• “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล”

    รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น

    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก

    และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม

    องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด

    สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report
    40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย
    27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา
    80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล

    ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว
    เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย
    แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส
    การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว

    ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล
    แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว
    การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น
    ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ
    แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า
    การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย

    คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่
    ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน
    อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร
    การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด

    https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    💸 “จ่ายค่าไถ่แล้วก็ไม่รอด: 40% ของเหยื่อแรนซัมแวร์ยังคงสูญเสียข้อมูล” รู้หรือเปล่าว่า แม้จะยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ข้อมูลคืนเสมอไปนะ! จากรายงานล่าสุดของ Hiscox พบว่า 2 ใน 5 บริษัทที่จ่ายค่าไถ่กลับไม่ได้ข้อมูลคืนเลย หรือได้คืนแค่บางส่วนเท่านั้น ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แฮกเกอร์บางกลุ่มถึงขั้นใช้เครื่องมือถอดรหัสที่มีบั๊ก หรือบางทีก็หายตัวไปดื้อ ๆ หลังได้เงินแล้ว แถมบางครั้งตัวถอดรหัสยังทำให้ไฟล์เสียหายยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก และที่สำคัญ—การจ่ายเงินไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแฮกเกอร์ยุคนี้ไม่ได้แค่ล็อกไฟล์ แต่ยังขู่จะปล่อยข้อมูลหรือโจมตีซ้ำด้วย DDoS แม้จะได้เงินไปแล้วก็ตาม องค์กรที่เคยโดนโจมตีอย่างบริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ถึงกับต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อฟื้นฟูระบบ เพราะแม้จะมีประกันไซเบอร์ แต่ก็ต้องรอขั้นตอนการเคลมที่ใช้เวลานาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า อย่ารอให้โดนก่อนค่อยหาทางแก้ ควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เช่น มีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย และที่สำคัญ—อย่าคิดว่าการจ่ายเงินคือทางออกที่ดีที่สุด ✅ สถิติจากรายงาน Hiscox Cyber Readiness Report ➡️ 40% ของเหยื่อที่จ่ายค่าไถ่ไม่ได้ข้อมูลคืนเลย ➡️ 27% ของธุรกิจถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ 80% ของเหยื่อยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อพยายามกู้ข้อมูล ✅ ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะจ่ายค่าไถ่แล้ว ➡️ เครื่องมือถอดรหัสที่ได้รับอาจมีบั๊กหรือทำให้ไฟล์เสียหาย ➡️ แฮกเกอร์บางกลุ่มไม่มีความน่าเชื่อถือ อาจไม่ส่งคีย์ถอดรหัส ➡️ การถอดรหัสในระบบขนาดใหญ่ใช้เวลานานและอาจล้มเหลว ✅ ภัยคุกคามที่มากกว่าแค่การเข้ารหัสข้อมูล ➡️ แฮกเกอร์ใช้วิธี “ขู่เปิดเผยข้อมูล” หรือ DDoS แม้จะได้เงินแล้ว ➡️ การจ่ายเงินไม่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ✅ กรณีศึกษา: บริษัท Kantsu ในญี่ปุ่น ➡️ ไม่จ่ายค่าไถ่ แต่ต้องกู้เงินเพื่อฟื้นฟูระบบ ➡️ แม้มีประกันไซเบอร์ แต่ต้องรอขั้นตอนการเคลม ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีแผนรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่น การสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ ควรมีทีมตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า ➡️ การมีประกันไซเบอร์ช่วยลดผลกระทบและให้การสนับสนุนด้านกฎหมาย ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ ⛔ ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน ⛔ อาจละเมิดกฎหมายหากจ่ายเงินให้กลุ่มที่ถูกคว่ำบาตร ⛔ การจ่ายเงินอาจกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มขึ้น ⛔ อาจทำให้ข้อมูลเสียหายมากขึ้นจากการถอดรหัสที่ผิดพลาด https://www.csoonline.com/article/4077484/ransomware-recovery-perils-40-of-paying-victims-still-lose-their-data.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Ransomware recovery perils: 40% of paying victims still lose their data
    Paying the ransom is no guarantee of a smooth or even successful recovery of data. But that isn’t even the only issue security leaders will face under fire. Preparation is key.
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล”

    ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว

    AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย

    แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร

    AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน
    วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ
    ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์
    ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ

    AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก
    วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต
    ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง
    ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ
    ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน
    ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า
    เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน

    AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
    วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ
    สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
    พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย

    AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น
    ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส
    ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง
    ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล

    บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน
    วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ
    ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI
    พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร
    ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง
    เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น

    https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    “AI พลิกโฉมการเงิน: ที่ปรึกษากลยุทธ์ช่วยสถาบันการเงินรับมือความเสี่ยงยุคดิจิทัล” ตอนนี้วงการการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะ AI ไม่ได้แค่เข้ามาช่วยคิดเลขหรือวิเคราะห์ข้อมูลธรรมดา ๆ แล้วนะ มันกลายเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง ป้องกันการโกง และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์แบบที่มนุษย์ทำคนเดียวไม่ไหว AI ในภาคการเงินตอนนี้ฉลาดมากถึงขั้นตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยได้แบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพื่อหาความผิดปกติ และช่วยให้สถาบันการเงินตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทันที ที่เด็ดคือมันยังช่วยปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุน การให้เครดิต และการบริหารพอร์ตได้อย่างแม่นยำด้วย แต่การจะใช้ AI ให้เวิร์กจริง ๆ ไม่ใช่แค่ซื้อระบบมาแล้วจบ ต้องมี “ที่ปรึกษากลยุทธ์ด้าน AI” มาช่วยวางแผนให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ ตรวจสอบความเสี่ยงตั้งแต่ต้น และออกแบบระบบให้เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กร ✅ AI ช่วยจัดการความเสี่ยงและป้องกันการโกงในภาคการเงิน ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาความผิดปกติ ➡️ ตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ ➡️ ลดผลกระทบทางการเงินจากการโกงและช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ✅ AI ช่วยตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึก ➡️ วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต ➡️ ปรับปรุงการตัดสินใจเรื่องการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง ➡️ ใช้ข้อมูลย้อนหลังและการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานโดยอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาและข้อผิดพลาดจากงานซ้ำ ๆ เช่น การป้อนข้อมูลและการจัดทำรายงาน ➡️ ใช้ chatbot และผู้ช่วยเสมือนในการตอบคำถามลูกค้า ➡️ เพิ่มความเร็วในการให้บริการและลดต้นทุน ✅ AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ➡️ วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อเสนอคำแนะนำที่ตรงใจ ➡️ สร้างแคมเปญการตลาดเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม ➡️ พัฒนาระบบ self-service ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย ✅ AI ช่วยให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามกฎระเบียบได้ง่ายขึ้น ➡️ ตรวจสอบความปลอดภัยของข้อมูลและการเข้ารหัส ➡️ ปรับระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เปลี่ยนแปลง ➡️ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการละเมิดข้อมูล ✅ บทบาทของที่ปรึกษากลยุทธ์ AI ในการเงิน ➡️ วางแผนการใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ตรวจสอบความเสี่ยงและความปลอดภัยของระบบ AI ➡️ พัฒนาโซลูชัน AI ที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดล AI อย่างต่อเนื่อง ➡️ เชื่อมต่อระบบ AI เข้ากับโครงสร้างเดิมขององค์กรอย่างราบรื่น https://hackread.com/ai-financial-sector-consulting-navigate-risk/
    HACKREAD.COM
    AI for the Financial Sector: How Strategy Consulting Helps You Navigate Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • เรื่อง ตาเหลือก
    “ตาเหลือก”

    คนโบราณ เวลาเล่าอะไร ท่านจะมีถ้อยคำบรรยายให้เราเห็นภาพชัด เช่น ขณะที่พวกลุงๆกำลังถกกันมันปากว่า ตกลงอีเอ๋อ มันจะได้ไปเจอพี่มัน ที่ใกล้จะลงโลงอยู่ที่โรงแรมอะไร วะ พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เพราะไอ้จ้อนวิ่งสี่ตีน ตาเหลือก มาบอกว่า ลุงตู่ๆ เร็วๆเข้า ปู่จิ๋ว เดินสะดุดปากตัวเอง หัวทิ่มฟาดพื้นเลือดไหลโกรกเลย..แปลว่าปู่จิ๋วแกต้องกำลังแย่จริงๆ ไอ้จ้อนถึงกับตกใจ ตาเหลือกวิ่งมา

    ผมชอบอ่านบทความของสื่อ ที่ทำหน้าที่เป็นโรงงานประชาสัมพันธ์ แบบถนัดย้อมสี ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง โดยเฉพาะจากพวกที่เป็นถังความคิด แล้วเอามาถอดรหัสมันอีกต่อว่า ตอนนี้จริงๆแล้ว มันมีอาการอย่างไร สบายดี แค่ไข้จับสั่น หรือป่วยหนักถึงขนาดน้ำลายฟูมปาก ฯลฯ โดยเฉพาะอ่านจาก Foreign Affairs ซึ่งเป็นสื่อของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังความคิดหมายเลขหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายและความคิดของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    ล่าสุด ผมอ่านเมื่อ 2 วันก่อน เป็นบทความลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015 ชื่อเรื่อง “Goodbye, Putin” Why the President’s Days Are Numbered ยังไม่ทันอ่านเรื่องก็เดาออกแล้ว ว่า จะเร้าใจใส่สีแรงขนาดไหน

    คนเขียนบอกว่า ยิ่งสงครามที่ยูเครนยืดเยื้อนานไปเท่าไหร่ รัฐบาลของนายปูตินก็ล่มเร็วขึ้นเท่านั้นแหล่ะ นายปูตินปกครองรัสเซียมา 15 ปีแล้ว แม้ในตอนแรกๆ นโยบายเขาจะทำให้ได้คะแนนเสียง เช่น ตอนไล่พวกเช็คเชนออกไป หรือตอนอัดกลับพวกตะวันตก แต่หลังจากไปยึดไครเมีย และทำสงครามกับยูเครน ที่ทำให้ชาวรัสเซียตายเป็นเบือ และเศรษฐกิจของรัสเซียพุ่งลงเหว คะแนนเสียงของนายปูตินก็พุ่งหลาวตามลงไปด้วย ทุกสัญญาณแสดงว่า นายปูตินกำลังจะไปไม่รอด ระหว่างนี้พวกตะวันตกต้องดูแลยูเครนอย่างดีที่สุด แต่คงไม่นาน เพราะรัสเซียที่กำลังเน่าเฟะ กำลังจะร่วงหล่นอยู่แล้ว

    นอกเหนือจากนโยบายที่ผิดพลาดแล้ว นายปูตินยังมีปัญหาเรื่องภาพพจน์ ซึ่งนายปูตินก็รู้ตัว แม้ว่าจะบอกว่ามีเสน่ห์มีบารมี แต่เขารูปร่างขนาดเตี้ยแคระ…

    แม่เจ้าโว้ย นี่ เป็นถึงหนังสือ Foreign Affairs นะ ไม่ใช่หนังสือประเภทขายดารา มันคงไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว ด่าตั้งกะนโยบายทำนายว่าจวนจะหล่น มันคงไม่หนำใจ เลยเล่นไปถึงเรื่องรูปโฉมกันเลย ไม่รู้หรือไง แถวบ้านสมันน้อยเขาปลื้มคุณพี่กัน ถึงขนาดมีสมาคมคนรักปูติน นี่มันแสดงว่า ไอ้นักล่ากำลังเริ่มตาเหลือกแล้วละสิ ถึงต้องเขียนข่าวแบบนี้ และสงสัยมันก็ได้ตาเหลือกจริงสมใจ
    ผมอ่านบทความเรื่องดาราจะลาโรงนี่ ยังไม่ทันจบดีเลย ดันม่อยหลับเพราะเหม็นน้ำเน่าของ เรื่อง อ้าวตื่นมาอีกที เห็นข่าวเมือง Donestsk ยูเครน ได้รับของขวัญ เป็นดอกเห็ดรุ่นใหม่ ดอกเล็กจิ๋ว แต่เขาว่าฤทธิ์ไม่แพ้ดอกใหญ่ คงมีใครทดลองส่งไปให้ดู ก่อนชุดจริง จะส่งข้ามทวีปไปให้ แบบนี้แสดงว่า ยูเครนคงจบยาก หรือจบไม่สวย

    อย่าลืมว่า เมื่อวันคุณป้าเข้มขัดเหล็ก จูงมือกับคุณลุงโอลองด์ ไปคุยกันให้รู้เรื่องกับคุณพี่ปูติน ที่รัสเซีย ข่าวไม่บอกว่าคุยได้เรื่องอะไรบ้าง แต่ผมดูสารรูปของคุณป้าตอนคุย เหมือนกำลังต้องการยาหอมแก้ลมใส่อย่างยิ่ง และขากลับ ดูเหมือนเข็มขัดเหล็ก จะกลายเป็นเข็มขัดหลุด ก็พอจะเดาผลการคุยได้ แถมคุณป้า ยังต้องทำหน้าที่กาคาบความไปบอกให้นายโอบามาถึงที่อีกด้วย เพราะข้อความบางอัน ผมเดาว่า คุณป้าคงไม่กล้าพูดผ่านใคร กลัวเขาไม่กล้าถ่ายทอด ป้าต้องถ่ายเอง ถึงจะได้อรรถรสครบถ้วน จากที่รับมาจากคุณพี่ปูติน

    ผลการคุยวันก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ (10 กพ) ก็คงได้รู้กันแล้ว

    คุณป้าเข็มขัดเหล็ก หน้าตก บอกนายโอบามาว่า เขาไม่ยอมหรอก อย่าไปขู่เขาด้วยการคว่ำบาตรซ้ำเลย เพราะไม่ใช่เขาช้ำคนเดียว คนที่จะช้ำด้วยและหนักหนา คือพวกฉันที่อยู่ยุโรปนั่นแหละ แล้วถ้าเธอขนอาวุธ ขนกองทัพเข้าไปในยูเครน หยั่งที่ออกข่าวขู่ไปน่ะ เธอนึกว่าเขาจะถอยเหรอ มันเหมือนยิ่งยุเขา เขาไม่ได้มีมือเปล่านะ และไม่ได้มาคนเดียวด้วย เธอก็รู้ เธอนึกว่าเธอจะกล่อมอิหร่านได้เหรอ เซ่อจริง ตาโอ เขาจับมือตกลงกับทางโน้นเรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว ไม่งั้นการเจรจาของเธอ มันจะเดินหน้าถอยหลังอย่างนี้เหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ โน่น เขาไปนั่งคุยอยู่ที่อียิปต์ ก็เพราะเธออีกนั่นแหละ เซ่อซ้ำซาก เดินหมากผิด ไปถีบมูบารักเขาทิ้งน่ะ เธอทำอย่างนี้มาตลอด แล้วใครจะไปเชื่อเธออีก อย่าลืมตุรกีด้วย ตอนนี้เขาเห็นหัวเธอไหม จะให้ฉันจาระไนให้เธอฟังไหม ตาโอ ว่าตอนนี้ เขาคุยอะไรกับใครบ้าง ที่สำคัญ เขายังมีอาเฮียช่วยเดินสาย เก็บเล็กเก็บใหญ่ให้อีก เธอรู้ใช่ไหมมันแปลว่าอะไร เขากำลังจับมือกัน เดินเรียงแถวดาหน้ามาใส่พวกเราไงล่ะ

    เธอนึกว่า จะให้พวกฉันแถวยุโรปรับกรรมบ้านช่องพัง แล้วเธอก็ลอยตัว เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 อีกน่ะเหรอ นี่มันจะครั้งที่ 3 แล้วนะยะ จะให้พวกยุโรป โง่ซ้ำซาก โดนบอมบ์อยู่ข้างเดียวงั้นเหรอ เขาฝากมาบอกย่ะ ว่าคราวนี้ละ ตาโอ ตาแกบ้างซิ ป้ากลัวจนจะตดแตกอยู่แล้ว เขาฝากมาบอกว่า คราวนี้ลงบ้านแกแน่นอน เข้าใจมั้ย

    นี่ผมเดาเอาทั้งนั้นนะครับ ว่าคุณป้าแกคงใส่นายโอบามาเสียยับ แบบไม่ติดเบรคอย่างนั้น

    มันไม่น่าจะผิดไปจากนี้เท่าไหร่หรอก ถ้าเราฟังจากที่นายโอบามาพูด ตอนแถลงข่าวคู่กับคุณป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำเนียบขาววันนี้ (10กพ) และดูสีหน้าของนายโอบามา ซึ่งเหมือนคนกินของแสลงเข้าไปเต็มท้อง ส่วนคุณป้า คราวนี้อย่าว่าแต่เข็มขัดเหล็กจะคาดไม่อยู่เลย ตัวแก ก็แทบจะยืนไม่อยู่ ถูกบีบจากทุกทาง จนหน้าตกเกือบถึงสะดือ

    ตอนนี้ดูเหมือนผู้เกี่ยวข้อง รู้สึกจะต่างเสียงกันเกี่ยวกับเรื่อง การติดอาวุธให้ยูเครน และการแซงชั่นรัสเซีย แม้ในกลุ่มพวกกันเอง แต่สำหรับคุณป้าเข็มขัดหลุด กับนักล่าใบตองแห้ง ต่างยืนเอามือยันโต๊ะ บอกว่า (ตอนนี้) เรายังร้องเพลงเดียวกันอยู่ แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่

    การติดอาวุธให้ยูเครน หมายถึงโอกาสเกิดสงครามโลกคร้ังที่ 3 สูงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    10 กพ 58
    เรื่อง ตาเหลือก “ตาเหลือก” คนโบราณ เวลาเล่าอะไร ท่านจะมีถ้อยคำบรรยายให้เราเห็นภาพชัด เช่น ขณะที่พวกลุงๆกำลังถกกันมันปากว่า ตกลงอีเอ๋อ มันจะได้ไปเจอพี่มัน ที่ใกล้จะลงโลงอยู่ที่โรงแรมอะไร วะ พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุด เพราะไอ้จ้อนวิ่งสี่ตีน ตาเหลือก มาบอกว่า ลุงตู่ๆ เร็วๆเข้า ปู่จิ๋ว เดินสะดุดปากตัวเอง หัวทิ่มฟาดพื้นเลือดไหลโกรกเลย..แปลว่าปู่จิ๋วแกต้องกำลังแย่จริงๆ ไอ้จ้อนถึงกับตกใจ ตาเหลือกวิ่งมา ผมชอบอ่านบทความของสื่อ ที่ทำหน้าที่เป็นโรงงานประชาสัมพันธ์ แบบถนัดย้อมสี ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง โดยเฉพาะจากพวกที่เป็นถังความคิด แล้วเอามาถอดรหัสมันอีกต่อว่า ตอนนี้จริงๆแล้ว มันมีอาการอย่างไร สบายดี แค่ไข้จับสั่น หรือป่วยหนักถึงขนาดน้ำลายฟูมปาก ฯลฯ โดยเฉพาะอ่านจาก Foreign Affairs ซึ่งเป็นสื่อของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังความคิดหมายเลขหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายและความคิดของไอ้นักล่าใบตองแห้ง ล่าสุด ผมอ่านเมื่อ 2 วันก่อน เป็นบทความลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015 ชื่อเรื่อง “Goodbye, Putin” Why the President’s Days Are Numbered ยังไม่ทันอ่านเรื่องก็เดาออกแล้ว ว่า จะเร้าใจใส่สีแรงขนาดไหน คนเขียนบอกว่า ยิ่งสงครามที่ยูเครนยืดเยื้อนานไปเท่าไหร่ รัฐบาลของนายปูตินก็ล่มเร็วขึ้นเท่านั้นแหล่ะ นายปูตินปกครองรัสเซียมา 15 ปีแล้ว แม้ในตอนแรกๆ นโยบายเขาจะทำให้ได้คะแนนเสียง เช่น ตอนไล่พวกเช็คเชนออกไป หรือตอนอัดกลับพวกตะวันตก แต่หลังจากไปยึดไครเมีย และทำสงครามกับยูเครน ที่ทำให้ชาวรัสเซียตายเป็นเบือ และเศรษฐกิจของรัสเซียพุ่งลงเหว คะแนนเสียงของนายปูตินก็พุ่งหลาวตามลงไปด้วย ทุกสัญญาณแสดงว่า นายปูตินกำลังจะไปไม่รอด ระหว่างนี้พวกตะวันตกต้องดูแลยูเครนอย่างดีที่สุด แต่คงไม่นาน เพราะรัสเซียที่กำลังเน่าเฟะ กำลังจะร่วงหล่นอยู่แล้ว นอกเหนือจากนโยบายที่ผิดพลาดแล้ว นายปูตินยังมีปัญหาเรื่องภาพพจน์ ซึ่งนายปูตินก็รู้ตัว แม้ว่าจะบอกว่ามีเสน่ห์มีบารมี แต่เขารูปร่างขนาดเตี้ยแคระ… แม่เจ้าโว้ย นี่ เป็นถึงหนังสือ Foreign Affairs นะ ไม่ใช่หนังสือประเภทขายดารา มันคงไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว ด่าตั้งกะนโยบายทำนายว่าจวนจะหล่น มันคงไม่หนำใจ เลยเล่นไปถึงเรื่องรูปโฉมกันเลย ไม่รู้หรือไง แถวบ้านสมันน้อยเขาปลื้มคุณพี่กัน ถึงขนาดมีสมาคมคนรักปูติน นี่มันแสดงว่า ไอ้นักล่ากำลังเริ่มตาเหลือกแล้วละสิ ถึงต้องเขียนข่าวแบบนี้ และสงสัยมันก็ได้ตาเหลือกจริงสมใจ ผมอ่านบทความเรื่องดาราจะลาโรงนี่ ยังไม่ทันจบดีเลย ดันม่อยหลับเพราะเหม็นน้ำเน่าของ เรื่อง อ้าวตื่นมาอีกที เห็นข่าวเมือง Donestsk ยูเครน ได้รับของขวัญ เป็นดอกเห็ดรุ่นใหม่ ดอกเล็กจิ๋ว แต่เขาว่าฤทธิ์ไม่แพ้ดอกใหญ่ คงมีใครทดลองส่งไปให้ดู ก่อนชุดจริง จะส่งข้ามทวีปไปให้ แบบนี้แสดงว่า ยูเครนคงจบยาก หรือจบไม่สวย อย่าลืมว่า เมื่อวันคุณป้าเข้มขัดเหล็ก จูงมือกับคุณลุงโอลองด์ ไปคุยกันให้รู้เรื่องกับคุณพี่ปูติน ที่รัสเซีย ข่าวไม่บอกว่าคุยได้เรื่องอะไรบ้าง แต่ผมดูสารรูปของคุณป้าตอนคุย เหมือนกำลังต้องการยาหอมแก้ลมใส่อย่างยิ่ง และขากลับ ดูเหมือนเข็มขัดเหล็ก จะกลายเป็นเข็มขัดหลุด ก็พอจะเดาผลการคุยได้ แถมคุณป้า ยังต้องทำหน้าที่กาคาบความไปบอกให้นายโอบามาถึงที่อีกด้วย เพราะข้อความบางอัน ผมเดาว่า คุณป้าคงไม่กล้าพูดผ่านใคร กลัวเขาไม่กล้าถ่ายทอด ป้าต้องถ่ายเอง ถึงจะได้อรรถรสครบถ้วน จากที่รับมาจากคุณพี่ปูติน ผลการคุยวันก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ (10 กพ) ก็คงได้รู้กันแล้ว คุณป้าเข็มขัดเหล็ก หน้าตก บอกนายโอบามาว่า เขาไม่ยอมหรอก อย่าไปขู่เขาด้วยการคว่ำบาตรซ้ำเลย เพราะไม่ใช่เขาช้ำคนเดียว คนที่จะช้ำด้วยและหนักหนา คือพวกฉันที่อยู่ยุโรปนั่นแหละ แล้วถ้าเธอขนอาวุธ ขนกองทัพเข้าไปในยูเครน หยั่งที่ออกข่าวขู่ไปน่ะ เธอนึกว่าเขาจะถอยเหรอ มันเหมือนยิ่งยุเขา เขาไม่ได้มีมือเปล่านะ และไม่ได้มาคนเดียวด้วย เธอก็รู้ เธอนึกว่าเธอจะกล่อมอิหร่านได้เหรอ เซ่อจริง ตาโอ เขาจับมือตกลงกับทางโน้นเรียบร้อยไปตั้งนานแล้ว ไม่งั้นการเจรจาของเธอ มันจะเดินหน้าถอยหลังอย่างนี้เหรอ แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ โน่น เขาไปนั่งคุยอยู่ที่อียิปต์ ก็เพราะเธออีกนั่นแหละ เซ่อซ้ำซาก เดินหมากผิด ไปถีบมูบารักเขาทิ้งน่ะ เธอทำอย่างนี้มาตลอด แล้วใครจะไปเชื่อเธออีก อย่าลืมตุรกีด้วย ตอนนี้เขาเห็นหัวเธอไหม จะให้ฉันจาระไนให้เธอฟังไหม ตาโอ ว่าตอนนี้ เขาคุยอะไรกับใครบ้าง ที่สำคัญ เขายังมีอาเฮียช่วยเดินสาย เก็บเล็กเก็บใหญ่ให้อีก เธอรู้ใช่ไหมมันแปลว่าอะไร เขากำลังจับมือกัน เดินเรียงแถวดาหน้ามาใส่พวกเราไงล่ะ เธอนึกว่า จะให้พวกฉันแถวยุโรปรับกรรมบ้านช่องพัง แล้วเธอก็ลอยตัว เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 อีกน่ะเหรอ นี่มันจะครั้งที่ 3 แล้วนะยะ จะให้พวกยุโรป โง่ซ้ำซาก โดนบอมบ์อยู่ข้างเดียวงั้นเหรอ เขาฝากมาบอกย่ะ ว่าคราวนี้ละ ตาโอ ตาแกบ้างซิ ป้ากลัวจนจะตดแตกอยู่แล้ว เขาฝากมาบอกว่า คราวนี้ลงบ้านแกแน่นอน เข้าใจมั้ย นี่ผมเดาเอาทั้งนั้นนะครับ ว่าคุณป้าแกคงใส่นายโอบามาเสียยับ แบบไม่ติดเบรคอย่างนั้น มันไม่น่าจะผิดไปจากนี้เท่าไหร่หรอก ถ้าเราฟังจากที่นายโอบามาพูด ตอนแถลงข่าวคู่กับคุณป้าเข็มขัดเหล็ก ที่ทำเนียบขาววันนี้ (10กพ) และดูสีหน้าของนายโอบามา ซึ่งเหมือนคนกินของแสลงเข้าไปเต็มท้อง ส่วนคุณป้า คราวนี้อย่าว่าแต่เข็มขัดเหล็กจะคาดไม่อยู่เลย ตัวแก ก็แทบจะยืนไม่อยู่ ถูกบีบจากทุกทาง จนหน้าตกเกือบถึงสะดือ ตอนนี้ดูเหมือนผู้เกี่ยวข้อง รู้สึกจะต่างเสียงกันเกี่ยวกับเรื่อง การติดอาวุธให้ยูเครน และการแซงชั่นรัสเซีย แม้ในกลุ่มพวกกันเอง แต่สำหรับคุณป้าเข็มขัดหลุด กับนักล่าใบตองแห้ง ต่างยืนเอามือยันโต๊ะ บอกว่า (ตอนนี้) เรายังร้องเพลงเดียวกันอยู่ แต่ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ การติดอาวุธให้ยูเครน หมายถึงโอกาสเกิดสงครามโลกคร้ังที่ 3 สูงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 10 กพ 58
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล

    Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว

    บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก

    หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39%

    แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    จุดอ่อนของ iPhone Air
    ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม.
    ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh)
    ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80%

    ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C)
    มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า
    ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน
    ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว
    แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno

    การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน
    HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้
    Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh
    iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39%

    https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    🔋 ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39% แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด ✅ จุดอ่อนของ iPhone Air ➡️ ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. ➡️ ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh) ➡️ ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80% ✅ ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ➡️ มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า ➡️ ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน ➡️ ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว ➡️ แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ✅ การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน ➡️ HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้ ➡️ Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh ➡️ iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39% https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    WCCFTECH.COM
    A Silicon-Carbon Battery Could Have Rescued The iPhone Air
    No one ever said, "Geez, my iPhone is too fat; Apple better give me a razor-thin phone next time." Yes, I'm talking about the iPhone Air.
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า

    Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้

    Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค

    การอัปเกรด Google Earth AI
    ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ
    รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว
    วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม
    คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ

    การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ
    หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud
    ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย
    ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง
    การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม
    หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด
    การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers

    https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    🌍 Google Earth AI อัปเกรดใหม่ – ใช้พลัง Gemini วิเคราะห์ภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศล่วงหน้า Google Earth AI ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ โดยนำเทคโนโลยี Gemini AI เข้ามาเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ เพื่อช่วยให้องค์กร เมือง และหน่วยงานไม่แสวงหากำไรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสภาพอากาศได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตั้งคำถามกับระบบ AI เพื่อดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยง เช่น พื้นที่น้ำท่วมจากพายุ หรือจุดที่อาจเกิดฝุ่นพิษจากแม่น้ำที่แห้งเหือด นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับการเกิดสาหร่ายพิษในแหล่งน้ำเพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ Earth AI ยังรองรับการเชื่อมโยงโมเดลหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์คำถามที่ซับซ้อน และเปิดให้หน่วยงานที่สนใจสมัครเป็น “Trusted Testers” ผ่าน Google Cloud เพื่อเข้าถึงโมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อม พร้อมเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Earth AI เคยช่วยแจ้งเตือนประชาชนกว่า 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนียปี 2025 โดยใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อช่วยชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยในระดับมหภาค ✅ การอัปเกรด Google Earth AI ➡️ ใช้ Gemini AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ➡️ รองรับการตั้งคำถามและเชื่อมโยงโมเดลหลายตัว ➡️ วิเคราะห์ข้อมูลจากพยากรณ์อากาศ แผนที่ประชากร และภาพดาวเทียม ➡️ คาดการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ฝุ่นพิษ สาหร่ายพิษ ✅ การใช้งานในภาคส่วนต่างๆ ➡️ หน่วยงานสามารถสมัครเป็น Trusted Testers ผ่าน Google Cloud ➡️ ใช้โมเดลภาพถ่าย ประชากร และสิ่งแวดล้อมร่วมกับข้อมูลของตนเอง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ Earth AI เคยแจ้งเตือนประชาชน 15 ล้านคนในเหตุไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ➡️ ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อช่วยหาที่หลบภัย ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยชีวิต ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การวิเคราะห์ข้อมูลต้องอาศัยความแม่นยำของโมเดลและข้อมูลต้นทาง ⛔ การใช้งานต้องมีความเข้าใจด้านภูมิสารสนเทศและการตั้งคำถามที่เหมาะสม ⛔ หากข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจเกิดการคาดการณ์ผิดพลาด ⛔ การเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างอาจจำกัดเฉพาะผู้สมัคร Trusted Testers https://www.techradar.com/pro/google-earth-ai-wants-to-help-us-spot-weather-disasters-and-climate-issues-before-they-happen
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70%

    บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว

    แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์
    แนวโน้มใหม่
    เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้
    ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง
    เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine”

    คำเตือน
    ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล
    ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

    2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search
    เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว
    Atlas จาก OpenAI
    Comet จาก Perplexity
    Copilot-enabled Edge จาก Microsoft
    Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่

    คำเตือน
    บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว

    3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google
    จุดแข็งของ Google
    Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70%
    Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล
    มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search

    จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย
    ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า

    4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    มุมมองจากนักวิเคราะห์
    Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว”
    Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์”
    Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่”

    คำเตือน
    การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก
    การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    🔍 สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70% บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์ ✅ แนวโน้มใหม่ ➡️ เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง ➡️ เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine” ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล ⛔ ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง 2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search ✅ เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว ➡️ Atlas จาก OpenAI ➡️ Comet จาก Perplexity ➡️ Copilot-enabled Edge จาก Microsoft ➡️ Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่ ‼️ คำเตือน ⛔ บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว 3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google ✅ จุดแข็งของ Google ➡️ Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70% ➡️ Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล ➡️ มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ‼️ จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย ⛔ ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ⛔ คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า 4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ มุมมองจากนักวิเคราะห์ ➡️ Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว” ➡️ Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์” ➡️ Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่” ‼️ คำเตือน ⛔ การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก ⛔ การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online search a battleground for AI titans
    Tech firms battling for supremacy in artificial intelligence are out to transform how people search the web, challenging the dominance of the Chrome browser at the heart of Google's empire.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี

    แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน

    นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร

    สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม

    1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร
    วิธีการทำงาน
    AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง
    คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30%
    ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น

    คำเตือน
    หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด
    ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ

    2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
    วิธีการทำงาน
    AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด
    ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    คำเตือน
    ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์
    หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ

    3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
    ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง
    ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล

    คำเตือน
    ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด

    4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง
    ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน
    ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่

    คำเตือน
    ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง
    หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม

    5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ
    วิธีการทำงาน
    AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย
    ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ
    ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว

    คำเตือน
    ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ
    หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    🌱 AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร 🔍 สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม 1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง ➡️ คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30% ➡️ ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น ‼️ คำเตือน ⛔ หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด ⛔ ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ 2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด ➡️ ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์ ⛔ หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ 3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ➡️ ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง ➡️ ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล ‼️ คำเตือน ⛔ ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด 4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง ➡️ ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน ➡️ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง ⛔ หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม 5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย ➡️ ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI can help the environment, even though it uses tremendous energy. Here are 5 ways how
    Artificial intelligence has caused concern for its tremendous consumptionof water and power. But scientists are also experimenting with ways that AI can help people and businesses use energy more efficiently and pollute less.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • ทำไม CISO ต้อง “ปราบมังกรไซเบอร์” เพื่อให้ธุรกิจเคารพ?

    ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล ตำแหน่ง CISO (Chief Information Security Officer) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุด แต่กลับเป็นตำแหน่งที่มักถูกมองข้ามหรือกลายเป็น “แพะรับบาป” เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ บทความจาก CSO Online ได้สำรวจว่าเหตุใด CISO จึงต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาลเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน

    การรับมือกับเหตุการณ์ไซเบอร์ เช่น ransomware attack ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบด้านเทคนิค แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนของชื่อเสียงและอำนาจภายในองค์กร จากการสำรวจของ Cytactic พบว่า 65% ของ CISO ที่เคยนำทีมรับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ขณะที่ 25% ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์

    Michael Oberlaender อดีต CISO ที่เคยผ่านวิกฤตใหญ่เล่าว่า หลังจากป้องกันการโจมตีได้สำเร็จ เขาได้รับอำนาจเต็มในการตัดสินใจทางการเงิน และเสียงของเขาในที่ประชุมก็ได้รับการรับฟังอย่างจริงจังมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า การได้รับความเคารพไม่ควรต้องแลกกับการเผชิญภัยคุกคามเสมอไป Jeff Pollard จาก Forrester กล่าวว่า “ถ้าเราไม่เห็นภัยเกิดขึ้น เราก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” และ Chris Jackson เปรียบ CISO กับโค้ชกีฬา: “ต่อให้ชนะทุกเกม แต่ถ้าไม่ได้แชมป์ ก็อาจถูกปลดได้”

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ เหตุการณ์ไซเบอร์คือจุดเปลี่ยนของ CISO
    ผลกระทบจากการรับมือเหตุการณ์
    65% ของ CISO ที่รับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น
    25% ถูกปลดหลังเกิด ransomware attack
    การรับมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของทีมรักษาความปลอดภัย

    คำเตือน
    หากรับมือผิดพลาด อาจกลายเป็น “แพะรับบาป”
    การไม่เตรียมซ้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า อาจทำให้ทีมล้มเหลว

    2️⃣ ความเคารพต้องแลกด้วย “การพิสูจน์ตัวเอง”
    ตัวอย่างจากผู้มีประสบการณ์
    Michael Oberlaender ได้รับอำนาจเต็มหลังป้องกันเหตุการณ์สำเร็จ
    Finance และผู้บริหารให้ความเชื่อมั่นมากขึ้น
    เสียงของเขาในที่ประชุมได้รับการรับฟังอย่างจริงจัง

    คำเตือน
    ความเคารพอาจเกิดขึ้นเฉพาะหลังเกิดวิกฤตเท่านั้น
    หากไม่มีเหตุการณ์ให้ “โชว์ฝีมือ” CISO อาจถูกมองข้าม

    3️⃣ ปัญหาการสื่อสารและการมองเห็นคุณค่า
    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Brian Levine ชี้ว่า การเพิ่มงบประมาณหลังเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเคารพ CISO แต่เพราะต้องเสริมระบบ
    Jeff Pollard ชี้ว่า “ถ้าไม่เห็นภัย ก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน”
    Erik Avakian แนะนำให้ใช้ KPI เพื่อแสดงคุณค่าทางธุรกิจ เช่น การลด spam email

    คำเตือน
    การสื่อสารไม่ชัดเจน อาจทำให้ความสำเร็จถูกมองข้าม
    การไม่แสดงผลลัพธ์เป็นตัวเลข อาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจคุณค่าของงานรักษาความปลอดภัย

    4️⃣ ปัญหาการจ้างงาน CISO ในตลาดปัจจุบัน
    ความเห็นจาก Oberlaender
    บริษัทควรจ้าง CISO ที่มีประสบการณ์จริง
    ปัจจุบันหลายบริษัทเลือกจ้าง “virtual CISO” ที่ขาดความรู้ลึก
    ส่งผลให้เกิดการจัดการเหตุการณ์ผิดพลาดและข้อมูลรั่วไหล

    คำเตือน
    การจ้างงานราคาถูกอาจนำไปสู่ความเสียหายที่มีต้นทุนสูง
    การละเลยคุณสมบัติด้านประสบการณ์ อาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/4074994/why-must-cisos-slay-a-cyber-dragon-to-earn-business-respect.html
    🛡️ ทำไม CISO ต้อง “ปราบมังกรไซเบอร์” เพื่อให้ธุรกิจเคารพ? ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล ตำแหน่ง CISO (Chief Information Security Officer) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุด แต่กลับเป็นตำแหน่งที่มักถูกมองข้ามหรือกลายเป็น “แพะรับบาป” เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ บทความจาก CSO Online ได้สำรวจว่าเหตุใด CISO จึงต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาลเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน การรับมือกับเหตุการณ์ไซเบอร์ เช่น ransomware attack ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบด้านเทคนิค แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนของชื่อเสียงและอำนาจภายในองค์กร จากการสำรวจของ Cytactic พบว่า 65% ของ CISO ที่เคยนำทีมรับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ขณะที่ 25% ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์ Michael Oberlaender อดีต CISO ที่เคยผ่านวิกฤตใหญ่เล่าว่า หลังจากป้องกันการโจมตีได้สำเร็จ เขาได้รับอำนาจเต็มในการตัดสินใจทางการเงิน และเสียงของเขาในที่ประชุมก็ได้รับการรับฟังอย่างจริงจังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า การได้รับความเคารพไม่ควรต้องแลกกับการเผชิญภัยคุกคามเสมอไป Jeff Pollard จาก Forrester กล่าวว่า “ถ้าเราไม่เห็นภัยเกิดขึ้น เราก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” และ Chris Jackson เปรียบ CISO กับโค้ชกีฬา: “ต่อให้ชนะทุกเกม แต่ถ้าไม่ได้แชมป์ ก็อาจถูกปลดได้” 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ เหตุการณ์ไซเบอร์คือจุดเปลี่ยนของ CISO ✅ ผลกระทบจากการรับมือเหตุการณ์ ➡️ 65% ของ CISO ที่รับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ➡️ 25% ถูกปลดหลังเกิด ransomware attack ➡️ การรับมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของทีมรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือน ⛔ หากรับมือผิดพลาด อาจกลายเป็น “แพะรับบาป” ⛔ การไม่เตรียมซ้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า อาจทำให้ทีมล้มเหลว 2️⃣ ความเคารพต้องแลกด้วย “การพิสูจน์ตัวเอง” ✅ ตัวอย่างจากผู้มีประสบการณ์ ➡️ Michael Oberlaender ได้รับอำนาจเต็มหลังป้องกันเหตุการณ์สำเร็จ ➡️ Finance และผู้บริหารให้ความเชื่อมั่นมากขึ้น ➡️ เสียงของเขาในที่ประชุมได้รับการรับฟังอย่างจริงจัง ‼️ คำเตือน ⛔ ความเคารพอาจเกิดขึ้นเฉพาะหลังเกิดวิกฤตเท่านั้น ⛔ หากไม่มีเหตุการณ์ให้ “โชว์ฝีมือ” CISO อาจถูกมองข้าม 3️⃣ ปัญหาการสื่อสารและการมองเห็นคุณค่า ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Brian Levine ชี้ว่า การเพิ่มงบประมาณหลังเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเคารพ CISO แต่เพราะต้องเสริมระบบ ➡️ Jeff Pollard ชี้ว่า “ถ้าไม่เห็นภัย ก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” ➡️ Erik Avakian แนะนำให้ใช้ KPI เพื่อแสดงคุณค่าทางธุรกิจ เช่น การลด spam email ‼️ คำเตือน ⛔ การสื่อสารไม่ชัดเจน อาจทำให้ความสำเร็จถูกมองข้าม ⛔ การไม่แสดงผลลัพธ์เป็นตัวเลข อาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจคุณค่าของงานรักษาความปลอดภัย 4️⃣ ปัญหาการจ้างงาน CISO ในตลาดปัจจุบัน ✅ ความเห็นจาก Oberlaender ➡️ บริษัทควรจ้าง CISO ที่มีประสบการณ์จริง ➡️ ปัจจุบันหลายบริษัทเลือกจ้าง “virtual CISO” ที่ขาดความรู้ลึก ➡️ ส่งผลให้เกิดการจัดการเหตุการณ์ผิดพลาดและข้อมูลรั่วไหล ‼️ คำเตือน ⛔ การจ้างงานราคาถูกอาจนำไปสู่ความเสียหายที่มีต้นทุนสูง ⛔ การละเลยคุณสมบัติด้านประสบการณ์ อาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/4074994/why-must-cisos-slay-a-cyber-dragon-to-earn-business-respect.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why must CISOs slay a cyber dragon to earn business respect?
    Security leaders and industry experts weigh in on the complex calculus of CISOs’ internal clout.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม

    ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย?

    บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต

    สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug

    1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์
    อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป
    การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้

    คำเตือน
    ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
    หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง

    2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems)
    ข้อเท็จจริง
    ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
    Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน
    หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล

    คำเตือน
    การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน
    ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน

    3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร
    Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ
    ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย

    คำเตือน
    ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด
    ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป

    4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ
    หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด
    เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง

    คำเตือน
    หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้
    ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย

    5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้
    อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว
    การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด

    คำเตือน
    Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้
    ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม

    https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    ⚡ Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย? บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต 🔍 สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug 1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์ ➡️ อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป ➡️ การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้ ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ⛔ หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง 2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ➡️ Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน ➡️ หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล ‼️ คำเตือน ⛔ การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน ⛔ ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน 3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร ➡️ Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ ➡️ ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด ⛔ ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป 4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ ➡️ หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด ➡️ เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง ‼️ คำเตือน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้ ⛔ ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย 5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้ ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว ➡️ การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด ‼️ คำเตือน ⛔ Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้ ⛔ ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Never Plug These 5 Things Into A Smart Plug - SlashGear
    Smart plugs are useful for bringing simple automations to appliances that aren't smart, but connecting them to those 5 things might not be a clever idea.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • AI ผิดพลาด! ตำรวจติดอาวุธบุกนักเรียน หลังระบบตรวจจับปืนเข้าใจผิดว่า “ถุงโดริโทส” คืออาวุธ

    เหตุการณ์สุดช็อกเกิดขึ้นที่โรงเรียน Kenwood High School ในเมืองบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ Taki Allen นักเรียนวัย 16 ปี ถูกตำรวจติดอาวุธกว่า 8 นายบุกเข้าควบคุมตัวกลางสนามหลังเลิกเรียน เหตุเพราะระบบ AI ตรวจจับอาวุธของโรงเรียนเข้าใจผิดว่า “ถุงขนมโดริโทส” ที่เขาพับใส่กระเป๋าคือปืน!

    Allen เล่าว่าเขาถูกสั่งให้คุกเข่า ยกมือไพล่หลัง และถูกใส่กุญแจมือโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งตำรวจแสดงภาพจากระบบ AI ที่ระบุว่า “ถุงขนม” นั้นดูเหมือนปืนในภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด

    ระบบที่ใช้คือเทคโนโลยีจาก Omnilert ซึ่งถูกติดตั้งในโรงเรียนของ Baltimore County ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อพบสิ่งที่อาจเป็นอาวุธ แต่ในกรณีนี้กลับเกิด “false positive” ที่นำไปสู่การใช้กำลังกับนักเรียนที่ไม่มีอาวุธใดๆ

    แม้ทางโรงเรียนและบริษัทจะออกแถลงการณ์ว่า “ระบบทำงานตามที่ออกแบบไว้” และเสนอให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ Allen ยืนยันว่าไม่มีใครจากโรงเรียนติดต่อเขาโดยตรง และเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะกลับไปเรียนอีก

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    นักเรียนวัย 16 ปีถูกตำรวจติดอาวุธควบคุมตัว
    ระบบ AI เข้าใจผิดว่าถุงโดริโทสคือปืน
    เกิดขึ้นหลังเลิกเรียนขณะนักเรียนรอรถกลับบ้าน

    ระบบที่ใช้
    เป็นเทคโนโลยีจากบริษัท Omnilert
    ใช้กล้องวงจรปิดและ AI ตรวจจับอาวุธแบบเรียลไทม์
    ถูกติดตั้งในโรงเรียนของ Baltimore County ตั้งแต่ปี 2024

    ผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้อง
    นักเรียนรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่อยากกลับไปเรียน
    ไม่มีการขอโทษหรือติดต่อจากโรงเรียนโดยตรง
    โรงเรียนเสนอคำปรึกษาให้กับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ

    มุมมองจากบริษัทและโรงเรียน
    Omnilert ระบุว่า “ระบบทำงานตามที่ออกแบบไว้”
    ยืนยันว่าเป็นการ “false positive” ที่เกิดขึ้นได้ยาก
    โรงเรียนส่งจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อชี้แจงเหตุการณ์

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในสถานศึกษา
    ระบบ AI อาจเกิด false positive ที่นำไปสู่การใช้กำลังโดยไม่จำเป็น
    การไม่ตรวจสอบภาพอย่างละเอียดก่อนส่งตำรวจ อาจสร้างความหวาดกลัวให้กับนักเรียน
    การขาดการสื่อสารและขอโทษจากโรงเรียน อาจทำลายความไว้วางใจของนักเรียนและผู้ปกครอง

    https://www.dexerto.com/entertainment/armed-police-swarm-student-after-ai-mistakes-bag-of-doritos-for-a-weapon-3273512/
    🚨 AI ผิดพลาด! ตำรวจติดอาวุธบุกนักเรียน หลังระบบตรวจจับปืนเข้าใจผิดว่า “ถุงโดริโทส” คืออาวุธ เหตุการณ์สุดช็อกเกิดขึ้นที่โรงเรียน Kenwood High School ในเมืองบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ Taki Allen นักเรียนวัย 16 ปี ถูกตำรวจติดอาวุธกว่า 8 นายบุกเข้าควบคุมตัวกลางสนามหลังเลิกเรียน เหตุเพราะระบบ AI ตรวจจับอาวุธของโรงเรียนเข้าใจผิดว่า “ถุงขนมโดริโทส” ที่เขาพับใส่กระเป๋าคือปืน! Allen เล่าว่าเขาถูกสั่งให้คุกเข่า ยกมือไพล่หลัง และถูกใส่กุญแจมือโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งตำรวจแสดงภาพจากระบบ AI ที่ระบุว่า “ถุงขนม” นั้นดูเหมือนปืนในภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิด ระบบที่ใช้คือเทคโนโลยีจาก Omnilert ซึ่งถูกติดตั้งในโรงเรียนของ Baltimore County ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ทันทีเมื่อพบสิ่งที่อาจเป็นอาวุธ แต่ในกรณีนี้กลับเกิด “false positive” ที่นำไปสู่การใช้กำลังกับนักเรียนที่ไม่มีอาวุธใดๆ แม้ทางโรงเรียนและบริษัทจะออกแถลงการณ์ว่า “ระบบทำงานตามที่ออกแบบไว้” และเสนอให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่ Allen ยืนยันว่าไม่มีใครจากโรงเรียนติดต่อเขาโดยตรง และเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะกลับไปเรียนอีก ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ นักเรียนวัย 16 ปีถูกตำรวจติดอาวุธควบคุมตัว ➡️ ระบบ AI เข้าใจผิดว่าถุงโดริโทสคือปืน ➡️ เกิดขึ้นหลังเลิกเรียนขณะนักเรียนรอรถกลับบ้าน ✅ ระบบที่ใช้ ➡️ เป็นเทคโนโลยีจากบริษัท Omnilert ➡️ ใช้กล้องวงจรปิดและ AI ตรวจจับอาวุธแบบเรียลไทม์ ➡️ ถูกติดตั้งในโรงเรียนของ Baltimore County ตั้งแต่ปี 2024 ✅ ผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้อง ➡️ นักเรียนรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่อยากกลับไปเรียน ➡️ ไม่มีการขอโทษหรือติดต่อจากโรงเรียนโดยตรง ➡️ โรงเรียนเสนอคำปรึกษาให้กับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ ✅ มุมมองจากบริษัทและโรงเรียน ➡️ Omnilert ระบุว่า “ระบบทำงานตามที่ออกแบบไว้” ➡️ ยืนยันว่าเป็นการ “false positive” ที่เกิดขึ้นได้ยาก ➡️ โรงเรียนส่งจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อชี้แจงเหตุการณ์ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในสถานศึกษา ⛔ ระบบ AI อาจเกิด false positive ที่นำไปสู่การใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ⛔ การไม่ตรวจสอบภาพอย่างละเอียดก่อนส่งตำรวจ อาจสร้างความหวาดกลัวให้กับนักเรียน ⛔ การขาดการสื่อสารและขอโทษจากโรงเรียน อาจทำลายความไว้วางใจของนักเรียนและผู้ปกครอง https://www.dexerto.com/entertainment/armed-police-swarm-student-after-ai-mistakes-bag-of-doritos-for-a-weapon-3273512/
    WWW.DEXERTO.COM
    Armed police swarm student after AI mistakes bag of Doritos for a weapon - Dexerto
    Armed officers swarmed a 16-year-old student outside a Baltimore high school when an AI gun detection system flagged Doritos as a firearm.
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • เพจจอมแฉ CSI LA ออกโรงขอโทษ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ยอมรับใช้ภาพผิดพลาด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000101171

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    เพจจอมแฉ CSI LA ออกโรงขอโทษ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ยอมรับใช้ภาพผิดพลาด ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000101171 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 371 Views 0 Reviews
  • “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก”

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย

    แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม

    กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม

    แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้

    แผนของรัฐบาลอังกฤษ
    เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026
    ใช้เทคโนโลยี facial age estimation
    มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร
    เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    ความกังวลจากภาคประชาสังคม
    AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ
    เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด
    การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI
    ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก

    ตัวอย่างผลกระทบจริง
    Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง”
    ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง
    ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย
    ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์

    ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย
    รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน
    มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย
    แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น
    กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    🧬 “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก” รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้ ✅ แผนของรัฐบาลอังกฤษ ➡️ เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026 ➡️ ใช้เทคโนโลยี facial age estimation ➡️ มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น ✅ ความกังวลจากภาคประชาสังคม ➡️ AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ ➡️ เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด ➡️ การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI ➡️ ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก ✅ ตัวอย่างผลกระทบจริง ➡️ Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง” ➡️ ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย ➡️ ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์ ✅ ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย ➡️ รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน ➡️ มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย ➡️ แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น ➡️ กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK use of AI age estimation tech on migrants fuels rights fears
    UK to use facial recognition tech to decide ages of lone child asylum seekers but critics say biases could rob many of safeguards.
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!”

    ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร

    บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

    เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี

    ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface
    หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application
    รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน
    ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch
    แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี

    ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM
    ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์
    วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ
    เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack
    บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook

    เครื่องมือเด่นที่แนะนำ
    Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA
    CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration
    CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง
    Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม
    JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง
    Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack
    Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก
    SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี
    Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง
    การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด
    การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย
    การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    🛡️ “9 เครื่องมือจัดการ Attack Surface ที่องค์กรควรรู้ – ป้องกันภัยไซเบอร์ก่อนถูกเจาะ!” ในยุคที่ระบบ IT เชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา การรู้ว่า “อะไรเปิดเผยอยู่บ้าง” คือกุญแจสำคัญในการป้องกันการโจมตี เครื่องมือประเภท CAASM (Cyber Asset Attack Surface Management) และ EASM (External Attack Surface Management) จึงกลายเป็นหัวใจของการรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 9 เครื่องมือเด่นที่ช่วยค้นหาและจัดการช่องโหว่ในระบบขององค์กร โดยแต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน เช่น การมองจากมุมของแฮกเกอร์, การเชื่อมต่อกับระบบภายใน, หรือการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ เป้าหมายของเครื่องมือเหล่านี้คือการลด “ข้อมูลที่แฮกเกอร์มองเห็น” ให้เหลือน้อยที่สุด โดยยังคงให้บริการธุรกิจได้ตามปกติ และสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ เช่น การเพิ่ม asset ใหม่ หรือการเปลี่ยน config ที่อาจเกิดจาก human error หรือการโจมตี ✅ ความเข้าใจพื้นฐานของ Attack Surface ➡️ หมายถึงทรัพยากรทั้งหมดที่เข้าถึงได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, domain, application ➡️ รวมถึง open ports, SSL, server platform และ protocol ที่ใช้งาน ➡️ ช่องโหว่เกิดจาก config ผิดพลาดหรือ software ที่ยังไม่ได้ patch ➡️ แม้ asset จะอยู่ใน data center ก็ยังเสี่ยง หากไม่มีการ monitor ที่ดี ✅ ความสามารถของเครื่องมือ CAASM/EASM ➡️ ตรวจจับ asset ใหม่และ config drift แบบเรียลไทม์ ➡️ วิเคราะห์ความเสี่ยงจากทั้งมุมเทคนิคและมุมธุรกิจ ➡️ เชื่อมต่อกับระบบภายใน เช่น Jira, ServiceNow, Slack ➡️ บางตัวสามารถทำ remediation อัตโนมัติหรือผ่าน playbook ✅ เครื่องมือเด่นที่แนะนำ ➡️ Axonius – เน้น asset inventory และ policy compliance เช่น PCI/HIPAA ➡️ CrowdStrike Falcon Surface – มองจากมุมแฮกเกอร์ พร้อม remediation ผ่าน integration ➡️ CyCognito – วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง asset และจัดลำดับความเสี่ยง ➡️ Informer – ค้นหา asset บน web/API พร้อม pen testing เสริม ➡️ JupiterOne – แสดง asset แบบ visual map พร้อม query ขั้นสูง ➡️ Microsoft Defender EASM – ค้นหา shadow IT และ probe ทุก layer ของ tech stack ➡️ Rapid7 InsightVM – มีสิทธิ์ออก CVE ใหม่ พร้อม dashboard วิเคราะห์แบบเจาะลึก ➡️ SOCRadar AttackMapper – ตรวจ SSL, DNS, defacement และ correlate กับวิธีโจมตี ➡️ Tenable.asm – วิเคราะห์ asset ด้วย metadata กว่า 200 field พร้อม context เชิงธุรกิจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การ scan แบบ periodic ไม่เพียงพอ ต้องใช้ monitoring แบบต่อเนื่อง ⛔ การไม่จัดการ config drift อาจเปิดช่องให้โจมตีโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่เชื่อมโยง asset กับ context ธุรกิจ อาจจัดลำดับความเสี่ยงผิด ⛔ การใช้หลายเครื่องมือโดยไม่มีการบูรณาการ อาจทำให้ข้อมูลกระจัดกระจาย ⛔ การไม่ฝึกซ้อม incident response ทำให้ 57% ของเหตุการณ์จริงไม่เคยถูกจำลองมาก่อน https://www.csoonline.com/article/574797/9-attack-surface-discovery-and-management-tools.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CAASM and EASM: Top 12 attack surface discovery and management tools
    The main goal of cyber asset attack surface management (CAASM) and external attack surface management (EASM) tools is to protect information about a company’s security measures from attackers. Here are 9 tools to consider when deciding what is best for the business.
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!”

    ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว!

    นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที

    มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ

    ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ

    แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย

    แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini

    ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ

    ความสามารถหลักของ Qwen3-VL
    แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript
    รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token
    เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D
    OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง

    ความสามารถแบบ agentic
    ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ
    สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า
    ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง
    ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

    จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama
    เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้
    ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude
    ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด
    การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง
    การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ
    ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    👁️🧠 “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!” ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว! นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ ✅ ความสามารถหลักของ Qwen3-VL ➡️ แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript ➡️ รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token ➡️ เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D ➡️ OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง ✅ ความสามารถแบบ agentic ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ ➡️ สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า ➡️ ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง ➡️ ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ✅ จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้ ➡️ ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude ➡️ ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด ⛔ การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ ⛔ ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Ollama's Qwen3-VL Introduces The Most Powerful Vision Language Model - Here's How It Works - SlashGear
    AI is advancing at a rapid rate, and Ollama claims its Qwen3-VL is the most powerful vision language model yet. Here's what it is and how it works.
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก”

    Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

    สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่:

    1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ

    2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ

    Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา

    สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว

    Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น

    สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia
    จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่
    พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ

    สาเหตุของการลดลง
    AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ
    คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้
    พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง”

    ผลกระทบต่อ Wikipedia
    ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง
    ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้
    เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา
    ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง

    การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation
    เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia
    พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา
    มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่
    หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน
    การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด
    การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง
    หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia
    การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น

    https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    📉 “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก” Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่: 1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ 2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ✅ สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia ➡️ จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่ ➡️ พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ ✅ สาเหตุของการลดลง ➡️ AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ ➡️ คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้ ➡️ พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง” ✅ ผลกระทบต่อ Wikipedia ➡️ ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง ➡️ ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้ ➡️ เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา ➡️ ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง ✅ การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation ➡️ เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia ➡️ พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา ➡️ มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่ ➡️ หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน ⛔ การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด ⛔ การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง ⛔ หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia ⛔ การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    TECHCRUNCH.COM
    Wikipedia says traffic is falling due to AI search summaries and social video | TechCrunch
    Looks like Wikipedia isn't immune to broader online trends, with human page views falling 8% year-over-year, according to a new blog post from Marshall Miller of the Wikimedia Foundation.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!”

    Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด

    แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456!

    TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network

    หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง

    นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ

    การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง

    วิธีการโจมตี
    ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
    สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server
    ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor
    ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ
    ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน

    ความสามารถของ TOLLBOOTH
    มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน
    รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง
    มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean
    มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้
    ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ความสามารถของ HIDDENDRIVER
    ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry
    มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน
    ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process
    ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้

    ขอบเขตของการโจมตี
    พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง
    ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา
    ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing
    พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ

    https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    🕳️ “แฮกเกอร์จีนใช้คีย์ ASP.NET ที่หลุด – ฝัง TOLLBOOTH Backdoor และ Rootkit บน IIS Server ทั่วโลก!” Elastic Security Labs และ Texas A&M University System Cybersecurity เผยการค้นพบแคมเปญโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาจีน ซึ่งใช้คีย์ ASP.NET ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในการเจาะระบบ Microsoft IIS Server ที่ตั้งค่าผิดพลาด แฮกเกอร์ใช้คีย์ machineKey ที่หลุดจากเอกสาร Microsoft และ StackOverflow เพื่อสร้าง payload ที่สามารถ deserialization ผ่าน ViewState ได้ ทำให้สามารถรันคำสั่งบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หลังจากเจาะระบบได้แล้ว พวกเขาจะติดตั้ง backdoor ชื่อว่า TOLLBOOTH ซึ่งเป็น IIS module ที่มีความสามารถทั้ง SEO cloaking, webshell, และ command execution โดยมี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน hack123456! TOLLBOOTH ยังสามารถแยกแยะระหว่าง bot ของ search engine กับผู้ใช้จริง เพื่อแสดงเนื้อหาหลอกลวงให้ bot เห็น (เพื่อดัน SEO) และ redirect ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์อันตราย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า link farm network หากวิธีฝัง backdoor ล้มเหลว แฮกเกอร์จะใช้เครื่องมือ Remote Monitoring & Management (RMM) ชื่อ GotoHTTP เพื่อควบคุมเครื่องผ่านเบราว์เซอร์โดยตรง นอกจากนี้ยังพบ rootkit ระดับ kernel ที่ชื่อว่า HIDDENDRIVER ซึ่งดัดแปลงจากโครงการโอเพ่นซอร์สชื่อ “Hidden” โดยใช้เทคนิค DKOM (Direct Kernel Object Manipulation) เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry key จากเครื่องมือวิเคราะห์ระบบ การโจมตีนี้ถูกจัดกลุ่มเป็น REF3927 และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแคมเปญที่ Microsoft และ AhnLab เคยรายงานมาก่อน โดยมีเป้าหมายเป็นเซิร์ฟเวอร์ IIS กว่า 571 เครื่องทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มแฮกเกอร์จีนที่มักหลีกเลี่ยงการโจมตีภายในประเทศตัวเอง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้คีย์ ASP.NET machineKey ที่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ➡️ สร้าง ViewState payload เพื่อรันคำสั่งบน IIS Server ➡️ ติดตั้ง TOLLBOOTH IIS module เป็น backdoor ➡️ ใช้ GotoHTTP หากฝัง backdoor ไม่สำเร็จ ➡️ ติดตั้ง rootkit HIDDENDRIVER เพื่อซ่อนการทำงาน ✅ ความสามารถของ TOLLBOOTH ➡️ มี webshell ซ่อนอยู่ที่ /mywebdll พร้อมรหัสผ่าน ➡️ รองรับการอัปโหลดไฟล์และรันคำสั่ง ➡️ มี endpoint สำหรับ health check, debug และ clean ➡️ มี SEO cloaking engine เพื่อหลอก bot และ redirect ผู้ใช้ ➡️ ใช้ JSON config จากเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ ความสามารถของ HIDDENDRIVER ➡️ ใช้เทคนิค DKOM เพื่อซ่อน process, ไฟล์ และ registry ➡️ มี companion app ชื่อ HIDDENCLI เขียนด้วยภาษาจีน ➡️ ปรับปรุงจากโปรเจกต์ “Hidden” ด้วยฟีเจอร์ AMSI bypass และ whitelist process ➡️ ซ่อนตัวจากเครื่องมืออย่าง Process Explorer ได้ ✅ ขอบเขตของการโจมตี ➡️ พบการติดเชื้อใน IIS Server อย่างน้อย 571 เครื่อง ➡️ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน โลจิสติกส์ การศึกษา ➡️ ไม่มีเหยื่อในประเทศจีน – สะท้อนการใช้ geofencing ➡️ พบการติดตั้งซ้ำในหลายองค์กร แสดงว่าปัญหายังไม่ถูกแก้ที่ต้นเหตุ https://securityonline.info/chinese-hackers-exploit-exposed-asp-net-keys-to-deploy-tollbooth-iis-backdoor-and-kernel-rootkit/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chinese Hackers Exploit Exposed ASP.NET Keys to Deploy TOLLBOOTH IIS Backdoor and Kernel Rootkit
    Elastic exposed Chinese threat actors exploiting public ASP.NET machine keys to deploy TOLLBOOTH IIS backdoor and HIDDENDRIVER kernel rootkit. The malware performs stealthy SEO cloaking.
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?”

    เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง

    เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time

    นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง

    ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย

    แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน

    เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain
    ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ
    ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด
    เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม
    ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection
    รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที
    SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain
    Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network
    HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง
    Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance

    ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น
    ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ
    กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์
    Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง
    ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC
    เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย

    https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    🏦 “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?” เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน ✅ เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain ➡️ ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด ➡️ เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม ➡️ ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection ➡️ รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที ➡️ SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ➡️ Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network ➡️ HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง ➡️ Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance ✅ ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น ➡️ ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์ ➡️ Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง ➡️ ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC ➡️ เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    HACKREAD.COM
    Why Banks Are Embracing Blockchain They Once Rejected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • “GitLab ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ Runner Hijacking (CVE-2025-11702) และ DoS หลายรายการ – เสี่ยงโดนแฮก CI/CD Pipeline”

    GitLab ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 18.5.1, 18.4.3 และ 18.3.5 สำหรับทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-11702 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูง (CVSS 8.5) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สามารถ “แฮกรันเนอร์” จากโปรเจกต์อื่นใน GitLab instance เดียวกันได้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ใน API ของ runner ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม runner ที่ใช้ในการ build และ deploy ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย secrets, การ inject โค้ดอันตราย หรือการควบคุม pipeline ทั้งระบบ

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ DoS อีก 3 รายการที่เปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถโจมตีระบบให้ล่มได้ เช่น การส่ง payload พิเศษผ่าน event collector, การใช้ GraphQL ร่วมกับ JSON ที่ผิดรูปแบบ และการอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ไปยัง endpoint เฉพาะ

    GitLab ยังแก้ไขช่องโหว่อื่น ๆ เช่น การอนุญาต pipeline โดยไม่ได้รับสิทธิ์ (CVE-2025-11971) และการขอเข้าร่วมโปรเจกต์ผ่าน workflow ที่ผิดพลาด (CVE-2025-6601)

    ช่องโหว่หลักที่ถูกแก้ไข
    CVE-2025-11702 – Runner Hijacking ผ่าน API (CVSS 8.5)
    CVE-2025-10497 – DoS ผ่าน event collector (CVSS 7.5)
    CVE-2025-11447 – DoS ผ่าน GraphQL JSON validation (CVSS 7.5)
    CVE-2025-11974 – DoS ผ่านการอัปโหลดไฟล์ใหญ่ (CVSS 6.5)
    CVE-2025-11971 – Trigger pipeline โดยไม่ได้รับอนุญาต
    CVE-2025-6601 – Workflow error ทำให้เข้าถึงโปรเจกต์โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    GitLab CE/EE ตั้งแต่ 11.0 ถึงก่อน 18.3.5
    เวอร์ชัน 18.4 ก่อน 18.4.3 และ 18.5 ก่อน 18.5.1
    ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที

    ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD
    ผู้โจมตีสามารถควบคุม runner และ pipeline ได้
    อาจขโมย secrets หรือ inject โค้ดอันตราย
    DoS ทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้
    ส่งผลต่อความต่อเนื่องและความปลอดภัยของการ deploy

    https://securityonline.info/gitlab-patches-high-runner-hijacking-flaw-cve-2025-11702-and-multiple-dos-vulnerabilities/
    🛠️ “GitLab ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ Runner Hijacking (CVE-2025-11702) และ DoS หลายรายการ – เสี่ยงโดนแฮก CI/CD Pipeline” GitLab ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 18.5.1, 18.4.3 และ 18.3.5 สำหรับทั้ง Community Edition (CE) และ Enterprise Edition (EE) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงหลายรายการ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-11702 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูง (CVSS 8.5) ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สามารถ “แฮกรันเนอร์” จากโปรเจกต์อื่นใน GitLab instance เดียวกันได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ใน API ของ runner ที่ไม่รัดกุม ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุม runner ที่ใช้ในการ build และ deploy ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การขโมย secrets, การ inject โค้ดอันตราย หรือการควบคุม pipeline ทั้งระบบ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ DoS อีก 3 รายการที่เปิดให้ผู้ใช้ที่ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนสามารถโจมตีระบบให้ล่มได้ เช่น การส่ง payload พิเศษผ่าน event collector, การใช้ GraphQL ร่วมกับ JSON ที่ผิดรูปแบบ และการอัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ไปยัง endpoint เฉพาะ GitLab ยังแก้ไขช่องโหว่อื่น ๆ เช่น การอนุญาต pipeline โดยไม่ได้รับสิทธิ์ (CVE-2025-11971) และการขอเข้าร่วมโปรเจกต์ผ่าน workflow ที่ผิดพลาด (CVE-2025-6601) ✅ ช่องโหว่หลักที่ถูกแก้ไข ➡️ CVE-2025-11702 – Runner Hijacking ผ่าน API (CVSS 8.5) ➡️ CVE-2025-10497 – DoS ผ่าน event collector (CVSS 7.5) ➡️ CVE-2025-11447 – DoS ผ่าน GraphQL JSON validation (CVSS 7.5) ➡️ CVE-2025-11974 – DoS ผ่านการอัปโหลดไฟล์ใหญ่ (CVSS 6.5) ➡️ CVE-2025-11971 – Trigger pipeline โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ CVE-2025-6601 – Workflow error ทำให้เข้าถึงโปรเจกต์โดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ GitLab CE/EE ตั้งแต่ 11.0 ถึงก่อน 18.3.5 ➡️ เวอร์ชัน 18.4 ก่อน 18.4.3 และ 18.5 ก่อน 18.5.1 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที ✅ ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD ➡️ ผู้โจมตีสามารถควบคุม runner และ pipeline ได้ ➡️ อาจขโมย secrets หรือ inject โค้ดอันตราย ➡️ DoS ทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้ ➡️ ส่งผลต่อความต่อเนื่องและความปลอดภัยของการ deploy https://securityonline.info/gitlab-patches-high-runner-hijacking-flaw-cve-2025-11702-and-multiple-dos-vulnerabilities/
    SECURITYONLINE.INFO
    GitLab Patches High Runner Hijacking Flaw (CVE-2025-11702) and Multiple DoS Vulnerabilities
    GitLab patched a critical runner hijacking flaw (CVE-2025-11702) allowing authenticated users to compromise CI/CD pipelines, plus three unauthenticated DoS vulnerabilities.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “Google ปล่อยแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 (CVE-2025-12036) – เสี่ยงโดนเจาะระบบผ่านเว็บเพจ”

    Google ได้ปล่อยอัปเดตฉุกเฉินสำหรับ Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.122/.123 บน Windows, macOS และ Linux เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript engine ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการประมวลผลโค้ดใน Chrome และเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium อื่น ๆ

    ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12036 และถูกจัดอยู่ในระดับ “high severity” โดย Google ระบุว่าเป็น “การใช้งานที่ไม่เหมาะสมใน V8” ซึ่งอาจหมายถึง logic flaw หรือการจัดการประเภทข้อมูลที่ผิดพลาด ส่งผลให้แฮกเกอร์สามารถสร้างเว็บเพจที่เจาะระบบ renderer process ของเบราว์เซอร์ได้

    หากช่องโหว่นี้ถูกนำไปใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่น อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล หรือยกระดับสิทธิ์ในระบบได้เลย ซึ่งเป็นลักษณะของการโจมตีแบบ sandbox escape หรือ remote code execution ที่อันตรายมาก

    Google ได้รับรายงานช่องโหว่นี้จากนักวิจัยชื่อ Big Sleep เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2025 และรีบปล่อยแพตช์ภายในไม่กี่วัน พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อให้แน่ใจว่าใช้เวอร์ชันล่าสุด

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ใน V8 มักถูกใช้ใน zero-day attacks และมีประวัติถูกเจาะจริงมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นการอัปเดตทันทีจึงเป็นเรื่องจำเป็น

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12036
    เกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสมใน V8 JavaScript engine
    ส่งผลให้เว็บเพจที่ถูกสร้างขึ้นสามารถเจาะ renderer process ได้
    อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือยกระดับสิทธิ์
    ถูกจัดอยู่ในระดับ high severity
    รายงานโดยนักวิจัยชื่อ Big Sleep เมื่อ 15 ตุลาคม 2025

    การตอบสนองจาก Google
    ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 141.0.7390.122/.123 สำหรับทุกระบบ
    แนะนำให้ผู้ใช้เข้าไปอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome
    Enterprise ควร deploy อัปเดตให้ครบทุกเครื่องโดยเร็ว
    ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ใน zero-day attacks ได้

    ความสำคัญของ V8 engine
    เป็นหัวใจของการประมวลผล JavaScript ใน Chrome และ Chromium
    ช่องโหว่ใน V8 มักถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเจาะระบบ
    มีประวัติถูกใช้ในแคมเปญโจมตีจริงหลายครั้ง

    https://securityonline.info/chrome-update-new-high-severity-flaw-in-v8-engine-cve-2025-12036-requires-immediate-patch/
    🚨 “Google ปล่อยแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 (CVE-2025-12036) – เสี่ยงโดนเจาะระบบผ่านเว็บเพจ” Google ได้ปล่อยอัปเดตฉุกเฉินสำหรับ Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.122/.123 บน Windows, macOS และ Linux เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript engine ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการประมวลผลโค้ดใน Chrome และเบราว์เซอร์ที่ใช้ Chromium อื่น ๆ ช่องโหว่นี้มีรหัส CVE-2025-12036 และถูกจัดอยู่ในระดับ “high severity” โดย Google ระบุว่าเป็น “การใช้งานที่ไม่เหมาะสมใน V8” ซึ่งอาจหมายถึง logic flaw หรือการจัดการประเภทข้อมูลที่ผิดพลาด ส่งผลให้แฮกเกอร์สามารถสร้างเว็บเพจที่เจาะระบบ renderer process ของเบราว์เซอร์ได้ หากช่องโหว่นี้ถูกนำไปใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่น อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล หรือยกระดับสิทธิ์ในระบบได้เลย ซึ่งเป็นลักษณะของการโจมตีแบบ sandbox escape หรือ remote code execution ที่อันตรายมาก Google ได้รับรายงานช่องโหว่นี้จากนักวิจัยชื่อ Big Sleep เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2025 และรีบปล่อยแพตช์ภายในไม่กี่วัน พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อให้แน่ใจว่าใช้เวอร์ชันล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ใน V8 มักถูกใช้ใน zero-day attacks และมีประวัติถูกเจาะจริงมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นการอัปเดตทันทีจึงเป็นเรื่องจำเป็น ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-12036 ➡️ เกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสมใน V8 JavaScript engine ➡️ ส่งผลให้เว็บเพจที่ถูกสร้างขึ้นสามารถเจาะ renderer process ได้ ➡️ อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูลหรือยกระดับสิทธิ์ ➡️ ถูกจัดอยู่ในระดับ high severity ➡️ รายงานโดยนักวิจัยชื่อ Big Sleep เมื่อ 15 ตุลาคม 2025 ✅ การตอบสนองจาก Google ➡️ ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 141.0.7390.122/.123 สำหรับทุกระบบ ➡️ แนะนำให้ผู้ใช้เข้าไปอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome ➡️ Enterprise ควร deploy อัปเดตให้ครบทุกเครื่องโดยเร็ว ➡️ ช่องโหว่นี้อาจถูกใช้ใน zero-day attacks ได้ ✅ ความสำคัญของ V8 engine ➡️ เป็นหัวใจของการประมวลผล JavaScript ใน Chrome และ Chromium ➡️ ช่องโหว่ใน V8 มักถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการเจาะระบบ ➡️ มีประวัติถูกใช้ในแคมเปญโจมตีจริงหลายครั้ง https://securityonline.info/chrome-update-new-high-severity-flaw-in-v8-engine-cve-2025-12036-requires-immediate-patch/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome Update: New High-Severity Flaw in V8 Engine (CVE-2025-12036) Requires Immediate Patch
    Google issued an urgent Stable Channel update for Chrome (v141.0.7390.122) to fix a High-severity V8 flaw (CVE-2025-12036) that could lead to Remote Code Execution via a malicious web page.
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • "TSMC เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ให้ชมผ่านวิดีโอ: เทคโนโลยีล้ำยุคใน Fab 21 ที่แอริโซนา"

    TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน ได้เผยแพร่วิดีโอหายากที่พาผู้ชมบินผ่านโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 4nm และ 5nm (N4/N5) สำหรับบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, AMD และ Nvidia

    วิดีโอแสดงให้เห็นระบบ “Silver Highway” หรือระบบขนส่งวัสดุอัตโนมัติ (AMHS) ที่ใช้รางเหนือศีรษะในการเคลื่อนย้าย FOUPs (Front-Opening Unified Pods) ซึ่งบรรจุเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ไปยังเครื่องมือผลิตต่าง ๆ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

    จุดเด่นของโรงงานคือเครื่อง EUV Lithography จาก ASML รุ่น Twinscan NXE ที่ใช้แสงความยาวคลื่น 13.5nm จากพลาสมาทินในการ “พิมพ์” ลวดลายบนเวเฟอร์ด้วยความละเอียดระดับ 13nm ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปยุคใหม่

    ไฮไลต์จากวิดีโอโรงงาน Fab 21
    แสดงระบบ Silver Highway สำหรับขนส่ง FOUPs อัตโนมัติ
    ใช้แสงสีเหลืองในห้อง cleanroom เพื่อป้องกันการเปิดรับแสงของ photoresist
    เครื่อง EUV จาก ASML ใช้ plasma จากหยดทินในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์

    เทคโนโลยีการผลิต
    ใช้กระบวนการ N4 และ N5 (4nm และ 5nm-class)
    เครื่อง Twinscan NXE:3600D มีความแม่นยำระดับ 1.1nm
    ใช้ระบบเลเซอร์ผลิตพลาสมาและกระจกสะท้อนพิเศษแทนเลนส์ทั่วไป

    แผนการขยายโรงงาน
    Fab 21 phase 2 จะรองรับการผลิตชิประดับ N3 และ N2
    TSMC เตรียมซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้าง Gigafab cluster ในแอริโซนา
    รองรับความต้องการด้าน AI, สมาร์ทโฟน และ HPC ที่เพิ่มขึ้น

    ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV
    ต้องควบคุมความแม่นยำของการวางลวดลายในระดับนาโนเมตร
    มีผลกระทบจาก stochastic effects ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    ต้องใช้กระจกพิเศษแทนเลนส์ เพราะแสง EUV ถูกดูดกลืนโดยวัสดุทั่วไป

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ Gigafab
    โรงงานที่สามารถผลิตเวเฟอร์ได้มากกว่า 100,000 แผ่นต่อเดือน
    เป็นระดับสูงสุดของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    ความสำคัญของ Fab 21 ต่อสหรัฐฯ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย
    สนับสนุนความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-gives-an-ultra-rare-video-look-inside-its-fabs-silver-highway-and-fab-tools-revealed-in-flyby-video-of-companys-us-arizona-fab-21
    🏭 "TSMC เปิดโรงงานในสหรัฐฯ ให้ชมผ่านวิดีโอ: เทคโนโลยีล้ำยุคใน Fab 21 ที่แอริโซนา" TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลกจากไต้หวัน ได้เผยแพร่วิดีโอหายากที่พาผู้ชมบินผ่านโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 4nm และ 5nm (N4/N5) สำหรับบริษัทชั้นนำอย่าง Apple, AMD และ Nvidia วิดีโอแสดงให้เห็นระบบ “Silver Highway” หรือระบบขนส่งวัสดุอัตโนมัติ (AMHS) ที่ใช้รางเหนือศีรษะในการเคลื่อนย้าย FOUPs (Front-Opening Unified Pods) ซึ่งบรรจุเวเฟอร์ขนาด 300 มม. ไปยังเครื่องมือผลิตต่าง ๆ อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จุดเด่นของโรงงานคือเครื่อง EUV Lithography จาก ASML รุ่น Twinscan NXE ที่ใช้แสงความยาวคลื่น 13.5nm จากพลาสมาทินในการ “พิมพ์” ลวดลายบนเวเฟอร์ด้วยความละเอียดระดับ 13nm ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปยุคใหม่ ✅ ไฮไลต์จากวิดีโอโรงงาน Fab 21 ➡️ แสดงระบบ Silver Highway สำหรับขนส่ง FOUPs อัตโนมัติ ➡️ ใช้แสงสีเหลืองในห้อง cleanroom เพื่อป้องกันการเปิดรับแสงของ photoresist ➡️ เครื่อง EUV จาก ASML ใช้ plasma จากหยดทินในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ ✅ เทคโนโลยีการผลิต ➡️ ใช้กระบวนการ N4 และ N5 (4nm และ 5nm-class) ➡️ เครื่อง Twinscan NXE:3600D มีความแม่นยำระดับ 1.1nm ➡️ ใช้ระบบเลเซอร์ผลิตพลาสมาและกระจกสะท้อนพิเศษแทนเลนส์ทั่วไป ✅ แผนการขยายโรงงาน ➡️ Fab 21 phase 2 จะรองรับการผลิตชิประดับ N3 และ N2 ➡️ TSMC เตรียมซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้าง Gigafab cluster ในแอริโซนา ➡️ รองรับความต้องการด้าน AI, สมาร์ทโฟน และ HPC ที่เพิ่มขึ้น ‼️ ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV ⛔ ต้องควบคุมความแม่นยำของการวางลวดลายในระดับนาโนเมตร ⛔ มีผลกระทบจาก stochastic effects ที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ ต้องใช้กระจกพิเศษแทนเลนส์ เพราะแสง EUV ถูกดูดกลืนโดยวัสดุทั่วไป 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ Gigafab ➡️ โรงงานที่สามารถผลิตเวเฟอร์ได้มากกว่า 100,000 แผ่นต่อเดือน ➡️ เป็นระดับสูงสุดของโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ความสำคัญของ Fab 21 ต่อสหรัฐฯ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย ➡️ สนับสนุนความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-gives-an-ultra-rare-video-look-inside-its-fabs-silver-highway-and-fab-tools-revealed-in-flyby-video-of-companys-us-arizona-fab-21
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้"

    หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด

    ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด

    พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์
    มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย
    ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้
    ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC

    อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้
    Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi
    จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller
    พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan
    ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar
    ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone
    เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner
    USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub
    กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD
    คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง
    อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
    แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก
    จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor
    เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader

    คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ
    อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย
    หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม
    ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:

    ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub
    ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ
    เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย

    แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่
    จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว
    บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง

    https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    🖥️ "13 อุปกรณ์สุดเซอร์ไพรส์ที่คุณสามารถเสียบเข้าพอร์ต USB ของจอมอนิเตอร์ได้" หลายคนอาจไม่รู้ว่าจอมอนิเตอร์ของคุณไม่ได้มีไว้แค่แสดงภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย! บทความจาก SlashGear เผยว่า USB Type-A ที่อยู่ด้านหลังหรือข้างจอสามารถใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ที่อาจมีจำกัด ตั้งแต่การเสียบ dongle ไร้สาย ไปจนถึงพัดลมตั้งโต๊ะ ไฟ RGB ไมโครโฟน กล้องเว็บแคม และแม้แต่เครื่องดูดฝุ่นขนาดจิ๋ว—ทั้งหมดนี้สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB ของจอได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การตรวจสอบกำลังไฟที่อุปกรณ์ใช้ และการทำความสะอาดพอร์ตเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อผิดพลาด ✅ พอร์ต USB บนจอมอนิเตอร์ ➡️ มักเป็น USB Type-A ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลาย ➡️ ใช้เป็น USB hub หรือ dock ได้ ➡️ ช่วยประหยัดพอร์ตบนตัวเครื่อง PC ✅ อุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ ➡️ Dongle สำหรับเมาส์ หูฟัง และ Wi-Fi ➡️ จอยเกม เช่น 8BitDo Ultimate 2C Wireless Controller ➡️ พัดลมตั้งโต๊ะ เช่น Gaiatop USB Desk Fan ➡️ ไฟ RGB เช่น Phopollo Light Strip และ Velted RGB Light Bar ➡️ ไมโครโฟน USB เช่น Logitech Blue Microphone ➡️ เครื่องดูดฝุ่นจิ๋ว เช่น Auloea Portable Mini Vacuum Cleaner ➡️ USB Hub Splitter เช่น Vienon USB Hub ➡️ กล้องเว็บแคม เช่น Logitech Brio 101 HD ➡️ คีย์บอร์ด เมาส์ และลำโพง ➡️ อุปกรณ์ชาร์จ เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ➡️ แฟลชไดรฟ์และฮาร์ดดิสก์ภายนอก ➡️ จอแสดงผลขนาดเล็ก เช่น Wownova Temp Monitor ➡️ เครื่องอ่าน SD Card เช่น uni SD Card Reader ‼️ คำเตือนในการใช้งานพอร์ต USB บนจอ ⛔ อย่าเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงเกินไป อาจทำให้วงจรจอเสียหาย ⛔ หากอุปกรณ์ไม่ถูกตรวจพบ อาจเกิดจากพอร์ตเสียหรือมีฝุ่นสะสม ⛔ ความเร็วในการชาร์จอาจไม่เทียบเท่าที่ชาร์จโดยตรงจากปลั๊กไฟ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ประโยชน์ของการใช้จอเป็น USB hub ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสายไฟบนโต๊ะ ➡️ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงอุปกรณ์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัดหรือใช้โน้ตบุ๊กที่มีพอร์ตน้อย ✅ แนวโน้มการออกแบบจอภาพยุคใหม่ ➡️ จอภาพหลายรุ่นเริ่มมีพอร์ต USB-C และฟีเจอร์ชาร์จเร็ว ➡️ บางรุ่นรองรับการถ่ายโอนข้อมูลและภาพผ่าน USB-C โดยตรง https://www.slashgear.com/1996516/surprising-gadgets-can-plug-into-monitor-usb-port/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    13 Surprising Gadgets You Can Plug Into Your Monitor's USB Port - SlashGear
    Your monitor’s USB ports can do more than you think. Learn how to power, connect, and enhance your setup with smart, space-saving gadgets.
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • "เมื่อความหวังกลายเป็นความเข้าใจผิด: นักวิจัย OpenAI กับประกาศความสำเร็จ GPT-5 ด้านคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น"

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะดุดกับข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ AI ด้านคณิตศาสตร์ เมื่อหนึ่งในนักวิจัยระดับนำของ OpenAI ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า GPT-5 สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างแม่นยำถึง 94.4% ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง GPT-4 Turbo ที่ทำได้เพียง 32.8%

    แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความจริงก็ปรากฏว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการเข้าใจผิดจากการตีความผลการทดลองที่ยังไม่สมบูรณ์ และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากทีมวิจัยของ OpenAI

    โพสต์ต้นทางถูกลบออกอย่างรวดเร็ว และนักวิจัยคนดังกล่าวได้ออกมาขอโทษ พร้อมชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนจากผลการทดลองภายในที่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    นักวิจัย OpenAI โพสต์ว่า GPT-5 ทำคะแนนด้านคณิตศาสตร์ได้ 94.4%
    เปรียบเทียบกับ GPT-4 Turbo ที่ทำได้ 32.8%
    ข้อมูลดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นในวงการ AI

    ความจริงที่เปิดเผย
    ผลการทดลองยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้รับการตรวจสอบจากทีม
    โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง
    นักวิจัยออกมาขอโทษและชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารผิดพลาด

    ผลกระทบต่อวงการ
    สะท้อนถึงความเปราะบางของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในยุคโซเชียลมีเดีย
    กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของการพัฒนา AI
    ทำให้ผู้ใช้งานและนักวิจัยต้องระมัดระวังในการตีความผลการทดลอง

    https://the-decoder.com/leading-openai-researcher-announced-a-gpt-5-math-breakthrough-that-never-happened/
    📐 "เมื่อความหวังกลายเป็นความเข้าใจผิด: นักวิจัย OpenAI กับประกาศความสำเร็จ GPT-5 ด้านคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น" ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะดุดกับข่าวที่ดูเหมือนจะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ AI ด้านคณิตศาสตร์ เมื่อหนึ่งในนักวิจัยระดับนำของ OpenAI ได้โพสต์ข้อความบน X (Twitter เดิม) ว่า GPT-5 สามารถแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างแม่นยำถึง 94.4% ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง GPT-4 Turbo ที่ทำได้เพียง 32.8% แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความจริงก็ปรากฏว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นการเข้าใจผิดจากการตีความผลการทดลองที่ยังไม่สมบูรณ์ และไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการจากทีมวิจัยของ OpenAI โพสต์ต้นทางถูกลบออกอย่างรวดเร็ว และนักวิจัยคนดังกล่าวได้ออกมาขอโทษ พร้อมชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนจากผลการทดลองภายในที่ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ นักวิจัย OpenAI โพสต์ว่า GPT-5 ทำคะแนนด้านคณิตศาสตร์ได้ 94.4% ➡️ เปรียบเทียบกับ GPT-4 Turbo ที่ทำได้ 32.8% ➡️ ข้อมูลดังกล่าวสร้างความตื่นเต้นในวงการ AI ‼️ ความจริงที่เปิดเผย ⛔ ผลการทดลองยังไม่สมบูรณ์และไม่ได้รับการตรวจสอบจากทีม ⛔ โพสต์ดังกล่าวถูกลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง ⛔ นักวิจัยออกมาขอโทษและชี้แจงว่าเป็นการสื่อสารผิดพลาด ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ สะท้อนถึงความเปราะบางของการสื่อสารวิทยาศาสตร์ในยุคโซเชียลมีเดีย ➡️ กระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของการพัฒนา AI ➡️ ทำให้ผู้ใช้งานและนักวิจัยต้องระมัดระวังในการตีความผลการทดลอง https://the-decoder.com/leading-openai-researcher-announced-a-gpt-5-math-breakthrough-that-never-happened/
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก"

    เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต!

    Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่

    เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ!

    เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ

    ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    เทคนิค overlay video rendering
    ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ
    วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว
    ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า

    ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้
    เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่
    หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง

    ข้อดีของ overlay
    ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล
    อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่
    รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread

    ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay
    หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง
    การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก
    จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด

    เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor
    รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ
    รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ
    ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป

    สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์
    เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น
    เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว


    https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    😺 "ภาพนิ่งที่ขยับได้: เบื้องหลังมายากลของวิดีโอในยุคกราฟิกการ์ดครองโลก" เรื่องเล่าจากอดีตของ Raymond Chen นักพัฒนาระบบ Windows ที่เผยเบื้องหลังเทคนิคการแสดงผลวิดีโอในยุคก่อน Windows XP ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์สุดแปลก—เมื่อคุณจับภาพหน้าจอจากวิดีโอ แล้วเปิดในโปรแกรม Paint ภาพนิ่งนั้นกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต! Chen อธิบายว่าเทคนิคนี้เกิดจากการใช้ “overlay surfaces” หรือพื้นผิวกราฟิกพิเศษที่ทำงานร่วมกับกราฟิกการ์ดโดยตรง โดยวิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอจริง แต่ถูกวาดลงบนพื้นผิวที่แชร์กับการ์ดจอ แล้วใช้เทคนิค “chroma key” หรือการแทนที่สี (เช่น สีเขียว) ด้วยภาพวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ เมื่อคุณจับภาพหน้าจอในขณะที่ overlay ยังทำงานอยู่ ภาพที่ได้จะมีพื้นที่สีเขียวแทนตำแหน่งวิดีโอ และหากเปิดภาพนั้นใน Paint แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงานอยู่ วิดีโอจะยังคงแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่งนั้น—ราวกับภาพนิ่งกลายเป็นวิดีโอ! เทคนิคนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การลดการแปลงรูปแบบพิกเซล และการอัปเดตภาพวิดีโอโดยไม่ต้องผ่านการวาดใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถแสดงผลวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า แต่ก็มีข้อเสีย เช่น การแสดงผลผิดพลาดเมื่อมีหน้าต่างอื่นที่มีสีเขียวซ้อนทับ หรือการจำกัดจำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับ ในยุคปัจจุบัน เทคนิคนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบ “desktop compositor” ที่รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและลื่นไหลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ เทคนิค overlay video rendering ➡️ ใช้พื้นผิวกราฟิกพิเศษร่วมกับการ์ดจอเพื่อแสดงวิดีโอ ➡️ วิดีโอไม่ได้ถูกวาดลงบนหน้าจอโดยตรง แต่ใช้การแทนที่สี (chroma key) เช่น สีเขียว ➡️ ทำให้สามารถแสดงวิดีโอได้ลื่นไหลแม้ UI จะช้า ✅ ปรากฏการณ์ภาพนิ่งที่ขยับได้ ➡️ เกิดจากการจับภาพหน้าจอขณะ overlay ยังทำงานอยู่ ➡️ หากเปิดภาพในตำแหน่งเดิมที่ overlay ทำงาน วิดีโอจะยังแสดงผลผ่านพื้นที่สีเขียวในภาพนิ่ง ✅ ข้อดีของ overlay ➡️ ลดการแปลงรูปแบบพิกเซล ➡️ อัปเดตภาพวิดีโอได้เร็วโดยไม่ต้องวาดใหม่ ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 60 fps จาก background thread ‼️ ข้อจำกัดและปัญหาของ overlay ⛔ หากหน้าต่างอื่นมีสีเขียวซ้อนทับ อาจแสดงวิดีโอผิดตำแหน่ง ⛔ การเคลื่อนย้ายหน้าต่างวิดีโออาจทำให้ overlay ตามไม่ทัน เกิดการกระตุก ⛔ จำนวน overlay ที่การ์ดจอรองรับมีจำกัด ✅ เทคโนโลยีปัจจุบัน: desktop compositor ➡️ รวมภาพจากหลายหน้าต่างเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำ ➡️ รองรับการเปลี่ยนขนาดและตำแหน่งของวิดีโออัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องพึ่ง overlay อีกต่อไป ✅ สาระเพิ่มเติม: Chroma key ในวงการภาพยนตร์ ➡️ เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ในสตูดิโอถ่ายทำ เช่น การแทนที่ฉากหลังสีเขียวด้วยภาพอื่น ➡️ เป็นพื้นฐานของการสร้างฉากเสมือนในภาพยนตร์และรายการข่าว https://devblogs.microsoft.com/oldnewthing/20251014-00/?p=111681
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ใน Squid Proxy รั่วข้อมูล HTTP Credentials และ Security Tokens ผ่านการจัดการ Error Page” — เมื่อการแสดงหน้าข้อผิดพลาดกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลับ

    เล่าเรื่องให้ฟัง: Squid Proxy ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการแคชและเร่งการเข้าถึงเว็บ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงระดับ CVSS 10.0 (เต็ม 10) โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) และโทเคนความปลอดภัย (security tokens) ผ่านการจัดการ error page ที่ผิดพลาด

    ปัญหาเกิดจากการที่ Squid ไม่สามารถ “redact” หรือปกปิดข้อมูล HTTP Authentication credentials ได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใน error response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ — และสามารถถูกอ่านได้โดยสคริปต์ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของเบราว์เซอร์

    ที่น่ากังวลคือ:
    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Squid จนถึง 7.1
    แม้จะไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง
    หากเปิดใช้งาน email_err_data ในการตั้งค่า squid.conf จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
    ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึงโทเคนภายในที่ใช้ระหว่าง backend services

    นักพัฒนาของ Squid ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 7.2 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ:

    ปิดการใช้งาน email_err_data ทันที
    อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 7.2 หรือใช้ patch ที่เผยแพร่แยกต่างหาก

    ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ได้คะแนน CVSS 10.0
    ระดับวิกฤตสูงสุดตามมาตรฐานความปลอดภัย

    เกิดจากการจัดการ error page ที่ไม่ปกปิดข้อมูล HTTP credentials
    ข้อมูลรั่วใน response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้

    ส่งผลกระทบต่อ Squid ทุกเวอร์ชันจนถึง 7.1
    แม้ไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง

    หากเปิดใช้งาน email_err_data จะเพิ่มความเสี่ยง
    เพราะ debug info ถูกฝังใน mailto link

    ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึง security tokens ที่ใช้ภายในระบบ
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เพื่อเจาะ backend services

    แพตช์แก้ไขอยู่ใน Squid เวอร์ชัน 7.2
    พร้อม patch แยกสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดได้

    https://securityonline.info/critical-squid-proxy-flaw-cve-2025-62168-cvss-10-0-leaks-http-credentials-and-security-tokens-via-error-handling/
    🧩 “ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ใน Squid Proxy รั่วข้อมูล HTTP Credentials และ Security Tokens ผ่านการจัดการ Error Page” — เมื่อการแสดงหน้าข้อผิดพลาดกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลับ เล่าเรื่องให้ฟัง: Squid Proxy ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการแคชและเร่งการเข้าถึงเว็บ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงระดับ CVSS 10.0 (เต็ม 10) โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) และโทเคนความปลอดภัย (security tokens) ผ่านการจัดการ error page ที่ผิดพลาด ปัญหาเกิดจากการที่ Squid ไม่สามารถ “redact” หรือปกปิดข้อมูล HTTP Authentication credentials ได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใน error response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ — และสามารถถูกอ่านได้โดยสคริปต์ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของเบราว์เซอร์ ที่น่ากังวลคือ: 🛡️ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Squid จนถึง 7.1 🛡️ แม้จะไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง 🛡️ หากเปิดใช้งาน email_err_data ในการตั้งค่า squid.conf จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง 🛡️ ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึงโทเคนภายในที่ใช้ระหว่าง backend services นักพัฒนาของ Squid ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 7.2 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ: 🛡️ ปิดการใช้งาน email_err_data ทันที 🛡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 7.2 หรือใช้ patch ที่เผยแพร่แยกต่างหาก ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ได้คะแนน CVSS 10.0 ➡️ ระดับวิกฤตสูงสุดตามมาตรฐานความปลอดภัย ✅ เกิดจากการจัดการ error page ที่ไม่ปกปิดข้อมูล HTTP credentials ➡️ ข้อมูลรั่วใน response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ ✅ ส่งผลกระทบต่อ Squid ทุกเวอร์ชันจนถึง 7.1 ➡️ แม้ไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง ✅ หากเปิดใช้งาน email_err_data จะเพิ่มความเสี่ยง ➡️ เพราะ debug info ถูกฝังใน mailto link ✅ ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึง security tokens ที่ใช้ภายในระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกใช้เพื่อเจาะ backend services ✅ แพตช์แก้ไขอยู่ใน Squid เวอร์ชัน 7.2 ➡️ พร้อม patch แยกสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดได้ https://securityonline.info/critical-squid-proxy-flaw-cve-2025-62168-cvss-10-0-leaks-http-credentials-and-security-tokens-via-error-handling/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Squid Proxy Flaw (CVE-2025-62168, CVSS 10.0) Leaks HTTP Credentials and Security Tokens via Error Handling
    A Critical (CVSS 10.0) flaw in Squid proxy (CVE-2025-62168) leaks HTTP authentication credentials and security tokens through error messages.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • “เทพมนตรี” ย้ำ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 คือแผนที่เก๊ ที่ไทยเคยปฏิเสธในคดีปราสาทพระวิหาร แต่ผิดพลาดที่กรมสนธิสัญญานำกลับมาใช้อีกในข้อตกลงเขตแดนกับลาวปี 39 และ MOU43 กับกัมพูชา จึงถือว่า “ฮุนเซน” โชคดี จึงกอด MOU43 ไว้ต่อรองกับไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099612

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    “เทพมนตรี” ย้ำ แผนที่ 1 ต่อ 200,000 คือแผนที่เก๊ ที่ไทยเคยปฏิเสธในคดีปราสาทพระวิหาร แต่ผิดพลาดที่กรมสนธิสัญญานำกลับมาใช้อีกในข้อตกลงเขตแดนกับลาวปี 39 และ MOU43 กับกัมพูชา จึงถือว่า “ฮุนเซน” โชคดี จึงกอด MOU43 ไว้ต่อรองกับไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000099612 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Sad
    4
    0 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
More Results