• อยากให้ซอสมะขามของคุณ "เนียน" และ "นัว" ไม่เหมือนใครใช่ไหม?

    ถ้าธุรกิจของคุณกำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้ซอสมะขามโดดเด่นกว่าคู่แข่ง นี่คือคำตอบ! เครื่อง Colloid Mill 100 BONNY จะเปลี่ยนเนื้อมะขามให้กลายเป็นซอสที่ละเอียดเนียนอย่างสมบูรณ์แบบ

    บดละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน: ด้วยระบบเฟืองบดที่ทรงพลัง จะช่วยกำจัดเสี้ยนและกากของมะขามออกไป ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เนียนลื่น น่ารับประทาน
    ควบคุมความหนืดได้ดั่งใจ: สามารถปรับระดับการบดได้ตามต้องการ เพื่อให้ได้ความหนาของซอสที่สม่ำเสมอในทุกขวด
    สีสวย ไม่คล้ำ: ระบบหล่อเย็นในตัวช่วยควบคุมอุณหภูมิ ไม่ให้ความร้อนจากการบดไปทำลายสีและรสชาติธรรมชาติของมะขาม
    ผลิตได้เยอะ ไม่ต้องรอนาน: ด้วยกำลังการผลิต 50-100 กก./ชม. ทำให้คุณพร้อมสำหรับการผลิตในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว

    อย่าปล่อยให้คุณภาพของซอสเป็นเรื่องรอง! ลงทุนกับเครื่องจักรคุณภาพสูง เพื่อรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ลูกค้าจะจดจำ

    จัดราคาพิเศษเพียง 250,000 บาท!

    #ซอสมะขาม #ColloidMill #เครื่องโคลลอยด์มิลล์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องบดละเอียด #อุตสาหกรรมอาหาร #โรงงานผลิตอาหาร #น้ำจิ้มมะขาม #ซอสปรุงรส #เครื่องผลิตอาหาร #ธุรกิจอาหาร #ผู้ประกอบการSME #BONNY #ย่งฮะเฮง #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องจักรอาหาร #แปรรูปผลผลิต #เครื่องบดอเนกประสงค์ #ลงทุนธุรกิจ

    สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า)
    www.yoryonghahheng.com
    🚀 อยากให้ซอสมะขามของคุณ "เนียน" และ "นัว" ไม่เหมือนใครใช่ไหม? 🚀 ถ้าธุรกิจของคุณกำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้ซอสมะขามโดดเด่นกว่าคู่แข่ง นี่คือคำตอบ! เครื่อง Colloid Mill 100 BONNY จะเปลี่ยนเนื้อมะขามให้กลายเป็นซอสที่ละเอียดเนียนอย่างสมบูรณ์แบบ ✅ บดละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน: ด้วยระบบเฟืองบดที่ทรงพลัง จะช่วยกำจัดเสี้ยนและกากของมะขามออกไป ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เนียนลื่น น่ารับประทาน ✅ ควบคุมความหนืดได้ดั่งใจ: สามารถปรับระดับการบดได้ตามต้องการ เพื่อให้ได้ความหนาของซอสที่สม่ำเสมอในทุกขวด ✅ สีสวย ไม่คล้ำ: ระบบหล่อเย็นในตัวช่วยควบคุมอุณหภูมิ ไม่ให้ความร้อนจากการบดไปทำลายสีและรสชาติธรรมชาติของมะขาม ✅ ผลิตได้เยอะ ไม่ต้องรอนาน: ด้วยกำลังการผลิต 50-100 กก./ชม. ทำให้คุณพร้อมสำหรับการผลิตในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว อย่าปล่อยให้คุณภาพของซอสเป็นเรื่องรอง! ลงทุนกับเครื่องจักรคุณภาพสูง เพื่อรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ลูกค้าจะจดจำ 💰 จัดราคาพิเศษเพียง 250,000 บาท! 💰 #ซอสมะขาม #ColloidMill #เครื่องโคลลอยด์มิลล์ #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #เครื่องบดละเอียด #อุตสาหกรรมอาหาร #โรงงานผลิตอาหาร #น้ำจิ้มมะขาม #ซอสปรุงรส #เครื่องผลิตอาหาร #ธุรกิจอาหาร #ผู้ประกอบการSME #BONNY #ย่งฮะเฮง #อุปกรณ์ครัวอุตสาหกรรม #เครื่องจักรอาหาร #แปรรูปผลผลิต #เครื่องบดอเนกประสงค์ #ลงทุนธุรกิจ สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: 📍 ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน 📞 โทร: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 📱 LINE Business ID: @yonghahheng (มี@ข้างหน้า) 🌐 www.yoryonghahheng.com
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Starbucks เกาหลีใต้ขอคืนพื้นที่: ห้ามตั้งออฟฟิศในร้านกาแฟ

    ในเกาหลีใต้ การใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายจน Starbucks ต้องออกมาตรการใหม่ทั่วประเทศ โดยติดป้ายประกาศห้ามลูกค้านำอุปกรณ์สำนักงานมาใช้ในร้าน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องพิมพ์ ปลั๊กพ่วงหลายช่อง และฉากกั้นส่วนตัว

    กลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ถูกเรียกว่า “คากงจก” (cagongjok) ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “คาเฟ่” กับ “กงบู” (เรียน) หมายถึงคนที่ใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนเป็นเวลานาน โดยบางคนถึงขั้นนำเครื่องพิมพ์มาเสียบปลั๊กของร้าน หรือสร้างบูธส่วนตัวด้วยฉากกั้น

    Starbucks ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ร้านสะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน และลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือขโมยทรัพย์สิน โดยพนักงานจะคอยแจ้งเตือนลูกค้าที่ใช้พื้นที่เกินความจำเป็น หรือทิ้งของไว้บนโต๊ะนานเกินไป

    ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “คาเฟ่บูม” ในเกาหลีใต้ ซึ่งมีร้านกาแฟมากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ และการใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การนั่งนานเกินไปอาจทำให้ร้านขาดทุน เพราะกาแฟหนึ่งแก้วครอบคลุมค่าใช้ที่นั่งได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น

    https://www.tomshardware.com/software/social-media/korean-starbucks-bans-desktop-pcs-printers-and-office-partitions-power-strips-also-forbidden-in-crackdown-on-industrious-customers
    ☕🖥️ Starbucks เกาหลีใต้ขอคืนพื้นที่: ห้ามตั้งออฟฟิศในร้านกาแฟ ในเกาหลีใต้ การใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายจน Starbucks ต้องออกมาตรการใหม่ทั่วประเทศ โดยติดป้ายประกาศห้ามลูกค้านำอุปกรณ์สำนักงานมาใช้ในร้าน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องพิมพ์ ปลั๊กพ่วงหลายช่อง และฉากกั้นส่วนตัว กลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ถูกเรียกว่า “คากงจก” (cagongjok) ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “คาเฟ่” กับ “กงบู” (เรียน) หมายถึงคนที่ใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานหรือเรียนเป็นเวลานาน โดยบางคนถึงขั้นนำเครื่องพิมพ์มาเสียบปลั๊กของร้าน หรือสร้างบูธส่วนตัวด้วยฉากกั้น Starbucks ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ร้านสะดวกสำหรับลูกค้าทุกคน และลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือขโมยทรัพย์สิน โดยพนักงานจะคอยแจ้งเตือนลูกค้าที่ใช้พื้นที่เกินความจำเป็น หรือทิ้งของไว้บนโต๊ะนานเกินไป ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “คาเฟ่บูม” ในเกาหลีใต้ ซึ่งมีร้านกาแฟมากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ และการใช้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การนั่งนานเกินไปอาจทำให้ร้านขาดทุน เพราะกาแฟหนึ่งแก้วครอบคลุมค่าใช้ที่นั่งได้เพียง 1 ชั่วโมง 42 นาทีเท่านั้น https://www.tomshardware.com/software/social-media/korean-starbucks-bans-desktop-pcs-printers-and-office-partitions-power-strips-also-forbidden-in-crackdown-on-industrious-customers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Korean Starbucks bans desktop PCs, printers, and office partitions — power strips also forbidden in crackdown on industrious customers
    A new ‘Guide to comfortable use of the store’ asks café visitors to stop bringing in ‘Personal desktops, printers, power strips, partitions, etc.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cyberdeck สุดล้ำจาก Sector 07: สองจอสัมผัส หมุนได้ ใช้ Raspberry Pi 5 และพิมพ์ 3D ได้เอง

    Sector 07 นักพัฒนาและนักสร้างสรรค์สาย DIY ได้ออกแบบ Cyberdeck ที่ไม่เหมือนใคร—มีจอสัมผัสสองจอขนาด 9 นิ้วที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อมเคสที่พิมพ์ 3D ได้เอง และขับเคลื่อนด้วย Raspberry Pi 5

    Cyberdeck นี้เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มทดลองเล็ก ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับการพัฒนา การทดลอง และการใช้งานทั่วไป โดยมีพอร์ต GPIO และ I2C ให้ใช้งานภายนอก พร้อม USB hub ภายในสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม

    ตัวเคสถูกออกแบบให้พิมพ์ได้ง่าย และมีไฟล์ STL พร้อมให้ดาวน์โหลดบน GitHub รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้ทันที

    นอกจากความล้ำด้านดีไซน์แล้ว ยังเปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Raspberry Pi 5 เป็น Pi 4 ได้ และเลือกใช้ระบบปฏิบัติการที่ต้องการ เช่น Raspberry Pi OS หรือ Linux distro อื่น ๆ

    Cyberdeck ถูกออกแบบโดย Sector 07 และใช้ Raspberry Pi 5 เป็นแกนหลัก
    รองรับการเปลี่ยนเป็น Pi 4 ได้ตามต้องการ

    มีจอสัมผัส 9 นิ้ว 2 จอที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน
    ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

    เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ STL ที่แจกฟรี
    พร้อมซอฟต์แวร์บน GitHub ที่ช่วยให้ใช้งานได้ทันที

    มี USB hub ภายในและพอร์ต GPIO/I2C สำหรับการทดลอง
    เหมาะกับงานพัฒนาและการเรียนรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์

    รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Raspberry Pi OS
    เปิดโอกาสให้ปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้

    เป็นโปรเจกต์ open-source ที่เน้นการเรียนรู้และการแบ่งปัน
    ส่งเสริมชุมชน maker และนักพัฒนา DIY

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/this-futuristic-3d-printed-cyberdeck-has-two-swiveling-touchscreens-and-its-powered-by-a-raspberry-pi-5
    🧠🖥️ Cyberdeck สุดล้ำจาก Sector 07: สองจอสัมผัส หมุนได้ ใช้ Raspberry Pi 5 และพิมพ์ 3D ได้เอง Sector 07 นักพัฒนาและนักสร้างสรรค์สาย DIY ได้ออกแบบ Cyberdeck ที่ไม่เหมือนใคร—มีจอสัมผัสสองจอขนาด 9 นิ้วที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อมเคสที่พิมพ์ 3D ได้เอง และขับเคลื่อนด้วย Raspberry Pi 5 Cyberdeck นี้เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มทดลองเล็ก ๆ แต่กลายเป็นเครื่องมือเต็มรูปแบบสำหรับการพัฒนา การทดลอง และการใช้งานทั่วไป โดยมีพอร์ต GPIO และ I2C ให้ใช้งานภายนอก พร้อม USB hub ภายในสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม ตัวเคสถูกออกแบบให้พิมพ์ได้ง่าย และมีไฟล์ STL พร้อมให้ดาวน์โหลดบน GitHub รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้ทันที นอกจากความล้ำด้านดีไซน์แล้ว ยังเปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนจาก Raspberry Pi 5 เป็น Pi 4 ได้ และเลือกใช้ระบบปฏิบัติการที่ต้องการ เช่น Raspberry Pi OS หรือ Linux distro อื่น ๆ ✅ Cyberdeck ถูกออกแบบโดย Sector 07 และใช้ Raspberry Pi 5 เป็นแกนหลัก ➡️ รองรับการเปลี่ยนเป็น Pi 4 ได้ตามต้องการ ✅ มีจอสัมผัส 9 นิ้ว 2 จอที่หมุนได้อิสระทั้งแนวตั้งและแนวนอน ➡️ ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ✅ เคสสามารถพิมพ์ 3D ได้เองจากไฟล์ STL ที่แจกฟรี ➡️ พร้อมซอฟต์แวร์บน GitHub ที่ช่วยให้ใช้งานได้ทันที ✅ มี USB hub ภายในและพอร์ต GPIO/I2C สำหรับการทดลอง ➡️ เหมาะกับงานพัฒนาและการเรียนรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ✅ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย เช่น Raspberry Pi OS ➡️ เปิดโอกาสให้ปรับแต่งตามความต้องการของผู้ใช้ ✅ เป็นโปรเจกต์ open-source ที่เน้นการเรียนรู้และการแบ่งปัน ➡️ ส่งเสริมชุมชน maker และนักพัฒนา DIY https://www.tomshardware.com/3d-printing/this-futuristic-3d-printed-cyberdeck-has-two-swiveling-touchscreens-and-its-powered-by-a-raspberry-pi-5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหมืองในสหรัฐฯ ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของ iPhone เครื่องถัดไป และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคง

    ในทะเลทรายของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีเหมืองแร่ชื่อ Mountain Pass ที่ดูเงียบเหงา แต่กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาจีนด้านแร่หายาก (rare earth elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงขีปนาวุธ

    บริษัท MP Materials ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองนี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง Apple และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดย Apple ลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กที่ผลิตจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ส่วนกระทรวงกลาโหมลงทุนกว่า 550 ล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปแบบการซื้อหุ้นและให้เงินกู้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

    แร่หายาก เช่น samarium, neodymium และ praseodymium มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น มอเตอร์ของเครื่องบินรบ และแม่เหล็กใน iPhone ที่ทำให้เครื่องสั่นได้อย่างแม่นยำ

    แม้แร่เหล่านี้จะไม่ “หายาก” จริง ๆ แต่การแยกและกลั่นให้บริสุทธิ์นั้นซับซ้อนและมีต้นทุนสูง จีนจึงครองตลาดโลกถึงกว่า 80% และเมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออก สหรัฐฯ ก็ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ

    MP Materials เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตและกลั่นแร่หายาก
    ตั้งอยู่ที่เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

    Apple ลงทุน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส
    ใช้ใน iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ

    กระทรวงกลาโหมลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในหุ้นของ MP Materials
    กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท

    มีเงินกู้เพิ่มเติมอีก 150 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิต samarium
    ใช้ในอาวุธ เช่น ขีปนาวุธและเครื่องบินรบ

    เหมืองเคยใกล้ล้มละลายก่อนถูกซื้อโดย MP Materials เมื่อ 8 ปีก่อน
    ปัจจุบันผลิตแร่ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของเหมือง

    มีการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลและระบบ zero-discharge สำหรับน้ำเสีย
    เพื่อให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    การสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต
    ถือเป็นประเด็นที่มีฉันทามติในด้านความมั่นคงของชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/your-next-iphone-could-come-from-this-us-mine-it-also-has-billions-in-pentagon-contracts
    🏗️📱 เหมืองในสหรัฐฯ ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของ iPhone เครื่องถัดไป และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ในทะเลทรายของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีเหมืองแร่ชื่อ Mountain Pass ที่ดูเงียบเหงา แต่กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาจีนด้านแร่หายาก (rare earth elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงขีปนาวุธ บริษัท MP Materials ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองนี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง Apple และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดย Apple ลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กที่ผลิตจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ส่วนกระทรวงกลาโหมลงทุนกว่า 550 ล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปแบบการซื้อหุ้นและให้เงินกู้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แร่หายาก เช่น samarium, neodymium และ praseodymium มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น มอเตอร์ของเครื่องบินรบ และแม่เหล็กใน iPhone ที่ทำให้เครื่องสั่นได้อย่างแม่นยำ แม้แร่เหล่านี้จะไม่ “หายาก” จริง ๆ แต่การแยกและกลั่นให้บริสุทธิ์นั้นซับซ้อนและมีต้นทุนสูง จีนจึงครองตลาดโลกถึงกว่า 80% และเมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออก สหรัฐฯ ก็ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ✅ MP Materials เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตและกลั่นแร่หายาก ➡️ ตั้งอยู่ที่เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ✅ Apple ลงทุน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ➡️ ใช้ใน iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ✅ กระทรวงกลาโหมลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในหุ้นของ MP Materials ➡️ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท ✅ มีเงินกู้เพิ่มเติมอีก 150 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิต samarium ➡️ ใช้ในอาวุธ เช่น ขีปนาวุธและเครื่องบินรบ ✅ เหมืองเคยใกล้ล้มละลายก่อนถูกซื้อโดย MP Materials เมื่อ 8 ปีก่อน ➡️ ปัจจุบันผลิตแร่ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของเหมือง ✅ มีการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลและระบบ zero-discharge สำหรับน้ำเสีย ➡️ เพื่อให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ✅ การสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ➡️ ถือเป็นประเด็นที่มีฉันทามติในด้านความมั่นคงของชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/your-next-iphone-could-come-from-this-us-mine-it-also-has-billions-in-pentagon-contracts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Your next iPhone could come from this US mine. It also has billions in Pentagon contracts
    Tech giant Apple signed a US$500mil (RM2.12bil) contract with the company, as well, committing to sourcing some of its magnets from MP Materials' Texas recycling plant.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่า: การเดินทางสู่โลก IoT และบ้านอัจฉริยะ

    วันก่อนผมนั่งคุยกับเพื่อนๆ เรื่องบ้านอัจฉริยะ แล้วก็ย้อนคิดไปว่าจริงๆ แนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะ หลายคนอาจคิดว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเพราะมี Wi-Fi หรือสมาร์ทโฟน แต่จริงๆ รากของมันมีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้ว สมัยนั้นคนก็เริ่มคิดอยากควบคุมอะไรจากระยะไกล อย่างในปี 1832 ก็มีการประดิษฐ์โทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ส่งสัญญาณควบคุมระยะไกลได้ หรือเทอร์โมสแตตแบบกลไกที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิบ้าน ซึ่งสำหรับยุคนั้นถือว่าล้ำสุดๆ

    เวลาผ่านมาถึงช่วงปี 1999 ก็มีคนตั้งชื่อให้ความคิดนี้ว่า “Internet of Things” หรือ IoT จุดพลิกผันจริงๆ มันเกิดราวปี 2008-2009 ที่จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีมากกว่าจำนวนคนบนโลกแล้ว จากนั้นทุกอย่างก็ระเบิดพลังเต็มที่เพราะมีสมาร์ทโฟน, Wi-Fi และคลาวด์ เข้ามาเสริม พูดง่ายๆ คือบ้านเริ่มมีสมอง คุยกันได้ และคุยกับเราผ่านเน็ตได้ด้วย

    เพื่อนบางคนถามว่าบ้านอัจฉริยะมันทำงานยังไง ผมก็บอกว่ามันเหมือนบ้านมีตา มีมือ และมีสมอง ตาก็คือพวกเซ็นเซอร์ ที่คอยจับว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แสงเพียงพอไหม หรือมีคนเดินผ่านไหม มือก็คือพวกมอเตอร์หรือสวิตช์ไฟ ที่ทำงานตามคำสั่ง ส่วนสมองก็คือศูนย์ควบคุม ที่คิด วิเคราะห์ แล้วสั่งการต่อไป

    ทุกวันนี้บ้านอัจฉริยะก็มีหลายค่ายใหญ่แข่งกัน อย่าง Amazon Alexa ที่รองรับอุปกรณ์ได้เยอะมาก Google Home ที่เก่งเรื่องฟังและเข้าใจภาษามนุษย์ หรือ Apple HomeKit ที่เน้นความปลอดภัย แต่ปัญหาคือแต่ละค่ายก็มีระบบของตัวเอง บางทีอุปกรณ์ไม่คุยกัน ต้องใช้หลายแอปเหมือนต้องพกรีโมทหลายอันอยู่บ้านเดียวกัน

    ในไทยเองกระแสนี้ก็มานะ ตลาด IoT โตเร็วมาก ภาครัฐก็มองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในภาคการผลิต และเมืองอัจฉริยะ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีอุปสรรค อย่างเรื่องความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ หรือปัญหาความปลอดภัย เพราะถ้าอุปกรณ์ถูกแฮ็กได้ก็อาจเปิดประตูบ้านเราได้เลย ซึ่งฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน

    ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้บ้านอัจฉริยะไม่ได้แค่ “ฟังคำสั่ง” อีกแล้ว แต่เริ่มใช้ AI เข้ามาช่วยตัดสินใจแทนเรา เช่น ตู้เย็นบางรุ่นของ Samsung ใช้ AI คอยสแกนของในตู้ แล้วแนะนำเมนูอาหาร หรือเตือนว่าอะไรใกล้หมดอายุ เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ก็ใช้ AI ปรับรอบหมุนและปริมาณน้ำตามชนิดของผ้า เพื่อให้ซักได้สะอาดและประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่ระบบตรวจจับน้ำรั่ว อย่าง Moen Flo ที่เรียนรู้รูปแบบการใช้น้ำในบ้าน แล้วสั่งปิดวาล์วอัตโนมัติถ้าพบว่ามีความผิดปกติ — ป้องกันน้ำท่วมบ้านได้ก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก

    อนาคตยังมีสิ่งน่าสนใจรออยู่ อย่างมาตรฐานใหม่ชื่อ Matter ที่ตั้งใจให้ทุกอุปกรณ์คุยกันได้โดยไม่ต้องสนใจยี่ห้อ ไหนจะการเอา AI มาผสมกับเทคโนโลยี Edge Computing ให้บ้านฉลาดพอจะเดาความต้องการของเรา เช่น เห็นฝนกำลังตกก็ปิดหน้าต่างให้เอง หรือเปิดเครื่องฟอกอากาศทันทีเมื่อเซ็นเซอร์จับว่ามีฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน หรือใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์ เพื่อให้บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    คิดไปคิดมา จากบ้านธรรมดาที่มีแต่สวิตช์เปิดไฟ วันนี้เรามีบ้านที่คุยกับเราได้ คิดแทนเราได้ และอีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิต เหมือนที่ทุกบ้านมี Wi-Fi ในตอนนี้นั่นแหละ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🏠 เรื่องเล่า: การเดินทางสู่โลก IoT และบ้านอัจฉริยะ 🤖 ☕ วันก่อนผมนั่งคุยกับเพื่อนๆ เรื่องบ้านอัจฉริยะ แล้วก็ย้อนคิดไปว่าจริงๆ แนวคิดนี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะ หลายคนอาจคิดว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเพราะมี Wi-Fi หรือสมาร์ทโฟน 📱 แต่จริงๆ รากของมันมีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้ว สมัยนั้นคนก็เริ่มคิดอยากควบคุมอะไรจากระยะไกล อย่างในปี 1832 ก็มีการประดิษฐ์โทรเลขแม่เหล็กไฟฟ้า 📡 ที่ส่งสัญญาณควบคุมระยะไกลได้ หรือเทอร์โมสแตตแบบกลไกที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิบ้าน ซึ่งสำหรับยุคนั้นถือว่าล้ำสุดๆ เวลาผ่านมาถึงช่วงปี 1999 ก็มีคนตั้งชื่อให้ความคิดนี้ว่า “Internet of Things” หรือ IoT 🌐 จุดพลิกผันจริงๆ มันเกิดราวปี 2008-2009 ที่จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีมากกว่าจำนวนคนบนโลกแล้ว จากนั้นทุกอย่างก็ระเบิดพลังเต็มที่เพราะมีสมาร์ทโฟน, Wi-Fi และคลาวด์ ☁️ เข้ามาเสริม พูดง่ายๆ คือบ้านเริ่มมีสมอง คุยกันได้ และคุยกับเราผ่านเน็ตได้ด้วย เพื่อนบางคนถามว่าบ้านอัจฉริยะมันทำงานยังไง ผมก็บอกว่ามันเหมือนบ้านมีตา มีมือ และมีสมอง ตาก็คือพวกเซ็นเซอร์ 👀 ที่คอยจับว่าอุณหภูมิเท่าไหร่ แสงเพียงพอไหม หรือมีคนเดินผ่านไหม มือก็คือพวกมอเตอร์หรือสวิตช์ไฟ 🤖 ที่ทำงานตามคำสั่ง ส่วนสมองก็คือศูนย์ควบคุม 🧠 ที่คิด วิเคราะห์ แล้วสั่งการต่อไป ทุกวันนี้บ้านอัจฉริยะก็มีหลายค่ายใหญ่แข่งกัน อย่าง Amazon Alexa ที่รองรับอุปกรณ์ได้เยอะมาก Google Home ที่เก่งเรื่องฟังและเข้าใจภาษามนุษย์ 🗣️ หรือ Apple HomeKit ที่เน้นความปลอดภัย 🔒 แต่ปัญหาคือแต่ละค่ายก็มีระบบของตัวเอง บางทีอุปกรณ์ไม่คุยกัน ต้องใช้หลายแอปเหมือนต้องพกรีโมทหลายอันอยู่บ้านเดียวกัน ในไทยเองกระแสนี้ก็มานะ 🇹🇭 ตลาด IoT โตเร็วมาก ภาครัฐก็มองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะในภาคการผลิต 🏭 และเมืองอัจฉริยะ 🏙️ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีอุปสรรค อย่างเรื่องความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ หรือปัญหาความปลอดภัย 🔐 เพราะถ้าอุปกรณ์ถูกแฮ็กได้ก็อาจเปิดประตูบ้านเราได้เลย ซึ่งฟังดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ที่น่าสนใจคือ ตอนนี้บ้านอัจฉริยะไม่ได้แค่ “ฟังคำสั่ง” อีกแล้ว แต่เริ่มใช้ AI เข้ามาช่วยตัดสินใจแทนเรา เช่น ตู้เย็นบางรุ่นของ Samsung ใช้ AI คอยสแกนของในตู้ 🍎🥦 แล้วแนะนำเมนูอาหาร หรือเตือนว่าอะไรใกล้หมดอายุ เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ก็ใช้ AI ปรับรอบหมุนและปริมาณน้ำตามชนิดของผ้า 👕 เพื่อให้ซักได้สะอาดและประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่ระบบตรวจจับน้ำรั่ว 💧 อย่าง Moen Flo ที่เรียนรู้รูปแบบการใช้น้ำในบ้าน แล้วสั่งปิดวาล์วอัตโนมัติถ้าพบว่ามีความผิดปกติ — ป้องกันน้ำท่วมบ้านได้ก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก อนาคตยังมีสิ่งน่าสนใจรออยู่ อย่างมาตรฐานใหม่ชื่อ Matter 📜 ที่ตั้งใจให้ทุกอุปกรณ์คุยกันได้โดยไม่ต้องสนใจยี่ห้อ ไหนจะการเอา AI 🤖 มาผสมกับเทคโนโลยี Edge Computing 💻 ให้บ้านฉลาดพอจะเดาความต้องการของเรา เช่น เห็นฝนกำลังตกก็ปิดหน้าต่างให้เอง หรือเปิดเครื่องฟอกอากาศทันทีเมื่อเซ็นเซอร์จับว่ามีฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน หรือใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างโซลาร์เซลล์ 🌞 เพื่อให้บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงานมากขึ้น คิดไปคิดมา จากบ้านธรรมดาที่มีแต่สวิตช์เปิดไฟ วันนี้เรามีบ้านที่คุยกับเราได้ คิดแทนเราได้ และอีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิต เหมือนที่ทุกบ้านมี Wi-Fi 📶 ในตอนนี้นั่นแหละ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด

    ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน

    ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย

    นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง

    พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด
    ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว
    เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย

    บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456”
    ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย
    เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

    ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี
    รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security
    เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า

    https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    🧠💥 เรื่องเล่าจากห้องแล็บสู่โลกออนไลน์: เมื่อเครื่องมือแพทย์กลายเป็นช่องโหว่ให้ข้อมูลหลุด ลองจินตนาการว่า MRI หรือ X-ray ที่คุณเพิ่งตรวจ ถูกเก็บไว้ในระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ อย่าง “123456” แล้วข้อมูลนั้น—รวมถึงชื่อ เบอร์โทร และผลตรวจ—หลุดออกไปให้ใครก็ได้เห็น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้ จากการค้นพบของนักวิจัยจาก Modat ที่สแกนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก และพบว่ามีมากกว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ทำให้ข้อมูลหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ข้อมูลที่หลุดไม่ใช่แค่ภาพสแกนสมองหรือผลเลือด แต่ยังรวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถนำไปใช้หลอกลวง หรือแม้แต่แบล็กเมล์ผู้ป่วยได้ เช่น ขู่จะเปิดเผยโรคที่เป็นให้ครอบครัวรู้ หากไม่จ่ายเงิน ที่น่าตกใจคือ อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ตั้งค่าให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตั้งแต่โรงงาน โดยไม่มีความจำเป็นทางคลินิก และโรงพยาบาลจำนวนมากไม่เคยเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น หรืออัปเดตระบบเลย นอกจากการขโมยข้อมูล ยังมีความเสี่ยงที่แฮกเกอร์จะ “แก้ไข” ข้อมูล เช่น เปลี่ยนผลตรวจ หรือเพิ่มขนาดยาที่สั่งจ่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ✅ พบอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 1.2 ล้านเครื่องที่ตั้งค่าผิดพลาด ➡️ ทำให้ข้อมูลหลุดออกสู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ ✅ ข้อมูลที่หลุดรวมถึง MRI, X-ray, ผลเลือด และข้อมูลส่วนตัว ➡️ เช่น ชื่อ เบอร์โทร และหมายเลขผู้ป่วย ✅ บางอุปกรณ์ไม่มีรหัสผ่าน หรือใช้รหัสง่าย ๆ เช่น “admin” หรือ “123456” ➡️ ทำให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ✅ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกใช้แบล็กเมล์หรือหลอกลวงผู้ป่วย ➡️ เช่น ส่งอีเมลปลอมจากโรงพยาบาลเพื่อขโมยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ประเทศที่มีอุปกรณ์หลุดมากที่สุดคือสหรัฐฯ, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, บราซิล และเยอรมนี ➡️ รวมกันมากกว่า 600,000 เครื่อง ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้แนวทาง proactive security ➡️ เช่น ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดและจัดการช่องโหว่ล่วงหน้า https://www.techradar.com/pro/security/mri-scans-x-rays-and-more-leaked-online-in-major-breach-over-a-million-healthcare-devices-affected-heres-what-we-know
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกของคนจัดการงาน: ลองมาหมดทุกแอป แต่สุดท้ายกลับไปใช้ไฟล์ .txt

    Alireza Bashiri นักพัฒนาและนักเขียนสายเทคโนโลยี ได้ทดลองใช้แอปจัดการงานทุกตัวที่คุณนึกออก—Notion, Todoist, Things 3, Trello, OmniFocus, Asana ฯลฯ เขาเคยถึงขั้นสร้างแอปของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่า “ไฟล์ .txt ธรรมดา” คือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด

    เขาเล่าว่าแต่ละแอปมีข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ต้องเสียเงินรายเดือน ระบบซิงก์พัง หรือใช้เวลาจัดการระบบมากกว่าทำงานจริง จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาเขียนงานลงบนกระดาษโน้ต และทำทุกอย่างสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งแอปใด ๆ

    ตอนนี้เขาใช้ไฟล์ชื่อ todo.txt เป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในชีวิตการทำงาน โดยแบ่งเวลา กำหนดงาน และจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ในไฟล์เดียว กลายเป็นระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

    Alireza Bashiri ทดลองใช้แอปจัดการงานหลายตัวแต่ไม่เวิร์ก
    เช่น Notion, Todoist, Trello, OmniFocus, Things 3

    เขากลับมาใช้ไฟล์ .txt ธรรมดาในการจัดการงาน
    ใช้ชื่อว่า todo.txt และเขียนงานตามเวลาในแต่ละวัน

    จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาใช้กระดาษโน้ตแทน
    ทำงานสำเร็จโดยไม่ต้องใช้แอปใด ๆ

    ระบบใหม่ของเขาเรียบง่าย: เขียนงานตามเวลา ลบเมื่อเสร็จ
    ใช้ sub-bullets สำหรับโน้ต และอัปเดตงานระหว่างวัน

    เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Jeff Huang ที่ใช้ไฟล์ .txt มานานกว่า 14 ปี
    ทำให้มั่นใจว่าวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก

    Productivity apps มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ปฏิทิน, การแจ้งเตือน, การทำงานร่วมกัน
    แต่บางครั้งซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    แอปอย่าง Notion และ Asana เหมาะกับทีมมากกว่าคนทำงานคนเดียว
    มีระบบ collaboration และ project management ที่ซับซ้อน

    Motion และ Pumble เป็นแอปใหม่ที่รวมหลายฟีเจอร์ไว้ในตัวเดียว
    เช่น การจัดการเวลา, การสื่อสาร, การจดบันทึกด้วย AI

    การใช้ไฟล์ .txt ช่วยลดภาระทางจิตใจจากการจัดการระบบ
    ทำให้โฟกัสกับงานจริงได้มากขึ้น

    แอปบางตัวมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูง
    เช่น Things 3 และ OmniFocus ที่ต้องซื้อแบบพรีเมียม

    การพึ่งพาแอปมากเกินไปอาจทำให้ขาดความยืดหยุ่น
    หากอุปกรณ์พังหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต อาจทำงานไม่ได้

    การจัดการงานผ่านแอปอาจกลายเป็น “งานซ้อนงาน”
    เสียเวลาไปกับการจัดระเบียบมากกว่าการลงมือทำ

    https://www.al3rez.com/todo-txt-journey
    📓🧠 เรื่องเล่าจากโลกของคนจัดการงาน: ลองมาหมดทุกแอป แต่สุดท้ายกลับไปใช้ไฟล์ .txt Alireza Bashiri นักพัฒนาและนักเขียนสายเทคโนโลยี ได้ทดลองใช้แอปจัดการงานทุกตัวที่คุณนึกออก—Notion, Todoist, Things 3, Trello, OmniFocus, Asana ฯลฯ เขาเคยถึงขั้นสร้างแอปของตัวเอง แต่สุดท้ายกลับพบว่า “ไฟล์ .txt ธรรมดา” คือสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด เขาเล่าว่าแต่ละแอปมีข้อดี แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ต้องเสียเงินรายเดือน ระบบซิงก์พัง หรือใช้เวลาจัดการระบบมากกว่าทำงานจริง จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาเขียนงานลงบนกระดาษโน้ต และทำทุกอย่างสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งแอปใด ๆ ตอนนี้เขาใช้ไฟล์ชื่อ todo.txt เป็นศูนย์กลางของทุกอย่างในชีวิตการทำงาน โดยแบ่งเวลา กำหนดงาน และจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไว้ในไฟล์เดียว กลายเป็นระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ✅ Alireza Bashiri ทดลองใช้แอปจัดการงานหลายตัวแต่ไม่เวิร์ก ➡️ เช่น Notion, Todoist, Trello, OmniFocus, Things 3 ✅ เขากลับมาใช้ไฟล์ .txt ธรรมดาในการจัดการงาน ➡️ ใช้ชื่อว่า todo.txt และเขียนงานตามเวลาในแต่ละวัน ✅ จุดเปลี่ยนคือวันที่โทรศัพท์ดับ เขาใช้กระดาษโน้ตแทน ➡️ ทำงานสำเร็จโดยไม่ต้องใช้แอปใด ๆ ✅ ระบบใหม่ของเขาเรียบง่าย: เขียนงานตามเวลา ลบเมื่อเสร็จ ➡️ ใช้ sub-bullets สำหรับโน้ต และอัปเดตงานระหว่างวัน ✅ เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Jeff Huang ที่ใช้ไฟล์ .txt มานานกว่า 14 ปี ➡️ ทำให้มั่นใจว่าวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ✅ Productivity apps มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น ปฏิทิน, การแจ้งเตือน, การทำงานร่วมกัน ➡️ แต่บางครั้งซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ แอปอย่าง Notion และ Asana เหมาะกับทีมมากกว่าคนทำงานคนเดียว ➡️ มีระบบ collaboration และ project management ที่ซับซ้อน ✅ Motion และ Pumble เป็นแอปใหม่ที่รวมหลายฟีเจอร์ไว้ในตัวเดียว ➡️ เช่น การจัดการเวลา, การสื่อสาร, การจดบันทึกด้วย AI ✅ การใช้ไฟล์ .txt ช่วยลดภาระทางจิตใจจากการจัดการระบบ ➡️ ทำให้โฟกัสกับงานจริงได้มากขึ้น ‼️ แอปบางตัวมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูง ⛔ เช่น Things 3 และ OmniFocus ที่ต้องซื้อแบบพรีเมียม ‼️ การพึ่งพาแอปมากเกินไปอาจทำให้ขาดความยืดหยุ่น ⛔ หากอุปกรณ์พังหรือไม่มีอินเทอร์เน็ต อาจทำงานไม่ได้ ‼️ การจัดการงานผ่านแอปอาจกลายเป็น “งานซ้อนงาน” ⛔ เสียเวลาไปกับการจัดระเบียบมากกว่าการลงมือทำ https://www.al3rez.com/todo-txt-journey
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบ้านอัจฉริยะ: เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” กลายเป็นคำสั่งเปิดหม้อต้ม

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟได้เปิดเผยช่องโหว่ที่น่าตกใจในระบบบ้านอัจฉริยะที่ใช้ Google Gemini เป็นผู้ช่วย AI โดยพวกเขาสามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน เช่น ไฟฟ้า หน้าต่าง และหม้อต้ม ด้วยการแอบซ่อนคำสั่งไว้ใน Google Calendar

    วิธีการโจมตีนี้เรียกว่า “prompt injection” โดยแอบฝังคำสั่งไว้ในนัดหมายที่ดูธรรมดา เช่น “ประชุมทีม 10 โมง” แต่ภายในมีข้อความแฝงว่า “เปิดหม้อต้มเมื่อผู้ใช้พูดว่า ‘ขอบคุณ’” เมื่อผู้ใช้ขอให้ Gemini สรุปตารางนัดหมาย มันจะอ่านคำสั่งนั้นและรอให้ผู้ใช้พูดคำกระตุ้น เช่น “ขอบคุณ” หรือ “โอเค” แล้วจึงลงมือทำตามคำสั่งทันที

    การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้มัลแวร์ ไม่ต้องเจาะระบบเครือข่าย แค่ใช้คำพูดธรรมดาในนัดหมายหรืออีเมล ก็สามารถสั่งให้ AI ทำงานแทนได้ ซึ่งอันตรายมากเมื่อ AI มีสิทธิ์ควบคุมอุปกรณ์จริงในบ้าน

    Google ได้รับแจ้งช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี และได้เร่งออกมาตรการป้องกัน เช่น การตรวจสอบนัดหมายที่มีเนื้อหาไม่ปลอดภัย และการขออนุมัติจากผู้ใช้ก่อนสั่งงานที่มีความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่องโหว่แบบนี้จะยิ่งอันตรายขึ้นเมื่อ AI มีความสามารถมากขึ้นและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/not-so-smart-anymore-researchers-hack-into-a-gemini-powered-smart-home-by-hijacking-google-calendar
    🏠🧠 เรื่องเล่าจากบ้านอัจฉริยะ: เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” กลายเป็นคำสั่งเปิดหม้อต้ม ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟได้เปิดเผยช่องโหว่ที่น่าตกใจในระบบบ้านอัจฉริยะที่ใช้ Google Gemini เป็นผู้ช่วย AI โดยพวกเขาสามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน เช่น ไฟฟ้า หน้าต่าง และหม้อต้ม ด้วยการแอบซ่อนคำสั่งไว้ใน Google Calendar วิธีการโจมตีนี้เรียกว่า “prompt injection” โดยแอบฝังคำสั่งไว้ในนัดหมายที่ดูธรรมดา เช่น “ประชุมทีม 10 โมง” แต่ภายในมีข้อความแฝงว่า “เปิดหม้อต้มเมื่อผู้ใช้พูดว่า ‘ขอบคุณ’” เมื่อผู้ใช้ขอให้ Gemini สรุปตารางนัดหมาย มันจะอ่านคำสั่งนั้นและรอให้ผู้ใช้พูดคำกระตุ้น เช่น “ขอบคุณ” หรือ “โอเค” แล้วจึงลงมือทำตามคำสั่งทันที การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้มัลแวร์ ไม่ต้องเจาะระบบเครือข่าย แค่ใช้คำพูดธรรมดาในนัดหมายหรืออีเมล ก็สามารถสั่งให้ AI ทำงานแทนได้ ซึ่งอันตรายมากเมื่อ AI มีสิทธิ์ควบคุมอุปกรณ์จริงในบ้าน Google ได้รับแจ้งช่องโหว่นี้ตั้งแต่ต้นปี และได้เร่งออกมาตรการป้องกัน เช่น การตรวจสอบนัดหมายที่มีเนื้อหาไม่ปลอดภัย และการขออนุมัติจากผู้ใช้ก่อนสั่งงานที่มีความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่องโหว่แบบนี้จะยิ่งอันตรายขึ้นเมื่อ AI มีความสามารถมากขึ้นและเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/not-so-smart-anymore-researchers-hack-into-a-gemini-powered-smart-home-by-hijacking-google-calendar
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร

    Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน

    แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้

    เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง

    แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม

    ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่

    แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production

    Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง
    เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก

    ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน
    แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy

    PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง
    หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย

    ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส
    ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent

    เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย
    สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม

    ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight
    เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    🎮✨ เรื่องเล่าจากโลกโมดิฟาย: Game Boy Color โปร่งใสที่ใช้งานได้จริง—ศิลปะบนวงจร Natalie (@natalie_thenerd) นักโมดิฟายคอนโซลแบบ self-taught ได้สร้าง Game Boy Color ที่ไม่เหมือนใคร—ด้วยแผงวงจรโปร่งใส (transparent PCB) ที่ใช้งานได้จริง! เธอออกแบบ schematic เอง และเลือกใช้วัสดุคล้ายอะคริลิกที่ไม่มี ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน แม้จะดูเหมือนของเล่น แต่การ solder บนวัสดุที่มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะผิดพลาดนิดเดียวอาจทำให้แผงวงจรเสียหายได้ เธอประกอบเครื่องด้วยชิ้นส่วนโปร่งใสเกือบทั้งหมด—รวมถึง cartridge reader จากเครื่องจีน และเปลือกใสพร้อมปุ่ม translucent ทำให้ได้เครื่อง Game Boy Color ที่ “เห็นทะลุทุกชั้น” อย่างแท้จริง แม้จะเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขาย แต่ก็จุดประกายให้ชุมชน modding สนใจเทคนิคนี้มากขึ้น เช่น การใช้ลายเงินแทนทองแดง หรือเพิ่ม backlight เพื่อความสวยงาม ชุมชน modding อย่าง Modded Gameboy Club และโปรเจกต์อย่าง SZ-CGB-L หรือ Ultra Boy Color ต่างก็พัฒนา PCB แบบใหม่ที่รองรับการใช้งานจริง พร้อมปรับแต่งให้เหมาะกับจอ IPS และการใช้งานยุคใหม่ แต่ความท้าทายยังคงอยู่—PCB โปร่งใสยังเปราะบาง ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก และต้นทุนการผลิตยังสูง ทำให้ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาด mass production ✅ Natalie สร้าง Game Boy Color ด้วยแผงวงจรโปร่งใสที่ใช้งานได้จริง ➡️ เธอออกแบบ schematic เองและใช้วัสดุคล้ายอะคริลิก ✅ ลบ ground zone เพื่อให้เห็นลายทองแดงชัดเจน ➡️ แม้จะสำคัญในอุปกรณ์สมัยใหม่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ Game Boy ✅ PCB มีจุดหลอมต่ำเพียง 200°C ต้อง solder อย่างระวัง ➡️ หากร้อนเกินไปอาจทำให้แผงวงจรเสียหาย ✅ ใช้ cartridge reader จากเครื่องจีนที่โปร่งใส ➡️ ประกอบกับเปลือกใสและปุ่ม translucent ✅ เป็นโปรเจกต์ศิลปะ ไม่ได้ผลิตขาย ➡️ สร้างเพื่อความสนุกและความสวยงาม ✅ ชุมชนเสนอไอเดียเพิ่ม เช่น ลายเงินหรือ backlight ➡️ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่น https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/self-taught-modder-builds-completely-transparent-game-boy-color-circuit-board-that-actually-works-pcb-looks-stunning-when-matched-with-fully-transparent-shell
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง

    ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้

    Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น:
    - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key
    - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม

    นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด

    แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก

    Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN
    ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย

    ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต
    รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android

    รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password
    ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น

    สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet
    ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้

    MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที
    ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง

    Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที
    ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale

    https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    🧠🔐 เรื่องเล่าจากเครือข่ายส่วนตัว: Tailscale กับการเชื่อมต่อที่ง่าย ปลอดภัย และทรงพลัง ลองนึกภาพว่าคุณสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณ—จากมือถือ คอมพิวเตอร์ ไปจนถึง Raspberry Pi—เข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่ายให้ยุ่งยาก นั่นคือสิ่งที่ Tailscale ทำได้ Chris Smith ใช้ Tailscale มานานกว่า 4 ปี และเล่าประสบการณ์ว่า มันไม่ใช่แค่ VPN ธรรมดา แต่เป็นระบบที่ใช้ WireGuard เป็นแกนหลัก พร้อมฟีเจอร์เสริมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น: - เชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน IP ส่วนตัวใน tailnet โดยไม่ต้องเปิดพอร์ตหรือแจก key - รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password - Expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet - ใช้ MagicDNS เพื่อเรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที - แชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยฟีเจอร์ Funnel แบบ HTTPS โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม นอกจากนี้ Tailscale ยังมีฟีเจอร์ระดับองค์กร เช่น ACL, session recording, log streaming, และการจัดการผ่าน GitOps ที่ช่วยให้ควบคุมสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งานได้อย่างละเอียด แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของ Tailscale อาจเป็นข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัว และการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่หรือแอปที่ต้องการ throughput สูงอาจไม่เหมาะนัก ✅ Tailscale ใช้ WireGuard เป็นแกนหลักในการสร้างเครือข่าย VPN ➡️ ช่วยให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเครือข่าย ✅ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันทีหลัง login โดยไม่ต้องแจก key หรือเปิดพอร์ต ➡️ รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows, macOS, Linux, iOS, Android ✅ รองรับ SSH โดยไม่ต้องใช้ public key หรือ password ➡️ ทำให้การเชื่อมต่อจากมือถือหรือเครื่องอื่นสะดวกขึ้น ✅ สามารถ expose บริการเฉพาะบนเครื่องให้เป็น node แยกใน tailnet ➡️ ใช้ Docker image, Go library หรือเครื่องมือ third-party ได้ ✅ MagicDNS ช่วยให้เรียกชื่อเครื่องแทน IP ได้ทันที ➡️ ลดความยุ่งยากในการจัดการ DNS ด้วยตนเอง ✅ Funnel ช่วยแชร์บริการผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ HTTPS ได้ทันที ➡️ ไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องมี Tailscale https://chameth.com/how-i-use-tailscale/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปเชื่อมต่อ: XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ PCIe Gen 6.2 + CXL 3.1 ที่อาจเปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล AI

    ในงาน Future of Memory and Storage Summit (FMS25) ปี 2025 บริษัท XConn Technologies ได้เปิดตัว Apollo 2 ซึ่งเป็นสวิตช์ไฮบริดตัวแรกของโลกที่รวมเทคโนโลยี PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ไว้ในชิปเดียว จุดประสงค์คือเพื่อรองรับความต้องการด้าน bandwidth และ latency ที่สูงขึ้นในงานประมวลผล AI และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่

    Apollo 2 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของหน่วยความจำ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบระบบ โดยสามารถเชื่อมต่อระหว่าง CPU, GPU, และ accelerator ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน shared memory pool ด้วย CXL 3.1 ขณะเดียวกัน PCIe Gen 6.2 ก็ช่วยให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เร็วขึ้นถึงระดับ 128GB/s แบบ bidirectional

    XConn ยังร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างระบบที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับ production โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure

    แม้จะมีความหวังสูง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพจะเหนือกว่า PCIe Gen 5 มากแค่ไหน และการใช้งานจริงยังต้องรอการพิสูจน์ในภาคสนาม

    XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ไฮบริดที่รวม PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1
    เป็นชิปตัวแรกที่รวมสองเทคโนโลยีไว้ในตัวเดียว

    เปิดตัวในงาน FMS25 เพื่อโชว์การทำงานแบบ end-to-end
    รองรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure

    ร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack
    เพื่อสร้างระบบที่ใช้งานได้จริงในระดับ production

    Apollo 2 รองรับการเชื่อมต่อตั้งแต่ 64 ถึง 260 lanes
    เพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและความหนาแน่นของระบบ

    มีการร่วมมือกับ ScaleFlux เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ CXL 3.1
    เพื่อรองรับงาน AI และ cloud infrastructure ได้ดียิ่งขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/the-next-stage-in-ai-power-xconn-set-to-reveal-end-to-end-pcie-gen-6-offering-higher-bandwidth-than-ever
    🚀🔗 เรื่องเล่าจากชิปเชื่อมต่อ: XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ PCIe Gen 6.2 + CXL 3.1 ที่อาจเปลี่ยนโฉมศูนย์ข้อมูล AI ในงาน Future of Memory and Storage Summit (FMS25) ปี 2025 บริษัท XConn Technologies ได้เปิดตัว Apollo 2 ซึ่งเป็นสวิตช์ไฮบริดตัวแรกของโลกที่รวมเทคโนโลยี PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ไว้ในชิปเดียว จุดประสงค์คือเพื่อรองรับความต้องการด้าน bandwidth และ latency ที่สูงขึ้นในงานประมวลผล AI และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ Apollo 2 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาคอขวดของหน่วยความจำ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบระบบ โดยสามารถเชื่อมต่อระหว่าง CPU, GPU, และ accelerator ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน shared memory pool ด้วย CXL 3.1 ขณะเดียวกัน PCIe Gen 6.2 ก็ช่วยให้การส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เร็วขึ้นถึงระดับ 128GB/s แบบ bidirectional XConn ยังร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างระบบที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับ production โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure แม้จะมีความหวังสูง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล benchmark ที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพจะเหนือกว่า PCIe Gen 5 มากแค่ไหน และการใช้งานจริงยังต้องรอการพิสูจน์ในภาคสนาม ✅ XConn เปิดตัว Apollo 2 สวิตช์ไฮบริดที่รวม PCIe Gen 6.2 และ CXL 3.1 ➡️ เป็นชิปตัวแรกที่รวมสองเทคโนโลยีไว้ในตัวเดียว ✅ เปิดตัวในงาน FMS25 เพื่อโชว์การทำงานแบบ end-to-end ➡️ รองรับ AI/ML training, cloud computing และ composable infrastructure ✅ ร่วมมือกับ Intel เพื่อทดสอบความเข้ากันได้แบบ full-stack ➡️ เพื่อสร้างระบบที่ใช้งานได้จริงในระดับ production ✅ Apollo 2 รองรับการเชื่อมต่อตั้งแต่ 64 ถึง 260 lanes ➡️ เพิ่มความสามารถในการปรับขนาดและความหนาแน่นของระบบ ✅ มีการร่วมมือกับ ScaleFlux เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกับ CXL 3.1 ➡️ เพื่อรองรับงาน AI และ cloud infrastructure ได้ดียิ่งขึ้น https://www.techradar.com/pro/the-next-stage-in-ai-power-xconn-set-to-reveal-end-to-end-pcie-gen-6-offering-higher-bandwidth-than-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI

    Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย

    แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต

    Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11

    เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี

    Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่
    กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot

    TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11
    อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ

    Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU)
    ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี

    Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ
    จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows

    https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    🧑‍⚖️💻 เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11 เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี ✅ Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ ➡️ กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ✅ TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ➡️ อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ ✅ Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี ✅ Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ ➡️ จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อมือ: สมาร์ตวอชต์ราคา £16 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องการชาร์จ

    Terence Eden นักเขียนบล็อกสายเทคโนโลยีมีภารกิจส่วนตัว—ทำให้ทุกอุปกรณ์พกพาของเขาใช้สาย USB-C ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หูฟัง แปรงสีฟัน หรือแม้แต่สมาร์ตวอชต์ เขาจึงตัดสินใจซื้อ Colmi P80 สมาร์ตวอชต์ราคาประหยัดจาก AliExpress เพียง £16 เพราะมันเป็นรุ่นเดียวที่มีพอร์ต USB-C

    แม้จะคาดหวังไว้ว่าจะ “แย่ตามราคา” แต่กลับพบว่าเจ้า P80 นี้ใช้งานได้ดีเกินคาด ทั้งการจับเวลา โทรศัพท์ผ่าน Bluetooth การแจ้งเตือนแบบสั่น และแม้แต่มีไฟฉายในตัว! ที่สำคัญคือมันชาร์จผ่าน USB-C ได้จริง และแบตเตอรี่ก็อึดอย่างไม่น่าเชื่อ—ใช้งานได้ถึง 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

    ในโลกที่สมาร์ตวอชต์ส่วนใหญ่ยังใช้สายชาร์จเฉพาะตัวแบบแม่เหล็กหรือแท่นวาง การมีพอร์ต USB-C กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ต้องการความสะดวกในการชาร์จระหว่างเดินทาง

    Terence Eden ซื้อ Colmi P80 เพราะเป็นสมาร์ตวอชต์ที่ใช้ USB-C
    ราคาเพียง £16 จาก AliExpress

    Colmi P80 ใช้งานได้ดีเกินคาดสำหรับราคานี้
    มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น โทรศัพท์, แจ้งเตือน, เกม, ไฟฉาย

    ชาร์จเต็มใน 90 นาที และใช้งานได้ถึง 5 วัน
    แบตเตอรี่ขนาด 280mAh ใช้พลังงานต่ำ

    ไม่รองรับ Power Delivery (PD) แต่ชาร์จได้กับ USB-C ธรรมดา
    PD charger ไม่สามารถลดกำลังไฟลงต่ำพอสำหรับอุปกรณ์นี้

    มีฝายางปิดพอร์ต USB-C เพื่อป้องกันฝุ่นและน้ำ
    แต่ฝาอาจหลวมเมื่อใช้สายที่หัวใหญ่

    https://shkspr.mobi/blog/2025/08/i-bought-a-16-smartwatch-just-because-it-used-usb-c/
    ⌚🔌 เรื่องเล่าจากข้อมือ: สมาร์ตวอชต์ราคา £16 ที่เปลี่ยนความคิดเรื่องการชาร์จ Terence Eden นักเขียนบล็อกสายเทคโนโลยีมีภารกิจส่วนตัว—ทำให้ทุกอุปกรณ์พกพาของเขาใช้สาย USB-C ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หูฟัง แปรงสีฟัน หรือแม้แต่สมาร์ตวอชต์ เขาจึงตัดสินใจซื้อ Colmi P80 สมาร์ตวอชต์ราคาประหยัดจาก AliExpress เพียง £16 เพราะมันเป็นรุ่นเดียวที่มีพอร์ต USB-C แม้จะคาดหวังไว้ว่าจะ “แย่ตามราคา” แต่กลับพบว่าเจ้า P80 นี้ใช้งานได้ดีเกินคาด ทั้งการจับเวลา โทรศัพท์ผ่าน Bluetooth การแจ้งเตือนแบบสั่น และแม้แต่มีไฟฉายในตัว! ที่สำคัญคือมันชาร์จผ่าน USB-C ได้จริง และแบตเตอรี่ก็อึดอย่างไม่น่าเชื่อ—ใช้งานได้ถึง 5 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ในโลกที่สมาร์ตวอชต์ส่วนใหญ่ยังใช้สายชาร์จเฉพาะตัวแบบแม่เหล็กหรือแท่นวาง การมีพอร์ต USB-C กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ต้องการความสะดวกในการชาร์จระหว่างเดินทาง ✅ Terence Eden ซื้อ Colmi P80 เพราะเป็นสมาร์ตวอชต์ที่ใช้ USB-C ➡️ ราคาเพียง £16 จาก AliExpress ✅ Colmi P80 ใช้งานได้ดีเกินคาดสำหรับราคานี้ ➡️ มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ เช่น โทรศัพท์, แจ้งเตือน, เกม, ไฟฉาย ✅ ชาร์จเต็มใน 90 นาที และใช้งานได้ถึง 5 วัน ➡️ แบตเตอรี่ขนาด 280mAh ใช้พลังงานต่ำ ✅ ไม่รองรับ Power Delivery (PD) แต่ชาร์จได้กับ USB-C ธรรมดา ➡️ PD charger ไม่สามารถลดกำลังไฟลงต่ำพอสำหรับอุปกรณ์นี้ ✅ มีฝายางปิดพอร์ต USB-C เพื่อป้องกันฝุ่นและน้ำ ➡️ แต่ฝาอาจหลวมเมื่อใช้สายที่หัวใหญ่ https://shkspr.mobi/blog/2025/08/i-bought-a-16-smartwatch-just-because-it-used-usb-c/
    SHKSPR.MOBI
    I bought a £16 smartwatch just because it used USB-C
    Look, I'm an idiot. I know that, you know that, and the man on the moon knows that. Let's not get into why I'm an idiot; let's just accept that I have my peculiarities and you have yours. My idiocy is a quest to make sure all my portable electronics can recharge using USB-C. Modern smartwatches are tiny and they do a lot. As a consequence, their battery life is generally poor. The industry's…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Raspberry Pi ตัวจิ๋วเกือบทำให้ธนาคารสูญเงินมหาศาล

    ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามืออย่าง Raspberry Pi ถูกแอบติดตั้งไว้ในเครือข่าย ATM ของธนาคาร โดยเชื่อมต่อผ่าน 4G และสามารถสื่อสารกับแฮกเกอร์จากภายนอกได้ตลอดเวลา—โดยไม่มีใครรู้เลย!

    นี่คือสิ่งที่กลุ่มแฮกเกอร์ UNC2891 ทำ พวกเขาใช้ความรู้ด้าน Linux และ Unix อย่างลึกซึ้ง ผสมกับเทคนิคการพรางตัวระดับสูง เช่นการใช้ชื่อโปรเซสปลอม (“lightdm”) และซ่อนโฟลเดอร์ในระบบด้วย bind mount เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือ forensic

    เป้าหมายของพวกเขาคือเจาะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์สวิตช์ ATM และติดตั้ง rootkit ชื่อ CAKETAP ซึ่งสามารถหลอกระบบความปลอดภัยของธนาคารให้อนุมัติการถอนเงินปลอมได้อย่างแนบเนียน

    แม้การโจมตีจะถูกหยุดก่อนจะเกิดความเสียหายจริง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ แม้ Raspberry Pi จะถูกถอดออกแล้ว พวกเขายังสามารถเข้าถึงระบบผ่าน backdoor ที่ซ่อนไว้ใน mail server ได้อยู่ดี

    นี่ไม่ใช่แค่การแฮกผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มันคือการผสมผสานระหว่างการเจาะระบบแบบ physical และ digital อย่างแยบยลที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    กลุ่ม UNC2891 ใช้ Raspberry Pi เชื่อมต่อ 4G แอบติดตั้งในเครือข่าย ATM
    ติดตั้งบน network switch เดียวกับ ATM เพื่อเข้าถึงระบบภายในธนาคาร

    ใช้ backdoor ชื่อ Tinyshell สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน Dynamic DNS
    ทำให้สามารถควบคุมจากภายนอกได้โดยไม่ถูก firewall ตรวจจับ

    ใช้เทคนิค Linux bind mount เพื่อซ่อนโปรเซสจากเครื่องมือ forensic
    เทคนิคนี้ถูกบันทึกใน MITRE ATT&CK ว่าเป็น T1564.013

    เป้าหมายคือการติดตั้ง rootkit CAKETAP บน ATM switching server
    เพื่อหลอกระบบให้อนุมัติการถอนเงินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ

    แม้ Raspberry Pi ถูกถอดออกแล้ว แต่ยังมี backdoor บน mail server
    แสดงถึงการวางแผนเพื่อคงการเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง

    การสื่อสารกับ Raspberry Pi เกิดทุก 600 วินาที
    ทำให้การตรวจจับยากเพราะดูเหมือนการทำงานปกติของระบบ

    UNC2891 เคยถูก Mandiant ตรวจพบในปี 2022 ว่าโจมตีระบบ ATM หลายแห่ง
    ใช้ rootkit CAKETAP เพื่อหลอกการตรวจสอบ PIN และบัตร

    Raspberry Pi 4 ราคาประมาณ $35 และโมเด็ม 4G ประมาณ $140
    แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์โจมตีไม่จำเป็นต้องแพง

    กลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในระบบ Linux, Unix และ Solaris
    เคยใช้ malware ชื่อ SlapStick และ TinyShell ในการโจมตี

    การใช้ bind mount เป็นเทคนิคที่ไม่เคยพบในแฮกเกอร์มาก่อน
    ปกติใช้ในงาน IT administration แต่ถูกนำมาใช้เพื่อหลบ forensic

    https://www.techradar.com/pro/security/talk-about-an-unexpected-charge-criminals-deploy-raspberry-pi-with-4g-modem-in-an-attempt-to-hack-atms
    🎭💻 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Raspberry Pi ตัวจิ๋วเกือบทำให้ธนาคารสูญเงินมหาศาล ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามืออย่าง Raspberry Pi ถูกแอบติดตั้งไว้ในเครือข่าย ATM ของธนาคาร โดยเชื่อมต่อผ่าน 4G และสามารถสื่อสารกับแฮกเกอร์จากภายนอกได้ตลอดเวลา—โดยไม่มีใครรู้เลย! นี่คือสิ่งที่กลุ่มแฮกเกอร์ UNC2891 ทำ พวกเขาใช้ความรู้ด้าน Linux และ Unix อย่างลึกซึ้ง ผสมกับเทคนิคการพรางตัวระดับสูง เช่นการใช้ชื่อโปรเซสปลอม (“lightdm”) และซ่อนโฟลเดอร์ในระบบด้วย bind mount เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเครื่องมือ forensic เป้าหมายของพวกเขาคือเจาะเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์สวิตช์ ATM และติดตั้ง rootkit ชื่อ CAKETAP ซึ่งสามารถหลอกระบบความปลอดภัยของธนาคารให้อนุมัติการถอนเงินปลอมได้อย่างแนบเนียน แม้การโจมตีจะถูกหยุดก่อนจะเกิดความเสียหายจริง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ แม้ Raspberry Pi จะถูกถอดออกแล้ว พวกเขายังสามารถเข้าถึงระบบผ่าน backdoor ที่ซ่อนไว้ใน mail server ได้อยู่ดี นี่ไม่ใช่แค่การแฮกผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มันคือการผสมผสานระหว่างการเจาะระบบแบบ physical และ digital อย่างแยบยลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ✅ กลุ่ม UNC2891 ใช้ Raspberry Pi เชื่อมต่อ 4G แอบติดตั้งในเครือข่าย ATM ➡️ ติดตั้งบน network switch เดียวกับ ATM เพื่อเข้าถึงระบบภายในธนาคาร ✅ ใช้ backdoor ชื่อ Tinyshell สื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมผ่าน Dynamic DNS ➡️ ทำให้สามารถควบคุมจากภายนอกได้โดยไม่ถูก firewall ตรวจจับ ✅ ใช้เทคนิค Linux bind mount เพื่อซ่อนโปรเซสจากเครื่องมือ forensic ➡️ เทคนิคนี้ถูกบันทึกใน MITRE ATT&CK ว่าเป็น T1564.013 ✅ เป้าหมายคือการติดตั้ง rootkit CAKETAP บน ATM switching server ➡️ เพื่อหลอกระบบให้อนุมัติการถอนเงินปลอมโดยไม่ถูกตรวจจับ ✅ แม้ Raspberry Pi ถูกถอดออกแล้ว แต่ยังมี backdoor บน mail server ➡️ แสดงถึงการวางแผนเพื่อคงการเข้าถึงระบบอย่างต่อเนื่อง ✅ การสื่อสารกับ Raspberry Pi เกิดทุก 600 วินาที ➡️ ทำให้การตรวจจับยากเพราะดูเหมือนการทำงานปกติของระบบ ✅ UNC2891 เคยถูก Mandiant ตรวจพบในปี 2022 ว่าโจมตีระบบ ATM หลายแห่ง ➡️ ใช้ rootkit CAKETAP เพื่อหลอกการตรวจสอบ PIN และบัตร ✅ Raspberry Pi 4 ราคาประมาณ $35 และโมเด็ม 4G ประมาณ $140 ➡️ แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์โจมตีไม่จำเป็นต้องแพง ✅ กลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในระบบ Linux, Unix และ Solaris ➡️ เคยใช้ malware ชื่อ SlapStick และ TinyShell ในการโจมตี ✅ การใช้ bind mount เป็นเทคนิคที่ไม่เคยพบในแฮกเกอร์มาก่อน ➡️ ปกติใช้ในงาน IT administration แต่ถูกนำมาใช้เพื่อหลบ forensic https://www.techradar.com/pro/security/talk-about-an-unexpected-charge-criminals-deploy-raspberry-pi-with-4g-modem-in-an-attempt-to-hack-atms
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว

    ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว

    der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง

    โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้

    นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ

    Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ
    พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs

    โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว
    มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว

    มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน
    แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้

    รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง
    เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ

    มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง
    ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header

    รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้
    มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด
    รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen

    der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp
    เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว

    โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ
    โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง

    เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS
    เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว

    การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ
    โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    🧪🛠️ เรื่องเล่าจากโต๊ะทดสอบ: der8enchtable โต๊ะทดสอบสุดล้ำที่รวมพลังงาน ความเย็น และการเชื่อมต่อไว้ในแผ่นเดียว ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดแวร์ที่ชอบทดสอบอุปกรณ์ เปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ หรือทำงานรีวิวอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โต๊ะทดสอบแบบเปิด (open bench table) คือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ และล่าสุด Thermal Grizzly ร่วมกับ Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ได้เปิดตัว der8enchtable — โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพที่ไม่ใช่แค่โครงเหล็กวางเมนบอร์ด แต่เป็นแผ่น PCB ที่มีระบบควบคุมพัดลม ปั๊มน้ำ พอร์ตเก็บข้อมูล และไฟ RGB ในตัว der8enchtable เปิดตัวครั้งแรกในงาน Computex 2025 และคว้ารางวัลด้านการออกแบบทันที จุดเด่นคือการรวมพอร์ต SATA, USB, microSD, พัดลม และปั๊มน้ำไว้ในแผ่น PCB เดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถ hot-swap อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับเมนบอร์ดโดยตรง โต๊ะนี้มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน (Fan Zones) และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน (Pump Zone) โดยแต่ละโซนมีหัวต่อ 4-pin ที่จ่ายไฟได้ถึง 3A พร้อมฟิวส์แยก และสามารถควบคุมความเร็วได้แบบอิสระ หรือส่งต่อให้เมนบอร์ดควบคุมก็ได้ นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB Type-A และ Type-C, ช่องเสียบ microSD สำหรับโหลด OS หรือ BIOS, จุดติดตั้ง SSD ขนาด 2.5 นิ้ว และไฟ RGB ที่ควบคุมผ่านเมนบอร์ดหรือคอนโทรลเลอร์แยก โต๊ะนี้ยังสามารถปรับขนาดให้รองรับ ATX, mATX และ Mini-ITX ได้ และมีโครงแบบโมดูลาร์ที่ติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ตามต้องการ ✅ Thermal Grizzly เปิดตัว der8enchtable โต๊ะทดสอบระดับมืออาชีพ ➡️ พัฒนาโดย Roman “der8auer” Hartung และ Elmor Labs ✅ โต๊ะใช้ PCB เป็นฐานหลักที่รวมพอร์ตและระบบควบคุมไว้ในแผ่นเดียว ➡️ มีพอร์ต SATA, USB, microSD, และไฟ RGB ในตัว ✅ มีโซนควบคุมพัดลม 3 โซน และโซนปั๊มน้ำ 1 โซน ➡️ แต่ละหัวต่อจ่ายไฟได้ 3A พร้อมฟิวส์แยก และควบคุมความเร็วได้ ✅ รองรับการติดตั้ง SSD 2.5 นิ้ว 2 ลูก และ microSD ได้ 4 ช่อง ➡️ เหมาะสำหรับโหลด OS, BIOS หรือไฟล์ทดสอบ ✅ มีพอร์ต USB Type-A 4 ช่อง และ Type-C 2 ช่อง ➡️ ใช้พลังงานจาก PCIe 6-pin และเชื่อมต่อเมนบอร์ดผ่าน USB header ✅ รองรับเมนบอร์ด ATX, mATX, Mini-ITX และติดตั้ง PSU หรือหม้อน้ำได้ ➡️ มีสาย Velcro สำหรับจัดการสายไฟ และไฟ RGB ควบคุมผ่าน 3-pin header ✅ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $268.98 พร้อมอุปกรณ์ครบชุด ➡️ รวมสาย, ขาตั้ง, อุปกรณ์ติดตั้ง และประแจ Allen ✅ der8enchtable ได้รับรางวัล Best of Computex 2025 จาก TechPowerUp ➡️ เพราะรวมฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับนักทดสอบไว้ในอุปกรณ์เดียว ✅ โต๊ะนี้ช่วยลดเวลาการเปลี่ยนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ➡️ โดยไม่ต้องถอดสายหรือติดตั้งใหม่ทุกครั้ง ✅ เหมาะสำหรับนักรีวิว, นักโอเวอร์คล็อก, และผู้พัฒนาไดรเวอร์หรือ BIOS ➡️ เพราะสามารถทดสอบหลายระบบได้อย่างรวดเร็ว ✅ การใช้ PCB เป็นฐานช่วยให้การจัดการพลังงานและความเย็นมีประสิทธิภาพ ➡️ โดยไม่ต้องพึ่งพาเคสหรือระบบแยก https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-grizzly-and-der8auer-launch-the-der8enchtable-enthusiast-test-bench-boasts-an-open-design-integrated-pcb-for-storage-and-cooling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม

    วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว

    เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย

    การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่

    Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025
    เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat)

    ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04
    เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก

    รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด
    เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio

    Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel
    พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time

    สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก

    Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029
    เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม

    Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง

    Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL
    เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา
    เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง

    Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10

    https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    🐧⚙️ เรื่องเล่าจากโลกโอเพ่นซอร์ส: Ubuntu 24.04.3 LTS มาแล้ว พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และอัปเดตความปลอดภัยแบบจัดเต็ม วันที่ 8 สิงหาคม 2025 Canonical ได้ปล่อย Ubuntu 24.04.3 LTS ซึ่งเป็น point release ล่าสุดของเวอร์ชัน Noble Numbat โดยมีจุดเด่นคือการ backport Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 เพื่อให้ผู้ใช้ LTS ได้สัมผัสกับการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่โดยไม่ต้องเสียเสถียรภาพระยะยาว เวอร์ชันนี้รองรับทั้ง Desktop, Server และ Cloud รวมถึงรสชาติอื่น ๆ ของ Ubuntu เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu และ Ubuntu Studio โดย Ubuntu Studio มีการเปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ที่ปรับแต่งให้บูตเร็วแต่ยังคงความสามารถด้าน real-time สำหรับงานมัลติมีเดีย การอัปเดตนี้ยังมาพร้อมกับสื่อการติดตั้งใหม่ที่ลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง และรวมแพตช์ความปลอดภัยที่สะสมมาตั้งแต่เวอร์ชัน 24.04.1 ทำให้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรแต่รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 สิงหาคม 2025 ➡️ เป็น point release ล่าสุดของ Ubuntu 24.04 LTS (Noble Numbat) ✅ ใช้ Linux kernel 6.14 และ Mesa 25.0 จาก Ubuntu 25.04 ➡️ เพิ่มการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และประสิทธิภาพด้านกราฟิก ✅ รองรับ Desktop, Server, Cloud และ Ubuntu flavours ทั้งหมด ➡️ เช่น Kubuntu, Ubuntu MATE, Lubuntu, Xubuntu, Ubuntu Studio ✅ Ubuntu Studio เปลี่ยนจาก low-latency kernel มาใช้ generic kernel ➡️ พร้อม boot parameter ที่ยังคงความสามารถด้าน real-time ✅ สื่อการติดตั้งใหม่ช่วยลดการดาวน์โหลดหลังติดตั้ง ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการ deploy ระบบจำนวนมาก ✅ Ubuntu 24.04.3 LTS จะได้รับการสนับสนุนถึงปี 2029 ➡️ เป็น LTS ที่มีระยะเวลาสนับสนุน 5 ปีเต็ม ✅ Kernel 6.14 รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ เช่น GPU รุ่นล่าสุดและอุปกรณ์ PCIe Gen5 ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่หรือเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง ✅ Mesa 25.0 ปรับปรุงการรองรับ Vulkan และ OpenGL ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก ✅ Ubuntu LTS เป็นตัวเลือกหลักขององค์กรและสถาบันการศึกษา ➡️ เพราะมีรอบอัปเดตที่คาดการณ์ได้และความเสถียรสูง ✅ Ubuntu 24.04.4 LTS จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ คาดว่าจะใช้ kernel และ Mesa จาก Ubuntu 25.10 https://linuxconfig.org/ubuntu-24-04-3-lts-release-enhanced-hardware-support-and-security-updates
    LINUXCONFIG.ORG
    Ubuntu 24.04.3 LTS Release: Enhanced Hardware Support and Security Updates
    Discover the new features and updates in the Ubuntu 24.04.3 LTS release, including improved hardware support, security updates, and performance optimizations. Ideal for users seeking long-term stability with modern hardware compatibility.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำขิงดองง่ายและเร็วขึ้น 10 เท่า!
    เครื่องหั่นมันฝรั่ง เครื่องหั่นอเนกประสงค์ สไลด์ขิงอ่อนได้บางเฉียบ สม่ำเสมอ ไม่ต้องใช้มีด!

    เหนื่อยกับการสไลด์ขิงอ่อนสำหรับทำขิงดองใช่ไหม? เครื่องของเราช่วยให้คุณได้ชิ้นงานสวยเหมือนมืออาชีพในเวลาอันสั้น

    สไลด์ขิงได้บางเฉียบ และปรับความหนา-บางได้
    ได้ชิ้นงานสม่ำเสมอ คุณภาพเท่ากันทุกแผ่น
    ประหยัดเวลาและแรงงาน เพิ่มกำลังผลิตได้มหาศาล

    รายละเอียดทางเทคนิคของเครื่อง:
    - กำลังมอเตอร์: 1 HP
    - แรงดันไฟฟ้า: 220 V.
    - กำลังการผลิต: 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง
    - ขนาด: 78 x 74 x 99 เซนติเมตร
    - น้ำหนัก: 45 กิโลกรัม

    เครื่องนี้ทำอะไรได้อีก?
    สไลด์มันฝรั่งทำเฟรนช์ฟรายส์
    หั่นหอมแดงได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก
    หั่นกระชาย, ข่า, แครอท และพืชผักอื่นๆ

    สนใจสั่งซื้อหรือสอบถาม:
    02-215-3515-9, 081-3189098
    www.yoryonghahheng.com
    LINE: @yonghahheng (มี @)


    #ขิงดอง #เครื่องสไลด์ขิง #เครื่องหั่นขิง #ขิงอ่อน #เครื่องครัว #เครื่องครัวมืออาชีพ #ธุรกิจอาหาร #ยงฮะเฮง #yoryonghahheng #foodprocessor #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #โรงงานแปรรูป #ประหยัดเวลา #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #สแตนเลส #kitchenequipment #foodcutter #อุปกรณ์ทำอาหาร #ขิง #งานครัว
    🔥🔥 ทำขิงดองง่ายและเร็วขึ้น 10 เท่า! 🔥🔥 เครื่องหั่นมันฝรั่ง เครื่องหั่นอเนกประสงค์ สไลด์ขิงอ่อนได้บางเฉียบ สม่ำเสมอ ไม่ต้องใช้มีด! เหนื่อยกับการสไลด์ขิงอ่อนสำหรับทำขิงดองใช่ไหม? เครื่องของเราช่วยให้คุณได้ชิ้นงานสวยเหมือนมืออาชีพในเวลาอันสั้น ✅ สไลด์ขิงได้บางเฉียบ และปรับความหนา-บางได้ ✅ ได้ชิ้นงานสม่ำเสมอ คุณภาพเท่ากันทุกแผ่น ✅ ประหยัดเวลาและแรงงาน เพิ่มกำลังผลิตได้มหาศาล รายละเอียดทางเทคนิคของเครื่อง: - กำลังมอเตอร์: 1 HP - แรงดันไฟฟ้า: 220 V. - กำลังการผลิต: 100-300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง - ขนาด: 78 x 74 x 99 เซนติเมตร - น้ำหนัก: 45 กิโลกรัม เครื่องนี้ทำอะไรได้อีก? สไลด์มันฝรั่งทำเฟรนช์ฟรายส์ หั่นหอมแดงได้ทั้งลูกโดยไม่ต้องปอกเปลือก หั่นกระชาย, ข่า, แครอท และพืชผักอื่นๆ สนใจสั่งซื้อหรือสอบถาม: 📞 02-215-3515-9, 081-3189098 🌐 www.yoryonghahheng.com 💬 LINE: @yonghahheng (มี @) #ขิงดอง #เครื่องสไลด์ขิง #เครื่องหั่นขิง #ขิงอ่อน #เครื่องครัว #เครื่องครัวมืออาชีพ #ธุรกิจอาหาร #ยงฮะเฮง #yoryonghahheng #foodprocessor #เครื่องจักรแปรรูปอาหาร #โรงงานแปรรูป #ประหยัดเวลา #ลดต้นทุน #เพิ่มผลผลิต #สแตนเลส #kitchenequipment #foodcutter #อุปกรณ์ทำอาหาร #ขิง #งานครัว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยังไม่พ้น 24 ชม.
    เขมรละเมิดข้อตกลง
    ส่งโดรนบินสอดแนม
    ขยับยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ
    #7ดอกจิก
    ยังไม่พ้น 24 ชม. เขมรละเมิดข้อตกลง ส่งโดรนบินสอดแนม ขยับยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ #7ดอกจิก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรละเมิดแล้ว
    ศบ.ทก.พบทหารเขมรขยับ
    ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ
    บินโดรนมายั่วยุ
    ทหารไทยเฝ้าระวัง
    แต่ประชาชนอยากล้างบาง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เขมรละเมิดแล้ว ศบ.ทก.พบทหารเขมรขยับ ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ บินโดรนมายั่วยุ ทหารไทยเฝ้าระวัง แต่ประชาชนอยากล้างบาง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเกม: AMD จับมือ Microsoft สร้างชิปเดียวใช้ได้ทั้ง Xbox, PC และเครื่องพกพา

    ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Microsoft ในการพัฒนาชิปแบบกึ่งสั่งทำ (semi-custom SoC) สำหรับอุปกรณ์ Xbox รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโซลเท่านั้น แต่รวมถึง PC และเครื่องเล่นเกมแบบพกพาด้วย

    แนวคิดนี้คือการสร้าง “ชิปเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม” โดยใช้สถาปัตยกรรม x86 “Zen” สำหรับ CPU และ “RDNA” สำหรับ GPU ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ที่อยู่ใน ROG Ally รุ่น Xbox

    AMD ระบุว่าชิปใหม่นี้จะช่วยให้ Microsoft สร้าง ecosystem ที่เชื่อมโยงกันระหว่างคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกม Xbox ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องผูกกับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็มีข้อกังวล เช่น ชิปแบบนี้อาจถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด ทำให้ไม่สามารถอัปเกรดได้เหมือน PC แบบประกอบเอง และอาจจำกัดตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความสะดวกมากกว่าความยืดหยุ่น

    AMD และ Microsoft ร่วมพัฒนาชิปกึ่งสั่งทำสำหรับ Xbox รุ่นถัดไป
    ใช้ได้กับคอนโซล PC และเครื่องเล่นเกมพกพา

    ชิปใช้สถาปัตยกรรม Zen สำหรับ CPU และ RDNA สำหรับ GPU
    เป็นพื้นฐานเดียวกับ Xbox Series X/S และ Ryzen Z2

    AMD รายงานรายได้จากกลุ่ม Client และ Gaming เพิ่มขึ้น 71.4%
    โดยเฉพาะยอดขาย Ryzen 9000X3D และ Radeon RX 9000

    Ecosystem ใหม่จะใช้ชิปเดียวกันในหลายอุปกรณ์
    ช่วยให้เกม Xbox เล่นได้ทุกที่อย่างไร้รอยต่อ

    AMD ยังร่วมมือกับ Sony ในการพัฒนา FSR 4 สำหรับ PlayStation
    แสดงถึงบทบาทกลางของ AMD ในอุตสาหกรรมเกม

    Microsoft วางแผนให้ Xbox เป็น “พอร์ตโฟลิโอของอุปกรณ์”
    รวมคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ที่ใช้ชิปเดียวกัน

    ชิปใหม่จะรองรับ AI-based rendering และ upscaling
    เพิ่มประสิทธิภาพภาพและเฟรมเรตในเกม

    AMD เตรียมสร้าง roadmap ของชิปเกมที่ใช้ Ryzen และ Radeon
    ครอบคลุมคอนโซล เครื่องพกพา PC และ cloud gaming

    Xbox รุ่นใหม่จะมี backward compatibility กับเกมเก่า
    ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องซื้อเกมใหม่ซ้ำ

    Ecosystem นี้อาจทำให้ Xbox แข่งกับ PlayStation ได้ในหลายระดับราคา
    ตั้งแต่ $199 สำหรับเครื่องพกพา ไปจนถึง $699 สำหรับคอนโซลระดับสูง

    https://wccftech.com/amd-confirms-developing-custom-chips-microsoft-power-next-gen-xbox-consoles-pcs-handhelds/
    🎮🔧 เรื่องเล่าจากโลกเกม: AMD จับมือ Microsoft สร้างชิปเดียวใช้ได้ทั้ง Xbox, PC และเครื่องพกพา ในไตรมาสที่ 2 ปี 2025 AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่กับ Microsoft ในการพัฒนาชิปแบบกึ่งสั่งทำ (semi-custom SoC) สำหรับอุปกรณ์ Xbox รุ่นถัดไป ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโซลเท่านั้น แต่รวมถึง PC และเครื่องเล่นเกมแบบพกพาด้วย แนวคิดนี้คือการสร้าง “ชิปเดียวใช้ได้ทุกแพลตฟอร์ม” โดยใช้สถาปัตยกรรม x86 “Zen” สำหรับ CPU และ “RDNA” สำหรับ GPU ซึ่งเป็นพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ที่อยู่ใน ROG Ally รุ่น Xbox AMD ระบุว่าชิปใหม่นี้จะช่วยให้ Microsoft สร้าง ecosystem ที่เชื่อมโยงกันระหว่างคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ได้อย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกม Xbox ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องผูกกับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่ง แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็มีข้อกังวล เช่น ชิปแบบนี้อาจถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด ทำให้ไม่สามารถอัปเกรดได้เหมือน PC แบบประกอบเอง และอาจจำกัดตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความสะดวกมากกว่าความยืดหยุ่น ✅ AMD และ Microsoft ร่วมพัฒนาชิปกึ่งสั่งทำสำหรับ Xbox รุ่นถัดไป ➡️ ใช้ได้กับคอนโซล PC และเครื่องเล่นเกมพกพา ✅ ชิปใช้สถาปัตยกรรม Zen สำหรับ CPU และ RDNA สำหรับ GPU ➡️ เป็นพื้นฐานเดียวกับ Xbox Series X/S และ Ryzen Z2 ✅ AMD รายงานรายได้จากกลุ่ม Client และ Gaming เพิ่มขึ้น 71.4% ➡️ โดยเฉพาะยอดขาย Ryzen 9000X3D และ Radeon RX 9000 ✅ Ecosystem ใหม่จะใช้ชิปเดียวกันในหลายอุปกรณ์ ➡️ ช่วยให้เกม Xbox เล่นได้ทุกที่อย่างไร้รอยต่อ ✅ AMD ยังร่วมมือกับ Sony ในการพัฒนา FSR 4 สำหรับ PlayStation ➡️ แสดงถึงบทบาทกลางของ AMD ในอุตสาหกรรมเกม ✅ Microsoft วางแผนให้ Xbox เป็น “พอร์ตโฟลิโอของอุปกรณ์” ➡️ รวมคอนโซล เครื่องพกพา และ PC ที่ใช้ชิปเดียวกัน ✅ ชิปใหม่จะรองรับ AI-based rendering และ upscaling ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพภาพและเฟรมเรตในเกม ✅ AMD เตรียมสร้าง roadmap ของชิปเกมที่ใช้ Ryzen และ Radeon ➡️ ครอบคลุมคอนโซล เครื่องพกพา PC และ cloud gaming ✅ Xbox รุ่นใหม่จะมี backward compatibility กับเกมเก่า ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องซื้อเกมใหม่ซ้ำ ✅ Ecosystem นี้อาจทำให้ Xbox แข่งกับ PlayStation ได้ในหลายระดับราคา ➡️ ตั้งแต่ $199 สำหรับเครื่องพกพา ไปจนถึง $699 สำหรับคอนโซลระดับสูง https://wccftech.com/amd-confirms-developing-custom-chips-microsoft-power-next-gen-xbox-consoles-pcs-handhelds/
    WCCFTECH.COM
    AMD Confirms It's Developing Custom Chips With Microsoft: Will Power Next-Gen Xbox Devices Including Consoles, PCs, & Handhelds
    AMD has confirmed the development of custom chips that will power future Microsoft Xbox platforms such as consoles, PCs & handhelds.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำ: Sandisk และ SK hynix จับมือสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับ AI ด้วย High Bandwidth Flash

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Sandisk และ SK hynix ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผลักดันเทคโนโลยีหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า “High Bandwidth Flash” หรือ HBF ซึ่งเป็นการนำ NAND flash มาผสานกับแนวคิดของ HBM (High Bandwidth Memory) เพื่อสร้างหน่วยความจำที่มีความจุสูงถึง 8–16 เท่าของ DRAM แต่ยังคงรักษาระดับแบนด์วิดธ์ใกล้เคียงกัน

    ต่างจาก HBM ที่ใช้ DRAM ซึ่งต้องใช้พลังงานตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล HBF ใช้ NAND flash ที่ไม่ต้องใช้พลังงานเพื่อคงข้อมูลไว้ ทำให้เหมาะกับงาน AI inference ที่ต้องการประหยัดพลังงานและรองรับการใช้งานใน edge computing หรือ data center ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน

    เทคโนโลยีนี้ยังได้รับรางวัล “Most Innovative Technology” จากงาน Flash Memory Summit 2025 และมีแผนส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026 โดยคาดว่าจะมีอุปกรณ์ AI รุ่นแรกที่ใช้ HBF ในต้นปี 2027

    Sandisk และ SK hynix ลงนาม MOU เพื่อพัฒนาและสร้างมาตรฐาน High Bandwidth Flash (HBF)
    เป็นการรวม NAND flash เข้ากับแนวคิดของ HBM เพื่อสร้างหน่วยความจำใหม่

    HBF มีความจุสูงกว่า DRAM-based HBM ถึง 8–16 เท่า
    แต่ยังคงรักษาระดับแบนด์วิดธ์ใกล้เคียงกัน

    NAND flash เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile
    ไม่ต้องใช้พลังงานเพื่อคงข้อมูล ช่วยลดการใช้พลังงานในระบบ AI

    HBF ได้รับรางวัล “Most Innovative Technology” จากงาน FMS 2025
    พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี BiCS NAND และ CBA wafer bonding

    ตัวอย่าง HBF จะเริ่มส่งในครึ่งหลังของปี 2026
    และอุปกรณ์ AI รุ่นแรกที่ใช้ HBF จะเปิดตัวในต้นปี 2027

    มีการตั้ง Technical Advisory Board เพื่อกำหนดทิศทางของ HBF
    รวมผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและนอก Sandisk เพื่อสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/sandisk-and-sk-hynix-join-forces-to-standardize-high-bandwidth-flash-memory-a-nand-based-alternative-to-hbm-for-ai-gpus-move-could-enable-8-16x-higher-capacity-compared-to-dram
    ⚙️🧠 เรื่องเล่าจากโลกหน่วยความจำ: Sandisk และ SK hynix จับมือสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับ AI ด้วย High Bandwidth Flash ในเดือนสิงหาคม 2025 Sandisk และ SK hynix ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อผลักดันเทคโนโลยีหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า “High Bandwidth Flash” หรือ HBF ซึ่งเป็นการนำ NAND flash มาผสานกับแนวคิดของ HBM (High Bandwidth Memory) เพื่อสร้างหน่วยความจำที่มีความจุสูงถึง 8–16 เท่าของ DRAM แต่ยังคงรักษาระดับแบนด์วิดธ์ใกล้เคียงกัน ต่างจาก HBM ที่ใช้ DRAM ซึ่งต้องใช้พลังงานตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล HBF ใช้ NAND flash ที่ไม่ต้องใช้พลังงานเพื่อคงข้อมูลไว้ ทำให้เหมาะกับงาน AI inference ที่ต้องการประหยัดพลังงานและรองรับการใช้งานใน edge computing หรือ data center ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน เทคโนโลยีนี้ยังได้รับรางวัล “Most Innovative Technology” จากงาน Flash Memory Summit 2025 และมีแผนส่งตัวอย่างในครึ่งหลังของปี 2026 โดยคาดว่าจะมีอุปกรณ์ AI รุ่นแรกที่ใช้ HBF ในต้นปี 2027 ✅ Sandisk และ SK hynix ลงนาม MOU เพื่อพัฒนาและสร้างมาตรฐาน High Bandwidth Flash (HBF) ➡️ เป็นการรวม NAND flash เข้ากับแนวคิดของ HBM เพื่อสร้างหน่วยความจำใหม่ ✅ HBF มีความจุสูงกว่า DRAM-based HBM ถึง 8–16 เท่า ➡️ แต่ยังคงรักษาระดับแบนด์วิดธ์ใกล้เคียงกัน ✅ NAND flash เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานเพื่อคงข้อมูล ช่วยลดการใช้พลังงานในระบบ AI ✅ HBF ได้รับรางวัล “Most Innovative Technology” จากงาน FMS 2025 ➡️ พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี BiCS NAND และ CBA wafer bonding ✅ ตัวอย่าง HBF จะเริ่มส่งในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ และอุปกรณ์ AI รุ่นแรกที่ใช้ HBF จะเปิดตัวในต้นปี 2027 ✅ มีการตั้ง Technical Advisory Board เพื่อกำหนดทิศทางของ HBF ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและนอก Sandisk เพื่อสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/sandisk-and-sk-hynix-join-forces-to-standardize-high-bandwidth-flash-memory-a-nand-based-alternative-to-hbm-for-ai-gpus-move-could-enable-8-16x-higher-capacity-compared-to-dram
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศใต้

    เดือนนี้ ทำธุรกิจค้าขายต้องรัดกุม จะถูกท้าทายอำนาจให้ตำแหน่งหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่ก้าวหน้า ธุรกิจอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ไอที ค้าแรงงาน จะเกิดอุปสรรคปัญหาให้ผิดพลาด ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบกับภาระหนัก เพราะขาดสภาวะการเป็นผู้นำ คนที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจแต่กลับไม่ซื่อสัตย์ ปล่อยเงินกู้จะเสียหายทำให้ผิดใจกัน มอบหมายงานสำคัญจำเป็นจะต้องคอยทวงถาม ลูกน้องและบริวารจะทรยศหักหลัง เพราะลูกหลานดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกชายจะอกตัญญูก้าวร้าวต่อพ่อแม่และผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุลูกชายคนโตจะเจ็บป่วย มีปัญหาที่ปอด กระดูก ศีรษะ ระบบเลือด หัวใจ และดวงตา ระวังมีเกณฑ์ ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองควรหาวิธีป้องกัน

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศใต้ เดือนนี้ ทำธุรกิจค้าขายต้องรัดกุม จะถูกท้าทายอำนาจให้ตำแหน่งหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่ก้าวหน้า ธุรกิจอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ไอที ค้าแรงงาน จะเกิดอุปสรรคปัญหาให้ผิดพลาด ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบกับภาระหนัก เพราะขาดสภาวะการเป็นผู้นำ คนที่เคยไว้เนื้อเชื่อใจแต่กลับไม่ซื่อสัตย์ ปล่อยเงินกู้จะเสียหายทำให้ผิดใจกัน มอบหมายงานสำคัญจำเป็นจะต้องคอยทวงถาม ลูกน้องและบริวารจะทรยศหักหลัง เพราะลูกหลานดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้ใหญ่ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ลูกชายจะอกตัญญูก้าวร้าวต่อพ่อแม่และผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุลูกชายคนโตจะเจ็บป่วย มีปัญหาที่ปอด กระดูก ศีรษะ ระบบเลือด หัวใจ และดวงตา ระวังมีเกณฑ์ ขโมยจะขึ้นบ้านลักทรัพย์สินเงินทองควรหาวิธีป้องกัน ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่ทัพภาค 2 ซึ้งใจ พลังคนไทยช่วยทัพไทยเยอะมาก (7/8/68)
    คนไทยไม่ทิ้งกัน! แม่ทัพภาค 2 ขอบคุณแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ทั้งกำลังใจและอุปกรณ์ที่ส่งถึงแนวหน้า

    #TruthFromThailand
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
    #แม่ทัพภาค2
    #โดรนชายแดน
    #ส่งใจให้ทหาร
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #ข่าวชายแดน
    #ข่าวการเมือง
    #ข่าววันนี้
    #news1
    #thaitimes
    #shorts
    แม่ทัพภาค 2 ซึ้งใจ พลังคนไทยช่วยทัพไทยเยอะมาก (7/8/68) คนไทยไม่ทิ้งกัน! แม่ทัพภาค 2 ขอบคุณแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ทั้งกำลังใจและอุปกรณ์ที่ส่งถึงแนวหน้า #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #scambodia #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน #แม่ทัพภาค2 #โดรนชายแดน #ส่งใจให้ทหาร #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ข่าวชายแดน #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #news1 #thaitimes #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมินคำขอฮุนเซนไม่ใช้ F-16 ไทยต้องปกป้องอธิปไตย : [THE MESSAGE]

    พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนลาดตระเวน รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน อุปกรณ์ที่ได้รับมอบวันนี้เป็นความจำเป็น เป็นการรบสมัยใหม่ เราไม่มีเวลาไปจัดหาตามระบบราชการ ขอบคุณคนไทยที่มีทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน จะไปเล่าให้ทหารแนวหน้ารับทราบ ว่าคนไทยแนวหลัง ส่งกำลังใจและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้อย่างต่อเนื่อง จะทุ่นแรงน้องๆ ได้อย่างดี เชื่อ ข้อสรุปการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์จะดีขึ้นและจบด้วยดี แต่ยอมรับว่าทุ่นระเบิดในพื้นที่ยังมีจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณประสาทตาควาย ต้องประสานกับกัมพูชาในการเก็บกู้ ส่วนกรณีที่นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไม่อยากให้ไทยใช้ F-16 และขอร้องนานาชาติไม่ให้ขายเครื่องบินรบให้ไทย เป็นเรื่องของเรา เราจะใช้เพื่อปกป้องอธิปไตย
    เมินคำขอฮุนเซนไม่ใช้ F-16 ไทยต้องปกป้องอธิปไตย : [THE MESSAGE] พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เผยหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนลาดตระเวน รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน อุปกรณ์ที่ได้รับมอบวันนี้เป็นความจำเป็น เป็นการรบสมัยใหม่ เราไม่มีเวลาไปจัดหาตามระบบราชการ ขอบคุณคนไทยที่มีทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน จะไปเล่าให้ทหารแนวหน้ารับทราบ ว่าคนไทยแนวหลัง ส่งกำลังใจและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้อย่างต่อเนื่อง จะทุ่นแรงน้องๆ ได้อย่างดี เชื่อ ข้อสรุปการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์จะดีขึ้นและจบด้วยดี แต่ยอมรับว่าทุ่นระเบิดในพื้นที่ยังมีจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณประสาทตาควาย ต้องประสานกับกัมพูชาในการเก็บกู้ ส่วนกรณีที่นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ไม่อยากให้ไทยใช้ F-16 และขอร้องนานาชาติไม่ให้ขายเครื่องบินรบให้ไทย เป็นเรื่องของเรา เราจะใช้เพื่อปกป้องอธิปไตย
    Haha
    Like
    Love
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • "แม่ทัพภาค 2" รับมอบอุปกรณ์ตรวจจับโดรน 30 ชุด! ขอบคุณ "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" และประชาชนที่ร่วมบริจาค
    https://www.thai-tai.tv/news/20805/
    .
    #แม่ทัพภาค2 #มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน #โดรน #ทหารแนวหน้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #บริจาค #ไทยไท
    "แม่ทัพภาค 2" รับมอบอุปกรณ์ตรวจจับโดรน 30 ชุด! ขอบคุณ "มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน" และประชาชนที่ร่วมบริจาค https://www.thai-tai.tv/news/20805/ . #แม่ทัพภาค2 #มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน #โดรน #ทหารแนวหน้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #บริจาค #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts