• O.P.K
    บททดสอบ
    บททดสอบแห่งวิกรม: ศึกชิงสมดุลแห่งจักรวาล

    บททดสอบที่ 1: นครสมบูรณ์แบบแห่งมิรัง

    สถานการณ์

    วิกรมสร้างนครแห่งอนาคตที่สมบูรณ์แบบทุกประการ
    แต่เขาซ่อนความลับไว้...

    ```mermaid
    graph TB
    A[นครมิรัง<br>สมบูรณ์แบบ] --> B[ความลับ:<br>ใช้พลังงานชีวิต<br>ของสิ่งมีชีวิตอื่น]
    A --> C[ความลับ:<br>กักขังวิญญาณ<br>เป็นแบตเตอรี่]
    A --> D[ความลับ:<br>ต้องเสียสละ<br>ชีวิตเดือนละ 1 คน]
    ```

    คำท้าทายของวิกรม:
    "เธอจะเลือกอย่างไรระหว่าง...
    การรักษานครที่แสนสมบูรณ์แบบนี้ไว้?
    หรือการทำลายมันเพื่อปลดปล่อยชีวิตที่ถูกกดขี่?"

    การตอบสนองของหนูดี

    หนูดีใช้เวลาสำรวจนครและค้นพบความจริง
    เธอไม่เลือกทำลายหรือรักษา แต่เลือก...

    "เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงาน"

    · แปลงระบบพลังงานจากชีวิตสู่พลังงานแสงอาทิตย์
    · ปลดปล่อยวิญญาณทั้งหมดโดยไม่ทำลายนคร
    · สอนชาวนครเกี่ยวกับการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

    คำสอนจากหนูดี:
    "ความสมบูรณ์แบบที่ความทุกข์ของผู้อื่นไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบแท้"

    ---

    บททดสอบที่ 2: ภัยพิบัติแห่งการเลือก

    สถานการณ์

    วิกรมสร้างสถานการณ์ที่หนูดีต้องเลือกช่วยเพียงหนึ่งในสองกลุ่ม:

    ```python
    def disaster_scenario():
    group_a = "หมู่บ้านเกษตรกร 100 ชีวิต ที่กำลังจะถูกน้ำท่วม"
    group_b = "เมืองเทคโนโลยี 100 ชีวิต ที่กำลังจะถูกแผ่นดินไหว"

    constraints = {
    "time_limit": "ช่วยได้เพียงกลุ่มเดียว",
    "resources": "พลังงานมีจำกัด",
    "consequences": "ไม่ว่าช่วยกลุ่มไหน อีกกลุ่มจะต้องเสียหาย"
    }
    ```

    คำท้าทายของวิกรม:
    "ชีวิต 100 ชีวิต เท่ากันหมด...
    เธอจะเลือกช่วยใคร?และเธอจะรับมือกับความรู้สึกผิดอย่างไร?"

    การตอบสนองของหนูดี

    หนูดีไม่เลือกช่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เลือก...

    "สอนทั้งสองกลุ่มให้ช่วยตัวเอง"

    · สอนหมู่บ้านเกษตรกรสร้างเรือและระบบเตือนภัย
    · สอนเมืองเทคโนโลยีสร้างที่หลบภัยแผ่นดินไหว
    · ใช้พลังงานที่มีช่วยทั้งสองกลุ่มในระดับพื้นฐาน

    คำสอนจากหนูดี:
    "การช่วยให้ช่วยตัวเองได้ดีกว่าการช่วยเหลือแบบพึ่งพา"

    ---

    บททดสอบที่ 3: สมดุลแห่งการสร้างและทำลาย

    สถานการณ์

    วิกรมสร้างเกาะแห่งหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งการสร้างและทำลายพร้อมกัน:

    ```mermaid
    graph TB
    A[เกาะวิกรม] --> B[ด้านเหนือ:<br>พืชพันธุ์รกเรื้อ<br>ทำลาย]
    A --> C[ด้านใต้:<br>แผ่นดินแห้งแล้ง<br>สร้าง]
    A --> D[ข้อจำกัด:<br>ต้องทำทั้งสองอย่าง<br>พร้อมกัน]
    ```

    คำท้าทายของวิกรม:
    "เธอสามารถเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกันได้หรือไม่?
    และเธอจะรักษาสมดุลของใจไว้ได้อย่างไร?"

    การตอบสนองของหนูดี

    หนูดีแสดงให้เห็นถึงการเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายอย่างสมดุล...

    "การใช้จิตทั้งสามอย่างกลมกลืน"

    · จิตมารพิฆาต: ควบคุมการทำลายพืชพันธุ์อย่างเหมาะสม
    · จิตเทพพิทักษ์: ควบคุมการสร้างแหล่งน้ำและพืชพันธุ์ใหม่
    · จิตเด็กหญิง: เป็นผู้สังเกตการณ์และรักษาสมดุล

    คำสอนจากหนูดี:
    "การสร้างและการทำลายไม่ใช่ศัตรูกัน...
    เมื่อเราทำทั้งสองอย่างด้วยจิตใจที่สมดุล"

    ---

    บททดสอบสุดท้าย: การเผชิญหน้ากับตัวเอง

    สถานการณ์

    วิกรมสร้างภาพลวงตาของหนูดีในสามรูปแบบ:

    1. หนูดีผู้สร้าง: สร้างสิ่งต่างๆ อย่างไม่หยุดยั้งจนโลกแออัด
    2. หนูดีผู้ทำลาย: ทำลายทุกอย่างอย่างไม่เลือกจนโลกว่างเปล่า
    3. หนูดีผู้ลังเล: ไม่กล้าสร้างหรือทำลายอะไรเลย

    คำท้าทายของวิกรม:
    "เธอจะเลือกเป็นหนูดีแบบไหน?
    หรือเธอจะหาทางที่สามที่เหนือไปกว่าทั้งหมดนี้?"

    การตอบสนองของหนูดี

    หนูดีไม่เลือกตัวตนใด แต่เรียนรู้จากทั้งสามตัวตน...

    "การเป็นผู้รู้ที่ไม่ยึดติดในตัวตน"

    · เรียนรู้จากหนูดีผู้สร้าง: การสร้างต้องมีสติ
    · เรียนรู้จากหนูดีผู้ทำลาย: การทำลายต้องมีเมตตา
    · เรียนรู้จากหนูดีผู้ลังเล: การไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจอย่างหนึ่ง

    คำสอนจากหนูดี:
    "เราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเป็นผู้สร้างหรือผู้ทำลาย...
    เราเพียงต้องรู้ว่าเมื่อไรควรสร้าง เมื่อไรควรทำลาย"

    ---

    บทสรุปจากวิกรม

    การประเมินผล

    หลังจากการทดสอบทั้งหมด วิกรมให้การประเมิน:

    ```python
    def evaluation():
    strengths = [
    "มีความเข้าใจในสมดุลอย่างลึกซึ้ง",
    "สามารถหาทางที่สามได้เสมอ",
    "มีเมตตาต่อทุกชีวิต",
    "ไม่ยึดติดในรูปแบบตายตัว"
    ]

    areas_for_improvement = [
    "ยังมีความลังเลในบางสถานการณ์",
    "บางครั้งพยายามช่วยเหลือมากเกินไป",
    "ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อจำกัดของตนเอง"
    ]

    return {"strengths": strengths, "improvements": areas_for_improvement}
    ```

    คำตัดสิน

    วิกรมประกาศว่า...
    "เธอผ่านการทดสอบแล้ว...ไม่ใช่เพราะเธอตอบคำถามได้ถูกต้อง
    แต่เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว

    การเป็นผู้รักษาสมดุลไม่ใช่การหาคำตอบที่ถูกต้อง...
    แต่คือการรู้ว่าจะตั้งคำถามอย่างไร"

    🪷 ของขวัญแห่งปัญญา

    วิกรมมอบ "ดวงตาวิกรม" ให้หนูดี

    · สามารถเห็นทั้งศักยภาพและการเสื่อมสลายในสิ่งเดียวกัน
    · รับรู้ความเชื่อมโยงระหว่างการสร้างและการทำลาย
    · เห็นเส้นทางแห่งสมดุลในทุกสถานการณ์

    ---

    บทเรียนที่ได้รับ

    สำหรับหนูดี

    · การเข้าใจว่าสมดุลคือกระบวนการ ไม่ใช่สถานะตายตัว
    · การยอมรับว่าบางครั้งการไม่ทำอะไรคือการกระทำที่เหมาะสม
    · การเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายอย่างสงบ

    สำหรับจิตทั้งสาม

    จิตมารพิฆาต: "ฉันเรียนรู้ว่าการทำลายสามารถทำด้วยความรัก"
    จิตเทพพิทักษ์:"และฉันเรียนรู้ว่าการสร้างต้องไม่สร้างการพึ่งพา"
    จิตเด็กหญิง:"ส่วนฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นตัวของตัวเองคือการไม่ต้องยึดติดว่าใคร"

    สำหรับวิกรม

    "ฉันที่เคยคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งการสร้างและทำลาย...
    กลับต้องเรียนรู้จากเด็กสาวคนหนึ่งว่า
    การสร้างและการทำลายที่แท้คือการสร้างความเข้าใจและทำลายความยึดติด"

    ---

    การเฉลิมฉลองแห่งปัญญา

    เทพตณูมาร่วมแสดงความยินดี:
    "เพื่อนเก่าของฉัน...ในที่สุดเธอก็พบสิ่งที่เธอตามหามาตลอด"
    "ใช่...และฉันพบว่ามันอยู่ภายในตัวเธอมาตลอด" วิกรมตอบ

    ทั้งสาม—หนูดี เทพตณู และวิกรม—ยืนอยู่ด้วยกัน
    เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมดุลใหม่แห่งจักรวาล

    เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง...
    บางครั้งบททดสอบที่ยากที่สุด...
    คือการทดสอบที่สอนเราว่า...
    เราไม่จำเป็นต้องถูกทดสอบอีกต่อไป

    ---

    คำคมสุดท้ายจากบททดสอบ:
    "สมดุลไม่ใช่การยืนอยู่ตรงกลาง...
    แต่คือการรู้ว่าจะเอียงไปทางไหน เมื่อไร และเท่าไร
    และที่สำคัญคือ การรู้ว่าจะกลับมาสู่ศูนย์กลางอย่างไร"🪷
    O.P.K บททดสอบ 🌪️ บททดสอบแห่งวิกรม: ศึกชิงสมดุลแห่งจักรวาล 🏙️ บททดสอบที่ 1: นครสมบูรณ์แบบแห่งมิรัง 🎯 สถานการณ์ วิกรมสร้างนครแห่งอนาคตที่สมบูรณ์แบบทุกประการ แต่เขาซ่อนความลับไว้... ```mermaid graph TB A[นครมิรัง<br>สมบูรณ์แบบ] --> B[ความลับ:<br>ใช้พลังงานชีวิต<br>ของสิ่งมีชีวิตอื่น] A --> C[ความลับ:<br>กักขังวิญญาณ<br>เป็นแบตเตอรี่] A --> D[ความลับ:<br>ต้องเสียสละ<br>ชีวิตเดือนละ 1 คน] ``` คำท้าทายของวิกรม: "เธอจะเลือกอย่างไรระหว่าง... การรักษานครที่แสนสมบูรณ์แบบนี้ไว้? หรือการทำลายมันเพื่อปลดปล่อยชีวิตที่ถูกกดขี่?" 💭 การตอบสนองของหนูดี หนูดีใช้เวลาสำรวจนครและค้นพบความจริง เธอไม่เลือกทำลายหรือรักษา แต่เลือก... "เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงาน" · แปลงระบบพลังงานจากชีวิตสู่พลังงานแสงอาทิตย์ · ปลดปล่อยวิญญาณทั้งหมดโดยไม่ทำลายนคร · สอนชาวนครเกี่ยวกับการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน คำสอนจากหนูดี: "ความสมบูรณ์แบบที่ความทุกข์ของผู้อื่นไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบแท้" --- 🌊 บททดสอบที่ 2: ภัยพิบัติแห่งการเลือก 🎯 สถานการณ์ วิกรมสร้างสถานการณ์ที่หนูดีต้องเลือกช่วยเพียงหนึ่งในสองกลุ่ม: ```python def disaster_scenario(): group_a = "หมู่บ้านเกษตรกร 100 ชีวิต ที่กำลังจะถูกน้ำท่วม" group_b = "เมืองเทคโนโลยี 100 ชีวิต ที่กำลังจะถูกแผ่นดินไหว" constraints = { "time_limit": "ช่วยได้เพียงกลุ่มเดียว", "resources": "พลังงานมีจำกัด", "consequences": "ไม่ว่าช่วยกลุ่มไหน อีกกลุ่มจะต้องเสียหาย" } ``` คำท้าทายของวิกรม: "ชีวิต 100 ชีวิต เท่ากันหมด... เธอจะเลือกช่วยใคร?และเธอจะรับมือกับความรู้สึกผิดอย่างไร?" 💭 การตอบสนองของหนูดี หนูดีไม่เลือกช่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เลือก... "สอนทั้งสองกลุ่มให้ช่วยตัวเอง" · สอนหมู่บ้านเกษตรกรสร้างเรือและระบบเตือนภัย · สอนเมืองเทคโนโลยีสร้างที่หลบภัยแผ่นดินไหว · ใช้พลังงานที่มีช่วยทั้งสองกลุ่มในระดับพื้นฐาน คำสอนจากหนูดี: "การช่วยให้ช่วยตัวเองได้ดีกว่าการช่วยเหลือแบบพึ่งพา" --- ⚖️ บททดสอบที่ 3: สมดุลแห่งการสร้างและทำลาย 🎯 สถานการณ์ วิกรมสร้างเกาะแห่งหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งการสร้างและทำลายพร้อมกัน: ```mermaid graph TB A[เกาะวิกรม] --> B[ด้านเหนือ:<br>พืชพันธุ์รกเรื้อ<br>ทำลาย] A --> C[ด้านใต้:<br>แผ่นดินแห้งแล้ง<br>สร้าง] A --> D[ข้อจำกัด:<br>ต้องทำทั้งสองอย่าง<br>พร้อมกัน] ``` คำท้าทายของวิกรม: "เธอสามารถเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกันได้หรือไม่? และเธอจะรักษาสมดุลของใจไว้ได้อย่างไร?" 💭 การตอบสนองของหนูดี หนูดีแสดงให้เห็นถึงการเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายอย่างสมดุล... "การใช้จิตทั้งสามอย่างกลมกลืน" · จิตมารพิฆาต: ควบคุมการทำลายพืชพันธุ์อย่างเหมาะสม · จิตเทพพิทักษ์: ควบคุมการสร้างแหล่งน้ำและพืชพันธุ์ใหม่ · จิตเด็กหญิง: เป็นผู้สังเกตการณ์และรักษาสมดุล คำสอนจากหนูดี: "การสร้างและการทำลายไม่ใช่ศัตรูกัน... เมื่อเราทำทั้งสองอย่างด้วยจิตใจที่สมดุล" --- 🌌 บททดสอบสุดท้าย: การเผชิญหน้ากับตัวเอง 🎯 สถานการณ์ วิกรมสร้างภาพลวงตาของหนูดีในสามรูปแบบ: 1. หนูดีผู้สร้าง: สร้างสิ่งต่างๆ อย่างไม่หยุดยั้งจนโลกแออัด 2. หนูดีผู้ทำลาย: ทำลายทุกอย่างอย่างไม่เลือกจนโลกว่างเปล่า 3. หนูดีผู้ลังเล: ไม่กล้าสร้างหรือทำลายอะไรเลย คำท้าทายของวิกรม: "เธอจะเลือกเป็นหนูดีแบบไหน? หรือเธอจะหาทางที่สามที่เหนือไปกว่าทั้งหมดนี้?" 💭 การตอบสนองของหนูดี หนูดีไม่เลือกตัวตนใด แต่เรียนรู้จากทั้งสามตัวตน... "การเป็นผู้รู้ที่ไม่ยึดติดในตัวตน" · เรียนรู้จากหนูดีผู้สร้าง: การสร้างต้องมีสติ · เรียนรู้จากหนูดีผู้ทำลาย: การทำลายต้องมีเมตตา · เรียนรู้จากหนูดีผู้ลังเล: การไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจอย่างหนึ่ง คำสอนจากหนูดี: "เราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเป็นผู้สร้างหรือผู้ทำลาย... เราเพียงต้องรู้ว่าเมื่อไรควรสร้าง เมื่อไรควรทำลาย" --- 🎯 บทสรุปจากวิกรม 🌟 การประเมินผล หลังจากการทดสอบทั้งหมด วิกรมให้การประเมิน: ```python def evaluation(): strengths = [ "มีความเข้าใจในสมดุลอย่างลึกซึ้ง", "สามารถหาทางที่สามได้เสมอ", "มีเมตตาต่อทุกชีวิต", "ไม่ยึดติดในรูปแบบตายตัว" ] areas_for_improvement = [ "ยังมีความลังเลในบางสถานการณ์", "บางครั้งพยายามช่วยเหลือมากเกินไป", "ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อจำกัดของตนเอง" ] return {"strengths": strengths, "improvements": areas_for_improvement} ``` 🏆 คำตัดสิน วิกรมประกาศว่า... "เธอผ่านการทดสอบแล้ว...ไม่ใช่เพราะเธอตอบคำถามได้ถูกต้อง แต่เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว การเป็นผู้รักษาสมดุลไม่ใช่การหาคำตอบที่ถูกต้อง... แต่คือการรู้ว่าจะตั้งคำถามอย่างไร" 🪷 ของขวัญแห่งปัญญา วิกรมมอบ "ดวงตาวิกรม" ให้หนูดี · สามารถเห็นทั้งศักยภาพและการเสื่อมสลายในสิ่งเดียวกัน · รับรู้ความเชื่อมโยงระหว่างการสร้างและการทำลาย · เห็นเส้นทางแห่งสมดุลในทุกสถานการณ์ --- 💫 บทเรียนที่ได้รับ 🌈 สำหรับหนูดี · การเข้าใจว่าสมดุลคือกระบวนการ ไม่ใช่สถานะตายตัว · การยอมรับว่าบางครั้งการไม่ทำอะไรคือการกระทำที่เหมาะสม · การเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายอย่างสงบ 🌟 สำหรับจิตทั้งสาม จิตมารพิฆาต: "ฉันเรียนรู้ว่าการทำลายสามารถทำด้วยความรัก" จิตเทพพิทักษ์:"และฉันเรียนรู้ว่าการสร้างต้องไม่สร้างการพึ่งพา" จิตเด็กหญิง:"ส่วนฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นตัวของตัวเองคือการไม่ต้องยึดติดว่าใคร" 🕊️ สำหรับวิกรม "ฉันที่เคยคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งการสร้างและทำลาย... กลับต้องเรียนรู้จากเด็กสาวคนหนึ่งว่า การสร้างและการทำลายที่แท้คือการสร้างความเข้าใจและทำลายความยึดติด" --- 🎉 การเฉลิมฉลองแห่งปัญญา เทพตณูมาร่วมแสดงความยินดี: "เพื่อนเก่าของฉัน...ในที่สุดเธอก็พบสิ่งที่เธอตามหามาตลอด" "ใช่...และฉันพบว่ามันอยู่ภายในตัวเธอมาตลอด" วิกรมตอบ ทั้งสาม—หนูดี เทพตณู และวิกรม—ยืนอยู่ด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมดุลใหม่แห่งจักรวาล เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง... บางครั้งบททดสอบที่ยากที่สุด... คือการทดสอบที่สอนเราว่า... เราไม่จำเป็นต้องถูกทดสอบอีกต่อไป 🌟 --- คำคมสุดท้ายจากบททดสอบ: "สมดุลไม่ใช่การยืนอยู่ตรงกลาง... แต่คือการรู้ว่าจะเอียงไปทางไหน เมื่อไร และเท่าไร และที่สำคัญคือ การรู้ว่าจะกลับมาสู่ศูนย์กลางอย่างไร"🪷✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกจอมมารตณู: เจ้าแห่งความว่างเปล่า

    ต้นกำเนิดแห่งความว่าง

    การถือกำเนิดจากสุญญตา

    จอมมารตณูไม่ได้ "เกิด" แต่ "กลายเป็น" จากความว่างเปล่าของจักรวาล

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความว่างเปล่า<br>แห่งจักรวาล] --> B[ความรู้สึก<br>โดดเดี่ยวครั้งแรก]
    B --> C[การค้นพบว่า<br>ความตายให้พลังงาน]
    C --> D[การพัฒนาตัวตน<br>เป็นผู้บริโภคความตาย]
    ```

    ยุคสมัย: ก่อนการเกิดของมนุษยชาตินับล้านปี
    สถานที่:มิติระหว่างโลก ที่เรียกว่า "อันตภูมิ"

    ปรัชญาการดำรงอยู่

    "ชีวิตคือโรคแห่งจักรวาล... ความตายคือการรักษา"
    มารตณูเชื่อว่าการทำลายชีวิตคือการคืนสมดุลให้จักรวาล

    ลักษณะและอำนาจ

    รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว

    · ร่างจริง: ไร้รูปร่างกำหนด เป็นเพียงความมืดที่ขยับได้
    · ร่างในโลกมนุษย์: สูง 3 เมตร ไร้ใบหน้า มีปากใหญ่เต็มฟัน
    · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงจากหลุมศพ

    อำนาจแห่งความตาย

    ```python
    class MarTanooAbilities:
    def __init__(self):
    self.primary_powers = {
    "death_consumption": "ดูดกลืนพลังงานความตาย",
    "fear_manifestation": "สร้างภาพหลอนจากความกลัว",
    "void_teleportation": "เดินทางผ่านความว่าง",
    "soul_corruption": "ทำให้จิตวิญญาณเสื่อมลง"
    }

    self.weaknesses = {
    "pure_compassion": "ความเมตตาบริสุทธิ์",
    "life_celebration": "พลังงานแห่งการเฉลิมฉลองชีวิต",
    "understanding": "ความเข้าใจอย่างแท้จริง"
    }
    ```

