• #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • Outlook ล่มทั่วโลก – Microsoft เร่งแก้ไขหลังผู้ใช้เดือดร้อนหลายชั่วโมง

    ช่วงเย็นวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 ตามเวลา UTC ผู้ใช้ Outlook ทั่วโลกเริ่มรายงานปัญหาไม่สามารถเข้าถึงอีเมลได้ ไม่ว่าจะผ่านเว็บเบราว์เซอร์ แอปมือถือ หรือโปรแกรม Outlook บนเดสก์ท็อป โดยเฉพาะในช่วงเช้าของฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเวลาทำงาน ทำให้เกิดความวุ่นวายในการติดต่อสื่อสารขององค์กรและบุคคลทั่วไป

    Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการตั้งค่าระบบ authentication ที่ผิดพลาด และได้เริ่ม deploy การแก้ไขแบบเร่งด่วนในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พร้อมตรวจสอบการตั้งค่าคอนฟิกเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย

    แม้จะใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง แต่ในที่สุด Microsoft ก็ประกาศว่าได้แก้ไขปัญหาในโครงสร้างพื้นฐานเป้าหมายแล้ว และกำลังขยายการ deploy ไปยังผู้ใช้ทั่วโลก โดยผู้ดูแลระบบสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรหัสเหตุการณ์ EX1112414 ใน Microsoft 365 Admin Center

    https://www.techradar.com/pro/live/outlook-down-microsoft-email-platform-apparently-suffering-major-outage-heres-what-we-know
    Outlook ล่มทั่วโลก – Microsoft เร่งแก้ไขหลังผู้ใช้เดือดร้อนหลายชั่วโมง ช่วงเย็นวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 ตามเวลา UTC ผู้ใช้ Outlook ทั่วโลกเริ่มรายงานปัญหาไม่สามารถเข้าถึงอีเมลได้ ไม่ว่าจะผ่านเว็บเบราว์เซอร์ แอปมือถือ หรือโปรแกรม Outlook บนเดสก์ท็อป โดยเฉพาะในช่วงเช้าของฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเวลาทำงาน ทำให้เกิดความวุ่นวายในการติดต่อสื่อสารขององค์กรและบุคคลทั่วไป Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการตั้งค่าระบบ authentication ที่ผิดพลาด และได้เริ่ม deploy การแก้ไขแบบเร่งด่วนในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด พร้อมตรวจสอบการตั้งค่าคอนฟิกเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าระบบกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย แม้จะใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง แต่ในที่สุด Microsoft ก็ประกาศว่าได้แก้ไขปัญหาในโครงสร้างพื้นฐานเป้าหมายแล้ว และกำลังขยายการ deploy ไปยังผู้ใช้ทั่วโลก โดยผู้ดูแลระบบสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากรหัสเหตุการณ์ EX1112414 ใน Microsoft 365 Admin Center https://www.techradar.com/pro/live/outlook-down-microsoft-email-platform-apparently-suffering-major-outage-heres-what-we-know
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย

    จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์

    หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น:
    - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด
    - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง
    - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก
    - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้
    - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่:
    - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D
    - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight
    - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง
    - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ
    - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น: - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้ - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023 สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่: - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • Gemini เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอ – ก้าวใหม่ของ AI สร้างภาพเคลื่อนไหว
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini AI ที่ให้ผู้ใช้แบบเสียเงิน (Ultra และ Pro plan) สามารถเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้นความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง โดยเริ่มใช้งานได้ผ่านเว็บตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2025 และจะทยอยเปิดให้ใช้ในแอปมือถือตลอดสัปดาห์

    วิดีโอที่สร้างจะเป็นไฟล์ MP4 ความละเอียด 720p ในอัตราส่วน 16:9 และสามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจมากขึ้น ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเปิดตัวในงาน Google I/O เดือนพฤษภาคม และเคยใช้ในเครื่องมือสร้างหนังแบบเสียเงินชื่อ Flow

    Google ระบุว่ามีการควบคุมเบื้องหลังเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น:
    - ห้ามใช้ภาพของบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น คนดังหรือผู้นำประเทศ
    - ห้ามสร้างวิดีโอที่ส่งเสริมความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้ง

    แต่เมื่อ Bloomberg ทดสอบฟีเจอร์นี้ พบว่ามีข้อผิดพลาดหลายจุด:
    - AI เปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น ให้คนในภาพเต้น breakdance ได้
    - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า

    Google ยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ยังใหม่ และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน face animation และความแม่นยำของการตีความภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอใน Gemini AI สำหรับผู้ใช้ Ultra และ Pro
    - เริ่มใช้งานผ่านเว็บตั้งแต่ 10 ก.ค. และจะเปิดในแอปมือถือภายในสัปดาห์
    - วิดีโอที่สร้างมีความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง ความละเอียด 720p
    - ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเคยใช้ในเครื่องมือ Flow
    - สามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจ
    - Google มีนโยบายห้ามใช้ภาพบุคคลที่ระบุตัวตนได้ และห้ามเนื้อหาที่รุนแรง
    - บริษัทจะปรับปรุงเทคโนโลยี face animation ในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - AI อาจเปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น การเต้นหรือเคลื่อนไหวเฉพาะทาง
    - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า
    - ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาพบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เพื่อไม่ละเมิดนโยบาย
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อผิดพลาดที่ต้องระวัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/googles-gemini-ai-app-can-now-turn-photos-into-short-video-clips
    Gemini เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอ – ก้าวใหม่ของ AI สร้างภาพเคลื่อนไหว Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini AI ที่ให้ผู้ใช้แบบเสียเงิน (Ultra และ Pro plan) สามารถเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้นความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง โดยเริ่มใช้งานได้ผ่านเว็บตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2025 และจะทยอยเปิดให้ใช้ในแอปมือถือตลอดสัปดาห์ วิดีโอที่สร้างจะเป็นไฟล์ MP4 ความละเอียด 720p ในอัตราส่วน 16:9 และสามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจมากขึ้น ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเปิดตัวในงาน Google I/O เดือนพฤษภาคม และเคยใช้ในเครื่องมือสร้างหนังแบบเสียเงินชื่อ Flow Google ระบุว่ามีการควบคุมเบื้องหลังเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น: - ห้ามใช้ภาพของบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น คนดังหรือผู้นำประเทศ - ห้ามสร้างวิดีโอที่ส่งเสริมความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้ง แต่เมื่อ Bloomberg ทดสอบฟีเจอร์นี้ พบว่ามีข้อผิดพลาดหลายจุด: - AI เปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น ให้คนในภาพเต้น breakdance ได้ - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า Google ยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ยังใหม่ และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน face animation และความแม่นยำของการตีความภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอใน Gemini AI สำหรับผู้ใช้ Ultra และ Pro - เริ่มใช้งานผ่านเว็บตั้งแต่ 10 ก.ค. และจะเปิดในแอปมือถือภายในสัปดาห์ - วิดีโอที่สร้างมีความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง ความละเอียด 720p - ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเคยใช้ในเครื่องมือ Flow - สามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจ - Google มีนโยบายห้ามใช้ภาพบุคคลที่ระบุตัวตนได้ และห้ามเนื้อหาที่รุนแรง - บริษัทจะปรับปรุงเทคโนโลยี face animation ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - AI อาจเปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น การเต้นหรือเคลื่อนไหวเฉพาะทาง - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า - ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาพบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เพื่อไม่ละเมิดนโยบาย - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อผิดพลาดที่ต้องระวัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/googles-gemini-ai-app-can-now-turn-photos-into-short-video-clips
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง

    Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น:
    - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%)
    - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว
    - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google

    ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด:
    - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9%
    - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100%
    - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75%

    Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย

    ด้านราคาการใช้งาน:
    - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens

    แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป:
    - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด
    - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4
    - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy

    https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น: - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%) - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด: - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9% - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100% - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75% Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย ด้านราคาการใช้งาน: - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป: - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4 - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    WWW.NEOWIN.NET
    Elon Musk's xAI launches Grok 4, claiming top spot among industry AI models
    Elon Musk's xAI has launched its new flagship AI model, Grok-4, which demonstrates leading performance in various academic, reasoning, and coding benchmarks.
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่

    WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย

    Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง

    ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว
    - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out)
    - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager
    - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer
    - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร
    - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่
    - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager
    - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก
    - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต
    - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด

    https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2025 นี้ Microsoft เจอปัญหาหนักอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ Intune ทำให้การตั้งค่าความปลอดภัยหายไประหว่างอัปเดต ล่าสุด WSUS ซึ่งเป็นระบบสำคัญในการกระจายอัปเดต Windows ภายในองค์กร ก็เกิดปัญหาใหญ่ WSUS มีหน้าที่ซิงก์กับ Microsoft Update อย่างน้อยวันละครั้ง แต่ตอนนี้ผู้ดูแลระบบหลายคนพบว่า WSUS ไม่สามารถซิงก์ได้เลย—ระบบแสดงว่า “connection timed out” และไม่สามารถดึงอัปเดตมาได้ ทำให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS หรือ Configuration Manager ได้เลย Microsoft ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดจาก “การแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดในชั้นเก็บข้อมูล (storage layer)” และกำลังเร่งแก้ไขอยู่ แม้จะสามารถอัปเดตแบบ manual ได้ แต่ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องจำนวนมาก วิธีนี้ไม่ใช่ทางออกที่ใช้ได้จริง ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ Microsoft เคยประกาศเมื่อกันยายน 2024 ว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ WSUS อีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า WSUS กำลังจะถูกเลิกใช้ในอนาคต และแนะนำให้ย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Intune, Azure Update Manager และ Windows Autopatch แทน ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นในข่าว - WSUS ไม่สามารถซิงก์กับ Microsoft Update ได้ (connection timed out) - ส่งผลให้ไม่สามารถแจกจ่ายอัปเดตผ่าน WSUS และ Configuration Manager - Microsoft ยืนยันว่าปัญหาเกิดจากการแก้ไขอัปเดตที่ผิดพลาดใน storage layer - ยังไม่มีวิธีแก้ไขชั่วคราวที่ใช้ได้จริงในระดับองค์กร - Microsoft กำลังเร่งแก้ไขปัญหาอยู่ - WSUS เคยถูกประกาศว่าจะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกแล้วตั้งแต่ปี 2024 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - องค์กรที่ยังใช้ WSUS ควรเตรียมแผนย้ายไปใช้เครื่องมือใหม่ เช่น Intune หรือ Azure Update Manager - การอัปเดตแบบ manual ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีเครื่องจำนวนมาก - การพึ่งพา WSUS ต่อไปอาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความเสถียรในอนาคต - ควรติดตามสถานะการแก้ไขจาก Microsoft อย่างใกล้ชิด https://www.neowin.net/news/windows-server-update-services-wsus-is-broken-and-there-is-no-workaround/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Server Update Services (WSUS) is broken, and there is no workaround
    Microsoft has acknowledged a problem in Windows Server Update Services (WSUS) that is causing headaches for IT admins.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น เปิดแถลงข่าว แจง “ศ.ดร.พระมหาบุญเลิศ” พระลูกวัด ที่พัวพันสีกากอล์ฟ แสดงความรับผิดชอบลาสิกขาไปแล้ว ตนในฐานะเจ้าอาวาสแต่กำชับดูแลไม่ทั่วถึงจึงขอโทษพุทธศาสนิกชนและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ด้านเจ้าตัวยันไม่ได้ถูกวางยา เป็นความผิดพลาดของตัวเอง ขอจบชีวิตพระเพียงแค่นี้

    จากกรณีข่าวอื้อฉาว “สีกากอล์ฟ” มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระผู้ใหญ่หลายรูป แบะมีข่าวพัวพันไปถึงเจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้นนั้น ทำให้เมื่อวานที่ผ่านมา ทางวัดใหม่ยายแป้นได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก “วัดใหม่ยายแป้น” โดยยืนยันว่า เจ้าวาสวัดใหม่ยายแป้นไม่เคยรู้จัก และไม่เคยเกี่ยวข้องกับสีกาคนดังกล่าวแต่ประการใด โดยทางวัดใหม่ยายแป้น พร้อมให้ความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการดำเนินการพิสูจน์ทราบข้อมูลและหลักฐานต่างๆ อย่างเที่ยงตรงและเป็นธรรมกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อกรณีนี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065104

    #Thaitimes #MGROnline #สีกากอล์ฟ
    เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น เปิดแถลงข่าว แจง “ศ.ดร.พระมหาบุญเลิศ” พระลูกวัด ที่พัวพันสีกากอล์ฟ แสดงความรับผิดชอบลาสิกขาไปแล้ว ตนในฐานะเจ้าอาวาสแต่กำชับดูแลไม่ทั่วถึงจึงขอโทษพุทธศาสนิกชนและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ด้านเจ้าตัวยันไม่ได้ถูกวางยา เป็นความผิดพลาดของตัวเอง ขอจบชีวิตพระเพียงแค่นี้ • จากกรณีข่าวอื้อฉาว “สีกากอล์ฟ” มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระผู้ใหญ่หลายรูป แบะมีข่าวพัวพันไปถึงเจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้นนั้น ทำให้เมื่อวานที่ผ่านมา ทางวัดใหม่ยายแป้นได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก “วัดใหม่ยายแป้น” โดยยืนยันว่า เจ้าวาสวัดใหม่ยายแป้นไม่เคยรู้จัก และไม่เคยเกี่ยวข้องกับสีกาคนดังกล่าวแต่ประการใด โดยทางวัดใหม่ยายแป้น พร้อมให้ความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการดำเนินการพิสูจน์ทราบข้อมูลและหลักฐานต่างๆ อย่างเที่ยงตรงและเป็นธรรมกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อกรณีนี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000065104 • #Thaitimes #MGROnline #สีกากอล์ฟ
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy

    ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที

    ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI

    Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ  
    • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy  
    • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment

    สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:  
    • Xbox App  
    • Windows Media Player  
    • Notepad  
    • Camera  
    • Sound Recorder  
    • Windows Terminal  
    • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party

    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน

    เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก

    Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง

    ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น

    https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    เคยไหมที่เปิด Windows ใหม่ แล้วต้องมานั่งลบ Xbox, Notepad, Camera, Media Player, Terminal, Sound Recorder ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ — แต่บางอันก็กดยกเลิกไม่ได้? → ตอนนี้ Microsoft ใส่ทางลัด “ถอดได้แบบมีศักดิ์ศรี” มาให้แล้วใน Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 → โดยเพิ่มนโยบายชื่อว่า Remove Default Microsoft Store Packages ใน Group Policy ผู้ใช้ระดับองค์กร (โดยเฉพาะสาย Admin) สามารถเข้าไปที่ Computer Configuration > Administrative Templates > Windows Components > App Package Deployment → แล้วเลือกแอปที่ต้องการลบทิ้ง เช่น Xbox, Notepad, Terminal, Media Player ฯลฯ ได้ทันที ก่อนหน้านี้ถ้าจะทำแบบนี้ ต้องพึ่ง PowerShell, script พิเศษ หรือ image modify ซึ่งเสี่ยงผิดพลาดและยุ่งยากมาก → ตอนนี้ใช้ policy ของจริง → เสถียร + ได้ผลจริง + มี GUI ✅ Windows 11 25H2 เพิ่มฟีเจอร์ “Remove Default Microsoft Store Packages” สำหรับถอนแอป Microsoft ที่ติดมากับระบบ   • ใช้งานได้ผ่าน Group Policy   • เมนูอยู่ใน: App Package Deployment ✅ สามารถถอนแอปเหล่านี้ได้:   • Xbox App   • Windows Media Player   • Notepad   • Camera   • Sound Recorder   • Windows Terminal   • และอื่น ๆ ที่ติดมากับ Store โดยไม่ใช่แอป third-party ✅ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ UI สะอาด หรือสาย user ที่ไม่อยากเจอแอปซ้ำซ้อน ✅ เป็น native feature ครั้งแรกที่ไม่ต้องใช้ PowerShell หรือ script ภายนอก ✅ Microsoft ยืนยันว่าแม้ใน Windows 11 24H2 ก็จะมีฟีเจอร์นี้ด้วย แต่ต้องเปิดใช้งานเอง ✅ ผู้ใช้งานต้องกำหนดนโยบายก่อนการ login ของ user รายใหม่ → เพื่อให้หน้าจอสะอาดตั้งแต่ต้น https://www.techspot.com/news/108600-windows-11-25h2-adds-tool-debloat-os-remove.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows 11 25H2 adds tool to debloat the OS and remove built-in apps
    Windows Insiders recently discovered a setting in a preview version of Windows 11 version 25H2 that allows users to remove preinstalled apps. This new feature should help...
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • ถ้าเมื่อก่อนวิดีโอ AI เคยมีข้อบกพร่อง เช่น หน้ามนุษย์บิดเบี้ยว มือมี 6 นิ้ว หรือเส้นผมติดกันเป็นก้อน… วันนี้ AI กำลังทิ้งอดีตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง → ลองนึกถึงคลิป “Will Smith กินสปาเกตตี” ที่เคยดังเมื่อ 2 ปีก่อนในเวอร์ชันหลอน ๆ น่าขนลุก → แต่เวอร์ชันล่าสุดบน Veo 3 ของ Google กลับแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของปลอม!

    AI วิดีโอตอนนี้พัฒนาไปเร็วมาก → ภายใน 12 เดือน มีการเปิดตัวโมเดลใหม่อย่าง Luma Dream Machine, OpenAI Sora, Runway Gen-4 และ Veo 3 → วงการฮอลลีวูดเริ่มขยับ เช่น Lionsgate ทำดีลกับ Runway เพื่อสร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์ดังอย่าง John Wick หรือ Hunger Games → และ AI ถูกใช้ในการทำ Previs หรือ Storyboard ที่เคยต้องใช้เงินหลักล้าน → ตอนนี้แค่สร้างคลิป 10 วิ ที่มีทหารหมื่นคนก็พอให้ตัดสินใจแล้วว่าจะถ่ายทำจริงไหม

    แม้บางสตูดิโออย่าง Staircase Studio จะก้าวหน้าไปถึงขั้นผลิตภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วย AI ในต้นทุนไม่ถึง $500,000 → แต่ศิลปิน–ผู้กำกับบางคนยังปฏิเสธ AI เพราะมองว่า “ทำลายจินตนาการ” และไม่ต้องการให้เครื่องมือตัดสินแทน

    อย่างไรก็ดี Strickler จาก Georgia State บอกว่า “ต่อต้าน AI ตอนนี้ก็เหมือนทำธุรกิจโดยไม่มีอินเทอร์เน็ต” → แม้จะเข้าใจว่าคนกังวลเรื่องพลังงาน–ลิขสิทธิ์–ผลกระทบต่อแรงงานก็ตาม

    AI วิดีโอพัฒนาเร็วมากในปี 2024–2025 → สร้างภาพที่สมจริงจนแยกไม่ออกจากวิดีโอจริง  
    • เทคโนโลยีจาก Veo, Sora, Gen-4 และ Dream Machine  
    • ตัวอย่างคลิป Will Smith กินสปาเกตตีเวอร์ชันล่าสุดแทบไม่มีข้อผิดพลาด

    Runway AI จับมือ Lionsgate และ AMC สร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์หนังจริง  
    • ใช้ทำ Previsualization แทนการลงทุนหลายล้าน  
    • ช่วยตัดสินใจว่าควรถ่ายทำหรือไม่

    Staircase Studio ตั้งเป้าสร้างภาพยนตร์ AI ทั้งเรื่อง ในงบไม่ถึง $500,000 ต่อเรื่อง  
    • แต่ยังใช้แรงงานจริงจากกองถ่ายและนักสร้างสรรค์แบบ union

    บางคนใช้ AI เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการแก้ไขงาน (unlimited iteration) โดยไม่ต้องถ่ายใหม่

    นักศึกษาหลายคนต่อต้าน AI เพราะพลังงาน–การดูดเนื้อหาจากเจ้าของเดิม–ผลกระทบต่อแรงงาน

    Runway กำลังวางแผนขยายไปสู่ VR–AR และการสร้างโลกเสมือนจริงที่ถ่ายทำหนังได้เลย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/ai-video-becomes-more-convincing-rattling-creative-industry
    ถ้าเมื่อก่อนวิดีโอ AI เคยมีข้อบกพร่อง เช่น หน้ามนุษย์บิดเบี้ยว มือมี 6 นิ้ว หรือเส้นผมติดกันเป็นก้อน… วันนี้ AI กำลังทิ้งอดีตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง → ลองนึกถึงคลิป “Will Smith กินสปาเกตตี” ที่เคยดังเมื่อ 2 ปีก่อนในเวอร์ชันหลอน ๆ น่าขนลุก → แต่เวอร์ชันล่าสุดบน Veo 3 ของ Google กลับแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของปลอม! AI วิดีโอตอนนี้พัฒนาไปเร็วมาก → ภายใน 12 เดือน มีการเปิดตัวโมเดลใหม่อย่าง Luma Dream Machine, OpenAI Sora, Runway Gen-4 และ Veo 3 → วงการฮอลลีวูดเริ่มขยับ เช่น Lionsgate ทำดีลกับ Runway เพื่อสร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์ดังอย่าง John Wick หรือ Hunger Games → และ AI ถูกใช้ในการทำ Previs หรือ Storyboard ที่เคยต้องใช้เงินหลักล้าน → ตอนนี้แค่สร้างคลิป 10 วิ ที่มีทหารหมื่นคนก็พอให้ตัดสินใจแล้วว่าจะถ่ายทำจริงไหม แม้บางสตูดิโออย่าง Staircase Studio จะก้าวหน้าไปถึงขั้นผลิตภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วย AI ในต้นทุนไม่ถึง $500,000 → แต่ศิลปิน–ผู้กำกับบางคนยังปฏิเสธ AI เพราะมองว่า “ทำลายจินตนาการ” และไม่ต้องการให้เครื่องมือตัดสินแทน อย่างไรก็ดี Strickler จาก Georgia State บอกว่า “ต่อต้าน AI ตอนนี้ก็เหมือนทำธุรกิจโดยไม่มีอินเทอร์เน็ต” → แม้จะเข้าใจว่าคนกังวลเรื่องพลังงาน–ลิขสิทธิ์–ผลกระทบต่อแรงงานก็ตาม ✅ AI วิดีโอพัฒนาเร็วมากในปี 2024–2025 → สร้างภาพที่สมจริงจนแยกไม่ออกจากวิดีโอจริง   • เทคโนโลยีจาก Veo, Sora, Gen-4 และ Dream Machine   • ตัวอย่างคลิป Will Smith กินสปาเกตตีเวอร์ชันล่าสุดแทบไม่มีข้อผิดพลาด ✅ Runway AI จับมือ Lionsgate และ AMC สร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์หนังจริง   • ใช้ทำ Previsualization แทนการลงทุนหลายล้าน   • ช่วยตัดสินใจว่าควรถ่ายทำหรือไม่ ✅ Staircase Studio ตั้งเป้าสร้างภาพยนตร์ AI ทั้งเรื่อง ในงบไม่ถึง $500,000 ต่อเรื่อง   • แต่ยังใช้แรงงานจริงจากกองถ่ายและนักสร้างสรรค์แบบ union ✅ บางคนใช้ AI เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการแก้ไขงาน (unlimited iteration) โดยไม่ต้องถ่ายใหม่ ✅ นักศึกษาหลายคนต่อต้าน AI เพราะพลังงาน–การดูดเนื้อหาจากเจ้าของเดิม–ผลกระทบต่อแรงงาน ✅ Runway กำลังวางแผนขยายไปสู่ VR–AR และการสร้างโลกเสมือนจริงที่ถ่ายทำหนังได้เลย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/ai-video-becomes-more-convincing-rattling-creative-industry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI video becomes more convincing, rattling creative industry
    Gone are the days of six-fingered hands or distorted faces – AI-generated video is becoming increasingly convincing, attracting Hollywood, artists, and advertisers, while shaking the foundations of the creative industry.
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • พปชร. กระทุ้งรัฐบาล "กล้าๆ กลัวๆ" ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้เสียเปรียบเพราะรับมือช้าและผิดพลาดทางยุทธศาสตร์
    https://www.thai-tai.tv/news/20125/
    .
    #พลังประชารัฐ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข้อพิพาทดินแดน #ยูเอ็น #ปราสาทตาเมือนธม #ปราสาทตาเมือนโต๊ด #ปราสาทตาควาย #อธิปไตยไทย #การเมืองระหว่างประเทศ
    พปชร. กระทุ้งรัฐบาล "กล้าๆ กลัวๆ" ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้เสียเปรียบเพราะรับมือช้าและผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ https://www.thai-tai.tv/news/20125/ . #พลังประชารัฐ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข้อพิพาทดินแดน #ยูเอ็น #ปราสาทตาเมือนธม #ปราสาทตาเมือนโต๊ด #ปราสาทตาควาย #อธิปไตยไทย #การเมืองระหว่างประเทศ
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • พรรคประชาชนจี้ "คลัง-ต่างประเทศ" ลาออก! ชี้ภาษีสหรัฐฯ 36% สะท้อนนโยบายผิดพลาด
    https://www.thai-tai.tv/news/20121/
    #พรรคประชาชน #จุลพงศ์อยู่เกษ #ภาษีทรัมป์ #กระทรวงการคลัง #กระทรวงการต่างประเทศ #ลาออก #นโยบายผิดพลาด #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย
    พรรคประชาชนจี้ "คลัง-ต่างประเทศ" ลาออก! ชี้ภาษีสหรัฐฯ 36% สะท้อนนโยบายผิดพลาด https://www.thai-tai.tv/news/20121/ #พรรคประชาชน #จุลพงศ์อยู่เกษ #ภาษีทรัมป์ #กระทรวงการคลัง #กระทรวงการต่างประเทศ #ลาออก #นโยบายผิดพลาด #การเมืองไทย #เศรษฐกิจไทย
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ในพอดแคสต์ High Performance ตอนล่าสุด Mark Cuban ซึ่งมีทรัพย์สินราว $5.7 พันล้าน ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่า: “เราเพิ่งอยู่แค่ต้นทางของยุค Generative AI เท่านั้น” → เขาเชื่อว่ายังไม่เคยมีใครสร้างสิ่งที่ “ดีที่สุดหรือบ้าที่สุดจากมันเลยด้วยซ้ำ”

    และเช่นเดียวกับยุคแรกของพีซี สมาร์ตโฟน และอินเทอร์เน็ต — Cuban มองว่า AI มีพลังทำลายล้างแบบสร้างสรรค์ยิ่งกว่า → และจะมีสักคนที่คิดค้นรูปแบบที่ “ทำให้ AI กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน” → ซึ่ง “เขาอาจไม่ใช่นักลงทุนหรือผู้ก่อตั้งใหญ่โต แต่อาจเป็นแค่คนเดียวในห้องใต้ดิน และกลายเป็นเศรษฐีล้านล้านคนแรกของโลกได้”

    เขายังเปรียบเทียบการปฏิเสธ AI ว่าเหมือนกับที่คนยุคก่อนดูแคลนพีซี, อินเทอร์เน็ต, หรือสมาร์ตโฟน → สุดท้ายคนที่เข้าใจมันจะเป็นผู้ชนะ

    Cuban เองก็ใช้ AI อย่าง “บ้าคลั่ง” — ทั้งในชีวิตส่วนตัว, สุขภาพ, การออกกำลังกาย, เขียนซอฟต์แวร์ และแม้แต่ text-to-video → เขายอมรับว่า AI ยังมีผิดบ้าง แต่คนฉลาดจะเช็กและใช้อย่างรู้เท่าทัน

    Mark Cuban กล่าวว่า AI จะสร้างเศรษฐีระดับ $1 ล้านล้านคนแรกของโลก  
    • “อาจไม่ใช่ผู้ก่อตั้งดังๆ แต่เป็นแค่คนเดียวในห้องใต้ดิน”  
    • คล้ายยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต/คลาวด์ ที่มีผู้ชนะหน้าใหม่แจ้งเกิด

    เขาเชื่อว่าเรายังไม่เห็น AI ที่ทรงพลังสุดในระดับ “เปลี่ยนโลก”  
    • ชี้ว่าของจริงจะมาจากคนที่ “เปลี่ยน AI ให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตทุกวัน”

    เปรียบเทียบการต่อต้าน AI เหมือนยุคคนไม่เห็นค่าพีซีและมือถือ  
    • เชื่อว่าคนที่ “ด่า AI วันนี้” จะใช้อย่างเต็มที่ในวันหน้า

    Cuban ใช้ AI สำหรับงาน-สุขภาพ-ซอฟต์แวร์-วิดีโอโดยตรง  
    • ยอมรับว่า AI ยังผิดพลาดบ้าง และต้องตรวจสอบผลลัพธ์

    https://www.techspot.com/news/108572-mark-cuban-ai-could-create-first-trillionaire-ndash.html
    ในพอดแคสต์ High Performance ตอนล่าสุด Mark Cuban ซึ่งมีทรัพย์สินราว $5.7 พันล้าน ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่า: “เราเพิ่งอยู่แค่ต้นทางของยุค Generative AI เท่านั้น” → เขาเชื่อว่ายังไม่เคยมีใครสร้างสิ่งที่ “ดีที่สุดหรือบ้าที่สุดจากมันเลยด้วยซ้ำ” และเช่นเดียวกับยุคแรกของพีซี สมาร์ตโฟน และอินเทอร์เน็ต — Cuban มองว่า AI มีพลังทำลายล้างแบบสร้างสรรค์ยิ่งกว่า → และจะมีสักคนที่คิดค้นรูปแบบที่ “ทำให้ AI กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน” → ซึ่ง “เขาอาจไม่ใช่นักลงทุนหรือผู้ก่อตั้งใหญ่โต แต่อาจเป็นแค่คนเดียวในห้องใต้ดิน และกลายเป็นเศรษฐีล้านล้านคนแรกของโลกได้” เขายังเปรียบเทียบการปฏิเสธ AI ว่าเหมือนกับที่คนยุคก่อนดูแคลนพีซี, อินเทอร์เน็ต, หรือสมาร์ตโฟน → สุดท้ายคนที่เข้าใจมันจะเป็นผู้ชนะ Cuban เองก็ใช้ AI อย่าง “บ้าคลั่ง” — ทั้งในชีวิตส่วนตัว, สุขภาพ, การออกกำลังกาย, เขียนซอฟต์แวร์ และแม้แต่ text-to-video → เขายอมรับว่า AI ยังมีผิดบ้าง แต่คนฉลาดจะเช็กและใช้อย่างรู้เท่าทัน ✅ Mark Cuban กล่าวว่า AI จะสร้างเศรษฐีระดับ $1 ล้านล้านคนแรกของโลก   • “อาจไม่ใช่ผู้ก่อตั้งดังๆ แต่เป็นแค่คนเดียวในห้องใต้ดิน”   • คล้ายยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต/คลาวด์ ที่มีผู้ชนะหน้าใหม่แจ้งเกิด ✅ เขาเชื่อว่าเรายังไม่เห็น AI ที่ทรงพลังสุดในระดับ “เปลี่ยนโลก”   • ชี้ว่าของจริงจะมาจากคนที่ “เปลี่ยน AI ให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตทุกวัน” ✅ เปรียบเทียบการต่อต้าน AI เหมือนยุคคนไม่เห็นค่าพีซีและมือถือ   • เชื่อว่าคนที่ “ด่า AI วันนี้” จะใช้อย่างเต็มที่ในวันหน้า ✅ Cuban ใช้ AI สำหรับงาน-สุขภาพ-ซอฟต์แวร์-วิดีโอโดยตรง   • ยอมรับว่า AI ยังผิดพลาดบ้าง และต้องตรวจสอบผลลัพธ์ https://www.techspot.com/news/108572-mark-cuban-ai-could-create-first-trillionaire-ndash.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Mark Cuban says AI could create the first trillionaire – "just one dude in the basement"
    Cuban, who has an estimated fortune of around $5.7 billion, was extolling the virtues of AI on a recent episode of the High Performance podcast.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • ปกติแล้ว หากคุณเก็บรหัสผ่านหรือคีย์เข้ารหัสไว้ในอุปกรณ์ แฮกเกอร์ก็อาจหามันเจอได้ถ้าระบบโดนเจาะ → นักวิจัยเกาหลีเลยสร้างวิธีที่เรียกว่า “Concealable PUF” (Physical Unclonable Function) → ซึ่งไม่เพียงทำให้สร้างคีย์แบบสุ่มจากฮาร์ดแวร์ (คล้ายลายนิ้วมือของแต่ละชิป) ได้ → แต่ยังสามารถ “ซ่อนคีย์นั้นไว้ใต้ข้อมูลปกติ” ในหน่วยความจำ V-NAND แบบธรรมดา → และเปิดเผยออกมาเฉพาะเวลาจำเป็น!

    เคล็ดลับคือการใช้เทคนิค “GIDL Erase” (Gate-Induced Drain Leakage) แบบอ่อนๆ กับชั้นหน่วยความจำ → ทำให้เซลล์แต่ละชิปมีพฤติกรรมที่แตกต่างและคาดเดาไม่ได้ → นำมาใช้เป็น PUF ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนวงจรหรือออกแบบฮาร์ดแวร์ใหม่

    ที่เจ๋งคือระบบนี้สามารถซ่อน–เปิดเผยคีย์ได้มากกว่า 100 รอบโดยไม่ผิดพลาด แถมยังทนร้อน ทนเย็น และผ่านการอ่านมากกว่า 10 ล้านครั้ง — และที่สำคัญ…แม้แต่ AI ยังเดาคีย์นี้ไม่ได้เลย!

    นักวิจัยจาก Seoul National University พัฒนาเทคนิค "Concealable PUF" ใช้ซ่อนคีย์เข้ารหัสภายใต้ข้อมูลในแฟลช V-NAND ปกติ  
    • ไม่ต้องแก้ไขวงจรหรือออกแบบชิปใหม่  
    • ใช้กับ NAND แฟลชที่มีในตลาดได้ทันที

    ใช้เทคนิค GIDL Erase แบบอ่อนเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างเซลล์หน่วยความจำ  
    • ทำให้สร้าง PUF ที่ไม่ซ้ำ และปลอมแปลงไม่ได้  
    • อ่านค่าได้เฉพาะเมื่ออยู่ในสถานะที่เหมาะสม

    เทคโนโลยีนี้ผ่านการทดสอบอุณหภูมิ–ความทนทาน:  
    • อ่านได้ >10 ล้านครั้ง  
    • ปลอดภัยแม้ในความร้อนสูง–เย็นสุดขีด  
    • ซ่อน–เผยรหัสได้เกิน 100 รอบโดยไม่ผิดพลาด

    สามารถต้านการโจมตีแบบ Machine Learning ได้  
    • อัลกอริธึมต่าง ๆ ไม่สามารถเดาคีย์ได้ดีกว่าการสุ่ม

    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสถาปัตยกรรมชิป → ช่วยให้เทคโนโลยีขยายการใช้งานได้เร็ว  
    • รองรับการใช้ในอุปกรณ์ทั่วไป เช่น IoT, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ ฯลฯ

    https://www.techradar.com/pro/this-surprisingly-simple-way-to-hide-hardware-security-keys-in-mainstream-flash-memory-could-pave-the-way-for-ultra-secure-storage-very-soon
    ปกติแล้ว หากคุณเก็บรหัสผ่านหรือคีย์เข้ารหัสไว้ในอุปกรณ์ แฮกเกอร์ก็อาจหามันเจอได้ถ้าระบบโดนเจาะ → นักวิจัยเกาหลีเลยสร้างวิธีที่เรียกว่า “Concealable PUF” (Physical Unclonable Function) → ซึ่งไม่เพียงทำให้สร้างคีย์แบบสุ่มจากฮาร์ดแวร์ (คล้ายลายนิ้วมือของแต่ละชิป) ได้ → แต่ยังสามารถ “ซ่อนคีย์นั้นไว้ใต้ข้อมูลปกติ” ในหน่วยความจำ V-NAND แบบธรรมดา → และเปิดเผยออกมาเฉพาะเวลาจำเป็น! เคล็ดลับคือการใช้เทคนิค “GIDL Erase” (Gate-Induced Drain Leakage) แบบอ่อนๆ กับชั้นหน่วยความจำ → ทำให้เซลล์แต่ละชิปมีพฤติกรรมที่แตกต่างและคาดเดาไม่ได้ → นำมาใช้เป็น PUF ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนวงจรหรือออกแบบฮาร์ดแวร์ใหม่ ที่เจ๋งคือระบบนี้สามารถซ่อน–เปิดเผยคีย์ได้มากกว่า 100 รอบโดยไม่ผิดพลาด แถมยังทนร้อน ทนเย็น และผ่านการอ่านมากกว่า 10 ล้านครั้ง — และที่สำคัญ…แม้แต่ AI ยังเดาคีย์นี้ไม่ได้เลย! ✅ นักวิจัยจาก Seoul National University พัฒนาเทคนิค "Concealable PUF" ใช้ซ่อนคีย์เข้ารหัสภายใต้ข้อมูลในแฟลช V-NAND ปกติ   • ไม่ต้องแก้ไขวงจรหรือออกแบบชิปใหม่   • ใช้กับ NAND แฟลชที่มีในตลาดได้ทันที ✅ ใช้เทคนิค GIDL Erase แบบอ่อนเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างเซลล์หน่วยความจำ   • ทำให้สร้าง PUF ที่ไม่ซ้ำ และปลอมแปลงไม่ได้   • อ่านค่าได้เฉพาะเมื่ออยู่ในสถานะที่เหมาะสม ✅ เทคโนโลยีนี้ผ่านการทดสอบอุณหภูมิ–ความทนทาน:   • อ่านได้ >10 ล้านครั้ง   • ปลอดภัยแม้ในความร้อนสูง–เย็นสุดขีด   • ซ่อน–เผยรหัสได้เกิน 100 รอบโดยไม่ผิดพลาด ✅ สามารถต้านการโจมตีแบบ Machine Learning ได้   • อัลกอริธึมต่าง ๆ ไม่สามารถเดาคีย์ได้ดีกว่าการสุ่ม ✅ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสถาปัตยกรรมชิป → ช่วยให้เทคโนโลยีขยายการใช้งานได้เร็ว   • รองรับการใช้ในอุปกรณ์ทั่วไป เช่น IoT, สมาร์ตโฟน, รถยนต์ ฯลฯ https://www.techradar.com/pro/this-surprisingly-simple-way-to-hide-hardware-security-keys-in-mainstream-flash-memory-could-pave-the-way-for-ultra-secure-storage-very-soon
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews


  • อนาคตถ้าเรามีนายกฯใหม่ที่ดีที่เก่งเฉลียวฉลาด,ด้วยสมบัติทรัพยากรไทยธรรมชาติที่ไม่แพ้ชาติใดๆในโลกตลอดวัตถุดิบที่มากมายหลากหลายที่ซ่อนอยู่อีกมาก,เราสามารถวิวัฒนาการตนเองพัฒนาบุคลากรภายในประเทศเยาวชนเราคนรุ่นต่อไปพร้อมก้าวรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคสมัยใหม่ได้สบาย, อาทิ เป็นฮับสร้างยานบินภายในประเทศ ภายในโลกหรือยานบินอวกาศแบบยานufoได้อย่างเปิดเผยโดยขนส่งวัตถุดิบการผลิตจากทุกๆมุมโลกได้สบายผ่านทางทะเลทางเรือในคลองคอดกระเราที่อาจขุดคลองด้วย สร้างแลนด์บริดจ์คู่ขนานคลองด้วยอรรถประโยชน์สูงสุดเลย,สร้างเครื่องบินก็ได้ส่งออกทั่วโลก,สร้างยานบินอวกาศก็ได้ส่งออกทั่วโลกหรือจักรวาล,สร้างเรือบรรทุกขนาดเล็ก ขนาดกลางขนาดใหญ่ก็ได้ เป็นฮับสาระพัดบนบริเวณพื้นที่บริหารจัดการสากลนี้ซึ่งเป็นของไทยเรา100%จึงนายกฯคนใหม่ต้องระดมแจกหุ้นฟรีๆให้คนไทยถือครองเป็นเจ้าของร่วมกันจริงจับต้องได้เป็นรูปธรรม มิใช่อ้างว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของตัวแทนให้แล้วไง จะเรียกร้องอะไรอีก มันมิใช่การเรียกร้องแต่คืออธิปไตยคุณประโยชน์จริงแก่สิทธิของคนไทยทุกๆคนร่วมกันบนแผ่นดินไทยเรานี้ มิใช่รัฐบาลไปฮั่วผลประโยชน์กันเองทั้งแก่กิจการบริษัททุนเอกชนภายในเองและถึงขั้นยกสิทธิขาดแก่เอกชนนายทุนต่างชาติก็เคยทำมาแล้วแบบสัมปทานบ่อปิโตรเลียมสุดท้ายคนไทยทั้งประเทศได้จ่ายค่าน้ำมันราคาแพงค่าครองชีพแพงสาระพัดค่าใช้จ่ายแพงเป็นการตอบแทนคืนมาและยิ่งปตท.เข้าsetอีกยิ่งอนาถโคตรๆกว่าก่อนจะเข้าตลาดหุ้นอีก,นี้คือการปกครองบริหารจัดการที่ไม่ชอบต่อคนไทยทั้งประเทศและไม่ยอมทุบทิ้งกฎหมายที่ทำร้ายทำลายคนไทยจริงจังอะไรด้วย,ปฏิวัตการปกครองล้างระบบเก่าโมฆะระบบทาสเก่าจึงสมควรจริงๆ,ถ้านายกฯใหม่มาจริงก็จะติดกับดักหมากในกระดานมันกรอบมันจึงต้องทำลายกรอบซาตานนีัจึงอิสระเสรีก้าวรุ่งโรจน์ต่อไปได้จริง,
    ..ประเทศไทยถ้าเอาเฉพาะผลิตเครื่องบินรบหรือขับไล่ เราสามารถทำได้แน่นอน เตรียมคนไทยบุคลากรเรารอรับหน้างานก็ทันกาลด้วย,อนาคตต้องเข้าร่วมสภากาแล็กติกจักรวาลอยู่แล้วต้องชัดเจนเปิดตัวให้คนไทยพร้อมมุ่งหมายไปด้วยกันให้เต็มที่ในรอบมิติรอบด้านต่างๆนั้น,ขีปนาวุธยิงระยะไกลสำคัญที่สุดในยุคนี้,ทำลายชัดเจนแบบอิหร่านยิงระเบิดอิสราเอลนั้นล่ะ,เครื่องบินแทบไร้ประโยชน์ไร้ค่า,ดาวเทียมตัวพ่อล็อกเป้าแล้วบนโลกต้องมีเป็นของตัวเอง,ตลอดดาวเทียมยิงจากอวกาศลงสู่พื้นโลกด้วยยิ่งตัวเทพ,ปืนดาวเทียมความถี่สูงปล่อยคลื่นทำลายโดรนทุกๆชนิดทางสงครามแก่ศัตรูก็ได้,เครื่องบินเจออาจตกง่ายๆทุกรุ่นทุกเครื่องล่ะที่แน่ๆจะบินถึง2-3มัคพื้นๆหรือ6-10มัคกลางๆหรือยานบินufoมากว่า10มัคก็ไม่รอด,ยิ่งยานบินต่างดาวใช้จิตบังคับ คลื่นความถี่ยิงใส่สมองต่างดาวมีรวนอาจตกดับอนาถอย่างหลายๆที่ที่พบยานตกก็ได้นอกจากยิงกันเองก็ว่า,ปืนดาวเทียมลักษณะนี้อันตรายมาก สามารถยิงควบคุมได้ตกผิวโลกก็ได้ กำหนดชั้นบรรยากาศก็ได้อีก ห่างจากผิวโลกแค่10เมตรนับจากผิวดินขึ้นมา,อะไรเกินสูงกว่า10เมตรกระทบคลื่นนี้มีอักเสบหมด,คือกำหนดการทำลายล้างได้สาระพัดรูปแบบ ยิงทัังทวีปก็ได้ ยิงครอบคลุมตามอาณาเขตประเทศที่ขีดเป็นเส้นคตเคียวได้หมด,คืออาการหนักหากโดน โดยเฉพาะเครื่องบินมีตกดับอนาถแน่นอน,เราคนไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้สบายแลกเปลี่ยนกับจักรวาลอื่นได้แน่นอนผ่านจิตวิญญาณทะลุจักรวาลอื่นนั้นล่ะ,เพราะคนไทยหลายคนบรรลุไปแล้วไม่น้อยแต่จะมาชี้แนะหรือเปล่าแค่นั้นหรือปลีกวิเวกทางธรรมสถานะเดียวก็ว่า,แต่อนาคตคนไทยจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณโดยมาก,จึงสบายแน่นอน,ย่อมาปัจจุบัน เราร่ำรวยอยู่แล้วจริงๆ จึงสามารถซื้อหรือผลิตเครื่องบินได้หมดล่ะ,แต่จะทำมั้ย,เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันอาเชียน ป้องกันเอเชีย ผลิตป้องกันพิทักษ์โลกเข้าร่วมกับกองกำลังพิทักษ์โลกมีพร้อมรับหากยานอวกาศต่างดาวจากโลกอื่นมารุกรานเรา,นี้มิใช่จะไม่เกิด แต่จะเกิดแน่นอนในเวลาอันใกล้นี้ เพราะทั่วจักรวาลรับรู้นานแล้วว่าที่โลกเรามีทรัพยากรสำคัญที่ช่วยเหลือโลกเขาได้ในแต่ละแร่ธาตุนัันๆบางคนมาปล้นโลกเราเพื่อยึดไปขายทั่วจักรวาลก็มี,ชาวโลกเราจึงต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา,สงครามจักรวาลมีแน่เกิดแน่นอน,ยิ่งหากเราช้าเข้าร่วมสภากาแล็กติกอีกจะตายเดียวทันที,ไทยเราต้องร่วมมือกับมิตรสหายดีจริงๆ เพราะสุดท้ายเรานี้ล่ะจะเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีล้ำๆนั้นแก่หลายๆประเทศมิตรสหายเรานั้นแทน,นายกฯคนใหม่หรือผู้ปกครองประเทศไทยเราจะผิดพลาดอีกไม่ได้จริงๆห้ามพวกกากๆกระจอก บ้าบอทางการเมืองเล่นการเมืองหมายแดกหมายโกงห้ามเข้ามาเด็ดขาดเพราะโลกในอนาคตภายหน้ายุคต่อไปนี้ ไม่ใช่ของเล่นๆแล้ว,พังพินาศคือพังจริงๆ,คือชื่อประเทศและประชากรอาจไม่หลงเหลือเลย,คัดออกจากโลกใบนี้จริงๆ.คือทุกๆคนในประเทศนั้นล่ะ,จะผู้นำผู้ปกครองหรือประชาชนก็ไปหมด,แบบเรามองหมากัดกันนั้นล่ะ,เราคือต่างจักรวาลอารยะธรรมสูงกว่าเขาเบื่อหน่ายคนบนโลกนี้เขาลงมติระเบิดทิ้งมันจบเลยนะ,เขามองว่าเราคือสัตว์ตัวหนึ่ง หมาสีดำ หมาสีขวา หมาด่อนหมาลายหมาแดงหมาเผือกหมาเหลืองหมาใดๆมันมองเราคือหมากัดกันนะ หมาในโลกนี้ไร้อารยะธรรมเอาแต่กัดกันมันว่า,มันไม่สนใจว่าหมาเหลืองถูก หมาขาวกัดก่อนนะ,มันไม่สนใจ มันทำลายบ้านหมานี้ทิ้ง ไล่หนีฆ่าทิ้งก็ได้นะคือระเบิดทิ้งนั้นล่ะ,กลัวโรคหมาบ้าไปติดคนจักรวาลมันก็ว่าหรือข้ามกำแพงน้ำแข็งไปก็ได้หรือระเบิดนิวเคลียร์ทำลายโลกซวยคือสมดุลจักรวาลพังไปด้วย มันกลัวตายด้วยเลยลงมากำจัดเราเสียทั้งหมดก็ได้,นี้มโนนะ,
    ..ประเทศไทยเราจริงๆถึงเวลาสร้างเครื่องบินรบเป็นของตนเองได้แล้วเพื่อทดลองมือเพิ่มทักษะในอนาคตต่อการสร้างยานบินอวกาศได้ ตลอดเตรียมบุคลากรคนไทยไว้รองรับขับยานบินได้ทุกๆคนด้วย หรือเครื่องบินรบจอดอยู่คนไทยคนไหนก็ขับออกไปสู้รบได้ทันทีนั้นเอง,เราต้องสร้างสิ่งนี้ลักษณะนี้จริงๆ ผู้นำไหนตายลง เราผลักดันผู้นำคนดีคนใหม่พร้อมนำทัพได้ทันทีนั้นล่ะ,ต้องเลิกมักใหญ่ใฝ่กอดตำแหน่งเก้าอี้ตนเองไว้ได้แล้ว,ขาดคุณสมบัติถีบออกทันทีเป็นต้น.

    https://youtu.be/YEKK-Qutymo?si=7IwCsCHZAMWOAaOa
    อนาคตถ้าเรามีนายกฯใหม่ที่ดีที่เก่งเฉลียวฉลาด,ด้วยสมบัติทรัพยากรไทยธรรมชาติที่ไม่แพ้ชาติใดๆในโลกตลอดวัตถุดิบที่มากมายหลากหลายที่ซ่อนอยู่อีกมาก,เราสามารถวิวัฒนาการตนเองพัฒนาบุคลากรภายในประเทศเยาวชนเราคนรุ่นต่อไปพร้อมก้าวรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคสมัยใหม่ได้สบาย, อาทิ เป็นฮับสร้างยานบินภายในประเทศ ภายในโลกหรือยานบินอวกาศแบบยานufoได้อย่างเปิดเผยโดยขนส่งวัตถุดิบการผลิตจากทุกๆมุมโลกได้สบายผ่านทางทะเลทางเรือในคลองคอดกระเราที่อาจขุดคลองด้วย สร้างแลนด์บริดจ์คู่ขนานคลองด้วยอรรถประโยชน์สูงสุดเลย,สร้างเครื่องบินก็ได้ส่งออกทั่วโลก,สร้างยานบินอวกาศก็ได้ส่งออกทั่วโลกหรือจักรวาล,สร้างเรือบรรทุกขนาดเล็ก ขนาดกลางขนาดใหญ่ก็ได้ เป็นฮับสาระพัดบนบริเวณพื้นที่บริหารจัดการสากลนี้ซึ่งเป็นของไทยเรา100%จึงนายกฯคนใหม่ต้องระดมแจกหุ้นฟรีๆให้คนไทยถือครองเป็นเจ้าของร่วมกันจริงจับต้องได้เป็นรูปธรรม มิใช่อ้างว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของตัวแทนให้แล้วไง จะเรียกร้องอะไรอีก มันมิใช่การเรียกร้องแต่คืออธิปไตยคุณประโยชน์จริงแก่สิทธิของคนไทยทุกๆคนร่วมกันบนแผ่นดินไทยเรานี้ มิใช่รัฐบาลไปฮั่วผลประโยชน์กันเองทั้งแก่กิจการบริษัททุนเอกชนภายในเองและถึงขั้นยกสิทธิขาดแก่เอกชนนายทุนต่างชาติก็เคยทำมาแล้วแบบสัมปทานบ่อปิโตรเลียมสุดท้ายคนไทยทั้งประเทศได้จ่ายค่าน้ำมันราคาแพงค่าครองชีพแพงสาระพัดค่าใช้จ่ายแพงเป็นการตอบแทนคืนมาและยิ่งปตท.เข้าsetอีกยิ่งอนาถโคตรๆกว่าก่อนจะเข้าตลาดหุ้นอีก,นี้คือการปกครองบริหารจัดการที่ไม่ชอบต่อคนไทยทั้งประเทศและไม่ยอมทุบทิ้งกฎหมายที่ทำร้ายทำลายคนไทยจริงจังอะไรด้วย,ปฏิวัตการปกครองล้างระบบเก่าโมฆะระบบทาสเก่าจึงสมควรจริงๆ,ถ้านายกฯใหม่มาจริงก็จะติดกับดักหมากในกระดานมันกรอบมันจึงต้องทำลายกรอบซาตานนีัจึงอิสระเสรีก้าวรุ่งโรจน์ต่อไปได้จริง, ..ประเทศไทยถ้าเอาเฉพาะผลิตเครื่องบินรบหรือขับไล่ เราสามารถทำได้แน่นอน เตรียมคนไทยบุคลากรเรารอรับหน้างานก็ทันกาลด้วย,อนาคตต้องเข้าร่วมสภากาแล็กติกจักรวาลอยู่แล้วต้องชัดเจนเปิดตัวให้คนไทยพร้อมมุ่งหมายไปด้วยกันให้เต็มที่ในรอบมิติรอบด้านต่างๆนั้น,ขีปนาวุธยิงระยะไกลสำคัญที่สุดในยุคนี้,ทำลายชัดเจนแบบอิหร่านยิงระเบิดอิสราเอลนั้นล่ะ,เครื่องบินแทบไร้ประโยชน์ไร้ค่า,ดาวเทียมตัวพ่อล็อกเป้าแล้วบนโลกต้องมีเป็นของตัวเอง,ตลอดดาวเทียมยิงจากอวกาศลงสู่พื้นโลกด้วยยิ่งตัวเทพ,ปืนดาวเทียมความถี่สูงปล่อยคลื่นทำลายโดรนทุกๆชนิดทางสงครามแก่ศัตรูก็ได้,เครื่องบินเจออาจตกง่ายๆทุกรุ่นทุกเครื่องล่ะที่แน่ๆจะบินถึง2-3มัคพื้นๆหรือ6-10มัคกลางๆหรือยานบินufoมากว่า10มัคก็ไม่รอด,ยิ่งยานบินต่างดาวใช้จิตบังคับ คลื่นความถี่ยิงใส่สมองต่างดาวมีรวนอาจตกดับอนาถอย่างหลายๆที่ที่พบยานตกก็ได้นอกจากยิงกันเองก็ว่า,ปืนดาวเทียมลักษณะนี้อันตรายมาก สามารถยิงควบคุมได้ตกผิวโลกก็ได้ กำหนดชั้นบรรยากาศก็ได้อีก ห่างจากผิวโลกแค่10เมตรนับจากผิวดินขึ้นมา,อะไรเกินสูงกว่า10เมตรกระทบคลื่นนี้มีอักเสบหมด,คือกำหนดการทำลายล้างได้สาระพัดรูปแบบ ยิงทัังทวีปก็ได้ ยิงครอบคลุมตามอาณาเขตประเทศที่ขีดเป็นเส้นคตเคียวได้หมด,คืออาการหนักหากโดน โดยเฉพาะเครื่องบินมีตกดับอนาถแน่นอน,เราคนไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้สบายแลกเปลี่ยนกับจักรวาลอื่นได้แน่นอนผ่านจิตวิญญาณทะลุจักรวาลอื่นนั้นล่ะ,เพราะคนไทยหลายคนบรรลุไปแล้วไม่น้อยแต่จะมาชี้แนะหรือเปล่าแค่นั้นหรือปลีกวิเวกทางธรรมสถานะเดียวก็ว่า,แต่อนาคตคนไทยจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณโดยมาก,จึงสบายแน่นอน,ย่อมาปัจจุบัน เราร่ำรวยอยู่แล้วจริงๆ จึงสามารถซื้อหรือผลิตเครื่องบินได้หมดล่ะ,แต่จะทำมั้ย,เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันอาเชียน ป้องกันเอเชีย ผลิตป้องกันพิทักษ์โลกเข้าร่วมกับกองกำลังพิทักษ์โลกมีพร้อมรับหากยานอวกาศต่างดาวจากโลกอื่นมารุกรานเรา,นี้มิใช่จะไม่เกิด แต่จะเกิดแน่นอนในเวลาอันใกล้นี้ เพราะทั่วจักรวาลรับรู้นานแล้วว่าที่โลกเรามีทรัพยากรสำคัญที่ช่วยเหลือโลกเขาได้ในแต่ละแร่ธาตุนัันๆบางคนมาปล้นโลกเราเพื่อยึดไปขายทั่วจักรวาลก็มี,ชาวโลกเราจึงต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา,สงครามจักรวาลมีแน่เกิดแน่นอน,ยิ่งหากเราช้าเข้าร่วมสภากาแล็กติกอีกจะตายเดียวทันที,ไทยเราต้องร่วมมือกับมิตรสหายดีจริงๆ เพราะสุดท้ายเรานี้ล่ะจะเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีล้ำๆนั้นแก่หลายๆประเทศมิตรสหายเรานั้นแทน,นายกฯคนใหม่หรือผู้ปกครองประเทศไทยเราจะผิดพลาดอีกไม่ได้จริงๆห้ามพวกกากๆกระจอก บ้าบอทางการเมืองเล่นการเมืองหมายแดกหมายโกงห้ามเข้ามาเด็ดขาดเพราะโลกในอนาคตภายหน้ายุคต่อไปนี้ ไม่ใช่ของเล่นๆแล้ว,พังพินาศคือพังจริงๆ,คือชื่อประเทศและประชากรอาจไม่หลงเหลือเลย,คัดออกจากโลกใบนี้จริงๆ.คือทุกๆคนในประเทศนั้นล่ะ,จะผู้นำผู้ปกครองหรือประชาชนก็ไปหมด,แบบเรามองหมากัดกันนั้นล่ะ,เราคือต่างจักรวาลอารยะธรรมสูงกว่าเขาเบื่อหน่ายคนบนโลกนี้เขาลงมติระเบิดทิ้งมันจบเลยนะ,เขามองว่าเราคือสัตว์ตัวหนึ่ง หมาสีดำ หมาสีขวา หมาด่อนหมาลายหมาแดงหมาเผือกหมาเหลืองหมาใดๆมันมองเราคือหมากัดกันนะ หมาในโลกนี้ไร้อารยะธรรมเอาแต่กัดกันมันว่า,มันไม่สนใจว่าหมาเหลืองถูก หมาขาวกัดก่อนนะ,มันไม่สนใจ มันทำลายบ้านหมานี้ทิ้ง ไล่หนีฆ่าทิ้งก็ได้นะคือระเบิดทิ้งนั้นล่ะ,กลัวโรคหมาบ้าไปติดคนจักรวาลมันก็ว่าหรือข้ามกำแพงน้ำแข็งไปก็ได้หรือระเบิดนิวเคลียร์ทำลายโลกซวยคือสมดุลจักรวาลพังไปด้วย มันกลัวตายด้วยเลยลงมากำจัดเราเสียทั้งหมดก็ได้,นี้มโนนะ, ..ประเทศไทยเราจริงๆถึงเวลาสร้างเครื่องบินรบเป็นของตนเองได้แล้วเพื่อทดลองมือเพิ่มทักษะในอนาคตต่อการสร้างยานบินอวกาศได้ ตลอดเตรียมบุคลากรคนไทยไว้รองรับขับยานบินได้ทุกๆคนด้วย หรือเครื่องบินรบจอดอยู่คนไทยคนไหนก็ขับออกไปสู้รบได้ทันทีนั้นเอง,เราต้องสร้างสิ่งนี้ลักษณะนี้จริงๆ ผู้นำไหนตายลง เราผลักดันผู้นำคนดีคนใหม่พร้อมนำทัพได้ทันทีนั้นล่ะ,ต้องเลิกมักใหญ่ใฝ่กอดตำแหน่งเก้าอี้ตนเองไว้ได้แล้ว,ขาดคุณสมบัติถีบออกทันทีเป็นต้น. https://youtu.be/YEKK-Qutymo?si=7IwCsCHZAMWOAaOa
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • แม้บริษัทต่าง ๆ จะลงเงินลงทุนมหาศาลเพื่อนำ “AI Assistant” มาช่วยงานในคอลเซนเตอร์ ทั้งในแง่การถอดเสียงพูดเป็นข้อความ สรุปการสนทนา หรือช่วยตรวจจับอารมณ์ของลูกค้า → แต่ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจีนและบริษัทพลังงานที่ใช้ระบบนี้จริง กลับเผยว่า AI สร้าง “ปัญหามากกว่าความช่วยเหลือ” สำหรับพนักงานแนวหน้าอย่างแท้จริง

    ตัวอย่างปัญหาที่เจอ:
    - ถอดเสียงพูดเป็นข้อความแบบผิด ๆ
    - อ่านเบอร์โทรศัพท์จากเสียงผิดพลาด
    - เข้าใจคำพ้องเสียง (homophones) ผิด
    - สรุปบทสนทนาไม่ตรงประเด็น
    - ตรวจจับอารมณ์คนผิด (เช่น แค่พูดเสียงดัง → ถูกตีความว่าโกรธ)

    แม้จะลดงานพิมพ์เอกสารได้นิดหน่อย แต่พนักงานต้องเสียเวลาตรวจ–แก้เนื้อหาเกือบทั้งหมด บางคนถึงขั้นบอกว่า “AI ไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิดเลย” และสุดท้ายต้องทำเองแทบทั้งหมดอยู่ดี

    AI Assistant สำหรับคอลเซนเตอร์ ถูกประเมินว่า “ช่วยบางเรื่อง แต่อยู่ไกลจากคำว่าอัจฉริยะ”  
    • ประสิทธิภาพยังไม่ถึงขั้นแทนที่การทำงานของพนักงานได้จริง

    ถอดเสียง (Speech-to-Text) มีความผิดพลาดสูง  
    • ฟังสำเนียงหลากหลายไม่ออก  
    • ถอดหมายเลขผิด ทำให้ต้องกรอกเอง

    เข้าใจคำพ้องเสียงผิด (เช่น knew vs. new)  
    • ทำให้ความหมายในบทสนทนาเพี้ยน

    Emotion Detection มีความคลาดเคลื่อน  
    • แยกแยะอารมณ์ได้แค่ไม่กี่แบบ  
    • เข้าใจผิดว่า “เสียงดัง = โกรธ” ทั้งที่ผู้พูดแค่เสียงใหญ่  
    • พนักงานส่วนใหญ่เลือก “มองข้าม” แท็กอารมณ์จาก AI

    AI ช่วยลดงานพิมพ์นิดหน่อย แต่ผลลัพธ์ยังไม่พร้อมใช้ทันที  
    • ต้องแก้ไขสรุปการสนทนาเยอะ  
    • มักพลาดข้อมูลสำคัญจากลูกค้า

    การศึกษาชี้ว่า AI เพิ่ม “ภาระการเรียนรู้” ให้พนักงานมากกว่าที่คาด  
    • ต้องเรียนรู้วิธีแก้ข้อมูลจาก AI  
    • ทำให้ไม่ได้ประหยัดเวลาจริงเท่าไร

    Gartner คาดการณ์ว่าเกิน 40% ของโปรเจกต์ Agentic AI จะถูกยกเลิกภายในปี 2027  
    • และกว่า 50% ขององค์กรที่ตั้งใจใช้ AI แทนคน จะ “ทบทวนแผน”

    https://www.techspot.com/news/108547-call-center-workers-their-ai-assistants-create-more.html
    แม้บริษัทต่าง ๆ จะลงเงินลงทุนมหาศาลเพื่อนำ “AI Assistant” มาช่วยงานในคอลเซนเตอร์ ทั้งในแง่การถอดเสียงพูดเป็นข้อความ สรุปการสนทนา หรือช่วยตรวจจับอารมณ์ของลูกค้า → แต่ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจีนและบริษัทพลังงานที่ใช้ระบบนี้จริง กลับเผยว่า AI สร้าง “ปัญหามากกว่าความช่วยเหลือ” สำหรับพนักงานแนวหน้าอย่างแท้จริง ตัวอย่างปัญหาที่เจอ: - ถอดเสียงพูดเป็นข้อความแบบผิด ๆ - อ่านเบอร์โทรศัพท์จากเสียงผิดพลาด - เข้าใจคำพ้องเสียง (homophones) ผิด - สรุปบทสนทนาไม่ตรงประเด็น - ตรวจจับอารมณ์คนผิด (เช่น แค่พูดเสียงดัง → ถูกตีความว่าโกรธ) แม้จะลดงานพิมพ์เอกสารได้นิดหน่อย แต่พนักงานต้องเสียเวลาตรวจ–แก้เนื้อหาเกือบทั้งหมด บางคนถึงขั้นบอกว่า “AI ไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิดเลย” และสุดท้ายต้องทำเองแทบทั้งหมดอยู่ดี ✅ AI Assistant สำหรับคอลเซนเตอร์ ถูกประเมินว่า “ช่วยบางเรื่อง แต่อยู่ไกลจากคำว่าอัจฉริยะ”   • ประสิทธิภาพยังไม่ถึงขั้นแทนที่การทำงานของพนักงานได้จริง ✅ ถอดเสียง (Speech-to-Text) มีความผิดพลาดสูง   • ฟังสำเนียงหลากหลายไม่ออก   • ถอดหมายเลขผิด ทำให้ต้องกรอกเอง ✅ เข้าใจคำพ้องเสียงผิด (เช่น knew vs. new)   • ทำให้ความหมายในบทสนทนาเพี้ยน ✅ Emotion Detection มีความคลาดเคลื่อน   • แยกแยะอารมณ์ได้แค่ไม่กี่แบบ   • เข้าใจผิดว่า “เสียงดัง = โกรธ” ทั้งที่ผู้พูดแค่เสียงใหญ่   • พนักงานส่วนใหญ่เลือก “มองข้าม” แท็กอารมณ์จาก AI ✅ AI ช่วยลดงานพิมพ์นิดหน่อย แต่ผลลัพธ์ยังไม่พร้อมใช้ทันที   • ต้องแก้ไขสรุปการสนทนาเยอะ   • มักพลาดข้อมูลสำคัญจากลูกค้า ✅ การศึกษาชี้ว่า AI เพิ่ม “ภาระการเรียนรู้” ให้พนักงานมากกว่าที่คาด   • ต้องเรียนรู้วิธีแก้ข้อมูลจาก AI   • ทำให้ไม่ได้ประหยัดเวลาจริงเท่าไร ✅ Gartner คาดการณ์ว่าเกิน 40% ของโปรเจกต์ Agentic AI จะถูกยกเลิกภายในปี 2027   • และกว่า 50% ขององค์กรที่ตั้งใจใช้ AI แทนคน จะ “ทบทวนแผน” https://www.techspot.com/news/108547-call-center-workers-their-ai-assistants-create-more.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Call center workers say their AI assistants create more problems than they solve
    A study carried out by researchers from several Chinese universities and a Chinese power company looked at what impact AI assistants were having on the plant's customer...
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น

    - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร
    - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้
    - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด)
    - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป

    บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ

    สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security:
    1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี  
    • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม
    • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์  
    • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง

    2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?  
    • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ  
    • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ  
    • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร

    3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP  
    • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน  
    • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์

    4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)  
    • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน  
    • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting  
    • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”  
    • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM

    5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)  
    • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก  
    • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account  
    • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้ - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด) - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ ✅ สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security: 1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์   • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี   • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์   • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง 2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?   • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ   • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ   • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร 3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์   • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP   • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน   • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์ 4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)   • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน   • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting   • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”   • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM 5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)   • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก   • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account   • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 multicloud security challenges — and how to address them
    From inadequate visibility to access management complexity, multicloud environments take baseline cloud security issues to another level.
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ สุขภาพร่างกายมีเกณฑ์จะเจ็บป่วยที่ตา หัวใจ ความดันโลหิต ระบบเลือด ร้อนใน พร้อมทั้งควรระวังภัย จากการถูกน้ำมัน น้ำร้อน หรือไฟลวก จะเจ็บปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง เกิดแผลพุพองจนเป็นหนอง มีเกณฑ์จะเกิดเหตุเรื่องร้ายที่ไม่คาดคิด ภัยจากเพลิงไหม้ ภัยจากระเบิด เกิดโศกนาฏกรรมจากกิจกรรม งานเลี้ยงงานเฉลิมฉลอง ควรตรวจตราเครื่องใช้ไม้สอย อุปกรณ์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นปลอดภัย อีกทั้งจะโชคร้ายเพราะเพศหญิงนำพาปัญหาให้เดือดร้อน จะมีปัญหากับคนในเครื่องแบบให้ติดตามสืบ หรือถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามระราน พาลจิตใจให้ไม่สงบเกิดการเก็บกด ส่งผลให้อารมณ์รุนแรง วู่วาม จนกำลังใจหดถดถอย ทำให้สมองตื้อตีบตัน เป็นเหตุให้ตัดสินใจผิดพลาดจนเสียชื่อ เสียเสียง เสียเครดิต

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนนี้ สุขภาพร่างกายมีเกณฑ์จะเจ็บป่วยที่ตา หัวใจ ความดันโลหิต ระบบเลือด ร้อนใน พร้อมทั้งควรระวังภัย จากการถูกน้ำมัน น้ำร้อน หรือไฟลวก จะเจ็บปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนัง เกิดแผลพุพองจนเป็นหนอง มีเกณฑ์จะเกิดเหตุเรื่องร้ายที่ไม่คาดคิด ภัยจากเพลิงไหม้ ภัยจากระเบิด เกิดโศกนาฏกรรมจากกิจกรรม งานเลี้ยงงานเฉลิมฉลอง ควรตรวจตราเครื่องใช้ไม้สอย อุปกรณ์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้อย่างราบรื่นปลอดภัย อีกทั้งจะโชคร้ายเพราะเพศหญิงนำพาปัญหาให้เดือดร้อน จะมีปัญหากับคนในเครื่องแบบให้ติดตามสืบ หรือถูกผู้มีอิทธิพลคุกคามระราน พาลจิตใจให้ไม่สงบเกิดการเก็บกด ส่งผลให้อารมณ์รุนแรง วู่วาม จนกำลังใจหดถดถอย ทำให้สมองตื้อตีบตัน เป็นเหตุให้ตัดสินใจผิดพลาดจนเสียชื่อ เสียเสียง เสียเครดิต ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • ทีมวิจัยของ ศ. Michael Chan กำลังนำเอาความเชี่ยวชาญด้าน “อวัยวะจิ๋ว (organoids)” ซึ่งสร้างจาก เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเอง มารวมเข้ากับโครงสร้างทางเดินหายใจที่พิมพ์ด้วย เครื่องพิมพ์ 3 มิติ → เป้าหมายคือ “พิมพ์อวัยวะที่ใช้งานได้จริง โดยร่างกายไม่ปฏิเสธ เพราะสร้างจากเซลล์ของเราเอง!”

    ที่ผ่านมา แม้จะมีการพิมพ์ airway ด้วย biomaterials ได้แล้ว แต่ “ปัญหาใหญ่คือมันไม่มีเซลล์ → จึงไม่ทำงานจริง” เช่น ไม่สร้างเยื่อเมือก ไม่ขยับขนเล็ก ๆ ที่ดันเสมหะ → ทีมของ HKU จึงคิดต่อยอดว่า “งั้นเราก็นำ organoid ไปฝังลงในโครงสร้าง 3D เลยสิ!”

    ฟังดูเหมือน sci-fi ใช่ไหมครับ? แต่ตอนนี้เขากำลังทดสอบขั้นตอนจริงแล้ว:
    - ใช้ไม้พัน organoid เหมือนเสียบลูกชิ้น → ยึดกับวัสดุพิมพ์
    - พัฒนาเครื่องจักรจากความร่วมมือกับ Hitachi → ให้เลี้ยงอวัยวะจิ๋วแบบอัตโนมัติ
    - เปลี่ยนจากการที่นักวิจัย 1 คนเลี้ยง organoid ได้แค่ 1 ชุด → เป็นระบบที่ทำงานกับ 128 ชุดพร้อมกัน!

    นอกจากนี้ organoid ยังถูกใช้ทดสอบยา–วัคซีนส่วนตัวได้ด้วย → อนาคตการแพทย์อาจเข้าสู่ยุค “made to order for you” ก็เป็นได้ครับ

    HKU พัฒนาอวัยวะเทียมโดยผสาน organoid (เซลล์คนไข้เอง) เข้ากับวัสดุพิมพ์ 3D  
    • เริ่มต้นที่ “ทางเดินหายใจ” สำหรับผู้ป่วยไฟไหม้หรือบาดเจ็บ  
    • ใช้เซลล์จากการ swab ปากคนไข้ → เพาะเลี้ยงเป็น organoid

    พัฒนาเครื่องเลี้ยง organoid ร่วมกับ Hitachi  
    • ทำงานอัตโนมัติได้พร้อมกัน 128 ตัวอย่าง  
    • ลดภาระแรงงานมนุษย์–ความผิดพลาด  
    • เตรียมเข้าสู่การผลิตอวัยวะแบบ mass-personalized

    organoid จาก HKU สามารถจำลองการตอบสนองต่อยา-วัคซีนได้แม่นยำ  
    • ขายให้บริษัทยาเพื่อใช้ทดสอบยา  
    • เป็นตัวเร่งการแพทย์แม่นยำ (precision medicine)

    HKU ตั้งบริษัท spin-off ชื่อ C2iTech รองรับการผลิต organoid เชิงพาณิชย์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/university-of-hong-kong-scientists-explore-growing-organs-with-3d-printing-tech
    ทีมวิจัยของ ศ. Michael Chan กำลังนำเอาความเชี่ยวชาญด้าน “อวัยวะจิ๋ว (organoids)” ซึ่งสร้างจาก เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเอง มารวมเข้ากับโครงสร้างทางเดินหายใจที่พิมพ์ด้วย เครื่องพิมพ์ 3 มิติ → เป้าหมายคือ “พิมพ์อวัยวะที่ใช้งานได้จริง โดยร่างกายไม่ปฏิเสธ เพราะสร้างจากเซลล์ของเราเอง!” ที่ผ่านมา แม้จะมีการพิมพ์ airway ด้วย biomaterials ได้แล้ว แต่ “ปัญหาใหญ่คือมันไม่มีเซลล์ → จึงไม่ทำงานจริง” เช่น ไม่สร้างเยื่อเมือก ไม่ขยับขนเล็ก ๆ ที่ดันเสมหะ → ทีมของ HKU จึงคิดต่อยอดว่า “งั้นเราก็นำ organoid ไปฝังลงในโครงสร้าง 3D เลยสิ!” 💡 ฟังดูเหมือน sci-fi ใช่ไหมครับ? แต่ตอนนี้เขากำลังทดสอบขั้นตอนจริงแล้ว: - ใช้ไม้พัน organoid เหมือนเสียบลูกชิ้น → ยึดกับวัสดุพิมพ์ - พัฒนาเครื่องจักรจากความร่วมมือกับ Hitachi → ให้เลี้ยงอวัยวะจิ๋วแบบอัตโนมัติ - เปลี่ยนจากการที่นักวิจัย 1 คนเลี้ยง organoid ได้แค่ 1 ชุด → เป็นระบบที่ทำงานกับ 128 ชุดพร้อมกัน! นอกจากนี้ organoid ยังถูกใช้ทดสอบยา–วัคซีนส่วนตัวได้ด้วย → อนาคตการแพทย์อาจเข้าสู่ยุค “made to order for you” ก็เป็นได้ครับ ✅ HKU พัฒนาอวัยวะเทียมโดยผสาน organoid (เซลล์คนไข้เอง) เข้ากับวัสดุพิมพ์ 3D   • เริ่มต้นที่ “ทางเดินหายใจ” สำหรับผู้ป่วยไฟไหม้หรือบาดเจ็บ   • ใช้เซลล์จากการ swab ปากคนไข้ → เพาะเลี้ยงเป็น organoid ✅ พัฒนาเครื่องเลี้ยง organoid ร่วมกับ Hitachi   • ทำงานอัตโนมัติได้พร้อมกัน 128 ตัวอย่าง   • ลดภาระแรงงานมนุษย์–ความผิดพลาด   • เตรียมเข้าสู่การผลิตอวัยวะแบบ mass-personalized ✅ organoid จาก HKU สามารถจำลองการตอบสนองต่อยา-วัคซีนได้แม่นยำ   • ขายให้บริษัทยาเพื่อใช้ทดสอบยา   • เป็นตัวเร่งการแพทย์แม่นยำ (precision medicine) ✅ HKU ตั้งบริษัท spin-off ชื่อ C2iTech รองรับการผลิต organoid เชิงพาณิชย์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/university-of-hong-kong-scientists-explore-growing-organs-with-3d-printing-tech
    WWW.THESTAR.COM.MY
    University of Hong Kong scientists explore growing organs with 3D printing tech
    Professor Michael Chan says his team is looking to produce personalised 3D-printed airways for burn victims using patients' cells.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • จากเดิมหุ่นยนต์ Amazon แค่ย้ายชั้นวางของ วันนี้มันเหมือน “รถยนต์ในเมืองที่มีระบบจัดการจราจร AI” เลยครับ

    Amazon ประกาศว่าเพิ่งติดตั้ง “หุ่นยนต์ตัวที่ 1 ล้าน” ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น และกำลังจะมีหุ่นยนต์มากกว่าพนักงานมนุษย์ในคลังสินค้าอีกด้วย! ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า Amazon มีพนักงานกว่า 1.56 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายคลังสินค้า — ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่ milestone ธรรมดา

    เบื้องหลังทั้งหมดคือ AI ชื่อ DeepFleet ที่ทำหน้าที่เหมือน “ระบบจัดการจราจรในเมืองที่รถทุกคันคือหุ่นยนต์” → มันสามารถลดระยะทาง + เวลาที่หุ่นยนต์ต้องเดินทางได้ 10% → ซึ่งเมื่อเอาไปคูณกับภารกิจระดับล้านคำสั่งต่อวัน ผลกระทบคือระดับพันล้านดอลลาร์ได้เลยครับ

    Amazon มีหุ่นยนต์หลายประเภท เช่น:
    - Hercules: ยกของหนักได้ 1,250 ปอนด์
    - Pegasus: ใช้สายพานจัดการพัสดุเล็ก
    - Proteus: หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติแบบ fully autonomous ที่เดินผ่านพนักงานได้

    บริษัทกำลังทดสอบการให้หุ่นยนต์รับคำสั่งเสียงจากพนักงาน และ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์แบบมีแขน–ขา–หัว” ก็อยู่ในสายงานวิจัยแล้ว!

    Amazon ยืนยันว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่ตัวแย่งงาน แต่ช่วยเปลี่ยนแรงงานเป็นงานที่ใช้ทักษะมากขึ้น — ปัจจุบันมีพนักงาน 700,000 คนที่ถูกอัปสกิลไปทำงานร่วมกับเทคโนโลยี หรืองานที่จ่ายสูงกว่าเดิม

    Amazon เพิ่งติดตั้งหุ่นยนต์ตัวที่ 1,000,000 ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น  
    • เป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้ automation ในคลังสินค้า  
    • หุ่นยนต์เริ่มมีจำนวนใกล้เคียงหรือมากกว่าคนในคลังแล้ว

    AI ชื่อ DeepFleet ช่วยจัดเส้นทางและเวลาเดินของหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น 10%  
    • เทียบได้กับระบบจัดการจราจรในเมืองสำหรับหุ่นยนต์  
    • ช่วยลดเวลาจัดของและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลงได้มาก

    Amazon มีหุ่นยนต์หลายรุ่นที่ทำงานต่างกัน:  
    • Hercules (ยกของหนัก)  
    • Pegasus (คัดแยกพัสดุ)  
    • Proteus (เคลื่อนที่อิสระได้ในคลัง)

    Amazon ฝึกอบรมพนักงานกว่า 700,000 คนให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี  
    • เช่น ฝึกซ่อมหุ่นยนต์, ตรวจระบบ, เขียนคำสั่ง  
    • สร้างงานใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม

    บริษัทอยู่ระหว่างทดสอบหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถเดิน–ยกของ–ตอบโต้พนักงานได้

    การเติบโตของหุ่นยนต์แบบก้าวกระโดด อาจทำให้แรงงานที่ไม่ได้ reskill หลุดออกจากระบบงานในอนาคต  
    • โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานซ้ำ ๆ แต่ไม่ปรับตัว

    AI ที่ควบคุมหุ่นยนต์ เช่น DeepFleet ยังไม่มีรายงานด้านการ audit ความโปร่งใสหรือ bias  
    • ความผิดพลาดอาจกระทบระบบโลจิสติกส์ทั้งสายงาน

    การจัดการจราจรของหุ่นยนต์ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ ต้องการความปลอดภัยสูงมาก  
    • ถ้า AI คำนวณพลาด หุ่นยนต์ชนคนหรือข้าวของมีผลทันที

    แพลตฟอร์มอย่าง Amazon ที่ควบคุมทั้งแรงงานมนุษย์และหุ่นยนต์ใน ecosystem เดียว อาจเกิด “อำนาจต่อรองไม่สมดุล”  
    • โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีนโยบายด้าน AI Labor & Automation

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amazon-just-deployed-its-one-millionth-robot-in-its-warehouses-and-theyll-soon-outnumber-humans-generative-ai-to-help-cut-robot-fleet-travel-time-by-10-percent
    จากเดิมหุ่นยนต์ Amazon แค่ย้ายชั้นวางของ วันนี้มันเหมือน “รถยนต์ในเมืองที่มีระบบจัดการจราจร AI” เลยครับ Amazon ประกาศว่าเพิ่งติดตั้ง “หุ่นยนต์ตัวที่ 1 ล้าน” ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น และกำลังจะมีหุ่นยนต์มากกว่าพนักงานมนุษย์ในคลังสินค้าอีกด้วย! ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า Amazon มีพนักงานกว่า 1.56 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายคลังสินค้า — ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่ milestone ธรรมดา เบื้องหลังทั้งหมดคือ AI ชื่อ DeepFleet ที่ทำหน้าที่เหมือน “ระบบจัดการจราจรในเมืองที่รถทุกคันคือหุ่นยนต์” → มันสามารถลดระยะทาง + เวลาที่หุ่นยนต์ต้องเดินทางได้ 10% → ซึ่งเมื่อเอาไปคูณกับภารกิจระดับล้านคำสั่งต่อวัน ผลกระทบคือระดับพันล้านดอลลาร์ได้เลยครับ Amazon มีหุ่นยนต์หลายประเภท เช่น: - Hercules: ยกของหนักได้ 1,250 ปอนด์ - Pegasus: ใช้สายพานจัดการพัสดุเล็ก - Proteus: หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติแบบ fully autonomous ที่เดินผ่านพนักงานได้ บริษัทกำลังทดสอบการให้หุ่นยนต์รับคำสั่งเสียงจากพนักงาน และ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์แบบมีแขน–ขา–หัว” ก็อยู่ในสายงานวิจัยแล้ว! Amazon ยืนยันว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่ตัวแย่งงาน แต่ช่วยเปลี่ยนแรงงานเป็นงานที่ใช้ทักษะมากขึ้น — ปัจจุบันมีพนักงาน 700,000 คนที่ถูกอัปสกิลไปทำงานร่วมกับเทคโนโลยี หรืองานที่จ่ายสูงกว่าเดิม ✅ Amazon เพิ่งติดตั้งหุ่นยนต์ตัวที่ 1,000,000 ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น   • เป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้ automation ในคลังสินค้า   • หุ่นยนต์เริ่มมีจำนวนใกล้เคียงหรือมากกว่าคนในคลังแล้ว ✅ AI ชื่อ DeepFleet ช่วยจัดเส้นทางและเวลาเดินของหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น 10%   • เทียบได้กับระบบจัดการจราจรในเมืองสำหรับหุ่นยนต์   • ช่วยลดเวลาจัดของและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลงได้มาก ✅ Amazon มีหุ่นยนต์หลายรุ่นที่ทำงานต่างกัน:   • Hercules (ยกของหนัก)   • Pegasus (คัดแยกพัสดุ)   • Proteus (เคลื่อนที่อิสระได้ในคลัง) ✅ Amazon ฝึกอบรมพนักงานกว่า 700,000 คนให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี   • เช่น ฝึกซ่อมหุ่นยนต์, ตรวจระบบ, เขียนคำสั่ง   • สร้างงานใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม ✅ บริษัทอยู่ระหว่างทดสอบหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถเดิน–ยกของ–ตอบโต้พนักงานได้ ‼️ การเติบโตของหุ่นยนต์แบบก้าวกระโดด อาจทำให้แรงงานที่ไม่ได้ reskill หลุดออกจากระบบงานในอนาคต   • โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานซ้ำ ๆ แต่ไม่ปรับตัว ‼️ AI ที่ควบคุมหุ่นยนต์ เช่น DeepFleet ยังไม่มีรายงานด้านการ audit ความโปร่งใสหรือ bias   • ความผิดพลาดอาจกระทบระบบโลจิสติกส์ทั้งสายงาน ‼️ การจัดการจราจรของหุ่นยนต์ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ ต้องการความปลอดภัยสูงมาก   • ถ้า AI คำนวณพลาด หุ่นยนต์ชนคนหรือข้าวของมีผลทันที ‼️ แพลตฟอร์มอย่าง Amazon ที่ควบคุมทั้งแรงงานมนุษย์และหุ่นยนต์ใน ecosystem เดียว อาจเกิด “อำนาจต่อรองไม่สมดุล”   • โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีนโยบายด้าน AI Labor & Automation https://www.tomshardware.com/tech-industry/amazon-just-deployed-its-one-millionth-robot-in-its-warehouses-and-theyll-soon-outnumber-humans-generative-ai-to-help-cut-robot-fleet-travel-time-by-10-percent
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • ทบ.ยันปักหมุด ”ปราสาทตาเมือนธม” ให้ไปอยู่ในเขตกัมพูชา ไม่มีผลทางกฎหมาย ระบุข้อมูลในกูเกิลแมปผิดพลาดสูง ยันฝ่ายไทยใช้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทนี้มาโดยตลอด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062301

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ทบ.ยันปักหมุด ”ปราสาทตาเมือนธม” ให้ไปอยู่ในเขตกัมพูชา ไม่มีผลทางกฎหมาย ระบุข้อมูลในกูเกิลแมปผิดพลาดสูง ยันฝ่ายไทยใช้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทนี้มาโดยตลอด อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000062301 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Angry
    2
    1 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ

    WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม

    นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา

    บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ:
    - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple
    - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี
    - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง

    ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat

    Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:  
    • Facebook phone → ล้มเหลว  
    • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย  
    • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล  
    • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน

    AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)  
    • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม  
    • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร

    ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:  
    • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม  
    • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)  
    • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม

    โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:  
    • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%  
    • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร

    เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:  
    • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple  
    • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้  
    • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป

    Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ: - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat ✅ Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:   • Facebook phone → ล้มเหลว   • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย   • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล   • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน ✅ AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)   • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม   • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร ✅ ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:   • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม   • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)   • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม ✅ โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:   • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%   • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร ✅ เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:   • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple   • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้   • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป ✅ Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why Mark Zuckerberg and Meta can't build the future
    Here's how absolute power trapped Facebook's parent company — and how Steve Jobs broke free.
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ

    กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น

    การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก

    สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา

    ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด

    "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์"

    #Newskit
    ความตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ คนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผลงานโดดเด่น นอกจากไปเป็นพยานให้ทักษิณ ผู้ต้องหาคดี 112 ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สองพ่อลูก ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ปลุกกระแสชาตินิยม นำปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และช่องบก ร้องต่อศาลโลก ขอให้ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากจะแถลงข่าวรายวันก็ไม่มีอะไรโดดเด่น การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเจบีซีฝ่ายไทย เป็นที่เคลือบแคลงสงสัย นอกจากจะเป็นคู่กรณีนายวีระ สมความคิด เคยบีบบังคับให้ยอมรับผิดว่าบุกรุกดินแดนกัมพูชาและด่าว่าเป็นตัวปัญหาแล้ว ในการประชุมเจบีซีมีไลน์หลุดออกมาว่า นายประศาสน์ พยายามโน้มน้าวให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน ทำให้เจ้าตัวถึงกับโกรธและไม่คุยด้วย หนำซ้ำ กัมพูชายังสรุปผลการประชุมว่าตกลงใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้คนไทยโกรธแค้นเพราะเสียเปรียบ ร้อนถึงกระทรวงต้องออกแถลงการณ์ตอนดึก ยืนยันว่าไม่ได้หารือ พร้อมแสดงความผิดหวังที่กัมพูชาเดินหน้านำพื้นที่ 4 จุดขึ้นสู่ศาลโลก สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ MOU 2543 ถึง MOU 2544 รู้อยู่แล้วว่าเป็นตัวการที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน มีการระบุว่าต้องใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ใช่ 1 ต่อ 50,000 เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าทำไมกัมพูชาเจรจากับเวียดนามใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ทำไมไทยถึงยอมใช้มาตรา 1 ต่อ 200,000 ส่วนนายประศาสน์ นับตั้งแต่ไปประชุมเจบีซี 3 สัปดาห์แล้วกลับมา ไม่เคยบอกคนไทยว่าไปพูดอะไรบ้าง และไม่บอกว่าไปลงนามข้อตกลงอะไรไว้ เปรียบเป็นไส้ศึกของกัมพูชา ที่น่าสนใจ คือ บทความหัวข้อ Thai diplomacy is now in need of a reset เขียนโดย กวี จงกิจถาวร ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุในตอนหนึ่งว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำผิดพลาดทางการทูตร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน แม้กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทางการทูตที่เหลืออยู่ แต่ขวัญกำลังใจตกต่ำเป็นประวัติการณ์ นักการทูตและเจ้าหน้าที่รู้สึกว่าถูกละเลยและเพิกเฉย นับตั้งแต่แพทองธารเข้ารับตำแหน่ง การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจการต่างประเทศก็ดำเนินการโดยทักษิณ และกลุ่มคนใกล้ชิด "นับตั้งแต่ ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีต รมว.ต่างประเทศ ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ก็ไร้ทิศทาง ไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งมาควบคุม และไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะควบคุมความเสียหายหรือวางแผนกลยุทธ์" #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้:

    1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:**
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
    * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น
    * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ

    2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:**
    * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
    * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี

    3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:**
    * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
    * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ)
    * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา

    4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:**
    * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน
    * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ

    5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:**
    * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ
    * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20)

    6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:**
    * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี
    * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน

    7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:**
    * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ)
    * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย)

    8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:**
    * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
    * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด

    9. **การแก้ไขวิกฤต:**
    * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ

    10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:**
    * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร

    **หมายเหตุ:**
    * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ
    * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี
    * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย

    สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    หน้าที่หลักของนายกรัฐมนตรี (Prime Minister) ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เช่น ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น) มีดังนี้: 1. **เป็นหัวหน้ารัฐบาล:** * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน * กำหนดนโยบายของคณะรัฐมนตรี (Cabinet) และรับผิดชอบต่อการดำเนินนโยบายนั้น * คุมทิศทางและประสานงานการทำงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ 2. **คัดเลือกและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี:** * เป็นผู้เสนอชื่อบุคคลเพื่อพระมหากษัตริย์ (ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ) หรือประมุขแห่งรัฐ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี * มีอำนาจปรับเปลี่ยน (reshuffle) คณะรัฐมนตรี โดยการแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี 3. **เป็นผู้นำในรัฐสภา:** * แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา * ตอบคำถามและชี้แจงนโยบายในการอภิปรายทั่วไปในรัฐสภา (เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ) * เสนอร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลต่อรัฐสภา 4. **เป็นโฆษกหลักของรัฐบาล:** * ชี้แจงนโยบายและสถานการณ์สำคัญของประเทศต่อสาธารณชน * เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการแถลงข่าวหรือสื่อสารในประเด็นเร่งด่วนหรือสำคัญระดับชาติ 5. **เป็นผู้แทนประเทศในเวทีระหว่างประเทศ:** * เป็นตัวแทนสูงสุดของรัฐบาลในการเยือนต่างประเทศและต้อนรับผู้นำต่างประเทศ * เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศ (เช่น การประชุมอาเซียน สหประชาชาติ G20) 6. **เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี:** * เรียกประชุมและเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี * นำเสนอวาระการประชุมและชี้ขาดในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกัน 7. **รับผิดชอบต่อความมั่นคงของชาติ:** * เป็นประธานในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง (เช่น คณะกรรมการนโยบายต่างประเทศ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ - ในบางประเทศ) * เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพในยามสงบ (ในบางประเทศ เช่น อังกฤษ) หรือประสานงานกับฝ่ายทหาร (ในประเทศที่ประมุขแห่งรัฐเป็นผู้บัญชาการสูงสุด เช่น ไทย) 8. **การใช้อำนาจตามกฎหมาย:** * ลงนามในพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และเอกสารราชการสำคัญต่างๆ ร่วมกับรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ * ใช้อำนาจอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด 9. **การแก้ไขวิกฤต:** * เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจและแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือภัยธรรมชาติ 10. **การรับผิดชอบทางการเมือง:** * ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาและประชาชน หากรัฐบาลบริหารงานผิดพลาดหรือนโยบายล้มเหลว นายกรัฐมนตรีมักจะเป็นผู้ที่ต้องลาออกหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนใคร **หมายเหตุ:** * รายละเอียดหน้าที่และอำนาจอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและประเพณีทางการเมืองของประเทศนั้นๆ * ในประเทศไทย หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2560) โดยเฉพาะในมาตรา 171, 172, 173 และหมวด 6 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี * นายกรัฐมนตรีต้องดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย สรุปได้ว่า นายกรัฐมนตรีมีบทบาทสำคัญที่สุดในฝ่ายบริหาร ในการกำหนดทิศทางประเทศ นำการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นศูนย์กลางในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ของชาติ
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • ..นายกฯลาออกก็จบแล้ว,โทนี่ไปติดคุกก็ด้วย,ไม่เสียหายอะไรเลย แค่ทำเพื่อชาติ,ดีต่อชาติเสียอีก,พ้นโทษก็เดินเชิดหน้าชูตาปกติได้อีก,แปลกทำไมไม่ทำตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทย,กลับมาเลี้ยงหลานก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเลย,ฟ้าก็ให้อภัยโทษแน่นอน.,คือไม่สนใจว่าทั้งหมดคือแผนของอีลิทdeep stateหรอกนะคือวางสนุ๊ควางหมากเรื่องนี้ไว้รอแล้วระหว่างฮุนเซนกับไทยนี้ในนามรัฐบาลลูกโทนี่,คือทั้งหมดสองฝ่ายคือคนของdeep stateทั้งหมด,สั่งละครแบบไหนควบคุมได้หมด,เผลออาจฟันกำไรในราคาหุ้นขึ้นลงด้วยหรือกินส่วนต่างทำกำไรส่วนที่เก็งราคาปั่นกระแสของข่าวได้ตังมหาศาลนั้นเอง,เช่นอิสราเอลยิงระเบิดใส่อิหร่านนั้นล่ะ,มีใครหลายคนทั่วโลกฟันตังฟันเงินส่วนต่างได้อย่างมากมายมหาศาลแน่นอนที่เกิดสงครามกันในระยะเวลาอันสั้น.
    ..แกนนำทั้งบนเวทีและล่างเวทีสามารถตั้งทีมบริหารรัฐบาลในอนาคตของภาคประชาชนได้สบายเลยก็ว่า,สามารถเอาไปละลายพฤติกรรมปรับจูนพลังงานบวกเชิงมหาทีมเพื่องานใหญ่เพื่อชาติบ้านเมืองได้สบาย,สลายใจเก่ารวมเป็นใจใหม่ใจดวงเดียวกันของจริง,จะสิ้นคำว่าหวาดระแวงขณะทำงานของใครของหน้าที่ใครมันเพื่อชาติเพื่อประชาชนอย่างง่ายสบายใจกันทันที,ส่วนตัวสร้างระบบดีรองรับจะเดินก้าวอย่างก้าวกระโดดเลย,เช่นปัจจุบัน สำนักงานประสานงานเข้าถึงปัญหาทางตรงแก่ประชาชนไม่มีเพื่อแก้ไขปัญหาให้ทันเวลาทันกาลไม่มีก็ทำให้มีเสีย,มีสำนักงานประจำทุกๆหมู่บ้านทันที,ประสานงานกับส่วนกลางทางตรง,ยุบอบต.อบจ.ตังก็มีสร้างเพียงพอเลยแค่7-8หมื่นกมู่บ้านชุมชนเอง,รับเรื่องร้องทุกข์ต่างๆของประชาชนเราทางตรงจะเข้าถึงทุกๆปัญหาประชาชนอย่างเรียลไทม์เลย,แล้วเรื่องอื่นๆจะง่ายทั้งหมดทันที,เช่นเขมรรุกล้ำชายแดน ชาวบ้านส่งเรื่องสายตรง ส่วนกลางก็เข้าถึงพื้นที่ทันทีแก้ไขปัญหาตรงจุดตัดตอนได้ทันกาลด้วยเป็นต้น,อัดเงินงบประมาณช่วยเหลือก็ลงผ่านสำนักงานนี้ได้ทันที,เราจะอัพเรเวลยามของแผ่นดินไทยไปในตัวด้วยและสาระพัดคุณต่างๆอีกมากมาย,
    ..ประเทศไทยเรานักปกครองไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ ไม่มีแอ็คชั่นลาออกใดๆเพื่อรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ผิดพลาด,ญี่ปุ่นถ้าผิดพลาดเขาจะแสดงความรับผิดชอบลาออกทันที,ชนชั้นปกครองเรากากกระจอกเรื่องนี้มากจริงๆไม่หัดปลูกฝังใส่สมองในหมู่มันเลย ถ้าฝึกหัดสร้างสภาวะให้เป็นเช่นนั้นก็จะเป็นมาตราฐานให้คนรุ่นต่อไปพึ่งสำนึกในใจทันทีว่าถ้าทำผิดพลาดต่อบ้านต่อเมืองต่อแผ่นดินต่อประชาชนต้องลาออกไปทันที,ให้คนเก่งดีมีความรู้มีฝือมือมีความสามารถมาทำแทนตน,ญี่ปุ่นเจอระเบิดนิวเคลียร์ลง จึงสำนึกว่าความผิดพลาดเราแม้นิดเดียวอาจนำพาหายนะใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติตนเองได้,คนดีคนเก่งมีความสามารถต้องขึ้นมาแทนเราในทันที เราต้องลาออกเพื่อดำรงชาติเราให้คงอยู่ไว้ หรือก่อหายนะน้อยที่สุดคือลาออกไปทันทีดีที่สุด,คนอื่นต้องแก้ไขได้ดีกว่าตนแน่นอนหรือคนต่อๆไปอีก จนเจอผู้นั้นจริง.ทีมนั่นๆจริง,นี้อะไรประเทศไทยเรา,พื้นฐานสำนึกยังไม่มีแต่ก็สามารถมามีสถานะบริบททางการเมืองการปกครองประเทศได้,นี้คือวิถีปกครองที่ล้มเหลว แม้แต่ผู้นำผู้ปกครองประเทศนี้ยังไม่มีสำนึกอะไรจากจิตใจที่สมควรดีงามจริงๆเลยได้,เราจึงต้องปฏิวัติการปกครองจริงๆ,
    ..ยุคลงถนนชุดนี้ต้องสุดซอยคือจัดตั้งเป็นรัฐบาลเองเลยโดยภาคประชาชนเราปกครองขึ้นเองนั้นเอง,พอกันที่ไปชุมนุนแล้วยกให้คนอื่นเป็นนายกแทนตนเองขึ้นปกครอง,เชิญคนนั้นคนนี้มาปกครองแทนตนเองที่ลงถนนประท้วงขับไล่ด้วยมือตนเองแต่ยกอำนาจให้คนอื่นที่ไม่มีจิตวิญญาณต่อสู้เพื่อประชาชนจริงจังอะไร,สู้ในห้องแอร์หรู,อย่าเอาคนประเภทนี้มาเป็นนายกฯเชิญมาเป็นนายกฯเด็ดขาด,แม่ทัพเมื่อชนะศึกต้องขึ้นปกครองเอง,เพราะความหมายคุณค่าการต่อสู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องทหารประชาชนตนเองจะเป็นแรงบันดาลมหาศาลว่าทำไมพี่น้องประชาชนเราจึงต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีจริง,มิใช่มโนแค่ผ่านออกมาทางปากเพื่อขึ้นปกครองแบบนักการเมืองระยำบัดสบที่เคยๆเป็นมาผ่านๆมา.
    ..
    ..https://youtu.be/PnHZBK4r7Ak?si=tg_OQjWtHrmEwZeK
    ..นายกฯลาออกก็จบแล้ว,โทนี่ไปติดคุกก็ด้วย,ไม่เสียหายอะไรเลย แค่ทำเพื่อชาติ,ดีต่อชาติเสียอีก,พ้นโทษก็เดินเชิดหน้าชูตาปกติได้อีก,แปลกทำไมไม่ทำตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทย,กลับมาเลี้ยงหลานก็ไม่มีเรื่องราวอะไรเลย,ฟ้าก็ให้อภัยโทษแน่นอน.,คือไม่สนใจว่าทั้งหมดคือแผนของอีลิทdeep stateหรอกนะคือวางสนุ๊ควางหมากเรื่องนี้ไว้รอแล้วระหว่างฮุนเซนกับไทยนี้ในนามรัฐบาลลูกโทนี่,คือทั้งหมดสองฝ่ายคือคนของdeep stateทั้งหมด,สั่งละครแบบไหนควบคุมได้หมด,เผลออาจฟันกำไรในราคาหุ้นขึ้นลงด้วยหรือกินส่วนต่างทำกำไรส่วนที่เก็งราคาปั่นกระแสของข่าวได้ตังมหาศาลนั้นเอง,เช่นอิสราเอลยิงระเบิดใส่อิหร่านนั้นล่ะ,มีใครหลายคนทั่วโลกฟันตังฟันเงินส่วนต่างได้อย่างมากมายมหาศาลแน่นอนที่เกิดสงครามกันในระยะเวลาอันสั้น. ..แกนนำทั้งบนเวทีและล่างเวทีสามารถตั้งทีมบริหารรัฐบาลในอนาคตของภาคประชาชนได้สบายเลยก็ว่า,สามารถเอาไปละลายพฤติกรรมปรับจูนพลังงานบวกเชิงมหาทีมเพื่องานใหญ่เพื่อชาติบ้านเมืองได้สบาย,สลายใจเก่ารวมเป็นใจใหม่ใจดวงเดียวกันของจริง,จะสิ้นคำว่าหวาดระแวงขณะทำงานของใครของหน้าที่ใครมันเพื่อชาติเพื่อประชาชนอย่างง่ายสบายใจกันทันที,ส่วนตัวสร้างระบบดีรองรับจะเดินก้าวอย่างก้าวกระโดดเลย,เช่นปัจจุบัน สำนักงานประสานงานเข้าถึงปัญหาทางตรงแก่ประชาชนไม่มีเพื่อแก้ไขปัญหาให้ทันเวลาทันกาลไม่มีก็ทำให้มีเสีย,มีสำนักงานประจำทุกๆหมู่บ้านทันที,ประสานงานกับส่วนกลางทางตรง,ยุบอบต.อบจ.ตังก็มีสร้างเพียงพอเลยแค่7-8หมื่นกมู่บ้านชุมชนเอง,รับเรื่องร้องทุกข์ต่างๆของประชาชนเราทางตรงจะเข้าถึงทุกๆปัญหาประชาชนอย่างเรียลไทม์เลย,แล้วเรื่องอื่นๆจะง่ายทั้งหมดทันที,เช่นเขมรรุกล้ำชายแดน ชาวบ้านส่งเรื่องสายตรง ส่วนกลางก็เข้าถึงพื้นที่ทันทีแก้ไขปัญหาตรงจุดตัดตอนได้ทันกาลด้วยเป็นต้น,อัดเงินงบประมาณช่วยเหลือก็ลงผ่านสำนักงานนี้ได้ทันที,เราจะอัพเรเวลยามของแผ่นดินไทยไปในตัวด้วยและสาระพัดคุณต่างๆอีกมากมาย, ..ประเทศไทยเรานักปกครองไม่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ ไม่มีแอ็คชั่นลาออกใดๆเพื่อรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ผิดพลาด,ญี่ปุ่นถ้าผิดพลาดเขาจะแสดงความรับผิดชอบลาออกทันที,ชนชั้นปกครองเรากากกระจอกเรื่องนี้มากจริงๆไม่หัดปลูกฝังใส่สมองในหมู่มันเลย ถ้าฝึกหัดสร้างสภาวะให้เป็นเช่นนั้นก็จะเป็นมาตราฐานให้คนรุ่นต่อไปพึ่งสำนึกในใจทันทีว่าถ้าทำผิดพลาดต่อบ้านต่อเมืองต่อแผ่นดินต่อประชาชนต้องลาออกไปทันที,ให้คนเก่งดีมีความรู้มีฝือมือมีความสามารถมาทำแทนตน,ญี่ปุ่นเจอระเบิดนิวเคลียร์ลง จึงสำนึกว่าความผิดพลาดเราแม้นิดเดียวอาจนำพาหายนะใหญ่หลวงเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติตนเองได้,คนดีคนเก่งมีความสามารถต้องขึ้นมาแทนเราในทันที เราต้องลาออกเพื่อดำรงชาติเราให้คงอยู่ไว้ หรือก่อหายนะน้อยที่สุดคือลาออกไปทันทีดีที่สุด,คนอื่นต้องแก้ไขได้ดีกว่าตนแน่นอนหรือคนต่อๆไปอีก จนเจอผู้นั้นจริง.ทีมนั่นๆจริง,นี้อะไรประเทศไทยเรา,พื้นฐานสำนึกยังไม่มีแต่ก็สามารถมามีสถานะบริบททางการเมืองการปกครองประเทศได้,นี้คือวิถีปกครองที่ล้มเหลว แม้แต่ผู้นำผู้ปกครองประเทศนี้ยังไม่มีสำนึกอะไรจากจิตใจที่สมควรดีงามจริงๆเลยได้,เราจึงต้องปฏิวัติการปกครองจริงๆ, ..ยุคลงถนนชุดนี้ต้องสุดซอยคือจัดตั้งเป็นรัฐบาลเองเลยโดยภาคประชาชนเราปกครองขึ้นเองนั้นเอง,พอกันที่ไปชุมนุนแล้วยกให้คนอื่นเป็นนายกแทนตนเองขึ้นปกครอง,เชิญคนนั้นคนนี้มาปกครองแทนตนเองที่ลงถนนประท้วงขับไล่ด้วยมือตนเองแต่ยกอำนาจให้คนอื่นที่ไม่มีจิตวิญญาณต่อสู้เพื่อประชาชนจริงจังอะไร,สู้ในห้องแอร์หรู,อย่าเอาคนประเภทนี้มาเป็นนายกฯเชิญมาเป็นนายกฯเด็ดขาด,แม่ทัพเมื่อชนะศึกต้องขึ้นปกครองเอง,เพราะความหมายคุณค่าการต่อสู้ที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพี่น้องทหารประชาชนตนเองจะเป็นแรงบันดาลมหาศาลว่าทำไมพี่น้องประชาชนเราจึงต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีจริง,มิใช่มโนแค่ผ่านออกมาทางปากเพื่อขึ้นปกครองแบบนักการเมืองระยำบัดสบที่เคยๆเป็นมาผ่านๆมา. .. ..https://youtu.be/PnHZBK4r7Ak?si=tg_OQjWtHrmEwZeK
    0 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
  • จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป

    แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน:

    1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender

    2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร

    3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด

    นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve)

    Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows  
    • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender  
    • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด

    เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode  
    • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม  
    • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย

    Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”  
    • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย

    Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:  
    • Quick Machine Recovery  
    • Crash screen ที่เรียบง่าย  
    • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth  
    • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย  
    • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    จำเหตุการณ์เมื่อปี 2024 ที่ซอฟต์แวร์ CrowdStrike ทำ Windows ล่มทั่วโลกได้ไหมครับ? Microsoft รับบทเรียนครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นั้นว่าระบบปฏิบัติการไม่ควรถูกผูกติดกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสในระดับ kernel (แกนระบบ) มากเกินไป แผน Windows Resiliency Initiative (WRI) จึงถูกประกาศที่งาน Ignite 2024 โดยมีเป้าหมาย 3 ด้าน: 1️⃣ สร้าง ecosystem ร่วมกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender 2️⃣ ออกคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับองค์กร 3️⃣ ปรับโครงสร้างระบบ Windows ให้สามารถ “ฟื้นตัวได้ไว” หากเกิดปัญหา หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ ย้ายเครื่องมือป้องกันไวรัส “ออกจาก kernel” ไปทำงานใน user mode ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงระบบล่มทั้งเครื่องเวลาซอฟต์แวร์ภายนอกทำงานผิดพลาด นอกจากนี้ Windows 11 24H2 ยังจะได้ของใหม่ เช่น Quick Machine Recovery, ระบบ crash screen ที่ใช้ง่ายขึ้น, การ reboot ที่เร็วขึ้น รวมถึงแนวคิด Cloud PC สำรองไว้เผื่อเครื่องหลักพัง (ผ่าน Windows 365 Reserve) ✅ Microsoft ประกาศ Windows Resiliency Initiative (WRI) เพื่อเสริมความมั่นคงให้แพลตฟอร์ม Windows   • ร่วมมือกับบริษัทด้านความปลอดภัย เช่น CrowdStrike, Bitdefender   • เน้น ecosystem, แนวทางปฏิบัติ, และการเปลี่ยนแปลงระดับโค้ด ✅ เปลี่ยนวิธีทำงานของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส → ย้ายออกจากระดับ kernel ไปอยู่ user mode   • ลดความเสี่ยง system crash กรณีซอฟต์แวร์ภายนอกล่ม   • กำลังทดสอบ private preview กับพาร์ตเนอร์ด้านความปลอดภัย ✅ Bitdefender และ CrowdStrike ยืนยันว่าแนวทางใหม่นี้ “ลดช่องโหว่” และ “เสริมประสิทธิภาพระบบ”   • เป็นทิศทางใหม่ของ “endpoint security platform” ที่เน้นเสถียรภาพควบคู่กับความปลอดภัย ✅ Windows 11 24H2 จะมาพร้อมฟีเจอร์ความมั่นคงใหม่ เช่น:   • Quick Machine Recovery   • Crash screen ที่เรียบง่าย   • Connected Cache ที่ประหยัด bandwidth   • Universal Print แบบใหม่สำหรับการพิมพ์ปลอดภัย   • Windows 365 Reserve ให้ย้ายไปใช้ Cloud PC ชั่วคราวเมื่อเครื่องหลักใช้งานไม่ได้ https://www.techradar.com/pro/microsoft-wants-to-avoid-another-disastrous-crowdstrike-pr-abomination-and-heres-how-it-wants-to-do-it
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
More Results