ➡️ เคลือบฟิล์มบางระดับนาโนเมตรได้อย่างแม่นยำ ➡️ ช่วยให้ทดสอบวัสดุเรซิสต์ใหม่ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ✅ B-EUV มีศักยภาพในการแทนที่ Hyper-NA EUV ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบออปติก ➡️ อาจช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเทคโนโลยี B-EUV ⛔ แหล่งกำเนิดแสง Soft X-ray ยังไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม ⛔ กระจกสะท้อนแสงสำหรับช่วงคลื่นนี้ยังไม่สามารถผลิตได้ ⛔ วัสดุเรซิสต์ทั่วไปไม่ตอบสนองต่อพลังงานโฟตอนสูงของ Soft X-ray ⛔ ยังไม่มีระบบ ecosystem ที่รองรับการผลิตแบบ B-EUV อย่างเต็มรูปแบบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/beyond-euv-chipmaking-tech-pushes-soft-x-ray-lithography-closer-to-challenging-hyper-na-euv-b-euv-uses-new-resist-chemistry-to-make-smaller-chips
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน”

    ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU

    หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ

    ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี
    ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
    โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa
    แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร

    กระบวนการผลิตและทีมวิจัย
    สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂
    เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
    ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue
    ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ
    ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ
    เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป
    การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน

    https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    🍇 “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน” ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี ➡️ ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ➡️ โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa ➡️ แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ✅ กระบวนการผลิตและทีมวิจัย ➡️ สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂ ➡️ เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ➡️ ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue ➡️ ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ ➡️ ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ ➡️ เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป ➡️ การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    WWW.SDSTATE.EDU
    Can grapevines help slow the plastic waste problem?
    A new study from South Dakota State University reveals how grapevine canes can be converted into plastic-like material that is stronger than traditional plastic and will decompose in the environment in a relatively short amount of time.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • “หัวใจวายอาจไม่ใช่แค่เรื่องไขมัน — งานวิจัยใหม่ชี้ ‘โรคติดเชื้อ’ อาจเป็นต้นเหตุที่ซ่อนอยู่”

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tampere และ Oulu ประเทศฟินแลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford สหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย (myocardial infarction) ไปอย่างสิ้นเชิง โดยพบหลักฐานว่า “การติดเชื้อ” อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจวายได้จริง

    จากการศึกษาชิ้นนี้ นักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) มีคราบไขมัน (atherosclerotic plaque) ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือด ซึ่งภายในคราบนั้นมี “biofilm” หรือแผ่นฟิล์มแบคทีเรียที่ซ่อนตัวอยู่แบบไม่แสดงอาการมานานหลายปี โดยแบคทีเรียเหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันและยาปฏิชีวนะได้ เพราะ biofilm มีโครงสร้างที่หนาแน่นและป้องกันการเข้าถึง

    เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกอื่น ๆ biofilm จะถูกกระตุ้นให้ปล่อยแบคทีเรียออกมา ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้คราบไขมันแตกออก เกิดลิ่มเลือด และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ นักวิจัยสามารถตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปาก เช่น viridans streptococci ในคราบไขมันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากหัวใจวาย และผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานโดยตรงครั้งแรกที่เชื่อมโยงแบคทีเรียกับโรคหัวใจ

    การค้นพบนี้เปิดทางให้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต และอาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจอย่างสิ้นเชิง

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    พบ biofilm แบคทีเรียในคราบไขมันหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคหัวใจ
    แบคทีเรียใน biofilm อยู่ในสภาพไม่แสดงอาการ และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน
    การติดเชื้อไวรัสสามารถกระตุ้นให้ biofilm ปล่อยแบคทีเรียออกมา
    การอักเสบจากแบคทีเรียทำให้คราบไขมันแตก และเกิดลิ่มเลือด

    การตรวจสอบและหลักฐาน
    ตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปากในคราบไขมันของผู้ป่วย
    ใช้เทคนิค immunostaining และ genome-wide analysis เพื่อยืนยันผล
    พบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันผ่านตัวรับ TLR2 ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
    การศึกษาครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากหัวใจวาย 121 ราย และผู้ป่วยผ่าตัดหลอดเลือด 96 ราย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Biofilm เป็นโครงสร้างที่แบคทีเรียใช้ป้องกันตัวจากยาปฏิชีวนะและภูมิคุ้มกัน
    Viridans streptococci เป็นแบคทีเรียที่พบทั่วไปในช่องปาก แต่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้
    แนวคิดว่าโรคหัวใจอาจเกิดจากการติดเชื้อมีการถกเถียงมาตั้งแต่ยุค 1980s
    หากพัฒนาเป็นวัคซีนได้ อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในระดับประชากร

    https://www.tuni.fi/en/news/myocardial-infarction-may-be-infectious-disease
    🦠 “หัวใจวายอาจไม่ใช่แค่เรื่องไขมัน — งานวิจัยใหม่ชี้ ‘โรคติดเชื้อ’ อาจเป็นต้นเหตุที่ซ่อนอยู่” ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Tampere และ Oulu ประเทศฟินแลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford สหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย (myocardial infarction) ไปอย่างสิ้นเชิง โดยพบหลักฐานว่า “การติดเชื้อ” อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจวายได้จริง จากการศึกษาชิ้นนี้ นักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) มีคราบไขมัน (atherosclerotic plaque) ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือด ซึ่งภายในคราบนั้นมี “biofilm” หรือแผ่นฟิล์มแบคทีเรียที่ซ่อนตัวอยู่แบบไม่แสดงอาการมานานหลายปี โดยแบคทีเรียเหล่านี้สามารถหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันและยาปฏิชีวนะได้ เพราะ biofilm มีโครงสร้างที่หนาแน่นและป้องกันการเข้าถึง เมื่อมีการติดเชื้อไวรัสหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกอื่น ๆ biofilm จะถูกกระตุ้นให้ปล่อยแบคทีเรียออกมา ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้คราบไขมันแตกออก เกิดลิ่มเลือด และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด สิ่งที่น่าทึ่งคือ นักวิจัยสามารถตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปาก เช่น viridans streptococci ในคราบไขมันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากหัวใจวาย และผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานโดยตรงครั้งแรกที่เชื่อมโยงแบคทีเรียกับโรคหัวใจ การค้นพบนี้เปิดทางให้มีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต และอาจเปลี่ยนแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจอย่างสิ้นเชิง ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ พบ biofilm แบคทีเรียในคราบไขมันหลอดเลือดของผู้ป่วยโรคหัวใจ ➡️ แบคทีเรียใน biofilm อยู่ในสภาพไม่แสดงอาการ และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ➡️ การติดเชื้อไวรัสสามารถกระตุ้นให้ biofilm ปล่อยแบคทีเรียออกมา ➡️ การอักเสบจากแบคทีเรียทำให้คราบไขมันแตก และเกิดลิ่มเลือด ✅ การตรวจสอบและหลักฐาน ➡️ ตรวจพบ DNA ของแบคทีเรียจากช่องปากในคราบไขมันของผู้ป่วย ➡️ ใช้เทคนิค immunostaining และ genome-wide analysis เพื่อยืนยันผล ➡️ พบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันผ่านตัวรับ TLR2 ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ➡️ การศึกษาครอบคลุมผู้เสียชีวิตจากหัวใจวาย 121 ราย และผู้ป่วยผ่าตัดหลอดเลือด 96 ราย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Biofilm เป็นโครงสร้างที่แบคทีเรียใช้ป้องกันตัวจากยาปฏิชีวนะและภูมิคุ้มกัน ➡️ Viridans streptococci เป็นแบคทีเรียที่พบทั่วไปในช่องปาก แต่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ ➡️ แนวคิดว่าโรคหัวใจอาจเกิดจากการติดเชื้อมีการถกเถียงมาตั้งแต่ยุค 1980s ➡️ หากพัฒนาเป็นวัคซีนได้ อาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในระดับประชากร https://www.tuni.fi/en/news/myocardial-infarction-may-be-infectious-disease
    WWW.TUNI.FI
    Myocardial infarction may be an infectious disease | Tampere universities
    A pioneering study by researchers from Finland and the UK has demonstrated for the first time that myocardial infarction may be an infectious disease. This discovery challenges the conventional und...
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเทปแม่เหล็กถึงเทปพันธุกรรม: เมื่อ DNA กลายเป็นสื่อบันทึกข้อมูลแห่งอนาคต

    ทีมนักวิจัยจาก SUSTech และ Shanghai Jiao Tong University ได้พัฒนา “DNA cassette tape drive” ที่รวมความทนทานของ DNA เข้ากับความสามารถในการจัดการของเทปแม่เหล็กแบบเก่า โดยใช้เส้นฟิล์มโพลีเอสเตอร์-ไนลอนขนาด 3.5 มม. ที่มีบาร์โค้ดความหนาแน่นสูงเป็นตำแหน่งไฟล์ และสามารถหมุนได้เหมือนเทปจริง

    ข้อมูลถูกเข้ารหัสลงในสาย DNA สังเคราะห์ แล้วบรรจุลงในเทปผ่านระบบจัดการของเหลวภายในเครื่องขนาดเท่ากล่องข้าว ซึ่งมีมอเตอร์, ไมโครคอนโทรลเลอร์ และเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบออปติคัล การอ่านข้อมูลใช้การ sequencing ส่วนการเขียนใช้การสังเคราะห์ DNA ซึ่งยังช้าอยู่มาก—ไฟล์ขนาด 156.6KB ใช้เวลาอ่าน 25 นาที และเขียนอีก 50 นาที

    แม้ความเร็วจะยังต่ำ แต่ความทนทานของระบบนี้ถือว่าน่าทึ่ง: DNA ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือก ZIF (zeolitic imidazolate framework) ที่ป้องกันน้ำ, รังสี UV และการออกซิเดชัน ทำให้สามารถเก็บไว้ได้กว่า 300 ปีที่อุณหภูมิห้อง และหลายหมื่นปีในที่เย็น

    ในเชิงทฤษฎี เทปขนาด 1 กิโลเมตรสามารถมี partition ได้มากกว่า 500,000 จุด และแต่ละจุดเก็บข้อมูลได้ครึ่งเทราไบต์ ทำให้ความหนาแน่นรวมสูงถึง 362 เพตะไบต์ต่อกิโลเมตร ซึ่งเหนือกว่าสื่อบันทึกใด ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    แนวคิดและการออกแบบ DNA Tape Drive
    ใช้เทปโพลีเอสเตอร์-ไนลอนขนาด 3.5 มม. พร้อมบาร์โค้ดเป็นตำแหน่งไฟล์
    ข้อมูลถูกเข้ารหัสลงใน DNA สังเคราะห์และบรรจุผ่านระบบของเหลว
    เครื่องอ่านมีขนาดเท่ากล่องข้าว พร้อมมอเตอร์และ optical reader

    ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล
    เทปขนาด 9 เมตรมี 5,000 track และสามารถ scale ได้ถึง 500,000 track ต่อกิโลเมตร
    ความหนาแน่นสูงสุด 362 PB ต่อกิโลเมตร
    แต่ในการทดลองจริง เขียนได้เพียง 156.6KB ต่อชั่วโมง

    ความทนทานของ DNA Storage
    DNA ถูกห่อด้วยเปลือก ZIF ที่ป้องกันน้ำ, UV และออกซิเดชัน
    อายุการเก็บรักษา >300 ปีที่อุณหภูมิห้อง และหลายหมื่นปีในที่เย็น
    เปลือกสามารถลอกและใส่ใหม่ได้โดยไม่ทำลาย DNA

    ข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง
    สามารถค้นหา track ได้ถึง 1,570 ตำแหน่งต่อวินาที
    มีความสามารถในการ rewrite แบบอัตโนมัติ
    ไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษาเมื่อไม่ใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/dna-cassette-tape
    🎙️ เรื่องเล่าจากเทปแม่เหล็กถึงเทปพันธุกรรม: เมื่อ DNA กลายเป็นสื่อบันทึกข้อมูลแห่งอนาคต ทีมนักวิจัยจาก SUSTech และ Shanghai Jiao Tong University ได้พัฒนา “DNA cassette tape drive” ที่รวมความทนทานของ DNA เข้ากับความสามารถในการจัดการของเทปแม่เหล็กแบบเก่า โดยใช้เส้นฟิล์มโพลีเอสเตอร์-ไนลอนขนาด 3.5 มม. ที่มีบาร์โค้ดความหนาแน่นสูงเป็นตำแหน่งไฟล์ และสามารถหมุนได้เหมือนเทปจริง ข้อมูลถูกเข้ารหัสลงในสาย DNA สังเคราะห์ แล้วบรรจุลงในเทปผ่านระบบจัดการของเหลวภายในเครื่องขนาดเท่ากล่องข้าว ซึ่งมีมอเตอร์, ไมโครคอนโทรลเลอร์ และเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบออปติคัล การอ่านข้อมูลใช้การ sequencing ส่วนการเขียนใช้การสังเคราะห์ DNA ซึ่งยังช้าอยู่มาก—ไฟล์ขนาด 156.6KB ใช้เวลาอ่าน 25 นาที และเขียนอีก 50 นาที แม้ความเร็วจะยังต่ำ แต่ความทนทานของระบบนี้ถือว่าน่าทึ่ง: DNA ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือก ZIF (zeolitic imidazolate framework) ที่ป้องกันน้ำ, รังสี UV และการออกซิเดชัน ทำให้สามารถเก็บไว้ได้กว่า 300 ปีที่อุณหภูมิห้อง และหลายหมื่นปีในที่เย็น ในเชิงทฤษฎี เทปขนาด 1 กิโลเมตรสามารถมี partition ได้มากกว่า 500,000 จุด และแต่ละจุดเก็บข้อมูลได้ครึ่งเทราไบต์ ทำให้ความหนาแน่นรวมสูงถึง 362 เพตะไบต์ต่อกิโลเมตร ซึ่งเหนือกว่าสื่อบันทึกใด ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ✅ แนวคิดและการออกแบบ DNA Tape Drive ➡️ ใช้เทปโพลีเอสเตอร์-ไนลอนขนาด 3.5 มม. พร้อมบาร์โค้ดเป็นตำแหน่งไฟล์ ➡️ ข้อมูลถูกเข้ารหัสลงใน DNA สังเคราะห์และบรรจุผ่านระบบของเหลว ➡️ เครื่องอ่านมีขนาดเท่ากล่องข้าว พร้อมมอเตอร์และ optical reader ✅ ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล ➡️ เทปขนาด 9 เมตรมี 5,000 track และสามารถ scale ได้ถึง 500,000 track ต่อกิโลเมตร ➡️ ความหนาแน่นสูงสุด 362 PB ต่อกิโลเมตร ➡️ แต่ในการทดลองจริง เขียนได้เพียง 156.6KB ต่อชั่วโมง ✅ ความทนทานของ DNA Storage ➡️ DNA ถูกห่อด้วยเปลือก ZIF ที่ป้องกันน้ำ, UV และออกซิเดชัน ➡️ อายุการเก็บรักษา >300 ปีที่อุณหภูมิห้อง และหลายหมื่นปีในที่เย็น ➡️ เปลือกสามารถลอกและใส่ใหม่ได้โดยไม่ทำลาย DNA ✅ ข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง ➡️ สามารถค้นหา track ได้ถึง 1,570 ตำแหน่งต่อวินาที ➡️ มีความสามารถในการ rewrite แบบอัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษาเมื่อไม่ใช้งาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/dna-cassette-tape
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    DNA ‘cassette tape’ research hints at petabyte-scale cartridges and multi-century lifespan on paper — petabytes-per-meter density possible, but today it writes at kilobytes per hour
    Chinese researchers have built a working DNA tape drive with petabyte-scale potential; however, the demo only moved 156KB and took nearly an hour to read.
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • “TSMC พลิกโรงงานเก่า สร้างสายการผลิต EUV Pellicle — ก้าวใหม่สู่การควบคุมคุณภาพชิประดับนาโนเมตร”

    ในโลกของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) คือหัวใจของการสร้างชิประดับ 2 นาโนเมตรและต่ำกว่า แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “pellicle” — แผ่นฟิล์มบางใสที่ยืดอยู่เหนือ photomask เพื่อป้องกันฝุ่นและอนุภาคระหว่างการยิงแสง EUV ซึ่งหากไม่มี pellicle อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำซ้อนบนแผ่นเวเฟอร์ และลด yield อย่างรุนแรง

    ล่าสุด TSMC ได้ประกาศนำโรงงานเก่า Fab 3 ขนาด 8 นิ้วใน Hsinchu Science Park กลับมาใช้งานใหม่ เพื่อผลิต EUV pellicle ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกอีกต่อไป เป้าหมายคือการลดต้นทุนต่อชิ้น เพิ่มความสามารถในการควบคุมคุณภาพ และทำให้การใช้งาน pellicle ในระดับ mass production เป็นไปได้จริง

    Pellicle สำหรับ EUV มีราคาสูงถึง $30,000 ต่อชิ้น เทียบกับ pellicle สำหรับ DUV ที่มีราคาเพียง $600 ซึ่งทำให้หลายโรงงานลังเลที่จะใช้แบบครอบคลุม ส่งผลให้เกิดช่องว่างด้าน yield ในบางกรณี TSMC จึงต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยน pellicle เพื่อรักษาคุณภาพ photomask ให้สูงสุด

    หนึ่งในเทคโนโลยีที่ TSMC กำลังพัฒนา คือการใช้ “carbon nanotube membrane” ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนสูง โปร่งแสง และไม่บิดเบือนคลื่นแสง — เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีแสง EUV ความเข้มสูงถึง 400W และอุณหภูมิใกล้ 1,000°C

    การผลิต pellicle ภายในยังสอดคล้องกับการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี N2 และ A16 ของ TSMC ซึ่งต้องการ yield ที่สูงขึ้นเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดชิประดับนาโนเมตร และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเชนภายนอก

    การปรับโรงงาน Fab 3 เพื่อผลิต EUV pellicle
    TSMC นำโรงงานเก่าขนาด 8 นิ้วกลับมาใช้งานใน Hsinchu Science Park
    เป้าหมายคือผลิต pellicle สำหรับ EUV lithography ด้วยตนเอง
    ลดต้นทุนต่อชิ้น และเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยนเพื่อรักษาคุณภาพ
    เพิ่มความสามารถในการควบคุม yield และลดการพึ่งพาซัพพลายภายนอก

    ความสำคัญของ pellicle ใน EUV
    ป้องกันฝุ่นและอนุภาคจาก photomask ระหว่างการยิงแสง
    ลดความเสี่ยงในการเกิด defect ซ้ำซ้อนบนเวเฟอร์
    EUV ใช้แหล่งแสง 400W และอุณหภูมิสูงถึง 1,000°C
    pellicle ต้องทนความร้อนและไม่บิดเบือนคลื่นแสง

    เทคโนโลยีใหม่ที่ TSMC กำลังพัฒนา
    ใช้ carbon nanotube membrane ที่โปร่งแสงและทนทาน
    ลด optical absorption และ wavefront distortion
    รองรับการใช้งานใน N2 และ A16 node ที่ต้องการ yield สูง
    เป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับ Intel และ Rapidus ในระดับ 2nm

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASML เคยเป็นผู้ผลิต pellicle รายเดียว แต่เริ่มถ่ายโอนให้ Mitsui
    EUV pellicle เคยไม่พร้อมใช้งานในช่วงเริ่มต้น 7nm ทำให้ yield ต่ำ
    ราคาของ photomask EUV สูงถึง $300,000 — ต้องการการปกป้องที่ดี
    การใช้ pellicle ช่วยลดความต้องการ metrology และการตรวจสอบ defect

    https://www.techpowerup.com/340862/tsmc-repurposing-old-fabs-to-bring-euv-pellicle-production-in-house
    🔬 “TSMC พลิกโรงงานเก่า สร้างสายการผลิต EUV Pellicle — ก้าวใหม่สู่การควบคุมคุณภาพชิประดับนาโนเมตร” ในโลกของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เทคโนโลยี EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) คือหัวใจของการสร้างชิประดับ 2 นาโนเมตรและต่ำกว่า แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “pellicle” — แผ่นฟิล์มบางใสที่ยืดอยู่เหนือ photomask เพื่อป้องกันฝุ่นและอนุภาคระหว่างการยิงแสง EUV ซึ่งหากไม่มี pellicle อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำซ้อนบนแผ่นเวเฟอร์ และลด yield อย่างรุนแรง ล่าสุด TSMC ได้ประกาศนำโรงงานเก่า Fab 3 ขนาด 8 นิ้วใน Hsinchu Science Park กลับมาใช้งานใหม่ เพื่อผลิต EUV pellicle ด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกอีกต่อไป เป้าหมายคือการลดต้นทุนต่อชิ้น เพิ่มความสามารถในการควบคุมคุณภาพ และทำให้การใช้งาน pellicle ในระดับ mass production เป็นไปได้จริง Pellicle สำหรับ EUV มีราคาสูงถึง $30,000 ต่อชิ้น เทียบกับ pellicle สำหรับ DUV ที่มีราคาเพียง $600 ซึ่งทำให้หลายโรงงานลังเลที่จะใช้แบบครอบคลุม ส่งผลให้เกิดช่องว่างด้าน yield ในบางกรณี TSMC จึงต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยน pellicle เพื่อรักษาคุณภาพ photomask ให้สูงสุด หนึ่งในเทคโนโลยีที่ TSMC กำลังพัฒนา คือการใช้ “carbon nanotube membrane” ซึ่งมีคุณสมบัติทนความร้อนสูง โปร่งแสง และไม่บิดเบือนคลื่นแสง — เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีแสง EUV ความเข้มสูงถึง 400W และอุณหภูมิใกล้ 1,000°C การผลิต pellicle ภายในยังสอดคล้องกับการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี N2 และ A16 ของ TSMC ซึ่งต้องการ yield ที่สูงขึ้นเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดชิประดับนาโนเมตร และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเชนภายนอก ✅ การปรับโรงงาน Fab 3 เพื่อผลิต EUV pellicle ➡️ TSMC นำโรงงานเก่าขนาด 8 นิ้วกลับมาใช้งานใน Hsinchu Science Park ➡️ เป้าหมายคือผลิต pellicle สำหรับ EUV lithography ด้วยตนเอง ➡️ ลดต้นทุนต่อชิ้น และเพิ่มความถี่ในการเปลี่ยนเพื่อรักษาคุณภาพ ➡️ เพิ่มความสามารถในการควบคุม yield และลดการพึ่งพาซัพพลายภายนอก ✅ ความสำคัญของ pellicle ใน EUV ➡️ ป้องกันฝุ่นและอนุภาคจาก photomask ระหว่างการยิงแสง ➡️ ลดความเสี่ยงในการเกิด defect ซ้ำซ้อนบนเวเฟอร์ ➡️ EUV ใช้แหล่งแสง 400W และอุณหภูมิสูงถึง 1,000°C ➡️ pellicle ต้องทนความร้อนและไม่บิดเบือนคลื่นแสง ✅ เทคโนโลยีใหม่ที่ TSMC กำลังพัฒนา ➡️ ใช้ carbon nanotube membrane ที่โปร่งแสงและทนทาน ➡️ ลด optical absorption และ wavefront distortion ➡️ รองรับการใช้งานใน N2 และ A16 node ที่ต้องการ yield สูง ➡️ เป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับ Intel และ Rapidus ในระดับ 2nm ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASML เคยเป็นผู้ผลิต pellicle รายเดียว แต่เริ่มถ่ายโอนให้ Mitsui ➡️ EUV pellicle เคยไม่พร้อมใช้งานในช่วงเริ่มต้น 7nm ทำให้ yield ต่ำ ➡️ ราคาของ photomask EUV สูงถึง $300,000 — ต้องการการปกป้องที่ดี ➡️ การใช้ pellicle ช่วยลดความต้องการ metrology และการตรวจสอบ defect https://www.techpowerup.com/340862/tsmc-repurposing-old-fabs-to-bring-euv-pellicle-production-in-house
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Repurposing Old Fabs to Bring EUV Pellicle Production In-House
    TSMC is repurposing its old, wound-down, 8-inch Fab 3 in Hsinchu Science Park to produce extreme ultraviolet pellicles, bringing this production in-house. An EUV pellicle is a thin, highly transparent membrane stretched above a photomask to prevent particles from contacting the mask during EUV expos...
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล

    Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ

    เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง

    การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด

    Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน

    เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน
    ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง
    ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2
    บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง
    ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient
    ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation
    resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing
    demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array
    ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing
    ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว
    แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้
    ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี
    ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks
    ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา
    strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ
    Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย
    KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
    Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing
    patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D
    Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ

    https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    🎙️ กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน ➡️ ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง ➡️ ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 ➡️ บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง ➡️ ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient ➡️ ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation ➡️ resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing ➡️ demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array ➡️ ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing ➡️ ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว ➡️ แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้ ➡️ ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี ➡️ ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks ➡️ ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา ➡️ strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ ➡️ Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย ➡️ KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ➡️ Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing ➡️ patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D ➡️ Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    DANIEL.LAWRENCE.LU
    Line scan camera image processing
    I use my line scan camera to take cool pictures of trains and other stuff.
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • จากเส้นผมสู่ยาสีฟัน: นวัตกรรมซ่อมฟันด้วยเคราติน

    ลองจินตนาการว่าเส้นผมของคุณ—สิ่งที่มักถูกตัดทิ้ง—สามารถกลายเป็นยาสีฟันที่ช่วยซ่อมแซมฟันที่สึกกร่อนได้ นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก King’s College London ค้นพบ

    พวกเขาใช้ “เคราติน” ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผม หนัง และขนสัตว์ มาสกัดและพัฒนาเป็นฟิล์มบาง ๆ ที่เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟันตามธรรมชาติ

    เคลือบฟันจริงไม่สามารถงอกใหม่ได้ เมื่อเสียไปก็หายไปตลอด แต่เคราตินสามารถสร้างชั้นป้องกันที่แน่นหนา ปิดช่องประสาทที่ทำให้ฟันเสียว และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างฟันโดยไม่ต้องอุดหรือครอบฟัน

    นวัตกรรมนี้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบยาสีฟันสำหรับใช้ทุกวัน หรือเจลเฉพาะจุดที่ทันตแพทย์จะใช้ในคลินิก และคาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปีข้างหน้า

    นอกจากจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เคราตินยังเป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพลาสติกหรือเรซินที่อาจเป็นพิษ และยังให้สีที่ใกล้เคียงกับฟันจริงมากกว่า

    การค้นพบใหม่จาก King’s College London
    เคราตินจากผมสามารถสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟัน
    เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะเกิดการรวมตัวของแคลเซียมและฟอสเฟต
    ช่วยปิดช่องประสาท ลดอาการเสียวฟัน และป้องกันการสึกกร่อน
    ใช้ได้ทั้งแบบยาสีฟันประจำวัน และเจลเฉพาะจุดในคลินิก
    คาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปี
    เคราตินให้สีใกล้เคียงฟันจริงมากกว่าพลาสติกเรซิน
    เป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน สกัดจากของเสียชีวภาพ เช่น ผมและขนสัตว์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การซ่อมฟันด้วยเคราตินใช้หลัก “biomineralization” ซึ่งเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติ
    เคราตินถูกใช้ในวงการแพทย์มาก่อน เช่น แผลผ่าตัดและวัสดุปลูกถ่าย
    ฟันที่เสียหายจาก “white spot lesions” สามารถฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องเจาะ
    การใช้เคราตินช่วยลดการพึ่งพาเรซินที่อาจปล่อยสารพิษ
    การผลิตในระดับอุตสาหกรรมต้องมีระบบจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ
    การยอมรับจากผู้บริโภคอาจขึ้นอยู่กับการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มา

    https://www.kcl.ac.uk/news/toothpaste-made-from-hair-provides-natural-root-to-repair-teeth
    🧪 จากเส้นผมสู่ยาสีฟัน: นวัตกรรมซ่อมฟันด้วยเคราติน ลองจินตนาการว่าเส้นผมของคุณ—สิ่งที่มักถูกตัดทิ้ง—สามารถกลายเป็นยาสีฟันที่ช่วยซ่อมแซมฟันที่สึกกร่อนได้ นั่นคือสิ่งที่นักวิจัยจาก King’s College London ค้นพบ พวกเขาใช้ “เคราติน” ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผม หนัง และขนสัตว์ มาสกัดและพัฒนาเป็นฟิล์มบาง ๆ ที่เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟันตามธรรมชาติ เคลือบฟันจริงไม่สามารถงอกใหม่ได้ เมื่อเสียไปก็หายไปตลอด แต่เคราตินสามารถสร้างชั้นป้องกันที่แน่นหนา ปิดช่องประสาทที่ทำให้ฟันเสียว และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างฟันโดยไม่ต้องอุดหรือครอบฟัน นวัตกรรมนี้สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบยาสีฟันสำหรับใช้ทุกวัน หรือเจลเฉพาะจุดที่ทันตแพทย์จะใช้ในคลินิก และคาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปีข้างหน้า นอกจากจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เคราตินยังเป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพลาสติกหรือเรซินที่อาจเป็นพิษ และยังให้สีที่ใกล้เคียงกับฟันจริงมากกว่า ✅ การค้นพบใหม่จาก King’s College London ➡️ เคราตินจากผมสามารถสร้างโครงสร้างผลึกคล้ายเคลือบฟัน ➡️ เมื่อสัมผัสกับแร่ธาตุในน้ำลาย จะเกิดการรวมตัวของแคลเซียมและฟอสเฟต ➡️ ช่วยปิดช่องประสาท ลดอาการเสียวฟัน และป้องกันการสึกกร่อน ➡️ ใช้ได้ทั้งแบบยาสีฟันประจำวัน และเจลเฉพาะจุดในคลินิก ➡️ คาดว่าจะวางจำหน่ายภายใน 2–3 ปี ➡️ เคราตินให้สีใกล้เคียงฟันจริงมากกว่าพลาสติกเรซิน ➡️ เป็นวัสดุชีวภาพที่ยั่งยืน สกัดจากของเสียชีวภาพ เช่น ผมและขนสัตว์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การซ่อมฟันด้วยเคราตินใช้หลัก “biomineralization” ซึ่งเลียนแบบกระบวนการธรรมชาติ ➡️ เคราตินถูกใช้ในวงการแพทย์มาก่อน เช่น แผลผ่าตัดและวัสดุปลูกถ่าย ➡️ ฟันที่เสียหายจาก “white spot lesions” สามารถฟื้นฟูได้โดยไม่ต้องเจาะ ➡️ การใช้เคราตินช่วยลดการพึ่งพาเรซินที่อาจปล่อยสารพิษ ➡️ การผลิตในระดับอุตสาหกรรมต้องมีระบบจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ ➡️ การยอมรับจากผู้บริโภคอาจขึ้นอยู่กับการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มา https://www.kcl.ac.uk/news/toothpaste-made-from-hair-provides-natural-root-to-repair-teeth
    WWW.KCL.AC.UK
    Toothpaste made from hair provides natural root to repair teeth
    Toothpaste made from your own hair may offer a sustainable and clinically effective way to protect and repair damaged teeth.
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • 🙏🏻 คุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ว่า “สองวันก่อนผมพา ศักดิ์ดา ภู่กนก ศิลปินช่างขยายภาพฟิล์มกระจกซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าของผมสมัยที่เรียนที่โรงเรียน ภปร ราชวิทยาลัยด้วยกัน นำภาพพระฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถ่ายก่อนจะทรงสวรรคตราวหนึ่งสัปดาห์ ไปมอบให้คุณสนธิ และอาจารย์ปานเทพ เพื่อเป็นกำลังใจและศิริมงคลแก่คณะทำงานยามเฝ้าแผ่นดินที่อุทิศกายใจในการปกป้องประเทศชาติอย่างเต็มสติปัญญาและพละกำลังในขณะนี้.วันนี้นำภาพพระฉายที่ใส่กรอบแล้วเรียบร้อยไปส่งมอบที่บ้านพระอาทิตย์ ภาพพระฉายรูปนี้มีความหมายยิ่งนัก ทรงฉายขณะที่บ้านเมืองถูกต่างชาติคุกคามไม่ต่างกับเวลานี้และพระองค์ทรงพระประชวรอยู่ด้วยความโทมนัส ในความรู้สึกของผม พระเนตรของพระองค์ทรงมีความเศร้าเนื่องจากจำยอมต้องเสียดินแดนไปในเวลานั้น .ภาพนี้ขยายจากฟิล์มกระจกต้นฉบับ คมชัดราวมีชีวิต ใครที่เห็นด้วยตาตนเองจะรู้สึกได้ถึงพระบารมีของพระองค์ท่าน.ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านปกป้องชาติของเราให้รอดพ้นจากพวกชั่วช้าที่จ้องทำลายอยู่ในขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า.ขอบคุณพี่หมี น้องก้อย น้องอ๋อย อ.ต่อ ที่มาช่วยกันทำให้งานสำเร็จลุล่วงยังมีอีกรูปที่มีความสำคัญมาก ต้องทำให้สำเร็จhttps://www.facebook.com/share/p/1BvsWVxCho/?mibextid=wwXIfr .
    🙏🏻 คุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ว่า “สองวันก่อนผมพา ศักดิ์ดา ภู่กนก ศิลปินช่างขยายภาพฟิล์มกระจกซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าของผมสมัยที่เรียนที่โรงเรียน ภปร ราชวิทยาลัยด้วยกัน นำภาพพระฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถ่ายก่อนจะทรงสวรรคตราวหนึ่งสัปดาห์ ไปมอบให้คุณสนธิ และอาจารย์ปานเทพ เพื่อเป็นกำลังใจและศิริมงคลแก่คณะทำงานยามเฝ้าแผ่นดินที่อุทิศกายใจในการปกป้องประเทศชาติอย่างเต็มสติปัญญาและพละกำลังในขณะนี้.วันนี้นำภาพพระฉายที่ใส่กรอบแล้วเรียบร้อยไปส่งมอบที่บ้านพระอาทิตย์ ภาพพระฉายรูปนี้มีความหมายยิ่งนัก ทรงฉายขณะที่บ้านเมืองถูกต่างชาติคุกคามไม่ต่างกับเวลานี้และพระองค์ทรงพระประชวรอยู่ด้วยความโทมนัส ในความรู้สึกของผม พระเนตรของพระองค์ทรงมีความเศร้าเนื่องจากจำยอมต้องเสียดินแดนไปในเวลานั้น .ภาพนี้ขยายจากฟิล์มกระจกต้นฉบับ คมชัดราวมีชีวิต ใครที่เห็นด้วยตาตนเองจะรู้สึกได้ถึงพระบารมีของพระองค์ท่าน.ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านปกป้องชาติของเราให้รอดพ้นจากพวกชั่วช้าที่จ้องทำลายอยู่ในขณะนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า.ขอบคุณพี่หมี น้องก้อย น้องอ๋อย อ.ต่อ ที่มาช่วยกันทำให้งานสำเร็จลุล่วงยังมีอีกรูปที่มีความสำคัญมาก ต้องทำให้สำเร็จhttps://www.facebook.com/share/p/1BvsWVxCho/?mibextid=wwXIfr .
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก

    Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน

    ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ

    แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ

    Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน
    ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ
    กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา

    ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์
    ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก
    แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ

    มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก
    ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร
    ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง

    บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด
    ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ
    ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว

    โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก
    มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย
    เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง

    การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน
    ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์
    อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์

    ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง
    การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย
    เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน

    การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ
    หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น
    ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน
    อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ
    ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ

    https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    ☀️ เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อแสงอาทิตย์ถูก “ขาย” หลังพระอาทิตย์ตก Reflect Orbital วางแผนส่งดาวเทียม 57 ดวงขึ้นสู่วงโคจรต่ำ (600 กม.) โดยแต่ละดวงจะกางแผ่นฟิล์ม Mylar ขนาด 33x33 ฟุต ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทาน และสะท้อนแสงได้ดี จุดประสงค์คือสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังฟาร์มโซลาร์หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในเวลากลางคืน ผู้ใช้งานสามารถระบุพิกัดเป้าหมายผ่านเว็บไซต์ และระบบจะปรับทิศทางของกระจกให้สะท้อนแสงไปยังจุดนั้นโดยอัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูง เช่น reaction wheels เพื่อให้แสงตกกระทบอย่างแม่นยำ แม้แนวคิดนี้จะน่าตื่นเต้น แต่ก็เผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรม เช่น การปรับตำแหน่งให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์และการหมุนของโลก รวมถึงผลกระทบจากเมฆและการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ✅ Reflect Orbital พัฒนาเครือข่ายดาวเทียมพร้อมกระจก Mylar เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับมายังโลกในเวลากลางคืน ➡️ ดาวเทียมแต่ละดวงมีน้ำหนักประมาณ 35 ปอนด์ ทำให้ต้นทุนการส่งต่ำ ➡️ กระจก Mylar ขนาด 33x33 ฟุต มีคุณสมบัติสะท้อนแสงสูงและน้ำหนักเบา ✅ ระบบสามารถปรับทิศทางแสงได้ตามพิกัดที่ผู้ใช้ระบุผ่านเว็บไซต์ ➡️ ใช้ระบบควบคุมทิศทางขั้นสูงเพื่อติดตามดวงอาทิตย์และเป้าหมายบนโลก ➡️ แสงจะตกกระทบเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในแนวแคบ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ ✅ มีการทดสอบเบื้องต้นด้วยบอลลูนและกระจกขนาดเล็ก ➡️ ผลการทดลองสามารถผลิตพลังงานได้ถึง 500 วัตต์ต่อตารางเมตร ➡️ ประมาณครึ่งหนึ่งของความสว่างจากดวงอาทิตย์จริง ✅ บริษัทวางแผนปฏิบัติตามกฎการกำจัดขยะอวกาศอย่างเคร่งครัด ➡️ ดาวเทียมต้องถูกนำออกจากวงโคจรภายใน 25 ปีหลังสิ้นสุดภารกิจ ➡️ ลดความเสี่ยงในการเพิ่มขยะอวกาศในระยะยาว ✅ โครงการได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ใช้งานทั่วโลก ➡️ มีผู้ลงทะเบียน “ขอแสง” ผ่านเว็บไซต์แล้วหลายหมื่นราย ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดแบบต่อเนื่อง ‼️ การสะท้อนแสงจากอวกาศอาจเพิ่มปัญหา “มลภาวะทางแสง” ในเวลากลางคืน ⛔ ส่งผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ⛔ อาจรบกวนพฤติกรรมของสัตว์กลางคืนและวงจรชีวภาพของมนุษย์ ‼️ ความแม่นยำในการเล็งแสงต้องใช้เทคโนโลยีควบคุมระดับสูง ⛔ การเบี่ยงเบนเล็กน้อยอาจทำให้แสงไม่ตกตรงเป้าหมาย ⛔ เมฆและชั้นบรรยากาศอาจลดประสิทธิภาพของแสงสะท้อน ‼️ การเพิ่มจำนวนดาวเทียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อขยะอวกาศ ⛔ หากไม่มีการกำจัดอย่างเหมาะสม อาจรบกวนดาวเทียมอื่น ⛔ ต้องมีระบบติดตามและควบคุมการเคลื่อนที่อย่างเข้มงวด ‼️ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังอยู่ระหว่างการประเมิน ⛔ อาจส่งผลต่อระบบนิเวศที่พึ่งพาวงจรแสงธรรมชาติ ⛔ ต้องมีการร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมก่อนการใช้งานเต็มรูปแบบ https://www.techspot.com/news/108849-startup-aims-beam-sunlight-space-using-mirrors.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Startup aims to beam sunlight from space using mirrors
    At the heart of Reflect Orbital's project are its Mylar mirrors. Each satellite will unfurl a 33-by-33-foot sheet of lightweight polyester film known for its durability and...
    0 Comments 0 Shares 345 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป

    Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น:
    - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ
    - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก
    - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่

    ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง
    ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม

    Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น
    ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier
    เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน

    Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง
    ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน

    ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30%
    เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต
    โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์
    ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้

    การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ
    หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก

    การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
    ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง

    ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป
    ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    🎙️ เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น: - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง ➡️ ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม ✅ Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น ➡️ ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier ➡️ เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ✅ Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง ➡️ ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน ✅ ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30% ➡️ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี ✅ Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต ➡️ โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ‼️ Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์ ⛔ ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้ ‼️ การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ ⛔ หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก ‼️ การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ⛔ ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง ‼️ ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป ⛔ ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    NEWS.SAMSUNG.COM
    [Interview] Staying Cool Without Refrigerants: How Samsung Is Pioneering Next-Generation Peltier Cooling
    On June 28, Samsung Electronics, together with the Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory (APL), published a paper on next-generation Peltier
    0 Comments 0 Shares 299 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องวิจัย: แบตเตอรี่กัมมันตรังสีที่อาจไม่ต้องชาร์จอีกเลย

    ทีมนักวิจัยจาก Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology (DGIST) นำโดยศาสตราจารย์ Su-Il In ได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่เรียกว่า “Perovskite Betavoltaic Cell” (PBC) ซึ่งใช้พลังงานจากการสลายตัวของคาร์บอน-14 (Carbon-14) เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องนานหลายสิบปี โดยไม่ต้องชาร์จ

    แบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อนุภาคคาร์บอน-14 ร่วมกับ quantum dots เป็นขั้วไฟฟ้า และเคลือบด้วยฟิล์ม perovskite ที่เสริมความเสถียรด้วยสารเติมแต่งคลอรีนสองชนิด (MACl และ CsCl) เพื่อเพิ่มการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนถึง 56,000 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    แม้จะยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป แต่การออกแบบให้มีคาร์บอน-14 ทั้งขั้วบวกและลบช่วยเพิ่มการแผ่รังสีเบต้าและลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานหลายร้อยปี เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานต่ำแต่ต่อเนื่อง เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ หรืออุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

    ทีมนักวิจัยจาก DGIST พัฒนาแบตเตอรี่แบบ betavoltaic โดยใช้ perovskite
    เป็นการรวม perovskite กับแหล่งพลังงานกัมมันตรังสีเป็นครั้งแรก

    ใช้คาร์บอน-14 ซึ่งปล่อยรังสีเบต้าอย่างปลอดภัย
    ไม่ทะลุผิวหนังและสามารถป้องกันได้ด้วยอะลูมิเนียม

    ฟิล์ม perovskite เสริมด้วย MACl และ CsCl เพื่อเพิ่มความเสถียร
    เพิ่ม electron mobility ได้ถึง 56,000 เท่า

    ใช้ titanium dioxide ร่วมกับ dye ที่ผ่านการบำบัดด้วยกรดซิตริก
    เกิดปฏิกิริยา avalanche ของอิเล็กตรอนเมื่อโดนรังสีเบต้า

    ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานเพิ่มจาก 0.48% เป็น 2.86%
    แม้ยังต่ำ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้

    คาร์บอน-14 เป็นผลพลอยได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    ราคาถูก หาง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

    มีแผนพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ
    “พลังงานนิวเคลียร์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้ว” ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ In

    ประสิทธิภาพยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป
    ต้องปรับปรุงรูปทรงของตัวปล่อยรังสีและตัวดูดซับเพิ่มเติม

    การใช้สารกัมมันตรังสีแม้ปลอดภัย ต้องผ่านการรับรองด้านชีวภาพ
    โดยเฉพาะหากนำไปใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์

    การผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์ยังอยู่ในขั้นต้น
    ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง

    การจัดการคาร์บอน-14 ต้องมีระบบควบคุมที่เข้มงวด
    แม้จะปลอดภัย แต่ยังเป็นสารกัมมันตรังสีที่ต้องดูแลอย่างรอบคอบ

    https://www.neowin.net/news/this-amazing-new-battery-has-life-so-long-you-may-never-have-to-recharge/
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องวิจัย: แบตเตอรี่กัมมันตรังสีที่อาจไม่ต้องชาร์จอีกเลย ทีมนักวิจัยจาก Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology (DGIST) นำโดยศาสตราจารย์ Su-Il In ได้พัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่เรียกว่า “Perovskite Betavoltaic Cell” (PBC) ซึ่งใช้พลังงานจากการสลายตัวของคาร์บอน-14 (Carbon-14) เพื่อผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องนานหลายสิบปี โดยไม่ต้องชาร์จ แบตเตอรี่ชนิดนี้ใช้อนุภาคคาร์บอน-14 ร่วมกับ quantum dots เป็นขั้วไฟฟ้า และเคลือบด้วยฟิล์ม perovskite ที่เสริมความเสถียรด้วยสารเติมแต่งคลอรีนสองชนิด (MACl และ CsCl) เพื่อเพิ่มการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนถึง 56,000 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แม้จะยังมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป แต่การออกแบบให้มีคาร์บอน-14 ทั้งขั้วบวกและลบช่วยเพิ่มการแผ่รังสีเบต้าและลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานได้นานหลายร้อยปี เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานต่ำแต่ต่อเนื่อง เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ หรืออุปกรณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว ✅ ทีมนักวิจัยจาก DGIST พัฒนาแบตเตอรี่แบบ betavoltaic โดยใช้ perovskite ➡️ เป็นการรวม perovskite กับแหล่งพลังงานกัมมันตรังสีเป็นครั้งแรก ✅ ใช้คาร์บอน-14 ซึ่งปล่อยรังสีเบต้าอย่างปลอดภัย ➡️ ไม่ทะลุผิวหนังและสามารถป้องกันได้ด้วยอะลูมิเนียม ✅ ฟิล์ม perovskite เสริมด้วย MACl และ CsCl เพื่อเพิ่มความเสถียร ➡️ เพิ่ม electron mobility ได้ถึง 56,000 เท่า ✅ ใช้ titanium dioxide ร่วมกับ dye ที่ผ่านการบำบัดด้วยกรดซิตริก ➡️ เกิดปฏิกิริยา avalanche ของอิเล็กตรอนเมื่อโดนรังสีเบต้า ✅ ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานเพิ่มจาก 0.48% เป็น 2.86% ➡️ แม้ยังต่ำ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีนี้ ✅ คาร์บอน-14 เป็นผลพลอยได้จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ➡️ ราคาถูก หาง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ✅ มีแผนพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น pacemaker, โดรน, probe อวกาศ ➡️ “พลังงานนิวเคลียร์ในอุปกรณ์ขนาดเท่านิ้ว” ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ In ‼️ ประสิทธิภาพยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ⛔ ต้องปรับปรุงรูปทรงของตัวปล่อยรังสีและตัวดูดซับเพิ่มเติม ‼️ การใช้สารกัมมันตรังสีแม้ปลอดภัย ต้องผ่านการรับรองด้านชีวภาพ ⛔ โดยเฉพาะหากนำไปใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ ‼️ การผลิตและใช้งานในเชิงพาณิชย์ยังอยู่ในขั้นต้น ⛔ ต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง ‼️ การจัดการคาร์บอน-14 ต้องมีระบบควบคุมที่เข้มงวด ⛔ แม้จะปลอดภัย แต่ยังเป็นสารกัมมันตรังสีที่ต้องดูแลอย่างรอบคอบ https://www.neowin.net/news/this-amazing-new-battery-has-life-so-long-you-may-never-have-to-recharge/
    WWW.NEOWIN.NET
    This amazing new battery has life so long you may never have to recharge
    Radiocarbon and perovskite unite in a compact nuclear battery promising safe, almost ever-lasting power for extreme environments and miniature tech applications.
    0 Comments 0 Shares 353 Views 0 Reviews
  • ลืมภาพเดิมของเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่เป็นกล่องใหญ่ ๆ ไปได้เลยครับ — เพราะทีมนักวิจัยจาก MIT ได้รวมเทคโนโลยี “ซิลิคอนโฟโตนิกส์” (Silicon Photonics) เข้ากับ “เรซินแข็งตัวด้วยแสง” จนสามารถสร้างเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่:
    - เล็กเท่าเหรียญ 1 เหรียญ
    - ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
    - ใช้เสาแสงนาโน (nano-antennas) ที่ควบคุมทิศแสงจากเลเซอร์
    - ยิงลำแสงเข้าไปในอ่างเรซิน → แข็งตัวกลายเป็นแบบ 2 มิติภายในไม่กี่วินาที

    ทีมงานเตรียมพัฒนาต่อให้สามารถ “พิมพ์แบบ 3 มิติแบบโวลูม” (Volumetric 3D Printing) ได้ในอนาคต → เป้าหมายคือ “สร้างโฮโลแกรมแสงในเรซิน” และให้ชิปทำหน้าที่เสมือนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพียงแค่ใช้แสงขั้นเดียว → ถ้าทำสำเร็จ จะปฏิวัติโลกของเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพกพาอย่างแท้จริง

    ทีม MIT พัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่อยู่บนชิปซิลิคอนขนาดเท่าเหรียญ  
    • ใช้เทคโนโลยี Silicon Photonics  
    • ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว

    เสาแสงนาโนควบคุมเลเซอร์ให้ยิงเข้าสู่อ่างเรซิน  
    • แข็งตัวเป็นลวดลายแบบ 2D ภายในไม่กี่วินาที  
    • ใช้ฟิล์มเรซินพิเศษที่คิดค้นร่วมกับมหาวิทยาลัย UT Austin

    แผนต่อไป: สร้างชิปที่สามารถ “ยิงแสงเป็นโฮโลแกรม” ลงในเรซินเพื่อพิมพ์วัตถุแบบ 3D โวลูมในขั้นตอนเดียว  
    • แนวคิดนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature แล้ว  
    • เป้าหมายสุดท้าย: 3D printer แบบใส่กระเป๋าได้เลย

    ชิปโฟโตนิกส์ใช้งานคล้ายอุปกรณ์ส่งข้อมูลด้วยแสงของ Nvidia และ AMD  
    • ช่วยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/mit-team-creates-chip-based-3d-printer-the-size-of-a-coin-cures-resin-using-only-light-handheld-3d-printing-tech-enabled-by-silicon-photonics
    ลืมภาพเดิมของเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่เป็นกล่องใหญ่ ๆ ไปได้เลยครับ — เพราะทีมนักวิจัยจาก MIT ได้รวมเทคโนโลยี “ซิลิคอนโฟโตนิกส์” (Silicon Photonics) เข้ากับ “เรซินแข็งตัวด้วยแสง” จนสามารถสร้างเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่: - เล็กเท่าเหรียญ 1 เหรียญ - ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว - ใช้เสาแสงนาโน (nano-antennas) ที่ควบคุมทิศแสงจากเลเซอร์ - ยิงลำแสงเข้าไปในอ่างเรซิน → แข็งตัวกลายเป็นแบบ 2 มิติภายในไม่กี่วินาที ทีมงานเตรียมพัฒนาต่อให้สามารถ “พิมพ์แบบ 3 มิติแบบโวลูม” (Volumetric 3D Printing) ได้ในอนาคต → เป้าหมายคือ “สร้างโฮโลแกรมแสงในเรซิน” และให้ชิปทำหน้าที่เสมือนเครื่องพิมพ์ 3 มิติเพียงแค่ใช้แสงขั้นเดียว → ถ้าทำสำเร็จ จะปฏิวัติโลกของเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพกพาอย่างแท้จริง ✅ ทีม MIT พัฒนาเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่อยู่บนชิปซิลิคอนขนาดเท่าเหรียญ   • ใช้เทคโนโลยี Silicon Photonics   • ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ✅ เสาแสงนาโนควบคุมเลเซอร์ให้ยิงเข้าสู่อ่างเรซิน   • แข็งตัวเป็นลวดลายแบบ 2D ภายในไม่กี่วินาที   • ใช้ฟิล์มเรซินพิเศษที่คิดค้นร่วมกับมหาวิทยาลัย UT Austin ✅ แผนต่อไป: สร้างชิปที่สามารถ “ยิงแสงเป็นโฮโลแกรม” ลงในเรซินเพื่อพิมพ์วัตถุแบบ 3D โวลูมในขั้นตอนเดียว   • แนวคิดนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature แล้ว   • เป้าหมายสุดท้าย: 3D printer แบบใส่กระเป๋าได้เลย ✅ ชิปโฟโตนิกส์ใช้งานคล้ายอุปกรณ์ส่งข้อมูลด้วยแสงของ Nvidia และ AMD   • ช่วยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน https://www.tomshardware.com/3d-printing/mit-team-creates-chip-based-3d-printer-the-size-of-a-coin-cures-resin-using-only-light-handheld-3d-printing-tech-enabled-by-silicon-photonics
    0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
  • จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน

    - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป
    - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ
    - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก
    - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที

    ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน!

    Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030  
    • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s  
    • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที  
    • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที

    ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์  
    • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี  
    • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส

    เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):  
    • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack  
    • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack  
    • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack

    ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):  
    • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน  
    • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน

    สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council  
    • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M

    ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:  
    • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า  
    • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)  
    • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง

    อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm  
    • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte

    https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    จำเทปแม่เหล็กที่เคยใช้แบ็กอัปข้อมูลไหมครับ? Cerabyte กำลังจะ “อัปเกรด” แนวคิดนั้นขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการเก็บข้อมูลบนแผ่น กระจกบาง 100 ไมครอน เคลือบด้วยฟิล์มเซรามิกหนาแค่ 10 นาโนเมตร แล้วจารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์พลังสูงระดับเฟมโตวินาที (fs laser) ที่ยิงรูจิ๋ว ๆ เรียงเป็นแพตเทิร์น — จากนั้นใช้กล้องความละเอียดสูงเป็นตัวอ่าน - แผ่นขนาด 9x9 ซม. หลายแผ่นถูกใส่ในตลับ (cartridge) คล้ายเทป - มี “หุ่นยนต์จัดเก็บ” เปลี่ยนตลับให้เองเหมือนห้องสมุดอัตโนมัติ - ตอนนี้เทคโนโลยีระดับ prototype ยังทำได้แค่ 1GB ต่อแร็ก - แต่ภายในปี 2030 → จะกลายเป็น 100 PB ต่อแร็ก + โหลดเร็วเกิน 2 GB/s และใช้เวลาเริ่มอ่านแค่ 10 วินาที ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ...ต้นทุนจะลดจาก $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน (ตอนนี้) เหลือเพียงแค่ $6–8 ต่อ PB-เดือน! ✅ Cerabyte เตรียมเปิดตัวระบบ Ceramic Nano Memory ความจุ 100 PB ต่อแร็กภายในปี 2030   • ความเร็วอ่านข้อมูลทะลุ 2 GB/s   • เวลาเข้าถึง (time to first byte) น้อยกว่า 10 วินาที   • เทียบกับระบบตอนนี้: แค่ 1 GB/แร็ก, 100 MB/s, ใช้เวลา 90 วินาที ✅ ใช้แผ่นกระจกบางพิเศษเคลือบฟิล์มเซรามิก จารึกข้อมูลด้วยเลเซอร์   • ทนต่อสภาพแวดล้อมสูง อายุการใช้งาน >100 ปี   • อ่านข้อมูลด้วยกล้องความละเอียดสูงแทนการสัมผัส ✅ เป้าหมายการพัฒนา (ตามปี):   • 2026: ยืนยันรุ่น 1PB/rack   • 2027–2028: เพิ่มความหนาแน่นระดับสิบ PB/rack   • 2029–2030: แตะ 100 PB/rack ✅ ต้นทุนรวมทั้งระบบ (Total Cost of Ownership):   • ปัจจุบัน: $7,000–8,000 ต่อ PB-เดือน   • ปี 2030: ลดเหลือ $6–8 ต่อ PB-เดือน ✅ สนับสนุนโดย: Pure Storage, Western Digital, In-Q-Tel, EU Innovation Council   • ได้ทุน Seed ~$10M และทุนวิจัยเพิ่มอีก ~$4M ✅ ระบบนี้มีข้อได้เปรียบเทียบกับเทปแม่เหล็กแบบดั้งเดิม:   • แบนด์วิดธ์มากกว่า 2 เท่า   • อายุการใช้งาน >100 ปี (เทปเดิมแค่ 7–15 ปี)   • ต้นทุนต่อ TB ต่ำกว่าครึ่ง ✅ อนาคตหลังปี 2045 — อาจพัฒนาเทคโนโลยี “Helium-ion beam” เพื่อจารึกที่ขนาดบิตเล็กลงเหลือ 3 nm   • ความจุต่อแร็กอาจทะยานถึงระดับ Exabyte https://www.techpowerup.com/338629/cerabyte-plans-100-pb-ceramic-nano-memory-storage-by-2030
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Cerabyte Plans 100 PB Ceramic Nano Memory Storage by 2030
    Cerabyte has unveiled a detailed roadmap for its Ceramic Nano Memory archival storage system, promising a cloud-based platform capable of storing over 100 PB per rack by 2030. The company expects data transfer speeds to climb above 2 GB/s and the time to first byte to fall below 10 seconds, a dramat...
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • มือถือไม่ได้ชอบแดดเท่าคนเรา! ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือโอเวอร์ฮีตได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งนอกจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ยังอาจส่งผลต่อระบบภายในหรือทำให้เครื่องดับเองได้

    ทางแก้ง่าย ๆ: หลบแดด ทันที วางไว้ในที่ร่ม ถอดเคสออกสักพัก หรือวางใกล้พัดลมก็พอ — แต่อย่าหาทำเช่นจับมือถือแช่ตู้เย็นเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนเร็วแบบนั้นอาจทำให้เครื่องเสียหายได้

    ส่วนที่ชายหาด — ถึงอยากเซลฟี่ริมหาดก็ต้องระวัง ทราย เพราะทั้งเม็ดใหญ่ที่ขูดหน้าจอ และเม็ดเล็กที่สอดเข้าไปในช่องชาร์จได้ง่ายมาก เทคนิคคือใส่ซองซิปล็อกหรือถุงกันน้ำ และติดฟิล์ม + เคสไว้เสมอ

    และ ถ้ามือถือร่วงน้ำ – อย่าใช้วิธีแช่ข้าวสาร! เพราะผงข้าวอาจเล็ดรอดเข้าไปทำเครื่องเสียได้อีก ให้ปิดเครื่องทันที แล้วคว่ำเครื่องลง เคาะเบา ๆ ให้หยดน้ำไหลออก ใช้กระดาษซับ แต่ อย่าสอดกระดาษเข้าไปในพอร์ต เด็ดขาด

    ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือร้อนเกินระดับปลอดภัยได้  
    • ควรหลีกเลี่ยงการวางมือถือกลางแดดหรือหลังรถใกล้กระจก  
    • ปิด Wi-Fi, Bluetooth, GPS เมื่อไม่ใช้ เพื่อช่วยลดการสร้างความร้อน

    กรณีเครื่องร้อน ให้ย้ายไปที่ร่ม ถอดเคส และรอให้เย็นเอง  
    • หลีกเลี่ยงการนำไปแช่ตู้เย็น เพราะอาจเกิดปัญหาความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็ว

    ทรายสามารถทำอันตรายต่อมือถือได้ทั้งจากการขีดข่วนและการเข้าไปในพอร์ต  
    • ป้องกันด้วยเคสและฟิล์มหน้าจอ พร้อมเก็บใส่ถุงกันน้ำหรือถุงซิปล็อกเวลาไม่ใช้งาน

    หากมือถือสัมผัสน้ำทะเลหรือทราย ให้ล้างเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งทันที  
    • ใช้ผ้านุ่มหรือกระดาษซับ และห้ามใช้วัตถุแปลกปลอมเช็ดในพอร์ต

    ถ้ามือถือตกน้ำ ควรปิดเครื่องทันทีและปล่อยให้แห้งในที่อากาศถ่ายเท  
    • ค่อย ๆ เคาะเครื่องให้ละอองน้ำออก และไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟเด็ดขาด

    ห้ามเด็ดขาด: การแช่มือถือในข้าวสารเพื่อดูดความชื้น ไม่ได้ช่วยและอาจทำให้เสียหายหนักขึ้น  
    • ข้าวอาจทิ้งฝุ่นผงหรือเข้าไปติดในพอร์ตหรือลำโพง

    อย่าใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟในการทำให้มือถือแห้ง  
    • ความร้อนสูงสามารถละลายชิ้นส่วนหรือทำให้วงจรภายในเสียหายได้

    การชาร์จมือถือใต้แดดร้อนจัดอาจทำให้เกิดปัญหาอันตรายถึงขั้นระเบิดได้  
    • ควรเลือกจุดร่ม เย็น และระบายอากาศได้ดีหากจะชาร์จกลางแจ้ง

    การใส่เคสตลอดเวลาอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมร้อนจัด  
    • ควรถอดเคสบ้างเมื่ออยู่ในที่ร้อนเพื่อให้เครื่องระบายความร้อนได้ดีกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/20/how-to-protect-your-smartphone-from-sun-sea-and-sand
    มือถือไม่ได้ชอบแดดเท่าคนเรา! ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือโอเวอร์ฮีตได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งนอกจากจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ยังอาจส่งผลต่อระบบภายในหรือทำให้เครื่องดับเองได้ ทางแก้ง่าย ๆ: หลบแดด ทันที วางไว้ในที่ร่ม ถอดเคสออกสักพัก หรือวางใกล้พัดลมก็พอ — แต่อย่าหาทำเช่นจับมือถือแช่ตู้เย็นเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนเร็วแบบนั้นอาจทำให้เครื่องเสียหายได้ ส่วนที่ชายหาด — ถึงอยากเซลฟี่ริมหาดก็ต้องระวัง ทราย เพราะทั้งเม็ดใหญ่ที่ขูดหน้าจอ และเม็ดเล็กที่สอดเข้าไปในช่องชาร์จได้ง่ายมาก เทคนิคคือใส่ซองซิปล็อกหรือถุงกันน้ำ และติดฟิล์ม + เคสไว้เสมอ และ ถ้ามือถือร่วงน้ำ – อย่าใช้วิธีแช่ข้าวสาร! เพราะผงข้าวอาจเล็ดรอดเข้าไปทำเครื่องเสียได้อีก ให้ปิดเครื่องทันที แล้วคว่ำเครื่องลง เคาะเบา ๆ ให้หยดน้ำไหลออก ใช้กระดาษซับ แต่ อย่าสอดกระดาษเข้าไปในพอร์ต เด็ดขาด ✅ ความร้อนจากแสงแดดสามารถทำให้มือถือร้อนเกินระดับปลอดภัยได้   • ควรหลีกเลี่ยงการวางมือถือกลางแดดหรือหลังรถใกล้กระจก   • ปิด Wi-Fi, Bluetooth, GPS เมื่อไม่ใช้ เพื่อช่วยลดการสร้างความร้อน ✅ กรณีเครื่องร้อน ให้ย้ายไปที่ร่ม ถอดเคส และรอให้เย็นเอง   • หลีกเลี่ยงการนำไปแช่ตู้เย็น เพราะอาจเกิดปัญหาความชื้นและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็ว ✅ ทรายสามารถทำอันตรายต่อมือถือได้ทั้งจากการขีดข่วนและการเข้าไปในพอร์ต   • ป้องกันด้วยเคสและฟิล์มหน้าจอ พร้อมเก็บใส่ถุงกันน้ำหรือถุงซิปล็อกเวลาไม่ใช้งาน ✅ หากมือถือสัมผัสน้ำทะเลหรือทราย ให้ล้างเบา ๆ ด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งทันที   • ใช้ผ้านุ่มหรือกระดาษซับ และห้ามใช้วัตถุแปลกปลอมเช็ดในพอร์ต ✅ ถ้ามือถือตกน้ำ ควรปิดเครื่องทันทีและปล่อยให้แห้งในที่อากาศถ่ายเท   • ค่อย ๆ เคาะเครื่องให้ละอองน้ำออก และไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟเด็ดขาด ‼️ ห้ามเด็ดขาด: การแช่มือถือในข้าวสารเพื่อดูดความชื้น ไม่ได้ช่วยและอาจทำให้เสียหายหนักขึ้น   • ข้าวอาจทิ้งฝุ่นผงหรือเข้าไปติดในพอร์ตหรือลำโพง ‼️ อย่าใช้ไดร์เป่าผมหรือไมโครเวฟในการทำให้มือถือแห้ง   • ความร้อนสูงสามารถละลายชิ้นส่วนหรือทำให้วงจรภายในเสียหายได้ ‼️ การชาร์จมือถือใต้แดดร้อนจัดอาจทำให้เกิดปัญหาอันตรายถึงขั้นระเบิดได้   • ควรเลือกจุดร่ม เย็น และระบายอากาศได้ดีหากจะชาร์จกลางแจ้ง ‼️ การใส่เคสตลอดเวลาอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมร้อนจัด   • ควรถอดเคสบ้างเมื่ออยู่ในที่ร้อนเพื่อให้เครื่องระบายความร้อนได้ดีกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/20/how-to-protect-your-smartphone-from-sun-sea-and-sand
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How to protect your smartphone from sun, sea and sand
    Between the heat, the sand, and pool or seawater, summer can be a hazardous time for smartphones. However, a little extra care can help make sure yours survives the season in one piece.
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025

    สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม”

    กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568
    ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ

    ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที”

    “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว

    อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง
    ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้”

    “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว

    สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    ซินโครตรอน อว. เปิดตัว 2 นวัตกรรมล้ำสมัย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีน” และ “เครื่องเคลือบฟิล์ม DLC” ยกระดับอุตสาหกรรมไทยในงาน Thailand Research Expo 2025 สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงผลงานในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ Thailand Research Expo 2025 ชู 2 นวัตกรรมก้าวล้ำพร้อมต่อยอดสู่การยกระดับอุตสาหกรรมไทย “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนในระดับอุตสาหกรรม” และ “เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” กรุงเทพฯ – สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้นำผลงานมาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ จำนวน 2 ผลงาน คือ “เครื่องสังเคราะห์กราฟีนสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์” และ“เครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม” โดยจัดแสดงที่บูธ CL2 ภายในโซนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจ ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเทคนิคและวิศวกรรม และหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องสังเคราะห์กราฟีนฯ กล่าวว่า “กราฟีนเป็นคาร์บอนที่มีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 2 มิติ ทำให้มีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 200 เท่า, นำไฟฟ้าได้ดีกว่าโลหะทองแดง, น้ำหนักเบา, แผ่ความร้อนได้ดี และความยืดหยุ่นสูง จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีหลากหลายด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง, การแพทย์, และการกักเก็บพลังงาน เป็นต้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการสังเคราะห์กราฟีนหลายวิธี แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดแตกต่างกัน ซึ่งวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการสังเคราะห์กราฟีนให้ได้ระดับอุตสาหกรรม คือวิธี Flash Joule Heating (FJH) ที่อาศัยการจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงในเวลาฉับพลันผ่านผงคาร์บอนที่ได้จากขยะ จนทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 2700 องศาเซลเซียส แล้วเกิดการสลายพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนกับแก๊ส หลังอุณหภูมิลดลงอะตอมของคาร์บอนจะจัดเรียงตัวกันกลายเป็นกราฟีนในเสี้ยววินาที” “ทั้งนี้ สถาบันฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคความร้อนกระตุ้นแบบพัลส์ยาว (Long-Pulse Joule Heating: LPJH) ที่มีกำลังผลิตวันละ 1 กิโลกรัม โดยอ้างอิงหลักการสังเคราะห์กราฟีนโดยใช้เทคนิค FJH และได้ศึกษาและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์กราฟีนจากขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใบอ้อยและชานอ้อยจากอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมพอลิเมอร์, เศษผ้าและเสื้อผ้าเก่าจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้ศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้ กราฟีนที่ผลิตได้ สำหรับพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างและคอนกรีต, อุตสาหกรรมยางและพอลิเมอร์, อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ, อุตสาหกรรมสีเคลือบ เป็นต้น” ดร.พัฒนพงศ์ จันทร์พวง กล่าว อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ เครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซี (DLC) สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่ง ดร.ศรายุทธ ตั้นมี หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและหัวหน้าทีมวิจัยเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ อธิบายว่า “สิ่งปนเปื้อนในน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติก่อให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในกระบวนการบำรุงรักษาทั้งการซ่อมและเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ และยังส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อประเทศด้วย โดยเทคโนโลยีการเคลือบฟิล์มคาร์บอนคล้ายเพชร หรือ ฟิล์มดีแอลซี (DLC) ช่วยเพิ่มสมบัติความแข็ง ต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อน และลดแรงเสียดทานให้กับชิ้นส่วนอุตสาหกรรมได้” “สถาบันฯ ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) พัฒนาเครื่องต้นแบบการเคลือบฟิล์มดีแอลซีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นเครื่องแรกของประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เครื่องต้นแบบเครื่องเคลือบฟิล์มดีแอลซีฯ นี้ ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและการเคลือบฟิล์มด้วยเทคนิคการใช้พลาสมาเพิ่มการตกสะสมของไอเชิงเคมี (RF-PECVD) เพื่อสังเคราะห์ฟิล์มดีแอลซี และใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนขั้นสูง Near Edge X-ray Absorption Fine Structure (NEXAFS) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างฟิล์มดีแอลซี และศึกษาการกระจายตัวของพันธะคาร์บอน ซึ่งฟิล์มดีแอลซีที่พัฒนาขึ้นนี้มีคุณสมบัติต้านการสึกกร่อนและการกัดกร่อนสูง เหมาะสมกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุง และสามารถทดแทนวัสดุนำเข้าราคาแพงได้” ดร.ศรายุทธ ตั้นมี กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าชมทั้ง 2 นวัตกรรมของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ได้ที่ บูธ CL2 ในงาน Thailand Research Expo 2025 ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น. ระหว่างวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
    0 Comments 0 Shares 563 Views 0 Reviews
  • Fujifilm ได้เปิดตัวทีเซอร์สำหรับกล้องดิจิทัลแบบครึ่งเฟรม (half-frame) รุ่นใหม่ที่อาจใช้ชื่อว่า X-Half โดยกล้องนี้มีการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ ทีเซอร์นี้มาพร้อมกับคำโปรยว่า "Half the Size, Twice the Story" ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการถ่ายภาพในรูปแบบครึ่งเฟรมที่ช่วยเพิ่มจำนวนภาพต่อม้วนฟิล์ม

    กล้องครึ่งเฟรมที่ผสมผสานความคลาสสิกและดิจิทัล
    - ใช้การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องฟิล์ม 35 มม.
    - มีหน้าจอ LCD แนวตั้งที่ช่วยในการจัดองค์ประกอบภาพ

    รองรับการถ่ายภาพในรูปแบบครึ่งเฟรม
    - สามารถถ่ายภาพสองภาพในเฟรมเดียวของฟิล์ม 35 มม.
    - เหมาะสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ต้องการภาพแนวตั้งสำหรับโซเชียลมีเดีย

    การออกแบบที่เน้นความคลาสสิกและการใช้งานง่าย
    - มีปุ่มควบคุมแบบ manual และช่องมองภาพแบบ optical
    - อาจมีหน้าจอแสดงผลฟิล์มจำลอง (film simulation) ที่ด้านหลัง

    การใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้ว
    - ช่วยให้สามารถสร้างภาพแบบ diptych หรือภาพสองภาพในเฟรมเดียว

    https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/fujifilm-has-officially-teased-its-unique-half-frame-camera-and-there-could-be-a-secret-screen
    Fujifilm ได้เปิดตัวทีเซอร์สำหรับกล้องดิจิทัลแบบครึ่งเฟรม (half-frame) รุ่นใหม่ที่อาจใช้ชื่อว่า X-Half โดยกล้องนี้มีการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ ทีเซอร์นี้มาพร้อมกับคำโปรยว่า "Half the Size, Twice the Story" ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการถ่ายภาพในรูปแบบครึ่งเฟรมที่ช่วยเพิ่มจำนวนภาพต่อม้วนฟิล์ม ✅ กล้องครึ่งเฟรมที่ผสมผสานความคลาสสิกและดิจิทัล - ใช้การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องฟิล์ม 35 มม. - มีหน้าจอ LCD แนวตั้งที่ช่วยในการจัดองค์ประกอบภาพ ✅ รองรับการถ่ายภาพในรูปแบบครึ่งเฟรม - สามารถถ่ายภาพสองภาพในเฟรมเดียวของฟิล์ม 35 มม. - เหมาะสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่ต้องการภาพแนวตั้งสำหรับโซเชียลมีเดีย ✅ การออกแบบที่เน้นความคลาสสิกและการใช้งานง่าย - มีปุ่มควบคุมแบบ manual และช่องมองภาพแบบ optical - อาจมีหน้าจอแสดงผลฟิล์มจำลอง (film simulation) ที่ด้านหลัง ✅ การใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้ว - ช่วยให้สามารถสร้างภาพแบบ diptych หรือภาพสองภาพในเฟรมเดียว https://www.techradar.com/cameras/compact-cameras/fujifilm-has-officially-teased-its-unique-half-frame-camera-and-there-could-be-a-secret-screen
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน*

    “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น

    ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป

    งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร

    คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที

    งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต

    หมายเหตุ
    * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ
    ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน* “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต หมายเหตุ * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • มาตรการภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีใหม่พุ่งสูงขึ้น iFixit แนะนำให้ผู้บริโภคพิจารณาซ่อมแซมอุปกรณ์แทนการซื้อใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและช่วยสร้างความยั่งยืน โดยยังเรียกร้องให้ผู้ผลิตสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อความยั่งยืนของโลก

    ผลกระทบจากภาษีใหม่:
    - บริษัทระบุว่า เกือบทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่จะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนที่เพิ่มจากภาษีนำเข้า
    - การวิเคราะห์จาก Consumer Technology Association (CTA) เผยว่าภาษีอาจทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% โดยเฉพาะสินค้าไฮเอนด์อย่าง iPhone ซึ่งต้นทุนการผลิตอาจพุ่งจาก $550 เป็น $850

    การซ่อมแซมเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน:
    - iFixit ชี้ว่าค่าซ่อมสินค้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ ไม่มากเท่ากับราคาสินค้าใหม่
    - การซ่อมช่วยลดความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้มีเวลาเก็บเงินสำหรับการลงทุนในสินค้าที่จำเป็นจริง ๆ ในอนาคต

    ข้อเสนอแนะจาก iFixit:
    - เรียกร้องให้ ผู้ผลิตและผู้กำหนดนโยบาย ส่งเสริมการซ่อมแซมโดยการออกแบบอุปกรณ์ให้ซ่อมง่ายและให้การสนับสนุน เช่น การจัดหาอะไหล่และเครื่องมือ
    - การออกแบบที่ส่งเสริมการซ่อมจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทนั้นซ้ำ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อความยั่งยืนในระยะยาว

    == คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อยืดอายุอุปกรณ์ของคุณ ==
    ป้องกันก่อนเกิดปัญหา:
    - ใช้เคสและฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย
    - ตั้งค่าการใช้งานปุ่ม Power และ Volume ในอุปกรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการสึกหรอ

    ซ่อมแทนทิ้ง:
    - การซ่อมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงิน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่ยั่งยืน

    https://www.neowin.net/news/ifixit-says-tariffs-will-hike-consumer-tech-prices-but-repairing-can-save-you-money/
    มาตรการภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีใหม่พุ่งสูงขึ้น iFixit แนะนำให้ผู้บริโภคพิจารณาซ่อมแซมอุปกรณ์แทนการซื้อใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและช่วยสร้างความยั่งยืน โดยยังเรียกร้องให้ผู้ผลิตสนับสนุนแนวทางนี้เพื่อความยั่งยืนของโลก ✅ ผลกระทบจากภาษีใหม่: - บริษัทระบุว่า เกือบทุกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีใหม่จะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อต้นทุนที่เพิ่มจากภาษีนำเข้า - การวิเคราะห์จาก Consumer Technology Association (CTA) เผยว่าภาษีอาจทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 16% โดยเฉพาะสินค้าไฮเอนด์อย่าง iPhone ซึ่งต้นทุนการผลิตอาจพุ่งจาก $550 เป็น $850 ✅ การซ่อมแซมเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน: - iFixit ชี้ว่าค่าซ่อมสินค้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ ไม่มากเท่ากับราคาสินค้าใหม่ - การซ่อมช่วยลดความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ ทำให้มีเวลาเก็บเงินสำหรับการลงทุนในสินค้าที่จำเป็นจริง ๆ ในอนาคต ✅ ข้อเสนอแนะจาก iFixit: - เรียกร้องให้ ผู้ผลิตและผู้กำหนดนโยบาย ส่งเสริมการซ่อมแซมโดยการออกแบบอุปกรณ์ให้ซ่อมง่ายและให้การสนับสนุน เช่น การจัดหาอะไหล่และเครื่องมือ - การออกแบบที่ส่งเสริมการซ่อมจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทนั้นซ้ำ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อความยั่งยืนในระยะยาว == คำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อยืดอายุอุปกรณ์ของคุณ == 💡 ป้องกันก่อนเกิดปัญหา: - ใช้เคสและฟิล์มกันรอยเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย - ตั้งค่าการใช้งานปุ่ม Power และ Volume ในอุปกรณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการสึกหรอ 💡 ซ่อมแทนทิ้ง: - การซ่อมไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงิน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่ยั่งยืน https://www.neowin.net/news/ifixit-says-tariffs-will-hike-consumer-tech-prices-but-repairing-can-save-you-money/
    WWW.NEOWIN.NET
    iFixit says tariffs will hike consumer tech prices, but repairing can save you money
    The repair company iFixit says you can avoid rising consumer tech prices due to tariffs by choosing to repair your current device rather than buying a new one.
    0 Comments 0 Shares 376 Views 0 Reviews
  • NordVPN เผยว่าแม้ผู้เดินทางทั่วโลกจะใช้ Wi-Fi สาธารณะบ่อยขึ้น แต่มีเพียง 17% เท่านั้นที่ใช้ VPN เพื่อป้องกันข้อมูล ขณะที่ 60% ของผู้ใช้ยังคงเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะอย่างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่สูงถึง 80% แม้ผู้ใช้จะป้องกันด้วย รหัสผ่านแข็งแกร่งและฟิล์มกันแอบมอง แต่การไม่ใช้ VPN และการเปิดแอปที่มีข้อมูลสำคัญยังคงเป็นความเสี่ยงสูง นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการเข้าระบบธนาคารบน Wi-Fi สาธารณะ และเปิดใช้งาน 2FA เพื่อเสริมความปลอดภัย

    พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ระหว่างเดินทางแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
    - ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดานิยม ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ระหว่างเดินทาง
    - ญี่ปุ่นมักใช้เวลาเดินทางในการ ติดตามข่าวสาร
    - สเปนและอิตาลีเน้นการ พูดคุยและส่งข้อความกับเพื่อน

    60% ของผู้เดินทางเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะเป็นครั้งคราว
    - 80% ของผู้ใช้ในเกาหลีใต้มักใช้ Wi-Fi สาธารณะ
    - แม้ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อไม่นาน (ประมาณ 30 นาที) แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกดักจับข้อมูล

    “Shoulder Surfing” เป็นภัยเงียบที่มักถูกมองข้าม
    - 20% ของผู้เดินทางใช้ ฟิล์มป้องกันหน้าจอ เพื่อป้องกันการมองเห็นข้อมูลโดยผู้อื่น
    - อย่างไรก็ตาม การไม่ใช้ VPN และการเข้าถึงข้อมูลสำคัญบน Wi-Fi สาธารณะยังคงเป็นจุดอ่อน

    คำแนะนำสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะอย่างปลอดภัย
    - หลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบธนาคาร แอปสุขภาพ หรือแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลสำคัญ
    - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี
    - ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและป้องกันการสอดแนมจากเครือข่ายไม่ปลอดภัย

    https://www.techradar.com/pro/security/when-it-comes-to-security-public-wi-fi-could-be-a-risky-choice-for-commuters-worldwide
    NordVPN เผยว่าแม้ผู้เดินทางทั่วโลกจะใช้ Wi-Fi สาธารณะบ่อยขึ้น แต่มีเพียง 17% เท่านั้นที่ใช้ VPN เพื่อป้องกันข้อมูล ขณะที่ 60% ของผู้ใช้ยังคงเชื่อมต่อเครือข่ายสาธารณะอย่างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ที่สูงถึง 80% แม้ผู้ใช้จะป้องกันด้วย รหัสผ่านแข็งแกร่งและฟิล์มกันแอบมอง แต่การไม่ใช้ VPN และการเปิดแอปที่มีข้อมูลสำคัญยังคงเป็นความเสี่ยงสูง นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้ หลีกเลี่ยงการเข้าระบบธนาคารบน Wi-Fi สาธารณะ และเปิดใช้งาน 2FA เพื่อเสริมความปลอดภัย ✅ พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ระหว่างเดินทางแตกต่างกันในแต่ละประเทศ - ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดานิยม ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ระหว่างเดินทาง - ญี่ปุ่นมักใช้เวลาเดินทางในการ ติดตามข่าวสาร - สเปนและอิตาลีเน้นการ พูดคุยและส่งข้อความกับเพื่อน ✅ 60% ของผู้เดินทางเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะเป็นครั้งคราว - 80% ของผู้ใช้ในเกาหลีใต้มักใช้ Wi-Fi สาธารณะ - แม้ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อไม่นาน (ประมาณ 30 นาที) แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกดักจับข้อมูล ✅ “Shoulder Surfing” เป็นภัยเงียบที่มักถูกมองข้าม - 20% ของผู้เดินทางใช้ ฟิล์มป้องกันหน้าจอ เพื่อป้องกันการมองเห็นข้อมูลโดยผู้อื่น - อย่างไรก็ตาม การไม่ใช้ VPN และการเข้าถึงข้อมูลสำคัญบน Wi-Fi สาธารณะยังคงเป็นจุดอ่อน ✅ คำแนะนำสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะอย่างปลอดภัย - หลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบธนาคาร แอปสุขภาพ หรือแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลสำคัญ - เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี - ใช้ VPN เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและป้องกันการสอดแนมจากเครือข่ายไม่ปลอดภัย https://www.techradar.com/pro/security/when-it-comes-to-security-public-wi-fi-could-be-a-risky-choice-for-commuters-worldwide
    0 Comments 0 Shares 610 Views 0 Reviews
  • ทองแดงเป็นตัวนำไฟฟ้ามาตรฐานมานานกว่า 200 ปี แต่เริ่มมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ นักวิจัยพบว่า Niobium Phosphide (NbP) มีคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่เหนือกว่าทองแดง โดยเฉพาะในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับนาโน NbP สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ได้ง่าย และช่วยลดการสูญเสียพลังงาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายด้านการผลิต ที่ต้องแก้ไขก่อนจะนำมาใช้จริงในอุตสาหกรรม

    Niobium Phosphide เป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงในระดับนาโน
    - งานวิจัยของ Stanford University พบว่า NbP มีค่าความต้านทานต่ำกว่าทองแดงถึง 6 เท่า
    - เมื่อวัสดุมีความบางลง NbP ยังคงรักษาคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง

    เซมิมีทัลมีโครงสร้างทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน
    - NbP มี คุณสมบัติเฉพาะด้านโครงสร้างที่ช่วยให้การส่งผ่านอิเล็กตรอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - นักวิจัยระบุว่า สามารถลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์ขนาดเล็กได้

    สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่มีอยู่ได้ง่าย
    - NbP สามารถถูกวางเป็น ฟิล์มที่อุณหภูมิ 400°C โดยไม่ทำให้ชิปซิลิคอนเสียหาย

    ยังคงมีความท้าทายด้านการผลิต
    - การควบคุมความหนาของชั้นฟิล์ม NbP เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงมาก
    - หากชั้นฟิล์มมีความหนาไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้ค่าความต้านทานแปรปรวน

    อนาคตของเซมิมีทัลในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
    - หากการพัฒนา NbP และวัสดุเซมิมีทัลอื่น ๆ ก้าวหน้า อาจแทนที่ทองแดงในวงจรระดับสูงได้ภายใน 10 ปี

    https://www.techradar.com/pro/after-semiconductors-semimetals-might-be-the-next-big-thing-as-the-tech-industry-looks-for-a-replacement-for-ubiquitous-copper
    ทองแดงเป็นตัวนำไฟฟ้ามาตรฐานมานานกว่า 200 ปี แต่เริ่มมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ นักวิจัยพบว่า Niobium Phosphide (NbP) มีคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่เหนือกว่าทองแดง โดยเฉพาะในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับนาโน NbP สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ได้ง่าย และช่วยลดการสูญเสียพลังงาน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายด้านการผลิต ที่ต้องแก้ไขก่อนจะนำมาใช้จริงในอุตสาหกรรม ✅ Niobium Phosphide เป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงในระดับนาโน - งานวิจัยของ Stanford University พบว่า NbP มีค่าความต้านทานต่ำกว่าทองแดงถึง 6 เท่า - เมื่อวัสดุมีความบางลง NbP ยังคงรักษาคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง ✅ เซมิมีทัลมีโครงสร้างทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน - NbP มี คุณสมบัติเฉพาะด้านโครงสร้างที่ช่วยให้การส่งผ่านอิเล็กตรอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น - นักวิจัยระบุว่า สามารถลดการใช้พลังงานในอุปกรณ์ขนาดเล็กได้ ✅ สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่มีอยู่ได้ง่าย - NbP สามารถถูกวางเป็น ฟิล์มที่อุณหภูมิ 400°C โดยไม่ทำให้ชิปซิลิคอนเสียหาย ✅ ยังคงมีความท้าทายด้านการผลิต - การควบคุมความหนาของชั้นฟิล์ม NbP เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความแม่นยำสูงมาก - หากชั้นฟิล์มมีความหนาไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้ค่าความต้านทานแปรปรวน ✅ อนาคตของเซมิมีทัลในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ - หากการพัฒนา NbP และวัสดุเซมิมีทัลอื่น ๆ ก้าวหน้า อาจแทนที่ทองแดงในวงจรระดับสูงได้ภายใน 10 ปี https://www.techradar.com/pro/after-semiconductors-semimetals-might-be-the-next-big-thing-as-the-tech-industry-looks-for-a-replacement-for-ubiquitous-copper
    0 Comments 0 Shares 419 Views 0 Reviews
  • SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา:
    - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials.

    อุปกรณ์ที่โดดเด่น:
    - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม.

    แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ:
    - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน.

    ความท้าทาย:
    - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    SiCarrier Technologies จากจีนกำลังก้าวสู่เวทีเซมิคอนดักเตอร์โลกด้วยการนำเสนอเครื่องมือการผลิตที่ครบวงจร ซึ่งอาจช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก ความเชื่อมโยงกับ Huawei และการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนช่วยให้บริษัทพัฒนานวัตกรรมได้รวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความสามารถของอุปกรณ์ แต่ก้าวนี้สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครือข่ายการวิจัยและพัฒนา: - บริษัทมีศูนย์วิจัยในเมืองสำคัญของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และซีอาน รวมถึงทีมวิศวกรจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น ASML และ Applied Materials. อุปกรณ์ที่โดดเด่น: - SiCarrier นำเสนอเครื่องมือที่สามารถทำงานในกระบวนการหลากหลาย เช่น การเคลือบด้วยวิธี ALD, CVD, PVD รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบ เช่น กล้องจุลทรรศน์กำลังอะตอม (AFM) และเครื่องวัดความหนาของฟิล์ม. แผนการสร้างระบบที่เป็นเอกเทศ: - SiCarrier อาจร่วมมือกับ Huawei เพื่อสร้างกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้เฉพาะเครื่องมือจากจีน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่โรงงานดังกล่าวจะพร้อมใช้งาน. ความท้าทาย: - ยังไม่ชัดเจนว่าอุปกรณ์ที่นำเสนอสามารถใช้งานร่วมกับระบบการผลิตที่มีอยู่ หรือมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือไม่. https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-sicarrier-challenges-u-s-and-eu-with-full-spectrum-of-chipmaking-equipment-huawei-linked-firm-makes-an-impressive-debut
    0 Comments 0 Shares 515 Views 0 Reviews
More Results