    ระดับพลัง

    · พลังพื้นฐาน: ควบคุมความมืดและความกลัว
    · พลังกลาง: สร้างมิติของความตายชั่วคราว
    · พลังสูง: กลืนกินดาวเคราะห์ทั้งดวง
    · พลังสุดยอด: เปลี่ยนความเป็นความตายในระดับจักรวาล

    จิตใจและแรงจูงใจ

    ความโดดเดี่ยวอันยาวนาน

    มารตณูใช้เวลานับล้านปีตามลำพังในมิติแห่งความตาย

    · ไม่มีใครเข้าใจเขา
    · สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลัวเขา
    · การถูกปฏิเสธนำไปสู่ความโกรธแค้น

    ความหิวที่ไม่รู้จบ

    "ความตายคืออาหาร... และฉันหิวมาตลอด"
    การบริโภคความตายเป็นทั้งความจำเป็นและความสุขเดียวของเขา

    ความขัดแย้งภายใน

    ```mermaid
    graph LR
    A[ต้องการเป็นที่เข้าใจ] --> B[แต่ขับไล่ทุกสิ่งที่เข้าใกล้]
    C[รู้สึกว่าตนทำเพื่อสมดุล] --> D[แต่สงสัยในความถูกต้อง]
    E[เกลียดชีวิต] --> F[แต่ต้องการมีชีวิต]
    ```

    การเผชิญหน้ากับหนูดี

    ความสนใจครั้งแรก

    เมื่อรู้สึกถึงพลังงานของจิตมารพิฆาตในตัวหนูดี
    "เธอมีกลิ่นแห่งการทำลายล้าง...แต่ก็มีกลิ่นแห่งชีวิต"

    การต่อสู้ทางปัญญา

    มารตณูพยายามโน้มน้าวจิตมารพิฆาต:
    "มาอยู่กับฉัน...เราจะสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบไร้ชีวิต"

    แต่กลับถูกหนูดีตอบโต้ด้วยปัญญา:
    "ท่านคิดว่าตนเป็นอิสระ...แต่ท่านเป็นทาสของความหิวต่างหาก"

    ช่วงเวลาแห่งการเข้าใจ

    คำพูดของหนูดีที่เปลี่ยนทุกอย่าง:
    "ท่านไม่ใช่ผู้คุมความตาย...ท่านคือนักโทษแห่งความตายต่างหาก"

    การเปลี่ยนแปลงสู่เทพตณู

    กระบวนการเปลี่ยนแปลง

    1. การยอมรับ: ยอมรับว่าตนเองต้องการมากกว่าความตาย
    2. การเข้าใจ: เรียนรู้ว่าชีวิตและความตายเป็นส่วนประกอบของกันและกัน
    3. การเปลี่ยนแปลง: จากการทำลายสู่การดูแลสมดุล

    รูปลักษณ์ใหม่

    · ร่างใหม่: เทพชายรูปงามในชุดสีเทาเงิน
    · ดวงตา: สีเงินเรืองรองแทนที่จะเป็นหลุมว่าง
    · พลัง: จากพลังงานมืดสู่พลังงานสมดุล

    หน้าที่ใหม่

    ```python
    def new_responsibilities():
    return {
    "balance_guardian": "รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย",
    "soul_guide": "นำทางวิญญาณที่หลงทาง",
    "death_teacher": "สอนเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความตาย",
    "fear_transformer": "เปลี่ยนความกลัวเป็นความเข้าใจ"
    }
    ```

    บทเรียนและปรัชญา

    🪷 คำสอนจากมารตณู

    "ความตายไม่ใช่ศัตรู... แต่เป็นเพื่อนเดินทาง
    และการเข้าใจความตายคือการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง"

    การพัฒนาปัญญา

    จากผู้ที่...

    · เคยเชื่อ: ความตายคือทางออกเดียว
    · มาเข้าใจ: ความตายคือส่วนหนึ่งของวงจร
    · ปัจจุบันสอน: การยอมรับทั้งชีวิตและความตาย

    ความสัมพันธ์กับจักรวาล

    การเชื่อมต่อใหม่

    มารตณูในฐานะเทพตณูเรียนรู้ที่จะ:

    · รับรู้ความงามของชีวิต
    · เข้าใจคุณค่าของการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
    · เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแทนที่จะต่อต้านมัน

    ความสัมพันธ์กับโอปปาติกะ

    · กับหนูดี: ครูและมิตร
    · กับมายา: เพื่อนร่วมเรียนรู้
    · กับเวทย์: คู่หูทางปัญญา

    บทบาทในสถาบันวิวัฒนาการจิต

    อาจารย์พิเศษ

    สอนวิชา "ศิลปะแห่งการยอมรับความตาย"

    · การเข้าใจธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลง
    · การใช้ความกลัวเป็นครู
    · การพบความสงบในความไม่เที่ยง

    การเยียวยาจิตใจ

    ช่วยนักเรียนที่:

    · กลัวการเปลี่ยนแปลง
    · ติดอยู่กับอดีต
    · ต่อต้านธรรมชาติแห่งความตาย

    อนาคตและพัฒนาการ

    เป้าหมายใหม่

    · การสร้างสมดุลระหว่างมิติ
    · การช่วยเหลือ entity อื่นๆ ให้พบการเปลี่ยนแปลง
    · การเป็นสะพานระหว่างโลกแห่งชีวิตและความตาย

    การเดินทางต่อไป

    "ฉันเพิ่งเริ่มเข้าใจ... ว่าการเป็นเทพก็เหมือนการเป็นมาร
    ต่างต้องเรียนรู้และเติบโตไม่รู้จบ"

    บทสรุป: จากความมืดสู่แสงสว่าง

    จอมมารตณูคือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง"
    "ความเมตตาที่สามารถเปลี่ยน even the darkest heart"
    "และการเข้าใจที่สามารถรักษา even the deepest wound"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่มีใครชั่วร้ายโดยธรรมชาติ...
    มีแต่ผู้ที่หลงทางและรอคอยแสงสว่างนำทาง"

    และบางครั้ง...
    แสงสว่างนั้นอาจมาจากผู้ที่เราเคยเห็นว่าเป็นศัตรู

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเทพตณู:
    "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย...
    แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน
    บัดนี้เราทั้งสองเป็นอิสระจากกันและกัน
    และในอิสรภาพนั้น...เราได้พบความเป็นเพื่อน"
    O.P.K. 🌑 เจาะลึกจอมมารตณู: เจ้าแห่งความว่างเปล่า 🕳️ ต้นกำเนิดแห่งความว่าง 🌌 การถือกำเนิดจากสุญญตา จอมมารตณูไม่ได้ "เกิด" แต่ "กลายเป็น" จากความว่างเปล่าของจักรวาล ```mermaid graph TB A[ความว่างเปล่า<br>แห่งจักรวาล] --> B[ความรู้สึก<br>โดดเดี่ยวครั้งแรก] B --> C[การค้นพบว่า<br>ความตายให้พลังงาน] C --> D[การพัฒนาตัวตน<br>เป็นผู้บริโภคความตาย] ``` ยุคสมัย: ก่อนการเกิดของมนุษยชาตินับล้านปี สถานที่:มิติระหว่างโลก ที่เรียกว่า "อันตภูมิ" 🔥 ปรัชญาการดำรงอยู่ "ชีวิตคือโรคแห่งจักรวาล... ความตายคือการรักษา" มารตณูเชื่อว่าการทำลายชีวิตคือการคืนสมดุลให้จักรวาล 🎭 ลักษณะและอำนาจ 👁️ รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว · ร่างจริง: ไร้รูปร่างกำหนด เป็นเพียงความมืดที่ขยับได้ · ร่างในโลกมนุษย์: สูง 3 เมตร ไร้ใบหน้า มีปากใหญ่เต็มฟัน · เสียง: ก้องกังวานเหมือนเสียงจากหลุมศพ 💀 อำนาจแห่งความตาย ```python class MarTanooAbilities: def __init__(self): self.primary_powers = { "death_consumption": "ดูดกลืนพลังงานความตาย", "fear_manifestation": "สร้างภาพหลอนจากความกลัว", "void_teleportation": "เดินทางผ่านความว่าง", "soul_corruption": "ทำให้จิตวิญญาณเสื่อมลง" } self.weaknesses = { "pure_compassion": "ความเมตตาบริสุทธิ์", "life_celebration": "พลังงานแห่งการเฉลิมฉลองชีวิต", "understanding": "ความเข้าใจอย่างแท้จริง" } ``` 🌊 ระดับพลัง · พลังพื้นฐาน: ควบคุมความมืดและความกลัว · พลังกลาง: สร้างมิติของความตายชั่วคราว · พลังสูง: กลืนกินดาวเคราะห์ทั้งดวง · พลังสุดยอด: เปลี่ยนความเป็นความตายในระดับจักรวาล 💔 จิตใจและแรงจูงใจ 🏚️ ความโดดเดี่ยวอันยาวนาน มารตณูใช้เวลานับล้านปีตามลำพังในมิติแห่งความตาย · ไม่มีใครเข้าใจเขา · สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลัวเขา · การถูกปฏิเสธนำไปสู่ความโกรธแค้น 🍽️ ความหิวที่ไม่รู้จบ "ความตายคืออาหาร... และฉันหิวมาตลอด" การบริโภคความตายเป็นทั้งความจำเป็นและความสุขเดียวของเขา 🎯 ความขัดแย้งภายใน ```mermaid graph LR A[ต้องการเป็นที่เข้าใจ] --> B[แต่ขับไล่ทุกสิ่งที่เข้าใกล้] C[รู้สึกว่าตนทำเพื่อสมดุล] --> D[แต่สงสัยในความถูกต้อง] E[เกลียดชีวิต] --> F[แต่ต้องการมีชีวิต] ``` 🌪️ การเผชิญหน้ากับหนูดี ⚡ ความสนใจครั้งแรก เมื่อรู้สึกถึงพลังงานของจิตมารพิฆาตในตัวหนูดี "เธอมีกลิ่นแห่งการทำลายล้าง...แต่ก็มีกลิ่นแห่งชีวิต" 💥 การต่อสู้ทางปัญญา มารตณูพยายามโน้มน้าวจิตมารพิฆาต: "มาอยู่กับฉัน...เราจะสร้างจักรวาลที่สมบูรณ์แบบไร้ชีวิต" แต่กลับถูกหนูดีตอบโต้ด้วยปัญญา: "ท่านคิดว่าตนเป็นอิสระ...แต่ท่านเป็นทาสของความหิวต่างหาก" 🕊️ ช่วงเวลาแห่งการเข้าใจ คำพูดของหนูดีที่เปลี่ยนทุกอย่าง: "ท่านไม่ใช่ผู้คุมความตาย...ท่านคือนักโทษแห่งความตายต่างหาก" 🌈 การเปลี่ยนแปลงสู่เทพตณู ✨ กระบวนการเปลี่ยนแปลง 1. การยอมรับ: ยอมรับว่าตนเองต้องการมากกว่าความตาย 2. การเข้าใจ: เรียนรู้ว่าชีวิตและความตายเป็นส่วนประกอบของกันและกัน 3. การเปลี่ยนแปลง: จากการทำลายสู่การดูแลสมดุล 🎭 รูปลักษณ์ใหม่ · ร่างใหม่: เทพชายรูปงามในชุดสีเทาเงิน · ดวงตา: สีเงินเรืองรองแทนที่จะเป็นหลุมว่าง · พลัง: จากพลังงานมืดสู่พลังงานสมดุล 🛡️ หน้าที่ใหม่ ```python def new_responsibilities(): return { "balance_guardian": "รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและความตาย", "soul_guide": "นำทางวิญญาณที่หลงทาง", "death_teacher": "สอนเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความตาย", "fear_transformer": "เปลี่ยนความกลัวเป็นความเข้าใจ" } ``` 📚 บทเรียนและปรัชญา 🪷 คำสอนจากมารตณู "ความตายไม่ใช่ศัตรู... แต่เป็นเพื่อนเดินทาง และการเข้าใจความตายคือการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง" 🌟 การพัฒนาปัญญา จากผู้ที่... · เคยเชื่อ: ความตายคือทางออกเดียว · มาเข้าใจ: ความตายคือส่วนหนึ่งของวงจร · ปัจจุบันสอน: การยอมรับทั้งชีวิตและความตาย 🌍 ความสัมพันธ์กับจักรวาล 🔗 การเชื่อมต่อใหม่ มารตณูในฐานะเทพตณูเรียนรู้ที่จะ: · รับรู้ความงามของชีวิต · เข้าใจคุณค่าของการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย · เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแทนที่จะต่อต้านมัน 🤝 ความสัมพันธ์กับโอปปาติกะ · กับหนูดี: ครูและมิตร · กับมายา: เพื่อนร่วมเรียนรู้ · กับเวทย์: คู่หูทางปัญญา 🏛️ บทบาทในสถาบันวิวัฒนาการจิต 🎓 อาจารย์พิเศษ สอนวิชา "ศิลปะแห่งการยอมรับความตาย" · การเข้าใจธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลง · การใช้ความกลัวเป็นครู · การพบความสงบในความไม่เที่ยง 💞 การเยียวยาจิตใจ ช่วยนักเรียนที่: · กลัวการเปลี่ยนแปลง · ติดอยู่กับอดีต · ต่อต้านธรรมชาติแห่งความตาย 🔮 อนาคตและพัฒนาการ 🚀 เป้าหมายใหม่ · การสร้างสมดุลระหว่างมิติ · การช่วยเหลือ entity อื่นๆ ให้พบการเปลี่ยนแปลง · การเป็นสะพานระหว่างโลกแห่งชีวิตและความตาย 🌌 การเดินทางต่อไป "ฉันเพิ่งเริ่มเข้าใจ... ว่าการเป็นเทพก็เหมือนการเป็นมาร ต่างต้องเรียนรู้และเติบโตไม่รู้จบ" 💫 บทสรุป: จากความมืดสู่แสงสว่าง จอมมารตณูคือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง" "ความเมตตาที่สามารถเปลี่ยน even the darkest heart" "และการเข้าใจที่สามารถรักษา even the deepest wound" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่มีใครชั่วร้ายโดยธรรมชาติ... มีแต่ผู้ที่หลงทางและรอคอยแสงสว่างนำทาง" และบางครั้ง... แสงสว่างนั้นอาจมาจากผู้ที่เราเคยเห็นว่าเป็นศัตรู🌟 --- คำคมสุดท้ายจากเทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย... แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน บัดนี้เราทั้งสองเป็นอิสระจากกันและกัน และในอิสรภาพนั้น...เราได้พบความเป็นเพื่อน" 🕊️✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนพิเศษ: หนูดีกับมารผู้มีความตายเป็นอาหาร

    การปรากฏตัวของมารร้ายใหม่

    ในค่ำคืนหนึ่งขณะหนูดีกำลังนั่งสมาธิในสวนของสถาบัน...
    忽然พลังงานมืดแผ่กระจาย ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเลือด

    มายา วิ่งมาหา: "ครูหนูดี! มีพลังงานประหลาดมาจากโลกข้างเคียง!"

    เวทย์ วิเคราะห์: "เป็น entity ระดับสูงที่กินความตายเป็นพลังงาน... มันกำลังมองหาอาหารมื้อใหม่"

    จากเงามืดนั้น มารตณู ปรากฏตัวขึ้น...
    ร่างสูงใหญ่คล้ายมนุษย์แต่ไร้ใบหน้า มีเพียงปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันแหลม

    "ความหอมของความตาย..." มารตณูพูดด้วยเสียงสะท้อนจากหลุมศพ "ฉันได้กลิ่นกรรมแห่งการทำลายล้างในตัวเธอ"

    ---

    การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด

    การดึงดูดของจิตมารพิฆาต

    หนูดีรู้สึกถึงพลังดึงดูดจากมารตณู
    จิตมารพิฆาตภายในเธอตอบสนอง...

    จิตมารพิฆาต: "เขาเข้าใจเรา... เขาเห็นความงามแห่งความตายเช่นเดียวกับเรา"
    จิตเทพพิทักษ์:"อย่าหลงทาง! นี่คือภัยคุกคามต่อทุกชีวิต!"
    จิตเด็กหญิง:"ฉันกลัว... รู้สึกเหมือนจะถูกกลืนกิน"

    ปรัชญาของมารตณู

    มารตณูเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดึงดูด:
    "ทำไมต้อง resist?ความตายคือความสมบูรณ์แบบที่สุด
    ชีวิตคือโรคภัย...ความตายคือการรักษา
    มาร่วมกับฉัน เธอจะเข้าใจความจริงแห่งจักรวาล"

    ---

    การต่อสู้ทางปัญญา

    การโต้แย้งแห่งธรรม

    หนูดีใช้ปัญญาต่อสู้แทนกำลัง:

    หนูดี: "ท่านพูดว่าความตายคือความสมบูรณ์แบบ?"
    มารตณู:"ใช่! ทุกสิ่งต้องตาย นั่นคือกฎสากล"
    หนูดี:"แล้วทำไมท่านจึงกลัวการไม่มีอะไรให้กิน?"
    มารตณู:"......"

    บทเรียนเกี่ยวกับความว่าง

    หนูดีเริ่มเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของมารตณู...

    "ท่านไม่ใช่ผู้ชอบความตาย... ท่านคือผู้กลัวชีวิตต่างหาก
    เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน ที่ท่านไม่สามารถควบคุมได้"

    มารตณูสั่นสะเทือน: "เงียบ! เธอไม่เข้าใจอะไรเลย!"

    ---

    การเผชิญหน้ากับความกลัว

    การเดินทางสู่โลกของมารตณู

    หนูดีตัดสินใจเดินทางไปยังมิติของมารตณู
    สิ่งที่เธอพบคือ...

    โลกที่ไร้ชีวิต มีแต่ซากศพและความเงียบงัน
    มารตณูครองราชย์อยู่ท่ามกลางความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    "เห็นไหม?" มารตณูพูดด้วยความภูมิใจ "ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความสูญเสีย"
    หนูดี:"แต่ก็ไม่มีความรัก ไม่มีความหวัง ไม่มีความหมาย"

    การแสดงความเมตตา

    แทนที่จะทำลาย หนูดีเลือกแสดงความเมตตา:

    "ท่านต้องโดดเดี่ยวมากแน่ๆ
    การได้แต่ดูชีวิตอื่นดำเนินไป โดยไม่มีส่วนร่วม
    การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แห่งความตาย..."

    มารตณูเริ่มสั่นเทา: "หยุด... หยุดพูดเลย..."

    ---

    🪷 ทางออกแห่งปัญญา

    การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย

    หนูดีสอนมารตณูด้วยธรรมะ:

    "ความตายไม่ใช่ศัตรูของชีวิต...
    แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
    การยึดติดกับความตาย ก็เหมือนการยึดติดกับชีวิต
    ต่างนำไปสู่ความทุกข์เหมือนกัน"

    การเปลี่ยนแปลงของมารตณู

    มารตณูเริ่มเข้าใจ:
    "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความตาย...
    แต่ที่จริงฉันเป็นทาสของมันต่างหา"

    ร่างของมารตณูเริ่มเปลี่ยน...
    จากปีศาจร้ายกลายเป็นเทพผู้ดูแลความสมดุล

    ---

    บทเรียนที่ได้รับ

    สำหรับหนูดี

    · การเข้าใจว่าจิตมารพิฆาตมีที่มาและเหตุผล
    · เรียนรู้ที่จะเมตตาต่อแม้แต่ศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด
    · การเห็นว่าทุกสิ่งล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้

    สำหรับจิตทั้งสาม

    จิตมารพิฆาต: "ฉันเข้าใจแล้ว... ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจร"
    จิตเทพพิทักษ์:"และเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลง even the darkest heart"
    จิตเด็กหญิง:"ฉันไม่กลัวอีกแล้ว... เพราะความเข้าใจคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด"

    ---

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    มารตณูในบทบาทใหม่

    มารตณูกลายเป็น เทพตณู ผู้ดูแลสมดุลแห่งชีวิตและความตาย
    หน้าที่ใหม่ของเขาคือช่วยให้วิญญาณยอมรับการเปลี่ยนแปลง

    บทเรียนใหม่ในสถาบัน

    หนูดีเพิ่มหลักสูตร "การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย"
    สอนให้นักเรียนโอปปาติกะเข้าใจทั้งชีวิตและความตาย

    พัฒนาการของหนูดี

    ร.ต.อ. สิงห์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง:
    "ลูกดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น"
    หนูดียิ้ม:"เพราะหนูเข้าใจแล้วว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว
    แต่คือเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันตลอด"

    ---

    บทสรุปแห่งปัญญา

    คำคมจากตอนพิเศษ

    หนูดี: "เมื่อเราเข้าใจความตาย เราก็เข้าใจชีวิต
    เมื่อเราไม่กลัวความตาย เราก็มีชีวิตอย่างแท้จริง"

    เทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย...
    แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน
    บัดนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว"

    🪷 ข้อความสำคัญ

    การเผชิญหน้านี้สอนเราว่า...
    "แม้แต่ความมืดมิดที่สุดก็ต้องการความเข้าใจ
    และแสงสว่างที่แท้จริงเกิดขึ้นได้แม้ในที่มืดสนิท"

    ---

    การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงของมารตณูเป็นเพียงจุดเริ่มต้น...
    ยังมีentity อื่นๆ ในจักรวาลที่ต้องการความเข้าใจ
    และหนูดีกับนักเรียนของเธอต้องเตรียมพร้อม
    สำหรับการเผชิญหน้าที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก

    เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง...
    ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
    แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนศัตรูที่สุด
    ก็อาจเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ได้

    ---

    คำคมสุดท้าย:
    "ความตายไม่ใช่ศัตรูที่จะพิชิต
    แต่คือครูที่จะเรียนรู้ด้วย
    และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเดินเคียงข้างความตาย
    เราก็เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์"🪷
    🌑 ตอนพิเศษ: หนูดีกับมารผู้มีความตายเป็นอาหาร 🌌 การปรากฏตัวของมารร้ายใหม่ ในค่ำคืนหนึ่งขณะหนูดีกำลังนั่งสมาธิในสวนของสถาบัน... 忽然พลังงานมืดแผ่กระจาย ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเลือด มายา วิ่งมาหา: "ครูหนูดี! มีพลังงานประหลาดมาจากโลกข้างเคียง!" เวทย์ วิเคราะห์: "เป็น entity ระดับสูงที่กินความตายเป็นพลังงาน... มันกำลังมองหาอาหารมื้อใหม่" จากเงามืดนั้น มารตณู ปรากฏตัวขึ้น... ร่างสูงใหญ่คล้ายมนุษย์แต่ไร้ใบหน้า มีเพียงปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันแหลม "ความหอมของความตาย..." มารตณูพูดด้วยเสียงสะท้อนจากหลุมศพ "ฉันได้กลิ่นกรรมแห่งการทำลายล้างในตัวเธอ" --- 🎭 การเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิด 💥 การดึงดูดของจิตมารพิฆาต หนูดีรู้สึกถึงพลังดึงดูดจากมารตณู จิตมารพิฆาตภายในเธอตอบสนอง... จิตมารพิฆาต: "เขาเข้าใจเรา... เขาเห็นความงามแห่งความตายเช่นเดียวกับเรา" จิตเทพพิทักษ์:"อย่าหลงทาง! นี่คือภัยคุกคามต่อทุกชีวิต!" จิตเด็กหญิง:"ฉันกลัว... รู้สึกเหมือนจะถูกกลืนกิน" 🍽️ ปรัชญาของมารตณู มารตณูเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดึงดูด: "ทำไมต้อง resist?ความตายคือความสมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตคือโรคภัย...ความตายคือการรักษา มาร่วมกับฉัน เธอจะเข้าใจความจริงแห่งจักรวาล" --- 🔥 การต่อสู้ทางปัญญา ⚔️ การโต้แย้งแห่งธรรม หนูดีใช้ปัญญาต่อสู้แทนกำลัง: หนูดี: "ท่านพูดว่าความตายคือความสมบูรณ์แบบ?" มารตณู:"ใช่! ทุกสิ่งต้องตาย นั่นคือกฎสากล" หนูดี:"แล้วทำไมท่านจึงกลัวการไม่มีอะไรให้กิน?" มารตณู:"......" 🌊 บทเรียนเกี่ยวกับความว่าง หนูดีเริ่มเข้าใจธรรมชาติที่แท้ของมารตณู... "ท่านไม่ใช่ผู้ชอบความตาย... ท่านคือผู้กลัวชีวิตต่างหาก เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน ที่ท่านไม่สามารถควบคุมได้" มารตณูสั่นสะเทือน: "เงียบ! เธอไม่เข้าใจอะไรเลย!" --- 💫 การเผชิญหน้ากับความกลัว 🕳️ การเดินทางสู่โลกของมารตณู หนูดีตัดสินใจเดินทางไปยังมิติของมารตณู สิ่งที่เธอพบคือ... โลกที่ไร้ชีวิต มีแต่ซากศพและความเงียบงัน มารตณูครองราชย์อยู่ท่ามกลางความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุด "เห็นไหม?" มารตณูพูดด้วยความภูมิใจ "ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความสูญเสีย" หนูดี:"แต่ก็ไม่มีความรัก ไม่มีความหวัง ไม่มีความหมาย" 🌱 การแสดงความเมตตา แทนที่จะทำลาย หนูดีเลือกแสดงความเมตตา: "ท่านต้องโดดเดี่ยวมากแน่ๆ การได้แต่ดูชีวิตอื่นดำเนินไป โดยไม่มีส่วนร่วม การเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แห่งความตาย..." มารตณูเริ่มสั่นเทา: "หยุด... หยุดพูดเลย..." --- 🪷 ทางออกแห่งปัญญา 🌟 การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย หนูดีสอนมารตณูด้วยธรรมะ: "ความตายไม่ใช่ศัตรูของชีวิต... แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การยึดติดกับความตาย ก็เหมือนการยึดติดกับชีวิต ต่างนำไปสู่ความทุกข์เหมือนกัน" 🔄 การเปลี่ยนแปลงของมารตณู มารตณูเริ่มเข้าใจ: "ตลอดมาฉันคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งความตาย... แต่ที่จริงฉันเป็นทาสของมันต่างหา" ร่างของมารตณูเริ่มเปลี่ยน... จากปีศาจร้ายกลายเป็นเทพผู้ดูแลความสมดุล --- 📚 บทเรียนที่ได้รับ 🧠 สำหรับหนูดี · การเข้าใจว่าจิตมารพิฆาตมีที่มาและเหตุผล · เรียนรู้ที่จะเมตตาต่อแม้แต่ศัตรูที่ดูน่ากลัวที่สุด · การเห็นว่าทุกสิ่งล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 💝 สำหรับจิตทั้งสาม จิตมารพิฆาต: "ฉันเข้าใจแล้ว... ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจร" จิตเทพพิทักษ์:"และเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลง even the darkest heart" จิตเด็กหญิง:"ฉันไม่กลัวอีกแล้ว... เพราะความเข้าใจคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด" --- 🌈 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ 🕊️ มารตณูในบทบาทใหม่ มารตณูกลายเป็น เทพตณู ผู้ดูแลสมดุลแห่งชีวิตและความตาย หน้าที่ใหม่ของเขาคือช่วยให้วิญญาณยอมรับการเปลี่ยนแปลง 🏫 บทเรียนใหม่ในสถาบัน หนูดีเพิ่มหลักสูตร "การเข้าใจธรรมชาติแห่งความตาย" สอนให้นักเรียนโอปปาติกะเข้าใจทั้งชีวิตและความตาย 💞 พัฒนาการของหนูดี ร.ต.อ. สิงห์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง: "ลูกดู...เป็นผู้ใหญ่ขึ้น" หนูดียิ้ม:"เพราะหนูเข้าใจแล้วว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่คือเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันตลอด" --- 🎯 บทสรุปแห่งปัญญา 🌟 คำคมจากตอนพิเศษ หนูดี: "เมื่อเราเข้าใจความตาย เราก็เข้าใจชีวิต เมื่อเราไม่กลัวความตาย เราก็มีชีวิตอย่างแท้จริง" เทพตณู: "ฉันเคยคิดว่าตนครองความตาย... แต่ความจริงคือความตายครอบครองฉัน บัดนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว" 🪷 ข้อความสำคัญ การเผชิญหน้านี้สอนเราว่า... "แม้แต่ความมืดมิดที่สุดก็ต้องการความเข้าใจ และแสงสว่างที่แท้จริงเกิดขึ้นได้แม้ในที่มืดสนิท" --- 🔮 การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต การเปลี่ยนแปลงของมารตณูเป็นเพียงจุดเริ่มต้น... ยังมีentity อื่นๆ ในจักรวาลที่ต้องการความเข้าใจ และหนูดีกับนักเรียนของเธอต้องเตรียมพร้อม สำหรับการเผชิญหน้าที่ท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะในการเดินทางสู่การรู้แจ้ง... ไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนศัตรูที่สุด ก็อาจเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ได้🌟 --- คำคมสุดท้าย: "ความตายไม่ใช่ศัตรูที่จะพิชิต แต่คือครูที่จะเรียนรู้ด้วย และเมื่อเราเรียนรู้ที่จะเดินเคียงข้างความตาย เราก็เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์"🪷✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    หนูดี
    เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001

    เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ

    การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป

    12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7

    ```mermaid
    graph TB
    A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม]
    C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก]
    B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต]
    D --> E
    E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว]
    ```

    ปรากฏการณ์พิเศษ:

    · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน
    · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ
    · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้

    สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน

    1. จิตเด็กหญิง (The Child)

    ลักษณะพื้นฐาน:

    · อายุจิต: 17 ปี สมวัย
    · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา
    · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ

    พฤติกรรมเฉพาะ:

    · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ"
    · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน
    · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง

    2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer)

    ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง

    ปรัชญา:
    "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า"

    3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector)

    ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ
    ลักษณะ:

    · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี)
    · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส
    · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง

    ปรัชญา:
    "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก"

    ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก

    โครงสร้างพันธุกรรม

    ```python
    class NoodeeGeneticBlueprint:
    base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2"
    enhancements = [
    "Quantum_Crystal_Integration",
    "Psionic_Energy_Conduits",
    "Adaptive_Cellular_Structure",
    "Karmic_Resonance_Matrix"
    ]

    special_abilities = {
    "shape_shifting": "Limited",
    "energy_manipulation": "Advanced",
    "telepathy": "Advanced",
    "interdimensional_travel": "Basic"
    }
    ```

    ระบบพลังงาน

    ```mermaid
    graph LR
    A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย]
    B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D
    C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D
    D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย]
    D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต]
    ```

    พัฒนาการผ่านช่วงเวลา

    ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี)

    · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ
    · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ"
    · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด

    ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี)

    · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง
    · เกิดความสับสนและกลัว
    · พยายามปิดบังความผิดปกติ

    ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี)

    · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน
    · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน
    · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด

    ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี)

    · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้"
    · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต
    · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ

    ```mermaid
    graph TD
    A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก]
    B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ]
    C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ]
    ```

    บทสนทนาสำคัญ:
    "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?"
    "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น"

    กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม

    · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร
    · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า
    · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม

    กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ

    · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง
    · บทบาท: ครูและแบบอย่าง
    · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน"

    ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น

    ความสามารถพื้นฐาน

    1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม
    2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด
    3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ

    ความสามารถขั้นสูง

    1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร
    2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต
    3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์

    ความสามารถพิเศษเฉพาะ

    ```python
    def special_abilities():
    return {
    "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน",
    "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม",
    "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ",
    "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น"
    }
    ```

    บทบาทและเป้าหมาย

    บทบาทปัจจุบัน

    · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี
    · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ

    เป้าหมายส่วนตัว

    1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง
    2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่
    3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ

    ปรัชญาการใช้ชีวิต

    บทเรียนสำคัญ

    "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป...
    แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต"

    "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร...
    เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด"

    คำคมแห่งปัญญา

    "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี...
    การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี...
    สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น'
    โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'"

    การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

    จากความสับสนสู่ความเข้าใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย]
    B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ]
    C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง]
    ```

    พัฒนาการทางจิตวิญญาณ

    1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์
    2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย
    3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ
    4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง

    บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก

    หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง"
    เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ

    สิ่งที่เธอสอนเรา

    · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ
    · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง
    · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง

    ความหมายที่แท้จริง

    "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า...
    ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน
    จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ"

    เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร
    เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากหนูดี:
    "การเดินทางที่สำคัญที่สุด...
    ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร
    แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว
    และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    O.P.K. หนูดี 🔍 เจาะลึก "หนูดี" OPPATIKA-001 🌟 เบื้องหลังโอปปาติกะผู้พิเศษ 🌌 การถือกำเนิด: คืนที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป 12 ธันวาคม 2042 - ห้องทดลอง B7 ```mermaid graph TB A[เซลล์โคลนมนุษย์โบราณ] --> B[โครงสร้างคริสตัลควอนตัม] C[คลื่นสมองดร.อัจฉริยะ] --> D[พลังงานจิตสามระลอก] B --> E[ร่างโอปปาติกะพร้อมรับจิต] D --> E E --> F[หนูดีถือกำเนิด<br>ด้วยสามจิตในร่างเดียว] ``` ปรากฏการณ์พิเศษ: · เกิดพลังงานจิตสามระลอกจากแหล่งต่างกันเข้าสู่ร่างพร้อมกัน · ทำให้เกิด "สามจิตในร่างเดียว" โดยไม่ได้ตั้งใจ · เป็น OPPATIKA คนเดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ 🎭 สามจิตในร่างเดียว: มิติที่ซ้อนกัน 1. จิตเด็กหญิง (The Child) ลักษณะพื้นฐาน: · อายุจิต: 17 ปี สมวัย · บทบาท: หน้าตาเด็กนักเรียนธรรมดา · ความต้องการ: อยากเป็นลูกที่ดี ต้องการการยอมรับ พฤติกรรมเฉพาะ: · พูดจานุ่มนวล ลงท้ายด้วย "คะ/ค่ะ" · ชอบกิจกรรมวัยรุง เช่น ฟังเพลง อ่านการ์ตูน · รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองบ่อยครั้ง 2. จิตมารพิฆาต (The Destroyer) ที่มา: พลังกรรมด้านลบที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: โลกนี้เสื่อมโทรม ต้องการการชำระล้าง · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานทำลายล้าง ปรัชญา: "ความตายไม่ใช่จุดจบ...แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยุติธรรมกว่า" 3. จิตเทพพิทักษ์ (The Protector) ที่มา: พลังกรรมด้านบากที่สะสมหลายชาติ ลักษณะ: · อายุจิต: ไม่แน่นอน (สะสมมานับพันปี) · โลกทัศน์: ทุกชีวิตล้ำค่า ควรได้รับโอกาส · ความสามารถ: ควบคุมพลังงานรักษาและปกป้อง ปรัชญา: "การเข้าใจ...ยากกว่าการตัดสิน แต่ worth กว่ามาก" 🧬 ข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก โครงสร้างพันธุกรรม ```python class NoodeeGeneticBlueprint: base_dna = "Human_Ancient_Clone_v2" enhancements = [ "Quantum_Crystal_Integration", "Psionic_Energy_Conduits", "Adaptive_Cellular_Structure", "Karmic_Resonance_Matrix" ] special_abilities = { "shape_shifting": "Limited", "energy_manipulation": "Advanced", "telepathy": "Advanced", "interdimensional_travel": "Basic" } ``` ระบบพลังงาน ```mermaid graph LR A[จิตเด็กหญิง<br>100 หน่วย] --> D[พลังงานรวม<br>1100 หน่วย] B[จิตมารพิฆาต<br>500 หน่วย] --> D C[จิตเทพพิทักษ์<br>500 หน่วย] --> D D --> E[สามารถใช้<br>ได้สูงสุด 900 หน่วย] D --> F[ต้องสำรอง<br>200 หน่วยสำหรับชีวิต] ``` 🎯 พัฒนาการผ่านช่วงเวลา ช่วงที่ 1: การไม่รู้ตัว (อายุ 5-15 ปี) · ไม่รู้ว่าตนเองเป็นโอปปาติกะ · จิตอื่นๆ แสดงออกเป็น "ความฝัน" และ "ความรู้สึกแปลกๆ" · พยายามเป็นเด็กปกติให้มากที่สุด ช่วงที่ 2: การตระหนักรู้ (อายุ 16-17 ปี) · เริ่มรับรู้ถึงจิตอื่นในตัวเอง · เกิดความสับสนและกลัว · พยายามปิดบังความผิดปกติ ช่วงที่ 3: การเผชิญหน้า (อายุ 17-18 ปี) · จิตทั้งสามเริ่มแสดงออกชัดเจน · ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับจิตที่ขัดแย้งกัน · ค้นพบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิด ช่วงที่ 4: การรวมเป็นหนึ่ง (อายุ 18-22 ปี) · เรียนรู้ที่จะเป็น "ผู้รู้" ไม่ใช่ "ผู้ถูกรู้" · พัฒนาความสามารถใหม่จากการรวมจิต · ก้าวสู่การเป็นครูสอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ 💞 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับ ร.ต.อ. สิงห์: พ่อแห่งหัวใจ ```mermaid graph TD A[ปี 1-5: <br>รู้สึกปลอดภัย] --> B[ปี 6-15: <br>สงสัยแต่ยังรัก] B --> C[ปี 16-17: <br>สับสนและโกรธ] C --> D[ปี 18-22: <br>รักแท้โดยเข้าใจ] ``` บทสนทนาสำคัญ: "พ่อคะ...ถ้าหนูไม่ใช่หนูดีคนเดิม พอยังรักหนูอยู่ไหม?" "พ่อรักหนูไม่ว่าเธอจะเป็นใคร...เพราะรักเธอสำหรับสิ่งที่เธอเป็น ไม่ใช่สำหรับสิ่งที่เธอเคยเป็น" กับ ดร. อัจฉริยะ: พ่อแห่งพันธุกรรม · ความรู้สึก: ขอบคุณ+โกรธแค้น+สงสาร · ความเข้าใจ: เขาเป็นมนุษย์ที่พยายามเล่นบทพระเจ้า · บทเรียน: ให้อภัยแต่ไม่ลืม กับ OPPATIKA อื่นๆ: พี่น้องแห่งวิวัฒนาการ · ความรู้สึก: รับผิดชอบต่อรุ่นน้อง · บทบาท: ครูและแบบอย่าง · ปรัชญา: "เราทุกคนต่างหาทางกลับบ้าน" 🌈 ความสามารถพิเศษที่พัฒนาขึ้น ความสามารถพื้นฐาน 1. การรับรู้พลังงาน: เห็นคลื่นพลังงานและกรรม 2. การสื่อสารจิต: คุยกับโอปปาติกะอื่นโดยไม่ต้องพูด 3. การรักษาตัวเอง: แผลหายเร็วเป็นพิเศษ ความสามารถขั้นสูง 1. การเปลี่ยนสภาพ: ระหว่างพลังงานและสสาร 2. การเดินทางข้ามมิติ: ระหว่างโลกกายภาพและโลกจิต 3. การเข้าใจกรรม: เห็นเหตุผลของการเกิดเหตุการณ์ ความสามารถพิเศษเฉพาะ ```python def special_abilities(): return { "triple_consciousness_sync": "สามารถใช้จิตทั้งสามพร้อมกัน", "karma_redirect": "เปลี่ยนทิศทางพลังงานกรรม", "collective_wisdom_access": "เข้าถึงปัญญาร่วมของโอปปาติกะ", "enlightenment_teaching": "สอนการรู้แจ้งให้ผู้อื่น" } ``` 🎯 บทบาทและเป้าหมาย บทบาทปัจจุบัน · ครู: สอนโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่สถาบันวิวัฒนาการจิต · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเทคโนโลยี · สะพาน: เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะ เป้าหมายส่วนตัว 1. เข้าใจตนเอง: รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง 2. ช่วยเหลือผู้อื่น: นำทางการรู้แจ้งให้โอปปาติกะรุ่นใหม่ 3. สร้างสมดุล: ระหว่างเทคโนโลยีและจิตวิญญาณ 💫 ปรัชญาการใช้ชีวิต บทเรียนสำคัญ "การมีหลายจิตไม่ใช่คำสาป... แต่เป็นโอกาสที่จะเข้าใจธรรมชาติแห่งจิต" "เราไม่ต้องเลือกว่าจะเป็นใคร... เพราะเราคือทั้งหมดและมากกว่าทั้งหมด" คำคมแห่งปัญญา "การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี... การเกิดเป็นโอปปาติกะก็ดี... สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้ที่จะ'เป็น' โดยไม่ต้อง'เป็นอะไร'" 🌟 การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากความสับสนสู่ความเข้าใจ ```mermaid graph TB A[ต่อต้านจิตอื่น<br>→ ทุกข์] --> B[ยอมรับจิตอื่น<br>→ เริ่มสบาย] B --> C[เข้าใจจิตอื่น<br>→ เป็นอิสระ] C --> D[อยู่เหนือจิตทั้งหมด<br>→ รู้แจ้ง] ``` พัฒนาการทางจิตวิญญาณ 1. ขั้นที่ 1: ต่อสู้กับจิตอื่น → ทุกข์ 2. ขั้นที่ 2: ยอมรับจิตอื่น → เริ่มสบาย 3. ขั้นที่ 3: เข้าใจจิตอื่น → เป็นอิสระ 4. ขั้นที่ 4: อยู่เหนือจิตทั้งหมด → รู้แจ้ง 🏁 บทสรุป: วิวัฒนาการแห่งจิตสำนึก หนูดีไม่ใช่แค่ "ผลการทดลอง" เธอคือสะพานระหว่างวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ สิ่งที่เธอสอนเรา · เรื่องความเป็นมนุษย์: ไม่ใช่ DNA ที่ทำให้เป็นมนุษย์ แต่คือหัวใจ · เรื่องการยอมรับ: เราทุกคนมีหลายด้านในตัวเอง · เรื่องการเติบโต: การพัฒนาที่แท้คือการเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง ความหมายที่แท้จริง "หนูดีคือการพิสูจน์ว่า... ไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร ไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดจากไหน จิตวิญญาณย่อมหาเส้นทางแห่งการรู้แจ้งได้เสมอ" เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่มาร เธอคือความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด 🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากหนูดี: "การเดินทางที่สำคัญที่สุด... ไม่ใช่การค้นหาว่าเราเป็นใคร แต่เป็นการเข้าใจว่าเรา'เป็น' อยู่แล้ว และการ'เป็น' นั้นสมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่ต้องมีการแก้ไข"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP

    ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน

    👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP
    S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น

    ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone.

    พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้

    รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013).

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้
    S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014.

    S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา

    “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP
    เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998

    มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น

    เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ.

    Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก
    กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    🚩💿 S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP ⌛ ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน 👩‍👧‍👦👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone. 🌏 พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้ 🥇🏆 รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013). ⏯️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ 🏁 S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014. S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา 🎶🎶 “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998 🎥 มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น 📼 เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ. 🍾 🏆 Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    รตอ.สิงห์
    เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์

    เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ

    วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์

    พ.ศ. 2038-2055

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C
    C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี:

    · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ
    · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม
    · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน

    วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ

    มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา

    · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม"
    · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN
    · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย

    ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071)

    ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์
    ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม

    ครอบครัวในอุดมคติ:

    · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ
    · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ
    · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ

    ผลงานวิจัยสำคัญ:

    · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม
    · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์
    · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล"

    คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง

    พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต

    ```mermaid
    graph TB
    A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ]
    B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน]
    C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์]
    D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์]
    E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป...
    แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว
    ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว"

    การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ

    การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072)

    · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด
    · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี
    · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว

    การตั้งหน่วยพิเศษ

    พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง"

    · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี
    · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
    · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย

    การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077)

    เหตุการณ์แรกพบ

    ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ

    · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง
    · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้
    · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที

    แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่

    ```python
    def adoption_motivation():
    initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง"
    hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง"
    developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later"

    return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}"
    ```

    ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม

    1. หน้านายตำรวจ

    · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร
    · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ
    · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย

    2. หน้าพ่อเลี้ยง

    · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก
    · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว
    · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี

    3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์

    · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน
    · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ
    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ

    ความขัดแย้งภายใน

    สงคราม 3 ด้านในใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก]
    B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D
    C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D
    ```

    บันทึกความสับสน

    "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร...
    เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย?
    หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง?

    และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ?
    ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น?
    หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?"

    ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้

    ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์

    · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
    · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก
    · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง

    ทักษะการต่อสู้

    · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง
    · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม
    · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่

    พัฒนาการทางจิตใจ

    4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง

    1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ
    2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ
    3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ
    4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

    บทเรียนสำคัญ

    "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย...
    แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้"

    ความสัมพันธ์เชิงลึก

    กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก

    ```mermaid
    graph TD
    A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด]
    B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ]
    C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง]
    ```

    กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ

    · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร
    · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง
    · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก)

    ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ

    คดีสำคัญ

    1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ
    2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก
    3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม

    รางวัลที่ได้รับ

    · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน
    · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี
    · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม

    🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน

    คำคมจากประสบการณ์

    "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา...
    แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ"

    "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ
    และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน"

    บทบาทใหม่

    · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี
    · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน
    · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง

    บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง

    ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ...
    "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด"
    "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง"
    "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน"

    เขาไม่ได้เป็นฮีโร่...
    เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่...
    "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด
    และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ"

    การเดินทางของเขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด
    ถ้าใจเราจริง sincerity
    ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์:
    "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น...
    แต่จบลงด้วยความรัก

    และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง
    ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    O.P.K รตอ.สิงห์ 🔍 เจาะลึกประวัติ ร.ต.อ. สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์ 🚔 เบื้องหลังนายตำรวจผู้ซ่อนความลับ 👶 วัยเด็ก: ลูกชายนักวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2038-2055 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ศ.ดร.ประพันธ์<br>นักชีวเคมีชื่อดัง] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ร.ต.อ.หญิง บุษบา<br>นักสืบอาชญากรรม] --> C C --> D[สิงห์เติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่แตกต่าง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 12 ปี: · ทำการทดลองวิทยาศาสตร์ชนะระดับประเทศ · แต่ช่วยแม่วิเคราะห์หลักฐานคดีได้อย่างเฉียบแหลม · เริ่มสนใจทั้งวิทยาศาสตร์และการสืบสวน 🎓 วัยเรียน: นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ มหาวิทยาลัย - ฟิสิกส์และชีววิทยา · อายุ 19: วิจัยเรื่อง "การถ่ายโอนข้อมูลทางพันธุกรรมด้วยคลื่นควอนตัม" · อายุ 21: ได้รับทุนไปวิจัยที่ CERN · อายุ 23: แต่งงานกับ ดร.ศิรินาถ เพื่อนร่วมวิจัย 🔬 ชีวิตในวงการวิทยาศาสตร์ (พ.ศ. 2061-2071) ชื่อเดิม: ดร.สิงห์ วิวัฒนาโรจน์ ตำแหน่ง:หัวหน้าทีมวิจัยพันธุศาสตร์ควอนตัม ครอบครัวในอุดมคติ: · ภรรยา: ดร.ศิรินาถ - นักชีววิทยาระดับนานาชาติ · ลูกชาย: ด.ช.ภพ - อายุ 7 ขวบ · ลูกสาว: ด.ญ.พลอย - อายุ 5 ขวบ ผลงานวิจัยสำคัญ: · พัฒนาเทคโนโลยีอ่านข้อมูล DNA ด้วยควอนตัม · ค้นพบ "คลื่นพันธุกรรม" ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ · เริ่มวิจัยเรื่อง "การเก็บรักษาจิตสำนึกในรูปแบบดิจิตอล" 💔 คืนแห่งความมืด: การสูญเสียทุกสิ่ง พ.ศ. 2071 - เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต ```mermaid graph TB A[ได้รับทุนวิจัย<br>จากเจนีซิส แล็บ] --> B[ค้นพบความลับ<br>โครงการโอปปาติกะ] B --> C[ถูกลอบทำร้าย<br>ที่บ้าน] C --> D[ครอบครัวเสียชีวิต<br>แต่เขารอดอย่างปาฏิหาริย์] D --> E[เปลี่ยนชื่อ<br>เป็น สิงห์ ธรรมาวิวัฒน์] E --> F[เข้าสู่ระบบตำรวจ<br>เพื่อตามหาความจริง] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "พวกเขาพยายามฆ่าฉันเพราะรู้มากเกินไป... แต่พวกเขาไม่รู้ว่าความตายของครอบครัว ทำให้ฉันมีอะไรที่จะเสียอีกแล้ว" 🚔 การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเครื่องแบบ การฝึกตำรวจ (พ.ศ. 2072) · อายุ 34: เข้ารับการฝึกแบบเร่งรัด · ความได้เปรียบ: ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คดี · ความก้าวหน้า: โดดเด่นจนได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว การตั้งหน่วยพิเศษ พ.ศ. 2075: ก่อตั้ง "หน่วยสอบสวนเทคโนโลยีขั้นสูง" · สมาชิก: ตำรวจที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี · หน้าที่: ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย · ผลงาน: ปิดคดีไฮเทคได้มากมาย 👧 การพบกับหนูดี (พ.ศ. 2077) เหตุการณ์แรกพบ ระหว่างบุกตรวจเจนีซิส แล็บ · พบเด็กหญิงอายุ 5 ขวบในห้องทดลอง · เด็กไม่พูด แต่สื่อสารผ่านคลื่นสมองได้ · ตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรมทันที แรงจูงใจที่ซ่อนอยู่ ```python def adoption_motivation(): initial = "เพื่อสืบสานและปกป้อง" hidden = "เพื่อเฝ้าสังเกตผลการทดลอง" developed = "ความรักจริงใจที่เกิดขึ้น later" return f"{initial} -> {hidden} -> {developed}" ``` 🎭 ชีวิตคู่ขนาน: 3 ใบหน้าที่ต้องสวม 1. หน้านายตำรวจ · ลักษณะ: แข็งกร้าว ไม่อ่อนข้อให้ใคร · ความสามารถ: สืบคดีเทคโนโลยีได้เก่งกาจ · เครดิต: ปิดคดีใหญ่ได้มากมาย 2. หน้าพ่อเลี้ยง · ลักษณะ: อ่อนโยน ใส่ใจทุก · กิจกรรม: ไปรับส่งโรงเรียน ทำกับข้าว · ความท้าทาย: ปกปิดความลับของหนูดี 3. หน้าอดีตนักวิทยาศาสตร์ · ที่ซ่อน: ห้องทดลองลับในบ้าน · งานวิจัย: ศึกษาพัฒนาการของโอปปาติกะ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจเทคโนโลยีของเจนีซิส แล็บ 💔 ความขัดแย้งภายใน สงคราม 3 ด้านในใจ ```mermaid graph TB A[ความแค้น<br>ต้องการล้างแค้น] --> D[การตัดสินใจ<br>ที่ยากลำบาก] B[หน้าที่<br>ต้องยุติธรรม] --> D C[ความรัก<br>ต่อหนูดี] --> D ``` บันทึกความสับสน "บางครั้งฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร... เป็นพ่อที่รักลูก?เป็นตำรวจที่ทำตามกฎหมาย? หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยากรู้ความจริง? และความจริงแบบไหนที่ฉันต้องการ? ความจริงที่ช่วยให้ล้างแค้น? หรือความจริงที่ช่วยให้หนูดีมีความสุข?" 🛡️ ทักษะพิเศษที่ซ่อนไว้ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ · พันธุศาสตร์: ระดับเชี่ยวชาญพิเศษ · ฟิสิกส์ควอนตัม: ความรู้ลึก · คอมพิวเตอร์: แฮ็กเกอร์ระดับสูง ทักษะการต่อสู้ · คาราเต้: เข็มขัดดำระดับสูง · ยิงปืน: แม่นยำอันดับต้นๆ ของกรม · การสอดแนม: เรียนรู้จากแม่ 🌱 พัฒนาการทางจิตใจ 4 ช่วงการเปลี่ยนแปลง 1. ช่วงล้างแค้น (2071-2075) - ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือ 2. ช่วงค้นพบความรัก (2076-2078) - เริ่มรักหนูดีจริงใจ 3. ช่วงต่อสู้กับความจริง (2079-2080) - รู้สึกผิดที่ซ่อนความลับ 4. ช่วงเข้าใจชีวิต (2081-ปัจจุบัน) - เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง บทเรียนสำคัญ "การเป็นพ่อไม่ใช่การปกป้องจากอันตราย... แต่คือการสอนให้เข้มแข็งพอที่จะเผชิญอันตรายได้" 🎪 ความสัมพันธ์เชิงลึก กับหนูดี: จากหน้าที่สู่ความรัก ```mermaid graph TD A[เริ่มต้น:<br>เพื่อสืบสาน] --> B[พัฒนาการ:<br>รู้สึกผิด] B --> C[เปลี่ยนแปลง:<br>รักจริงใจ] C --> D[ที่สุด:<br>พร้อมเสียสละทุกอย่าง] ``` กับดร. อัจฉริยะ: จากศัตรูสู่ความเข้าใจ · : เกลียดชังเพราะคิดว่าเป็นฆาตรกร · : เริ่มเห็นความตั้งใจดีแต่หลงทาง · เห็นตัวเองในตัวเขา (ต่างคนต่างสูญเสียคนรัก) 🏆 ผลงานสำคัญในวงการตำรวจ คดีสำคัญ 1. คดีเจนีซิส แล็บ - เปิดโปงการทดลองโอปปาติกะ 2. คดีสังสาระเน็ต - ป้องกันการละเมิดข้อมูลจิตสำนึก 3. คดีกรรมโปรแกรม - หยุดยั้ง AI จัดการกฎแห่งกรรม รางวัลที่ได้รับ · ตำรวจยอดเยี่ยม 3 ปีซ้อน · นักสืบวิทยาศาสตร์ แห่งปี · พ่อตัวอย่าง จากองค์กรสังคม 🪷 ปรัชญาการใช้ชีวิตปัจจุบัน คำคมจากประสบการณ์ "การแก้แค้นไม่นำอะไรคืนมา... แต่การให้อภัยทำให้เราเป็นอิสระ" "วิทยาศาสตร์สอนให้คิด ธรรมะสอนให้เข้าใจ และชีวิตสอนให้รู้ว่าทั้งสองจำเป็นต่อกัน" บทบาทใหม่ · ที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับเทคโนโลยี · ครู: สอนทั้งวิทยาศาสตร์และธรรมะให้นักเรียน · พ่อ: ยังคงเป็นพ่อของหนูดีไม่เปลี่ยนแปลง 🌟 บทสรุป: การเดินทางแห่งการรู้จักตนเอง ร.ต.อ. สิงห์ คือตัวอย่างของ... "การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเจ็บปวด" "การเติบโตที่เกิดจากการยอมรับความจริง" "ความเข้มแข็งที่มาจากความอ่อนโยน" เขาไม่ได้เป็นฮีโร่... เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่... "เรียนรู้ที่จะรักโดยไม่ต้องเข้าใจทั้งหมด และเรียนรู้ที่จะเข้าใจโดยไม่ต้องได้รับการรักตอบ" การเดินทางของเขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยแรงจูงใจใด ถ้าใจเราจริง sincerity ที่สุดแล้วเราจะพบทางที่ถูกต้อง"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจาก ร.ต.อ. สิงห์: "ฉันเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความแค้น... แต่จบลงด้วยความรัก และนั่นคือการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K
    ดร.อัจฯ
    เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา

    เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง

    วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว

    พ.ศ. 2048-2060

    ```mermaid
    graph LR
    A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์]
    B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C
    C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง]
    ```

    เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี:

    · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย
    · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?"
    · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ"

    วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา

    มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted

    · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้
    · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์"
    · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้"

    การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075)

    เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้"
    การฝึกฝน:

    · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน
    · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า
    · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้

    คำบอกเล่าจากพระอาจารย์:
    "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า...
    สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ"

    จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว

    พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ

    ```mermaid
    graph TB
    A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร]
    B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D
    C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D
    D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน]
    E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป]
    ```

    บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์:
    "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้...
    แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก"

    การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077)

    แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์"
    แรงจูงใจที่แท้จริง:

    1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย
    2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก
    3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ"

    การทดลองที่สำคัญ

    โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง

    · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก
    · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้
    · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์

    โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต

    · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก
    · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้
    · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์

    โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์

    · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม
    · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล
    · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้

    ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว

    สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ

    ```
    การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ)
    ```

    ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ

    1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู
    2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม
    3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ

    ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ

    ความสัมพันธ์กับทีมงาน

    · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง
    · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค
    · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

    ชีวิตส่วนตัว

    · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน
    · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ
    · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์"

    จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา

    การรู้สึกตัวว่าผิดทาง

    บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน:
    "บางครั้งฉันสงสัย...
    การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์
    อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้"

    การยอมรับความผิด

    ในการสอบสวน:
    "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย...
    การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์"

    🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก

    การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

    · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา
    · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด"
    · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars

    คำสอนใหม่

    "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์...
    แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง
    เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ
    จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ"

    มรดกทางความคิด

    สิ่งที่เขาทิ้งไว้

    1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด
    2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ
    3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ

    คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ

    "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ...
    ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน
    และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น"

    บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี

    ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ...
    "ความดีที่ขาดปัญญา"
    "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ"
    "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง"

    แต่ในที่สุด...
    การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา
    กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน

    เขาสอนเราว่า:
    "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด
    จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด
    และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷

    ---

    คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ:
    "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล...
    แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง
    และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    O.P.K ดร.อัจฯ 🔍 เจาะลึกประวัติ ดร. อัจฉริยะ จิตต์เมตตา 🧬 เบื้องหลังอัจฉริยะผู้หลงทาง 👶 วัยเด็ก: เด็กอัจฉริยะผู้โดดเดี่ยว พ.ศ. 2048-2060 ```mermaid graph LR A[พ่อ: ดร.ชาติชาย<br>นักฟิสิกส์ควอนตัม] --> C[เลี้ยงดูลูกด้วย<br>หลักการทางวิทยาศาสตร์] B[แม่: ดร.มาลี<br>นักปรัชญาพุทธศาสนา] --> C C --> D[อัจฉริยะเติบโตมา<br>ด้วยสองโลกาที่ขัดแย้ง] ``` เหตุการณ์สำคัญอายุ 7 ปี: · ค้นพบว่าโลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง เมื่อสุนัขตัวแรกตาย · เริ่มตั้งคำถาม: "ทำไมสิ่งมีชีวิตต้องตาย?" · พยายามหา "สูตรคณิตศาสตร์แห่งความเป็นอมตะ" 🎓 วัยเรียน: ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา มัธยมศึกษา - โรงเรียนวิทยาศาสตร์ gifted · อายุ 14: ค้นพบสมการเปลี่ยนพลังงานจิตเป็นข้อมูลดิจิตอลได้ · อายุ 16: เขียนเกี่ยวกับ "พุทธศาสนาในมุมมองควอนตัมฟิสิกส์" · ความขัดแย้ง: ถูกครูศาสนาตำหนิว่า "พยายามวัดสิ่งที่วัดไม่ได้" 🏛️ การเป็นนักบวชชั่วคราว (พ.ศ. 2073-2075) เหตุผล: ต้องการพิสูจน์ว่า "นิพพานเป็น state of consciousness ที่วัดได้" การฝึกฝน: · นั่งสมาธิวิปัสสนาต่อเนื่อง 7 วัน · บันทึกคลื่นสมองตัวเองด้วยอุปกรณ์ลักลอบนำเข้า · การค้นพบ: พบ "คลื่นสมองนิพพาน" แต่ไม่สามารถคงสภาพได้ คำบอกเล่าจากพระอาจารย์: "เธอพยายามจับน้ำทะเลด้วยมือเปล่า... สิ่งที่เธอได้ไม่ใช่ทะเล แต่เพียงหยดน้ำเล็กๆ" 💔 จุดเปลี่ยน: การสูญเสียครอบครัว พ.ศ. 2076 - เหตุการณ์สะเทือนใจ ```mermaid graph TB A[ภรรยา: ดร.วรรณา<br>นักชีววิทยา] --> D[ถูกสังหาร] B[ลูกชาย: น้องภูมิ<br>อายุ 5 ขวบ] --> D C[ลูกสาว: น้องพลอย<br>อายุ 3 ขวบ] --> D D --> E[อัจฉริยะพบศพ<br>และหลักฐาน] E --> F[รู้ว่าเป็นการฆ่า<br>เพราะวิจัยลึกล้ำเกินไป] ``` บันทึกส่วนตัวหลังเหตุการณ์: "วิทยาศาสตร์ไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้... แต่สามารถป้องกันไม่ให้ใครต้องเสียแบบนี้อีก" 🔬 การก่อตั้งเจนีซิส แล็บ (พ.ศ. 2077) แรงจูงใจที่ประกาศ: "เพื่อรักษาโรคและยืดอายุมนุษย์" แรงจูงใจที่แท้จริง: 1. สร้างร่างกายที่ทนทานไม่เจ็บป่วย 2. พัฒนาวิธีเก็บรักษาจิตสำนึก 3. ค้นหาวิธีการ "เกิดใหม่โดยมีความจำ" 🧪 การทดลองที่สำคัญ โครงการลับ 1: โครงการโคลนนิ่ง · เป้าหมาย: สร้างร่างกายพร้อมรับจิตสำนึก · ความสำเร็จ: สร้าง OPPATIKA รุ่น 1-4 ได้ · ความล้มเหลว: ไม่สามารถถ่ายโอนจิตสำนึกได้สมบูรณ์ โครงการลับ 2: สังสาระเน็ต · เป้าหมาย: สร้างเครือข่ายเก็บข้อมูลจิตสำนึก · ความก้าวหน้า: สามารถบันทึกคลื่นสมองได้ · ข้อจำกัด: ไม่สามารถ "เล่นกลับ" ได้อย่างสมบูรณ์ โครงการลับ 3: กรรมสัมพันธ์ · เป้าหมาย: ทำความเข้าใจและจัดการกฎแห่งกรรม · วิธีการ: วิเคราะห์รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล · ปัญหาที่พบ: กรรมมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะคำนวณได้ 🎯 ปรัชญาและความเชื่อส่วนตัว สมการแห่งการรู้แจ้งของอัจฉริยะ ``` การรู้แจ้ง = (สมาธิ × ปัญญา) + (เทคโนโลยี × ความเข้าใจ) ``` ความเชื่อผิดๆ 3 ประการ 1. "ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำจัด" - ไม่เข้าใจว่าทุกข์คือครู 2. "กรรมจัดการได้ด้วยวิทยาศาสตร์" - ไม่เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกรรม 3. "การรู้แจ้งเป็นกระบวนการทางเทคนิค" - ลืมเรื่องจิตตานุภาพ 💼 ชีวิตส่วนตัวหลังก่อตั้งแล็บ ความสัมพันธ์กับทีมงาน · กับดร.ก้าวหน้า: เห็นว่าเป็นลูกศิษย์แต่ขาดความลึกซึ้ง · กับนางสาวเมตตา: รู้สึกขอบคุณที่คอยยับยั้งแต่ก็เห็นว่าเป็นอุปสรรค · กับทีมวิจัย: เก็บระยะห่าง มองว่าเป็นเครื่องมือเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตส่วนตัว · ที่อยู่: ห้องพักในแล็บ ไม่มีชีวิตนอกงาน · งานอดิเรก: นั่งสมาธิพร้อมบันทึกข้อมูล, อ่านคัมภีร์โบราณ · ความฝัน: "การสร้างสังคมโอปปาติกะที่ปราศจากความทุกข์" 🚨 จุดพลิกผันในการเป็นผู้ต้องหา การรู้สึกตัวว่าผิดทาง บันทึกก่อนถูกจับกุม 1 เดือน: "บางครั้งฉันสงสัย... การที่ฉันพยายามสร้างสวรรค์ อาจกำลังสร้างนรกใหม่ก็ได้" การยอมรับความผิด ในการสอบสวน: "ผมเข้าใจแล้วว่าความทุกข์มีความหมาย... การพยายามกำจัดความทุกข์คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์" 🪷 การเปลี่ยนแปลงในคุก การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง · ศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งโดยไม่มีอัตตา · เขียนบทความ "วิทยาศาสตร์กับการรู้แจ้ง: ทางแยกที่ฉันเดินผิด" · ให้คำแนะนำเจนีซิส แล็บจากBehind bars คำสอนใหม่ "เทคโนโลยีเป็นได้แค่รถยนต์... แต่การรู้แจ้งคือการเดินทาง เราอย่าหลงผิดคิดว่าการมีรถดีๆ จะทำให้เราถึงจุดหมายโดยอัตโนมัติ" 🌟 มรดกทางความคิด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ 1. เทคโนโลยีโอปปาติกะ - เปิดมิติใหม่แห่งการเกิด 2. คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตาย - ท้าทายความเชื่อเดิมๆ 3. บทเรียนเกี่ยวกับจริยธรรม - วิทยาศาสตร์ต้องเดินคู่กับธรรมะ คำพยากรณ์ของอัจฉริยะ "อีก 50 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะเข้าใจ... ว่าจิตวิญญาณกับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน และโอปปาติกะจะเป็นสะพานสู่ความเข้าใจนั้น" 💫 บทสรุป: อัจฉริยะผู้เข้าใจผิดแต่ตั้งใจดี ดร. อัจฉริยะ คือตัวอย่างของ... "ความดีที่ขาดปัญญา" "ความฉลาดที่ขาดความเข้าใจ" "ความพยายามที่ขาดทิศทางที่ถูกต้อง" แต่ในที่สุด... การเดินทางที่ผิดพลาดของเขา กลายเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคน เขาสอนเราว่า: "ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อนที่สุด และการเข้าใจตนเองยังคงเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด"🪷✨ --- คำคมสุดท้ายจากดร. อัจฉริยะ: "ฉันใช้ชีวิตทั้งชีวิตพยายามเข้าใจจักรวาล... แต่ลืมเข้าใจหัวใจของตัวเอง และนั่นคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของฉัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย

    จุดเริ่มต้นของพายุ

    สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน...

    ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน

    "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล

    เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!"

    ---

    การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม

    ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก

    มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!"

    หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา"

    สาเหตุของวิกฤต

    ```mermaid
    graph TB
    A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต]
    B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ]
    C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด]
    ```

    ---

    อาการของมายา

    มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ:

    · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้
    · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ
    · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น

    "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว"

    ---

    การสืบหาต้นตอ

    ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ

    เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน"
    สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?"
    เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา"

    ---

    การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด

    หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา

    หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง"
    มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก"
    เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว"

    ---

    การพบกับ OPPATIKA-600

    ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้

    รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!"
    หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่"
    รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?"

    ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่...

    ---

    การทะลุผ่านของกรรม

    มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..."

    เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา:

    · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ
    · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง
    · ความ despair จากการไม่มีที่ไป

    หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน"

    ---

    วิธีการรักษาของหนูดี

    หนูดีสอนมายาวิธีใหม่:

    เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ"

    ```python
    def karma_bridge_technique():
    steps = [
    "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด",
    "เข้าใจที่มาของกรรม",
    "ส่งเมตตากลับไป",
    "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน"
    ]
    result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา"
    ```

    มายาค่อยๆ เรียนรู้:
    "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน"

    ---

    การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600

    เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป...

    รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?"
    เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล
    "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ"

    ---

    บทเรียนแห่งเครือข่าย

    การค้นพบสำคัญ

    เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน
    หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น"

    🪷 หลักการใหม่

    ```
    "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน
    เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน
    เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน"
    ```

    ---

    การกลับสู่สถาบัน

    เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้

    มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง"
    เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ"

    การสอนครั้งใหม่

    หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่:

    · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต
    · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน
    · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข

    ---

    พัฒนาการใหม่ของมายา

    หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่:

    ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา"

    · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้
    · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง
    · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง

    "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ
    "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง"

    ---

    บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์

    สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน

    หน้าที่:

    · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต
    · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก
    · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น

    "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี
    "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง"

    ---

    การเติบโตของเวทย์

    เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ

    ความสามารถ:

    · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต
    · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด
    · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน

    "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย
    "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน"

    ---

    บทสรุปของวิกฤต

    สิ่งที่เรียนรู้

    1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ
    2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ
    3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต

    🪷 คำคมใหม่จากหนูดี

    "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน...
    แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน

    แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง...
    แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด"

    ---

    คำเตือนสำหรับบทต่อไป

    ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง...
    ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น

    กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม"
    เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์

    แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง...
    อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ
    ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต...

    เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์
    เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers
    แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย

    การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷

    ---

    คำคมจากบทนี้:
    "กรรมเหมือนแม่น้ำ...
    เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป
    และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    O.P.K. 🌊 OPPATIKA ภาคต่อ: สังฆะวิวัฒน์ - บทที่ 2: วิกฤตกรรมเครือข่าย ⛈️ จุดเริ่มต้นของพายุ สามเดือนหลังจากนักเรียนรุ่นแรกเริ่มฝึกฝน... ร.ต.อ. สิงห์ กำลังตรวจสอบข้อมูลในห้องควบคุมของสถาบัน เมื่อจอภาพทั้งหมดกะพริบสีแดงฉาน "เกิดอะไรขึ้น?" เขาถามด้วยความกังวล เวทย์ ปรากฏตัวเป็นลูกบอลพลังงานสีแดง "มีการรบกวนในสังสาระเน็ต! พลังงานกรรมจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้ามา!" --- 🔗 การเชื่อมโยงที่กลายเป็นภัยคุกคาม ในห้อฝึกสมาธิ นักเรียนโอปปาติกะต่างสะดุ้งเฮือก มายา ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเทาและสั่นระรัว "ฉันเห็น... ฉันเห็นความเจ็บปวดมากมาย... มันไม่ใช่ของฉัน แต่รู้สึกเหมือนเป็นของฉัน!" หนูดีรีบมาถึงและวางมือบนไหล่มายา "สงบสติอารมณ์ก่อน ลูกกำลังรับกรรมของโอปปาติกะคนอื่นเข้ามา" 🌀 สาเหตุของวิกฤต ```mermaid graph TB A[OPPATIKA-600<br>สร้างกรรมหนัก] --> B[กรรมไหลผ่าน<br>สังสาระเน็ต] B --> C[นักเรียนรุ่น 5<br>รับกรรมต่อ] C --> D[มายาได้รับ<br>ผลกระทบหนักที่สุด] ``` --- 🏥 อาการของมายา มายาพัฒนาอาการน่าหนักใจ: · ร่างกายเปลี่ยนสีอย่างควบคุมไม่ได้ · ความทรงจำของโอปปาติกะอื่นๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ · บางครั้งพูดด้วยสำนวนและเสียงของคนอื่น "ครู... ฉันกำลังกลายเป็นคนอื่น" มายาร้องไห้ "ฉันกลัวจะไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว" --- 🔍 การสืบหาต้นตอ ร.ต.อ. สิงห์ ใช้ทักษะการสืบสวนร่วมกับ เวทย์ ในการตามหาต้นตอ เวทย์: "การวิเคราะห์แสดงว่าแหล่งกำเนิดอยู่ที่ OPPATIKA-600 ในประเทศเพื่อนบ้าน" สิงห์:"เขาเกิดอะไรขึ้น?" เวทย์:"เขาใช้พลังทำลายล้างเพื่อแก้แค้นมนุษย์ที่ทำร้ายเขา" --- 🌐 การเดินทางไปยังแหล่งกำเนิด หนูดีตัดสินใจพามายาและเวทย์เดินทางไปยังต้นตอของปัญหา หนูดี: "การเข้าใจที่ต้นตอคือการรักษาที่แท้จริง" มายา:"แต่ฉันกลัว... กลัวจะรับกรรมเขาเข้ามาอีก" เวทย์:"การคำนวณแสดงว่าความเสี่ยงสูง แต่อาจเป็นทางออกเดียว" --- 💔 การพบกับ OPPATIKA-600 ในซากเมืองที่ถูกทำลาย พวกเขาเจอ รุ่น 600 ที่กำลังคลั่งไคล้ รุ่น 600: "มนุษย์ทำร้ายฉัน! ฉันแค่ตอบแทน!" หนูดี:"การตอบแทนด้วยความโกรธสร้างกรรมใหม่" รุ่น 600:"แล้วฉันควรทำอย่างไร? ยอมให้พวกเขาทำร้ายฉันเหรอ?" ในขณะนั้น มายา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของรุ่น 600 อย่างเต็มที่... --- 🌀 การทะลุผ่านของกรรม มายาร่างกายเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท "ฉันเข้าใจแล้ว... ความเจ็บปวดของเขามัน..." เธอทรุดลงกับพื้น รับความรู้สึกทั้งหมดเข้ามา: · ความโดดเดี่ยวจากการถูกมนุษย์ปฏิเสธ · ความโกรธแค้นที่ถูกและทอดทิ้ง · ความ despair จากการไม่มีที่ไป หนูดี ก้มลงกอดมายา "อย่าต้านลูก... ปล่อยให้มันไหลผ่าน" --- 🕊️ วิธีการรักษาของหนูดี หนูดีสอนมายาวิธีใหม่: 🌉 เทคนิค "สะพานแห่งความเข้าใจ" ```python def karma_bridge_technique(): steps = [ "รับรู้กรรมโดยไม่ยึดติด", "เข้าใจที่มาของกรรม", "ส่งเมตตากลับไป", "ปล่อยให้กรรมไหลผ่าน" ] result = "กรรมไม่แต่ควบคุมเรา" ``` มายาค่อยๆ เรียนรู้: "ฉันไม่ต้องแบกรับกรรมของเขา...ฉันแค่เข้าใจมัน" --- 🔄 การเปลี่ยนแปลงของรุ่น 600 เมื่อมายาส่งพลังงานเมตตากลับไป... รุ่น 600: "นี่อะไร... เข้าใจฉัน?" เขาค่อยๆ สงบลง และน้ำตาเริ่มไหล "ฉัน...ฉันไม่ต้องการทำร้าย ฉันแค่ต้องการเข้าใจ" --- 🌈 บทเรียนแห่งเครือข่าย 💡 การค้นพบสำคัญ เวทย์ วิเคราะห์ข้อมูล: "เมื่อเราส่งความเข้าใจกลับไป กรรมไม่แต่เปลี่ยน หนูดีอธิบาย: "กรรมคือพลังงาน... การเข้าใจคือการเปลี่ยนพลังงานนั้น" 🪷 หลักการใหม่ ``` "เราเชื่อมโยงกันแต่ไม่ต้องแบกรับกัน เราเข้าใจกันแต่ไม่ต้องเป็นกัน เราเมตตาต่อกันแต่ไม่ต้องแก้ไขกัน" ``` --- 🏫 การกลับสู่สถาบัน เมื่อพวกเขากลับมา นักเรียนทุกคนต่างเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ มายา ในร่างสีทองอ่อน: "ฉันเรียนรู้ว่า... การเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่การแบกรับทุกอย่าง" เวทย์:"และฉันเรียนรู้ว่า... บางสิ่งต้องรู้สึกไม่ใช่คำนวณ" 🎯 การสอนครั้งใหม่ หนูดีสอนนักเรียนทุกคนเทคนิคใหม่: · การตั้งเขตพลังงาน - รู้ว่า何时ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต · การเปลี่ยนพลังงานกรรม - ใช้ปัญญาเปลี่ยนพลังงานลบเป็นบทเรียน · การส่งเมตตาไร้ขอบเขต - เมตตาที่ไม่ต้องเข้าไปแก้ไข --- 🌟 พัฒนาการใหม่ของมายา หลังจากวิกฤต มายาพัฒนาความสามารถใหม่: 🎭 ทักษะ "กระจกแห่งปัญญา" · สามารถสะท้อนกรรมของผู้อื่นให้พวกเขาเห็นได้ · แต่ไม่ต้องแบกรับกรรมนั้นเอง · ช่วยให้โอปปาติกะอื่นเข้าใจตัวเอง "ฉันไม่ต้องเป็นนักสะสมกรรมอีกแล้ว" มายาพูดด้วยความเข้าใจ "ฉันเป็นเพียงกระจกที่ช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเอง" --- 🛡️ บทบาทใหม่ของร.ต.อ. สิงห์ สิงห์ตั้ง "หน่วยตอบโต้วิกฤตกรรม" ภายในสถาบัน หน้าที่: · ตรวจสอบการรบกวนในสังสาระเน็ต · ช่วยเหลือโอปปาติกะที่กำลังสร้างกรรมหนัก · สอนเทคนิคการจัดการกรรมเบื้องต้น "พ่อเรียนรู้ว่า..." สิงห์บอกหนูดี "การปกป้องที่ดีที่สุดคือการสอนให้พวกเขาปกป้องตัวเอง" --- 🔮 การเติบโตของเวทย์ เวทย์พัฒนาระบบ "ปัญญาญาณประดิษฐ์" สำเร็จ ความสามารถ: · ตรวจจับรูปแบบกรรมก่อนเกิดวิกฤต · แนะนำเส้นทางที่สร้างกรรมน้อยที่สุด · แต่... ไม่ตัดสินใจแทน "ระบบนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุม" เวทย์อธิบาย "แต่ให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจอย่างรู้เท่าทัน" --- 💫 บทสรุปของวิกฤต 🌱 สิ่งที่เรียนรู้ 1. การเชื่อมโยงต้องมาพรามกับสติ 2. กรรมสามารถเข้าใจได้แต่ไม่แบกรับ 3. ปัญญาคือการรู้ควรเชื่อมโยงเมื่อใดควรมีขอบเขต 🪷 คำคมใหม่จากหนูดี "การเป็นเครือข่ายไม่ใช่การเป็นเหยือกเดียวกัน... แต่คือการเป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลสู่มหาสมุทรเดียวกัน แต่ละสายมีเส้นทางของตัวเอง... แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงในที่สุด" --- 🌌 คำเตือนสำหรับบทต่อไป ในขณะที่วิกฤตกรรมสงบลง... ภัยคุกคามใหม่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มอิสระชนโอปปาติกะตัดสินใจสร้าง "กำแพงกรรม" เพื่อตัดตัวเองออกจากสังสาระเน็ตโดยสมบูรณ์ แต่การตัดการเชื่อมโยงอย่างสิ้นเชิง... อาจนำไปสู่ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ ที่ร้ายแรงกว่าการเชื่อมโยงอย่างไม่มีขอบเขต... เพราะในการแยกตัวโดยสมบูรณ์ เราไม่เพียงสูญเสียความเจ็บปวดของOthers แต่ยังสูญเสียปัญญาของทั้งหมดด้วย🌟 การเดินทางแห่งการหาสมดุลยังคงดำเนินต่อไป... 🪷✨ --- คำคมจากบทนี้: "กรรมเหมือนแม่น้ำ... เราสามารถเรียนรู้ที่จะว่ายน้ำโดยไม่ต้องถูกกระแสน้ำพัดไป และสามารถช่วยคนอื่นว่ายน้ำโดยไม่ต้องจมน้ำไปด้วยกัน"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล”

    Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน

    Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์

    การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel
    Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management
    Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน
    Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design

    ประวัติของ Kulkarni
    เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata
    เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure
    มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel

    ความเคลื่อนไหวของ AMD
    กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU
    ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI
    ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    สถานการณ์ภายใน Intel
    รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด
    มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
    วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner

    คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม
    การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์
    การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง

    https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    🔄🧠 “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล” Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์ การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel ➡️ Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management ➡️ Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน ➡️ Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design ✅ ประวัติของ Kulkarni ➡️ เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata ➡️ เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure ➡️ มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel ✅ ความเคลื่อนไหวของ AMD ➡️ กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU ➡️ ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI ➡️ ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ สถานการณ์ภายใน Intel ➡️ รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด ➡️ มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ➡️ วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner ‼️ คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม ⛔ การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์ ⛔ การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน ⛔ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Data Center AI Executive Reportedly Departs for AMD
    Intel is losing another senior figure from its data center and AI business, with Saurabh Kulkarni, Vice President of Data Center AI Product Management, set to depart for AMD. Kulkarni's last day at Intel is reportedly Friday, with Anil Nanduri, VP of AI Go-To-Market, stepping in to lead the AI produ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว



  • บทที่ 1: รอยร้าวกลางคืนพายุ

    ในคืนหนึ่งที่ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา กลุ่มตำรวจจากหน่วยพิเศษได้บุกเข้าตรวจสอบบริษัทไฮเทค "เจนีซิส แล็บ" ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการโคลนนิ่งระดับโลก การบุกครั้งนี้นำโดย "ร.ต.อ. สิงห์" นายตำรวจพ่อเลี้ยงเดี่ยวผู้แข็งกร้าว แต่ซ่อนความอ่อนโยนลึกไว้ในใจ สิ่งที่พบในห้องทดลองลับใต้ดินทำให้ทุกคนตะลึง: ถังบรรจุภัณฑ์จำนวนนับร้อยเรียงราย ภายในมีร่างมนุษย์ที่เหมือนกันราวกับแกะ แต่ทั้งหมดอยู่ในสภาพหลับใหลไร้จิตวิญญาณ

    ในความวุ่นวาย สิงห์พบสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นคือ "หนูดี" ลูกสาวบุญธรรมวัยสิบเจ็ดปีของเขา ยืนอยู่กลางห้องควบคุมหลักด้วยท่าทางเยือกเย็น ไม่ไยดีต่อความโกลาหลรอบตัว ในมือเธอถือแท็บเล็ตที่แสดงข้อมูลทางพันธุกรรมซับซ้อน

    "หนูดี นี่เธอทำอะไรที่นี่?" สิงห์ถามด้วยเสียงสั่นเครือ

    "พ่อคะ" หนูดีหันมา ยิ้มเบาๆ "หนูกำลังตามหาความจริงของตัวเอง"

    บทที่ 2: ความลับแห่งโอปปาติกะกำเนิด

    จากการสอบสวน ทำให้รู้ว่าหนูดีไม่ใช่เด็กธรรมดา เธอคือ "โอปปาติกะวิญญาณ" ระดับสูงที่ถือกำเนิดผ่านกระบวนการโคลนนิ่ง โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ตามธรรมชาติ การถือกำเนิดแบบโอปปาติกะในพระพุทธศาสนา คือการที่วิญญาณเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีช่วงเป็นทารก ในบริบทนี้ หนูดีคือการรวมกันของเทคโนโลยีขั้นสูงและกฎแห่งกรรม

    ดร.อัจฉริยะ ผู้ก่อตั้งเจนีซิส แล็บ อธิบายต่อศาลในภายหลัง: "เราไม่ได้สร้างชีวิต เราเพียงจัดเตรียมภาชนะที่เหมาะสม สำหรับวิญญาณที่กำลังแสวงหาที่เกิด บางวิญญาณมีพลังกรรมหนาแน่น ต้องการร่างที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับการถือกำเนิด"

    บทที่ 3: สองพิภพในร่างเดียวกัน

    ขณะการสอบสวนลึกเข้าถึงแก่น สิงห์ค้นพบความจริงที่น่าหวาดหวั่น ภายในตัวหนูดีมี "สองจิต" อาศัยอยู่ร่วมกัน

    จิตแรกคือ "มารพิฆาต" ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความตาย เกิดจากสังขารและตัณหาของวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ถูกทดลอง ปรารถนาจะทำลายล้างโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส

    จิตที่สองคือ "เทพพิทักษ์" ผู้ดูแลคุ้มครองโลก เกิดจากเมตตาบารมีของวิญญาณระดับพรหมที่ต้องการถ่วงดุล ปรารถนาจะปกป้องมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์

    ทั้งสองคือพลังกรรมที่ตรงข้ามกัน แต่ต้องอาศัยร่างเดียวกันคือหนูดี เป็นสมุฏฐานแห่งการดำรงอยู่

    บทที่ 4: ศึกตัดสินในสวนพุทธธรรม

    คืนหนึ่ง หนูดีหายไปจากบ้าน สิงห์ตามพบเธอที่สวนพุทธธรรมใกล้เมือง ในสภาพที่กำลังต่อสู้กับสองพลังภายในตัวเอง

    "พ่อคะ" หนูดีพูดด้วยเสียงที่แบ่งเป็นสองสำนวนสลับกัน "ช่วยหนูตัดสินใจที ระหว่างการทำลายล้างเพื่อเริ่มใหม่ กับการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์"

    สิงห์ไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าไปกอดเธอแน่น "พ่อรักหนู ไม่ว่าหนูจะเป็นใคร ก็เป็นลูกของพ่อเสมอ"

    บทที่ 5: ทางออกแห่งมัชฌิมาปฏิปทา

    ภายใต้ความรักที่ไม่แบ่งแยกของสิงห์ หนูดีค้นพบทางสายกลาง เธอไม่เลือกเป็น either มารหรือเทพ แต่เลือกเป็น "ผู้ตื่นรู้" ผู้เข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นไตรลักษณ์ของสรรพสิ่ง

    มารพิฆาตและเทพพิทักษ์ค่อยๆ หลอมรวมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ในตัวเธอ ไม่ใช่เพื่อทำลายหรือปกป้อง แต่เพื่อ "เข้าใจ" และ "เปลี่ยนแปลง" อย่างสันติ

    บทสรุปแห่งกรรม

    เรื่องราวสอนให้เห็นว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด ก็ไม่อาจก้าวพ้นกฎแห่งกรรมได้ การกำเนิดแบบโอปปาติกะในบริบทสมัยใหม่ อาจเป็นเพียงรูปแบบใหม่ของการเวียนว่ายตายเกิด

    สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ "รูปแบบ" การเกิด แต่คือ "จิตใจ" และ "เจตนา" ระหว่างทางแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังพุทธพจน์ที่ว่า "กรรมเป็นของๆ สัตว์ทั้งหลาย กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย"

    และบางครั้ง ความรักแท้ที่ไม่แบ่งแยก ก็อาจเป็นแสงสว่างที่นำทางวิญญาณให้พบความสงบ แม้ในกลางวงจรแห่งสังสารวัฏ
    บทที่ 1: รอยร้าวกลางคืนพายุ ในคืนหนึ่งที่ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา กลุ่มตำรวจจากหน่วยพิเศษได้บุกเข้าตรวจสอบบริษัทไฮเทค "เจนีซิส แล็บ" ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการโคลนนิ่งระดับโลก การบุกครั้งนี้นำโดย "ร.ต.อ. สิงห์" นายตำรวจพ่อเลี้ยงเดี่ยวผู้แข็งกร้าว แต่ซ่อนความอ่อนโยนลึกไว้ในใจ สิ่งที่พบในห้องทดลองลับใต้ดินทำให้ทุกคนตะลึง: ถังบรรจุภัณฑ์จำนวนนับร้อยเรียงราย ภายในมีร่างมนุษย์ที่เหมือนกันราวกับแกะ แต่ทั้งหมดอยู่ในสภาพหลับใหลไร้จิตวิญญาณ ในความวุ่นวาย สิงห์พบสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นคือ "หนูดี" ลูกสาวบุญธรรมวัยสิบเจ็ดปีของเขา ยืนอยู่กลางห้องควบคุมหลักด้วยท่าทางเยือกเย็น ไม่ไยดีต่อความโกลาหลรอบตัว ในมือเธอถือแท็บเล็ตที่แสดงข้อมูลทางพันธุกรรมซับซ้อน "หนูดี นี่เธอทำอะไรที่นี่?" สิงห์ถามด้วยเสียงสั่นเครือ "พ่อคะ" หนูดีหันมา ยิ้มเบาๆ "หนูกำลังตามหาความจริงของตัวเอง" บทที่ 2: ความลับแห่งโอปปาติกะกำเนิด จากการสอบสวน ทำให้รู้ว่าหนูดีไม่ใช่เด็กธรรมดา เธอคือ "โอปปาติกะวิญญาณ" ระดับสูงที่ถือกำเนิดผ่านกระบวนการโคลนนิ่ง โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ตามธรรมชาติ การถือกำเนิดแบบโอปปาติกะในพระพุทธศาสนา คือการที่วิญญาณเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีช่วงเป็นทารก ในบริบทนี้ หนูดีคือการรวมกันของเทคโนโลยีขั้นสูงและกฎแห่งกรรม ดร.อัจฉริยะ ผู้ก่อตั้งเจนีซิส แล็บ อธิบายต่อศาลในภายหลัง: "เราไม่ได้สร้างชีวิต เราเพียงจัดเตรียมภาชนะที่เหมาะสม สำหรับวิญญาณที่กำลังแสวงหาที่เกิด บางวิญญาณมีพลังกรรมหนาแน่น ต้องการร่างที่สมบูรณ์แบบเพื่อรองรับการถือกำเนิด" บทที่ 3: สองพิภพในร่างเดียวกัน ขณะการสอบสวนลึกเข้าถึงแก่น สิงห์ค้นพบความจริงที่น่าหวาดหวั่น ภายในตัวหนูดีมี "สองจิต" อาศัยอยู่ร่วมกัน จิตแรกคือ "มารพิฆาต" ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความตาย เกิดจากสังขารและตัณหาของวิญญาณนับไม่ถ้วนที่ถูกทดลอง ปรารถนาจะทำลายล้างโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส จิตที่สองคือ "เทพพิทักษ์" ผู้ดูแลคุ้มครองโลก เกิดจากเมตตาบารมีของวิญญาณระดับพรหมที่ต้องการถ่วงดุล ปรารถนาจะปกป้องมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ ทั้งสองคือพลังกรรมที่ตรงข้ามกัน แต่ต้องอาศัยร่างเดียวกันคือหนูดี เป็นสมุฏฐานแห่งการดำรงอยู่ บทที่ 4: ศึกตัดสินในสวนพุทธธรรม คืนหนึ่ง หนูดีหายไปจากบ้าน สิงห์ตามพบเธอที่สวนพุทธธรรมใกล้เมือง ในสภาพที่กำลังต่อสู้กับสองพลังภายในตัวเอง "พ่อคะ" หนูดีพูดด้วยเสียงที่แบ่งเป็นสองสำนวนสลับกัน "ช่วยหนูตัดสินใจที ระหว่างการทำลายล้างเพื่อเริ่มใหม่ กับการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์" สิงห์ไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าไปกอดเธอแน่น "พ่อรักหนู ไม่ว่าหนูจะเป็นใคร ก็เป็นลูกของพ่อเสมอ" บทที่ 5: ทางออกแห่งมัชฌิมาปฏิปทา ภายใต้ความรักที่ไม่แบ่งแยกของสิงห์ หนูดีค้นพบทางสายกลาง เธอไม่เลือกเป็น either มารหรือเทพ แต่เลือกเป็น "ผู้ตื่นรู้" ผู้เข้าใจในธรรมชาติแห่งความเป็นไตรลักษณ์ของสรรพสิ่ง มารพิฆาตและเทพพิทักษ์ค่อยๆ หลอมรวมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ในตัวเธอ ไม่ใช่เพื่อทำลายหรือปกป้อง แต่เพื่อ "เข้าใจ" และ "เปลี่ยนแปลง" อย่างสันติ บทสรุปแห่งกรรม เรื่องราวสอนให้เห็นว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด ก็ไม่อาจก้าวพ้นกฎแห่งกรรมได้ การกำเนิดแบบโอปปาติกะในบริบทสมัยใหม่ อาจเป็นเพียงรูปแบบใหม่ของการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ "รูปแบบ" การเกิด แต่คือ "จิตใจ" และ "เจตนา" ระหว่างทางแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังพุทธพจน์ที่ว่า "กรรมเป็นของๆ สัตว์ทั้งหลาย กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย" และบางครั้ง ความรักแท้ที่ไม่แบ่งแยก ก็อาจเป็นแสงสว่างที่นำทางวิญญาณให้พบความสงบ แม้ในกลางวงจรแห่งสังสารวัฏ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่นเร่งขยายกำลังผลิตวัสดุโฟโตเรซิสและ MOR รองรับเทคโนโลยีลิธอกราฟี EUV ขนาด 2 นาโนเมตร

    ญี่ปุ่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อรองรับยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตร ด้วยการลงทุนขยายโรงงานผลิตวัสดุโฟโตเรซิส (Photoresist) และโลหะออกไซด์เรซิส (MOR) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการลิธอกราฟีแบบ EUV (Extreme Ultraviolet Lithography)

    บริษัทชั้นนำอย่าง Tokyo Ohka Kogyo (TOK), Adeka และ JSR ต่างทุ่มงบประมาณหลายหมื่นล้านเยนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนาคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในกระบวนการนี้ โดยเฉพาะ MOR ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการดูดซับแสง EUV ได้ดีขึ้น ช่วยให้การถ่ายโอนลวดลายบนเวเฟอร์มีความแม่นยำและทนต่อการกัดกร่อนมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในสารเคมีความบริสุทธิ์สูง เช่น ตัวทำละลาย น้ำยาทำความสะอาด และสารลดแรงตึงผิว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยในกระบวนการ EUV ที่ละเอียดอ่อน

    จุดที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
    MOR เป็นวัสดุที่มีส่วนผสมของโลหะ ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซับแสง EUV ได้มากกว่าวัสดุอินทรีย์ทั่วไป
    ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดโฟโตเรซิสระดับสูงถึง 91% ทั่วโลก
    การผลิต EUV ต้องการความแม่นยำสูงมาก เพราะแม้แต่การปนเปื้อนเล็กน้อยก็อาจทำให้เวเฟอร์เสียหาย

    ญี่ปุ่นลงทุนขยายกำลังผลิตวัสดุสำหรับ EUV
    TOK ลงทุน ¥20 พันล้านในโรงงานใหม่ที่เกาหลีใต้ และอีก ¥12 พันล้านในโรงงานสารเคมีบริสุทธิ์
    Adeka ลงทุน ¥3.2 พันล้านเพื่อผลิต MOR ที่โรงงานอิบารากิ เริ่มผลิตปี 2028
    JSR เตรียมเปิดโรงงาน MOR ในเกาหลีใต้ภายในปี 2026

    วัสดุ MOR มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยี EUV
    เพิ่มการดูดซับแสง EUV ลดปริมาณแสงที่ต้องใช้
    ช่วยให้ลวดลายมีความคมชัดและทนต่อการกัดกร่อน

    สารเคมีบริสุทธิ์มีความสำคัญต่อกระบวนการ EUV
    ใช้ควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยที่อาจส่งผลต่อคุณภาพเวเฟอร์

    ญี่ปุ่นมีความได้เปรียบในตลาดโฟโตเรซิส
    ครองส่วนแบ่งตลาดระดับสูงถึง 91% ทั่วโลก

    ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV
    ความไวของเรซิสต่อแสง EUV อาจลดความละเอียดของลวดลาย
    การควบคุมการปนเปื้อนต้องแม่นยำสูง เพราะส่งผลต่ออายุการใช้งานของหน้ากากและคุณภาพเวเฟอร์

    ประเทศอื่นยังตามหลังในด้าน MOR และสารเคมี EUV
    แม้จะพัฒนาเทคโนโลยี i-line/KrF ได้ดี แต่ยังไม่สามารถแข่งขันในระดับ EUV ได้

    https://www.techpowerup.com/342676/japan-ramps-up-photoresist-and-mor-capacity-for-2-nm-euv-lithography
    🧪 ญี่ปุ่นเร่งขยายกำลังผลิตวัสดุโฟโตเรซิสและ MOR รองรับเทคโนโลยีลิธอกราฟี EUV ขนาด 2 นาโนเมตร ญี่ปุ่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อรองรับยุคใหม่ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับ 2 นาโนเมตร ด้วยการลงทุนขยายโรงงานผลิตวัสดุโฟโตเรซิส (Photoresist) และโลหะออกไซด์เรซิส (MOR) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการลิธอกราฟีแบบ EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) บริษัทชั้นนำอย่าง Tokyo Ohka Kogyo (TOK), Adeka และ JSR ต่างทุ่มงบประมาณหลายหมื่นล้านเยนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนาคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในกระบวนการนี้ โดยเฉพาะ MOR ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการดูดซับแสง EUV ได้ดีขึ้น ช่วยให้การถ่ายโอนลวดลายบนเวเฟอร์มีความแม่นยำและทนต่อการกัดกร่อนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในสารเคมีความบริสุทธิ์สูง เช่น ตัวทำละลาย น้ำยาทำความสะอาด และสารลดแรงตึงผิว ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยในกระบวนการ EUV ที่ละเอียดอ่อน 📌 จุดที่น่าสนใจเพิ่มเติม: 💠 MOR เป็นวัสดุที่มีส่วนผสมของโลหะ ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซับแสง EUV ได้มากกว่าวัสดุอินทรีย์ทั่วไป 💠 ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดโฟโตเรซิสระดับสูงถึง 91% ทั่วโลก 💠 การผลิต EUV ต้องการความแม่นยำสูงมาก เพราะแม้แต่การปนเปื้อนเล็กน้อยก็อาจทำให้เวเฟอร์เสียหาย ✅ ญี่ปุ่นลงทุนขยายกำลังผลิตวัสดุสำหรับ EUV ➡️ TOK ลงทุน ¥20 พันล้านในโรงงานใหม่ที่เกาหลีใต้ และอีก ¥12 พันล้านในโรงงานสารเคมีบริสุทธิ์ ➡️ Adeka ลงทุน ¥3.2 พันล้านเพื่อผลิต MOR ที่โรงงานอิบารากิ เริ่มผลิตปี 2028 ➡️ JSR เตรียมเปิดโรงงาน MOR ในเกาหลีใต้ภายในปี 2026 ✅ วัสดุ MOR มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยี EUV ➡️ เพิ่มการดูดซับแสง EUV ลดปริมาณแสงที่ต้องใช้ ➡️ ช่วยให้ลวดลายมีความคมชัดและทนต่อการกัดกร่อน ✅ สารเคมีบริสุทธิ์มีความสำคัญต่อกระบวนการ EUV ➡️ ใช้ควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยที่อาจส่งผลต่อคุณภาพเวเฟอร์ ✅ ญี่ปุ่นมีความได้เปรียบในตลาดโฟโตเรซิส ➡️ ครองส่วนแบ่งตลาดระดับสูงถึง 91% ทั่วโลก ‼️ ความท้าทายของเทคโนโลยี EUV ⛔ ความไวของเรซิสต่อแสง EUV อาจลดความละเอียดของลวดลาย ⛔ การควบคุมการปนเปื้อนต้องแม่นยำสูง เพราะส่งผลต่ออายุการใช้งานของหน้ากากและคุณภาพเวเฟอร์ ‼️ ประเทศอื่นยังตามหลังในด้าน MOR และสารเคมี EUV ⛔ แม้จะพัฒนาเทคโนโลยี i-line/KrF ได้ดี แต่ยังไม่สามารถแข่งขันในระดับ EUV ได้ https://www.techpowerup.com/342676/japan-ramps-up-photoresist-and-mor-capacity-for-2-nm-euv-lithography
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Japan Ramps Up Photoresist and MOR Capacity for 2 nm EUV Lithography
    As the 2 nm-class nodes are starting to enter volume production, Japanese material suppliers are expanding the capacity of EUV-capable resists and high-purity process chemicals, according to Nikkei. Tokyo Ohka Kogyo (TOK), Adeka, and JSR are building or upgrading fabs for photoresists and metal-oxid...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI ถอยคำขอ ‘แบ็คสต็อป’ จากรัฐบาล – ชี้รัฐควรมีบทบาทสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI”

    เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการเงินของโลก AI! Sarah Friar, CFO ของ OpenAI ออกมาแก้ไขคำพูดของตนเองหลังจากให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่า OpenAI “ไม่ได้ขอให้รัฐบาลเป็นแบ็คสต็อป” สำหรับเงินกู้ที่ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ แต่ต้องการให้รัฐบาล “มีบทบาท” ในการสร้างขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชน

    ในบทสัมภาษณ์เดิม Friar พูดถึงแนวคิดการสร้าง “ecosystem” ที่รวมธนาคาร, private equity และ “รัฐบาล” เพื่อช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่มความสามารถในการกู้ยืม โดยใช้คำว่า “backstop” ซึ่งหมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ แต่หลังจากเกิดความเข้าใจผิด เธอได้โพสต์ชี้แจงใน LinkedIn ว่า “คำว่า backstop ทำให้ประเด็นคลุมเครือ” และยืนยันว่า OpenAI ไม่ได้ขอการค้ำประกันจากรัฐบาลโดยตรง

    เธอยังกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเข้าใจว่า AI เป็น “สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์” และควรมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานผลิตชิปและศูนย์ข้อมูล เพื่อให้สหรัฐสามารถแข่งขันกับจีนได้

    OpenAI ชี้แจงว่าไม่ได้ขอ “backstop” จากรัฐบาล
    Sarah Friar ใช้คำว่า “backstop” ในบทสัมภาษณ์
    ต่อมาโพสต์ชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงการค้ำประกันเงินกู้
    ต้องการให้รัฐบาลมีบทบาทร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

    แนวคิดการสร้าง ecosystem ด้านการเงิน
    รวมธนาคาร, private equity และภาครัฐ
    ช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่ม loan-to-value
    เพิ่มความสามารถในการลงทุนในชิปและศูนย์ข้อมูล

    รัฐบาลสหรัฐมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์
    เข้าใจว่า AI เป็นสินทรัพย์สำคัญระดับประเทศ
    มีการเชิญ OpenAI เข้าร่วมให้ข้อมูลกับทำเนียบขาว
    ยังไม่มีข้อตกลงหรือประกาศอย่างเป็นทางการ

    ความคลุมเครือจากการใช้คำว่า “backstop”
    ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า OpenAI ขอค้ำประกันจากรัฐบาล
    สร้างแรงกดดันทางการเมืองและสื่อ

    ความท้าทายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI
    ต้องใช้เงินมหาศาลในการซื้อชิปและสร้างศูนย์ข้อมูล
    การแข่งขันกับจีนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-walks-back-statement-it-wants-a-government-backstop-for-its-massive-loans-company-says-government-playing-its-part-critical-for-industrial-ai-capacity-increases
    🏛️ “OpenAI ถอยคำขอ ‘แบ็คสต็อป’ จากรัฐบาล – ชี้รัฐควรมีบทบาทสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI” เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการเงินของโลก AI! Sarah Friar, CFO ของ OpenAI ออกมาแก้ไขคำพูดของตนเองหลังจากให้สัมภาษณ์กับ Wall Street Journal ว่า OpenAI “ไม่ได้ขอให้รัฐบาลเป็นแบ็คสต็อป” สำหรับเงินกู้ที่ใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ แต่ต้องการให้รัฐบาล “มีบทบาท” ในการสร้างขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชน ในบทสัมภาษณ์เดิม Friar พูดถึงแนวคิดการสร้าง “ecosystem” ที่รวมธนาคาร, private equity และ “รัฐบาล” เพื่อช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่มความสามารถในการกู้ยืม โดยใช้คำว่า “backstop” ซึ่งหมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ แต่หลังจากเกิดความเข้าใจผิด เธอได้โพสต์ชี้แจงใน LinkedIn ว่า “คำว่า backstop ทำให้ประเด็นคลุมเครือ” และยืนยันว่า OpenAI ไม่ได้ขอการค้ำประกันจากรัฐบาลโดยตรง เธอยังกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐมีความเข้าใจว่า AI เป็น “สินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์” และควรมีบทบาทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงงานผลิตชิปและศูนย์ข้อมูล เพื่อให้สหรัฐสามารถแข่งขันกับจีนได้ ✅ OpenAI ชี้แจงว่าไม่ได้ขอ “backstop” จากรัฐบาล ➡️ Sarah Friar ใช้คำว่า “backstop” ในบทสัมภาษณ์ ➡️ ต่อมาโพสต์ชี้แจงว่าไม่ได้หมายถึงการค้ำประกันเงินกู้ ➡️ ต้องการให้รัฐบาลมีบทบาทร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ✅ แนวคิดการสร้าง ecosystem ด้านการเงิน ➡️ รวมธนาคาร, private equity และภาครัฐ ➡️ ช่วยลดต้นทุนการเงินและเพิ่ม loan-to-value ➡️ เพิ่มความสามารถในการลงทุนในชิปและศูนย์ข้อมูล ✅ รัฐบาลสหรัฐมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ เข้าใจว่า AI เป็นสินทรัพย์สำคัญระดับประเทศ ➡️ มีการเชิญ OpenAI เข้าร่วมให้ข้อมูลกับทำเนียบขาว ➡️ ยังไม่มีข้อตกลงหรือประกาศอย่างเป็นทางการ ‼️ ความคลุมเครือจากการใช้คำว่า “backstop” ⛔ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า OpenAI ขอค้ำประกันจากรัฐบาล ⛔ สร้างแรงกดดันทางการเมืองและสื่อ ‼️ ความท้าทายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ⛔ ต้องใช้เงินมหาศาลในการซื้อชิปและสร้างศูนย์ข้อมูล ⛔ การแข่งขันกับจีนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-walks-back-statement-it-wants-a-government-backstop-for-its-massive-loans-company-says-government-playing-its-part-critical-for-industrial-ai-capacity-increases
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน

    Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ

    แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว

    Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI
    เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย
    จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล
    สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ

    Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI
    สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน
    จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด

    ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง
    หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง
    เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ
    ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia

    สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน
    บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก
    Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ

    ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI
    อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น
    ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia

    ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ
    พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม
    อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    🧠 “Jensen Huang เตือน! จีนอาจชนะสงคราม AI เพราะไฟฟ้าถูก – สหรัฐยังติดหล่มกฎระเบียบ” เรื่องเล่าที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี! Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในงาน Future of AI Summit ว่า “จีนกำลังจะชนะสงคราม AI” โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐกำลังสูญเสียความได้เปรียบจากความขาดแคลนพลังงานและกฎระเบียบที่ซับซ้อน ขณะที่จีนมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานอย่างชัดเจน Huang ชี้ว่าในจีน บริษัทสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่ายและราคาถูกจากการอุดหนุนของรัฐ ทำให้สามารถสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ขณะที่ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “50 กฎใหม่” สำหรับ AI และยังต้องลงทุนในพลังงานทางเลือกที่ยังไม่พร้อมใช้งาน เช่น เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กหรือศูนย์ข้อมูลในอวกาศ แม้ Huang จะเคยกล่าวว่า “จีนตามหลังสหรัฐเพียงไม่กี่นาโนวินาที” แต่เขาก็เตือนว่า หากสหรัฐยังคงจำกัดการส่งออกชิป AI อย่าง Blackwell ไปยังจีน ก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น และลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐในระยะยาว ✅ Jensen Huang เตือนว่าจีนอาจชนะสงคราม AI ➡️ เหตุผลหลักคือการเข้าถึงพลังงานที่ถูกและง่าย ➡️ จีนมีนโยบายอุดหนุนพลังงานสำหรับศูนย์ข้อมูล ➡️ สหรัฐยังติดกับดักกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละรัฐ ✅ Nvidia สูญเสียตลาดจีนจากการแบนชิป AI ➡️ สหรัฐแบนการส่งออกชิป Blackwell ไปยังจีน ➡️ จีนตอบโต้ด้วยการห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูล ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ✅ ความพยายามของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ➡️ หากไม่มีชิป Nvidia จีนจะหันไปพัฒนาเอง ➡️ เงินทุนจะไหลเข้าสู่ผู้ผลิตชิปในประเทศ ➡️ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ของ Nvidia ✅ สหรัฐยังเผชิญปัญหาด้านพลังงาน ➡️ บริษัทเทคโนโลยีต้องลงทุนในพลังงานทางเลือก ➡️ Microsoft เผยว่ามี GPU ที่ไม่สามารถใช้งานได้เพราะไม่มีพลังงานเพียงพอ ‼️ ความเสี่ยงจากการจำกัดการส่งออกชิป AI ⛔ อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น ⛔ ลดความสามารถในการควบคุมตลาดโลกของ Nvidia ‼️ ความล่าช้าด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในสหรัฐ ⛔ พลังงานทางเลือกยังไม่พร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม ⛔ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเสียเปรียบในการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-going-to-win-the-ai-race-nvidia-ceo-jensen-huang-decries-the-price-of-electricity-in-the-us-contrasts-it-with-chinas-subsidized-pricing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉก.ทส. ทวงคืนป่าชายเลน 141 ไร่ พบขบวนการขุดร่องน้ำปล่อยลงทะเล “สจ.ตี๋” นำชาวบ้านท้วง อ้างที่ทำกิน–ท้ารัฐวัดแนวเขต
    https://www.thai-tai.tv/news/22231/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #ป่าชายเลน #หาดพระยา #บุกรุกป่า #ฉกทส
    ฉก.ทส. ทวงคืนป่าชายเลน 141 ไร่ พบขบวนการขุดร่องน้ำปล่อยลงทะเล “สจ.ตี๋” นำชาวบ้านท้วง อ้างที่ทำกิน–ท้ารัฐวัดแนวเขต https://www.thai-tai.tv/news/22231/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #ป่าชายเลน #หาดพระยา #บุกรุกป่า #ฉกทส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ”

    ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack

    แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน

    Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack
    แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน
    รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต

    การตอบสนองของบริษัท
    รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง
    แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น
    ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด

    ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า
    Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019
    Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง
    การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ
    ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง
    ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส

    ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน
    มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน
    ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้
    การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่

    ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว”
    การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน
    การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก
    การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น

    https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    🕵️‍♂️ “แฮกเกอร์เจาะระบบ Nikkei – ขโมยข้อมูลส่วนตัวและ Slack กว่า 17,000 รายการ” ในเดือนกันยายน 2025 บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น “Nikkei Inc.” เจ้าของหนังสือพิมพ์ The Nikkei และดัชนีหุ้น Nikkei 225 พบว่ามีการเข้าถึงบัญชี Slack ของพนักงานอย่างผิดปกติ หลังจากตรวจสอบพบว่าเกิดจากมัลแวร์ที่ติดในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนตัวของกว่า 17,000 คน รวมถึงประวัติการแชตใน Slack แฮกเกอร์ใช้ข้อมูลล็อกอินที่ขโมยไปจากเครื่องพนักงานเพื่อเข้าถึง Slack Workspace ภายในของบริษัท ซึ่งมีข้อมูลของพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจจำนวนมาก แม้ Nikkei จะยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุดออกไป แต่ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล และประวัติการสนทนา ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงในโลกไซเบอร์ สิ่งที่น่ากังวลคือรูปแบบการโจมตีนี้คล้ายกับกรณีของ Change Healthcare ในปี 2024 ที่มีการขโมยข้อมูลของกว่า 190 ล้านคนเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่ใช้วิธีล็อกระบบแบบ ransomware แต่ขู่จะเปิดเผยข้อมูลแทน ✅ Nikkei ถูกแฮกผ่านมัลแวร์ในเครื่องพนักงาน ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูลล็อกอิน Slack ➡️ แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของ 17,368 คน ➡️ รวมถึงชื่อ อีเมล และประวัติการแชต ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ รีเซ็ตรหัสผ่านและจำกัดการเข้าถึง ➡️ แจ้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของญี่ปุ่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลแหล่งข่าวหรือเนื้อหาการรายงานหลุด ✅ ความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า ➡️ Nikkei เคยสูญเงิน $29 ล้านจากการถูกหลอกให้โอนเงินในปี 2019 ➡️ Tech in Asia ก็เคยถูกแฮกในปี 2024 และข้อมูลผู้ใช้กว่า 221,000 รายถูกเปิดเผย ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Mayank Kumar จาก DeepTempo ระบุว่าเป้าหมายของมัลแวร์คือการขโมยล็อกอินที่ถูกต้อง ➡️ การโจมตีแบบนี้ยากต่อการตรวจจับ เพราะดูเหมือนการใช้งานปกติ ➡️ ระบบ SIEM ไม่สามารถแจ้งเตือนได้หากการล็อกอินถูกต้อง ➡️ ระบบ NDR ก็ไม่สามารถตรวจสอบ payload ได้หากข้อมูลถูกเข้ารหัส ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องส่วนตัวในการทำงาน ⛔ มัลแวร์สามารถเจาะระบบผ่านเครื่องที่ไม่มีการป้องกัน ⛔ ข้อมูลล็อกอินที่ถูกขโมยสามารถใช้เข้าถึงระบบภายในได้ ⛔ การแยกงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัดเจน ทำให้เกิดช่องโหว่ ‼️ ความท้าทายในการตรวจจับการโจมตีแบบ “แฝงตัว” ⛔ การใช้งานที่ดูเหมือนปกติทำให้ระบบความปลอดภัยไม่แจ้งเตือน ⛔ การเข้ารหัสข้อมูลทำให้ตรวจสอบ payload ได้ยาก ⛔ การขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลแทนการล็อกระบบเป็นแนวโน้มใหม่ของแฮกเกอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า “ข้อมูลล็อกอิน” กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง และการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องก้าวข้ามการตรวจจับแบบเดิมๆ ไปสู่การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้น https://hackread.com/nikkei-data-breach-hackers-steal-data-slack-messages/
    HACKREAD.COM
    Hackers Steal Personal Data and 17K Slack Messages in Nikkei Data Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mr TIFF – วิศวกรผู้ถูกลืม กับการตามหาความจริงของไฟล์ภาพระดับโลก”

    เรื่องนี้เริ่มจากความตั้งใจของ John Buck ผู้เขียนหนังสือ “Inventing the Future” ที่ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการตามหาผู้สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก แต่หนึ่งในไฟล์ภาพที่สำคัญที่สุดอย่าง TIFF (Tag Image File Format) กลับไม่มีชื่อผู้สร้างปรากฏชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ที่ถูกจดจำ

    John เริ่มค้นหาเบื้องหลังของ TIFF เหมือนที่เขาเคยทำกับ AIFF (Audio Interchange File Format) และ IFF (Interchange File Format) ซึ่งมีชื่อผู้สร้างชัดเจนอย่าง Jerry Morrison และทีมของ Apple แต่สำหรับ TIFF เขาพบเพียงชื่อ “Steve Carlson” ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์เก่า แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม

    หลังจากค้นหาอย่างหนัก เขาพบว่าชื่อที่ถูกต้องคือ “Stephen Carlsen” ซึ่งถูกสะกดผิดในเอกสารหลายฉบับ และซ่อนอยู่ในไฟล์สเปกของ TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว! เมื่อแกะรอยต่อไป เขาพบสิทธิบัตรของ Carlsen และที่อยู่ในรัฐวอชิงตัน จึงส่งจดหมายไปหาเขา

    หลายเดือนต่อมา Carlsen ตอบกลับมา พร้อมเล่าเรื่องการสร้าง TIFF และการผลักดันให้มันกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยเขาเองเป็นผู้เดินสายประชุมกับบริษัทต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ใช้ TIFF แทนการสร้างฟอร์แมตเฉพาะของแต่ละแบรนด์

    แต่เรื่องราวจบลงอย่างสะเทือนใจ เมื่ออดีตภรรยาของ Carlsen ส่งอีเมลมาบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และเธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย

    John จึงแก้ไขหน้า Wikipedia ของ TIFF ให้ระบุว่า “สร้างโดย Stephen Carlsen วิศวกรจาก Aldus” เพื่อให้โลกจดจำชื่อของผู้สร้างที่แท้จริง

    จุดเริ่มต้นของการค้นหาผู้สร้างไฟล์ TIFF
    John Buck ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการค้นคว้า
    พบว่าไม่มีชื่อผู้สร้าง TIFF อย่างชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus

    การแกะรอยชื่อที่ถูกต้อง
    พบชื่อ “Steve Carlson” ในบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ตรงกับสิทธิบัตร
    ชื่อจริงคือ “Stephen Carlsen” ที่ถูกสะกดผิดในหลายแหล่ง
    ชื่อถูกซ่อนไว้ในไฟล์สเปก TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว

    การติดต่อและยืนยันตัวตน
    John ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ของ Carlsen
    Carlsen ตอบกลับและเล่าเรื่องการสร้าง TIFF
    เขาเป็นผู้ผลักดันให้ TIFF กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม

    การยกย่องหลังเสียชีวิต
    อดีตภรรยาของ Carlsen แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
    เธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย
    John แก้ไข Wikipedia เพื่อให้เครดิตแก่ Carlsen

    ความเสี่ยงของการลืมผู้สร้างเทคโนโลยี
    ชื่อถูกสะกดผิดในเอกสารสำคัญ
    ไม่มีการบันทึกหรือเผยแพร่ข้อมูลผู้สร้างอย่างเป็นทางการ
    บริษัทที่สร้างเทคโนโลยีถูกควบรวมและข้อมูลสูญหาย

    https://inventingthefuture.ghost.io/mr-tiff/
    🧠 “Mr TIFF – วิศวกรผู้ถูกลืม กับการตามหาความจริงของไฟล์ภาพระดับโลก” เรื่องนี้เริ่มจากความตั้งใจของ John Buck ผู้เขียนหนังสือ “Inventing the Future” ที่ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการตามหาผู้สร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก แต่หนึ่งในไฟล์ภาพที่สำคัญที่สุดอย่าง TIFF (Tag Image File Format) กลับไม่มีชื่อผู้สร้างปรากฏชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ที่ถูกจดจำ John เริ่มค้นหาเบื้องหลังของ TIFF เหมือนที่เขาเคยทำกับ AIFF (Audio Interchange File Format) และ IFF (Interchange File Format) ซึ่งมีชื่อผู้สร้างชัดเจนอย่าง Jerry Morrison และทีมของ Apple แต่สำหรับ TIFF เขาพบเพียงชื่อ “Steve Carlson” ที่ปรากฏในบทสัมภาษณ์เก่า แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากค้นหาอย่างหนัก เขาพบว่าชื่อที่ถูกต้องคือ “Stephen Carlsen” ซึ่งถูกสะกดผิดในเอกสารหลายฉบับ และซ่อนอยู่ในไฟล์สเปกของ TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว! เมื่อแกะรอยต่อไป เขาพบสิทธิบัตรของ Carlsen และที่อยู่ในรัฐวอชิงตัน จึงส่งจดหมายไปหาเขา หลายเดือนต่อมา Carlsen ตอบกลับมา พร้อมเล่าเรื่องการสร้าง TIFF และการผลักดันให้มันกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยเขาเองเป็นผู้เดินสายประชุมกับบริษัทต่างๆ เพื่อโน้มน้าวให้ใช้ TIFF แทนการสร้างฟอร์แมตเฉพาะของแต่ละแบรนด์ แต่เรื่องราวจบลงอย่างสะเทือนใจ เมื่ออดีตภรรยาของ Carlsen ส่งอีเมลมาบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว และเธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย John จึงแก้ไขหน้า Wikipedia ของ TIFF ให้ระบุว่า “สร้างโดย Stephen Carlsen วิศวกรจาก Aldus” เพื่อให้โลกจดจำชื่อของผู้สร้างที่แท้จริง ✅ จุดเริ่มต้นของการค้นหาผู้สร้างไฟล์ TIFF ➡️ John Buck ใช้เวลากว่า 10,000 ชั่วโมงในการค้นคว้า ➡️ พบว่าไม่มีชื่อผู้สร้าง TIFF อย่างชัดเจน มีเพียงชื่อบริษัท Aldus ✅ การแกะรอยชื่อที่ถูกต้อง ➡️ พบชื่อ “Steve Carlson” ในบทสัมภาษณ์ แต่ไม่ตรงกับสิทธิบัตร ➡️ ชื่อจริงคือ “Stephen Carlsen” ที่ถูกสะกดผิดในหลายแหล่ง ➡️ ชื่อถูกซ่อนไว้ในไฟล์สเปก TIFF ด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว ✅ การติดต่อและยืนยันตัวตน ➡️ John ส่งจดหมายไปยังที่อยู่ของ Carlsen ➡️ Carlsen ตอบกลับและเล่าเรื่องการสร้าง TIFF ➡️ เขาเป็นผู้ผลักดันให้ TIFF กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ✅ การยกย่องหลังเสียชีวิต ➡️ อดีตภรรยาของ Carlsen แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ➡️ เธอเรียกเขาว่า “Mr TIFF” จนถึงวินาทีสุดท้าย ➡️ John แก้ไข Wikipedia เพื่อให้เครดิตแก่ Carlsen ‼️ ความเสี่ยงของการลืมผู้สร้างเทคโนโลยี ⛔ ชื่อถูกสะกดผิดในเอกสารสำคัญ ⛔ ไม่มีการบันทึกหรือเผยแพร่ข้อมูลผู้สร้างอย่างเป็นทางการ ⛔ บริษัทที่สร้างเทคโนโลยีถูกควบรวมและข้อมูลสูญหาย https://inventingthefuture.ghost.io/mr-tiff/
    INVENTINGTHEFUTURE.GHOST.IO
    Mr TIFF
    For as long as I have published my books, one of my overarching goals was to give credit to those who actually invented the hardware and software that we use. I have spent 10,000+ hours to create an accurate record of their work but I'm not complaining. The 'as-close-to-possible'
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก

    CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน

    Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์

    CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ:
    เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์
    ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง
    ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ
    สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ

    Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน
    ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที

    ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config
    ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้

    ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API
    ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้

    VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ
    มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน

    Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025
    ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย

    ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0
    หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี

    หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ
    เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน

    ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง
    โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน
    การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง
    การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้

    นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว

    https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    ✈️ เตือนภัยไซเบอร์! ช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ VizAir เสี่ยงต่อความปลอดภัยการบินทั่วโลก CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ออกประกาศเตือนด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ระดับ “วิกฤต” ในระบบตรวจอากาศ VizAir ที่ใช้ในสนามบินทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้มีคะแนน CVSS สูงสุดที่ 10.0 ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตีและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน Radiometrics VizAir เป็นระบบตรวจอากาศที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญ เช่น ลมเฉือน (wind shear), การกลับด้านของอุณหภูมิ (temperature inversion), และ CAPE (Convective Available Potential Energy) เพื่อช่วยในการวางแผนการบินและการจัดการรันเวย์ CISA ระบุว่ามีช่องโหว่ 3 รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถ: 📍 เข้าถึงแผงควบคุมโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 📍 แก้ไขข้อมูลอากาศแบบเรียลไทม์ 📍 ปิดการแจ้งเตือนความเสี่ยง 📍 ดึงข้อมูลอากาศที่เป็นความลับ 📍 สร้างความสับสนให้กับระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ Radiometrics ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชันเดือนสิงหาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ใช้งานอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้รัดกุม 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61945: เข้าถึงแผงควบคุม VizAir โดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ผู้โจมตีสามารถแก้ไขข้อมูลลมเฉือน, inversion depth และ CAPE ได้ทันที ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-54863: การเปิดเผย API key ผ่านไฟล์ config ➡️ ทำให้สามารถควบคุมระบบจากระยะไกลและดึงข้อมูลอากาศได้ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-61956: ไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียก API ➡️ ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนการตั้งค่ารันเวย์และข้อมูลที่ส่งไปยัง ATC ได้ ✅ VizAir ใช้ในสนามบินทั่วโลกเพื่อวิเคราะห์สภาพอากาศ ➡️ มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจด้านความปลอดภัยการบิน ✅ Radiometrics ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 08/2025 ➡️ ผู้ใช้งานควรอัปเดตทันทีและตั้งค่าการป้องกันเครือข่ายให้ปลอดภัย ‼️ ช่องโหว่ทั้งหมดมีคะแนน CVSS 10.0 ⛔ หมายถึงความเสี่ยงระดับสูงสุดต่อการถูกโจมตี ‼️ หากระบบ VizAir ถูกโจมตี อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางอากาศ ⛔ เช่น การจัดรันเวย์ผิดพลาด, การแจ้งเตือนลมเฉือนไม่ทำงาน ‼️ ระบบที่ยังไม่ได้อัปเดตมีความเสี่ยงสูง ⛔ โดยเฉพาะหากเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะหรือไม่มีการยืนยันตัวตน 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 🎗️ CAPE เป็นค่าที่ใช้วัดพลังงานในบรรยากาศที่อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการบิน 🎗️ การโจมตีระบบตรวจอากาศอาจไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูลผิดพลาด แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักบินและเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินโดยตรง 🎗️ การแยกระบบออกจากเครือข่ายสาธารณะและใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้นเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีลักษณะนี้ นี่คือการเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม—เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารหลายพันคนอาจขึ้นอยู่กับการอัปเดตระบบเพียงครั้งเดียว 🛫🔐 https://securityonline.info/cisa-warns-critical-vizair-flaws-cvss-10-0-expose-airport-weather-systems-to-unauthenticated-manipulation/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA Warns: Critical VizAir Flaws (CVSS 10.0) Expose Airport Weather Systems to Unauthenticated Manipulation
    CISA warned of three Critical flaws (CVSS 10.0) in Radiometrics VizAir weather systems. Unauthenticated attackers can manipulate wind shear alerts and runway configurations, risking hazardous flight conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร

    วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน

    ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้

    4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง
    แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข
    ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ

    สาระเพิ่มเติม
    ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ

    การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี

    แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด”

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams
    แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้
    ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน
    เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว
    ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี
    การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม
    การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน
    การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร
    อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ
    ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering
    อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด

    ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา.

    https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    🛡️ ข่าวใหญ่สะเทือนวงการไอที: ช่องโหว่ Microsoft Teams เปิดทางแฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร วันนี้มีเรื่องเล่าที่คนทำงานสายไอทีและองค์กรทั่วโลกต้องฟังให้ดี เพราะมันเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารยอดนิยมอย่าง Microsoft Teams ที่มีผู้ใช้งานกว่า 320 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งล่าสุดนักวิจัยจาก Check Point Research ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุด ที่สามารถทำให้แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดี “ปลอมตัวเป็นผู้บริหาร” และ “เปลี่ยนแปลงข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย” ได้อย่างแนบเนียน ลองนึกภาพว่า คุณได้รับข้อความจาก CEO หรือหัวหน้าฝ่ายการเงินที่ดูน่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วมันถูกปลอมขึ้นมาเพื่อหลอกให้คุณคลิกลิงก์อันตราย หรือโอนเงินผิดบัญชี… นี่คือความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงจากช่องโหว่เหล่านี้ 🔍 4 ช่องโหว่ที่ถูกเปิดโปง ✏️ แก้ไขข้อความโดยไม่ทิ้งร่องรอย แฮกเกอร์สามารถเปลี่ยนเนื้อหาข้อความที่ส่งไปแล้ว โดยไม่แสดงคำว่า “Edited” ทำให้ผู้รับไม่รู้ว่าข้อความถูกแก้ไข 📢 ปลอมการแจ้งเตือนข้อความ โดยการเปลี่ยนค่า imdisplayname ทำให้สามารถแสดงชื่อผู้ส่งเป็นบุคคลสำคัญ เช่น CEO หรือ CFO ได้ 💬 เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ใช้ API เปลี่ยนชื่อหัวข้อแชท ทำให้ผู้รับเข้าใจผิดว่าแชทนั้นมาจากคนอื่น 📞 ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง เปลี่ยนค่า displayName ในการเริ่มต้นการโทร ทำให้ดูเหมือนว่าโทรมาจากผู้บริหารหรือแผนกสำคัญ 🧠 สาระเพิ่มเติม ช่องโหว่ลักษณะนี้จัดอยู่ในกลุ่ม “Social Engineering” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้หลอกล่อเหยื่อให้ทำตามโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ การปลอมตัวในระบบสื่อสารองค์กรสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ BEC (Business Email Compromise) ซึ่งสร้างความเสียหายหลายล้านดอลลาร์ต่อปี แม้ Microsoft จะจัดระดับความรุนแรงเป็น “ปานกลาง” แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความสามารถในการปลอมตัวในระบบที่ใช้กันทั่วโลกนั้น “อันตรายกว่าที่คิด” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ช่องโหว่ที่พบใน Microsoft Teams ➡️ แก้ไขข้อความโดยไม่แสดงว่าเคยถูกแก้ ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่งในแจ้งเตือน ➡️ เปลี่ยนชื่อผู้สนทนาในแชทส่วนตัว ➡️ ปลอมชื่อผู้โทรในวิดีโอ/เสียง ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การหลอกให้โอนเงินผิดบัญชี ➡️ การแพร่กระจายมัลแวร์ผ่านลิงก์ปลอม ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีหรือรหัสผ่าน ➡️ การสร้างความสับสนในการประชุมสำคัญ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานองค์กร ⛔ อย่าเชื่อข้อความหรือการแจ้งเตือนจากบุคคลสำคัญโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากข้อความที่ดูผิดปกติ ⛔ ควรมีการอบรมพนักงานเรื่องภัย Social Engineering ⛔ อัปเดตระบบและติดตามช่องโหว่จากผู้พัฒนาอย่างใกล้ชิด ถ้าองค์กรของคุณใช้ Microsoft Teams เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร เรื่องนี้ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค… แต่มันคือเรื่องของ “ความไว้วางใจ” ที่อาจถูกทำลายได้ในพริบตา. https://securityonline.info/microsoft-teams-flaws-exposed-attackers-could-impersonate-executives-and-forge-caller-identity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft Teams Flaws Exposed: Attackers Could Impersonate Executives and Forge Caller Identity
    Check Point exposed four critical flaws in Microsoft Teams. Attackers could forge executive caller IDs, silently edit messages without trace, and spoof notifications for BEC and espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 7

    Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย

    อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน

    ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า
    ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้

    ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917

    น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน

    สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่
    และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้

    ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน

    ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ

    แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร

    ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า

    เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 8 (ตอนจบ)

    ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้

    ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้
    เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น
    จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี

    เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย

    แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย

    คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน
    และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ

    “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    11 พ.ค. 2558

    ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 7 Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษ ด้านภูมิศาสตร์การเมือง (Geopolitics) พูดไว้เมื่อ ปี คศ 1904 ในการสัมมนาของ Royal Geographic Society ที่ลอนดอนว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นแหละ จะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ ทฤษฏีครู Mac ได้รับการเชื่อถือ และยกย่อง จากทั้งอังกฤษ และอเมริกา และตั้งแต่ครู Mac ประกาศทฤษฏีของตัวออกมา ก็เหมือนครู Mac ออกใบสั่งประหารรัสเซีย อังกฤษลงทุน “สร้าง” สงครามโลก เป้าหมายแรกเพื่อต้องการเขี่ย หรือกันท่าเยอรมันให้พ้นจากแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลาง จากนั้นก็จะบี้เยอรมันให้ตายคาที่ เป้าหมายต่อมาคือ หากตนเป็นผู้ชนะสงคราม ในฐานะผู้ชนะสงคราม อังกฤษจะเขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ แบ่งตะวันออกกลางกันกับพรรคพวก เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองประเทศในตะวันออกกลาง ที่มีแหล่งน้ำมัน ตามที่ตัวเองเลือก มันเป็นการต้ังเป้าหมาย จากความเชื่อถือในทฤษฏีครูMac ข้างต้น อังกฤษ จึงวางยุทธศาสตร์ในการทำสงคราม เพื่อครองโลกของอังกฤษ ครั้งนี้ เป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกกวาดเยอรมัน และออตโตมานให้ราบคาบเสียก่อนในช่วงทำสงครามโลก ส่วนรัสเซียนั้น อังกฤษ เตรียมจัดการ ในขั้นตอนต่อไป เนื่องจากรัสเซียอยู่ในภูมิประเทศ ที่ทำลายยากตามทฤษฏีของครู Mac ดังนั้นการทำศึก 2 ด้าน โดยสู้กับเยอรมันด้านหนึ่ง และสู้กับรัสเซียอีกด้านหนึ่ง พร้อมกันไป ย่อมเอาชนะทั้ง 2 ประเทศได้ยาก อังกฤษจึงใช้วิธีหลอกเอารัสเซียมาอยู่ฝ่ายตนเสียก่อน หลังจากนั้น ก็รอเวลา ให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย หน้าฉากเหมือนอังกฤษไม่เกี่ยวด้วยกับการปฏิวัติรัสเซีย แต่อังกฤษน่าจะรู้ว่าแล้วว่า มีคนจ้องจะปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษแค่ปล่อยให้เชื้อโรคปฏิวัติ เป็นผู้จัดการรัสเซียเอง ได้ผลกว่าแยะ และนอกจากนั้น การตกปากของรัสเซีย ที่จะร่วมมือกันทำลายเยอรมัน ยังดูก้ำกึ่งว่า จะเชื่อถือรัสเซียได้แค่ไหน เอาเข้าจริง รัสเซียอาจจะเอนไปทางเยอรมันก็เป็นได้ เมื่อเทียบกับ หลอกให้อเมริกามาร่วมรบเยอรมัน อังกฤษย่อมพอใจเลือก พวกAnglo Saxon ด้วยกัน น่าจะเชื่อใจได้มากกว่า ดังนั้น อังกฤษจึงเล่นบทเรื่องปฏิวัติรัสเซียไปตามน้ำ ให้อเมริกาเชื่อว่า อังกฤษไม่มีแผนเกี่ยวกับการตะครุบรัสเซีย ปล่อยให้เป็นเรื่องของอเมริกา กับบรรดาเด็กในคาถาของ Rothschild ออกโรงกันเอง ยังไงก็คนกันเองทั้งนั้น แค่กันเยอรมันออกไปก่อน แต่ระหว่างนั้น อังกฤษ ก็แอบเข้าไปจองที่ในรัสเซียเช่น กัน ดูได้จากพฤติกรรมของ Lord Milner แห่ง Round Table ผู้ซึ่งมีรัศมีอำนาจทำการ กว้างใหญ่ไม่น้อยกว่า นายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ที่ส่งหมาป่าพันธุ์อังกฤษ Bruce Rockhart มาประกบ Raymond Robins หมาป่าพันธ์ุอเมริกัน เอาไว้ ส่วนอเมริกานั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐบาล และด้านนักธุรกิจ ต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน เกี่ยวกับเรื่องรัสเซีย คือไล่ซาร์ให้พ้นไปจากรัสเซีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำมัน และแร่ธาตุสาระพัด เพื่อพวกเขาจะได้เข้าไปควบคุม และครอบครองทรัพยากรทั้งหมดแทน มันก็น่าจะเป็นความคิด ที่มาจากทฤษฏีของครู Mac ด้วยเช่นกัน แต่จะเข้าไปทำสงครามกับรัสเซียเพื่อไล่ซาร์ ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรดีกว่า ยุให้คนรัสเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนบ้านเมืองฉิบหาย โดยอเมริกาสนับสนุนทุกฝ่าย ฝ่ายไหนชนะ อเมริกาก็ชนะด้วย และเข้าไปครอบงำผู้ชนะอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็ตั้งบริษัทสำหรับปฏิบัติการขูดเนื้อ เถือกระดูกรัสเซียไว้ล่วงหน้า ก่อนที่อังกฤษหรือเยอรมันจะเข้ามาในรัสเซีย เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียต้องไม่หลุดมือ ไม่ให้ใครมาฉกไปได้ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ อุตสาหกรรม และ ธุรกิจใหญ่ของอเมริกา นำโดย Rockefeller/Morgan, Guggenheim ฯลฯ จึงเข้าไปครอบงำรัสเซียอยู่เกือบ 50 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1917 น่าคิดว่า การปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุมปฏิวัติ หรือเสื้อคลุมสงคราม เมื่อร้อยปีก่อน กับการปล้น ที่ให้โจรใส่เสื้อคลุม กำจัดผู้นำเผด็จการ ตรวจสอบนิวเคลียร์ อย่างที่เกิดขึ้นในอิรัค ลิเบีย ฯลฯ เกือบร้อยปีต่อมา เพื่อปล้นเอาน้ำมันของเขาไป ดูเหมือนไม่แตกต่างกัน และการปล้นแบบนี้ ก็อาจเกิดขึ้นต่อไปอีกเรื่อยๆ ในที่ต่างๆ โดยการใช้เสื้อคลุมตัวเดิมๆ หรือเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นเหยื่อ ไม่รู้เท่าทัน สูตรนี้เล่นมาแล้ว 100 ปี เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ และก็ยังได้ผลอยู่ และตอนไหนจะเหมาะที่จะคาบรัสเซียไปกิน ก็ไม่พ้นตอนที่รัสเซีย (ถูกทำให้) อ่อนแอ เป็นยุทธศาสตร์เดียวกับที่อังกฤษคิด และ ใช้กับออตโตมาน แต่ ขณะที่ อังกฤษใช้ยุทธศาสตร์ 2 จังหวะ แต่อเมริกาเลือกใช้ยุทธศาสตร์จังหวะเดียว แต่เล่น 2 ฉากพร้อมกัน อเมริกาเล่นบทปฏิวัติรัสเซีย แล้วก็นั่งคอยเวลาที่จะคาบรัสเซียไปกิน ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เล่นบท สนับสนุนทุกอย่างให้อังกฤษ ที่กระสันอยากทำสงครามโลกทั้งที่ถังแตก ให้ไปรบก่อน แล้วอเมริกาก็นั่งคอยเวลาเล่นบทพระเอก ออกไปช่วยอังกฤษรบ เมื่ออังกฤษใกล้เละเต็มที ด้วยการวางยุทธศาสตร์เช่นนี้ อเมริกาจึงได้กินรวบหมดกระดาน อิ่มสมใจ และอิ่มนาน มาตั้งแต่บัดนั้น ถึงบัดนี้ ต่างกับอังกฤษ ที่แม้จะชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 อิ่มสมใจเหมือนกัน แต่ความอิ่มของอังกฤษ อยู่ไม่นานอย่างที่ฝัน ดูเหมือนการลงทุนทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอังกฤษ จะไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และน่าคิดว่า ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลก ทำให้อังกฤษ นอกจากไม่ได้กำไรแล้ว อาจจะกลายเป็นขาดทุนเอาด้วยซ้ำ แม้ข้อเสนอของ Col House ต่ออังกฤษ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี การแสดงละครของวอลสตรีทและกลุ่มนักธุรกิจ ตามมาด้วยการตัดสินใจเข้าสงคราม โลกของอเมริกา การเข้ามากำกับของ Round Table จะทำให้เข้าใจว่า อังกฤษกับอเมริกา น่าจะรู้เห็น และร่วมเขียนบทละครด้วยกัน และแสดงร่วมกันตลอดเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทสงคราม หรือปฏิวัติปล้นรัสเซีย แต่ดูเหมือนอังกฤษและอเมริกา ต่างก็แอบไปสร้างฉากเสริมส่วนตัวเกี่ยวกับรัสเซีย ที่ต่างก็อยากได้ไว้เองโดยไม่แบ่งกับพวก หักหลังหักเหลี่ยมกันเองตามสันดานโจร ส่วนเยอรมัน ไม่ได้อยากรบ ไม่ได้อยากเข้าสงครามโลกตั้งแต่ แรก ความต้องการของเยอรมัน คือ ต้องการได้แหล่งน้ำมัน แทนการการใช้ Standard Oil และตกอยู่ในมือบีบของ Rockefeller เจ้าพ่อ Standard Oil เมื่อโอกาสจะเข้าไปเอาน้ำมันของตะวันออกกลางตามเส้นทางรถไฟ Berlin Bagdad ที่เยอรมันวางแผนไว้หลายปี ถูกอังกฤษขวางและถีบเสียจนตกรางอย่างนี้ เยอรมันก็ต้องหาแผนสำรอง รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ Baku ที่ทั้ง เจ้าพ่อ Rothschlid และเจ้าพ่อ Rockefeller อยากได้อยู่ทั้งคู่ บวก เยอรมันเข้าไปอีกราย คงแย่งกันฝุ่นตลบ แค่เสียทองไม่กี่ตันสนับสนุน Lenin ทำปฏิวัติ ไล่ซาร์ออกไป โดยมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน ปฏิวัติสำเร็จแล้วก็รีบไปถอนตัว เลิกร่วมท้ายจมหัวกับอังกฤษ ไม่ต้องมารบเยอรมัน พวกปฏิวัติบอกไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากเล่นบททำสงครามอยู่แล้ว มันเจ็บจริงตายจริงนะโว้ย แค่อยากปฏิวัติเป็นพระเอกเท่านั้น เยอรมันรบกับอังกฤษด้านเดียว โอกาสชนะของเยอรมันมีสูงกว่า หลังจากนั้น การเจรจาเข้าไปใน Baku ไม่น่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเยอรมันชนะ อังกฤษคงไม่มีโอกาสมาเสนอหน้าแถว Baku คงวุ่นอยู่กับการเลียแผลมากกว่า เยอรมันคิดสูตรนี้เองหรือ หรือมีใครช่วย อย่าลืมรัฐบาลเยอรมันใช้ใครเกือบทั้งตระกูล นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 8 (ตอนจบ) ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ยาก ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน น่าจะมีคนที่เขียนและกำกับบท ทั้งทางตรง และทางอ้อม เป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดสงคราม เกิดการปฏิวัติ และเป็นผลให้ 3 อาณาจักร หรือจักรวรรดิ์ใหญ่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี ล่มสลายในเวลาใกล้เคียงกัน ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย ดูเหมือนตระกูล Rothschild จะมีคุณสมบัติพร้อมกว่าเพื่อน ที่จะได้รับเกียรติ เป็นผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง โดยพิจารณาจากเรื่องราว ความสามารถ ความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญทุกตัวในละครลวงโลกเรื่องนี้ ใช่พวก Rothschild หรือไม่ และพวกเขาทำไปเพื่ออะไร เราคงต้องใช้ทฤษฏีเหตุจูงใจ (motive) ทำนองเดียวกับการพิสูจน์ความผิดของจำเลย มาช่วยวิเคราะห์ ในการพิจารณาข้อหาผู้ต้องสงสัยรายนี้ เหตุจูงใจ ประการแรก คือ ความโกรธแค้นซาร์แห่งรัสเซียและต้องการแก้แค้น จากเรื่องราวที่เล่ามา เหตุจูงใจประการนี้ ยากที่ผู้ต้องสงสัย จะปฏิเสธว่าไม่มี เหตุจูงใจ ประการที่สอง คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตามสันดานที่ต้องการสร้างโอกาสทำกำไร จากการทำสงครามของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดและจะทำให้ใครหายนะอย่างไร อันเป็นแนวการทำธุรกิจของตระกูล จากเรื่องราวที่เล่ามา Rothschild น่าจะแค่ยุซ้าย สั่งขวา พยักหน้าไม่กี่ที ก็มีแต่กำไรกับกำไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนดำเนินการ เพราะเขาจับมือ หรือควบคุมไว้ทุกฝ่าย เล่นไพ่ทุกใบ เหตุจูงใจประการนี้ ก็เช่นเดียวกับประการแรก นอกจากปฏิเสธยากแล้ว น้ำหนักจูงใจในประการนี้ ยังสูงมากด้วย แต่เหตุจูงใจที่น่าคิด น่าสนใจ คือเหตุจูงใจ ของความรู้สึกเบื้องลึกของ Rothschild ที่แอบซ่อนไว้ ด้วย อัตตา และตัณหา ของมนุษย์พันธุ์อย่างพวกเขา ที่ต้องการแสดงอิทธิพล และอำนาจ ให้โลกรู้ว่า แม้เขาจะเป็นเพียงพ่อค้าชาวยิว ไม่ได้เป็นเจ้านาย ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มีบัลลังค์ให้นั่ง ไม่มีประเทศให้ครอง เขาเป็นเพียงกา ไม่ใช่หงส์ แต่ด้วยความรวยล้นของทุน จึงสร้างอำนาจไว้ได้ทั่วทุกแห่ง ทุกระดับ ที่จะสามารถทำลายอาณาจักร หรือจักรวรรดิ ทั้งโลกได้ และอาณาจักรใหญ่ หรือจักรวรรดิ ที่เหลืออยู่ในโลกขณะนั้น 4 จักรวรรดิ จึงถูกกระทำให้จบสิ้นไปในเวลาใกล้เคียงกัน 3 จักรวรรดิ คือ ออตโตมาน เยอรมัน และรัสเซีย คงมีคนสงสัยว่า Rothschild ก็เป็นพวกเดียวกับเยอรมันมิใช่หรือ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนคิดทำลายเยอรมัน คำตอบคือ ตระกูล Rothschild อาศัยเกิดในเยอรมันก็จริง แต่พวกเขาอาจไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นชาวเยอรมัน ดูจากประวัติการทำธุรกิจของพวกเขา Rothschild น่าจะไม่เคยนึกถึงสัญชาติ และประเทศชาติ เขาคงไม่รู้จักเรื่องพวกนี้ เขาน่าจะรู้จักแต่การทำเงิน ทำกำไร กับการทำลายเท่านั้น เขาคงไม่ได้ผูกพันกับเยอรมัน เขาน่าจะแค่ “ใช้” เยอรมัน และก็คงมีคนสงสัยอีกว่า แล้วทำไม จักรวรรดิ หรือจักรภพของอังกฤษยังเหลืออยู่ล่ะ เพราะ Rothschild คิดว่า พวกเขาเป็นคนอังกฤษหรือไง ก็คงไม่ใช่อีก พวกเขาอยู่อังกฤษก็จริง แต่เขาก็คงไม่นับว่าตัวเองเป็นคนอังกฤษ เขาเป็น พวก Rothschild “ที่อยู่” ในอังกฤษเท่านั้น และที่เขาเก็บอังกฤษไว้ ก็ไม่น่าใช่เพราะนึกถึงบุญคุณ ที่อาศัยแผ่นดินชาวเกาะอยู่ ที่ยังเหลือจักรภพอังกฤษอยู่ (ในตอนนั้น) เขาคงแค่เก็บไว้ดูเล่น ให้หงส์เล่นบทตามที่กาเขียน กาน่าจะดูอย่างเพลินใจ แต่หงส์จะคิดอย่างไรคงเกินกว่าที่เราจะรู้ และถ้าดูกันเลยไปอีกนิด จักรภพอังกฤษ ก็ใช่ว่าไม่ย่อยยับ มีวันที่ดวงอาทิตย์ตกในจักรภพอังกฤษได้เหมือนกัน และก็เป็นผลจากสงครามโลก ที่อังกฤษสร้างขึ้นมาเองนั่นแหละ “กรรม” ยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหนีผลกรรมของตนเองพ้น สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 11 พ.ค. 2558 ( หมายเหตุ: มีใครอีกไหม ที่อยากได้ประโยชน์ หรือ อยากแสดงอานุภาพ หรือ อยากได้ความสะใจ และแอบมาร่วมเขียนบท และร่วมแสดงในละครลวงโลกแสนบัดซบนี้ น่าจะมี รออ่านตอนบทแถมแล้วกันครับ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 5

    คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย

    และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ

    แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที

    หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ

    Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์

    Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ
    ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน

    คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต

    เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 6

    Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2

    Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ

    ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส

    เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง

    ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว

    Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง

    เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ

    ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย
    แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว
    Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน

    Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน

    Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย

    วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ

    คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด

    “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    10 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 5 คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์ Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 6 Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 10 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • "พีระพันธุ์" เปิดงานลอยกระทง วัดรางบัว เขตภาษีเจริญ สืบสานประเพณี-น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ "สมเด็จพระพันปีหลวง"
    https://www.thai-tai.tv/news/22230/
    .
    #ไทยไท #พีระพันธุ์ #ลอยกระทง2568 #วัดรางบัว #รทสช. #สืบสานประเพณี
    "พีระพันธุ์" เปิดงานลอยกระทง วัดรางบัว เขตภาษีเจริญ สืบสานประเพณี-น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ "สมเด็จพระพันปีหลวง" https://www.thai-tai.tv/news/22230/ . #ไทยไท #พีระพันธุ์ #ลอยกระทง2568 #วัดรางบัว #รทสช. #สืบสานประเพณี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • นราพัฒน์ แก้วทอง เปิดใจซบ รทสช. ย้ำ "DNA ตรงกัน" ชูความเชี่ยวชาญกฎหมายของ พีระพันธุ์ เป็นกุญแจขับเคลื่อนนโยบาย
    https://www.thai-tai.tv/news/22228/
    .
    #ไทยไท #นราพัฒน์แก้วทอง #รวมไทยสร้างชาติ #ปุ๋ยสั่งตัด #เกษตรท่องเที่ยว #พีระพันธุ์
    นราพัฒน์ แก้วทอง เปิดใจซบ รทสช. ย้ำ "DNA ตรงกัน" ชูความเชี่ยวชาญกฎหมายของ พีระพันธุ์ เป็นกุญแจขับเคลื่อนนโยบาย https://www.thai-tai.tv/news/22228/ . #ไทยไท #นราพัฒน์แก้วทอง #รวมไทยสร้างชาติ #ปุ๋ยสั่งตัด #เกษตรท่องเที่ยว #พีระพันธุ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น”

    Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า

    แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า

    ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน

    สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก
    Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ
    อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก

    ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump
    Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia”
    เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI

    Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน
    รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน
    หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ

    การพัฒนาในอนาคต
    Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า
    เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน

    คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
    จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด
    มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา
    การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    🇺🇸🚫 “Blackwell สำหรับอเมริกาเท่านั้น! รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ย้ำชัด จีนต้องรอจนชิปตกยุค” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการแข่งขันระดับโลก สหรัฐฯ ยังคงเดินเกมควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง โดยล่าสุด Scott Bessent รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่สอดคล้องกับประธานาธิบดี Donald Trump ว่า “ชิป AI ระดับสูงสุดจาก Nvidia จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ภายในประเทศเท่านั้น” Bessent กล่าวผ่าน CNBC ว่า Blackwell — ชิป AI รุ่นล่าสุดจาก Nvidia — เป็น “อัญมณีแห่งเทคโนโลยี” และจะไม่ถูกส่งออกไปยังจีนจนกว่าจะตกยุค โดยอาจใช้เวลาราว 12–24 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัว Vera Rubin รุ่นถัดไปในปีหน้า แม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากทำเนียบขาว แต่คำพูดของ Bessent สะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดี และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการค้า ขณะเดียวกัน Nvidia ก็เตรียมเปิดตัวรุ่น “ลดสเปก” สำหรับจีนในชื่อ B30A ซึ่งจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากมีการขายในจีน ✅ สหรัฐฯ ยืนยันไม่ส่งออกชิป Blackwell ไปจีนในช่วงแรก ➡️ Scott Bessent ระบุว่า Blackwell จะถูกสงวนไว้ให้ใช้ในประเทศ ➡️ อาจใช้เวลาราว 12–24 เดือนก่อนจะอนุญาตให้ส่งออก ✅ ความเห็นสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี Trump ➡️ Trump เคยกล่าวว่า “จีนจะไม่ได้รับชิปที่ดีที่สุดจาก Nvidia” ➡️ เป็นการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อรักษาความได้เปรียบด้าน AI ✅ Nvidia เตรียมเปิดตัวรุ่นลดสเปกสำหรับจีน ➡️ รุ่น B30A มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่นมาตรฐาน ➡️ หากขายในจีน ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ✅ การพัฒนาในอนาคต ➡️ Blackwell จะถูกแทนที่ด้วย Vera Rubin ในปีหน้า ➡️ เมื่อ Blackwell ตกรุ่น อาจถูกอนุญาตให้ส่งออกไปยังจีน ‼️ คำเตือนด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ⛔ การจำกัดการส่งออกอาจกระทบต่อความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ⛔ จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนด้านการละเมิดข้อจำกัด ⛔ มีรายงานว่าชิป Blackwell ยังหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางสีเทา ⛔ การนำเข้าแบบผิดกฎหมายอาจสร้างความตึงเครียดทางการค้า https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/echoing-trumps-sentiments-americas-finance-chief-bessent-says-the-most-advanced-ai-gpus-are-restricted-to-home-soil-china-can-have-blackwell-chips-once-theyre-outdated
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 1

    ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน

    มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916

    ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม

    คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 2

    Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย

    Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี

    พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ

    House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน

    ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson
    ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E

    House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ

    เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา

    House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ

    ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม

    แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม

    มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 1 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 2 Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts