• ศูนย์ข้อมูลของ Big Tech ทำให้ความต้องการพลังงานในสหรัฐฯ พุ่งสูงจนผู้ให้บริการไฟฟ้าต้องเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับอนาคต AI อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคำขอพลังงานและต้นทุนที่พุ่งสูงสร้างความกดดันให้ระบบไฟฟ้าอย่างมาก ซึ่งอาจกระทบค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคและเสถียรภาพของโครงข่ายในระยะยาว

    == ความต้องการพลังงานและการตอบสนองจากผู้ให้บริการไฟฟ้า ==
    ✅ ความต้องการพลังงานที่เกินศักยภาพเดิม
    - บริษัทพลังงาน เช่น Oncor ในรัฐเท็กซัส รายงานว่าคำขอพลังงานจากศูนย์ข้อมูลใหม่สูงถึง 119 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าการใช้งานสูงสุดเดิมถึงเกือบ 4 เท่า!

    ✅ การลงทุนมหาศาลเพื่อเสริมระบบ
    - ผู้ให้บริการไฟฟ้าหลายรายต้องปรับแผนการลงทุน 5 ปี โดยเพิ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อขยายการผลิตพลังงาน แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงของ การประเมินผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพไฟฟ้าหรือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค

    ✅ การประเมินความต้องการที่ยากลำบาก
    - บริษัทเทคโนโลยีมักติดต่อหลายผู้ให้บริการเพื่อเปรียบเทียบราคา ทำให้ข้อมูลคำขอพลังงานไม่ชัดเจนและยากต่อการวางแผน

    == ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและนวัตกรรมใหม่ ==
    ✅ ต้นทุนการสร้างที่พุ่งสูง
    - ค่าใช้จ่ายในการสร้างศูนย์ข้อมูลต่อ 1 เมกะวัตต์ สูงถึง 12 ล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบ เช่น เหล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาล

    ✅ นวัตกรรมลดการใช้พลังงานในอนาคต
    - AI รุ่นใหม่ เช่น DeepSeek อาจช่วยลดความต้องการพลังงาน ด้วยการใช้งานชิปรุ่นเล็กและการลดระบบระบายความร้อนที่กินไฟ

    ✅ มาตรการสนับสนุนจากรัฐ
    - รัฐเพนซิลเวเนียกำลังพิจารณาสร้างระบบ "Clearinghouse" เพื่อจัดการข้อมูลคำขอพลังงานจากศูนย์ข้อมูลอย่างโปร่งใส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/07/us-utilities-grapple-with-big-tech039s-massive-power-demands-for-data-centers
    ศูนย์ข้อมูลของ Big Tech ทำให้ความต้องการพลังงานในสหรัฐฯ พุ่งสูงจนผู้ให้บริการไฟฟ้าต้องเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับอนาคต AI อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของคำขอพลังงานและต้นทุนที่พุ่งสูงสร้างความกดดันให้ระบบไฟฟ้าอย่างมาก ซึ่งอาจกระทบค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคและเสถียรภาพของโครงข่ายในระยะยาว == ความต้องการพลังงานและการตอบสนองจากผู้ให้บริการไฟฟ้า == ✅ ความต้องการพลังงานที่เกินศักยภาพเดิม - บริษัทพลังงาน เช่น Oncor ในรัฐเท็กซัส รายงานว่าคำขอพลังงานจากศูนย์ข้อมูลใหม่สูงถึง 119 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าการใช้งานสูงสุดเดิมถึงเกือบ 4 เท่า! ✅ การลงทุนมหาศาลเพื่อเสริมระบบ - ผู้ให้บริการไฟฟ้าหลายรายต้องปรับแผนการลงทุน 5 ปี โดยเพิ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเพื่อขยายการผลิตพลังงาน แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงของ การประเมินผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพไฟฟ้าหรือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค ✅ การประเมินความต้องการที่ยากลำบาก - บริษัทเทคโนโลยีมักติดต่อหลายผู้ให้บริการเพื่อเปรียบเทียบราคา ทำให้ข้อมูลคำขอพลังงานไม่ชัดเจนและยากต่อการวางแผน == ผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและนวัตกรรมใหม่ == ✅ ต้นทุนการสร้างที่พุ่งสูง - ค่าใช้จ่ายในการสร้างศูนย์ข้อมูลต่อ 1 เมกะวัตต์ สูงถึง 12 ล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบ เช่น เหล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาล ✅ นวัตกรรมลดการใช้พลังงานในอนาคต - AI รุ่นใหม่ เช่น DeepSeek อาจช่วยลดความต้องการพลังงาน ด้วยการใช้งานชิปรุ่นเล็กและการลดระบบระบายความร้อนที่กินไฟ ✅ มาตรการสนับสนุนจากรัฐ - รัฐเพนซิลเวเนียกำลังพิจารณาสร้างระบบ "Clearinghouse" เพื่อจัดการข้อมูลคำขอพลังงานจากศูนย์ข้อมูลอย่างโปร่งใส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/07/us-utilities-grapple-with-big-tech039s-massive-power-demands-for-data-centers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US utilities grapple with Big Tech's massive power demands for data centers
    NEW YORK (Reuters) - U.S. electric utilities are fielding massive requests for new power capacity as Big Tech scours the country for viable locations for new data centers to keep up with the compute demands of AI.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • Nvidia ได้เปิดซอร์สโค้ด GPU simulation kernel ของ PhysX และ Flow SDK ให้กับสาธารณะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ การปล่อยครั้งนี้ทำให้การพัฒนาและนวัตกรรมด้านการจำลองฟิสิกส์ก้าวไกลยิ่งขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนนักพัฒนาได้นำโค้ดไปสร้างโครงการที่มีคุณค่า นี่ถือเป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยี GPU-accelerated computing ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเกม หุ่นยนต์ และการจำลองของไหล

    ✅ PhysX GPU Source Code ถูกเปิดเป็นครั้งแรก
    - แม้ PhysX SDK เคยถูกปล่อยในรูปแบบ open source ตั้งแต่ปี 2018 แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU simulation kernel source code ได้ถูกเปิดภายใต้ลิขสิทธิ์ BSD-3
    - ซอร์สโค้ดนี้ประกอบด้วย 500 CUDA kernels ที่สนับสนุนฟีเจอร์สำคัญ เช่น rigid body dynamics, fluid simulation และ deformable objects

    ✅ Flow SDK เปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ด้านการจำลองของไหล
    - Flow SDK เป็นไลบรารีสำหรับการจำลองของไหลและก๊าซในเวลาเรียลไทม์ โดยใช้เทคนิค grid ที่เป็น sparse grid
    - GPU compute shader implementation ของ Flow SDK ก็ได้รับการเปิดให้เป็นซอร์สโค้ดเช่นกัน ทำให้นักพัฒนามีทรัพยากรที่มากขึ้นในการทดลองและสร้างโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง

    ✅ แรงผลักดันสู่ความร่วมมือและการทดลองในวงกว้าง
    - Nvidia หวังว่าการเปิดซอร์สโค้ดจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นนวัตกรรม และการค้นพบใหม่ ๆ ในการใช้ GPU สำหรับการจำลอง

    ✅ ความสำคัญของ PhysX และ Flow:
    - PhysX ซึ่งพัฒนาโดย NovodeX เป็นเอนจินสำหรับการจำลองฟิสิกส์ในแบบเรียลไทม์ที่นิยมใช้ในเกมและหุ่นยนต์
    - ในทางกลับกัน Flow เน้นการจำลองของไหลและก๊าซ โดยทั้งสอง SDK เสริมสร้างกันเพื่อขยายความสามารถในการจำลองปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์

    https://www.neowin.net/news/nvidia-finally-makes-physx-and-flow-source-code-open/
    Nvidia ได้เปิดซอร์สโค้ด GPU simulation kernel ของ PhysX และ Flow SDK ให้กับสาธารณะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ การปล่อยครั้งนี้ทำให้การพัฒนาและนวัตกรรมด้านการจำลองฟิสิกส์ก้าวไกลยิ่งขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนนักพัฒนาได้นำโค้ดไปสร้างโครงการที่มีคุณค่า นี่ถือเป็นก้าวสำคัญในเทคโนโลยี GPU-accelerated computing ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเกม หุ่นยนต์ และการจำลองของไหล ✅ PhysX GPU Source Code ถูกเปิดเป็นครั้งแรก - แม้ PhysX SDK เคยถูกปล่อยในรูปแบบ open source ตั้งแต่ปี 2018 แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU simulation kernel source code ได้ถูกเปิดภายใต้ลิขสิทธิ์ BSD-3 - ซอร์สโค้ดนี้ประกอบด้วย 500 CUDA kernels ที่สนับสนุนฟีเจอร์สำคัญ เช่น rigid body dynamics, fluid simulation และ deformable objects ✅ Flow SDK เปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ด้านการจำลองของไหล - Flow SDK เป็นไลบรารีสำหรับการจำลองของไหลและก๊าซในเวลาเรียลไทม์ โดยใช้เทคนิค grid ที่เป็น sparse grid - GPU compute shader implementation ของ Flow SDK ก็ได้รับการเปิดให้เป็นซอร์สโค้ดเช่นกัน ทำให้นักพัฒนามีทรัพยากรที่มากขึ้นในการทดลองและสร้างโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้อง ✅ แรงผลักดันสู่ความร่วมมือและการทดลองในวงกว้าง - Nvidia หวังว่าการเปิดซอร์สโค้ดจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นนวัตกรรม และการค้นพบใหม่ ๆ ในการใช้ GPU สำหรับการจำลอง ✅ ความสำคัญของ PhysX และ Flow: - PhysX ซึ่งพัฒนาโดย NovodeX เป็นเอนจินสำหรับการจำลองฟิสิกส์ในแบบเรียลไทม์ที่นิยมใช้ในเกมและหุ่นยนต์ - ในทางกลับกัน Flow เน้นการจำลองของไหลและก๊าซ โดยทั้งสอง SDK เสริมสร้างกันเพื่อขยายความสามารถในการจำลองปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ https://www.neowin.net/news/nvidia-finally-makes-physx-and-flow-source-code-open/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia finally makes PhysX and Flow source code open
    Nvidia has finally open-sourced the source code for PhysX and Flow SDKs that help in physics simulations.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • Intel ประกาศให้ Lip-Bu Tan ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ หลังจากที่ Pat Gelsinger ถูกบีบให้ลาออกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากบอร์ดบริหารมองว่าแผนฟื้นฟูบริษัทดำเนินไป ช้ากว่าที่ตลาดต้องการ อย่างไรก็ตาม Tan ยังคงเดินหน้าตามแผนของ Gelsinger แต่จะปรับปรุงให้เร็วขึ้นเพื่อเรียกความมั่นใจจากอุตสาหกรรม

    ✅ Lip-Bu Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมายาวนาน
    - เขาเคยเป็น CEO ของ Cadence บริษัทออกแบบชิปชั้นนำ
    - ก่อตั้ง Walden International บริษัทด้านการลงทุนที่มุ่งเน้นเทคโนโลยี
    - เคยอยู่ในบอร์ดบริหารของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์หลายแห่ง

    ✅ Intel ยังคงเดินหน้าในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์และโรงงานผลิตชิป
    - Tan เชื่อว่า Intel ต้องเป็นทั้งผู้ผลิตและออกแบบชิป ไม่ใช่แค่ผลิตเพื่อใช้เอง แต่ต้องดึงลูกค้าใหญ่ เช่น Apple, Nvidia และ Qualcomm มาใช้บริการโรงงานของ Intel
    - กระแสข่าวลือว่า Intel อาจ แยกธุรกิจโรงงานออกเป็นบริษัทอิสระ แต่ยังไม่มีการยืนยัน

    ✅ ก้าวสำคัญ: เทคโนโลยี 18A และอนาคตของ Intel Foundry
    - Intel กำลังจะเปิดตัวเทคโนโลยี 18A ซึ่งมีฟีเจอร์ Backside Power Delivery และ RibbonFET Transistors
    - เทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้ชิปของ Intel เร็วกว่าชิป 2nm ของ TSMC
    - Tan ต้องโน้มน้าวบริษัทต่าง ๆ ให้มาใช้ Intel Foundry เพื่อสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคง

    ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO ใหม่—เร่งให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำ
    - Tan ย้ำว่า Intel ต้อง ปรับวัฒนธรรมองค์กรให้รวดเร็วและคล่องตัวเหมือนสตาร์ทอัพ
    - ต้อง สร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน AI และ Robotics ให้แข่งขันได้
    - เป้าหมายใหญ่คือ เรียกคืนความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรม และทำให้ Intel กลับมาเป็นศูนย์กลางของวงการเซมิคอนดักเตอร์

    https://www.techspot.com/news/107369-new-intel-ceo-lip-bu-tan-takes-reins.html
    Intel ประกาศให้ Lip-Bu Tan ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ หลังจากที่ Pat Gelsinger ถูกบีบให้ลาออกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากบอร์ดบริหารมองว่าแผนฟื้นฟูบริษัทดำเนินไป ช้ากว่าที่ตลาดต้องการ อย่างไรก็ตาม Tan ยังคงเดินหน้าตามแผนของ Gelsinger แต่จะปรับปรุงให้เร็วขึ้นเพื่อเรียกความมั่นใจจากอุตสาหกรรม ✅ Lip-Bu Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมายาวนาน - เขาเคยเป็น CEO ของ Cadence บริษัทออกแบบชิปชั้นนำ - ก่อตั้ง Walden International บริษัทด้านการลงทุนที่มุ่งเน้นเทคโนโลยี - เคยอยู่ในบอร์ดบริหารของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์หลายแห่ง ✅ Intel ยังคงเดินหน้าในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์และโรงงานผลิตชิป - Tan เชื่อว่า Intel ต้องเป็นทั้งผู้ผลิตและออกแบบชิป ไม่ใช่แค่ผลิตเพื่อใช้เอง แต่ต้องดึงลูกค้าใหญ่ เช่น Apple, Nvidia และ Qualcomm มาใช้บริการโรงงานของ Intel - กระแสข่าวลือว่า Intel อาจ แยกธุรกิจโรงงานออกเป็นบริษัทอิสระ แต่ยังไม่มีการยืนยัน ✅ ก้าวสำคัญ: เทคโนโลยี 18A และอนาคตของ Intel Foundry - Intel กำลังจะเปิดตัวเทคโนโลยี 18A ซึ่งมีฟีเจอร์ Backside Power Delivery และ RibbonFET Transistors - เทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้ชิปของ Intel เร็วกว่าชิป 2nm ของ TSMC - Tan ต้องโน้มน้าวบริษัทต่าง ๆ ให้มาใช้ Intel Foundry เพื่อสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคง ✅ วิสัยทัศน์ของ CEO ใหม่—เร่งให้ Intel กลับมาเป็นผู้นำ - Tan ย้ำว่า Intel ต้อง ปรับวัฒนธรรมองค์กรให้รวดเร็วและคล่องตัวเหมือนสตาร์ทอัพ - ต้อง สร้างนวัตกรรมใหม่ด้าน AI และ Robotics ให้แข่งขันได้ - เป้าหมายใหญ่คือ เรียกคืนความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรม และทำให้ Intel กลับมาเป็นศูนย์กลางของวงการเซมิคอนดักเตอร์ https://www.techspot.com/news/107369-new-intel-ceo-lip-bu-tan-takes-reins.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Intel CEO Lip-Bu Tan takes the reins with a familiar but faster plan
    Taking a tech industry titan back to the heights from which it once reigned is no easy task for anyone. Just ask Pat Gelsinger, former CEO and...
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 Comments 0 Shares 747 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังมุ่งมั่นพัฒนา iPhone Fold สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของบริษัท โดยมีจุดเด่นที่บานพับซึ่งทำจากวัสดุ Metallic Glass หรือโลหะเหลว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกดและการเสียรูป คุณสมบัตินี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับรอยพับบนหน้าจอ แต่ยังทำให้บานพับแข็งแรงกว่าโลหะไทเทเนียมถึง 2.5 เท่า นอกจากนี้ Apple ตั้งใจให้วัสดุดังกล่าวเพิ่มความเงางามและทนต่อการกัดกร่อนอีกด้วย

    ความล้ำหน้าของวัสดุ Metallic Glass:
    - วัสดุนี้ถูกออกแบบให้มีการจัดเรียงอะตอมแบบสุ่ม ซึ่งแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่มีโครงสร้างอะตอมซ้ำซ้อน จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดโอกาสเกิดรอยบุบเมื่ออุปกรณ์ตกหล่น.

    เป้าหมายของบานพับ:
    - บานพับมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อชิ้นส่วนของอุปกรณ์และส่งผลต่อคุณภาพการแสดงผล Apple ได้ใช้วัสดุเดียวกันนี้ในอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่างเข็มจิ้มถาดซิมมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ในชิ้นส่วนสำคัญ.

    ความคาดหวังจากตลาด:
    - iPhone Fold คาดว่าจะมีหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว ซึ่งรูปแบบการออกแบบจะคล้ายกับ Galaxy Z Fold มากกว่าจะเป็น Z Flip และราคาประมาณ $2,000 ทำให้เป็น iPhone ที่แพงที่สุดจนถึงปัจจุบัน.

    ความสำคัญของซอฟต์แวร์:
    - นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว ความสำเร็จของ iPhone Fold จะขึ้นอยู่กับวิธีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานจอพับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องรอดูว่า Apple จะตอบโจทย์ตลาดอย่างไร.

    https://wccftech.com/iphone-fold-metallic-hinge-for-better-durability/
    Apple กำลังมุ่งมั่นพัฒนา iPhone Fold สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นแรกของบริษัท โดยมีจุดเด่นที่บานพับซึ่งทำจากวัสดุ Metallic Glass หรือโลหะเหลว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อแรงกดและการเสียรูป คุณสมบัตินี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับรอยพับบนหน้าจอ แต่ยังทำให้บานพับแข็งแรงกว่าโลหะไทเทเนียมถึง 2.5 เท่า นอกจากนี้ Apple ตั้งใจให้วัสดุดังกล่าวเพิ่มความเงางามและทนต่อการกัดกร่อนอีกด้วย ความล้ำหน้าของวัสดุ Metallic Glass: - วัสดุนี้ถูกออกแบบให้มีการจัดเรียงอะตอมแบบสุ่ม ซึ่งแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่มีโครงสร้างอะตอมซ้ำซ้อน จึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดโอกาสเกิดรอยบุบเมื่ออุปกรณ์ตกหล่น. เป้าหมายของบานพับ: - บานพับมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อชิ้นส่วนของอุปกรณ์และส่งผลต่อคุณภาพการแสดงผล Apple ได้ใช้วัสดุเดียวกันนี้ในอุปกรณ์เล็ก ๆ อย่างเข็มจิ้มถาดซิมมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ในชิ้นส่วนสำคัญ. ความคาดหวังจากตลาด: - iPhone Fold คาดว่าจะมีหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว ซึ่งรูปแบบการออกแบบจะคล้ายกับ Galaxy Z Fold มากกว่าจะเป็น Z Flip และราคาประมาณ $2,000 ทำให้เป็น iPhone ที่แพงที่สุดจนถึงปัจจุบัน. ความสำคัญของซอฟต์แวร์: - นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว ความสำเร็จของ iPhone Fold จะขึ้นอยู่กับวิธีการปรับแต่งซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานจอพับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องรอดูว่า Apple จะตอบโจทย์ตลาดอย่างไร. https://wccftech.com/iphone-fold-metallic-hinge-for-better-durability/
    WCCFTECH.COM
    Leak Claims "iPhone Fold" Will Feature Glossy Hinge Made From Metallic Glass, Offering Superior Resistance Against Bending And Deformation Under Extreme Pressure
    Apple's iPhone Fold to feature a metallic hinge with a glossy finish for better durability and resistance against dents and deformations.
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • จีนได้เปิดตัว หน้าจอ e-paper สีขนาดใหญ่ 31.2 นิ้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการผลิตจำนวนมากสำหรับจอประเภทนี้ โดยบริษัท Guangzhou Aoyi Electronic Technology Co Ltd และ Shenzhen Jin Yatai Technology Co Ltd ได้ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดข้อจำกัดเดิม เช่น อัตราการรีเฟรชต่ำและการตอบสนองที่ช้า นวัตกรรมใหม่นี้รองรับการเล่นวิดีโอที่ความเร็ว 18 เฟรมต่อวินาที และเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการประมวลผลภาพที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิม

    การพัฒนาที่ล้ำหน้า:
    - หน้าจอใหม่นี้มาพร้อมกับการควบคุมการแสดงผลที่แยกส่วนในพื้นที่ (local display) และอัลกอริธึมประมวลผลภาพที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งช่วยลดการกระพริบของหน้าจอและเพิ่มความสดใสของสี.

    คุณสมบัติที่โดดเด่นของ e-paper:
    - หน้าจอ e-paper เป็นที่นิยมเพราะลดโอกาสเกิดอาการเมื่อยล้าสายตา อ่านได้ชัดเจนแม้ในแสงสว่างจัด และใช้พลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับหน้าจอปกติ.

    การใช้งานที่คาดหวัง:
    - หน้าจอนี้คาดว่าจะถูกนำไปใช้ในป้ายประชาสัมพันธ์ดิจิทัล, ป้ายรถเมล์, และหน้าจอข้อมูลสาธารณะ อีกทั้งยังมีโอกาสในการพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์เชิงพาณิชย์อย่างหน้าจอ e-paper ขนาดใหญ่.

    ข้อจำกัดในปัจจุบัน:
    - แม้การพัฒนานี้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่คุณภาพสีและความลึกของสีของหน้าจอยังไม่สามารถเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่นอย่าง OLED หรือ IPS.

    https://www.tomshardware.com/monitors/mass-production-of-worlds-first-color-e-paper-display-over-30-inches-begins
    จีนได้เปิดตัว หน้าจอ e-paper สีขนาดใหญ่ 31.2 นิ้ว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการผลิตจำนวนมากสำหรับจอประเภทนี้ โดยบริษัท Guangzhou Aoyi Electronic Technology Co Ltd และ Shenzhen Jin Yatai Technology Co Ltd ได้ร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดข้อจำกัดเดิม เช่น อัตราการรีเฟรชต่ำและการตอบสนองที่ช้า นวัตกรรมใหม่นี้รองรับการเล่นวิดีโอที่ความเร็ว 18 เฟรมต่อวินาที และเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการประมวลผลภาพที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิม การพัฒนาที่ล้ำหน้า: - หน้าจอใหม่นี้มาพร้อมกับการควบคุมการแสดงผลที่แยกส่วนในพื้นที่ (local display) และอัลกอริธึมประมวลผลภาพที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งช่วยลดการกระพริบของหน้าจอและเพิ่มความสดใสของสี. คุณสมบัติที่โดดเด่นของ e-paper: - หน้าจอ e-paper เป็นที่นิยมเพราะลดโอกาสเกิดอาการเมื่อยล้าสายตา อ่านได้ชัดเจนแม้ในแสงสว่างจัด และใช้พลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับหน้าจอปกติ. การใช้งานที่คาดหวัง: - หน้าจอนี้คาดว่าจะถูกนำไปใช้ในป้ายประชาสัมพันธ์ดิจิทัล, ป้ายรถเมล์, และหน้าจอข้อมูลสาธารณะ อีกทั้งยังมีโอกาสในการพัฒนาเพื่อใช้ในอุปกรณ์เชิงพาณิชย์อย่างหน้าจอ e-paper ขนาดใหญ่. ข้อจำกัดในปัจจุบัน: - แม้การพัฒนานี้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่คุณภาพสีและความลึกของสีของหน้าจอยังไม่สามารถเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่นอย่าง OLED หรือ IPS. https://www.tomshardware.com/monitors/mass-production-of-worlds-first-color-e-paper-display-over-30-inches-begins
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Mass production of 'world's first' color e-paper display over 30-inches begins
    Chinese firm says products using the display will reach retail about two months later.
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • Nintendo กำลังนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้เกมดิจิทัลมีความคล้ายคลึงกับเกมแบบกล่องมากขึ้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ Virtual Game Cards ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถยืมและแบ่งปันเกมที่ซื้อผ่านระบบดิจิทัลได้อย่างสะดวก นวัตกรรมนี้เตรียมพร้อมเปิดใช้งานในปลายเดือนเมษายนผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับ Nintendo Switch และจะรองรับ Switch 2 ตั้งแต่เปิดตัว

    การใช้งาน Virtual Game Cards:
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายเกมระหว่างอุปกรณ์โดยการเชื่อมต่อผ่าน WiFi เพียงครั้งเดียว โดยรองรับทั้ง Switch รุ่นปกติ Lite และ Switch 2 รวมถึงการแบ่งปันเกมกับสมาชิกในกลุ่มครอบครัวที่มีได้สูงสุดถึง 8 อุปกรณ์.

    ข้อจำกัดและรูปแบบการใช้งาน:
    - ผู้ใช้งานสามารถ "ยืม" เกมให้ผู้อื่นได้ทีละหนึ่งเกมเท่านั้น โดยจะใช้งานได้ 14 วัน หลังจากนั้นเกมจะถูกส่งคืนให้เจ้าของอัตโนมัติ และในช่วงที่เกมถูกยืม ผู้ให้ยืมจะไม่สามารถเล่นเกมนั้นได้.

    การเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการสิทธิ์ดิจิทัล (DRM):
    - Virtual Game Cards ถูกออกแบบมาให้จัดการลิขสิทธิ์เกมได้อย่างง่ายขึ้น และทำให้การย้ายเกมไปยังอุปกรณ์ใหม่ เช่น Switch 2 เป็นเรื่องง่าย พร้อมกับช่วยลดความยุ่งยากในระบบ DRM ของ Nintendo.

    https://www.techspot.com/news/107319-nintendo-soon-you-loan-digital-games-friends.html
    Nintendo กำลังนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้เกมดิจิทัลมีความคล้ายคลึงกับเกมแบบกล่องมากขึ้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ Virtual Game Cards ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถยืมและแบ่งปันเกมที่ซื้อผ่านระบบดิจิทัลได้อย่างสะดวก นวัตกรรมนี้เตรียมพร้อมเปิดใช้งานในปลายเดือนเมษายนผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์สำหรับ Nintendo Switch และจะรองรับ Switch 2 ตั้งแต่เปิดตัว การใช้งาน Virtual Game Cards: - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายเกมระหว่างอุปกรณ์โดยการเชื่อมต่อผ่าน WiFi เพียงครั้งเดียว โดยรองรับทั้ง Switch รุ่นปกติ Lite และ Switch 2 รวมถึงการแบ่งปันเกมกับสมาชิกในกลุ่มครอบครัวที่มีได้สูงสุดถึง 8 อุปกรณ์. ข้อจำกัดและรูปแบบการใช้งาน: - ผู้ใช้งานสามารถ "ยืม" เกมให้ผู้อื่นได้ทีละหนึ่งเกมเท่านั้น โดยจะใช้งานได้ 14 วัน หลังจากนั้นเกมจะถูกส่งคืนให้เจ้าของอัตโนมัติ และในช่วงที่เกมถูกยืม ผู้ให้ยืมจะไม่สามารถเล่นเกมนั้นได้. การเปลี่ยนแปลงด้านการจัดการสิทธิ์ดิจิทัล (DRM): - Virtual Game Cards ถูกออกแบบมาให้จัดการลิขสิทธิ์เกมได้อย่างง่ายขึ้น และทำให้การย้ายเกมไปยังอุปกรณ์ใหม่ เช่น Switch 2 เป็นเรื่องง่าย พร้อมกับช่วยลดความยุ่งยากในระบบ DRM ของ Nintendo. https://www.techspot.com/news/107319-nintendo-soon-you-loan-digital-games-friends.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nintendo will soon let you loan your digital games to your friends
    For the first time ever, Nintendo is hosting two Nintendo Direct events almost back-to-back. The first was today, featuring everything coming to the Switch (masthead). The second...
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • หลังจากที่ Chips Act 2023 ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรป บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ก็เสนอให้ยุโรปจัดทำ Chips Act 2.0 ที่มุ่งเน้นไปที่การออกแบบ วัสดุ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพในตลาดโลก. โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้ยุโรปเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อีกด้วย

    ความต้องการในตลาดเซมิคอนดักเตอร์:
    - ขณะที่ Chips Act 2023 มุ่งสนับสนุนการผลิตในยุโรป EU Chips Act 2.0 จะขยายเป้าหมายไปยังส่วนอื่น ๆ ของห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบและวัสดุ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรม.
    - การจัดประชุมในบรัสเซลส์ครั้งนี้ดึงดูดทั้งผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ให้บริการในซัพพลายเชน เช่น ESIA และ SEMI Europe ที่ส่งข้อเสนอให้ Henna Virkkunen หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของยุโรป.

    ความสำคัญของโครงการนี้ต่อยุโรป:
    - Chips Act 2.0 จะช่วยให้ยุโรปลดการพึ่งพาจากต่างประเทศในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับโลก.
    - การพัฒนานี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ตลาดเซมิคอนดักเตอร์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

    ผลกระทบที่คาดการณ์ได้:
    - หากโครงการนี้ได้รับการอนุมัติ จะช่วยเพิ่มนวัตกรรมและสร้างงานใหม่จำนวนมากในยุโรป.
    - ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเน้นการออกแบบและวัสดุจะช่วยผลักดันยุโรปให้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลกของเซมิคอนดักเตอร์.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/semiconductor-firms-call-for-eu-chips-act-20
    หลังจากที่ Chips Act 2023 ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรป บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ก็เสนอให้ยุโรปจัดทำ Chips Act 2.0 ที่มุ่งเน้นไปที่การออกแบบ วัสดุ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพในตลาดโลก. โครงการนี้ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้ยุโรปเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อีกด้วย ความต้องการในตลาดเซมิคอนดักเตอร์: - ขณะที่ Chips Act 2023 มุ่งสนับสนุนการผลิตในยุโรป EU Chips Act 2.0 จะขยายเป้าหมายไปยังส่วนอื่น ๆ ของห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบและวัสดุ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรม. - การจัดประชุมในบรัสเซลส์ครั้งนี้ดึงดูดทั้งผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ให้บริการในซัพพลายเชน เช่น ESIA และ SEMI Europe ที่ส่งข้อเสนอให้ Henna Virkkunen หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของยุโรป. ความสำคัญของโครงการนี้ต่อยุโรป: - Chips Act 2.0 จะช่วยให้ยุโรปลดการพึ่งพาจากต่างประเทศในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับโลก. - การพัฒนานี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ตลาดเซมิคอนดักเตอร์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว. ผลกระทบที่คาดการณ์ได้: - หากโครงการนี้ได้รับการอนุมัติ จะช่วยเพิ่มนวัตกรรมและสร้างงานใหม่จำนวนมากในยุโรป. - ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเน้นการออกแบบและวัสดุจะช่วยผลักดันยุโรปให้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลกของเซมิคอนดักเตอร์. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/19/semiconductor-firms-call-for-eu-chips-act-20
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Semiconductor firms call for EU Chips Act 2.0
    AMSTERDAM (Reuters) - Computer chip makers and semiconductor supply chain firms on Wednesday called on the European Commission to launch a new support program as a follow up to the 2023 Chips Act, this time focusing on chip design, materials and equipment, in addition to manufacturing.
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • แม้ว่าฮาร์ดไดรฟ์จะถูกมองว่ากำลังตกยุค แต่ Seagate ก็ยังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างเทคโนโลยี HAMR ที่ช่วยเพิ่มความจุและประสิทธิภาพ โดยเพิ่งขายฮาร์ดไดรฟ์รุ่น 30TB ให้ลูกค้ารายใหญ่ 2 รายในวงการคลาวด์คอมพิวติ้ง ปริมาณรวม 1 เอกซะไบต์ ซึ่งเทียบได้กับพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดมหึมา. นอกจากนี้ Seagate ยังมุ่งพัฒนารุ่น 60TB และ 100TB เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

    เทคโนโลยี HAMR และอนาคตของ HDD:
    - HAMR ใช้เลเซอร์ในการเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล โดยฮาร์ดไดรฟ์รุ่นล่าสุดของ Seagate มีความจุสูงสุดถึง 36TB และกำลังพัฒนารุ่น 60TB ในอนาคต
    - เทคโนโลยีต่อไปที่กำลังพัฒนาเรียกว่า HDMR (Heated Dot Magnetic Recording) ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลให้ละเอียดและหนาแน่นยิ่งขึ้น

    การใช้งานและประโยชน์ของ HDD ในยุคนี้:
    - HDD ยังคงมีความได้เปรียบในด้านความจุต่อราคา เมื่อเทียบกับ SSD ทำให้ยังเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ในระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูล (Data Center)
    - ลูกค้ารายใหญ่ในครั้งนี้น่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่าง Microsoft, Google หรือ Amazon ซึ่งต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก

    ความเคลื่อนไหวของ Seagate:
    - Seagate ยังมีแผนที่จะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี HAMR เพื่อเร่งการพัฒนาฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง เช่น 100TB เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

    https://www.techradar.com/pro/seagate-reportedly-sold-two-billion-gbs-worth-of-storage-to-two-of-the-worlds-largest-tech-companies
    แม้ว่าฮาร์ดไดรฟ์จะถูกมองว่ากำลังตกยุค แต่ Seagate ก็ยังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างเทคโนโลยี HAMR ที่ช่วยเพิ่มความจุและประสิทธิภาพ โดยเพิ่งขายฮาร์ดไดรฟ์รุ่น 30TB ให้ลูกค้ารายใหญ่ 2 รายในวงการคลาวด์คอมพิวติ้ง ปริมาณรวม 1 เอกซะไบต์ ซึ่งเทียบได้กับพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดมหึมา. นอกจากนี้ Seagate ยังมุ่งพัฒนารุ่น 60TB และ 100TB เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี HAMR และอนาคตของ HDD: - HAMR ใช้เลเซอร์ในการเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล โดยฮาร์ดไดรฟ์รุ่นล่าสุดของ Seagate มีความจุสูงสุดถึง 36TB และกำลังพัฒนารุ่น 60TB ในอนาคต - เทคโนโลยีต่อไปที่กำลังพัฒนาเรียกว่า HDMR (Heated Dot Magnetic Recording) ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลให้ละเอียดและหนาแน่นยิ่งขึ้น การใช้งานและประโยชน์ของ HDD ในยุคนี้: - HDD ยังคงมีความได้เปรียบในด้านความจุต่อราคา เมื่อเทียบกับ SSD ทำให้ยังเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ในระบบคลาวด์และศูนย์ข้อมูล (Data Center) - ลูกค้ารายใหญ่ในครั้งนี้น่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่าง Microsoft, Google หรือ Amazon ซึ่งต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก ความเคลื่อนไหวของ Seagate: - Seagate ยังมีแผนที่จะเข้าซื้อบริษัท Intevac ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี HAMR เพื่อเร่งการพัฒนาฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง เช่น 100TB เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน https://www.techradar.com/pro/seagate-reportedly-sold-two-billion-gbs-worth-of-storage-to-two-of-the-worlds-largest-tech-companies
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • นวัตกรรมใหม่ในการระบายความร้อนเซิร์ฟเวอร์ GPU ที่ใช้ใน AI ตอนนี้หันมาใช้ "เพชร" เป็นตัวช่วย เพราะมันสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าวัสดุเดิมๆ อย่างทองแดงหลายเท่า เซิร์ฟเวอร์ที่มีเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ลดความร้อนได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย และเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างการระบายความร้อนด้วยของเหลว ความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลผล AI ก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง NxtGen Data Centers ในอินเดียก็เข้าร่วมใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากและเพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้าอีกด้วย

    https://www.techradar.com/pro/diamond-set-to-become-mainstream-coolant-for-ai-gpu-servers-as-worlds-best-thermal-conductor-promises-25-better-overclocking-and-double-performance-per-watt
    นวัตกรรมใหม่ในการระบายความร้อนเซิร์ฟเวอร์ GPU ที่ใช้ใน AI ตอนนี้หันมาใช้ "เพชร" เป็นตัวช่วย เพราะมันสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่าวัสดุเดิมๆ อย่างทองแดงหลายเท่า เซิร์ฟเวอร์ที่มีเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ลดความร้อนได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งานได้อีกด้วย และเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างการระบายความร้อนด้วยของเหลว ความเร็วและประสิทธิภาพในการประมวลผล AI ก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง NxtGen Data Centers ในอินเดียก็เข้าร่วมใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากและเพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้าอีกด้วย https://www.techradar.com/pro/diamond-set-to-become-mainstream-coolant-for-ai-gpu-servers-as-worlds-best-thermal-conductor-promises-25-better-overclocking-and-double-performance-per-watt
    0 Comments 0 Shares 315 Views 0 Reviews
  • มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป

    ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง
    1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น:
    - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์
    - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ

    2) เทคโนโลยี 3D V-Cache:
    - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5

    3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง:
    - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน

    Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย:
    - CCD ขนาด 12 คอร์
    - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups
    - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU

    ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย

    Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง 1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น: - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์ - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ 2) เทคโนโลยี 3D V-Cache: - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5 3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง: - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย: - CCD ขนาด 12 คอร์ - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • มีข่าวล่าสุดที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการทดลองใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ในการผลิตหุ่นยนต์เพิ่มขึ้นเองที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยบริษัทชื่อ Apptronik ได้ร่วมมือกับบริษัท Jabil ในการทดสอบการใช้งานหุ่นยนต์ Apollo ในสภาพแวดล้อมของโรงงาน

    หุ่นยนต์ Apollo มีความสูง 5 ฟุต 8 นิ้ว น้ำหนัก 160 ปอนด์ และสามารถทำงานได้ 4 ชั่วโมงต่อแบตเตอรี่หนึ่งชุด โดยหุ่นยนต์จะทำงานในหน้าที่ที่ซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบสินค้า จัดเรียงของ การจัดส่งข้างไลน์ และการติดตั้งชิ้นส่วน หุ่นยนต์เหล่านี้จะเริ่มการผลิตในปี 2026 หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ

    มีความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียงานของมนุษย์เนื่องจากหุ่นยนต์ แต่ทางบริษัทกล่าวว่า การนำหุ่นยนต์มาใช้จะช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์

    เรื่องที่น่าสนใจคือ หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถสร้างหุ่นยนต์ได้อีก ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล การพัฒนานี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและความสามารถของมนุษย์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

    https://www.techspot.com/news/106967-factory-trials-begin-humanoid-robots-could-build-more.html
    มีข่าวล่าสุดที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการทดลองใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ในการผลิตหุ่นยนต์เพิ่มขึ้นเองที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยบริษัทชื่อ Apptronik ได้ร่วมมือกับบริษัท Jabil ในการทดสอบการใช้งานหุ่นยนต์ Apollo ในสภาพแวดล้อมของโรงงาน หุ่นยนต์ Apollo มีความสูง 5 ฟุต 8 นิ้ว น้ำหนัก 160 ปอนด์ และสามารถทำงานได้ 4 ชั่วโมงต่อแบตเตอรี่หนึ่งชุด โดยหุ่นยนต์จะทำงานในหน้าที่ที่ซ้ำซ้อน เช่น ตรวจสอบสินค้า จัดเรียงของ การจัดส่งข้างไลน์ และการติดตั้งชิ้นส่วน หุ่นยนต์เหล่านี้จะเริ่มการผลิตในปี 2026 หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ มีความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียงานของมนุษย์เนื่องจากหุ่นยนต์ แต่ทางบริษัทกล่าวว่า การนำหุ่นยนต์มาใช้จะช่วยให้พนักงานมีเวลามากขึ้นในการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์ เรื่องที่น่าสนใจคือ หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถสร้างหุ่นยนต์ได้อีก ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล การพัฒนานี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและความสามารถของมนุษย์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ https://www.techspot.com/news/106967-factory-trials-begin-humanoid-robots-could-build-more.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Factory begins trial for humanoid robots that can build more of themselves
    Robot-maker Apptronik has announced a pilot partnership with American firm Jabil. In addition to its supply chain services primarily serving OEMs, Jabil is involved in designing, engineering,...
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • ABI Research ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยระบุถึงเทคโนโลยีที่กำลังจะเติบโตและจะหดตัว โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการคาดการณ์ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) จะเติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงเครื่องมือจัดการข้อมูลที่จะสร้างมูลค่ามากมาย

    ==เทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว==
    1) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs): จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% เนื่องจากการใช้งานเพิ่มขึ้นในซอฟต์แวร์องค์กรต่างๆ
    2) เครื่องมือจัดการข้อมูล: การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์จะสร้างโอกาสมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029
    3) อุปกรณ์สมาร์ทโฮม: คาดว่าอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในบ้านจะเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี และมีการจัดส่งถึง 500 ล้านหน่วย
    4) แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses): คาดว่าการใช้แว่นตาอัจฉริยะในการทำงานจะเติบโตขึ้น โดยมียอดส่งถึง 20.23 ล้านหน่วยในปี 2029
    5) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robots): คาดว่าจะมีการส่งออกถึง 180,000 หน่วยต่อปีภายในปี 2030 เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงและความต้องการในด้านการบริการและบันเทิง
    6) ซอฟต์แวร์และบริการด้านความปลอดภัย: ความต้องการซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนเครือข่าย 5G และบริการที่เกี่ยวข้องจะเติบโตอย่างมาก
    7) ระบบการจัดการคลังสินค้า: คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการวางแผนและวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    8) การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับประสิทธิภาพการดำเนินงาน: การแก้ปัญหาด้านข้อมูลจะเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี เนื่องจากความสำคัญของการใช้ข้อมูลและความโปร่งใสในการดำเนินงาน

    ==เทคโนโลยีที่อาจมีการหดตัวหรือลดลง==
    1) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์: แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่การส่งแท็บเล็ตคาดว่าจะลดลงอย่างช้าๆ จนถึงปี 2029
    2) สมาร์ทโฟน: คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตแบบไม่ต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการที่ลดลงและรอบการเปลี่ยนทดแทนที่ยาวขึ้น
    3) ชิปเซ็ต CPU ของดาต้าเซ็นเตอร์: ส่วนแบ่งตลาดจะลดลงจาก 26% เป็น 18% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
    4) บล็อกเชนอุตสาหกรรม: รายได้จะลดลง 2% ต่อปีเนื่องจากแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้
    5) ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Cloud Hyperscalers): คาดว่าจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นที่มีความเข้าใจในข้อบังคับท้องถิ่น
    6) ฮาร์ดแวร์ด้านความปลอดภัย: อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 7% เนื่องจากมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม
    7) ซอฟต์แวร์การโปรแกรมหุ่นยนต์แบบออฟไลน์: คาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเผชิญกับความท้าทาย
    8) อุปกรณ์ VR แบบมีสายและมือถือ: การส่งออกของอุปกรณ์เหล่านี้จะคงที่และคิดเป็นเพียง 34% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2029

    การคาดการณ์นี้แสดงถึงทิศทางของตลาดเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

    https://www.zdnet.com/article/this-5-year-tech-industry-forecast-predicts-some-surprising-winners-and-losers/
    ABI Research ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยระบุถึงเทคโนโลยีที่กำลังจะเติบโตและจะหดตัว โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการคาดการณ์ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) จะเติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงเครื่องมือจัดการข้อมูลที่จะสร้างมูลค่ามากมาย ==เทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว== 1) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs): จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% เนื่องจากการใช้งานเพิ่มขึ้นในซอฟต์แวร์องค์กรต่างๆ 2) เครื่องมือจัดการข้อมูล: การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์จะสร้างโอกาสมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 3) อุปกรณ์สมาร์ทโฮม: คาดว่าอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในบ้านจะเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี และมีการจัดส่งถึง 500 ล้านหน่วย 4) แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses): คาดว่าการใช้แว่นตาอัจฉริยะในการทำงานจะเติบโตขึ้น โดยมียอดส่งถึง 20.23 ล้านหน่วยในปี 2029 5) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robots): คาดว่าจะมีการส่งออกถึง 180,000 หน่วยต่อปีภายในปี 2030 เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงและความต้องการในด้านการบริการและบันเทิง 6) ซอฟต์แวร์และบริการด้านความปลอดภัย: ความต้องการซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนเครือข่าย 5G และบริการที่เกี่ยวข้องจะเติบโตอย่างมาก 7) ระบบการจัดการคลังสินค้า: คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการวางแผนและวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 8) การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับประสิทธิภาพการดำเนินงาน: การแก้ปัญหาด้านข้อมูลจะเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี เนื่องจากความสำคัญของการใช้ข้อมูลและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ==เทคโนโลยีที่อาจมีการหดตัวหรือลดลง== 1) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์: แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่การส่งแท็บเล็ตคาดว่าจะลดลงอย่างช้าๆ จนถึงปี 2029 2) สมาร์ทโฟน: คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตแบบไม่ต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการที่ลดลงและรอบการเปลี่ยนทดแทนที่ยาวขึ้น 3) ชิปเซ็ต CPU ของดาต้าเซ็นเตอร์: ส่วนแบ่งตลาดจะลดลงจาก 26% เป็น 18% ในอีก 5 ปีข้างหน้า 4) บล็อกเชนอุตสาหกรรม: รายได้จะลดลง 2% ต่อปีเนื่องจากแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ 5) ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Cloud Hyperscalers): คาดว่าจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นที่มีความเข้าใจในข้อบังคับท้องถิ่น 6) ฮาร์ดแวร์ด้านความปลอดภัย: อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 7% เนื่องจากมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม 7) ซอฟต์แวร์การโปรแกรมหุ่นยนต์แบบออฟไลน์: คาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเผชิญกับความท้าทาย 8) อุปกรณ์ VR แบบมีสายและมือถือ: การส่งออกของอุปกรณ์เหล่านี้จะคงที่และคิดเป็นเพียง 34% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2029 การคาดการณ์นี้แสดงถึงทิศทางของตลาดเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ https://www.zdnet.com/article/this-5-year-tech-industry-forecast-predicts-some-surprising-winners-and-losers/
    WWW.ZDNET.COM
    This 5-year tech industry forecast predicts some surprising winners - and losers
    Here's what will be hot or not in technology markets over the next five years, as projected by ABI Research. Do you agree?
    0 Comments 0 Shares 389 Views 0 Reviews
  • Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้

    Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง

    ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก

    Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น

    ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง

    Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย

    1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น

    2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้

    3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่

    4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้

    5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด

    https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/
    Raja Koduri อดีตผู้บริหารของ Intel ที่เคยรับผิดชอบกลุ่มกราฟิกของบริษัท ได้ออกมาพูดถึงปัญหาภายในของ Intel ที่ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถก้าวหน้าได้ โดยเขายกตัวอย่างโปรเจ็กต์ Falcon Shores ว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้ Koduri อธิบายว่า Intel มีเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาหลายอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์ปลายทาง หรืออุปกรณ์ส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือผู้นำบริษัทที่ไม่สามารถทำให้ Intel ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมได้ ซึ่งเขากล่าวถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกระบวนการที่ทำให้การพัฒนาช้าลง ในบทความที่เขาโพสต์ใน X, Koduri กล่าวถึงปัญหาที่เขาเรียกว่า "งูในสเปรดชีตและพาวเวอร์พอยต์" ที่หมายถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากกระบวนการบริหารที่ซับซ้อนและไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ความพยายามในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องหยุดชะงัก Koduri ยังกล่าวถึงอดีต CEO Andy Grove ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจถึงรายละเอียดของทุกชั้นในองค์กรของ Intel และเขาเชื่อว่า Intel ยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันกับ NVIDIA ในระยะยาว แต่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าความคาดหวังเท่านั้น ตัวอย่างที่ Koduri ยกขึ้นมาคือโปรเจ็กต์ Rialto Bridge และ Falcon Shores ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดที่มุ่งเน้นการประมวลผลประสิทธิภาพสูงและ AI หาก Intel เปิดตัว Rialto Bridge ในปี 2024 น่าจะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับ NVIDIA Hopper H100 ได้อย่างสบาย แต่พวกเขากลับไม่สามารถจับโอกาสนั้นได้ ทำให้รายได้ในส่วนของ AI ต่ำที่สุดในบรรดาคู่แข่ง Koduri ได้เสนอแนะวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อน Intel ไปข้างหน้าได้และหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ในอนาคตประกอบด้วย 1) การลดกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อน: Koduri กล่าวว่ากระบวนการบริหารที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและความซับซ้อนเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ Intel ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เขาแนะนำว่า Intel ควรปรับลดขั้นตอนการตัดสินใจให้น้อยลงและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จริงจังมากขึ้น 2) การปรับปรุงการวิจัยและพัฒนา: Intel ควรมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเน้นการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว Koduri เชื่อว่าการทดลองและนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทก้าวหน้าได้ 3) การนำโครงการที่ถูกยกเลิกกลับมาใช้ใหม่: Koduri กล่าวว่าโครงการบางโครงการที่ถูกยกเลิก เช่น Rialto Bridge และ Falcon Shores นั้นมีศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่ง แต่กลับไม่สามารถเปิดตัวได้เนื่องจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด เขาแนะนำให้พิจารณาการนำโครงการเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ 4) การเสริมสร้างทีมงานที่มีความสามารถ: Koduri เน้นถึงความสำคัญของการมีทีมงานที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบในทุกชั้นขององค์กร เขาเชื่อว่าการให้ทีมงานมีอิสระในการทำงานและการสนับสนุนที่เพียงพอจะทำให้บริษัทสามารถก้าวข้ามความท้าทายได้ 5) การลดความกลัวในการทดลอง: Koduri กล่าวว่าควรสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลองและการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว การพัฒนานวัตกรรมต้องการความกล้าในการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด https://wccftech.com/intel-ex-exec-raja-koduri-says-you-dont-learn-without-shipping/
    WCCFTECH.COM
    Intel's Ex-Exec Raja Koduri Says "You Don't Learn Without Shipping"; Gives A Rundown Into What's Wrong With Team Blue & How Intel Is Held Back By Bureaucratic Snakes
    Intel's former executive Raja Koduri has revealed that Team Blue's internal structure "stifles innovation", citing Falcon Shores as example.
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews
  • ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต

    ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่:
    1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

    2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

    4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย

    ### ความท้าทาย:
    - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
    - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ### สรุป:
    การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    ภูมิปัญญาดั้งเดิมและการพัฒนาคนรุ่นใหม่เป็นสองสิ่งที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้างสังคมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน ภูมิปัญญาดั้งเดิมเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากบรรพบุรุษ ซึ่งมักสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน ในขณะที่การพัฒนาคนรุ่นใหม่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคปัจจุบันและอนาคต ### วิธีที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมสามารถสนับสนุนการพัฒนาคนรุ่นใหม่: 1. **การส่งเสริมคุณค่าและจริยธรรม**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมมักเน้นเรื่องความเอื้ออาทร ความเคารพต่อธรรมชาติ และความสัมพันธ์ในชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. **การเรียนรู้จากประสบการณ์**: การนำความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้ เช่น การเกษตรแบบดั้งเดิม การแพทย์แผนโบราณ หรือการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. **การรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์**: การเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นช่วยให้คนรุ่นใหม่รู้จักรากเหง้าของตนเอง และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม 4. **การสร้างสมดุลระหว่างเก่าและใหม่**: การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมได้ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรม หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ทันสมัย ### ความท้าทาย: - **การสื่อสารระหว่างรุ่น**: บางครั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีช่องทางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ - **การปรับตัว**: ภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่ เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ### สรุป: การพัฒนาคนรุ่นใหม่ควรคำนึงถึงการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ การผสมผสานระหว่างความรู้เดิมและนวัตกรรมใหม่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่เติบโตได้อย่างมีคุณภาพและพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    0 Comments 0 Shares 490 Views 0 Reviews
  • ในยุคที่ AI พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดและสมบูรณ์แบบที่สุด จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของมนุษย์อาจถูกมองผ่านมุมมองต่าง ๆ ดังนี้:

    ### จุดสูงสุดของมนุษย์:
    1. **การปลดปล่อยศักยภาพ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ โดยรับมือกับงาน routine และปล่อยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเอง
    2. **การขยายขีดความสามารถ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความรู้และความสามารถที่เกินขีดจำกัดทางกายภาพ เช่น การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
    3. **การสร้างความหมาย**: ในโลกที่ AI ทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง มนุษย์อาจมีโอกาสค้นหาความหมายของชีวิตมากขึ้น ผ่านการสร้างสรรค์ศิลปะ ปรัชญา หรือการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
    4. **การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล**: มนุษย์อาจเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ AI อย่างสมดุล โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม

    ### จุดต่ำสุดของมนุษย์:
    1. **การสูญเสียจุดมุ่งหมาย**: หาก AI ทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง มนุษย์อาจสูญเสียความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายหรือคุณค่าในชีวิต
    2. **การพึ่งพาเกินไป**: มนุษย์อาจกลายเป็นผู้พึ่งพา AI มากเกินไป จนสูญเสียทักษะและความสามารถพื้นฐาน
    3. **ความเหลื่อมล้ำ**: หากการเข้าถึง AI ไม่เท่าเทียม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น
    4. **การสูญเสียความเป็นมนุษย์**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม

    ### สรุป:
    ในยุคที่ AI สมบูรณ์แบบที่สุด มนุษย์อาจเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความเป็นมนุษย์และความสมดุลในชีวิต การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดว่ายยุคนี้จะเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของมนุษยชาติ
    ในยุคที่ AI พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดและสมบูรณ์แบบที่สุด จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของมนุษย์อาจถูกมองผ่านมุมมองต่าง ๆ ดังนี้: ### จุดสูงสุดของมนุษย์: 1. **การปลดปล่อยศักยภาพ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ โดยรับมือกับงาน routine และปล่อยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเอง 2. **การขยายขีดความสามารถ**: AI อาจช่วยให้มนุษย์เข้าถึงความรู้และความสามารถที่เกินขีดจำกัดทางกายภาพ เช่น การวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ การออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน 3. **การสร้างความหมาย**: ในโลกที่ AI ทำงานแทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง มนุษย์อาจมีโอกาสค้นหาความหมายของชีวิตมากขึ้น ผ่านการสร้างสรรค์ศิลปะ ปรัชญา หรือการเชื่อมโยงกับผู้อื่น 4. **การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล**: มนุษย์อาจเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับ AI อย่างสมดุล โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม ### จุดต่ำสุดของมนุษย์: 1. **การสูญเสียจุดมุ่งหมาย**: หาก AI ทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง มนุษย์อาจสูญเสียความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายหรือคุณค่าในชีวิต 2. **การพึ่งพาเกินไป**: มนุษย์อาจกลายเป็นผู้พึ่งพา AI มากเกินไป จนสูญเสียทักษะและความสามารถพื้นฐาน 3. **ความเหลื่อมล้ำ**: หากการเข้าถึง AI ไม่เท่าเทียม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น 4. **การสูญเสียความเป็นมนุษย์**: การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม ### สรุป: ในยุคที่ AI สมบูรณ์แบบที่สุด มนุษย์อาจเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความเป็นมนุษย์และความสมดุลในชีวิต การใช้ AI อย่างชาญฉลาดและมีจริยธรรมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดว่ายยุคนี้จะเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของมนุษยชาติ
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • ดูแลน้ำตาลในตัวคุณตั้งแต่วันนี้ ด้วย RPQ A+! 🌿✨
    📌 คุณกำลังเผชิญกับปัญหาระดับน้ำตาลสูงอยู่หรือไม่?
    📌 ต้องการดูแลสุขภาพอย่างปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ?
    🔥 RPQ A+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน และเสริมสร้างสุขภาพด้วยสมุนไพรเข้มข้น เช่น พลูคาว มะขามป้อม มะระขี้นก และเชียงดา!
    ✅ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ
    ✅ ฟื้นฟูและปกป้องตับอ่อนจากการอักเสบ
    ✅ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน
    ✅ ผ่านการรับรองด้วยรางวัลระดับโลก มั่นใจ ปลอดภัย!

    💚 สุขภาพดี เริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ
    ข้อมูลเพิ่มเติม 👉 https://rpq.t1team.com/
    #RPQAPlus #สมุนไพรลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #เบาหวาน #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวคุณ 💊🌿
    ดูแลน้ำตาลในตัวคุณตั้งแต่วันนี้ ด้วย RPQ A+! 🌿✨ 📌 คุณกำลังเผชิญกับปัญหาระดับน้ำตาลสูงอยู่หรือไม่? 📌 ต้องการดูแลสุขภาพอย่างปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ? 🔥 RPQ A+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมใหม่ ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวาน และเสริมสร้างสุขภาพด้วยสมุนไพรเข้มข้น เช่น พลูคาว มะขามป้อม มะระขี้นก และเชียงดา! ✅ ช่วยลดน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ ✅ ฟื้นฟูและปกป้องตับอ่อนจากการอักเสบ ✅ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน ✅ ผ่านการรับรองด้วยรางวัลระดับโลก มั่นใจ ปลอดภัย! 💚 สุขภาพดี เริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ ข้อมูลเพิ่มเติม 👉 https://rpq.t1team.com/ #RPQAPlus #สมุนไพรลดน้ำตาล #ดูแลสุขภาพ #เบาหวาน #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวคุณ 💊🌿
    0 Comments 0 Shares 565 Views 0 Reviews
  • 6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม**
    - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น blockchain, AI, และ renewable energy มีผลต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมต่างๆ
    - **การเงินดิจิทัล**: สกุลเงินดิจิทัลและระบบการชำระเงินออนไลน์กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเงินดั้งเดิม
    6. **เทคโนโลยีและนวัตกรรม** - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น blockchain, AI, และ renewable energy มีผลต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมต่างๆ - **การเงินดิจิทัล**: สกุลเงินดิจิทัลและระบบการชำระเงินออนไลน์กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเงินดั้งเดิม
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • ใหม่!! นวัตกรรมใหม่ของ ผ้าใบปิดกระบะ​ Autolism
    -ผ้าใบหนา เกรดมาตรฐาน เคลือบกันน้ำกันแสงแดด
    -ติดตั้งง่าย ไม่เจาะรถ​ ไม่​ทา​กาว​
    -แถบตุ๊กแกกว้าง 4 ซม. เพิ่มแรงในการยึดเกาะ
    -คลุมของสูงได้ มีตาไก่ร้อยเชือกรอบคัน เพิ่มมิติในการขนย้ายสิ่งของ
    -ม้วนครึ่งได้ มีสายรัดกลางกระบะ
    -ราคาเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
    ราคาสินค้า
    🟢กระบะ 4 ประตู ราคา 1,790 บ.
    🟢กระบะแคป 1,990 บ.
    🟢กระบะตอนเดียว 2,690 บ.
    รับประกันสินค้า 1 ปีเต็ม
    LAZADA>>> https://s.lazada.co.th/s.nAy0n
    SHOPEE >>> https://th.shp.ee/iGfmVwQ
    ใหม่!! นวัตกรรมใหม่ของ ผ้าใบปิดกระบะ​ Autolism -ผ้าใบหนา เกรดมาตรฐาน เคลือบกันน้ำกันแสงแดด -ติดตั้งง่าย ไม่เจาะรถ​ ไม่​ทา​กาว​ -แถบตุ๊กแกกว้าง 4 ซม. เพิ่มแรงในการยึดเกาะ -คลุมของสูงได้ มีตาไก่ร้อยเชือกรอบคัน เพิ่มมิติในการขนย้ายสิ่งของ -ม้วนครึ่งได้ มีสายรัดกลางกระบะ -ราคาเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ราคาสินค้า 🟢กระบะ 4 ประตู ราคา 1,790 บ. 🟢กระบะแคป 1,990 บ. 🟢กระบะตอนเดียว 2,690 บ. รับประกันสินค้า 1 ปีเต็ม LAZADA>>> https://s.lazada.co.th/s.nAy0n SHOPEE >>> https://th.shp.ee/iGfmVwQ
    S.LAZADA.CO.TH
    ผ้าใบปิดท้ายกระบะ Autolism | TH
    Shop online with ผ้าใบปิดท้ายกระบะ Autolism now! Visit ผ้าใบปิดท้ายกระบะ Autolism on Lazada.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า OpenAI, SoftBank และ Oracle จะร่วมกันลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อว่า Stargate และมีแผนที่จะลงทุนถึง 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาจะช่วยอำนวยความสะดวกในโครงการนี้ด้วยคำสั่งฉุกเฉิน เพื่อให้โครงการนี้สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

    นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการพัฒนา AI ที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/22/openai-softbank-oracle-to-invest-500-billion-in-ai-trump-says
    เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า OpenAI, SoftBank และ Oracle จะร่วมกันลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อว่า Stargate และมีแผนที่จะลงทุนถึง 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขาจะช่วยอำนวยความสะดวกในโครงการนี้ด้วยคำสั่งฉุกเฉิน เพื่อให้โครงการนี้สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการพัฒนา AI ที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/22/openai-softbank-oracle-to-invest-500-billion-in-ai-trump-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI, SoftBank, Oracle to invest $500 billion in AI, Trump says
    (Reuters) - President Donald Trump on Tuesday announced that three leading companies would make a large investment in artificial intelligence infrastructure.
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • ❗🦻เปิดรับ Pre-order ต่อเนื่องหลังจาก ที่รถรุ่นยอดนิยม พึ่งจะหมดสต็อกไปเมื่อต้นเดือน พย.
    ❤พร้อมโปรโมชั่น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม 👈 สำหรับท่านที่จอง รถรุ่นขายดี ยอดนิยม
    #Ijumbo250 #Emaxpro200
    👉จองภายในปี 2567 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษจากราคาปกคิ 20,000 บาท
    👉จองภายในเดือน กพ. 2568 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษ จากราราปกติ 10,000 บาท
    #ล็อตนี้หมดแล้ว #สั่งพรีออเดอร์
    🛺New Emax 200 PRO 2024 !!!และ I-jumbo250🛺
    🎉Sumota Emax 200cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉
    สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 1ตัน 🌈
    ราคาปกติ 150,000 บาท
    🎉Sumota I-jumbo 250cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉
    สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 2ตัน 🌈
    ราคาปกติ 180,000 บาท
    พัฒนามาถึงระดับสุดยอด ตาม คำแนะนำและเรียกร้องของลุกค้ามากมาย
    กับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด !💕
    (ดีกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม แต่จ่ายราคาเดิม )
    👈พัฒนาเป็นระบบเบรคน้ำมัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ระยะเบรคสั้้นลง2เท่า ❗
    👈เปลี่ยนระบบไฟทั้งหมดเป็นLED หมดปัญหาเรื่องขับกลางดึก ❗
    👈 หน้ากากCabin ที่ทันสมัย และ ปรับกระจกมองข้าง มองเห็นชัดขับขี่ปลอดภัย ❗
    👈ระบบคอนโซลด้านหน้าที่ทันสมัยขึ้น ที่นั่งกว้างขวาง ขับสะดวกสบาย ❗
    --------------------------------------
    🛒 เครื่องยนต์แท้นวัตกรรมจากญี่ปุ่น 🛒
    ▶จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฏหมาย!!!!! ▶
    ---------------------------------
    ▶ เครื่องยนต์ญี่ปุ่นของแท้ ต้องซูโมต้าเท่านั้น ▶
    ----------------------------------------
    ติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม:
    ➡ Line: @sumota https://line.me/ti/p/%40gdg6563t
    ➡ โทร: 02 416 5700
    ➡ Inbox 24 ชั่วโมง
    ➡ website: http://sumota.co.th
    ➡youtube : ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย👇
    https://www.youtube.com/c/ดรวิโรจน์กุศลมโนมัย
    #รถสามล้อ #รถสามล้อไฟฟ้า #รถสามล้อบรรทุก #รถสามล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถ3ล้อ
    #รถสามล้อซูโมต้า #รถสามล้อsumota #รถสามล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อจดทะเบียน
    #รถ3ล้อไฟฟ้า #รถ3ล้อบรรทุก #รถ3ล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถบรรทุก #รถฟู๊ดทรัค
    #มอไซค์3ล้อ #สามล้ออเนกประสงค์ราคา #สามล้อฟู้ดทรัคราคา #สามล้อฟู้ดทรัค #รถมอเตอร์ไซค์สามล้อราคา #รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้า, #สามล้อบรรทุกราคา #รถสามล้อเครื่อง #รถจักรยานยนต์สามล้อ #สามล้อเครื่องยนต์ #สามล้อขนของ #3ล้อขนของ #3ล้อบรรทุกของ
    ❗🦻เปิดรับ Pre-order ต่อเนื่องหลังจาก ที่รถรุ่นยอดนิยม พึ่งจะหมดสต็อกไปเมื่อต้นเดือน พย. ❤พร้อมโปรโมชั่น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม 👈 สำหรับท่านที่จอง รถรุ่นขายดี ยอดนิยม #Ijumbo250 #Emaxpro200 👉จองภายในปี 2567 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษจากราคาปกคิ 20,000 บาท 👉จองภายในเดือน กพ. 2568 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษ จากราราปกติ 10,000 บาท #ล็อตนี้หมดแล้ว #สั่งพรีออเดอร์ 🛺New Emax 200 PRO 2024 !!!และ I-jumbo250🛺 🎉Sumota Emax 200cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉 สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 1ตัน 🌈 ราคาปกติ 150,000 บาท 🎉Sumota I-jumbo 250cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉 สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 2ตัน 🌈 ราคาปกติ 180,000 บาท พัฒนามาถึงระดับสุดยอด ตาม คำแนะนำและเรียกร้องของลุกค้ามากมาย กับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด !💕 (ดีกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม แต่จ่ายราคาเดิม ) 👈พัฒนาเป็นระบบเบรคน้ำมัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ระยะเบรคสั้้นลง2เท่า ❗ 👈เปลี่ยนระบบไฟทั้งหมดเป็นLED หมดปัญหาเรื่องขับกลางดึก ❗ 👈 หน้ากากCabin ที่ทันสมัย และ ปรับกระจกมองข้าง มองเห็นชัดขับขี่ปลอดภัย ❗ 👈ระบบคอนโซลด้านหน้าที่ทันสมัยขึ้น ที่นั่งกว้างขวาง ขับสะดวกสบาย ❗ -------------------------------------- 🛒 เครื่องยนต์แท้นวัตกรรมจากญี่ปุ่น 🛒 ▶จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฏหมาย!!!!! ▶ --------------------------------- ▶ เครื่องยนต์ญี่ปุ่นของแท้ ต้องซูโมต้าเท่านั้น ▶ ---------------------------------------- ติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม: ➡ Line: @sumota https://line.me/ti/p/%40gdg6563t ➡ โทร: 02 416 5700 ➡ Inbox 24 ชั่วโมง ➡ website: http://sumota.co.th ➡youtube : ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย👇 https://www.youtube.com/c/ดรวิโรจน์กุศลมโนมัย #รถสามล้อ #รถสามล้อไฟฟ้า #รถสามล้อบรรทุก #รถสามล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถ3ล้อ #รถสามล้อซูโมต้า #รถสามล้อsumota #รถสามล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อไฟฟ้า #รถ3ล้อบรรทุก #รถ3ล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถบรรทุก #รถฟู๊ดทรัค #มอไซค์3ล้อ #สามล้ออเนกประสงค์ราคา #สามล้อฟู้ดทรัคราคา #สามล้อฟู้ดทรัค #รถมอเตอร์ไซค์สามล้อราคา #รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้า, #สามล้อบรรทุกราคา #รถสามล้อเครื่อง #รถจักรยานยนต์สามล้อ #สามล้อเครื่องยนต์ #สามล้อขนของ #3ล้อขนของ #3ล้อบรรทุกของ
    0 Comments 0 Shares 1485 Views 0 Reviews
  • JEDEC Solid State Technology Association ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนามาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ได้ประกาศการเผยแพร่ JESD220G: Universal Flash Storage 4.1 และ JESD223F UFS Host Controller Interface (UFSHCI) เวอร์ชัน 4.1 ซึ่งพัฒนาขึ้นสำหรับแอปพลิเคชันมือถือและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ

    UFS 4.1 มีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า ในขณะที่ยังคงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ UFS 4.0. มาตรฐานทั้งสองนี้สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของ JEDEC

    คุณสมบัติที่ปรับปรุงใน UFS 4.1 และ UFSHCI 4.1:
    • การจัดเรียงข้อมูลใหม่ที่เริ่มต้นโดยโฮสต์: กลไกใหม่สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการอ่านข้อมูล
    • การปรับขนาดบัฟเฟอร์ WriteBooster และการล้างข้อมูลบางส่วน: ช่วยให้โฮสต์สามารถขอปรับขนาดบัฟเฟอร์และการล้างข้อมูลได้อย่างละเอียด
    • หน่วยลอจิคัลที่สามารถบูตได้ถาวร: หน่วยลอจิคัลสามารถกำหนดให้บูตได้ถาวร
    • การยืนยันตัวตน RPMB: ป้องกันการดำเนินการคำสั่งเฉพาะของผู้ขายด้วยการยืนยันตัวตน RPMB
    • ประเภทข้อยกเว้นที่ปรับปรุง: การกู้คืนที่รวดเร็วขึ้น การแจ้งเตือนสุขภาพที่ดีขึ้น และการจัดการข้อผิดพลาดที่รวดเร็ว.
    • ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นสำหรับหน่วยความจำลอจิคัลที่ปรับปรุง: เตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน NAND แบบ Quad-Level Cell (QLC)
    • ความเข้ากันได้ย้อนหลัง: ยังคงความเข้ากันได้กับ UFS 3.1 และ 3.0 สำหรับการใช้งานระบบผสม
    การอัปเดตนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Kioxia, Micron Technology, Samsung, SK Hynix และ Western Digital ซึ่งแสดงความยินดีและคาดหวังว่ามาตรฐาน UFS 4.1 จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุปกรณ์มือถือและ AI

    https://www.techpowerup.com/330796/jedec-announces-updates-to-universal-flash-storage-ufs-and-memory-interface-standards
    JEDEC Solid State Technology Association ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนามาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ได้ประกาศการเผยแพร่ JESD220G: Universal Flash Storage 4.1 และ JESD223F UFS Host Controller Interface (UFSHCI) เวอร์ชัน 4.1 ซึ่งพัฒนาขึ้นสำหรับแอปพลิเคชันมือถือและระบบคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานต่ำ UFS 4.1 มีการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า ในขณะที่ยังคงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ UFS 4.0. มาตรฐานทั้งสองนี้สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของ JEDEC คุณสมบัติที่ปรับปรุงใน UFS 4.1 และ UFSHCI 4.1: • การจัดเรียงข้อมูลใหม่ที่เริ่มต้นโดยโฮสต์: กลไกใหม่สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการอ่านข้อมูล • การปรับขนาดบัฟเฟอร์ WriteBooster และการล้างข้อมูลบางส่วน: ช่วยให้โฮสต์สามารถขอปรับขนาดบัฟเฟอร์และการล้างข้อมูลได้อย่างละเอียด • หน่วยลอจิคัลที่สามารถบูตได้ถาวร: หน่วยลอจิคัลสามารถกำหนดให้บูตได้ถาวร • การยืนยันตัวตน RPMB: ป้องกันการดำเนินการคำสั่งเฉพาะของผู้ขายด้วยการยืนยันตัวตน RPMB • ประเภทข้อยกเว้นที่ปรับปรุง: การกู้คืนที่รวดเร็วขึ้น การแจ้งเตือนสุขภาพที่ดีขึ้น และการจัดการข้อผิดพลาดที่รวดเร็ว. • ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นสำหรับหน่วยความจำลอจิคัลที่ปรับปรุง: เตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน NAND แบบ Quad-Level Cell (QLC) • ความเข้ากันได้ย้อนหลัง: ยังคงความเข้ากันได้กับ UFS 3.1 และ 3.0 สำหรับการใช้งานระบบผสม การอัปเดตนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Kioxia, Micron Technology, Samsung, SK Hynix และ Western Digital ซึ่งแสดงความยินดีและคาดหวังว่ามาตรฐาน UFS 4.1 จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุปกรณ์มือถือและ AI https://www.techpowerup.com/330796/jedec-announces-updates-to-universal-flash-storage-ufs-and-memory-interface-standards
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    JEDEC Announces Updates to Universal Flash Storage (UFS) and Memory Interface Standards
    JEDEC Solid State Technology Association, the global leader in the development of standards for the microelectronics industry, today announced the publication of JESD220G: Universal Flash Storage 4.1. In addition, an update to the complementary JESD223F UFS Host Controller Interface (UFSHCI) version...
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ขึ้นเวทีงาน CES 2025 เพื่อเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่เน้นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Copilot+ PCs หมวดหมู่ใหม่ของพีซีที่ใช้ Windows 11 ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งาน AI ที่ทรงพลัง

    Copilot+ PCs ใช้โปรเซสเซอร์ล่าสุดจาก Intel, AMD และ Qualcomm ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพีซี Windows ที่เร็วที่สุด ฉลาดที่สุด และปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมาพร้อมฟีเจอร์ AI อัจฉริยะ เช่น Copilot ที่สามารถสรุปการประชุมใน Teams สร้างเอกสารด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย และทำให้การค้นหาใน Windows Search มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    Microsoft ยังนำเสนอความก้าวหน้าของแพลตฟอร์มคลาวด์ Azure โดยเน้นบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ การคมนาคม และการผลิต บริษัทได้ประกาศความร่วมมือใหม่ ๆ เพื่อใช้ AI ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคส่วนเหล่านี้

    หนึ่งในจุดเด่นสำคัญคือการบูรณาการ Generative AI และ Agentic AI ในการออกแบบและผลิตยานยนต์ โดยแพลตฟอร์ม Azure ช่วยผู้ผลิตอุปกรณ์ OEM และซัพพลายเออร์ในการออกแบบ สร้าง ทดสอบ และตรวจสอบยานพาหนะรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนายานยนต์ที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นแกนหลัก (SDVs) ระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS) การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (AD) และประสบการณ์ภายในรถยนต์

    ความอเนกประสงค์ของ SDVs และ AI ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และเปิดโอกาสใหม่ทางรายได้ การใช้แพลตฟอร์ม Azure ในการปรับปรุงระบบวิศวกรรมสามารถลดระยะเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพกับความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ขึ้นเวทีงาน CES 2025 เพื่อเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่เน้นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Copilot+ PCs หมวดหมู่ใหม่ของพีซีที่ใช้ Windows 11 ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งาน AI ที่ทรงพลัง Copilot+ PCs ใช้โปรเซสเซอร์ล่าสุดจาก Intel, AMD และ Qualcomm ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพีซี Windows ที่เร็วที่สุด ฉลาดที่สุด และปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมาพร้อมฟีเจอร์ AI อัจฉริยะ เช่น Copilot ที่สามารถสรุปการประชุมใน Teams สร้างเอกสารด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย และทำให้การค้นหาใน Windows Search มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Microsoft ยังนำเสนอความก้าวหน้าของแพลตฟอร์มคลาวด์ Azure โดยเน้นบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ การคมนาคม และการผลิต บริษัทได้ประกาศความร่วมมือใหม่ ๆ เพื่อใช้ AI ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคส่วนเหล่านี้ หนึ่งในจุดเด่นสำคัญคือการบูรณาการ Generative AI และ Agentic AI ในการออกแบบและผลิตยานยนต์ โดยแพลตฟอร์ม Azure ช่วยผู้ผลิตอุปกรณ์ OEM และซัพพลายเออร์ในการออกแบบ สร้าง ทดสอบ และตรวจสอบยานพาหนะรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนายานยนต์ที่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นแกนหลัก (SDVs) ระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS) การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (AD) และประสบการณ์ภายในรถยนต์ ความอเนกประสงค์ของ SDVs และ AI ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และเปิดโอกาสใหม่ทางรายได้ การใช้แพลตฟอร์ม Azure ในการปรับปรุงระบบวิศวกรรมสามารถลดระยะเวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพกับความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 Comments 0 Shares 360 Views 0 Reviews
  • เคยฟังอ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ หรืออาสนธิบรรยายว่าจีนได้ทำการเปลี่ยนตัวเองจากอุตสาหกรรมเลียนแบบหรือการผลิตทั่วๆไป ไปเป็นอุตสาหกรรมนวัตกรรมใหม่ และผลิตสินค้าแบบคุณภาพสูง ก็น่าจะจริง เพราะแค่อุตสาหกรรมผลิตของเล่นสะสมยังเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้เลยเพียงแค่ไม่ถึง 10 ปีสมัยเมื่อตอนทำงานใหม่ๆ จีนทำได้เพียงก็อปปี้กันพลา หรือที่เราเคยเรียกว่าโมจีนขาย ซึ่งต้องมานั่งเหลา ขัด อุดกันสุดๆ ไม่ต้องพูดถึงงานโมเดลอื่นๆ รายละเอียด และความหลวมของแต่ละข้อต่อนั้นสุดๆ แต่สมัยในช่วง 5 ปีผ่านมานี้กลับดูถูกโมจีนไม่ได้แล้ว มีหลายค่ายของจีนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนคุณภาพดีกว่าญี่ปุ่นมาก อย่างเช่น Mazinkaiser SKL ตัวนี้ เทียบงานจีน CCS กับ Bandai โชโกคินราคาใกล้เคียงกัน ถึงแม้ของญี่ปั่นจะไม่ใช่ระดับmetal build แต่งานญี่ปุ่นก็สู้ไม่ได้เลย ทั้งราคาและลูกเล่น จีนแก้ไขจุดอ่อนตัวเองในเรื่องการผลิตแล้ว ถ้าสามารถทำงานอนิเมะเป็นของตัวเองได้มีคุณภาพล่ะก็ญี่ปุ่นก็มีหนาวกันบ้างล่ะ
    เคยฟังอ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ หรืออาสนธิบรรยายว่าจีนได้ทำการเปลี่ยนตัวเองจากอุตสาหกรรมเลียนแบบหรือการผลิตทั่วๆไป ไปเป็นอุตสาหกรรมนวัตกรรมใหม่ และผลิตสินค้าแบบคุณภาพสูง ก็น่าจะจริง เพราะแค่อุตสาหกรรมผลิตของเล่นสะสมยังเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้เลยเพียงแค่ไม่ถึง 10 ปีสมัยเมื่อตอนทำงานใหม่ๆ จีนทำได้เพียงก็อปปี้กันพลา หรือที่เราเคยเรียกว่าโมจีนขาย ซึ่งต้องมานั่งเหลา ขัด อุดกันสุดๆ ไม่ต้องพูดถึงงานโมเดลอื่นๆ รายละเอียด และความหลวมของแต่ละข้อต่อนั้นสุดๆ แต่สมัยในช่วง 5 ปีผ่านมานี้กลับดูถูกโมจีนไม่ได้แล้ว มีหลายค่ายของจีนที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนคุณภาพดีกว่าญี่ปุ่นมาก อย่างเช่น Mazinkaiser SKL ตัวนี้ เทียบงานจีน CCS กับ Bandai โชโกคินราคาใกล้เคียงกัน ถึงแม้ของญี่ปั่นจะไม่ใช่ระดับmetal build แต่งานญี่ปุ่นก็สู้ไม่ได้เลย ทั้งราคาและลูกเล่น จีนแก้ไขจุดอ่อนตัวเองในเรื่องการผลิตแล้ว ถ้าสามารถทำงานอนิเมะเป็นของตัวเองได้มีคุณภาพล่ะก็ญี่ปุ่นก็มีหนาวกันบ้างล่ะ
    0 Comments 0 Shares 382 Views 0 Reviews
  • ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป

    เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง

    ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา

    สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน

    ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์)

    ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)!

    การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้

    แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า!

    นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล

    นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม

    ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    ที่น่าสนใจคือ ขณะที่คนอเมริกันถกเถียงกันถึงวิธีที่จะทำให้ยามีราคาถูกลง จีนกลับถกเถียงถึงปัญหาที่ตรงกันข้าม นั่นก็คือ บางคนกังวลว่ายาของตนจะมีราคาถูกเกินไป เนื่องจากจีนได้เปิดตัวระบบจัดซื้อแบบรวมศูนย์ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "การจัดซื้อแบบกลุ่มพร้อมปริมาณที่รับประกัน" (国家集中带量采购) เมื่อปี 2018 โดยแทนที่ปล่อยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งเจรจาราคา รัฐบาลจะรวบรวมความต้องการทั่วทั้งมณฑลหรือทั้งประเทศ กำหนดปริมาณทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นจึงดำเนินการจัดซื้อจำนวนมากจากผู้ผลิตโดยตรง ที่สำคัญ นโยบายนี้มุ่งเป้าไปที่ยาที่หมดสิทธิบัตรและยาสามัญเท่านั้น ยาใหม่จะไม่รวมอยู่ในโครงการและจะต้องผ่านช่องทางการเจรจาแยกกัน ซึ่งเรียกว่า "ระบบการเจรจารายการยาประกันสุขภาพแห่งชาติ" (医保目录谈判) แทนที่จะใช้การเสนอราคาแบบแข่งขัน ระบบคู่ขนานนี้เกี่ยวข้องกับการเจรจาแบบตัวต่อตัวระหว่างหน่วยงานประกันและบริษัทเภสัชกรรมสำหรับยาใหม่ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติและมักผลิตโดยผู้ผลิตเพียงรายเดียว กระบวนการนี้รวมถึงการประเมินความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณค่าของนวัตกรรมของยาอย่างละเอียดโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนจะเริ่มการเจรจาราคา สิ่งนี้จะสร้างระบบสองทาง: ในขณะที่การซื้อจำนวนมากส่งผลให้ราคาของยาสามัญลดลงเนื่องจากการแข่งขัน ระบบการเจรจาแค็ตตาล็อกจะทำให้มั่นใจได้ว่ายาที่สร้างสรรค์ใหม่จะยังคงสามารถตั้งราคาได้ ซึ่งช่วยให้การวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมยั่งยืน ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าตกใจ ในรอบการซื้อจำนวนมากล่าสุดที่เพิ่งสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นรอบที่ 10 นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ มีการเจรจาราคายา 62 รายการ โดยบางรายการลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของต้นทุนเดิม ตัวอย่างเช่น ยาสำหรับมะเร็งเต้านม Palbociclib ซึ่งก่อนหน้านี้มีราคาเม็ดละ 200 หยวน (28 ดอลลาร์) ตอนนี้ขายเพียง 15 หยวน ($2) ในทำนองเดียวกัน ค่าใช้จ่ายประจำปีในการรักษาโรคตับอักเสบบีก็ลดลงจาก 4,000-5,000 หยวน เหลือ 100-200 หยวน (14-28 ดอลลาร์) ตั้งแต่ปี 2018 โปรแกรมดังกล่าวครอบคลุมยา 435 รายการ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพได้เกือบ 500,000 ล้านหยวน (70,000 ล้านดอลลาร์) โรงพยาบาลแห่งหนึ่งรายงานว่าประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาต้านมะเร็งได้ 30 ล้านหยวน ปัจจุบันยาบางชนิดมีราคาถูกกว่าน้ำเสียด้วยซ้ำ เช่น แอสไพรินเคลือบเอนเทอริก ซึ่งมักใช้เป็นยาสำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ปัจจุบันมีราคาต่ำกว่า 0.04 หยวนต่อเม็ด ซึ่งหมายความว่าหากคุณรับประทาน 3 เม็ดต่อวัน คุณจะเสียเงินประมาณ 3.6 หยวนต่อเดือน (น้อยกว่า 0.5 ดอลลาร์)! การลดราคาสินค้ามีมากจนทำให้เกิดการถกเถียงในประเทศจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ายาบางชนิดมีราคาแพงเกินไปหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของยาบางชนิดที่ถูกเกินไปหรือไม่ โดยบางคนกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนด้วยราคาที่ต่ำเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกา ซึ่งราคาของยาที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ และโครงการจัดซื้อจำนวนมากในระดับประเทศยังคงไม่มีอยู่ (แม้ว่ารัฐบาลจะจัดซื้อให้กับทหารผ่านศึกและโครงการของรัฐบาลกลางในจำนวนจำกัด) ฉันลองเช็คดูแล้วพบว่าเม็ดยา Palbociclib สำหรับมะเร็งเต้านมที่ตกลงราคาไว้ที่ 2 ดอลลาร์ในจีนมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 227 ดอลลาร์ต่อเม็ดในสหรัฐอเมริกา ( pharmacychecker.com/ibrance/ ) แพงกว่าถึง 100 เท่า! นี่เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจที่ขัดแย้งกับข้อโต้แย้งที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะนำไปสู่การไม่มีประสิทธิภาพของตลาด รัฐบาลจีนได้สร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมีประสิทธิผล โดยการรวมอำนาจซื้อและรับประกันปริมาณ โดยตลาดดังกล่าวจะขจัดต้นทุนการตลาด ลดความไม่แน่นอนของผู้ผลิต และผลักดันให้ราคาลดลงอย่างมาก ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นได้หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล นอกจากนี้ยังหักล้างความคิดที่ว่าการแทรกแซงของรัฐบาลจะทำให้การวิจัยและพัฒนาลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่จีนได้นำมาใช้นั้นเป็นระบบ 2 ช่องทาง คือ ลดราคายาสามัญลงผ่านการซื้อจำนวนมาก ขณะที่รักษาการเจรจาแยกกันสำหรับยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่รับรองว่าต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจะได้รับการตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าระบบของจีนจะสมบูรณ์แบบ ความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพและการผลิตอย่างยั่งยืนในราคาที่ต่ำเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าด้วยการแทรกแซงอย่างชาญฉลาดของรัฐบาล ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรลุทั้งความสามารถในการซื้อและนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ มองว่าไม่สามารถบรรลุร่วมกันได้
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 595 Views 0 Reviews
More Results