• แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที!

    หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้!

    Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน
    Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
    VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา
    ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
    เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์
    VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง
    หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน

    Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome
    Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น
    รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า
    มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์
    มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ
    หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม
    ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า

    Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ
    Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ
    ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux
    ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง
    รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก
    ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว

    Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร
    แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ
    วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss
    ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go”
    แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน

    Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ
    แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล
    ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ
    สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า
    ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก
    แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก
    ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    📱 แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที! หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้! 🛡️ Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ ✅ VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา ➡️ ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์ ‼️ VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน 🌐 Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น ✅ รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า ➡️ มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ➡️ มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ ‼️ หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม ⛔ ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า 📤 Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ ✅ ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux ➡️ ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง ➡️ รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก ‼️ ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ⛔ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว 📶 Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ ✅ วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss ➡️ ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go” ‼️ แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้ ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน 📊 Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล ✅ ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ ➡️ สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า ➡️ ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก ‼️ แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก ⛔ ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Android Device - SlashGear
    Setting up your Android? Don’t waste time digging through the Play Store. These free apps are the ones actually worth keeping.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคนิค “โกหกเรื่องสัญญาณ” เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้มือถือ — จริงหรือหลอกกันแน่?

    บทความจาก Nick vs Networking เผยเทคนิคที่ผู้ให้บริการมือถือบางรายใช้เพื่อ “เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้” โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน นั่นคือการ “โกหกเรื่องความแรงของสัญญาณ” ด้วยการปรับเกณฑ์การแสดงแถบสัญญาณ (signal bars) ให้ดูดีขึ้นกว่าความเป็นจริง

    ตัวอย่างเช่น:
    เดิมทีอุปกรณ์จะแสดง 1 ขีดเมื่อสัญญาณอยู่ที่ -110 dBm
    แต่หากผู้ให้บริการปรับ threshold ให้แสดง 3 ขีดที่ระดับเดียวกัน ผู้ใช้จะ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ทั้งที่คุณภาพจริงไม่ได้เปลี่ยน

    แม้จะฟังดูเหมือนกลเม็ดทางการตลาด แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง — ผู้ใช้มีแนวโน้มร้องเรียนลดลง และรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น แม้คุณภาพการโทรหรือความเร็วอินเทอร์เน็ตจะเท่าเดิมก็ตาม

    สาระสำคัญจากบทความ
    ผู้ให้บริการบางรายปรับเกณฑ์แสดงแถบสัญญาณให้ดูแรงขึ้น
    เปลี่ยนจากแสดง 1 ขีดที่ -110 dBm เป็น 3 ขีด
    ทำให้ผู้ใช้ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น

    เทคนิคนี้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงข่าย
    ไม่ต้องติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่ม
    ลดต้นทุนแต่เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

    ผู้ใช้ร้องเรียนลดลงแม้คุณภาพจริงไม่เปลี่ยน
    ความรู้สึกมีผลต่อประสบการณ์ใช้งาน
    แสดงให้เห็นว่า perception สำคัญพอ ๆ กับ performance

    การ “โกหก” เรื่องสัญญาณอาจสร้างความเข้าใจผิด
    ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าปัญหาเกิดจากอุปกรณ์ ไม่ใช่เครือข่าย
    อาจทำให้การวิเคราะห์ปัญหาจริงยากขึ้น

    อาจขัดกับหลักจริยธรรมและความโปร่งใส
    ผู้ให้บริการควรให้ข้อมูลที่สะท้อนความจริง
    การบิดเบือนข้อมูลอาจกระทบความเชื่อมั่นในระยะยาว

    https://nickvsnetworking.com/simple-trick-to-increase-coverage-lying-to-users-about-signal-strength/
    📶 เทคนิค “โกหกเรื่องสัญญาณ” เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้มือถือ — จริงหรือหลอกกันแน่? บทความจาก Nick vs Networking เผยเทคนิคที่ผู้ให้บริการมือถือบางรายใช้เพื่อ “เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้” โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน นั่นคือการ “โกหกเรื่องความแรงของสัญญาณ” ด้วยการปรับเกณฑ์การแสดงแถบสัญญาณ (signal bars) ให้ดูดีขึ้นกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น: 💠 เดิมทีอุปกรณ์จะแสดง 1 ขีดเมื่อสัญญาณอยู่ที่ -110 dBm 💠 แต่หากผู้ให้บริการปรับ threshold ให้แสดง 3 ขีดที่ระดับเดียวกัน ผู้ใช้จะ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ทั้งที่คุณภาพจริงไม่ได้เปลี่ยน แม้จะฟังดูเหมือนกลเม็ดทางการตลาด แต่ผลลัพธ์กลับน่าทึ่ง — ผู้ใช้มีแนวโน้มร้องเรียนลดลง และรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น แม้คุณภาพการโทรหรือความเร็วอินเทอร์เน็ตจะเท่าเดิมก็ตาม ✅ สาระสำคัญจากบทความ ✅ ผู้ให้บริการบางรายปรับเกณฑ์แสดงแถบสัญญาณให้ดูแรงขึ้น ➡️ เปลี่ยนจากแสดง 1 ขีดที่ -110 dBm เป็น 3 ขีด ➡️ ทำให้ผู้ใช้ “รู้สึก” ว่าสัญญาณดีขึ้น ✅ เทคนิคนี้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มในโครงข่าย ➡️ ไม่ต้องติดตั้งเสาสัญญาณเพิ่ม ➡️ ลดต้นทุนแต่เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ✅ ผู้ใช้ร้องเรียนลดลงแม้คุณภาพจริงไม่เปลี่ยน ➡️ ความรู้สึกมีผลต่อประสบการณ์ใช้งาน ➡️ แสดงให้เห็นว่า perception สำคัญพอ ๆ กับ performance ‼️ การ “โกหก” เรื่องสัญญาณอาจสร้างความเข้าใจผิด ⛔ ผู้ใช้อาจเข้าใจผิดว่าปัญหาเกิดจากอุปกรณ์ ไม่ใช่เครือข่าย ⛔ อาจทำให้การวิเคราะห์ปัญหาจริงยากขึ้น ‼️ อาจขัดกับหลักจริยธรรมและความโปร่งใส ⛔ ผู้ให้บริการควรให้ข้อมูลที่สะท้อนความจริง ⛔ การบิดเบือนข้อมูลอาจกระทบความเชื่อมั่นในระยะยาว https://nickvsnetworking.com/simple-trick-to-increase-coverage-lying-to-users-about-signal-strength/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม Nextcloud ถึงรู้สึกช้า? เมื่อ JavaScript กลายเป็นตัวถ่วงประสบการณ์ผู้ใช้

    ผู้ใช้รายหนึ่งที่ตั้งใจใช้ Nextcloud เป็นศูนย์รวมบริการส่วนตัว เช่น ไฟล์, ปฏิทิน, โน้ต, รายการสิ่งที่ต้องทำ ฯลฯ ได้แชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพดีและปรับแต่งแล้ว แต่ Nextcloud ก็ยังรู้สึกช้าอย่างน่าหงุดหงิด

    เมื่อเปิด Developer Tools เพื่อวิเคราะห์ พบว่า Nextcloud โหลด JavaScript จำนวนมหาศาลในแต่ละหน้า — มากถึง 15–20 MB ต่อการโหลดหนึ่งครั้ง (แม้จะถูกบีบอัดเหลือ 4–5 MB ก็ยังถือว่าหนักมาก)

    ตัวอย่างเช่น:
    core-common.js ขนาด 4.71 MB
    NotificationsApp.chunk.mjs ขนาด 1.06 MB
    Calendar app ใช้ 5.94 MB เพื่อแสดงปฏิทินพื้นฐาน
    Files app มีหลายไฟล์ย่อย เช่น EditorOutline (1.77 MB), previewUtils (1.17 MB), emoji-picker (0.9 MB)
    Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน

    แม้จะมีการแคชในเบราว์เซอร์ แต่ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน ผู้ใช้ต้องรอให้เบราว์เซอร์ประมวลผลโค้ดทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลานาน โดยเฉพาะในเครือข่ายที่ช้า หรืออุปกรณ์ที่ไม่แรงมาก เช่น iPhone 13 mini

    ผู้เขียนบทความจึงเริ่มแยกบางฟีเจอร์ออกจาก Nextcloud เช่น ใช้ Vikunja แทน Tasks app และ Immich แทน Photos ซึ่งให้ประสบการณ์ที่เร็วกว่าอย่างชัดเจน

    Nextcloud ใช้ JavaScript จำนวนมากในการโหลดแต่ละหน้า
    โหลด 15–20 MB ต่อหน้า แม้บีบอัดแล้วก็ยังหนัก
    ส่งผลให้การใช้งานรู้สึกช้า แม้ใช้ฮาร์ดแวร์ดี

    แอปต่าง ๆ ใน Nextcloud มีขนาดไฟล์ JS ใหญ่เกินจำเป็น
    Calendar app ใช้ 5.94 MB
    Files app รวมแล้วเกือบ 19 MB
    Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน

    ผู้ใช้เริ่มแยกบริการบางส่วนออกจาก Nextcloud
    ใช้ Vikunja แทน Tasks app (โหลดเพียง 1.5 MB)
    ใช้ Immich แทน Photos เพื่อความเร็วที่ดีกว่า

    ความสะดวกของ Nextcloud ยังเป็นจุดแข็ง
    รวมหลายบริการไว้ในที่เดียว
    ยังคงใช้งานบางฟีเจอร์ต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า

    https://ounapuu.ee/posts/2025/11/03/nextcloud-slow/
    🐢 ทำไม Nextcloud ถึงรู้สึกช้า? เมื่อ JavaScript กลายเป็นตัวถ่วงประสบการณ์ผู้ใช้ ผู้ใช้รายหนึ่งที่ตั้งใจใช้ Nextcloud เป็นศูนย์รวมบริการส่วนตัว เช่น ไฟล์, ปฏิทิน, โน้ต, รายการสิ่งที่ต้องทำ ฯลฯ ได้แชร์ประสบการณ์ว่า แม้จะใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพดีและปรับแต่งแล้ว แต่ Nextcloud ก็ยังรู้สึกช้าอย่างน่าหงุดหงิด เมื่อเปิด Developer Tools เพื่อวิเคราะห์ พบว่า Nextcloud โหลด JavaScript จำนวนมหาศาลในแต่ละหน้า — มากถึง 15–20 MB ต่อการโหลดหนึ่งครั้ง (แม้จะถูกบีบอัดเหลือ 4–5 MB ก็ยังถือว่าหนักมาก) ตัวอย่างเช่น: 🔖 core-common.js ขนาด 4.71 MB 🔖 NotificationsApp.chunk.mjs ขนาด 1.06 MB 🔖 Calendar app ใช้ 5.94 MB เพื่อแสดงปฏิทินพื้นฐาน 🔖 Files app มีหลายไฟล์ย่อย เช่น EditorOutline (1.77 MB), previewUtils (1.17 MB), emoji-picker (0.9 MB) 🔖 Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน แม้จะมีการแคชในเบราว์เซอร์ แต่ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน ผู้ใช้ต้องรอให้เบราว์เซอร์ประมวลผลโค้ดทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลานาน โดยเฉพาะในเครือข่ายที่ช้า หรืออุปกรณ์ที่ไม่แรงมาก เช่น iPhone 13 mini ผู้เขียนบทความจึงเริ่มแยกบางฟีเจอร์ออกจาก Nextcloud เช่น ใช้ Vikunja แทน Tasks app และ Immich แทน Photos ซึ่งให้ประสบการณ์ที่เร็วกว่าอย่างชัดเจน ✅ Nextcloud ใช้ JavaScript จำนวนมากในการโหลดแต่ละหน้า ➡️ โหลด 15–20 MB ต่อหน้า แม้บีบอัดแล้วก็ยังหนัก ➡️ ส่งผลให้การใช้งานรู้สึกช้า แม้ใช้ฮาร์ดแวร์ดี ✅ แอปต่าง ๆ ใน Nextcloud มีขนาดไฟล์ JS ใหญ่เกินจำเป็น ➡️ Calendar app ใช้ 5.94 MB ➡️ Files app รวมแล้วเกือบ 19 MB ➡️ Notes app ใช้ 4.36 MB สำหรับ editor พื้นฐาน ✅ ผู้ใช้เริ่มแยกบริการบางส่วนออกจาก Nextcloud ➡️ ใช้ Vikunja แทน Tasks app (โหลดเพียง 1.5 MB) ➡️ ใช้ Immich แทน Photos เพื่อความเร็วที่ดีกว่า ✅ ความสะดวกของ Nextcloud ยังเป็นจุดแข็ง ➡️ รวมหลายบริการไว้ในที่เดียว ➡️ ยังคงใช้งานบางฟีเจอร์ต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า https://ounapuu.ee/posts/2025/11/03/nextcloud-slow/
    OUNAPUU.EE
    Why Nextcloud feels slow to use
    No amount of tuning the backend service performance helped, and then I learned why. Oh no. Oh no no no no.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคใหม่แห่งการล็อกอิน: Microsoft Edge เปิดตัวฟีเจอร์ Passkey Sync ข้ามอุปกรณ์

    ลองนึกภาพว่าเราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ไม่ต้องตั้งใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนอุปกรณ์ และไม่ต้องกลัวถูกแฮกง่าย ๆ — Microsoft Edge เวอร์ชัน 142.0 ได้เปิดประตูสู่โลกแบบนั้นแล้ว ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Cross-Platform Passkey Sync ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ passkey เดิมได้บนหลายอุปกรณ์อย่างปลอดภัยและสะดวกสุด ๆ

    ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของโลกไซเบอร์ที่กำลังผลักดันให้เราเข้าสู่ยุค Passwordless อย่างแท้จริง โดย Microsoft ไม่ได้หยุดแค่ใน Edge เท่านั้น แต่ยังมีแผนจะเปิดให้เบราว์เซอร์อื่นอย่าง Chrome และ Firefox เข้าถึง passkey ที่เก็บไว้ในบัญชี Microsoft ได้ด้วย ผ่านส่วนขยายที่กำลังพัฒนาอยู่

    นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มระบบ PIN เพื่อป้องกันการเข้าถึง passkey โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะใช้เครื่องเดียวกันก็ตาม ซึ่งเป็นการเพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกระดับหนึ่ง

    และถ้าคุณใช้ Windows 10 หรือ 11 พร้อม Microsoft Edge เวอร์ชันล่าสุด และมีบัญชี Microsoft อยู่แล้ว — คุณก็พร้อมเข้าสู่โลกไร้รหัสผ่านได้ทันที

    Microsoft Edge เปิดตัวฟีเจอร์ Passkey Sync ข้ามอุปกรณ์
    ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ passkey เดิมได้บนหลายอุปกรณ์โดยไม่ต้องตั้งใหม่
    ลดความยุ่งยากในการจัดการรหัสผ่าน และเพิ่มความสะดวกในการล็อกอิน

    ระบบ PIN ถูกเพิ่มเพื่อป้องกันการเข้าถึง passkey โดยไม่ได้รับอนุญาต
    PIN จะถูกตั้งเมื่อสร้าง passkey ครั้งแรก และใช้ในการล็อกอินครั้งต่อ ๆ ไป
    แม้ใช้เครื่องเดียวกัน ก็ไม่สามารถเข้าถึง passkey ได้หากไม่มี PIN

    Microsoft กำลังพัฒนาส่วนขยายสำหรับเบราว์เซอร์อื่น
    Chrome และ Firefox จะสามารถใช้ passkey จากบัญชี Microsoft ได้ในอนาคต
    เพิ่มความสะดวกในการใช้งานข้ามเบราว์เซอร์

    ฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะ Windows 10 และ 11
    ต้องใช้ Microsoft Edge เวอร์ชัน 142.0 และบัญชี Microsoft ที่ลงชื่อเข้าใช้

    การใช้ passkey ยังต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของ PIN
    หาก PIN ถูกเปิดเผย อาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้
    ควรตั้ง PIN ที่คาดเดายาก และไม่ใช้ซ้ำกับรหัสอื่น

    ฟีเจอร์นี้ยังไม่รองรับทุกเบราว์เซอร์ในตอนนี้
    ผู้ใช้ Safari หรือเบราว์เซอร์อื่นอาจต้องรอส่วนขยายจาก Microsoft
    การใช้งานข้ามแพลตฟอร์มยังอยู่ในขั้นพัฒนา

    https://securityonline.info/passwordless-future-microsoft-edge-142-rolls-out-cross-platform-passkey-sync/
    🔐 ยุคใหม่แห่งการล็อกอิน: Microsoft Edge เปิดตัวฟีเจอร์ Passkey Sync ข้ามอุปกรณ์ ลองนึกภาพว่าเราไม่ต้องจำรหัสผ่านอีกต่อไป ไม่ต้องตั้งใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนอุปกรณ์ และไม่ต้องกลัวถูกแฮกง่าย ๆ — Microsoft Edge เวอร์ชัน 142.0 ได้เปิดประตูสู่โลกแบบนั้นแล้ว ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Cross-Platform Passkey Sync ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ passkey เดิมได้บนหลายอุปกรณ์อย่างปลอดภัยและสะดวกสุด ๆ ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของโลกไซเบอร์ที่กำลังผลักดันให้เราเข้าสู่ยุค Passwordless อย่างแท้จริง โดย Microsoft ไม่ได้หยุดแค่ใน Edge เท่านั้น แต่ยังมีแผนจะเปิดให้เบราว์เซอร์อื่นอย่าง Chrome และ Firefox เข้าถึง passkey ที่เก็บไว้ในบัญชี Microsoft ได้ด้วย ผ่านส่วนขยายที่กำลังพัฒนาอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มระบบ PIN เพื่อป้องกันการเข้าถึง passkey โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะใช้เครื่องเดียวกันก็ตาม ซึ่งเป็นการเพิ่มชั้นความปลอดภัยอีกระดับหนึ่ง และถ้าคุณใช้ Windows 10 หรือ 11 พร้อม Microsoft Edge เวอร์ชันล่าสุด และมีบัญชี Microsoft อยู่แล้ว — คุณก็พร้อมเข้าสู่โลกไร้รหัสผ่านได้ทันที ✅ Microsoft Edge เปิดตัวฟีเจอร์ Passkey Sync ข้ามอุปกรณ์ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ passkey เดิมได้บนหลายอุปกรณ์โดยไม่ต้องตั้งใหม่ ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการรหัสผ่าน และเพิ่มความสะดวกในการล็อกอิน ✅ ระบบ PIN ถูกเพิ่มเพื่อป้องกันการเข้าถึง passkey โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ PIN จะถูกตั้งเมื่อสร้าง passkey ครั้งแรก และใช้ในการล็อกอินครั้งต่อ ๆ ไป ➡️ แม้ใช้เครื่องเดียวกัน ก็ไม่สามารถเข้าถึง passkey ได้หากไม่มี PIN ✅ Microsoft กำลังพัฒนาส่วนขยายสำหรับเบราว์เซอร์อื่น ➡️ Chrome และ Firefox จะสามารถใช้ passkey จากบัญชี Microsoft ได้ในอนาคต ➡️ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานข้ามเบราว์เซอร์ ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะ Windows 10 และ 11 ➡️ ต้องใช้ Microsoft Edge เวอร์ชัน 142.0 และบัญชี Microsoft ที่ลงชื่อเข้าใช้ ‼️ การใช้ passkey ยังต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของ PIN ⛔ หาก PIN ถูกเปิดเผย อาจนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ ⛔ ควรตั้ง PIN ที่คาดเดายาก และไม่ใช้ซ้ำกับรหัสอื่น ‼️ ฟีเจอร์นี้ยังไม่รองรับทุกเบราว์เซอร์ในตอนนี้ ⛔ ผู้ใช้ Safari หรือเบราว์เซอร์อื่นอาจต้องรอส่วนขยายจาก Microsoft ⛔ การใช้งานข้ามแพลตฟอร์มยังอยู่ในขั้นพัฒนา https://securityonline.info/passwordless-future-microsoft-edge-142-rolls-out-cross-platform-passkey-sync/
    SECURITYONLINE.INFO
    Passwordless Future: Microsoft Edge 142 Rolls Out Cross-Platform Passkey Sync
    Edge v142.0 introduces cross-platform passkey sync, letting users reuse passkeys securely across devices with a PIN, enhancing passwordless authentication.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Windows 11 เปิดฟีเจอร์แชร์เสียง Bluetooth แล้ว – แต่เฉพาะบน Copilot+ PC เท่านั้น!”

    Microsoft เริ่มปล่อยฟีเจอร์ “Bluetooth Audio Sharing” บน Windows 11 ให้ผู้ใช้สามารถแชร์เสียงไปยังอุปกรณ์ไร้สาย 2 ตัวพร้อมกัน เช่น หูฟังหรือลำโพง แต่จำกัดเฉพาะเครื่อง Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon เท่านั้นในช่วงแรก

    หลายคนเคยเจอปัญหาเวลาอยากดูหนังหรือฟังเพลงกับเพื่อนผ่านหูฟัง Bluetooth ว่าต้องเลือกแค่คนเดียวที่ได้ยินเสียง แต่ตอนนี้ Windows 11 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “Shared Audio” ให้สามารถส่งเสียงไปยังอุปกรณ์ Bluetooth สองตัวพร้อมกันได้แล้ว

    ฟีเจอร์นี้เริ่มปล่อยใน Build 26220.7051 ของ Windows 11 และสามารถใช้งานได้กับหูฟัง, ลำโพง, หรือแม้แต่เครื่องช่วยฟังที่รองรับ Bluetooth โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานผ่าน Quick Settings แล้วเลือก “Share Audio” เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งสอง

    อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะเครื่อง Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon เท่านั้น เช่น Surface รุ่นใหม่หรือแล็ปท็อปที่ใช้ Snapdragon X Elite ส่วนเครื่องที่ใช้ Intel หรือ AMD ยังไม่สามารถใช้งานได้ในตอนนี้

    Microsoft ระบุว่ากำลังพัฒนาให้ฟีเจอร์นี้รองรับชิป Intel Core Ultra 200 และ Snapdragon X series ผ่านการอัปเดตไดรเวอร์ในอนาคต แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาที่แน่ชัด

    Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ “Bluetooth Audio Sharing”
    แชร์เสียงไปยังอุปกรณ์ Bluetooth 2 ตัวพร้อมกัน เช่น หูฟังหรือลำโพง

    เริ่มใช้งานใน Build 26220.7051
    สามารถเปิดผ่าน Quick Settings แล้วเลือก “Share Audio”

    รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น หูฟัง, ลำโพง, เครื่องช่วยฟัง
    เพิ่มความสะดวกในการใช้งานร่วมกัน

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะบน Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon
    เช่น Surface รุ่นใหม่หรือแล็ปท็อปที่ใช้ Snapdragon X Elite

    Microsoft กำลังพัฒนาให้รองรับ Intel Core Ultra 200 และ Snapdragon X series
    ผ่านการอัปเดตไดรเวอร์ในอนาคต

    https://securityonline.info/dual-audio-windows-11-finally-gets-bluetooth-audio-sharing-but-only-for-copilot-pcs/
    🎧💻 หัวข้อข่าว: “Windows 11 เปิดฟีเจอร์แชร์เสียง Bluetooth แล้ว – แต่เฉพาะบน Copilot+ PC เท่านั้น!” Microsoft เริ่มปล่อยฟีเจอร์ “Bluetooth Audio Sharing” บน Windows 11 ให้ผู้ใช้สามารถแชร์เสียงไปยังอุปกรณ์ไร้สาย 2 ตัวพร้อมกัน เช่น หูฟังหรือลำโพง แต่จำกัดเฉพาะเครื่อง Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon เท่านั้นในช่วงแรก หลายคนเคยเจอปัญหาเวลาอยากดูหนังหรือฟังเพลงกับเพื่อนผ่านหูฟัง Bluetooth ว่าต้องเลือกแค่คนเดียวที่ได้ยินเสียง แต่ตอนนี้ Windows 11 ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “Shared Audio” ให้สามารถส่งเสียงไปยังอุปกรณ์ Bluetooth สองตัวพร้อมกันได้แล้ว ฟีเจอร์นี้เริ่มปล่อยใน Build 26220.7051 ของ Windows 11 และสามารถใช้งานได้กับหูฟัง, ลำโพง, หรือแม้แต่เครื่องช่วยฟังที่รองรับ Bluetooth โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานผ่าน Quick Settings แล้วเลือก “Share Audio” เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะเครื่อง Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon เท่านั้น เช่น Surface รุ่นใหม่หรือแล็ปท็อปที่ใช้ Snapdragon X Elite ส่วนเครื่องที่ใช้ Intel หรือ AMD ยังไม่สามารถใช้งานได้ในตอนนี้ Microsoft ระบุว่ากำลังพัฒนาให้ฟีเจอร์นี้รองรับชิป Intel Core Ultra 200 และ Snapdragon X series ผ่านการอัปเดตไดรเวอร์ในอนาคต แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลาที่แน่ชัด ✅ Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ “Bluetooth Audio Sharing” ➡️ แชร์เสียงไปยังอุปกรณ์ Bluetooth 2 ตัวพร้อมกัน เช่น หูฟังหรือลำโพง ✅ เริ่มใช้งานใน Build 26220.7051 ➡️ สามารถเปิดผ่าน Quick Settings แล้วเลือก “Share Audio” ✅ รองรับอุปกรณ์หลากหลาย เช่น หูฟัง, ลำโพง, เครื่องช่วยฟัง ➡️ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานร่วมกัน ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะบน Copilot+ PC ที่ใช้ชิป Snapdragon ➡️ เช่น Surface รุ่นใหม่หรือแล็ปท็อปที่ใช้ Snapdragon X Elite ✅ Microsoft กำลังพัฒนาให้รองรับ Intel Core Ultra 200 และ Snapdragon X series ➡️ ผ่านการอัปเดตไดรเวอร์ในอนาคต https://securityonline.info/dual-audio-windows-11-finally-gets-bluetooth-audio-sharing-but-only-for-copilot-pcs/
    SECURITYONLINE.INFO
    Dual Audio: Windows 11 Finally Gets Bluetooth Audio Sharing, But Only for Copilot+ PCs
    Windows 11 adds Bluetooth audio sharing (Build 26220.7051), enabling dual wireless audio streaming—but the feature is currently restricted to Copilot+ PCs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “ภาพหายาก! คาเฟ่เกม PC เปิดใหม่ในเปียงยาง – โลกเกมเหนือเส้นขนานที่ 38”

    ภาพถ่ายจากผู้ใช้งานบน X เผยให้เห็นคาเฟ่เกม PC สาธารณะในกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในประเทศที่มีการควบคุมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด โดยสถานที่นี้ดูหรูหราเกินคาด พร้อมอุปกรณ์ระดับพรีเมียมจากแบรนด์ Asus ROG และเกม AAA ที่นิยมในฝั่งใต้.

    ในโลกที่เกมออนไลน์คือวัฒนธรรมหลักของเยาวชนเกาหลีใต้ “PC bang” หรือร้านเกม PC กลายเป็นสัญลักษณ์ของความบันเทิงและการแข่งขัน แต่ในเกาหลีเหนือ การมีคาเฟ่เกมแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่และหายาก

    ภาพที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ Iniysa บนแพลตฟอร์ม X แสดงให้เห็นคาเฟ่เกมที่ตั้งอยู่ในเมืองใหม่ของเปียงยาง ซึ่งว่ากันว่าเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นนำ เช่น นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์หรือบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากรัฐ

    สิ่งที่น่าทึ่งคือการใช้จอเกม Asus ROG และอินเทอร์เฟซเกมที่ดูคล้ายกับ “Mars Computer Arcade” ซึ่งมีเกมดังอย่าง FIFA, Battlefield, Call of Duty, Rainbow Six, Far Cry และ Crysis แม้จะไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายนอก แต่ดูเหมือนว่าเกมเหล่านี้จะถูกติดตั้งไว้ในระบบเครือข่ายภายใน

    การออกแบบของคาเฟ่ดูทันสมัยและหรูหราเกินกว่าที่คาดไว้สำหรับสถานที่ที่เน้นการเล่นเกมแบบมืดๆ เงียบๆ โดยมีการใช้สถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์ร่วมสมัยที่พบได้ในเมืองใหญ่ของเอเชียตะวันออก

    มีการเปิดคาเฟ่เกม PC สาธารณะในกรุงเปียงยาง
    ถือเป็นสิ่งที่หายากในประเทศที่มีการควบคุมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด

    ใช้จอเกม Asus ROG และอุปกรณ์ระดับพรีเมียม
    สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมจากต่างประเทศ

    อินเทอร์เฟซเกมชื่อ “Mars Computer Arcade” มีเกม AAA หลายเกม
    เช่น FIFA, Battlefield, Call of Duty, Rainbow Six, Far Cry และ Crysis

    เกมน่าจะเล่นผ่านเครือข่ายภายใน ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายนอก
    สะท้อนการควบคุมข้อมูลและการเข้าถึงของรัฐ

    สถานที่ตั้งอยู่ในเมืองใหม่ของเปียงยาง
    คาดว่าเป็นพื้นที่สำหรับชนชั้นนำที่ได้รับการคัดเลือกจากรัฐ

    การออกแบบคาเฟ่ดูหรูหราและทันสมัย
    ใช้สถาปัตยกรรมร่วมสมัยแบบเมืองใหญ่ในเอเชีย

    https://www.tomshardware.com/video-games/new-pc-gaming-cafe-photographed-in-north-korea-rare-pictures-of-pyongyang-pc-bang-gaming-above-the-38th-parallel
    🎮🇰🇵 หัวข้อข่าว: “ภาพหายาก! คาเฟ่เกม PC เปิดใหม่ในเปียงยาง – โลกเกมเหนือเส้นขนานที่ 38” ภาพถ่ายจากผู้ใช้งานบน X เผยให้เห็นคาเฟ่เกม PC สาธารณะในกรุงเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในประเทศที่มีการควบคุมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด โดยสถานที่นี้ดูหรูหราเกินคาด พร้อมอุปกรณ์ระดับพรีเมียมจากแบรนด์ Asus ROG และเกม AAA ที่นิยมในฝั่งใต้. ในโลกที่เกมออนไลน์คือวัฒนธรรมหลักของเยาวชนเกาหลีใต้ “PC bang” หรือร้านเกม PC กลายเป็นสัญลักษณ์ของความบันเทิงและการแข่งขัน แต่ในเกาหลีเหนือ การมีคาเฟ่เกมแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่และหายาก ภาพที่เผยแพร่โดยผู้ใช้ชื่อ Iniysa บนแพลตฟอร์ม X แสดงให้เห็นคาเฟ่เกมที่ตั้งอยู่ในเมืองใหม่ของเปียงยาง ซึ่งว่ากันว่าเป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นนำ เช่น นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์หรือบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากรัฐ สิ่งที่น่าทึ่งคือการใช้จอเกม Asus ROG และอินเทอร์เฟซเกมที่ดูคล้ายกับ “Mars Computer Arcade” ซึ่งมีเกมดังอย่าง FIFA, Battlefield, Call of Duty, Rainbow Six, Far Cry และ Crysis แม้จะไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายนอก แต่ดูเหมือนว่าเกมเหล่านี้จะถูกติดตั้งไว้ในระบบเครือข่ายภายใน การออกแบบของคาเฟ่ดูทันสมัยและหรูหราเกินกว่าที่คาดไว้สำหรับสถานที่ที่เน้นการเล่นเกมแบบมืดๆ เงียบๆ โดยมีการใช้สถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์ร่วมสมัยที่พบได้ในเมืองใหญ่ของเอเชียตะวันออก ✅ มีการเปิดคาเฟ่เกม PC สาธารณะในกรุงเปียงยาง ➡️ ถือเป็นสิ่งที่หายากในประเทศที่มีการควบคุมเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด ✅ ใช้จอเกม Asus ROG และอุปกรณ์ระดับพรีเมียม ➡️ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมจากต่างประเทศ ✅ อินเทอร์เฟซเกมชื่อ “Mars Computer Arcade” มีเกม AAA หลายเกม ➡️ เช่น FIFA, Battlefield, Call of Duty, Rainbow Six, Far Cry และ Crysis ✅ เกมน่าจะเล่นผ่านเครือข่ายภายใน ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายนอก ➡️ สะท้อนการควบคุมข้อมูลและการเข้าถึงของรัฐ ✅ สถานที่ตั้งอยู่ในเมืองใหม่ของเปียงยาง ➡️ คาดว่าเป็นพื้นที่สำหรับชนชั้นนำที่ได้รับการคัดเลือกจากรัฐ ✅ การออกแบบคาเฟ่ดูหรูหราและทันสมัย ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมร่วมสมัยแบบเมืองใหญ่ในเอเชีย https://www.tomshardware.com/video-games/new-pc-gaming-cafe-photographed-in-north-korea-rare-pictures-of-pyongyang-pc-bang-gaming-above-the-38th-parallel
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    New PC gaming cafe photographed in North Korea — rare pictures of 'Pyongyang PC bang' gaming above the 38th parallel
    The newly built store in Pyongyang has curb appeal, plus Asus ROG monitors, and a good selection of AAA PC games inside.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงสิ่งของบริจาค จากทหารหน้าแนว : [NEWS UPDATE]
    พลตรีณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดความจริงจากทหารหน้าแนวกรณีสิ่งของบริจาค การของบประมาณต้องทำแผนล่วงหน้า 2 ปี ส่วนใหญ่เป็นงบด้านกำลังพล งบพัฒนา เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดเร็วมาก ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นจึงไม่ได้ตั้งงบไว้ ส่วนงบกลางใช้เวลา 3-6 เดือน ผมอยู่หน้างานพี่น้องทุกสารทิศถามคำแรกคือ ทหารขาดอะไรบ้างอยากช่วย หน้าแนวส่วนใหญ่ต้องการของใช้ส่วนตัว หลายพื้นที่ถนนเข้าไม่ถึง น้ำ อาหารส่งยากลำบาก บางฐานต้องเดินลงจากเขามารับอาหาร 2-3 ชม. คนไทยรู้ก็อยากบริจาคเงินให้ตัดถนน เราไม่อยากรับเงินก็ขอรับเป็นสิ่งของ น้ำมันหรือวัสดุ หน้างานต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้กำลังพลสะดวก ปลอดภัย เป้าหมายคือบรรลุภารกิจก่อน เมื่อจบศึกเราทำบัญชีสิ่งของที่รับมาให้โปร่งใส พี่น้องคนไทยเป็นพลังหนุนเราทั้งชาติ เราต้องทำหน้าที่ให้สุดกำลังในฐานะตัวแทนคนทั้งชาติ



    ทหารกัมพูชาขวางเก็บระเบิด

    อาเซียนรุกปราบสแกมเมอร์

    เขมรชิงพบฮังการีตัดหน้าไทย

    แรงหนุนเอเชีย-แปซิฟิก
    ความจริงสิ่งของบริจาค จากทหารหน้าแนว : [NEWS UPDATE] พลตรีณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดความจริงจากทหารหน้าแนวกรณีสิ่งของบริจาค การของบประมาณต้องทำแผนล่วงหน้า 2 ปี ส่วนใหญ่เป็นงบด้านกำลังพล งบพัฒนา เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดเร็วมาก ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นจึงไม่ได้ตั้งงบไว้ ส่วนงบกลางใช้เวลา 3-6 เดือน ผมอยู่หน้างานพี่น้องทุกสารทิศถามคำแรกคือ ทหารขาดอะไรบ้างอยากช่วย หน้าแนวส่วนใหญ่ต้องการของใช้ส่วนตัว หลายพื้นที่ถนนเข้าไม่ถึง น้ำ อาหารส่งยากลำบาก บางฐานต้องเดินลงจากเขามารับอาหาร 2-3 ชม. คนไทยรู้ก็อยากบริจาคเงินให้ตัดถนน เราไม่อยากรับเงินก็ขอรับเป็นสิ่งของ น้ำมันหรือวัสดุ หน้างานต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้กำลังพลสะดวก ปลอดภัย เป้าหมายคือบรรลุภารกิจก่อน เมื่อจบศึกเราทำบัญชีสิ่งของที่รับมาให้โปร่งใส พี่น้องคนไทยเป็นพลังหนุนเราทั้งชาติ เราต้องทำหน้าที่ให้สุดกำลังในฐานะตัวแทนคนทั้งชาติ ทหารกัมพูชาขวางเก็บระเบิด อาเซียนรุกปราบสแกมเมอร์ เขมรชิงพบฮังการีตัดหน้าไทย แรงหนุนเอเชีย-แปซิฟิก
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • STOP! ก่อนที่ข้อมือจะพังเพราะ "หัวไชโป้ว"
    เลิกเหนื่อยกับงานครัวซ้ำซาก! อัปเกรดชีวิตและธุรกิจด้วยเครื่องสับผักที่เร็วที่สุดในรุ่น!
    คุณกำลัง "ทิ้งเงิน" และ "ทิ้งโอกาส" ด้วยการให้คนงานมานั่งสับผักอยู่รึเปล่า?
    เครื่องตัดผัก Multi-Function Cutter คือคำตอบสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองไปข้างหน้า! ไม่ใช่แค่เครื่องมือ... แต่มันคือ "เครื่องผลิตเวลาและกำไร" ให้คุณ!

    จบปัญหา "เส้นไม่เท่ากัน": สับหัวไชโป้วได้เส้นฝอยสวยคม เป๊ะตามมาตรฐาน 1-10 มม. ลูกค้าติดใจเพราะคุณภาพสม่ำเสมอทุกจาน!
    สปีดทะลุเพดาน: มอเตอร์ 2 แรงม้า จัดเต็มกำลังผลิต 660 กก./ชม.! งานเร่ง งานด่วน? "ให้เครื่องทำ, ส่วนคุณไปรับออเดอร์ใหม่!"
    งานสแตนเลส (เกรดพรีเมียม): ตัวเครื่องทนทาน สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย ไม่ต้องมาคอยซ่อมจุกจิกให้เสียอารมณ์

    คำนวณดูสิ! เครื่องนี้จะช่วยลดค่าแรงที่ต้องจ่ายรายเดือนไปได้มหาศาล! คืนทุนไว จนคุณต้องร้องว้าว!

    นี่คือเครื่องจักรที่คุณคู่ควร ถ้าคุณพร้อมที่จะโตแบบก้าวกระโดด!

    ด่วน! มาสัมผัสของจริงได้ที่:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กทม. 10330 (พร้อมโชว์สับให้ดูเลย!)
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จ.-ศ. 8.30-17.00 น. | ส. 9.00-16.00 น.
    โทรปรึกษาฟรี: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชทเลย: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องตัดผัก #เครื่องสับผัก #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องสแตนเลส #Yoryonghahheng #ลดต้นทุน #เพิ่มกำไร #SMEไทย #ธุรกิจร้านอาหาร #โรงงานอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessing #หัวไชโป้ว #หัวไชโป้วเส้นฝอย #วัตถุดิบอาหาร #อาหารไทย #อาหารจีน #GenYKitchen #ProductivityHack #WorkSmartNotHard #สับไว #งานครัวสบายๆ #Efficiency #เครื่องทุ่นแรง #เจ้าของธุรกิจ #ลงทุน #คืนทุนไว #สปีดงาน
    🚨 STOP! ก่อนที่ข้อมือจะพังเพราะ "หัวไชโป้ว" 🔪 📢 เลิกเหนื่อยกับงานครัวซ้ำซาก! อัปเกรดชีวิตและธุรกิจด้วยเครื่องสับผักที่เร็วที่สุดในรุ่น! คุณกำลัง "ทิ้งเงิน" และ "ทิ้งโอกาส" ด้วยการให้คนงานมานั่งสับผักอยู่รึเปล่า? ⏱️ เครื่องตัดผัก Multi-Function Cutter คือคำตอบสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองไปข้างหน้า! ไม่ใช่แค่เครื่องมือ... แต่มันคือ "เครื่องผลิตเวลาและกำไร" ให้คุณ! ✅ จบปัญหา "เส้นไม่เท่ากัน": สับหัวไชโป้วได้เส้นฝอยสวยคม เป๊ะตามมาตรฐาน 1-10 มม. ลูกค้าติดใจเพราะคุณภาพสม่ำเสมอทุกจาน! ✅ สปีดทะลุเพดาน: มอเตอร์ 2 แรงม้า จัดเต็มกำลังผลิต 660 กก./ชม.! งานเร่ง งานด่วน? "ให้เครื่องทำ, ส่วนคุณไปรับออเดอร์ใหม่!" ✅ งานสแตนเลส (เกรดพรีเมียม): ตัวเครื่องทนทาน สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขอนามัย 💯 ไม่ต้องมาคอยซ่อมจุกจิกให้เสียอารมณ์ 💸 คำนวณดูสิ! เครื่องนี้จะช่วยลดค่าแรงที่ต้องจ่ายรายเดือนไปได้มหาศาล! คืนทุนไว จนคุณต้องร้องว้าว! 🔥 นี่คือเครื่องจักรที่คุณคู่ควร ถ้าคุณพร้อมที่จะโตแบบก้าวกระโดด! 📍 ด่วน! มาสัมผัสของจริงได้ที่: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กทม. 10330 (พร้อมโชว์สับให้ดูเลย!) แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จ.-ศ. 8.30-17.00 น. | ส. 9.00-16.00 น. โทรปรึกษาฟรี: 📞 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชทเลย: 💬 m.me/yonghahheng LINE: 📱 @yonghahheng หรือคลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องตัดผัก #เครื่องสับผัก #เครื่องหั่นผัก #เครื่องจักรอาหาร #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องสแตนเลส #Yoryonghahheng #ลดต้นทุน #เพิ่มกำไร #SMEไทย #ธุรกิจร้านอาหาร #โรงงานอาหาร #ครัวมืออาชีพ #FoodProcessing #หัวไชโป้ว #หัวไชโป้วเส้นฝอย #วัตถุดิบอาหาร #อาหารไทย #อาหารจีน #GenYKitchen #ProductivityHack #WorkSmartNotHard #สับไว #งานครัวสบายๆ #Efficiency #เครื่องทุ่นแรง #เจ้าของธุรกิจ #ลงทุน #คืนทุนไว #สปีดงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?”

    Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี.

    Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่

    สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง

    อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

    Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา

    Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน
    พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ

    อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini
    สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่

    Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่
    เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด

    อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี
    เช่น Black Friday และคริสต์มาส

    Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้
    ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่

    https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    🛍️🍎 หัวข้อข่าว: “Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลก 11 พ.ย. – สัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแค่รีเฟรชรับเทศกาล?” Apple เตรียมปรับเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าอาจเป็นสัญญาณเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่และ HomePod mini ที่กำลังขาดตลาด หรืออาจเป็นแค่การรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี. Mark Gurman นักข่าวสาย Apple ที่มีชื่อเสียง เผยว่า Apple ได้แจ้งพนักงานให้เตรียม “overnight” หรือการปรับเปลี่ยนหน้าร้านหลังปิดทำการในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ Apple มักใช้ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ สิ่งที่ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจคือ สินค้าอย่าง Apple TV และ HomePod mini กำลังขาดตลาดในหลายพื้นที่ ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวรุ่นใหม่ โดยคาดว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะมาพร้อมชิปใหม่และระบบไร้สายที่พัฒนาโดย Apple เอง อย่างไรก็ตาม Apple ก็มีประวัติในการปรับหน้าร้านช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรับเทศกาล เช่น Black Friday และคริสต์มาส ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ Tim Cook ยังกล่าวในรายงานผลประกอบการล่าสุดว่า Apple ไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในช่วงที่เหลือของปี 2025 ทำให้การเปลี่ยนหน้าร้านครั้งนี้ยังคงเป็นปริศนา ✅ Apple เตรียมเปลี่ยนหน้าร้านทั่วโลกในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ➡️ พนักงานได้รับแจ้งให้เตรียม “overnight” เพื่อปรับหน้าร้านหลังปิดทำการ ✅ อาจเป็นสัญญาณเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Apple TV และ HomePod mini ➡️ สินค้าทั้งสองรุ่นกำลังขาดตลาด และมีข่าวลือว่าจะมาพร้อมชิปใหม่ ✅ Apple มักปรับหน้าร้านก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ ➡️ เป็นขั้นตอนที่ใช้มานานในการเตรียมการตลาด ✅ อีกความเป็นไปได้คือการรีเฟรชหน้าร้านรับเทศกาลปลายปี ➡️ เช่น Black Friday และคริสต์มาส ✅ Tim Cook ยืนยันว่าไม่มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มากนักในปีนี้ ➡️ ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าใหม่หรือไม่ https://wccftech.com/when-apple-changes-its-retail-store-displays-everyone-pays-attention-heres-why/
    WCCFTECH.COM
    When Apple Changes Its Retail Store Displays, Everyone Pays Attention - Here's Why
    When Apple launches new products, it goes through a litany of protocols, including one that involves preparing its store front displays.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”

    จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.

    ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม

    เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก

    แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
    ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว

    ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
    ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด

    ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
    ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน

    กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต

    ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
    ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป

    ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
    เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
    ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ

    ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
    ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว

    การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
    อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    🌊💻 หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น” จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต. ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว ✅ ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95% ➡️ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด ✅ ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ✅ กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต ✅ ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15 ➡️ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน ➡️ เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering ‼️ การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง ⛔ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ ‼️ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ⛔ ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว ‼️ การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล ⛔ อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    WWW.TECHRADAR.COM
    China’s underwater data center takes computing to new depths
    Offshore wind provides up to 95% of the energy powering the submerged servers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ

    Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า

    แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม

    แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา

    M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง
    มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D

    M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI
    ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา
    Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS
    เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement

    คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max
    M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188
    เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst

    M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max
    M5 มี GPU 10-core เท่านั้น
    ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง

    M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max
    คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s
    อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน

    อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก
    M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร

    M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง
    เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่

    อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max
    แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด

    https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    🧠💻 หัวข้อข่าว: “Apple M5 มาแรง แต่ M1 Max ยังไม่ยอมแพ้ – ศึกชิปแห่งยุคที่เลือกไม่ง่าย” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังถือ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Max อยู่ แล้วจู่ๆ Apple ก็เปิดตัว M5 รุ่นใหม่ล่าสุดที่เน้นประสิทธิภาพด้าน AI และการประหยัดพลังงาน คุณจะอัปเกรดดีไหม? บทความจาก TechRadar ชวนเรามาคิดให้ลึกขึ้น เพราะแม้ M5 จะใหม่กว่า แต่ M1 Max ก็ยังมีพลังดิบที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะงานกราฟิกและการประมวลผลหนักๆ Apple M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบา เร็ว และฉลาดขึ้น โดยเน้นการใช้งานทั่วไปและงานที่เกี่ยวกับ AI เช่น การแปลเสียงแบบเรียลไทม์ หรือการปรับภาพถ่ายอัตโนมัติ ส่วน M1 Max นั้นยังคงเป็นขุมพลังสำหรับสายโปรที่ต้องการ GPU แรงๆ และแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 400GB/s ซึ่งมากกว่า M5 ถึงเกือบ 3 เท่า แม้ M5 จะมีคะแนน multi-core สูงกว่า M1 Max แต่ในงานที่ต้องใช้ GPU หนักๆ เช่น การเรนเดอร์ 3D หรือการตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์ M1 Max ยังทำได้ดีกว่า และถ้าคุณเป็นสายครีเอทีฟที่ต้องการความเร็วแบบไม่สะดุด M1 Max ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าเกรงขาม แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องที่เบา เงียบ แบตอึด และรองรับงาน AI ได้ดี M5 ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะใน iPad Pro และ MacBook รุ่นใหม่ที่เน้นความบางเบา ✅ M1 Max ยังแรงในงานกราฟิกและ throughput สูง ➡️ มี GPU 32-core และ memory bandwidth สูงถึง 400GB/s ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอหลายเลเยอร์และเรนเดอร์ภาพ 3D ✅ M5 เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และ AI ➡️ ใช้พลังงานน้อยลง เหมาะกับอุปกรณ์บางเบา ➡️ Neural Engine ทำงานได้ถึง 133 TOPS เทียบกับ M1 Max ที่ 11 TOPS ➡️ เหมาะกับงาน AI เช่น transcription และ photo enhancement ✅ คะแนน CPU multi-core ของ M5 สูงกว่า M1 Max ➡️ M5 ได้ประมาณ 17,865 คะแนน ส่วน M1 Max ได้ 13,188 ➡️ เหมาะกับงานทั่วไปและการเขียนโค้ดที่เน้นความเร็วแบบ burst ✅ M5 มี GPU core น้อยกว่า M1 Max ➡️ M5 มี GPU 10-core เท่านั้น ➡️ ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักๆ หรือการเล่นเกมระดับสูง ✅ M5 Max (ยังไม่เปิดตัว) อาจเป็นตัวแทนที่แท้จริงของ M1 Max ➡️ คาดว่าจะมี GPU 32-core และ memory bandwidth 550GB/s ➡️ อาจรวมข้อดีของ M1 Max และ M5 เข้าด้วยกัน ‼️ อย่ารีบอัปเกรดเป็น M5 หากคุณใช้ M1 Max เพื่อทำงานหนัก ⛔ M5 ยังไม่สามารถแทนที่ M1 Max ได้ในงานกราฟิกหรือวิดีโอระดับโปร ‼️ M5 ไม่เหมาะกับงานที่ต้องใช้ memory bandwidth สูง ⛔ เช่น การ export วิดีโอจาก Final Cut Pro หรือการทำงานกับไฟล์ Photoshop ขนาดใหญ่ ‼️ อย่าคาดหวังว่า M5 จะให้ประสบการณ์เหมือน M1 Max ⛔ แม้จะใหม่กว่า แต่ M5 ถูกออกแบบมาเพื่อความเบาและประหยัดพลังงาน ไม่ใช่ความแรงสูงสุด https://www.techradar.com/pro/stop-should-you-upgrade-your-m1-max-apple-mac-to-the-m5-gpu-and-memory-bandwidth-data-reveal-the-surprising-answer
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง!

    ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม

    Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว

    ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม:
    GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม
    Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์
    Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง

    MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025
    โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน
    ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง

    รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง
    มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง
    พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว

    ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
    ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง
    บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100%

    เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่
    ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI
    เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC
    หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น
    ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ

    ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที
    การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์
    การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว

    Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง

    https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    🏆 MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง! ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก 💡 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม: 💠 GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม 💠 Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ 💠 Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ✅ MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ➡️ โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง ✅ รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง ➡️ มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง ➡️ พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว ✅ ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ➡️ ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง ➡️ บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100% ✅ เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่ ➡️ ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI ➡️ เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC ⛔ หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น ⛔ ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที ⛔ การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์ ⛔ การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง 🌱💻 https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MSI Cubi NUC AI Series Wins GOOD DESIGN AWARD 2025 for Innovation and Sustainability
    MSI proudly announces that its Cubi NUC AI Series mini PCs have been honored with the GOOD DESIGN AWARD 2025, recognizing its excellence in design, functionality, and commitment to sustainability. The MSI Cubi NUC AI Series is built for the era of AI-driven computing, all within a compact chassis of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวเด็ดสายเกม: เมื่อรถถังกลายเป็นเกมจริง!

    ถ้าคุณคิดว่าเกมจำลองขับรถถังแค่ใช้จอยสติ๊กกับจอภาพธรรมดา... คุณยังไม่เคยเจอ "Blyat" นักสร้างสรรค์สุดบ้าพลังจากจีน ที่ยกระดับการเล่นเกม World of Tanks ไปอีกขั้น ด้วยการสร้าง “Tank Simulator 5” ที่ไม่ใช่แค่จำลอง แต่เป็นการสร้าง “รถถังจำลองเต็มคัน” พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดเท่าจริง!

    ในวิดีโอล่าสุดที่เผยแพร่บน Bilibili Blyat ขับรถถังจำลองออกจากโรงรถ พร้อมยิงปืนใหญ่ใส่ศัตรูในเกมแบบซิงก์กันเป๊ะ ๆ ทั้งภาพ เสียง และแรงสั่นสะเทือน แถมยังมีฉากฮา ๆ อย่างกางเกงหลุดเพราะแรงถีบของปืนกล และโดนปืนใหญ่ฟาดหัวกลางฉากแบบไม่ตั้งใจ

    นอกจากรถถังแล้ว Blyat ยังเคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ เครื่องจักรกล Mech และแม้แต่ “เครื่องจำลองขี่ลา” มาแล้ว! ถือเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี DIY และความคลั่งไคล้เกมมาผสานกันอย่างสร้างสรรค์

    เพิ่มเติมจากวงการซิมูเลเตอร์:
    เทรนด์การสร้าง “Cockpit Simulator” กำลังมาแรงในหมู่เกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ เช่น การซื้อห้องนักบิน Boeing 747 มาใช้เล่น Flight Simulator
    อุปกรณ์เสริมอย่าง HydroHaptic ที่ให้สัมผัสบีบ-ดึง-บิด กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเกมแนวจำลอง

    โปรเจกต์ Tank Simulator 5 โดย Blyat
    สร้างรถถังจำลองเต็มคัน พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดจริง
    ใช้ร่วมกับเกม World of Tanks เพื่อเพิ่มความสมจริง
    มีฉากตลก เช่น กางเกงหลุดจากแรงถีบ และโดนปืนใหญ่ฟาดหัว

    ความคลั่งไคล้ของ Blyat
    เคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ, Mech VTOL และขี่ลา
    เผยแพร่ผลงานผ่านช่อง Bilibili

    เทรนด์ซิมูเลเตอร์ในวงการเกม
    มีผู้เล่นซื้อ Cockpit เครื่องบินจริงมาใช้เล่นเกม
    เทคโนโลยีสัมผัสใหม่อย่าง HydroHaptic กำลังพัฒนา

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    การสร้างอุปกรณ์จำลองขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
    ควรมีพื้นที่ปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกันเมื่อใช้งาน
    ไม่ควรใช้ปืนจำลองในพื้นที่สาธารณะหรือใกล้ผู้คน

    https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/full-size-tank-simulator-setup-now-even-crazier-after-being-built-into-a-tactical-vehicle-with-full-size-replica-machine-gun-and-cannon
    🛡️ ข่าวเด็ดสายเกม: เมื่อรถถังกลายเป็นเกมจริง! ถ้าคุณคิดว่าเกมจำลองขับรถถังแค่ใช้จอยสติ๊กกับจอภาพธรรมดา... คุณยังไม่เคยเจอ "Blyat" นักสร้างสรรค์สุดบ้าพลังจากจีน ที่ยกระดับการเล่นเกม World of Tanks ไปอีกขั้น ด้วยการสร้าง “Tank Simulator 5” ที่ไม่ใช่แค่จำลอง แต่เป็นการสร้าง “รถถังจำลองเต็มคัน” พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดเท่าจริง! ในวิดีโอล่าสุดที่เผยแพร่บน Bilibili Blyat ขับรถถังจำลองออกจากโรงรถ พร้อมยิงปืนใหญ่ใส่ศัตรูในเกมแบบซิงก์กันเป๊ะ ๆ ทั้งภาพ เสียง และแรงสั่นสะเทือน แถมยังมีฉากฮา ๆ อย่างกางเกงหลุดเพราะแรงถีบของปืนกล และโดนปืนใหญ่ฟาดหัวกลางฉากแบบไม่ตั้งใจ นอกจากรถถังแล้ว Blyat ยังเคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ เครื่องจักรกล Mech และแม้แต่ “เครื่องจำลองขี่ลา” มาแล้ว! ถือเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี DIY และความคลั่งไคล้เกมมาผสานกันอย่างสร้างสรรค์ 💡 เพิ่มเติมจากวงการซิมูเลเตอร์: 🎗️ เทรนด์การสร้าง “Cockpit Simulator” กำลังมาแรงในหมู่เกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ เช่น การซื้อห้องนักบิน Boeing 747 มาใช้เล่น Flight Simulator 🎗️ อุปกรณ์เสริมอย่าง HydroHaptic ที่ให้สัมผัสบีบ-ดึง-บิด กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับเกมแนวจำลอง ✅ โปรเจกต์ Tank Simulator 5 โดย Blyat ➡️ สร้างรถถังจำลองเต็มคัน พร้อมปืนกลและปืนใหญ่ขนาดจริง ➡️ ใช้ร่วมกับเกม World of Tanks เพื่อเพิ่มความสมจริง ➡️ มีฉากตลก เช่น กางเกงหลุดจากแรงถีบ และโดนปืนใหญ่ฟาดหัว ✅ ความคลั่งไคล้ของ Blyat ➡️ เคยสร้างเครื่องจำลองเครื่องบินรบ, Mech VTOL และขี่ลา ➡️ เผยแพร่ผลงานผ่านช่อง Bilibili ✅ เทรนด์ซิมูเลเตอร์ในวงการเกม ➡️ มีผู้เล่นซื้อ Cockpit เครื่องบินจริงมาใช้เล่นเกม ➡️ เทคโนโลยีสัมผัสใหม่อย่าง HydroHaptic กำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ การสร้างอุปกรณ์จำลองขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ⛔ ควรมีพื้นที่ปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกันเมื่อใช้งาน ⛔ ไม่ควรใช้ปืนจำลองในพื้นที่สาธารณะหรือใกล้ผู้คน https://www.tomshardware.com/peripherals/controllers-gamepads/full-size-tank-simulator-setup-now-even-crazier-after-being-built-into-a-tactical-vehicle-with-full-size-replica-machine-gun-and-cannon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated

    เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น
    แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end

    ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ
    ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing

    Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง
    เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า

    ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด

    Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption
    แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager

    Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption
    ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน

    หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด
    เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม
    ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย

    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า
    เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage

    https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    🔐 “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated ✅ เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น ➡️ แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ✅ ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์ ✅ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing ✅ Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง ➡️ เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า ✅ ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด ✅ Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption ➡️ แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager ✅ Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน ‼️ หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด ⛔ เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์ ‼️ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม ⛔ ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า ⛔ เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Shouldn't Store Passwords In Your Web Browser — Here's Why - SlashGear
    It's easy to think that the password managers your web browser recommends you to use are secure enough, but it's not as simple as you might imagine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tap-and-Steal”: แอป Android กว่า 760 ตัวใช้ NFC/HCE ขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินทั่วโลก

    แคมเปญไซเบอร์ “Tap-and-Steal” ถูกเปิดโปงโดย Zimperium zLabs เผยให้เห็นการใช้เทคโนโลยี NFC และ Host Card Emulation (HCE) บน Android เพื่อขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินจากผู้ใช้ทั่วโลก โดยมีแอปอันตรายมากกว่า 760 ตัว ที่ถูกตรวจพบในปฏิบัติการนี้

    แฮกเกอร์สร้างแอปปลอมที่ดูเหมือนแอปธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ โดยใช้ไอคอนและอินเทอร์เฟซที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้ตั้งเป็นตัวจัดการ NFC เริ่มต้น จากนั้นจะใช้ฟีเจอร์ HCE เพื่อจำลองบัตรจ่ายเงินและดักจับข้อมูล EMV (Europay, Mastercard, Visa) จากการแตะบัตรหรืออุปกรณ์

    ข้อมูลที่ถูกขโมย เช่น หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสอุปกรณ์ จะถูกส่งไปยังช่องทาง Telegram ที่แฮกเกอร์ใช้ประสานงานและควบคุมระบบ โดยมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว และ Telegram bot หลายสิบตัว

    บางแอปทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “สแกนและแตะ” เพื่อดึงข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งและใช้ซื้อสินค้าจากอีกอุปกรณ์หนึ่งแบบเรียลไทม์

    แคมเปญ “Tap-and-Steal” ใช้ NFC/HCE บน Android
    แอปปลอมเลียนแบบธนาคารและหน่วยงานรัฐ
    ขอสิทธิ์เป็นตัวจัดการ NFC เพื่อดักจับข้อมูล EMV
    ใช้ HCE จำลองบัตรจ่ายเงินและส่งข้อมูลไปยัง Telegram

    โครงสร้างการควบคุมของแฮกเกอร์
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว
    ใช้ Telegram bot และช่องทางส่วนตัวในการส่งข้อมูล
    แอปบางตัวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “แตะเพื่อขโมย” แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลที่ถูกขโมย
    หมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสอุปกรณ์
    ข้อมูล EMV ที่ใช้ในการทำธุรกรรม
    ถูกส่งไปยัง Telegram พร้อมระบุอุปกรณ์และภูมิภาค

    https://securityonline.info/tap-and-steal-over-760-android-apps-exploit-nfc-hce-for-payment-card-theft-in-global-financial-scam/
    📲 “Tap-and-Steal”: แอป Android กว่า 760 ตัวใช้ NFC/HCE ขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินทั่วโลก แคมเปญไซเบอร์ “Tap-and-Steal” ถูกเปิดโปงโดย Zimperium zLabs เผยให้เห็นการใช้เทคโนโลยี NFC และ Host Card Emulation (HCE) บน Android เพื่อขโมยข้อมูลบัตรจ่ายเงินจากผู้ใช้ทั่วโลก โดยมีแอปอันตรายมากกว่า 760 ตัว ที่ถูกตรวจพบในปฏิบัติการนี้ แฮกเกอร์สร้างแอปปลอมที่ดูเหมือนแอปธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ โดยใช้ไอคอนและอินเทอร์เฟซที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แอปจะขอให้ตั้งเป็นตัวจัดการ NFC เริ่มต้น จากนั้นจะใช้ฟีเจอร์ HCE เพื่อจำลองบัตรจ่ายเงินและดักจับข้อมูล EMV (Europay, Mastercard, Visa) จากการแตะบัตรหรืออุปกรณ์ ข้อมูลที่ถูกขโมย เช่น หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และรหัสอุปกรณ์ จะถูกส่งไปยังช่องทาง Telegram ที่แฮกเกอร์ใช้ประสานงานและควบคุมระบบ โดยมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว และ Telegram bot หลายสิบตัว บางแอปทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “สแกนและแตะ” เพื่อดึงข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งและใช้ซื้อสินค้าจากอีกอุปกรณ์หนึ่งแบบเรียลไทม์ ✅ แคมเปญ “Tap-and-Steal” ใช้ NFC/HCE บน Android ➡️ แอปปลอมเลียนแบบธนาคารและหน่วยงานรัฐ ➡️ ขอสิทธิ์เป็นตัวจัดการ NFC เพื่อดักจับข้อมูล EMV ➡️ ใช้ HCE จำลองบัตรจ่ายเงินและส่งข้อมูลไปยัง Telegram ✅ โครงสร้างการควบคุมของแฮกเกอร์ ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมมากกว่า 70 ตัว ➡️ ใช้ Telegram bot และช่องทางส่วนตัวในการส่งข้อมูล ➡️ แอปบางตัวทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ “แตะเพื่อขโมย” แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมย ➡️ หมายเลขบัตร วันหมดอายุ รหัสอุปกรณ์ ➡️ ข้อมูล EMV ที่ใช้ในการทำธุรกรรม ➡️ ถูกส่งไปยัง Telegram พร้อมระบุอุปกรณ์และภูมิภาค https://securityonline.info/tap-and-steal-over-760-android-apps-exploit-nfc-hce-for-payment-card-theft-in-global-financial-scam/
    SECURITYONLINE.INFO
    Tap-and-Steal: Over 760 Android Apps Exploit NFC/HCE for Payment Card Theft in Global Financial Scam
    Zimperium found 760+ Android apps exploiting NFC/HCE to steal payment data. The malware impersonates 20 banks across Russia, Poland, and Brazil, using Telegram for criminal coordination.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน – ผู้ใช้มั่นใจมากกว่า iOS ถึง 58%

    Google เผยความสำเร็จของระบบป้องกันภัยหลอกลวงบน Android ที่ใช้ AI ตรวจจับและสกัดข้อความและสายโทรศัพท์อันตรายได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน พร้อมผลสำรวจจาก YouGov ที่ชี้ว่า ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงได้มากกว่า iOS ถึง 58%.

    ในยุคที่ AI ถูกใช้สร้างข้อความหลอกลวงได้แนบเนียนมากขึ้น Google จึงพัฒนา Android ให้มีระบบป้องกันหลายชั้น ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบเครือข่าย และการใช้ AI บนอุปกรณ์โดยตรง

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ RCS Safety Checks ที่สามารถบล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ Google Messages ที่กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา และระบบ Call Screen ที่สามารถรับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสายหลอกลวงหรือไม่

    ผลสำรวจจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล พบว่า:
    ผู้ใช้ Android มีโอกาสได้รับข้อความหลอกลวงน้อยกว่า iOS ถึง 58%
    ผู้ใช้ Pixel มีความมั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96%
    ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65%

    Google ยังใช้ LLM (Large Language Models) ในการตรวจจับเว็บไซต์ฟิชชิ่งและมัลแวร์ผ่าน Chrome และ Play Protect เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการป้องกันภัยไซเบอร์

    Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน
    ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์และ AI บนอุปกรณ์
    บล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว

    ฟีเจอร์เด่นของ Android
    Google Messages กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา
    Call Screen รับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบภัยหลอกลวง
    Scam Detection ตรวจจับคำพูดหลอกลวงระหว่างการสนทนา

    ผลสำรวจจาก YouGov
    ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงมากกว่า iOS ถึง 58%
    ผู้ใช้ Pixel มั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96%
    ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65%

    https://securityonline.info/android-ai-scam-defense-blocks-10-billion-monthly-threats-users-58-more-likely-to-avoid-scam-texts-than-ios/
    📱 Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน – ผู้ใช้มั่นใจมากกว่า iOS ถึง 58% Google เผยความสำเร็จของระบบป้องกันภัยหลอกลวงบน Android ที่ใช้ AI ตรวจจับและสกัดข้อความและสายโทรศัพท์อันตรายได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน พร้อมผลสำรวจจาก YouGov ที่ชี้ว่า ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงได้มากกว่า iOS ถึง 58%. ในยุคที่ AI ถูกใช้สร้างข้อความหลอกลวงได้แนบเนียนมากขึ้น Google จึงพัฒนา Android ให้มีระบบป้องกันหลายชั้น ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบเครือข่าย และการใช้ AI บนอุปกรณ์โดยตรง หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ RCS Safety Checks ที่สามารถบล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ Google Messages ที่กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา และระบบ Call Screen ที่สามารถรับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสายหลอกลวงหรือไม่ ผลสำรวจจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล พบว่า: 💠 ผู้ใช้ Android มีโอกาสได้รับข้อความหลอกลวงน้อยกว่า iOS ถึง 58% 💠 ผู้ใช้ Pixel มีความมั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96% 💠 ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65% Google ยังใช้ LLM (Large Language Models) ในการตรวจจับเว็บไซต์ฟิชชิ่งและมัลแวร์ผ่าน Chrome และ Play Protect เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการป้องกันภัยไซเบอร์ ✅ Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน ➡️ ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์และ AI บนอุปกรณ์ ➡️ บล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Android ➡️ Google Messages กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา ➡️ Call Screen รับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบภัยหลอกลวง ➡️ Scam Detection ตรวจจับคำพูดหลอกลวงระหว่างการสนทนา ✅ ผลสำรวจจาก YouGov ➡️ ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงมากกว่า iOS ถึง 58% ➡️ ผู้ใช้ Pixel มั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96% ➡️ ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65% https://securityonline.info/android-ai-scam-defense-blocks-10-billion-monthly-threats-users-58-more-likely-to-avoid-scam-texts-than-ios/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android AI Scam Defense Blocks 10 Billion Monthly Threats; Users 58% More Likely to Avoid Scam Texts Than iOS
    Google reveals Android’s AI defense blocks 10B+ monthly scams. A YouGov survey found Android users 58% more likely to report zero scam texts than iOS users due to on-device AI protection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทลายปาร์ตี้ยา เหยียดเพศโดยไม่ตั้งใจ

    กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) กำลังวิจารณ์กรณีที่ตำรวจศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ร่วมกับสืบนครบาล (IDMB) ตำรวจนครบาล 5 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จับกุมกลุ่มนักเที่ยว 29 คน ที่นัดหมายมั่วสุมเสพยาเสพติด และมีเพศสัมพันธ์ ที่ห้องสวีตในโรงแรมหรูชื่อดัง ในซอยสุขุมวิท 13 แขวงวัฒนา เขตคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมของกลางยาไอซ์ ยาบ้า ยาอีน้ำ เคตามีน ยาไวอะกร้า ยาป็อปเปอร์ (สารระเหย ใช้สูดดมเพื่อลดความปวดบริเวณทวารหนัก) และอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง

    โดยพบว่าเนื้อหาข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ มีลักษณะเน้นย้ำถึงพฤติกรรมทางเพศมากกว่าประเด็นยาเสพติด ซึ่งพบว่าเป็นการทำข่าวแบบคัดลอกแล้ววาง (Copy and Paste) จากข่าวแจกของตำรวจอีกที ประการต่อมาคือ ตำรวจใช้ชื่อ "ปฎิบัติการทลายปาร์ตี้เหมืองทอง" ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเหยียดเพศขั้นรุนแรง ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาจากการรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying)

    อีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนอภาพการจับกุมของตำรวจ ที่เผยแพร่ออกมาแบบไม่มีการคัดกรอง เช่น ภาพตำรวจถือถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วชูขึ้นมา แม้ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "กองบัญชาการตำรวจนครบาล" จะลบโพสต์ผลงานการจับกุมดังกล่าวออกจากระบบก็ตาม ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "จ๋อแจ๊ะจับโจร" ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มแฟนคลับผู้สนับสนุน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. และ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ สารวัตรแจ๊ะ โพสต์ภาพสารวัตรแจ๊ะถือถุงยางอนามัย พร้อมระบุข้อความว่า "แอดขอเตือน รสนิยมทางเพศไม่ผิด แต่ยาเสพติดผิดเต็มประตู"

    ด้านสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ควรเหมารวม LGBTQ+ กับพฤติกรรมผิดกฎหมาย" ระบุว่า หลายสื่อวันนี้พาดหัวข่าวเชื่อมโยงกลุ่ม LGBTQ+ กับปาร์ตี้ยาเสพติด ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ขาดความรับผิดชอบและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน การระบุอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว เป็นการผลิตซ้ำอคติและสร้างภาพเหมารวมเชิงลบต่อชุมชน LGBTQ+ สมาคมฟ้าสีรุ้งฯ ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนตระหนักถึงผลกระทบของถ้อยคำ และยึดหลักจริยธรรมในการรายงานข่าว เพื่อร่วมกันลดการตีตราและสร้างความเท่าเทียมในสังคม

    ที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อก็เคยรณรงค์ให้สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ ทั้งการเปิดอบรมรวมทั้งการออกคู่มือการนำเสนอข่าว แต่ปัญหาก็คือพอเวลาผ่านไปก็ถูกปล่อยปะละเลย แล้วเหตุการณ์เดิมๆ ก็กลับเข้ามาอีก

    #Newskit
    ทลายปาร์ตี้ยา เหยียดเพศโดยไม่ตั้งใจ กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) กำลังวิจารณ์กรณีที่ตำรวจศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) ร่วมกับสืบนครบาล (IDMB) ตำรวจนครบาล 5 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จับกุมกลุ่มนักเที่ยว 29 คน ที่นัดหมายมั่วสุมเสพยาเสพติด และมีเพศสัมพันธ์ ที่ห้องสวีตในโรงแรมหรูชื่อดัง ในซอยสุขุมวิท 13 แขวงวัฒนา เขตคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา พร้อมของกลางยาไอซ์ ยาบ้า ยาอีน้ำ เคตามีน ยาไวอะกร้า ยาป็อปเปอร์ (สารระเหย ใช้สูดดมเพื่อลดความปวดบริเวณทวารหนัก) และอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่ง โดยพบว่าเนื้อหาข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอ มีลักษณะเน้นย้ำถึงพฤติกรรมทางเพศมากกว่าประเด็นยาเสพติด ซึ่งพบว่าเป็นการทำข่าวแบบคัดลอกแล้ววาง (Copy and Paste) จากข่าวแจกของตำรวจอีกที ประการต่อมาคือ ตำรวจใช้ชื่อ "ปฎิบัติการทลายปาร์ตี้เหมืองทอง" ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเหยียดเพศขั้นรุนแรง ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามผลักดันเรื่องความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาจากการรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) อีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนอภาพการจับกุมของตำรวจ ที่เผยแพร่ออกมาแบบไม่มีการคัดกรอง เช่น ภาพตำรวจถือถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วชูขึ้นมา แม้ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "กองบัญชาการตำรวจนครบาล" จะลบโพสต์ผลงานการจับกุมดังกล่าวออกจากระบบก็ตาม ภายหลังเฟซบุ๊กเพจ "จ๋อแจ๊ะจับโจร" ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มแฟนคลับผู้สนับสนุน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบช.น. และ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ สารวัตรแจ๊ะ โพสต์ภาพสารวัตรแจ๊ะถือถุงยางอนามัย พร้อมระบุข้อความว่า "แอดขอเตือน รสนิยมทางเพศไม่ผิด แต่ยาเสพติดผิดเต็มประตู" ด้านสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ควรเหมารวม LGBTQ+ กับพฤติกรรมผิดกฎหมาย" ระบุว่า หลายสื่อวันนี้พาดหัวข่าวเชื่อมโยงกลุ่ม LGBTQ+ กับปาร์ตี้ยาเสพติด ซึ่งเป็นการนำเสนอที่ขาดความรับผิดชอบและละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน การระบุอัตลักษณ์ทางเพศของผู้ถูกจับกุมโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว เป็นการผลิตซ้ำอคติและสร้างภาพเหมารวมเชิงลบต่อชุมชน LGBTQ+ สมาคมฟ้าสีรุ้งฯ ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนตระหนักถึงผลกระทบของถ้อยคำ และยึดหลักจริยธรรมในการรายงานข่าว เพื่อร่วมกันลดการตีตราและสร้างความเท่าเทียมในสังคม ที่ผ่านมาองค์กรวิชาชีพสื่อก็เคยรณรงค์ให้สื่อมวลชนนำเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ ทั้งการเปิดอบรมรวมทั้งการออกคู่มือการนำเสนอข่าว แต่ปัญหาก็คือพอเวลาผ่านไปก็ถูกปล่อยปะละเลย แล้วเหตุการณ์เดิมๆ ก็กลับเข้ามาอีก #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C

    นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก!

    TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580

    ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ

    เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว
    ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว
    น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C
    GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz
    คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%)
    เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds
    ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ
    น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock
    การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY
    การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง
    การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง
    TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ

    ข้อควรระวังในการทำตาม
    การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร
    ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย
    การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด
    ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์

    TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    ❄️ TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก! TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580 ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ ✅ เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว ➡️ ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว ➡️ น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C ➡️ GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz ➡️ คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%) ➡️ เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds ➡️ ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ ➡️ น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock ➡️ การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY ➡️ การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง ➡️ การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง ➡️ TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ ‼️ ข้อควรระวังในการทำตาม ⛔ การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย ⛔ การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด ⛔ ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์ TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยสร้างเยอรมันเนียมตัวนำยิ่งยวดด้วยเทคนิคการผลิตชิปมาตรฐาน — ก้าวใหม่ของวงการควอนตัม

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (UQ) ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวัสดุเยอรมันเนียมให้กลายเป็นตัวนำยิ่งยวด โดยใช้เทคนิคการผลิตชิปที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่ในการสร้างวงจรควอนตัมที่สามารถผลิตได้ในระดับโรงงาน

    เยอรมันเนียมเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่เคยถูกทำให้เป็นตัวนำยิ่งยวดได้สำเร็จมาก่อน เพราะต้องควบคุมโครงสร้างอะตอมอย่างแม่นยำมาก

    ทีมนักวิจัยจาก NYU และ UQ ใช้เทคนิค molecular beam epitaxy (MBE) เพื่อฝังอะตอมของแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกของเยอรมันเนียมอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแถบพลังงานอิเล็กตรอน จนสามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทาน เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 3.5 เคลวิน

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาสามารถสร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนแผ่นเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงจรควอนตัมและอุปกรณ์ cryogenic RF

    ความสำเร็จในการทำให้เยอรมันเนียมเป็นตัวนำยิ่งยวด
    ใช้เทคนิค MBE ฝังแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกเยอรมันเนียม
    เกิด superconductivity ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 3.5K
    สร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว
    โครงสร้างผลึกยังคงเป็น epitaxial ไม่มีชั้นแทรกที่รบกวนการนำไฟฟ้า
    รองรับการผลิตในระดับโรงงานด้วยเทคนิคที่ใช้ใน cryo-CMOS และ compound semiconductors

    ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี
    เปิดทางสู่การสร้างวงจรควอนตัมแบบ monolithic stack
    ลดปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างวงจรควบคุมและตัวนำยิ่งยวด
    เหมาะกับการใช้งานใน quantum computing, cryogenic sensors และอุปกรณ์ RF ในอวกาศ
    เพิ่มความเป็นไปได้ในการผลิตอุปกรณ์ควอนตัมที่มีความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-create-superconductive-germanium-using-standard-chip-fabrication-techniques
    🔬 นักวิจัยสร้างเยอรมันเนียมตัวนำยิ่งยวดด้วยเทคนิคการผลิตชิปมาตรฐาน — ก้าวใหม่ของวงการควอนตัม ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (UQ) ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวัสดุเยอรมันเนียมให้กลายเป็นตัวนำยิ่งยวด โดยใช้เทคนิคการผลิตชิปที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่ในการสร้างวงจรควอนตัมที่สามารถผลิตได้ในระดับโรงงาน เยอรมันเนียมเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่เคยถูกทำให้เป็นตัวนำยิ่งยวดได้สำเร็จมาก่อน เพราะต้องควบคุมโครงสร้างอะตอมอย่างแม่นยำมาก ทีมนักวิจัยจาก NYU และ UQ ใช้เทคนิค molecular beam epitaxy (MBE) เพื่อฝังอะตอมของแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกของเยอรมันเนียมอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแถบพลังงานอิเล็กตรอน จนสามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทาน เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 3.5 เคลวิน สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาสามารถสร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนแผ่นเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงจรควอนตัมและอุปกรณ์ cryogenic RF ✅ ความสำเร็จในการทำให้เยอรมันเนียมเป็นตัวนำยิ่งยวด ➡️ ใช้เทคนิค MBE ฝังแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกเยอรมันเนียม ➡️ เกิด superconductivity ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 3.5K ➡️ สร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ➡️ โครงสร้างผลึกยังคงเป็น epitaxial ไม่มีชั้นแทรกที่รบกวนการนำไฟฟ้า ➡️ รองรับการผลิตในระดับโรงงานด้วยเทคนิคที่ใช้ใน cryo-CMOS และ compound semiconductors ✅ ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี ➡️ เปิดทางสู่การสร้างวงจรควอนตัมแบบ monolithic stack ➡️ ลดปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างวงจรควบคุมและตัวนำยิ่งยวด ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน quantum computing, cryogenic sensors และอุปกรณ์ RF ในอวกาศ ➡️ เพิ่มความเป็นไปได้ในการผลิตอุปกรณ์ควอนตัมที่มีความเสถียรและประหยัดพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-create-superconductive-germanium-using-standard-chip-fabrication-techniques
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลประกอบตัวเองในอวกาศ: เมื่อ AI, หุ่นยนต์ และอวกาศมาบรรจบกัน

    Rendezvous Robotics และ Starcloud กำลังปฏิวัติวงการศูนย์ข้อมูล ด้วยแนวคิดสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์!

    ลองจินตนาการถึงศูนย์ข้อมูลขนาด 5 กิกะวัตต์ ลอยอยู่ในอวกาศ ประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มือมนุษย์ — ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว

    บริษัท Starcloud ซึ่งมีแผนจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้ง GPU Nvidia H100 ขึ้นสู่วงโคจรในเดือนหน้า ได้จับมือกับ Rendezvous Robotics บริษัทสตาร์ทอัพจาก MIT ที่พัฒนาเทคโนโลยี “TESSERAE” — โมดูลแบบแผ่นกระเบื้องที่สามารถประกอบตัวเองในอวกาศได้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า

    เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาในอวกาศ โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันหมด และหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลกที่กินพลังงานมหาศาล

    Elon Musk ยังออกมาแสดงความเห็นว่า Starlink รุ่น V3 ของ SpaceX ก็จะสามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน โดยจะมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ซึ่งมากกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 10 เท่า

    ความร่วมมือระหว่าง Starcloud และ Rendezvous Robotics
    สร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้
    ใช้เทคโนโลยี TESSERAE จาก MIT Media Lab
    โมดูลแต่ละชิ้นมีแบตเตอรี่ โปรเซสเซอร์ และระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
    ลดความจำเป็นในการใช้มนุษย์หรือแขนกลในการประกอบ
    ศูนย์ข้อมูลจะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 4x4 กิโลเมตร
    ใหญ่กว่าระบบโซลาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถึง 20,000 เท่า

    จุดเด่นของศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ไม่ต้องใช้พื้นที่บนโลก
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    ลดปัญหาความร้อนและการระบายอากาศ
    รองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การระบายความร้อนในอวกาศยังเป็นปัญหาใหญ่
    ค่าใช้จ่ายในการส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่วงโคจรยังสูงมาก
    ต้องมีระบบควบคุมอัตโนมัติที่แม่นยำและปลอดภัย
    ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนจาก SpaceX ว่าจะร่วมมือจริงหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/self-assembling-data-centers-in-space-are-becoming-reality-as-rendezvous-robotics-partners-with-starcloud-elon-musk-chimes-in-that-spacex-will-be-doing-this
    🛰️ ศูนย์ข้อมูลประกอบตัวเองในอวกาศ: เมื่อ AI, หุ่นยนต์ และอวกาศมาบรรจบกัน Rendezvous Robotics และ Starcloud กำลังปฏิวัติวงการศูนย์ข้อมูล ด้วยแนวคิดสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์! ลองจินตนาการถึงศูนย์ข้อมูลขนาด 5 กิกะวัตต์ ลอยอยู่ในอวกาศ ประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มือมนุษย์ — ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว บริษัท Starcloud ซึ่งมีแผนจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้ง GPU Nvidia H100 ขึ้นสู่วงโคจรในเดือนหน้า ได้จับมือกับ Rendezvous Robotics บริษัทสตาร์ทอัพจาก MIT ที่พัฒนาเทคโนโลยี “TESSERAE” — โมดูลแบบแผ่นกระเบื้องที่สามารถประกอบตัวเองในอวกาศได้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาในอวกาศ โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันหมด และหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลกที่กินพลังงานมหาศาล Elon Musk ยังออกมาแสดงความเห็นว่า Starlink รุ่น V3 ของ SpaceX ก็จะสามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน โดยจะมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ซึ่งมากกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 10 เท่า ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starcloud และ Rendezvous Robotics ➡️ สร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้ ➡️ ใช้เทคโนโลยี TESSERAE จาก MIT Media Lab ➡️ โมดูลแต่ละชิ้นมีแบตเตอรี่ โปรเซสเซอร์ และระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้มนุษย์หรือแขนกลในการประกอบ ➡️ ศูนย์ข้อมูลจะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 4x4 กิโลเมตร ➡️ ใหญ่กว่าระบบโซลาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถึง 20,000 เท่า ✅ จุดเด่นของศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ไม่ต้องใช้พื้นที่บนโลก ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ➡️ ลดปัญหาความร้อนและการระบายอากาศ ➡️ รองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การระบายความร้อนในอวกาศยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ค่าใช้จ่ายในการส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่วงโคจรยังสูงมาก ⛔ ต้องมีระบบควบคุมอัตโนมัติที่แม่นยำและปลอดภัย ⛔ ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนจาก SpaceX ว่าจะร่วมมือจริงหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/self-assembling-data-centers-in-space-are-becoming-reality-as-rendezvous-robotics-partners-with-starcloud-elon-musk-chimes-in-that-spacex-will-be-doing-this
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series

    ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro”

    Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด

    Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก

    Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB

    ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า

    เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico
    Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150
    Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M
    รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ
    พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ
    Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478)
    Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380)
    รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro
    เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC
    แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน
    Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน
    Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก”
    Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    🖥️ เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro” Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด 💠 Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก 💠 Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า ✅ เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico ➡️ Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150 ➡️ Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M ➡️ รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ ➡️ Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478) ➡️ Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380) ➡️ รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro ➡️ เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC ➡️ แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน ➡️ Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน ➡️ Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” ➡️ Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต!

    ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย!

    IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks

    ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย

    ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม

    Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร
    ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์
    รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS
    ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi

    ความสามารถของ IIAB
    เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์
    โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ
    สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน

    การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล
    ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ

    การติดตั้งและขยายข้อมูล
    โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org
    เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์
    ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้

    ข้อจำกัดของ IIAB
    ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้
    ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง
    อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล

    IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน

    https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    📦 “Internet-in-a-Box” อุปกรณ์ที่แทน Google ได้แม้ไม่มีเน็ต! ในโลกที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีคนกว่า 2.6 พันล้านคนที่เข้าไม่ถึง “Internet-in-a-Box” หรือ IIAB คือเทคโนโลยีที่ช่วยลดช่องว่างนี้ ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นคลังข้อมูลขนาดย่อมที่ไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตเลย! IIAB เป็นระบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์เก่า Raspberry Pi หรือแม้แต่โน้ตบุ๊กที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ เช่น เว็บไซต์เพื่อการศึกษา แผนที่ Google หรือ Apple แบบออฟไลน์ และคลังวิดีโอจาก YouTube หรือ TED Talks ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหลด “content packs” ที่เหมาะกับชุมชนของตน เช่น โรงเรียนสามารถโหลดหลักสูตร Khan Academy ส่วนคลินิกสุขภาพสามารถโหลดข้อมูลทางการแพทย์ไว้ใช้ในพื้นที่ห่างไกล โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเลย ระบบนี้ถูกนำไปใช้แล้วในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ เฮติ และรวันดา เพื่อช่วยให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างเท่าเทียม ✅ Internet-in-a-Box (IIAB) คืออะไร ➡️ ระบบโอเพ่นซอร์สที่เก็บข้อมูลเว็บไว้ใช้งานแบบออฟไลน์ ➡️ รองรับ Linux เช่น Ubuntu, Debian, Raspberry Pi OS ➡️ ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์เก่าและ Raspberry Pi ✅ ความสามารถของ IIAB ➡️ เก็บข้อมูลได้ถึง 1 เทราไบต์ ➡️ โหลด content packs เช่น Khan Academy, TED Talks, แผนที่, วิดีโอ ➡️ สร้างหน้าโฮมเพจแบบปรับแต่งได้สำหรับผู้ใช้งาน ✅ การใช้งานในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ใช้ในโรงเรียน คลินิก และชุมชนที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ ถูกนำไปใช้ในแอฟริกาใต้ เฮติ รวันดา และอีกหลายประเทศ ✅ การติดตั้งและขยายข้อมูล ➡️ โหลดข้อมูลจาก archive.org และ worldpossible.org ➡️ เพิ่มข้อมูลจากอุปกรณ์เสริม เช่น USB หรือฮาร์ดดิสก์ ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างคลังข้อมูลเองได้ ‼️ ข้อจำกัดของ IIAB ⛔ ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจริงหรือค้นหาบน Google ได้ ⛔ ต้องติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง ⛔ อุปกรณ์บางรุ่นอาจต้องใช้เราเตอร์ Wi-Fi เพื่อแชร์ข้อมูล IIAB ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโลกดิจิทัล — เปลี่ยนคอมพิวเตอร์เก่าให้กลายเป็นคลังความรู้ และเปลี่ยนชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกลให้มีโอกาสเรียนรู้เท่าเทียมกัน https://www.slashgear.com/2009691/offline-google-alternative-internet-in-a-box/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Device Can Replace Google When You Need Information Without An Internet Connection - SlashGear
    More than half the world's population can connect to the internet, but for people in remote locations or extreme poverty this device can provide limited access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bluetooth อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด! เปิดเผยภัยเงียบจากการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้ พร้อมวิธีป้องกันแบบมือโปร

    เรื่องราวนี้จะพาคุณไปสำรวจความจริงที่หลายคนมองข้ามเกี่ยวกับการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้บนอุปกรณ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หูฟัง หรือสมาร์ทวอทช์ — ความสะดวกที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว!

    Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น — เชื่อมต่อหูฟัง ส่งไฟล์ หรือใช้อุปกรณ์เสริมแบบไร้สาย แต่ความสะดวกนี้แฝงด้วยภัยเงียบที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

    เมื่อคุณเปิด Bluetooth ทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน อุปกรณ์ของคุณจะกลายเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น “Bluesnarfing” หรือ “Bluejacking” เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณโดยไม่ต้องขออนุญาต แม้แต่ร้านค้าก็สามารถใช้ Bluetooth beacon เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด

    ที่น่าตกใจคือ แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ติดตามตำแหน่งของคุณแบบเรียลไทม์ และที่แย่กว่านั้นคือ คุณอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลของคุณถูกขโมยไปแล้ว!

    วิธีป้องกันภัย Bluetooth แบบมือโปร
    ปิด Bluetooth เมื่อไม่ใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ
    ปิดฟีเจอร์ “Auto-reconnect” เพื่อป้องกันการเชื่อมต่ออัตโนมัติ
    ตั้งค่า Bluetooth ให้เป็น “Undiscoverable” เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอุปกรณ์ของคุณ
    อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปฯ อยู่เสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่จาก BlueBorne
    อย่ารับคำขอเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ไม่รู้จัก
    ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปฯ ที่ใช้ Bluetooth ว่าเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง
    ใช้ VPN เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ

    https://www.slashgear.com/2009834/bluetooth-security-explained-risks-need-know-if-left-one-all-the-time/
    📡 Bluetooth อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด! เปิดเผยภัยเงียบจากการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้ พร้อมวิธีป้องกันแบบมือโปร เรื่องราวนี้จะพาคุณไปสำรวจความจริงที่หลายคนมองข้ามเกี่ยวกับการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้บนอุปกรณ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หูฟัง หรือสมาร์ทวอทช์ — ความสะดวกที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว! Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น — เชื่อมต่อหูฟัง ส่งไฟล์ หรือใช้อุปกรณ์เสริมแบบไร้สาย แต่ความสะดวกนี้แฝงด้วยภัยเงียบที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อคุณเปิด Bluetooth ทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน อุปกรณ์ของคุณจะกลายเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น “Bluesnarfing” หรือ “Bluejacking” เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณโดยไม่ต้องขออนุญาต แม้แต่ร้านค้าก็สามารถใช้ Bluetooth beacon เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด ที่น่าตกใจคือ แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ติดตามตำแหน่งของคุณแบบเรียลไทม์ และที่แย่กว่านั้นคือ คุณอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลของคุณถูกขโมยไปแล้ว! 🛡️ วิธีป้องกันภัย Bluetooth แบบมือโปร 🎗️ ปิด Bluetooth เมื่อไม่ใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ 🎗️ ปิดฟีเจอร์ “Auto-reconnect” เพื่อป้องกันการเชื่อมต่ออัตโนมัติ 🎗️ ตั้งค่า Bluetooth ให้เป็น “Undiscoverable” เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอุปกรณ์ของคุณ 🎗️ อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปฯ อยู่เสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่จาก BlueBorne 🎗️ อย่ารับคำขอเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ไม่รู้จัก 🎗️ ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปฯ ที่ใช้ Bluetooth ว่าเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง 🎗️ ใช้ VPN เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ https://www.slashgear.com/2009834/bluetooth-security-explained-risks-need-know-if-left-one-all-the-time/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Is Bluetooth Secure? Risks You Need To Know If You Leave It On Your Devices All The Time - SlashGear
    You probably use Bluetooth to connect any number of things to your computer and/or cell phone, but is it actually safe to leave your Bluetooth enabled?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arch Linux ปล่อย ISO พฤศจิกายน 2025 พร้อม Archinstall 3.0.12—ติดตั้งง่ายขึ้น รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และเก่า


    Arch Linux ได้ปล่อย ISO snapshot ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 (เวอร์ชัน 2025.11.01) ซึ่งมาพร้อมกับเคอร์เนล Linux 6.17 รุ่นล่าสุดที่ช่วยให้การตรวจจับฮาร์ดแวร์ดีขึ้นทั้งในอุปกรณ์ใหม่และเก่า โดยเฉพาะอุปกรณ์รุ่นเก่าที่เคยมีปัญหาในการติดตั้งจาก ISO รุ่นก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของตัวติดตั้งแบบเมนู “Archinstall 3.0.12” ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง เช่น:
    รองรับการใช้ flag -S สำหรับ arch-chroot
    ข้ามการตรวจสอบ bootloader เมื่อเลือก “No Bootloader”
    บันทึกและโหลดการตั้งค่า UKI
    ป้องกันการสลับลำดับโมดูล AMDGPU และ Radeon
    ใช้ btrfs-hook สำหรับติดตั้งโมดูล Btrfs แบบแมนนวล
    เปลี่ยนจาก ‘leafpad’ เป็น ‘l3afpad’ สำหรับโปรไฟล์ LXQt
    เพิ่มการรองรับภาษา Uzbek (uz)
    ติดตั้งแอปเฉพาะเมื่อเปิดใช้งานเท่านั้น

    การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยให้การติดตั้ง Arch Linux เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสะดวกในการตั้งค่าระบบ

    Arch Linux 2025.11.01 ISO พร้อมเคอร์เนลใหม่
    ใช้ Linux 6.17 สำหรับการรองรับฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น
    เหมาะสำหรับการติดตั้งใหม่ ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้เดิม

    Archinstall 3.0.12 ตัวติดตั้งแบบเมนู
    รองรับ flag -S สำหรับ arch-chroot
    ข้ามการตรวจสอบ bootloader เมื่อเลือก “No Bootloader”
    บันทึกและโหลดการตั้งค่า UKI ได้
    ป้องกันการสลับลำดับโมดูล AMDGPU และ Radeon
    ใช้ btrfs-hook สำหรับติดตั้งโมดูล Btrfs
    เปลี่ยน editor เป็น ‘l3afpad’ สำหรับ LXQt
    เพิ่มภาษา Uzbek (uz)
    ติดตั้งแอปเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน

    วิธีอัปเดต Archinstall สำหรับผู้ใช้ ISO ใหม่
    ใช้คำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall
    ตรวจสอบเวอร์ชันด้วย archinstall -v

    https://9to5linux.com/arch-linuxs-november-2025-iso-and-archinstall-3-0-12-installer-are-out-now
    🚀 Arch Linux ปล่อย ISO พฤศจิกายน 2025 พร้อม Archinstall 3.0.12—ติดตั้งง่ายขึ้น รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และเก่า Arch Linux ได้ปล่อย ISO snapshot ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 (เวอร์ชัน 2025.11.01) ซึ่งมาพร้อมกับเคอร์เนล Linux 6.17 รุ่นล่าสุดที่ช่วยให้การตรวจจับฮาร์ดแวร์ดีขึ้นทั้งในอุปกรณ์ใหม่และเก่า โดยเฉพาะอุปกรณ์รุ่นเก่าที่เคยมีปัญหาในการติดตั้งจาก ISO รุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของตัวติดตั้งแบบเมนู “Archinstall 3.0.12” ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่หลายอย่าง เช่น: 💠 รองรับการใช้ flag -S สำหรับ arch-chroot 💠 ข้ามการตรวจสอบ bootloader เมื่อเลือก “No Bootloader” 💠 บันทึกและโหลดการตั้งค่า UKI 💠 ป้องกันการสลับลำดับโมดูล AMDGPU และ Radeon 💠 ใช้ btrfs-hook สำหรับติดตั้งโมดูล Btrfs แบบแมนนวล 💠 เปลี่ยนจาก ‘leafpad’ เป็น ‘l3afpad’ สำหรับโปรไฟล์ LXQt 💠 เพิ่มการรองรับภาษา Uzbek (uz) 💠 ติดตั้งแอปเฉพาะเมื่อเปิดใช้งานเท่านั้น การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยให้การติดตั้ง Arch Linux เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสะดวกในการตั้งค่าระบบ ✅ Arch Linux 2025.11.01 ISO พร้อมเคอร์เนลใหม่ ➡️ ใช้ Linux 6.17 สำหรับการรองรับฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับการติดตั้งใหม่ ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้เดิม ✅ Archinstall 3.0.12 ตัวติดตั้งแบบเมนู ➡️ รองรับ flag -S สำหรับ arch-chroot ➡️ ข้ามการตรวจสอบ bootloader เมื่อเลือก “No Bootloader” ➡️ บันทึกและโหลดการตั้งค่า UKI ได้ ➡️ ป้องกันการสลับลำดับโมดูล AMDGPU และ Radeon ➡️ ใช้ btrfs-hook สำหรับติดตั้งโมดูล Btrfs ➡️ เปลี่ยน editor เป็น ‘l3afpad’ สำหรับ LXQt ➡️ เพิ่มภาษา Uzbek (uz) ➡️ ติดตั้งแอปเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน ✅ วิธีอัปเดต Archinstall สำหรับผู้ใช้ ISO ใหม่ ➡️ ใช้คำสั่ง sudo pacman -Sy archinstall ➡️ ตรวจสอบเวอร์ชันด้วย archinstall -v https://9to5linux.com/arch-linuxs-november-2025-iso-and-archinstall-3-0-12-installer-are-out-now
    9TO5LINUX.COM
    Arch Linux's November 2025 ISO and Archinstall 3.0.12 Installer Are Out Now - 9to5Linux
    Arch Linux 2025.11.01 is now available for download as the November 2025 ISO snapshot, along with the Archinstall 3.0.12 menu-based installer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts