• ..ส่งกำลังใจถึงทหารหาญไทย ทุกๆท่านสุดยอดมากๆ
    ..ฮุนเซน ฮุนมาเนตต้องไปเฝ้ารากมะม่วงสถานเดียว ไร้การเจรจาพูดคุยใดๆทั้งหมด,กองพลความมั่นคงแห่งชาติเราลงมติ ให้แม่ทัพภาค2เราเป็นตัวแทนหัวหน้าคณะปฏิวัติกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเถอะ,มีอำนาจตรงแต่งตั้งหัวหน้าควบคุมกระทรวงกลาโหมทั้งหมดได้ทันที,อนุมัติงบโดรมพลีชีพเพื่อทหารหาญเราเลย10,000ตัว,จัดการทหารเขมรตลอดแนวพรมแดนทั้งหมด,เรา..ประชาชนไม่ร่วมรักสามัคคีตนเพื่อแผ่นดินตนเอง,จะสามัคคีเพื่อแผ่นดินใคร,รัฐบาลปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพการตอบโต้งานเอกสารงานข่าวใดๆด้านIOกับเขมรจริงๆเลย,รมต.และฑูตไทยเองเอยสามารถยื่นเรื่องแก่UNสำนักงานใหญ่มันได้ทันที เสือกยังช้าให้เขมรเดินเรื่องชิงตัดหน้าไปก่อน,ต้องIOทั่วโลกว่า "เขมรรุกรานคุกคามอธิปไตยดินแดนประเทศไทยก่อนและยิงประชาชนพลเรือนไทยเราก่อนด้วย."ประกาศอย่างเป็นทางการส่งจดหมายเร่งด่วนแก่ทุกๆฑูตในประเทศไทยและทั่วโลก,ออกสื่อออนไลน์ทุกๆแพลตฟอร์ม ,ประฌามฮุนเซนอย่างเป็นทางการผ่านทุกๆสถานฑูตทั่วไทยและทั่วโลกว่าเขมรนำโดยฮุนเซนเจตนายิงผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กๆคนชราจนเสียชีวิตก่อน ,ฮุนเซนและฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามและอาชญากรรมทางสงครามต่อประเทศไทยด้วย.,นี้รัฐบาลต้องเชิงรุกรอบด้านทั่วโลกลักษณะนี้,แอ็คชั่นยอมรับว่าสมควรถูกยึดอำนาจเถอะถ้าไม่ไปเองจริงๆ.

    https://youtube.com/watch?v=Aox1G2UXyVw&si=68p51lBdKOTI8Ela
    ..ส่งกำลังใจถึงทหารหาญไทย ทุกๆท่านสุดยอดมากๆ ..ฮุนเซน ฮุนมาเนตต้องไปเฝ้ารากมะม่วงสถานเดียว ไร้การเจรจาพูดคุยใดๆทั้งหมด,กองพลความมั่นคงแห่งชาติเราลงมติ ให้แม่ทัพภาค2เราเป็นตัวแทนหัวหน้าคณะปฏิวัติกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยเถอะ,มีอำนาจตรงแต่งตั้งหัวหน้าควบคุมกระทรวงกลาโหมทั้งหมดได้ทันที,อนุมัติงบโดรมพลีชีพเพื่อทหารหาญเราเลย10,000ตัว,จัดการทหารเขมรตลอดแนวพรมแดนทั้งหมด,เรา..ประชาชนไม่ร่วมรักสามัคคีตนเพื่อแผ่นดินตนเอง,จะสามัคคีเพื่อแผ่นดินใคร,รัฐบาลปัจจุบันไร้ประสิทธิภาพการตอบโต้งานเอกสารงานข่าวใดๆด้านIOกับเขมรจริงๆเลย,รมต.และฑูตไทยเองเอยสามารถยื่นเรื่องแก่UNสำนักงานใหญ่มันได้ทันที เสือกยังช้าให้เขมรเดินเรื่องชิงตัดหน้าไปก่อน,ต้องIOทั่วโลกว่า "เขมรรุกรานคุกคามอธิปไตยดินแดนประเทศไทยก่อนและยิงประชาชนพลเรือนไทยเราก่อนด้วย."ประกาศอย่างเป็นทางการส่งจดหมายเร่งด่วนแก่ทุกๆฑูตในประเทศไทยและทั่วโลก,ออกสื่อออนไลน์ทุกๆแพลตฟอร์ม ,ประฌามฮุนเซนอย่างเป็นทางการผ่านทุกๆสถานฑูตทั่วไทยและทั่วโลกว่าเขมรนำโดยฮุนเซนเจตนายิงผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กๆคนชราจนเสียชีวิตก่อน ,ฮุนเซนและฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามและอาชญากรรมทางสงครามต่อประเทศไทยด้วย.,นี้รัฐบาลต้องเชิงรุกรอบด้านทั่วโลกลักษณะนี้,แอ็คชั่นยอมรับว่าสมควรถูกยึดอำนาจเถอะถ้าไม่ไปเองจริงๆ. https://youtube.com/watch?v=Aox1G2UXyVw&si=68p51lBdKOTI8Ela
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สุชาติ ชมกลิ่น" ปลุกขวัญ! ลั่น "เราคือคนไทยมีศักดิ์ศรี" วอนอย่าให้ใครรังแก ชูเป็นกำลังใจทหารกล้าจากใจ
    https://www.thai-tai.tv/news/20490/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #ทหารหาญ #ศักดิ์ศรีประเทศไทย #กำลังใจ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปกป้องประชาชน #เราคือคนไทย
    "สุชาติ ชมกลิ่น" ปลุกขวัญ! ลั่น "เราคือคนไทยมีศักดิ์ศรี" วอนอย่าให้ใครรังแก ชูเป็นกำลังใจทหารกล้าจากใจ https://www.thai-tai.tv/news/20490/ . #สุชาติชมกลิ่น #ทหารหาญ #ศักดิ์ศรีประเทศไทย #กำลังใจ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปกป้องประชาชน #เราคือคนไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ส่งกำลังถึงทหารหาญเราทุกๆนาย ท่านทั้งหลายสุดยอดมากในความอดทนอดกลั้นที่ผ่านๆมา.,รัฐบาลเรามองว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ นี้คือนายกฯไทยที่ถูกพักงานไปแล้ว แต่ยังเหลือรักษาการ,
    ..คงไม่นานจะยึดอำนาจรัฐบาลไทยแน่ๆเพื่อการปฏิบัติการทั้งหมดเป็นไปในทางที่ราบรื่นคล่องตัวกว่านี้,จะรักษาอธิปไตยไทยเราได้ครบด้านครอบคลุมทั่วประเทศทันที,มิใช่แค่มิติการรุกรานคุกคามจากเขมรแค่นั้น.,สงครามโลกยังอยู่ข้างหน้า.

    https://youtube.com/watch?v=2U20V6tVNpc&feature=shared
    ..ส่งกำลังถึงทหารหาญเราทุกๆนาย ท่านทั้งหลายสุดยอดมากในความอดทนอดกลั้นที่ผ่านๆมา.,รัฐบาลเรามองว่า ทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามเราพะนะ นี้คือนายกฯไทยที่ถูกพักงานไปแล้ว แต่ยังเหลือรักษาการ, ..คงไม่นานจะยึดอำนาจรัฐบาลไทยแน่ๆเพื่อการปฏิบัติการทั้งหมดเป็นไปในทางที่ราบรื่นคล่องตัวกว่านี้,จะรักษาอธิปไตยไทยเราได้ครบด้านครอบคลุมทั่วประเทศทันที,มิใช่แค่มิติการรุกรานคุกคามจากเขมรแค่นั้น.,สงครามโลกยังอยู่ข้างหน้า. https://youtube.com/watch?v=2U20V6tVNpc&feature=shared
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชทานพระเครื่องแก่ พล.ท.บุญสิน เพื่อนำไปมอบให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมรับสั่งให้แจกให้ครบทุกนาย สะท้อนถึงความห่วงใยและพระเมตตาที่ทรงมีต่อทหารหาญของชาติ ทรงพระเจริญ🙏🏻
    สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชทานพระเครื่องแก่ พล.ท.บุญสิน เพื่อนำไปมอบให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมรับสั่งให้แจกให้ครบทุกนาย สะท้อนถึงความห่วงใยและพระเมตตาที่ทรงมีต่อทหารหาญของชาติ ทรงพระเจริญ💜🙏🏻
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน

    ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ

    โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม

    นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้

    ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว

    และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท

    สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน

    แต่!!

    สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา

    สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด

    โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด

    ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้

    แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก

    ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน

    ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย

    ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น

    และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่

    เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน

    คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง?

    สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม

    ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation

    และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด

    ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด

    สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่

    ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่

    ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต

    เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้

    ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น

    ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา

    ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา

    แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย

    หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะเขียนบทความนี้ทุกตัวอักษรจากหัวใจล้วนๆ ไม่มีอ้างอิงข้อมูลใดๆ ไม่มีการหาข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม เพราะส่วนตัวคิดว่า คงถึงเวลาที่เราต้องเรียก "สติ" กัน แม้ว่าการส่งเสียงผ่านกลุ่มนี้ อาจจะเงียบกริบ แต่อย่างน้อยๆ คนที่แวะผ่านมาเห็น ขอจงโปรดใช้วิจารณญานในการ ค.ว.ย. กรณีตระกูลฮุน ผมหมายถึง "คิด . วิเคระห์ . แยกแยะ" โปรดอย่างคิดเป็นอื่น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณอุ๊งอิ๊งได้ทำลงเป็น เป็นความผิดพลาดที่ไม่สมควรอภัยอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายอย่างใด สิ่งที่ทำลงไป ไม่อาจเรียกว่าเป็น "การกระทำที่ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว" ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะผู้นำประเทศที่ทุกๆ การกระทำ คือสิ่งแสดงสถานะตัวแทนและผู้นำประเทศ และไม่ว่าจะด้วยการกล่าวอ้างใดๆ ของคนที่เห็นว่านายกฯ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ยิ่งช่วย ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ลูกสาวคนสุดท้อง ของคุณทักษิณ ยังไม่มีวุฒิภาวะ และความสามารถเพียงพอใจการเป็นผู้นำประเทศ โดยเฉพาะการนำเรื่อง "ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศ" ไปคุยผ่าน "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" ไม่ว่าคนที่คุยด้วยนั้น จะเป็นผู้นำประเทศคู่กรณีตัวจริง หรือ ตัวจริง ก็ตาม (ผมหมายถึง เป็นโดยตำแหน่ง หรือเป็นโดยการยอมรับ) หรือแม้กระทั่ง เป็นการคุยเพื่อหวังดีต่อประเทศจริงๆ หรือเพียงหวังดีต่อเก้าอี้ตนเองก็ตาม นี่คือเรื่องของ "ประเทศ" ที่ไม่ใช่ "ธุรกิจส่วนตัว" ที่ไปคุยกันบนกรีนสนามกอล์ฟ หรือจบที่คลับหรือเลานจ์สักที่่ คุยนอกรอบให้ลงตัว แล้วค่อยไปจบในห้องประชุม การพูดคุยในฐานะประเทศ ต่อให้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ก็พึงมีคนระวังหลังให้เสมอ ไม่ว่าจะมีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ ก็ต้องมีคนช่วยเวลาคุย ไม่ใช่ กำลังจะนอนแล้ว โทรหาอังเคิลซะหน่อย เผื่อเคลียร์ได้ ผมไม่เคยเชื่อว่าระหว่าง Donald Trump และ Vladimir Putin จะโทรคุยกันโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ระหว่าง Vladimir Putin กับ 习近平 (สีจิ้นผิง) จะคุยกันบนความสัมพันธ์ส่วนตัว และเมื่อตัดสินใจผิดพลาด เปลี่ยนการพูดคุยที่ควรจะมีแบบแผนและจริงจัง เป็นวาทกรรมก่อนนอน ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา เมื่อคู่สนทนา จริงจังในทุกๆ บริบท สรุป ไม่ว่าสายซัพพอร์ตของ น้องอิ๊ง จะพยายามแก้ต่างด้วยเหตุความหวังดีต่อประเทศอย่างไร มันก็ยิ่งตอกย้ำว่า น้องอิ๊ง ไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำอยู่ดี - รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เมื่อบทสนทนาหนักๆ กลายเป็นเรื่องคุยก่อนนอน แต่!! สิ่งที่น่ากลัวกว่าท่านนายกฯ ก็คือ ท่านพ่อนายกฯ ที่ไม่ใช่พ่อนายกฯ เมืองไทย แต่เป็นพ่อนายกฯ เขมร ผู้นำตระกูลฮุน ที่กำลัง "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบนเวทีโลกไปทุกวัน ดูจากสิ่งที่กำลังตามต่อมาจากหลังจาก คลิปเสียงเวอร์ชั่นเต็ม 17 นาทีถูกปล่อยออกมา สิ่งที่ท่านผู้นำฮุนกระทำ และบัญชาการให้องคาพยบของเหล่าชนชั้นนำของกัมพูชาทำก็คือ การเขย่าประเทศไทยให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ เพื่อสร้างแต้มต่อไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดให้กับการต่ออายุการกดขี่ข่มเหงคนกัมพูชาให้นานที่สุด โดยมีเป้าหมายในการเป็น "คิมอิลซุง" หรือ "คิมจองอิล" ของราชวงศ์กัมพูชาให้จงได้ โดยอาศัยเพียงความชาตินิยมของคนกัมพูชา ที่ยังไม่หลุดพ้นจากภาพจำของการตกเป็นเมืองขึ้นของสยามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ตั้งแต่นครวัดนครธมถูกอโยธยาเผา เรื่อยมาจนกระทั่งเขมรได้รับการปลดปล่อยจากไทย ด้วยปลายกระบอกปืนของฝรั่งเศส แต่ก็ถูกกดโดยเหล่าเสนาอำมาตย์ที่คอยยกไทยให้เป็นศัตรูผ่านตำราเรียนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ยังคงตอกย้ำการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้งมาโดยตลอด ยังดีที่คนไทย ได้รับโอกาสมากกว่า เราจึงหลุดพ้นการกดขี่และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพจากผู้ปกครองได้มากกว่าคนกัมพูชา แม้ว่าไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ ทางด้านประชาธิปไตยมาตลอด 92 ปี จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้ แต่คนกัมพูชา ยังไม่หลุดพ้นจากเรื่องนั้น ทั้งปัญหาสงครามกลางเมืองและการช่วงชิงอำนาจที่พึ่งยุติไปเมื่อก่อนโลโซปกแดงไม่กี่ปี แถมซ้ำด้วยการที่กลุ่มชนชั้นนำของประเทศกัมพูขากดหัวประชาชนตัวเองต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งทำให้คนกัมพูชายังมองภาพรวมไม่ออก ซึ่งก็ไม่ค่อยต่างกันคนไทยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็มีเสรีมากกว่าในการพูด พรรคฝ่ายค้านของประเทศเรา ก็ยังด่ารัฐบาลได้ทุกวัน ไม่ต้องติดคุก หรือไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไหน ดูได้จาก ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ "ไทย" ได้ดิบได้ดี ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็จะแปลงสัญชาติเป็น "เคลมโบเดีย" ทันที และเป็นกับไทย และไทยเท่านั้น ไม่มีลาว ไม่มีเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาเหมือนกัน และเจริญกว่ากัมพูชาเหมือนกันแม้แต่น้อย ตราบใดก็ตามที่ คนกัมพูชา ยังไม่หลุดกับดักของชนชั้้นนำ ที่พยายามเอาเรื่องความรู้สึกต่ำต้อยทางเชื่อชาติเมื่อเทียบกับไทย มาเป็นอาวุธเหนี่ยวไกฝังกระสุนลงหัวประชาชนกัมพูชา ตราบนั้น การที่ตระกูลฮุน และชนชั้นนำของกัมพูชา จะใช้ไทยเป็นเครื่องมือก็จะไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น และวันนี้ คนไทย กำลังเล่นเกมตระกูลฮุนอยู่ เรากำลังเสริมภาพลักษณ์ให้ "ฮุนเซน" กลายเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติกัมพูชา ดังที่คนกัมพูชากำลังได้ชม "ลูกชายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ" (หรือบางคนเรียกว่า "ลูกชายใต้เดือนเพ็ญ") ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กัมพูชาในทุกวัน คนไทยเรา แค่ต้องฟังเพลง "เราจะทำตามสัญญา" ก็ปิดทีวี เปิด YouTube หรือ Netflix ดูกันหมดแล้ว แต่นี่ละครทั้งเรื่อง คนกัมพูชามีทางเลือกอะไรบ้าง? สิ่งที่เราควรทำในนาทีนี้คือ Status Quo หรือ ตรึงทุกอย่างไว้กับที่ให้นานที่สุด เพราะตระกูลฮุน กำลังเล่นเกมที่เรียกว่า Rally Round the Flag หรือการสร้างภาพการคลั่งชาติ ประคองคะแนนนิยม ยิ่งฝ่ายตรงข้ามในเกม ร้อนระอุเท่าไหร่ ตระกูลฮุน ก็จะยิ่งได้ ได้ และ ได้ ได้โดยไม่หยุดหย่อน และหากผันเกมให้เป็นความบาดหมางระหว่างเชื้อชาติได้ ตระกูลฮุนจะยิ่งครอง และกดหัวคนกัมพูชาไปได้อีกหลาย Generation และเราก็จะเดือดร้อนไปอีกหลาย Generation เช่นกัน และไม่เพียงแต่ชีวิตประชาชนและทหารหาญที่จะต้องเสียไปในวันนี้ หากการปั่นกระแสเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลฮุน จุดติดขึ้นมาจริงๆ ประชาชนและทหารหาญที่ คนรักอิ๊ง นำมากล่าวอ้างว่า ต้องการปกป้องนัก ปกป้องหนา ก็จะยิ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับสงครามทีจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ต่างจาก ฉนวนกาซ่า ที่ ปาเลสไตน์ ปะทะกับ อิสราเอล ตามที่ ฮุนเซน กล่าวและหวังไว้ว่ามันจะเกิด สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้จึงควรเป็นการตั้งสติอย่างมาก และมากที่สุด หยุดเต้นตามเพลงกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาร้องเพลง เต้นรำ ปิดปราสาทในเขตพื้นที่พิพาท หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม แม้กระทั่งทหารไทยที่กำลังได้รับแรงเชียร์อย่างมหาศาลให้รบ ก็ควรทิ้งกระบอกปืนไว้ที่ต้้ง แล้วจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด แม้ว่าจะทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็ต้องทน ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้กระสุนไทย ฝังในร่างกายคนกัมพูชาได้เท่าไร่ ยิ่งฮุนเซน ไม่สามารถบีบให้หมัดทหารไทย อัดหน้านักแสดงตุ๊กตาทองรักชาติกัมพูชาที่พยายามยั่วยุในพื้นที่พิพาทรายวันได้เท่าไหร่ ฮุนเซนก็จะยิ่งอึดอัดกับกระแสที่จะค่อยๆ ตีกลับมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่คนไทยสามารถสร้างภาพให้คนกัมพูชาเห็นได้ว่า ฮุนเซน ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้ดี ไม่ได้เจ๋ง ซ้ำยังอ่อนด้อย เพราะไม่เคยสร้างความเจริญใดๆ ให้ประเทศเค้าเอง นอกจากความมั่งคั่งของตัวเอง และเป็นเพียงนายใหม่ที่มากดหัวคนกัมพูชามากกว่า สยามในประวัติศาสตร์ และฝรั่งเศสในอดีต เพราะฮุนเซนเป็นคนชาติเดียวกันกับคนกัมพูชา ที่ต้องระเหเร่ร่อนมาหางานทำในเมืองไทยเพื่อชีวิตที่่ดีกว่า ไม่สามารถมีชีวิตที่ดีในประเทศตัวเองได้ ยิ่งภาพความ "ไร้สมรรถภาพ" และ "ไร้ฝีมือ" เกิดขึ้นกับ ฮุนเซน และตระกูลฮุนมากเท่าไหร่ ...เราก็จะใกล้กับความสงบมากขึ้นเท่านั้น ณ เวลานี้ จึงไม่ใช่เวลา ส่งทหารเป็นผู้มีอำนาจ หรือต่อให้ส่งอำนาจให้ทหาร ก็ไม่ใช่เวลาที่ทหารจะใช้อำนาจ แต่ต้องเป็นการใช้โอบกอดคนกัมพูชา ถ้าเค้าส่งคมมาร้องรำ เราก็เนียนร้องเพลงไทยไปข้างๆ เขาเลย ถือธงชาติ 2 ประเทศเคียงกัน ทำให้รู้สึกว่า คนที่อยู่บริเวณนั้น คือ "คน" เหมือนๆ กัน ที่ต่างก็พูดเขมรได้ พูดไทยเป็นด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนคนที่ทำผิดพลาดไป ในตอนนี้ จะลงดาบประหารเลย หรือว่าจะเก็บเอาไว้ด่าเล่นเพลินๆ ก่อน ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่ได้โปรด อย่าหยิบยื่นกระสุนให้ทหารเลย หวังว่าเสียงนี้จะเพียงพอที่จะทำให้คนที่แวะเข้ามาอ่าน ได้หยุดความสะใจ และเลือกทางเดินให้กับประเทศอย่างมีวิจารณญาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..555,ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ การเมืองคือภายในชาติไทยเรา,แต่อธิปไตยชาติไทยต้องมาก่อนเรื่องการเมืองส่วนตัวของสถานะการเล่นการเมืองในแบบใครมัน.,ชาติไทยเราต้องมาก่อนนั้นเอง.
    ..พรรคอื่นๆหากยังยึดมั่นไม่รีบแสดงตัวตนว่าจะยืนฝ่ายอธิปไตยไทยหรือยืนฝ่ายตรงข้ามทหารไทยเรายืนร่วมกับเขมรมันยืมฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยไทยภายในสิ้นวันศุกร์นี้แสดงว่าเลิกการให้อภัยโทษได้เลย,ทางเดียวที่ต้องได้รับในอนาคตคือโทษหนักหนาสาหัสแน่นอนในนามพรรคร่วมคณะรัฐบาลที่ชัดเจนตามคลิปว่ายืนตรงข้ามทหารไทยเราที่กำลังทำหน้าที่สุดกำลังรักษาอธิปไตยของชาติไทยเราเองไม่ละอายใจในหน้าที่ต่อพี่น้องทหารหาญที่สละแรงกายแรงใจตลอดเสียสละชีพกันมหาศาลนับจากอดีตถึงปัจจุบันเพื่อดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยไทยเรานั้นคือความสุขสงบร่มเย็นภายในชาติไทยเราเองโดยพื้นฐานสำมัญสำนึกปกติต้องใช้สมองส้นตีนคิดอ่านกันเองได้ง่ายๆมาก,เราจะไม่อภัยโทษใดๆอีกแล้วกับผู้ทรยศแผ่นดินไทย,มันต้องสะสางกวาดล้างเก็บกวาดจริงจังเสียทีเลอะเทอะปล่อยปะละเลยให้สำนึกสำเนียกเองนานพอแล้ว,ใครสำนึกทันก็อภัยได้ ถึงขนาดนี้ยังไม่สำนึกก็ต้องเด็ดขาดเสียทีกับสันดานจริงที่ต้องการแสดงออกมาแล้วก็พร้อมตอบสนองสันดานชั่วเลวนั้นให้เป็นที่พึ่งพอใจแก่มันที่สุดจริงๆ,อธิปไตยไทยคือของทุกๆคนคนไทยร่วมมีมัน,มันคือสัมมาชีวิตของคนไทยเราทุกๆคน,อธิปไตยถูกคุกคามรุกรานหรือง่ายๆแบบถูกยึดครองโดยชาติอื่น,สัมมาชีวิตของคนไทยจะสิ้นสถานะทันที ตกเป็นสถานะทาสและเชลยศึกโดยไม่ต้องสงสัยแบบแพ้สงครามสมัยอยุธยาแก่พม่า,นั้นคือคนไทยทุกๆคนสิ้นชาติไทยสิ้นความผาสุกสุขสงบสุขอีกต่อไป,สถาบันนักการเมืองต้องมีจิตสำนึกนี้ทันทีโดยพื้นฐานในทุกๆคนที่ลงเล่นการเมืองและเหี้ยเรื่อยมาตลอดก็ตาม,สถาบันการเมืองการปกครองต้องถูกปฏิวัติจริงๆ.,ประชาชนมากมายเดินสัมมาชีวิตผิดทางจากวิถีปกครองและภาครัฐฐะไม่ใส่ใจจริงใจจริงจังดูแลประชาชนคนไทยเลย,ล่าสุดอดข้าวอดอาหารตายที่เป็นข่าว,กรมแรงงานกระทรวงแรงงานมีเสียของไม่ยื่นมือช่วยเหลือสร้างระบบกลไกที่ดีเตรียมพร้อมให้คนไทยมีงานมีรายได้ดำรงชีพจริงอะไรเลย,ตัังสำนักงานเอาเท่เชิงตั้งรับห่าเหวจนถึงปัจจุบัน,นักศึกษาจบใหม่หางานเองไม่ช่วยเขาให้มีงานอะไรเลย,ใครตกงานหางานให้เขา,ช่วยเขา,นี้คือปัญหาพื้นฐานที่ระบบจัดการภาครัฐขาดประสิทธิภาพตลอดมา,เอาแต่เล่นการเมืองอยากได้ยศได้ตำแหน่งอำนาจเอาเท่เอาแดกเอาโกงใส่ตัวใส่ตน,แม้ซื้อเสียงมาแต่ใฝ่แก้ไขระบบให้ดีมันก็ดีแน่,แม้ทหารยึดอำนาจใฝ่แก้ระบบให้ดีก็ดีแน่,ยิ่งยึดอำนาจยิ่งดีสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำได้รวดเร็วแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีให้ดีได้ทันกาล,มิใช่แบยสภาที่อีลิทต่างชาติแทรกแซงแทรกซึมครอบงำควบคุมง่าย.
    ..การยึดอำนาจจึงคือทางออกทั้งหมด,ลาออก ยุบสภาก็แก้ต้นเหตุไม่ได้,ต้นเหตุคือนายกฯไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตรงของประชาชน,กฎหมายมากมายเลอะเทอะปัญญาอ่อนไปหมด ตีตรากดขี่ประชาชนจนเหมือนนักโทษเรือนจำนอกห้องขังแค่นั้นล่ะ,เอาข้อกฎหมายของคนผิดมาตีตราบังคับคนไม่ผิดไปด้วยหรือทำชีวิตเขามิให้อิสระเสรีไปด้วย,ง่าย แบบสวมหมวกกันน็อค มันคือสิทธิธรรมดาเขาจะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของเขาชีวิตเขา เขามิใช่โจรไปก่ออาชญากรรม โจรเสียมาใส่ปกปิดใบหน้า,ผีบ้าอ้างว่าต้องลงโทษปรับให้หนักจะไม่กล้าทำผิด นี้ชัดเจนคือสันดานการปกครองแบบปีศาจซาตานอีลิทอสูรต้องการปกครองให้หวาดกลัวนั้นเองเข้าใจง่ายมาก,ปรับชาวบ้านหาเช้ากินค่ำจนแพงถึง2,000บาทมันบ้าไปแล้วของคนตีตราเขียนออกร่างทำกฎหมาย,นี้ลักษณะนี้ต้องฉีกทิ้ง,หรืออธิปไตยทางพลังงานก็ฉีกทิ้งที่ปล้นชิงทางกฎหมายไปให้ดูว่าปล้นแบบถูกกฎหมายกติกาบ้านเมืองคุณประเทศไทยที่ออกมานั้นล่ะ,เช่นนั้นเราก็ฉีกทิ้งเขียนใหม่เอาคืนที่มันปล้นไปแบบอ้างกฎหมายเราออกก่อนหน้านั้นเสียที่ข้าราชการเลวชั่วสมคบคิดทรยศเข้าด้วยต่างชาติหมายยึดครองบ่อน้ำมันโดยไม่เข้าสภาสส.สว.อภิปรายชี้แจ้งโต้ตอบผลดีผลเสียให้ประชาชนทั้งประเทศร่วมรับฟังความจริงว่าค่าจริงคืออะไรเลย,นี้คือการกระทำเชิงด้านชั่วเลวไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่ออธิปไตยไทยด้านความมั่นคงทางพลังงานเลย ,อิสราเอลในมุกนี้ระเบิดิหร่านก่อนก็เพื่อตัดตอนตัดขาจีนไม่ให้ได้น้ำมันไปจีนจากอิหร่านง่ายๆนอมินีมาทำลายอิหร่านตัดขาจีนทางพลังงานนั้นล่ะก็ด้วยเพราะจีนนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านมหาศาลหากเกิดสงครามกับอเมริกาจริง,จีนต้องพึ่งพาบ่อน้ำมันในการทำสงครามกับอเมริกามหาศาลนั้นล่ะนอกจากนำเข้าจากแอฟริกาหรือพม่าหรือไทยเรา.,ไม่มีอะไรเลยเรื่องสงครามอิสราเอลกับอิหร่านมีแค่นี้ล่ะ,เหี้ยสื่อไทยก็ปั่นกระแสโหนกระแสแบบยุคโควิดเกิน,อีลิทคือยิว ยิวอิสราเอลให้ทุนสื่อไทย,ยิวอิสราเอลตั้งที่อยู่อาศัยเต็มกระจายทั่วภาคเหนือโดยเฉพาะอ.ปาย.ก็ว่า,สื่อไทยไม่น้อยเหี้ยจึงเชียร์อิสราเอลทั้งที่อิสราเอลผิดก่อนเสือกไปยิงระเบิดใส่อิหร่านก่อนทั้งที่ต้องกำหนดการชัดจะเจรจาสงบศึกอยู่แล้ว,อิสราเอลคือคนทรยศโลกคือคนบัดสบประจำโลก ก่อความโกลาหลก่อนชัดเจนให้โลกสู่ความหายนะ,อิสราเอลคือคนผิดก่อนและจะไม่รุกรามหากห้ามใครเข้าไปยุ่งจะอเมริกาจะจีนจะรัสเชียจะยุโรปก็ตามให้รบกันเองแพ้ชนะกันเองแล้วถ้าใครประกาศยอมแพ้ก่อน ทั้งหมดจึงไประงับเหตุทันทีและเร่งช่วยเหลือเขา,ลงโทษทั้งสองฝ่ายด้วยที่ทำให้ชาวโลกที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นๆเดือดร้อนกันคือคนในแต่ละชาติละประเทศนั้นล่ะ,แบนห้ามมีสัมพันธุ์กันชั่วคราวนั้นเอง,ปิดประเทศสำนึกตัวทั้งสองชาติก็ว่า.
    ..สรุป พรรคร่วมรัฐบาล วันนี้คือโอกาสสุดท้าย นานกว่านี้สายไปแล้ว,ปกติคนเราสำนึกดีชั่วได้ทันทีหลังคลิปออกแล้ว,แม้ภูมิใจไทยเหี้ยปกติอยู่แล้วมีปัญหาขัดแย้งชัดเจนก่อนหน้านี้ชัดพอดีจังหวะเหมาะเลยชิงลาออกถูกจังหวะเวลาแค่นั้นและสำนึกปกติโดยพื้นฐานพื้นๆก็ต้องคิดได้อ่านออกว่าสมควรลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจริงๆถ้าญี่ปุ่นในอดีตตัวผู้นำเขานายกฯเขา เขาประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบอย่างกล้าหาญแล้วไม่หน้าด้านต่อโคตรเหง้าบรมโคตรบรรพบุรุษตนให้คนทั้งประเทศสาปส่งหรือขับไบ่เหรอ.

    https://youtu.be/Yd3ZFllkBJg?si=a22ykwdFYj8YKFt0
    ..555,ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ การเมืองคือภายในชาติไทยเรา,แต่อธิปไตยชาติไทยต้องมาก่อนเรื่องการเมืองส่วนตัวของสถานะการเล่นการเมืองในแบบใครมัน.,ชาติไทยเราต้องมาก่อนนั้นเอง. ..พรรคอื่นๆหากยังยึดมั่นไม่รีบแสดงตัวตนว่าจะยืนฝ่ายอธิปไตยไทยหรือยืนฝ่ายตรงข้ามทหารไทยเรายืนร่วมกับเขมรมันยืมฝ่ายตรงข้ามอธิปไตยไทยภายในสิ้นวันศุกร์นี้แสดงว่าเลิกการให้อภัยโทษได้เลย,ทางเดียวที่ต้องได้รับในอนาคตคือโทษหนักหนาสาหัสแน่นอนในนามพรรคร่วมคณะรัฐบาลที่ชัดเจนตามคลิปว่ายืนตรงข้ามทหารไทยเราที่กำลังทำหน้าที่สุดกำลังรักษาอธิปไตยของชาติไทยเราเองไม่ละอายใจในหน้าที่ต่อพี่น้องทหารหาญที่สละแรงกายแรงใจตลอดเสียสละชีพกันมหาศาลนับจากอดีตถึงปัจจุบันเพื่อดำรงไว้ซึ่งอธิปไตยไทยเรานั้นคือความสุขสงบร่มเย็นภายในชาติไทยเราเองโดยพื้นฐานสำมัญสำนึกปกติต้องใช้สมองส้นตีนคิดอ่านกันเองได้ง่ายๆมาก,เราจะไม่อภัยโทษใดๆอีกแล้วกับผู้ทรยศแผ่นดินไทย,มันต้องสะสางกวาดล้างเก็บกวาดจริงจังเสียทีเลอะเทอะปล่อยปะละเลยให้สำนึกสำเนียกเองนานพอแล้ว,ใครสำนึกทันก็อภัยได้ ถึงขนาดนี้ยังไม่สำนึกก็ต้องเด็ดขาดเสียทีกับสันดานจริงที่ต้องการแสดงออกมาแล้วก็พร้อมตอบสนองสันดานชั่วเลวนั้นให้เป็นที่พึ่งพอใจแก่มันที่สุดจริงๆ,อธิปไตยไทยคือของทุกๆคนคนไทยร่วมมีมัน,มันคือสัมมาชีวิตของคนไทยเราทุกๆคน,อธิปไตยถูกคุกคามรุกรานหรือง่ายๆแบบถูกยึดครองโดยชาติอื่น,สัมมาชีวิตของคนไทยจะสิ้นสถานะทันที ตกเป็นสถานะทาสและเชลยศึกโดยไม่ต้องสงสัยแบบแพ้สงครามสมัยอยุธยาแก่พม่า,นั้นคือคนไทยทุกๆคนสิ้นชาติไทยสิ้นความผาสุกสุขสงบสุขอีกต่อไป,สถาบันนักการเมืองต้องมีจิตสำนึกนี้ทันทีโดยพื้นฐานในทุกๆคนที่ลงเล่นการเมืองและเหี้ยเรื่อยมาตลอดก็ตาม,สถาบันการเมืองการปกครองต้องถูกปฏิวัติจริงๆ.,ประชาชนมากมายเดินสัมมาชีวิตผิดทางจากวิถีปกครองและภาครัฐฐะไม่ใส่ใจจริงใจจริงจังดูแลประชาชนคนไทยเลย,ล่าสุดอดข้าวอดอาหารตายที่เป็นข่าว,กรมแรงงานกระทรวงแรงงานมีเสียของไม่ยื่นมือช่วยเหลือสร้างระบบกลไกที่ดีเตรียมพร้อมให้คนไทยมีงานมีรายได้ดำรงชีพจริงอะไรเลย,ตัังสำนักงานเอาเท่เชิงตั้งรับห่าเหวจนถึงปัจจุบัน,นักศึกษาจบใหม่หางานเองไม่ช่วยเขาให้มีงานอะไรเลย,ใครตกงานหางานให้เขา,ช่วยเขา,นี้คือปัญหาพื้นฐานที่ระบบจัดการภาครัฐขาดประสิทธิภาพตลอดมา,เอาแต่เล่นการเมืองอยากได้ยศได้ตำแหน่งอำนาจเอาเท่เอาแดกเอาโกงใส่ตัวใส่ตน,แม้ซื้อเสียงมาแต่ใฝ่แก้ไขระบบให้ดีมันก็ดีแน่,แม้ทหารยึดอำนาจใฝ่แก้ระบบให้ดีก็ดีแน่,ยิ่งยึดอำนาจยิ่งดีสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำได้รวดเร็วแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีให้ดีได้ทันกาล,มิใช่แบยสภาที่อีลิทต่างชาติแทรกแซงแทรกซึมครอบงำควบคุมง่าย. ..การยึดอำนาจจึงคือทางออกทั้งหมด,ลาออก ยุบสภาก็แก้ต้นเหตุไม่ได้,ต้นเหตุคือนายกฯไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตรงของประชาชน,กฎหมายมากมายเลอะเทอะปัญญาอ่อนไปหมด ตีตรากดขี่ประชาชนจนเหมือนนักโทษเรือนจำนอกห้องขังแค่นั้นล่ะ,เอาข้อกฎหมายของคนผิดมาตีตราบังคับคนไม่ผิดไปด้วยหรือทำชีวิตเขามิให้อิสระเสรีไปด้วย,ง่าย แบบสวมหมวกกันน็อค มันคือสิทธิธรรมดาเขาจะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของเขาชีวิตเขา เขามิใช่โจรไปก่ออาชญากรรม โจรเสียมาใส่ปกปิดใบหน้า,ผีบ้าอ้างว่าต้องลงโทษปรับให้หนักจะไม่กล้าทำผิด นี้ชัดเจนคือสันดานการปกครองแบบปีศาจซาตานอีลิทอสูรต้องการปกครองให้หวาดกลัวนั้นเองเข้าใจง่ายมาก,ปรับชาวบ้านหาเช้ากินค่ำจนแพงถึง2,000บาทมันบ้าไปแล้วของคนตีตราเขียนออกร่างทำกฎหมาย,นี้ลักษณะนี้ต้องฉีกทิ้ง,หรืออธิปไตยทางพลังงานก็ฉีกทิ้งที่ปล้นชิงทางกฎหมายไปให้ดูว่าปล้นแบบถูกกฎหมายกติกาบ้านเมืองคุณประเทศไทยที่ออกมานั้นล่ะ,เช่นนั้นเราก็ฉีกทิ้งเขียนใหม่เอาคืนที่มันปล้นไปแบบอ้างกฎหมายเราออกก่อนหน้านั้นเสียที่ข้าราชการเลวชั่วสมคบคิดทรยศเข้าด้วยต่างชาติหมายยึดครองบ่อน้ำมันโดยไม่เข้าสภาสส.สว.อภิปรายชี้แจ้งโต้ตอบผลดีผลเสียให้ประชาชนทั้งประเทศร่วมรับฟังความจริงว่าค่าจริงคืออะไรเลย,นี้คือการกระทำเชิงด้านชั่วเลวไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่ออธิปไตยไทยด้านความมั่นคงทางพลังงานเลย ,อิสราเอลในมุกนี้ระเบิดิหร่านก่อนก็เพื่อตัดตอนตัดขาจีนไม่ให้ได้น้ำมันไปจีนจากอิหร่านง่ายๆนอมินีมาทำลายอิหร่านตัดขาจีนทางพลังงานนั้นล่ะก็ด้วยเพราะจีนนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านมหาศาลหากเกิดสงครามกับอเมริกาจริง,จีนต้องพึ่งพาบ่อน้ำมันในการทำสงครามกับอเมริกามหาศาลนั้นล่ะนอกจากนำเข้าจากแอฟริกาหรือพม่าหรือไทยเรา.,ไม่มีอะไรเลยเรื่องสงครามอิสราเอลกับอิหร่านมีแค่นี้ล่ะ,เหี้ยสื่อไทยก็ปั่นกระแสโหนกระแสแบบยุคโควิดเกิน,อีลิทคือยิว ยิวอิสราเอลให้ทุนสื่อไทย,ยิวอิสราเอลตั้งที่อยู่อาศัยเต็มกระจายทั่วภาคเหนือโดยเฉพาะอ.ปาย.ก็ว่า,สื่อไทยไม่น้อยเหี้ยจึงเชียร์อิสราเอลทั้งที่อิสราเอลผิดก่อนเสือกไปยิงระเบิดใส่อิหร่านก่อนทั้งที่ต้องกำหนดการชัดจะเจรจาสงบศึกอยู่แล้ว,อิสราเอลคือคนทรยศโลกคือคนบัดสบประจำโลก ก่อความโกลาหลก่อนชัดเจนให้โลกสู่ความหายนะ,อิสราเอลคือคนผิดก่อนและจะไม่รุกรามหากห้ามใครเข้าไปยุ่งจะอเมริกาจะจีนจะรัสเชียจะยุโรปก็ตามให้รบกันเองแพ้ชนะกันเองแล้วถ้าใครประกาศยอมแพ้ก่อน ทั้งหมดจึงไประงับเหตุทันทีและเร่งช่วยเหลือเขา,ลงโทษทั้งสองฝ่ายด้วยที่ทำให้ชาวโลกที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นๆเดือดร้อนกันคือคนในแต่ละชาติละประเทศนั้นล่ะ,แบนห้ามมีสัมพันธุ์กันชั่วคราวนั้นเอง,ปิดประเทศสำนึกตัวทั้งสองชาติก็ว่า. ..สรุป พรรคร่วมรัฐบาล วันนี้คือโอกาสสุดท้าย นานกว่านี้สายไปแล้ว,ปกติคนเราสำนึกดีชั่วได้ทันทีหลังคลิปออกแล้ว,แม้ภูมิใจไทยเหี้ยปกติอยู่แล้วมีปัญหาขัดแย้งชัดเจนก่อนหน้านี้ชัดพอดีจังหวะเหมาะเลยชิงลาออกถูกจังหวะเวลาแค่นั้นและสำนึกปกติโดยพื้นฐานพื้นๆก็ต้องคิดได้อ่านออกว่าสมควรลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจริงๆถ้าญี่ปุ่นในอดีตตัวผู้นำเขานายกฯเขา เขาประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบอย่างกล้าหาญแล้วไม่หน้าด้านต่อโคตรเหง้าบรมโคตรบรรพบุรุษตนให้คนทั้งประเทศสาปส่งหรือขับไบ่เหรอ. https://youtu.be/Yd3ZFllkBJg?si=a22ykwdFYj8YKFt0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงปู่ทวดย้อนยุค 2497 วัดช้างให้ วัดทุ่งคา จ.นราธิวาส
    เนื้อว่าน หลวงปู่ทวดย้อนยุค 2497 วัดช้างให้ จัดสร้าง วัดทุ่งคา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส //พระเก่า พศ.ลึก พระดีพิธีใหญ่ พระประสบการณ์ดีมาก มีประสบการณ์มาแล้ว มีทหารหลายคนผ่านประสบการณ์รอดปาฏิหาริย์มาหลายครั้ง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณ คุ้มครองป้องกันภัย เมตตามหานิยม เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง @@

    ** พ่อท่านขวัญ วัดทุ่งคา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาสานขวัญ ท่านปลุกเสกพระหลวงพ่อทวดช่วยชีวิตทหารหาญ ประสบการณ์เป็นที่เลื่องลือ เนื่องจากทางวัดไม่มีงบเพียงพอที่จะสร้างพระเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสำหรับคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไปหาซื้อพระที่ทำเสร็จแล้ว ทางวัดทำพิธี และแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ และเจ้าอาวาส วัดทุ่งคา บอกว่า เข้าพิธีแล้วซึ่งที่วัดทำเอง และมีประสบการณ์มาแล้วด้วย >>>

    ** ทหารบางท่านนำมาห้อยคอ บางท่านเจอเหตุการรุนแรงแต่ก็รอดมาได้ มีประสบการณ์มาก สภาพสวยเดิมๆ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงปู่ทวดย้อนยุค 2497 วัดช้างให้ วัดทุ่งคา จ.นราธิวาส เนื้อว่าน หลวงปู่ทวดย้อนยุค 2497 วัดช้างให้ จัดสร้าง วัดทุ่งคา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส //พระเก่า พศ.ลึก พระดีพิธีใหญ่ พระประสบการณ์ดีมาก มีประสบการณ์มาแล้ว มีทหารหลายคนผ่านประสบการณ์รอดปาฏิหาริย์มาหลายครั้ง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณ คุ้มครองป้องกันภัย เมตตามหานิยม เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง @@ ** พ่อท่านขวัญ วัดทุ่งคา อ.ยี่งอ จ.นราธิวาสานขวัญ ท่านปลุกเสกพระหลวงพ่อทวดช่วยชีวิตทหารหาญ ประสบการณ์เป็นที่เลื่องลือ เนื่องจากทางวัดไม่มีงบเพียงพอที่จะสร้างพระเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสำหรับคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไปหาซื้อพระที่ทำเสร็จแล้ว ทางวัดทำพิธี และแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญ และเจ้าอาวาส วัดทุ่งคา บอกว่า เข้าพิธีแล้วซึ่งที่วัดทำเอง และมีประสบการณ์มาแล้วด้วย >>> ** ทหารบางท่านนำมาห้อยคอ บางท่านเจอเหตุการรุนแรงแต่ก็รอดมาได้ มีประสบการณ์มาก สภาพสวยเดิมๆ >> ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่อทวดหลังพ่อจ่าดำ กองทัพภาคที่4 ปี2542
    เหรียญหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดหลังพ่อจ่าดำ เนื้อกะไหล่ทอง กองทัพภาคที่4 ปี2542 //พระดี พิธีใหญ๋ สร้างเฉลิมพระเกียรติ พระชนมายุ ๗๒ พรรษา //พระสภาพสวยมาก พระสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ปกป้อง คุ้มครอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** อนุสาวรีย์วีรไทย หรือที่ชาวเมืองนครฯ เรียกกันว่า พ่อจ่าดำ หรือ เจ้าพ่อดำ ตั้งอยู่ภายในใจกลางของค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ ๔ นครศรีธรรมราช สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของทหารไทยในภาคใต้ที่เสียชีวิต ในการปะทะกับทหารญี่ปุ่น ในสงครามมหาเอเชียบรูพา เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อทวดหลังพ่อจ่าดำ กองทัพภาคที่4 ปี2542 เหรียญหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดหลังพ่อจ่าดำ เนื้อกะไหล่ทอง กองทัพภาคที่4 ปี2542 //พระดี พิธีใหญ๋ สร้างเฉลิมพระเกียรติ พระชนมายุ ๗๒ พรรษา //พระสภาพสวยมาก พระสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ปกป้อง คุ้มครอง เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** อนุสาวรีย์วีรไทย หรือที่ชาวเมืองนครฯ เรียกกันว่า พ่อจ่าดำ หรือ เจ้าพ่อดำ ตั้งอยู่ภายในใจกลางของค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ ๔ นครศรีธรรมราช สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของทหารไทยในภาคใต้ที่เสียชีวิต ในการปะทะกับทหารญี่ปุ่น ในสงครามมหาเอเชียบรูพา เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก เพื่อปกป้องมาตุภูมิ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสิบสองราศี ปีมะเส็ง
    #หลวงพ่อเล็ก วัดท่าอิฐ จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.2484 ซึ่งเป็นปีที่ท่านสร้างวัตถุมงคลมากที่สุดก่อนสงครามอินโดจีนเพื่อแจกทหารหาญและประชาชนที่มาทำบุญที่วัด พุทธลักษณะเป็นพระพุทธนั่งสมาธิใต้ฐานเป็นงูเล็ก สำหรับพุทธคุณท่านว่าเด่นด้านปลอดภัยแคล้วคลาด ตลอดจนเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้มีราศีเกิดตามพิมพ์นั้นๆดีนักแล
    ✨พระสิบสองราศี ปีมะเส็ง #หลวงพ่อเล็ก วัดท่าอิฐ จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.2484 ซึ่งเป็นปีที่ท่านสร้างวัตถุมงคลมากที่สุดก่อนสงครามอินโดจีนเพื่อแจกทหารหาญและประชาชนที่มาทำบุญที่วัด พุทธลักษณะเป็นพระพุทธนั่งสมาธิใต้ฐานเป็นงูเล็ก สำหรับพุทธคุณท่านว่าเด่นด้านปลอดภัยแคล้วคลาด ตลอดจนเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้มีราศีเกิดตามพิมพ์นั้นๆดีนักแล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 626 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ศึกใด ยังไม่จบ
    อย่านับศพ ทหารหาญ
    เขาเซ อย่าเผล่พาล
    กระทืบซ้ำ ย่ำจมดิน

    สิ้นสุด ชั้นฎีกา
    เชื่อหรือว่า จะสุดสิ้น
    ใบตอง ต้องลมบิน
    แค่ได้ยิน อย่าเห่าลัด

    เสียงแมว กัดกันขรม
    เร้าอารมณ์ คืนสงัด
    ตัวอย่าง พอเห็นชัด
    แค่ติดสัด ผสมพันธุ์

    อย่าเชื่อ เบื้องหน้าเห็น
    หลายประเด็น อาจพลิกผัน
    ทันข่าว ให้เท่าทัน
    เบื้องหลังนั้น ปั่นเพื่อใคร

    อย่ากังวลไปเลย
    ๒๐ ต.ค.๒๕๖๗
    ศึกใด ยังไม่จบ อย่านับศพ ทหารหาญ เขาเซ อย่าเผล่พาล กระทืบซ้ำ ย่ำจมดิน สิ้นสุด ชั้นฎีกา เชื่อหรือว่า จะสุดสิ้น ใบตอง ต้องลมบิน แค่ได้ยิน อย่าเห่าลัด เสียงแมว กัดกันขรม เร้าอารมณ์ คืนสงัด ตัวอย่าง พอเห็นชัด แค่ติดสัด ผสมพันธุ์ อย่าเชื่อ เบื้องหน้าเห็น หลายประเด็น อาจพลิกผัน ทันข่าว ให้เท่าทัน เบื้องหลังนั้น ปั่นเพื่อใคร อย่ากังวลไปเลย ๒๐ ต.ค.๒๕๖๗
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1060 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2968 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งกำลังใจแด่ทหารหาญทุกหมู่เหล่า
    ที่ช่วยเหลือเราชาวไทยในทุกสถานการณ์
    เพลง เรารักทหารไทย
    Shaw Sherry Duck (ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก)
    เรียบเรียง​ อ.สุ​พิษ​ เล็บ​ขาว​&เฮียช​อว์​
    ขอขอบคุณ
    คลิปภาพจากสื่อทุกคลิป
    #เรารักทหารไทย #คนไทยไม่ทิ้งกัน
    #น้ำท่วม2567 #เชียงราย #น่าน #พะเยา #แพร่ #สุโขทัย #เชียงใหม่ #อุตรดิตถ์ #ภูเก็ต#กำลังใจ #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก
    ส่งกำลังใจแด่ทหารหาญทุกหมู่เหล่า ที่ช่วยเหลือเราชาวไทยในทุกสถานการณ์ เพลง เรารักทหารไทย Shaw Sherry Duck (ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก) เรียบเรียง​ อ.สุ​พิษ​ เล็บ​ขาว​&เฮียช​อว์​ ขอขอบคุณ คลิปภาพจากสื่อทุกคลิป #เรารักทหารไทย #คนไทยไม่ทิ้งกัน #น้ำท่วม2567 #เชียงราย #น่าน #พะเยา #แพร่ #สุโขทัย #เชียงใหม่ #อุตรดิตถ์ #ภูเก็ต​ #กำลังใจ #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 956 มุมมอง 49 0 รีวิว