• “BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B” — ขยายศักยภาพศูนย์ข้อมูล AI สู่ 5GW ทั่วสหรัฐฯ

    กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและการเงินระดับโลก ได้แก่ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ของ Elon Musk ได้ร่วมมือกันเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ด้วยมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมกำลังโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง

    Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแบบ modular และระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีศูนย์ข้อมูลที่เปิดใช้งานแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา รวมกันกว่า 5 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ

    ดีลนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลที่รองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากบริษัทที่กำลังพัฒนาโมเดลภาษาและระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เช่น xAI และ Microsoft Azure

    การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยให้ Aligned สามารถขยายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix โดยเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนแบบ liquid-cooling เพื่อรองรับ GPU ที่มี TDP สูง

    BlackRock ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในดีลนี้ มองว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็น “สินทรัพย์ระยะยาว” ที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจ

    ข้อมูลในข่าว
    BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B
    Aligned มีศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ทั้งที่เปิดใช้งานและอยู่ระหว่างการพัฒนา
    ศูนย์ข้อมูลรองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่
    Aligned ใช้ระบบ modular และ liquid-cooling เพื่อรองรับ TDP สูง
    มีแผนขยายไปยังเมืองใหม่ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix
    เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง
    BlackRock มองว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
    ดีลนี้สะท้อนความต้องการศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/groups-including-blackrock-microsoft-nvidia-and-xai-join-forces-to-acquire-aligned-data-centers-usd40b-deal-delivers-5gw-of-operational-and-planned-data-center-capacity
    🏢 “BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B” — ขยายศักยภาพศูนย์ข้อมูล AI สู่ 5GW ทั่วสหรัฐฯ กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและการเงินระดับโลก ได้แก่ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ของ Elon Musk ได้ร่วมมือกันเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ด้วยมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมกำลังโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการประมวลผลขั้นสูง Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบแบบ modular และระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีศูนย์ข้อมูลที่เปิดใช้งานแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา รวมกันกว่า 5 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ดีลนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของศูนย์ข้อมูลที่รองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากบริษัทที่กำลังพัฒนาโมเดลภาษาและระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เช่น xAI และ Microsoft Azure การลงทุนครั้งนี้ยังช่วยให้ Aligned สามารถขยายศูนย์ข้อมูลไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix โดยเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนแบบ liquid-cooling เพื่อรองรับ GPU ที่มี TDP สูง BlackRock ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในดีลนี้ มองว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็น “สินทรัพย์ระยะยาว” ที่จะสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ BlackRock, Microsoft, NVIDIA และ xAI ร่วมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40B ➡️ Aligned มีศูนย์ข้อมูลรวมกว่า 5GW ทั้งที่เปิดใช้งานและอยู่ระหว่างการพัฒนา ➡️ ศูนย์ข้อมูลรองรับ GPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ ➡️ Aligned ใช้ระบบ modular และ liquid-cooling เพื่อรองรับ TDP สูง ➡️ มีแผนขยายไปยังเมืองใหม่ เช่น Chicago, Dallas, Salt Lake City และ Phoenix ➡️ เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง ➡️ BlackRock มองว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI เป็นสินทรัพย์ระยะยาว ➡️ ดีลนี้สะท้อนความต้องการศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/groups-including-blackrock-microsoft-nvidia-and-xai-join-forces-to-acquire-aligned-data-centers-usd40b-deal-delivers-5gw-of-operational-and-planned-data-center-capacity
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 13

    ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม

    หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC)

    สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง

    อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ

    อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก !
    ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย

    Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา

    Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater !

    ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย

    Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี

    ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi

    แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา
    หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ !

    ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ

    Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร

    ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว

    เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง !

    เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา !

    ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย

    สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว

    และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 13 ส่วนกองกำลังนอกระบบนั้น เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารเกณฑ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากอังกฤษและแถบยุโรป เมื่อปลดประจำการ แต่ยังติดใจรสชาติการต่อสู้อยู่ ก็พากันไปเป็นทหารรับจ้าง Mercenaries ในแถบอาฟริกา และเมืองต่างๆที่เคยเป็นอาณานิคม และดิ้นรนที่จะให้หลุดพ้นจากการปกครอง ของพวกนักล่าอาณานิคม หลังสงครามเย็นเลิก และเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ในปี ค.ศ.1991 เป็นต้นมา บรรดารัฐต่างๆ ที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต ต่างประกาศตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกับที่อเมริกา ก็เข้าไปแทรกแซงในการต่อสู้เพื่อเป็นอิสระของรัฐเหล่านั้น อเมริกาไม่ใช้กองทัพของตนเข้าไปทั้งหมด แต่ว่าจ้างให้กลุ่มนักรบเข้าไป ทำการแทน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวก Contractors ซึ่งทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Mercenaries นัก และเมื่อมีการเข้าไปสำรวจ ขุดเจาะ ทรัพยากรในตะวันออกกลาง อาฟริกา ลาตินอเมริกา ฯลฯ พวกที่เข้าไปสำรวจ ก็จ้างนักรบเข้าไปดูแลทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ของตนด้วย Contractors จึงมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกกันว่า Private Military Contractors หรือ (PMC) หรือ Private Security Contractors (PSC) สำหรับอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคาวบอย Bush, Clinton รวมถึง Obama ล้วนใช้บริการของ Contractors ทั้งสิ้น และที่น่าสนใจ สหประชาชาติเอง ในการส่งกองกำลังของสหประชาชาติ ไปดูแลความสงบในประเทศใดๆ ที่อ้างว่ามีทหารจากประเทศสมาชิกส่งไปนั้น ของจริงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Contractors ทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการปะทะกันรุนแรง อเมริกาเลือกใช้บริการของ Contractors เพื่อหลีกเลี่ยงการแถลงความจริงต่อสภาสูง เนื่องจากการส่งกองทัพไปประจำที่ใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง และที่สำคัญ การใช้ Contractors มี ความคล่องตัวในการย้ายกองกำลังและทุนที่ใช้ โดยใช้ผ่านงบลับต่างๆ ซึ่งอเมริกาชำนาญการเดินเรื่องแบบสีเทาใต้โต๊ะเช่นนี้อยู่แล้ว และหากมีปัญหาอะไร การเก็บกวาดง่ายกว่าเป็นกองทัพ อเมริกาส่งกองกำลัง Contractors ไปทุกแห่ง ทั้งแถบอดีตสหภาพโซเวียต อาฟริกา ลาติน อาฟกานิสถาน เอเซีย ตะวันออกกลาง สำหรับตะวันออกกลางนั้น มีรายงานบอกว่า เมื่อสมัยทำสงครามอ่าว อัตราส่วนระหว่างพลประจำกองทัพ กับพวก Contractors ประมาณ 1:50 แต่เมื่ออเมริกาเข้าไปปฏิบัติการในอิรัก และอาฟกานิสถาน จำนวนของ Contractors มีจำนวนมากกว่า จำนวนทหารในกองทัพเสียอีก ! ช่วงอเมริกาขยิ้อิรัก เขาว่าบริษัท Contractors งอก ขึ้นมาเป็นร้อย ในช่วงสูงสุดใช้ถึง 500 บริษัท มีทั้งบริษัทใหญ่ บริษัทย่อยและเป็นที่รู้กันว่า ในการรบ ปะทะ ยึดเมือง ทั้งหมด เกือบทุกรายการของอเมริกา ใช้ Contractors เป็นหัวเจาะนำเข้าไปก่อน และคุมพื้นที่ให้จนเรียบร้อย กองทัพตัวจริงจึงเข้ามา ดังนั้นความใหญ่ กร่าง และราคาของ Contractors จึงสูงขึ้นตามไปด้วย Contractors ส่วน ใหญ่ มีคนในรัฐบาลอเมริกันนั่นแหละ เป็นผู้มีส่วนจัดตั้ง ดูแล ส่งงานให้ และเป็นลูกพี่คุ้มหัวให้อีกต่อ เป็นธุรกิจมืดที่โด่งดัง มีอิทธิพล และราคาสูงจนน่าตกใจของอเมริกา Contractors ระดับ เจ้าพ่อของอเมริกา ที่สามารถระดมพลได้เป็นเรือนแสน และรับงานได้ทุกระดับความอันตราย ทุกพื้นที่ และเป็นเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ที่โด่งดัง มีอยู่ไม่เกิน 5 บริษัท หนึ่งในนั้นคือ Blackwater ! ผมเคยเล่าเรื่อง Blackwater ให้ฟังกันประมาณกลางปีนี้ ในบทความนิทาน “หวังว่าเป็นเพียงข่าวลือ” สำหรับท่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรือจำไม่ได้ ผมจะทบทวนให้ฟังเล็กน้อย Blackwater ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1997 โดยนาย Eric Prince ลูกเศรษฐีที่ชอบการต่อสู้ เขาเป็นอดีตนาวิกโยธิน และประจำหน่วย Seal ฝีมือดีของกองทัพอเมริกา Blackwater รับงานระดับจัดหนัก hardcore ทั้งสิ้น เช่น ปฎิบัติการที่ อาฟกานิสถาน อิรัก ลิเบีย ฯลฯ การเก็บผู้ก่อการร้ายสำคัญ ล้วนเป็นฝีมือของพวก Blackwater เป็นส่วนมาก ค่าจ้างของ Blackwater เป็นหลักพันล้านเหรียญขึ้นไป ธุรกิจของ Blackwaterไปได้สวยและโด่งดังมาก จน Blackwater ไปสะดุดหัวแม่เท้าของใครไม่ทราบ ปี ค.ศ.2009 ลูกน้องของเขาถูกจับและถูกสอบสวน กรณีทำให้ชาวบ้านตายที่อิรัก ส่วนตัวนาย Prince ถูกเล่นงานด้วยข้อหาหนีภาษี ข่าวบอกว่า Eric Prince ขายหุ้นใน Blackwater ทิ้งในปี ค.ศ.2010 และตัวเขาหลบไปอยู่ที่ Abu Dhabi บ้างก็ว่าไปอยู่ฮ่องกง ส่วน Blackwater เปลี่ยนผู้บริหารและเปลี่ยนชื่อเป็น Academi แต่นาย Eric Prince ไม่ได้ทิ้งงาน Contractors ไปจริงๆหรอก มีข่าวว่า เขาเข้าไปทำธุรกิจที่อาฟริกา ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Frontier Resource Group อ้างว่าเป็นการลงทุนด้าน infrastructure ใน อาฟริการ่วมกับบริษัทจีน แถบซูดาน คองโก และไนจีเรีย จริงๆก็คือไปดูแลธุรกิจของจีน และนักลงทุนจีน ที่เข้าไปอยู่กันเต็มในอาฟริกา ตั้งแต่ปี คศ 2000 เป็นต้นมา หลังจากนั้นก็มีข่าวทยอยมาอีกว่า Frontier ไม่ ได้รับงานแค่ 3 ประเทศ แต่ดูแลไปถึง เคนยา, แองโกลา, เอธิโอเปีย, แทนซาเนีย, ยูกานดา, พิทแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐอิสระอยู่ในโซมาเลีย ก็เกือบหมดอาฟริกานั่นแหละ ! ที่อาฟริกา Frontier ของนาย Eric Prince ทำงานร่วมกับ Contractors ระดับเจ้าพ่ออีกรายชื่อ บริษัท Saracen ซึ่งมีสำนักงานอยู่หลายแห่ง เช่นที่ South Africa และ Lebanon เจ้าของ Saracenเป็นใคร ข้อมูลบางรายบอกว่าเป็นของนาย Lafras Luitingh บ้าง บางรายก็บอกว่านาย Luitingh ก็เป็นคู่หูของนาย Eric Prince นั่นแหละ Saracen มีฐานสำคัญอยู่อีก 2 ที่ ที่หนึ่งคือ Somalia อีกที่หนึ่งคือ Kosovo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Poland ลองเดาดูกันมั่งครับ ว่ามีความหมายอย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัย ผมเล่าเรื่องนาย Eric Prince และ Frontier กับ Saracen ทำไมยืดยาว เมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ.2014 South China Morning Post ลงข่าวแบบไม่ตีปีบว่า หุ้น DVN Holding ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายJohnson Ko Chun-shun และ Citic Group ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีน ทะยานขึ้น 7.3% ตั้งแต่มีการตั้งนาย Eric Prince อดีตเจ้าของบริษัท Blackwater ที่อื้อฉาวเป็นประธานบริษัท DVN ยังให้ สิทธิ Option ในการซื้อหุ้นแก่นาย Eric อีกด้วย DVN เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ! เรื่องนี้คงไม่เป็นแค่ข่าวลือ เพราะ South China ลงข่าวอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.2014 ก็มีการแถลงข่าวที่อเมริกาว่า Academi (ชื่อใหม่ของ Blackwater ที่นาย Prince อ้างว่า ขายไปแล้ว) และบริษัท Contractors อีก 5 บริษัท ได้ควบรวมกับ Triple Canopy และตั้งเป็นบริษัท Contractors ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Constellis Holding ถือเป็นข่าวสะท้านวงการของพวกกองกำลังนอกระบบ และเสทือนไปถึงกองกำลังในระบบของอเมริกา ! ในวงการเขาเล่ากันว่า นาย Eric Prince นั้นคุมกองกำลังพวก Contractors ประมาณ 30 % ของ Contractors ทั้งหมด ส่วน Constellis คุมอีก 40% ที่เหลือน่าจะเป็นของ Dyn Corp (ซึ่งเป็นของพวกทหาร ที่ออกมาจากหน่วย Special Force เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ เป็นรุ่นแรกที่เป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่สมัยสงครามเย็น โดยเข้าไปใน Bosnia, Kosovo) และบริษัทรายย่อย สำหรับนาย Eric Prince คงชัดเจนว่าแปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วจากอเมริกา เขาเป็นผู้ชำนาญการแถบตะวันออกกลาง ถ้าดูระยะเวลาเมื่อดอก ISIS บาน ที่อิรักเมื่อกลางปี ค.ศ.2014 และพวกเสี่ยน้ำมันตะวันออกกลางกลุ่มซาอุดิ พยายามกดดันให้อเมริกาส่งกองกำลังไปจัดการ คงพอเป็นคำตอบได้ว่า อเมริกาจะเอากองกำลังนอกระบบที่ไหน ที่จะเข้าไปไล่จับ ISIS ในตะวันออกกลาง อย่างน้อยกองกำลังนอกระบบก็หายไปแล้ว 30% ที่เหลืออยู่ใช่ว่าจะอยู่ว่างๆเดินเล่น ต่างก็อาจติดภาระกิจที่ทำสัญญากันไว้แล้ว และถ้าปรากฏว่า Constellis Holding นั้น ก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเดียวกับนาย Eric Prince ด้วย แล้ว อเมริกาคงเหนื่อยแน่ ดูจากสีหน้าอันโทรมจัดของนายโอบามา ระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อไปโผล่หน้าที่แดนมังกร ฝืนยิ้มได้ฝืดตลอดรายการ ก็เกือบจะเชื่อแล้วว่ามีการย้ายฝั่งกันจริง นายโอบามาคงจะเดินเสียวสันหลังตลอดเวลาที่อยู่แดนมังกร ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อเมริกาจะแก้เกมอันนี้อย่างไรล่ะ ก็ต้องพึ่งกองกำลังในระบบคือกองทัพอย่างเดียว มิน่าเล่า นาย Chuck Hagel รัฐมนตรีกลาโหม ถึงได้ร้องเพลงถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้นายโอบามาบีบหรอกครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • “OpenAI จับมือ Arm” — พัฒนาชิป CPU สำหรับเร่งการประมวลผล AI ขนาด 10GW

    OpenAI กำลังเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา ด้วยการร่วมมือกับ Arm บริษัทออกแบบชิปชื่อดังที่อยู่ภายใต้ SoftBank เพื่อพัฒนา CPU แบบเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ที่จะทำงานร่วมกับชิปเร่งการประมวลผล AI ที่ OpenAI กำลังพัฒนาร่วมกับ Broadcom

    ชิปใหม่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบแร็ค AI ที่มีขนาดใหญ่ระดับ 10 กิกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 2026 และขยายการติดตั้งไปจนถึงปี 2029 โดย Broadcom จะเป็นผู้ผลิตชิปเร่งการประมวลผล (SoC) ที่เน้นงาน inference และใช้โรงงานของ TSMC ในการผลิต

    Arm ไม่ได้แค่ให้แบบแปลนสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังลงมือออกแบบและผลิต CPU ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดศูนย์ข้อมูล โดย CPU ที่ออกแบบใหม่นี้อาจถูกนำไปใช้ร่วมกับระบบของ Nvidia และ AMD ด้วย

    SoftBank ซึ่งถือหุ้นเกือบ 90% ใน Arm ได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI และซื้อเทคโนโลยี AI จาก OpenAI เพื่อเร่งการพัฒนาชิปของ Arm เอง

    เมื่อรวมกับข้อตกลงก่อนหน้านี้กับ Nvidia และ AMD โครงการชิปของ OpenAI จะมีขนาดรวมถึง 26GW ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในการก่อสร้างและจัดหาอุปกรณ์

    ความร่วมมือกับ Broadcom ยังช่วยให้ OpenAI มีอำนาจต่อรองกับ Nvidia มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ที่ยังคงถูกครองโดย H100 และ Blackwell

    ข้อมูลในข่าว
    OpenAI ร่วมมือกับ Arm เพื่อพัฒนา CPU สำหรับระบบ AI ขนาดใหญ่
    CPU จะทำงานร่วมกับชิปเร่งการประมวลผล AI ที่พัฒนาร่วมกับ Broadcom
    ระบบแร็ค AI มีขนาดเป้าหมายถึง 10GW และเริ่มผลิตปลายปี 2026
    Broadcom ใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตชิป SoC สำหรับ inference
    Arm ลงมือออกแบบและผลิต CPU เอง ไม่ใช่แค่ให้แบบแปลน
    SoftBank ลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI
    โครงการชิปของ OpenAI รวมแล้วมีขนาดถึง 26GW
    อาจใช้ CPU ร่วมกับระบบของ Nvidia และ AMD ได้
    ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของ OpenAI กับ Nvidia ในตลาด GPU

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การพัฒนา CPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
    หาก Broadcom และ TSMC ไม่สามารถผลิตได้ตามเป้า อาจกระทบต่อแผนของ OpenAI
    การพึ่งพาเทคโนโลยีเฉพาะจากผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    การแข่งขันกับ Nvidia ต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีและกำลังการผลิตที่มั่นคง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/openai-arm-partner-on-custom-cpu-for-broadcom-chip
    🔧 “OpenAI จับมือ Arm” — พัฒนาชิป CPU สำหรับเร่งการประมวลผล AI ขนาด 10GW OpenAI กำลังเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา ด้วยการร่วมมือกับ Arm บริษัทออกแบบชิปชื่อดังที่อยู่ภายใต้ SoftBank เพื่อพัฒนา CPU แบบเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ ที่จะทำงานร่วมกับชิปเร่งการประมวลผล AI ที่ OpenAI กำลังพัฒนาร่วมกับ Broadcom ชิปใหม่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบแร็ค AI ที่มีขนาดใหญ่ระดับ 10 กิกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 2026 และขยายการติดตั้งไปจนถึงปี 2029 โดย Broadcom จะเป็นผู้ผลิตชิปเร่งการประมวลผล (SoC) ที่เน้นงาน inference และใช้โรงงานของ TSMC ในการผลิต Arm ไม่ได้แค่ให้แบบแปลนสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังลงมือออกแบบและผลิต CPU ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดศูนย์ข้อมูล โดย CPU ที่ออกแบบใหม่นี้อาจถูกนำไปใช้ร่วมกับระบบของ Nvidia และ AMD ด้วย SoftBank ซึ่งถือหุ้นเกือบ 90% ใน Arm ได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI และซื้อเทคโนโลยี AI จาก OpenAI เพื่อเร่งการพัฒนาชิปของ Arm เอง เมื่อรวมกับข้อตกลงก่อนหน้านี้กับ Nvidia และ AMD โครงการชิปของ OpenAI จะมีขนาดรวมถึง 26GW ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในการก่อสร้างและจัดหาอุปกรณ์ ความร่วมมือกับ Broadcom ยังช่วยให้ OpenAI มีอำนาจต่อรองกับ Nvidia มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ที่ยังคงถูกครองโดย H100 และ Blackwell ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ OpenAI ร่วมมือกับ Arm เพื่อพัฒนา CPU สำหรับระบบ AI ขนาดใหญ่ ➡️ CPU จะทำงานร่วมกับชิปเร่งการประมวลผล AI ที่พัฒนาร่วมกับ Broadcom ➡️ ระบบแร็ค AI มีขนาดเป้าหมายถึง 10GW และเริ่มผลิตปลายปี 2026 ➡️ Broadcom ใช้โรงงาน TSMC ในการผลิตชิป SoC สำหรับ inference ➡️ Arm ลงมือออกแบบและผลิต CPU เอง ไม่ใช่แค่ให้แบบแปลน ➡️ SoftBank ลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานของ OpenAI ➡️ โครงการชิปของ OpenAI รวมแล้วมีขนาดถึง 26GW ➡️ อาจใช้ CPU ร่วมกับระบบของ Nvidia และ AMD ได้ ➡️ ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของ OpenAI กับ Nvidia ในตลาด GPU ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การพัฒนา CPU และระบบ AI ขนาดใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ⛔ หาก Broadcom และ TSMC ไม่สามารถผลิตได้ตามเป้า อาจกระทบต่อแผนของ OpenAI ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีเฉพาะจากผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ⛔ การแข่งขันกับ Nvidia ต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีและกำลังการผลิตที่มั่นคง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/openai-arm-partner-on-custom-cpu-for-broadcom-chip
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Report: Arm developing custom CPU for OpenAI's in-house accelerator — core IP would underpin 10GW of installed AI capacity
    The Information reports that Arm is developing a CPU for OpenAI’s custom Broadcom-built accelerator, part of a sweeping expansion plan.
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • “iPhone พับได้อาจถูกกว่าที่คิด — Foxconn ลดต้นทุนบานพับเหลือ $70 พร้อมเปิดทางสู่ยุคใหม่ของ Apple”

    Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone พับได้ในปี 2026 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือการลดต้นทุนของ “บานพับ” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนและมีผลต่อราคาของอุปกรณ์อย่างมาก จากรายงานล่าสุดพบว่า Foxconn และ Shin Zu Shing (SZS) ได้ร่วมมือกันพัฒนาและผลิตบานพับสำหรับ iPhone พับได้ โดยสามารถลดราคาต่อหน่วยลงเหลือเพียง $70–$80 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ $100–$120

    การลดต้นทุนนี้ไม่ได้เกิดจากการใช้วัสดุราคาถูก แต่เป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Foxconn ใช้กำลังการผลิตขนาดใหญ่และเทคนิคการประกอบที่แม่นยำ ทำให้สามารถรักษาคุณภาพและความทนทานของบานพับได้ในขณะที่ลดต้นทุนลง

    Apple ยังวางแผนใช้โครงสร้างตัวเครื่องแบบไฮบริดระหว่างอะลูมิเนียมและไทเทเนียม เพื่อให้มีความแข็งแรงแต่ยังคงน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอภายนอกขนาด 5.5 นิ้ว โดยมีการออกแบบบานพับให้ลดรอยพับ (crease) ให้เหลือน้อยที่สุด

    นอกจากนี้ Apple ยังควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด โดยให้ Foxconn และ SZS รับผิดชอบการผลิตบานพับกว่า 65% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 35% เป็นของ Amphenol และอาจมี Luxshare-ICT เข้ามาเสริมในปี 2027 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันและลดราคาลงอีกในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บานพับของ iPhone พับได้มีราคาลดลงเหลือ $70–$80 ต่อหน่วย
    เดิมเคยประเมินไว้ที่ $100–$120
    Foxconn และ SZS ร่วมกันผลิตบานพับ โดย Foxconn ถือหุ้นมากกว่า
    Apple ควบคุมคุณภาพผ่านการเลือกซัพพลายเออร์หลัก
    Amphenol รับผิดชอบอีก 35% ของคำสั่งผลิตบานพับ
    Luxshare-ICT อาจเข้าร่วมเป็นซัพพลายเออร์ในปี 2027
    iPhone พับได้จะมีหน้าจอ 7.8 นิ้วภายใน และ 5.5 นิ้วภายนอก
    ใช้โครงสร้างอะลูมิเนียม-ไทเทเนียมแบบไฮบริด
    บานพับถูกออกแบบให้ลดรอยพับให้เหลือน้อยที่สุด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    บานพับเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงและซับซ้อนที่สุดในอุปกรณ์พับได้
    Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    SZS มีความเชี่ยวชาญด้านชิ้นส่วนกลไก แต่อาจมีบทบาทน้อยกว่าหาก Foxconn ควบคุมการผลิต
    การใช้วัสดุไฮบริดช่วยให้ตัวเครื่องแข็งแรงแต่ยังคงน้ำหนักเบา
    การลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพเป็นกลยุทธ์สำคัญของ Apple ในการเข้าสู่ตลาดใหม่

    https://wccftech.com/foldable-iphone-hinge-cost-drop-foxconn-supplier-strategy/
    📱 “iPhone พับได้อาจถูกกว่าที่คิด — Foxconn ลดต้นทุนบานพับเหลือ $70 พร้อมเปิดทางสู่ยุคใหม่ของ Apple” Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone พับได้ในปี 2026 โดยมีจุดเด่นสำคัญคือการลดต้นทุนของ “บานพับ” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนและมีผลต่อราคาของอุปกรณ์อย่างมาก จากรายงานล่าสุดพบว่า Foxconn และ Shin Zu Shing (SZS) ได้ร่วมมือกันพัฒนาและผลิตบานพับสำหรับ iPhone พับได้ โดยสามารถลดราคาต่อหน่วยลงเหลือเพียง $70–$80 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ $100–$120 การลดต้นทุนนี้ไม่ได้เกิดจากการใช้วัสดุราคาถูก แต่เป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Foxconn ใช้กำลังการผลิตขนาดใหญ่และเทคนิคการประกอบที่แม่นยำ ทำให้สามารถรักษาคุณภาพและความทนทานของบานพับได้ในขณะที่ลดต้นทุนลง Apple ยังวางแผนใช้โครงสร้างตัวเครื่องแบบไฮบริดระหว่างอะลูมิเนียมและไทเทเนียม เพื่อให้มีความแข็งแรงแต่ยังคงน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอภายในขนาด 7.8 นิ้ว และหน้าจอภายนอกขนาด 5.5 นิ้ว โดยมีการออกแบบบานพับให้ลดรอยพับ (crease) ให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้ Apple ยังควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด โดยให้ Foxconn และ SZS รับผิดชอบการผลิตบานพับกว่า 65% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 35% เป็นของ Amphenol และอาจมี Luxshare-ICT เข้ามาเสริมในปี 2027 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันและลดราคาลงอีกในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บานพับของ iPhone พับได้มีราคาลดลงเหลือ $70–$80 ต่อหน่วย ➡️ เดิมเคยประเมินไว้ที่ $100–$120 ➡️ Foxconn และ SZS ร่วมกันผลิตบานพับ โดย Foxconn ถือหุ้นมากกว่า ➡️ Apple ควบคุมคุณภาพผ่านการเลือกซัพพลายเออร์หลัก ➡️ Amphenol รับผิดชอบอีก 35% ของคำสั่งผลิตบานพับ ➡️ Luxshare-ICT อาจเข้าร่วมเป็นซัพพลายเออร์ในปี 2027 ➡️ iPhone พับได้จะมีหน้าจอ 7.8 นิ้วภายใน และ 5.5 นิ้วภายนอก ➡️ ใช้โครงสร้างอะลูมิเนียม-ไทเทเนียมแบบไฮบริด ➡️ บานพับถูกออกแบบให้ลดรอยพับให้เหลือน้อยที่สุด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ บานพับเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงและซับซ้อนที่สุดในอุปกรณ์พับได้ ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ SZS มีความเชี่ยวชาญด้านชิ้นส่วนกลไก แต่อาจมีบทบาทน้อยกว่าหาก Foxconn ควบคุมการผลิต ➡️ การใช้วัสดุไฮบริดช่วยให้ตัวเครื่องแข็งแรงแต่ยังคงน้ำหนักเบา ➡️ การลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพเป็นกลยุทธ์สำคัญของ Apple ในการเข้าสู่ตลาดใหม่ https://wccftech.com/foldable-iphone-hinge-cost-drop-foxconn-supplier-strategy/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s Foldable iPhone Gets a Major Cost Advantage With a Cheaper Hinge
    Apple’s foldable iPhone could debut in 2026 with a lower hinge cost, hybrid frame, and improved durability through smarter production.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง
    นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง
    กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี)
    กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม
    นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane
    ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ!
    ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น
    SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด
    SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum
    ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี) กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ! ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก
    ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน
    อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง !
    บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ
    ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้
    อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน
    น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย
    แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ
    ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ
    แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง ! บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้ อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 213 Views 0 Reviews
  • EP 29

    SET พุ่ง +19.6
    ยินดีกับผู้ถือหุ้นถูกตัว ขอให้ได้กำไรกันทุกคน

    ติดตามหุ้นที่ซื้อ
    NER = 4.22 ปิตลาด 4.26 หุ้ยังคลาดอยู่

    ซื้อใหม่วันนี้
    SISB = 12.6 ปืตลาด 12.7
    VGI = 1.50 ปืตลาด 1.50
    TFG = 4.92 ปืตลาด 4.94

    วันพฤหัสหรือศุกร์ก็รู้มาถูกทางหรือไม่

    BY.
    EP 29 SET พุ่ง +19.6 ยินดีกับผู้ถือหุ้นถูกตัว ขอให้ได้กำไรกันทุกคน ติดตามหุ้นที่ซื้อ NER = 4.22 ปิตลาด 4.26 หุ้ยังคลาดอยู่ ซื้อใหม่วันนี้ SISB = 12.6 ปืตลาด 12.7 VGI = 1.50 ปืตลาด 1.50 TFG = 4.92 ปืตลาด 4.94 วันพฤหัสหรือศุกร์ก็รู้มาถูกทางหรือไม่ BY.
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 0 Reviews
  • “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 1
อังกฤษเข้าไปวุ่นอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ช่วงที่อังกฤษบอกว่าเป็นเวลานาทีทองของอังกฤษ หรือที่อังกฤษเรียกว่าเป็น “moment” ของตนเองในตะวันออกกลาง คือช่วง ค.ศ. 1914-1956 จักรภพอังกฤษในตะวันออกกลาง เริ่มตั้งแต่คลองสุเอช ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย
    ออตโตมานเป็นบริเวณใหญ่ และถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับอังกฤษในตะวันออกกลางในช่วงแรก เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ สำหรับดักหน้า ดักหลัง ไม่ให้ใครเข้าไปสู่อินเดีย กล่องดวงใจของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษคิดตลอดเวลาว่า ทุกชาติ คิดจะชิงอินเดียไปจากอังกฤษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือเยอรมัน
    อีกบริเวณหนึ่งที่อังกฤษถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ อียิปต์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน
    อียิปต์เป็นเมืองท่าสำคัญ อยู่ระหว่างเส้นทางเดินของการค้าระหว่างยุโรป กับ เอเซีย พ่อค้าชาวอังกฤษทำการขนถ่ายสินค้า ที่แถวท่าน้ำของอาณาจักรออตโตมานส่วนนี้ มาเป็นเวลาหลายชั่วคนแล้ว เช่นเดียวกันกับทุกเมืองในแถบนี้ อังกฤษเอาอียิปต์ไปโยงกับอินเดีย เพราะอียิปต์เป็นเส้นทางที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพล และชอบใช้ ฝรั่งเศสอาจใช้อียิปต์เป็นเส้นทางไปถึงอินเดียได้ นี่ก็เป็นอาการที่หลอนอังกฤษ ในเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แต่ไม่ได้เป็นการหลอนแบบเพ้อ เพราะฝรั่งเศสมาจริง
    ค.ศ. 1728 นโปเลียนยกทัพมาลองเชิงอังกฤษที่อียิปต์ นโปเลียนตีกองทัพของ Mameluk ผู้ครองนครอียิปต์แตกกระเจิงอ ยู่หน้าปิรามิด อังกฤษถึงกับสดุ้งเฮือก เหงื่อแตกซิก นึกไม่ถึงว่าคู่หู คู่กัด จะกล้าดี บุกเข้ามาทีเผลอ บังเอิญกองทัพเรือของอังกฤษยังพอมีอยู่แถวนั้น ท่านหลอด Nelson จึงยกทัพเรือไปขู่ กองทัพเรือของฝรั่งเศสที่อ่าว Abourkir ฝรั่งเศสถอยไม่ออก เดินหน้าไม่ได้ ถูกล้อมอยู่ในอ่าว ในที่สุดนโปเลียนตัดสินใจสละเรือ ยกพลขึ้นบก เดินเท้าแบบหงอย ๆ กลับฝรั่งเศส อีกแล้ว ฝรั่งเศส ! ขู่ได้แต่กับสมันน้อยเท่านั้น หรือไง !
    ผลของการที่ฝรั่งเศสแอบจะมาตีท้ายครัว อังกฤษจึงฉวยโอกาสทิ้งกองทัพไว้ที่อียิปต์เต็มเมือง อียิปต์จึงดูเหมือนอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา แต่การสู้รบระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์ และที่อียิปต์จะเอาตัวให้รอด ก็มีอยู่ตลอดเวลา
    ในที่สุดปี ค.ศ. 1904 อังกฤษและฝรั่งเศส คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง เสียเวลาล่าเหยื่ออื่น เลยทำข้อตกลง แบ่งสมบัติแถบนั้นระหว่างกัน อียิปต์ตกลงยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสยึดครอง มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย แถบนั้นไป
    เรื่องแย่งชามข้าว ดูเหมือนจะจบ แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังมีเรื่องคลองสุเอชค้างอยู่ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายริเริ่มให้ขุดคลองสุเอช โดยอังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วม และคิดว่าการขุดคลองภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ แต่อียิปต์และฝรั่งเศสก็ทำสำเร็จ
    ในที่สุดเมื่อคลองสุเอชเสร็จ เปิดกิจการในปี ค.ศ. 1869 อังกฤษเริ่มตาร้อน มันย่นเส้นเดินทาง จากลอนดอนไปบอมเบย์ ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คลองสุเอชควบคุมโดย Khedive ผู้ครองนครและฝรั่งเศส อังกฤษจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อังกฤษต้องรีบตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว
    เมื่อรู้ว่า พวก Khedive มีหนี้ท่วมหัว จากการขุดคลองสุเอชตามที่ฝรั่งเศสแนะนำ หมดปัญญาชำระหนี้ อังกฤษโยนเงินกระสอบใหญ่ให้ Khedive ขอซื้อหุ้น Suez Canal Company คนมีหนี้กำลังหน้ามืด ไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน Khedive ยอมให้อังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
    ความรวดเร็วของอังกฤษ ในการปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอช เหมือนดึงอาหารออกจากปากฝรั่งเศสขณะกำลังเคี้ยว ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับอ้าปากค้าง ต้องตบปากตัวเองถึงจะหุบได้ อังกฤษเอาเงินมาจากไหนรวดเร็ว อ้อ นายทุนใหญ่ Rothschild เป็นผู้ให้รัฐบาลอังกฤษยืม อืม…
    แต่อียิปต์ก็เหมือนตะกร้าก้นรั่ว ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่พอเอามาใช้เลี้ยงประเทศ ต้องเอาไปใช้หนี้ เศรษฐกิจของอียิปต์ทำท่าจะไหลไปกับแม่น้ำไนล์ ไม่กี่ปีก็ต้องแบกหน้าไปหาเงินกู้ใหม่อีก อังกฤษกับฝรั่งเศสก็เลยทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแล จัดการหาเงินกู้ให้ ช่วงนี้อียิปต์เลยเหมือนเป็นอาณานิคม ที่มีนายเหนือ 2 คน ผลัดกันทึ้ง
    แต่หนี้อียิปต์ก็ยังงอกต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุด Khedive ถูกบังคับให้สละบังลังก์และเอา Tawfiq ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน และ ค.ศ. 1882 โดยกองทัพอียิปต์นำโดย Arabi Pasha ก็ทำการยึดอำนาจ ความไม่สงบเกิดขึ้นในอียิปต์ กองทัพคุมไม่อยู่ อังกฤษบอก ไม่เป็นไร ไอคุมให้เอง อังกฤษเข้าไปจัดการ เก็บกวาด กองทัพและพวกยึดอำนาจ จนสะอาด เรียบร้อย และครอบครองอียิปต์สมบูรณ์เหมือนเป็นอาณานิคม ตั้งแต่บัดนั้น โดยไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามามีส่วนร่วม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 1
อังกฤษเข้าไปวุ่นอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่ช่วงที่อังกฤษบอกว่าเป็นเวลานาทีทองของอังกฤษ หรือที่อังกฤษเรียกว่าเป็น “moment” ของตนเองในตะวันออกกลาง คือช่วง ค.ศ. 1914-1956 จักรภพอังกฤษในตะวันออกกลาง เริ่มตั้งแต่คลองสุเอช ยาวไปจนถึงอ่าวเปอร์เซีย ออตโตมานเป็นบริเวณใหญ่ และถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับอังกฤษในตะวันออกกลางในช่วงแรก เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ สำหรับดักหน้า ดักหลัง ไม่ให้ใครเข้าไปสู่อินเดีย กล่องดวงใจของอังกฤษ ซึ่งอังกฤษคิดตลอดเวลาว่า ทุกชาติ คิดจะชิงอินเดียไปจากอังกฤษทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซียหรือเยอรมัน อีกบริเวณหนึ่งที่อังกฤษถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ อียิปต์ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน อียิปต์เป็นเมืองท่าสำคัญ อยู่ระหว่างเส้นทางเดินของการค้าระหว่างยุโรป กับ เอเซีย พ่อค้าชาวอังกฤษทำการขนถ่ายสินค้า ที่แถวท่าน้ำของอาณาจักรออตโตมานส่วนนี้ มาเป็นเวลาหลายชั่วคนแล้ว เช่นเดียวกันกับทุกเมืองในแถบนี้ อังกฤษเอาอียิปต์ไปโยงกับอินเดีย เพราะอียิปต์เป็นเส้นทางที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพล และชอบใช้ ฝรั่งเศสอาจใช้อียิปต์เป็นเส้นทางไปถึงอินเดียได้ นี่ก็เป็นอาการที่หลอนอังกฤษ ในเวลาทั้งหลับทั้งตื่น แต่ไม่ได้เป็นการหลอนแบบเพ้อ เพราะฝรั่งเศสมาจริง ค.ศ. 1728 นโปเลียนยกทัพมาลองเชิงอังกฤษที่อียิปต์ นโปเลียนตีกองทัพของ Mameluk ผู้ครองนครอียิปต์แตกกระเจิงอ ยู่หน้าปิรามิด อังกฤษถึงกับสดุ้งเฮือก เหงื่อแตกซิก นึกไม่ถึงว่าคู่หู คู่กัด จะกล้าดี บุกเข้ามาทีเผลอ บังเอิญกองทัพเรือของอังกฤษยังพอมีอยู่แถวนั้น ท่านหลอด Nelson จึงยกทัพเรือไปขู่ กองทัพเรือของฝรั่งเศสที่อ่าว Abourkir ฝรั่งเศสถอยไม่ออก เดินหน้าไม่ได้ ถูกล้อมอยู่ในอ่าว ในที่สุดนโปเลียนตัดสินใจสละเรือ ยกพลขึ้นบก เดินเท้าแบบหงอย ๆ กลับฝรั่งเศส อีกแล้ว ฝรั่งเศส ! ขู่ได้แต่กับสมันน้อยเท่านั้น หรือไง ! ผลของการที่ฝรั่งเศสแอบจะมาตีท้ายครัว อังกฤษจึงฉวยโอกาสทิ้งกองทัพไว้ที่อียิปต์เต็มเมือง อียิปต์จึงดูเหมือนอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตั้งแต่นั้นมา แต่การสู้รบระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อแย่งชิงอียิปต์ และที่อียิปต์จะเอาตัวให้รอด ก็มีอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดปี ค.ศ. 1904 อังกฤษและฝรั่งเศส คงเหนื่อยที่จะกัดกันเอง เสียเวลาล่าเหยื่ออื่น เลยทำข้อตกลง แบ่งสมบัติแถบนั้นระหว่างกัน อียิปต์ตกลงยังเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ภายใต้การยึดครองของอังกฤษ ส่วนฝรั่งเศสยึดครอง มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย แถบนั้นไป เรื่องแย่งชามข้าว ดูเหมือนจะจบ แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังมีเรื่องคลองสุเอชค้างอยู่ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายริเริ่มให้ขุดคลองสุเอช โดยอังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วม และคิดว่าการขุดคลองภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ไม่น่าจะเป็นผลสำเร็จ แต่อียิปต์และฝรั่งเศสก็ทำสำเร็จ ในที่สุดเมื่อคลองสุเอชเสร็จ เปิดกิจการในปี ค.ศ. 1869 อังกฤษเริ่มตาร้อน มันย่นเส้นเดินทาง จากลอนดอนไปบอมเบย์ ให้สั้นขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่าย แต่คลองสุเอชควบคุมโดย Khedive ผู้ครองนครและฝรั่งเศส อังกฤษจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ อังกฤษต้องรีบตัดสินใจดำเนินการอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่า พวก Khedive มีหนี้ท่วมหัว จากการขุดคลองสุเอชตามที่ฝรั่งเศสแนะนำ หมดปัญญาชำระหนี้ อังกฤษโยนเงินกระสอบใหญ่ให้ Khedive ขอซื้อหุ้น Suez Canal Company คนมีหนี้กำลังหน้ามืด ไม่หันหน้าหนีกระสอบเงิน Khedive ยอมให้อังกฤษเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ความรวดเร็วของอังกฤษ ในการปฏิบัติการยึดหุ้นคลองสุเอช เหมือนดึงอาหารออกจากปากฝรั่งเศสขณะกำลังเคี้ยว ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับอ้าปากค้าง ต้องตบปากตัวเองถึงจะหุบได้ อังกฤษเอาเงินมาจากไหนรวดเร็ว อ้อ นายทุนใหญ่ Rothschild เป็นผู้ให้รัฐบาลอังกฤษยืม อืม… แต่อียิปต์ก็เหมือนตะกร้าก้นรั่ว ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ไม่พอเอามาใช้เลี้ยงประเทศ ต้องเอาไปใช้หนี้ เศรษฐกิจของอียิปต์ทำท่าจะไหลไปกับแม่น้ำไนล์ ไม่กี่ปีก็ต้องแบกหน้าไปหาเงินกู้ใหม่อีก อังกฤษกับฝรั่งเศสก็เลยทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแล จัดการหาเงินกู้ให้ ช่วงนี้อียิปต์เลยเหมือนเป็นอาณานิคม ที่มีนายเหนือ 2 คน ผลัดกันทึ้ง แต่หนี้อียิปต์ก็ยังงอกต่อไปเรื่อย ๆ ในที่สุด Khedive ถูกบังคับให้สละบังลังก์และเอา Tawfiq ลูกชายขึ้นมาเป็นผู้ครองนครแทน และ ค.ศ. 1882 โดยกองทัพอียิปต์นำโดย Arabi Pasha ก็ทำการยึดอำนาจ ความไม่สงบเกิดขึ้นในอียิปต์ กองทัพคุมไม่อยู่ อังกฤษบอก ไม่เป็นไร ไอคุมให้เอง อังกฤษเข้าไปจัดการ เก็บกวาด กองทัพและพวกยึดอำนาจ จนสะอาด เรียบร้อย และครอบครองอียิปต์สมบูรณ์เหมือนเป็นอาณานิคม ตั้งแต่บัดนั้น โดยไม่ให้ฝรั่งเศสเข้ามามีส่วนร่วม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 320 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7”
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย
    สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน
    เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส
    เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย
    นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย
    ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร
    อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้
    งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 7” สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของผู้ดูละคร หรือแม้แต่ผู้ร่วมเล่นละครสงครามฉากนี้ด้วยกัน ก็อาจจะไม่รู้ว่า สงครามโลกนั้น มันเป็นฉากบังหน้าของการเข้าไปแย่งชิงน้ำมัน มันเป็นสงครามชิงน้ำมันครั้งแรก และแน่นอนไม่ใช่ครั้งสุดท้าย น้ำมันจึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ที่ตัดสินการแพ้ชนะของสงครามโลกครั้งนั้น และในสงครามโลกครั้งต่อๆไป อีกด้วยเช่นกัน

ในระหว่างที่ทำสงครามช่วง ค.ศ. 1914 ถึง 1918 กองทัพทั้ง 2 ฝ่าย ต่างวางแผนที่จะเข้าไปชิงน้ำมัน เพื่อเอามาใช้ในการต่อสู้ เยอรมันสั่งผนึกท่อส่งน้ำมันในพวกตัวเองผ่านรูมาเนีย และการรบที่ Dardanelles ก็เป็นสนามรบที่มุ่งหมายจะชิงน้ำมันกันทั้ง 2 ฝ่าย สำหรับด้านออตโตมานและเยอรมัน Dardanelles เป็นทางไปสู่รัสเซีย ที่มีน้ำมันอยู่ที่ Baku ปิดช่องทางนี้ อังกฤษก็ขึ้นไปเอาน้ำมันไม่ได้ รัสเซียก็เอาน้ำมันลงมาส่งพรรคพวกไม่ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับอังกฤษ ก็หวังทะลวงผ่านช่องทางนี้ เพื่อไปเอาน้ำมันที่รัสเซีย และสกัดการควบคุมของออตโตมาน เยอรมัน ดังนั้นการสู้รบที่ Dardanelles จึงเข้มข้นสาหัส เมื่ออังกฤษผ่านด่าน Dardanelles ไม่ได้ เหยื่อที่ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ จึงเป็นพวกอาหรับของ Sharif of Hejaz ที่ถูกหลอกให้มาตายแทนพวกฝรั่ง ที่พวกเขานึกว่าจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา จากการปกครองของพวกเตอร์ก ที่พวกเขาแสนจะระอา แต่มันคงเจ็บช้ำหนักหนาสาหัสกว่า ถ้าพวกอาหรับรู้ว่า พวกเขาถูกหลอกให้มารบแทน และตายแทน พวกนักล่าอาณานิคม ที่กำลังจะมาขโมยน้ำมัน ทรัพยากรอันมีค่าที่เลี้ยงชีวิตพวกเขาด้วยซ้ำ มันเป็นการหลอกลวง ที่ผลของมันทำลายยิ่งกว่าความฝัน แต่เป็นการทำลายให้หัวใจสลายไปด้วย นอกเหนือจากการทำลาย และการเฉือนอาณาจักรออตโตมาน แบ่งกันเองในระหว่างผู้ชนะแล้ว ในการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง อังกฤษยังต้มคู่หู คู่กัด ที่หลอกมาให้ช่วยรบ คือ ฝรั่งเศส จนเปื่อยยุ่ยอีกด้วย ตามสัญญาสุดชั่ว Sykes-Picot ฝรั่งเศสจะต้องได้ Mosul แหล่งน้ำมันใหญ่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปด้วย ก็ Mosul ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ใน CNN ทุกวัน ๆ ละ 24 ชั่วโมงนั่นแหละ ซึ่งตอนนั้นได้มีการให้สัมปทานน้ำมันแก่ Turkish Petroleum ซึ่งถือหุ้นโดย Deutsche Bank ไปแล้ว มาบัดนี้เป็นที่ประจักษ์เกินชัด แล้วว่า Mosul นั้นอุดมน้ำมัน ขนาดไหน ตอนนี้ใครกำลังแย่งชิงกับใคร อย่างได้หลงประเด็นเกี่ยวกับ Mosul ที่ CNN กำลังย้อมสีข่าวเป็นอันขาดเชียว
อังกฤษกลับไปต่อรองกับฝรั่งเศสใหม่ใน ค.ศ. 1918 ขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังโทรมจัดจากการรบ อังกฤษก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพที่ ดีกว่า แต่เพื่อฉากสำคัญ ลงทุนรบมา 4 ปี เตรียมตัวล่วงหน้ามาหลายปี ก็เพื่อจะมาเอารางวัลใหญ่ ที่ชื่อ Mosul นี่แหละ จะให้หลุดมือได้อย่างไร อังกฤษใช้บทเดิมกับฝรั่งเศษ เรื่อง Mosul อังกฤษบอก ที่ฝรั่งเศส เลือก Mosul ไว้น่ะ มันเป็นถิ่นที่ยังไม่เจริญนะ ไม่เหมือนซีเรีย ถึงมีข่าวว่ามีน้ำมัน ก็แสนจะเลื่อนลอย เพื่อนกำลังผอมโซอย่างนี้ เอาอะไรที่มันแน่นอน จากเยอรมันไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องลงแรงมาก เราจะช่วยสนับสนุน ถ้าฝรั่งเศสไม่เอา Mosul เราจะยอมลงแรงขุดหาน้ำมันให้เอง และถ้าโชคดีเจอ เราจะแบ่งรายได้ จากการขุดน้ำมันให้ งานข่าวกรองของฝรั่งเศส คงจะทำงานสู้ของอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งเศสเสียค่าโง่ตามเคย ยอมยก Mosul ให้อังกฤษ ถึง 100 ปีผ่านไป ฝรั่งเศสก็คงยังไม่หายกระอักโลหิต ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4”
    ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน
    เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย
    อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร
    มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ !
    อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) !
    อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้
    แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ !
    ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน
    ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่
    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ
    ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง
    ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ
    การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน
    อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ
    อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4” ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ ! อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) ! อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้ แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ ! ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • “GPU มูลค่า 568 ล้านดอลลาร์ถูกใช้ขุดคริปโตแทนฝึก AI — EU สอบสวน Northern Data ฐานเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน”

    ยุโรปกำลังสั่นสะเทือน เมื่อหน่วยงานอัยการของสหภาพยุโรป (EPPO) เปิดการสอบสวนบริษัท Northern Data AG จากเยอรมนี หลังพบว่า GPU ประสิทธิภาพสูงกว่า 10,000 ตัวที่ซื้อมาในนามการลงทุนด้าน AI อาจถูกนำไปใช้ขุดคริปโตแทน ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สวีเดนมอบให้กับธุรกิจ AI

    ในปี 2023 Northern Data ได้ซื้อ Nvidia H100 GPU มูลค่ารวมกว่า €400 ล้าน โดยได้รับการยกเว้น VAT ประมาณ €100 ล้านจากนโยบายสนับสนุน AI ของสวีเดน แต่หลังจากนโยบายเปลี่ยนไปในปีเดียวกัน โดยยกเลิกสิทธิประโยชน์สำหรับธุรกิจขุดคริปโต บริษัทจึงหันมาอ้างว่าใช้ GPU เหล่านี้เพื่อการประมวลผล AI

    อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่า GPU เหล่านี้อาจถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลที่เคยใช้ขุดคริปโตมาก่อน และมีพฤติกรรมที่ส่อว่าไม่ได้ใช้เพื่อฝึกโมเดล AI จริง ๆ ซึ่งนำไปสู่การสอบสวนในข้อหาเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน โดยมีการบุกค้นสำนักงานในแฟรงก์เฟิร์ตและโบเดน พร้อมควบคุมตัวบุคคล 4 ราย และสอบสวนพนักงานระดับสูงในสวีเดน

    ที่น่าสนใจคือ H100 GPU ไม่เหมาะกับการขุดคริปโตเลย — ราคาสูงมาก, ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำ และไม่รองรับอัลกอริธึมที่ใช้ใน Bitcoin หรือ Ethereum หลังปี 2022 ซึ่งทำให้ข้อกล่าวหานี้ดูขัดแย้งกับหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน แต่หากบริษัทมี GPU เหล่านี้อยู่แล้วและมีไฟราคาถูก ก็อาจใช้ขุดเหรียญเล็ก ๆ แบบฉวยโอกาสได้

    Northern Data ยืนยันว่าโครงสร้างพื้นฐานของตนถูกใช้เพื่อ cloud computing เท่านั้น และปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาฟอกเงิน ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า Tether ซึ่งเป็นเจ้าของหลักของ Northern Data กำลังเจรจาขอซื้อกิจการผ่านดีลหุ้นมูลค่ากว่า 1.17 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Northern Data ถูกสอบสวนฐานเลี่ยงภาษีและฟอกเงินจากการใช้ GPU ผิดวัตถุประสงค์
    ซื้อ Nvidia H100 จำนวน 10,000 ตัว มูลค่ารวม €400 ล้าน พร้อมรับสิทธิยกเว้น VAT €100 ล้าน
    GPU ถูกอ้างว่าใช้เพื่อ AI แต่ถูกสงสัยว่าใช้ขุดคริปโตแทน
    EPPO บุกค้นสำนักงานในแฟรงก์เฟิร์ตและโบเดน พร้อมควบคุมตัว 4 ราย
    สอบสวนพนักงานระดับสูงในสวีเดน และตรวจสอบ 3 บริษัทลูกระหว่างปี 2021–2024
    Northern Data เคยมีประวัติใช้ GPU ขุด Ethereum ก่อนที่ระบบจะเปลี่ยนในปี 2022
    บริษัทยืนยันว่าใช้ GPU เพื่อ cloud computing และไม่ตอบข้อกล่าวหาฟอกเงิน
    Tether เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีข่าวว่า Rumble กำลังเจรจาซื้อกิจการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    H100 GPU ถูกออกแบบเพื่องาน AI เช่น training LLMs และไม่เหมาะกับการขุดคริปโต
    อัลกอริธึมขุดคริปโต เช่น SHA-256 และ Ethash ใช้การประมวลผลแบบ integer ไม่ใช่ tensor
    ASIC คืออุปกรณ์ที่เหมาะกับการขุด Bitcoin มากกว่า GPU
    Ethereum เปลี่ยนเป็น proof-of-stake ในปี 2022 ทำให้ GPU ไม่จำเป็นอีกต่อไป
    การใช้ GPU ขุดเหรียญเล็ก ๆ อาจทำได้ในระยะสั้น หากมีไฟราคาถูกและอุปกรณ์ว่าง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd568-million-of-gpus-allegedly-misused-for-crypto-mining-caught-in-tax-evasion-and-money-laundering-probe-eu-claims-10-000-nvidia-h100-units-acquired-by-northern-data-may-not-have-been-used-for-ai
    💸 “GPU มูลค่า 568 ล้านดอลลาร์ถูกใช้ขุดคริปโตแทนฝึก AI — EU สอบสวน Northern Data ฐานเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน” ยุโรปกำลังสั่นสะเทือน เมื่อหน่วยงานอัยการของสหภาพยุโรป (EPPO) เปิดการสอบสวนบริษัท Northern Data AG จากเยอรมนี หลังพบว่า GPU ประสิทธิภาพสูงกว่า 10,000 ตัวที่ซื้อมาในนามการลงทุนด้าน AI อาจถูกนำไปใช้ขุดคริปโตแทน ซึ่งขัดต่อเงื่อนไขการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สวีเดนมอบให้กับธุรกิจ AI ในปี 2023 Northern Data ได้ซื้อ Nvidia H100 GPU มูลค่ารวมกว่า €400 ล้าน โดยได้รับการยกเว้น VAT ประมาณ €100 ล้านจากนโยบายสนับสนุน AI ของสวีเดน แต่หลังจากนโยบายเปลี่ยนไปในปีเดียวกัน โดยยกเลิกสิทธิประโยชน์สำหรับธุรกิจขุดคริปโต บริษัทจึงหันมาอ้างว่าใช้ GPU เหล่านี้เพื่อการประมวลผล AI อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่า GPU เหล่านี้อาจถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลที่เคยใช้ขุดคริปโตมาก่อน และมีพฤติกรรมที่ส่อว่าไม่ได้ใช้เพื่อฝึกโมเดล AI จริง ๆ ซึ่งนำไปสู่การสอบสวนในข้อหาเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน โดยมีการบุกค้นสำนักงานในแฟรงก์เฟิร์ตและโบเดน พร้อมควบคุมตัวบุคคล 4 ราย และสอบสวนพนักงานระดับสูงในสวีเดน ที่น่าสนใจคือ H100 GPU ไม่เหมาะกับการขุดคริปโตเลย — ราคาสูงมาก, ประสิทธิภาพต่อวัตต์ต่ำ และไม่รองรับอัลกอริธึมที่ใช้ใน Bitcoin หรือ Ethereum หลังปี 2022 ซึ่งทำให้ข้อกล่าวหานี้ดูขัดแย้งกับหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน แต่หากบริษัทมี GPU เหล่านี้อยู่แล้วและมีไฟราคาถูก ก็อาจใช้ขุดเหรียญเล็ก ๆ แบบฉวยโอกาสได้ Northern Data ยืนยันว่าโครงสร้างพื้นฐานของตนถูกใช้เพื่อ cloud computing เท่านั้น และปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาฟอกเงิน ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า Tether ซึ่งเป็นเจ้าของหลักของ Northern Data กำลังเจรจาขอซื้อกิจการผ่านดีลหุ้นมูลค่ากว่า 1.17 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Northern Data ถูกสอบสวนฐานเลี่ยงภาษีและฟอกเงินจากการใช้ GPU ผิดวัตถุประสงค์ ➡️ ซื้อ Nvidia H100 จำนวน 10,000 ตัว มูลค่ารวม €400 ล้าน พร้อมรับสิทธิยกเว้น VAT €100 ล้าน ➡️ GPU ถูกอ้างว่าใช้เพื่อ AI แต่ถูกสงสัยว่าใช้ขุดคริปโตแทน ➡️ EPPO บุกค้นสำนักงานในแฟรงก์เฟิร์ตและโบเดน พร้อมควบคุมตัว 4 ราย ➡️ สอบสวนพนักงานระดับสูงในสวีเดน และตรวจสอบ 3 บริษัทลูกระหว่างปี 2021–2024 ➡️ Northern Data เคยมีประวัติใช้ GPU ขุด Ethereum ก่อนที่ระบบจะเปลี่ยนในปี 2022 ➡️ บริษัทยืนยันว่าใช้ GPU เพื่อ cloud computing และไม่ตอบข้อกล่าวหาฟอกเงิน ➡️ Tether เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีข่าวว่า Rumble กำลังเจรจาซื้อกิจการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ H100 GPU ถูกออกแบบเพื่องาน AI เช่น training LLMs และไม่เหมาะกับการขุดคริปโต ➡️ อัลกอริธึมขุดคริปโต เช่น SHA-256 และ Ethash ใช้การประมวลผลแบบ integer ไม่ใช่ tensor ➡️ ASIC คืออุปกรณ์ที่เหมาะกับการขุด Bitcoin มากกว่า GPU ➡️ Ethereum เปลี่ยนเป็น proof-of-stake ในปี 2022 ทำให้ GPU ไม่จำเป็นอีกต่อไป ➡️ การใช้ GPU ขุดเหรียญเล็ก ๆ อาจทำได้ในระยะสั้น หากมีไฟราคาถูกและอุปกรณ์ว่าง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/usd568-million-of-gpus-allegedly-misused-for-crypto-mining-caught-in-tax-evasion-and-money-laundering-probe-eu-claims-10-000-nvidia-h100-units-acquired-by-northern-data-may-not-have-been-used-for-ai
    0 Comments 0 Shares 279 Views 0 Reviews
  • ถ้ามิใช่ ซิโน-ไทยสร้าง
    มิใช่ชาญวีรกูลถือหุ้น
    พรรคประชาชนจะนิ่งเงียบเรื่องถนนสามเสนทรุดไหม
    ฝ่ายค้ำทำงานหน่อย
    #7ดอกจิก
    ถ้ามิใช่ ซิโน-ไทยสร้าง มิใช่ชาญวีรกูลถือหุ้น พรรคประชาชนจะนิ่งเงียบเรื่องถนนสามเสนทรุดไหม ฝ่ายค้ำทำงานหน่อย #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี”

    ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี

    แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน

    Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย

    หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry
    AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ
    Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ
    Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน
    หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger
    Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A
    การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
    AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025
    การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน
    การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    🤝 “AMD อาจผลิตชิปที่โรงงาน Intel — คู่แข่งเก่ากำลังกลายเป็นพันธมิตรใหม่ในยุคแห่งความมั่นคงด้านเทคโนโลยี” ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ Intel และ AMD กำลังอยู่ในช่วงเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD กลายเป็นลูกค้าของ Intel Foundry ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตชิปตามสั่งของ Intel ที่กำลังพยายามฟื้นตัวจากการตามหลัง TSMC มาหลายปี แม้ AMD จะยังพึ่งพา TSMC เป็นหลักในการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Ryzen และ EPYC แต่การเจรจากับ Intel ครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้บริษัทอเมริกันผลิตชิปภายในประเทศมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ 50% ของชิปที่ใช้ในสหรัฐฯ ถูกผลิตในประเทศ เพื่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและลดการพึ่งพาไต้หวัน Intel ได้รับแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งการลงทุนจาก SoftBank มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ การเข้าถือหุ้น 9.9% โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และการร่วมมือกับ Nvidia ในการพัฒนาชิป x86 ที่ใช้ GPU ของ Nvidia ซึ่งรวมถึงการลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์จาก Nvidia ด้วย หาก AMD ตกลงร่วมมือกับ Intel จริง จะถือเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ที่เคยประกาศว่า Intel ต้องการผลิตชิปให้กับทุกบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ แม้จะเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดว่าชิปประเภทใดของ AMD จะถูกผลิตที่ Intel และ Intel เองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตชิประดับสูงสุดของ AMD ได้ในตอนนี้ เช่น ชิปที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm หรือ 4nm ของ TSMC ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel และ AMD กำลังเจรจาเบื้องต้นเพื่อให้ AMD เป็นลูกค้า Intel Foundry ➡️ AMD ปัจจุบันผลิตชิปที่ TSMC แต่กำลังพิจารณาทางเลือกในสหรัฐฯ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้ 50% ของชิปที่ใช้ในประเทศถูกผลิตในประเทศ ➡️ Intel ได้รับการลงทุนจาก SoftBank, Nvidia และรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ Nvidia ลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ใน Intel และร่วมพัฒนาชิป x86 ร่วมกัน ➡️ หาก AMD ตกลง จะเป็นการยืนยันวิสัยทัศน์ของอดีต CEO Pat Gelsinger ➡️ Intel กำลังมองหาลูกค้ารายใหญ่เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยี 14A และ 18A ➡️ การร่วมมืออาจช่วยให้ AMD ลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดการส่งออกไปจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel Foundry ยังตามหลัง TSMC ในด้านเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ➡️ AMD เคยได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดการส่งออก GPU ไปจีนในปี 2025 ➡️ การผลิตชิปในสหรัฐฯ อาจช่วยให้ AMD ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ Nvidia และ Apple ก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อใช้ Intel Foundry เช่นกัน ➡️ การผลิตชิประดับกลางในสหรัฐฯ อาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนขยายไปสู่ชิประดับสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-in-early-talks-to-make-chips-at-intel-foundry-report-says
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD in early talks to make chips at Intel Foundry, report says
    It could be their biggest partnership since Kaby Lake-G.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’”

    ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?”

    Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน

    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี

    แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030
    โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน
    ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่”
    รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน
    Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี
    รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง
    Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025
    โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    🏗️ “Intel ยันเดินหน้าสร้างโรงงานชิปในโอไฮโอ แม้ล่าช้า 5 ปี — ส.ว.ตั้งคำถามแรง ‘นี่คือการหลอกลวงหรือไม่?’” ย้อนกลับไปในปี 2022 Intel เคยประกาศแผนสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รัฐโอไฮโอ ภายใต้ชื่อโครงการ “Ohio One” โดยมีเป้าหมายสร้างโรงงานถึง 8 แห่ง พร้อมดึงดูดการลงทุนกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมความแข็งแกร่งให้สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการผลิตชิปขั้นสูง แต่ในปี 2025 นี้ โครงการกลับล่าช้าอย่างหนัก โดย Intel ยืนยันว่าจะเลื่อนการเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ว. Bernie Moreno ที่ส่งจดหมายถึง CEO ของ Intel เพื่อขอคำชี้แจง พร้อมตั้งคำถามว่า “นี่คือการหลอกลวง หรืออาจเป็นการฉ้อโกง?” Moreno ระบุว่า รัฐโอไฮโอได้ให้เงินสนับสนุนโครงการไปแล้วกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่อีกเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นที่เตรียมรับการเติบโตกลับต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไปว่า “ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตในสหรัฐฯ” และ “ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในรัฐโอไฮโออย่างใกล้ชิด” แต่ไม่ได้ตอบคำถามเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี แม้จะมีความล่าช้า แต่ Intel ยังได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท พร้อมกับการลงทุนจาก Nvidia และ SoftBank ที่ช่วยดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปีนี้ โดยรัฐบาลมองว่า Intel คือคู่แข่งสำคัญของ TSMC และต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันเดินหน้าโครงการ Ohio One แม้จะเลื่อนเปิดโรงงานไปถึงปี 2030 ➡️ โครงการเดิมตั้งเป้าสร้างโรงงาน 8 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $28 พันล้าน ➡️ ส.ว. Bernie Moreno ส่งจดหมายถาม Intel ว่าโครงการนี้เป็น “การหลอกลวงหรือไม่” ➡️ รัฐโอไฮโอให้เงินสนับสนุนแล้วกว่า $2 พันล้าน และโครงสร้างพื้นฐานอีก $700 ล้าน ➡️ Intel ตอบกลับด้วยถ้อยคำทั่วไป ไม่ได้ชี้แจงผลกระทบหรือแผนเยียวยาผู้เสียภาษี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อสนับสนุนด้านความมั่นคง ➡️ Nvidia และ SoftBank ลงทุนใน Intel ดันราคาหุ้นขึ้นกว่า 66% ในปี 2025 ➡️ โรงงานนี้เคยถูกวางให้เป็นฐานผลิตเทคโนโลยี 18A และ 14A ของ Intel https://www.tomshardware.com/tech-industry/intels-elusive-ohio-fab-project-scrutinized-by-u-s-senator-amid-5-year-delay-to-2030-chipmaker-reassures-ambitious-plan-is-still-on-track-despite-recent-cut-downs
    0 Comments 0 Shares 288 Views 0 Reviews
  • “EA กลายเป็นอัญมณีแห่ง Vision 2030 — ซาอุฯ เท 55 พันล้านเหรียญซื้อกิจการ พร้อมปั้นอุตสาหกรรมเกมระดับโลก”

    Electronic Arts (EA) ผู้สร้างเกมระดับตำนานอย่าง Battlefield, FIFA และ The Sims กำลังกลายเป็นหัวใจของแผนยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย หลังจาก Public Investment Fund (PIF) ของประเทศจับมือกับ Silver Lake และ Affinity Partners (กองทุนของ Jared Kushner) ประกาศซื้อกิจการ EA ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2

    ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบ leveraged buyout ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย PIF จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EA ขณะที่ Affinity Partners จะถือหุ้น 5% และ Silver Lake จะขยายพอร์ตด้านเกม กีฬา และบันเทิงอย่างมหาศาล

    เหตุผลเบื้องหลังดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องกำไร — แต่คือการสร้าง “อำนาจทางวัฒนธรรม” ผ่านเกม โดย Crown Prince Mohammed bin Salman เคยกล่าวว่าเขาเล่นเกมกับเพื่อนและลูกเป็นประจำ และต้องการให้ซาอุฯ เป็น “ศูนย์กลางโลกด้านเกมและอีสปอร์ต” ภายในปี 2030

    PIF ซึ่งมีสินทรัพย์เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ลงทุนในบริษัทเกมหลายแห่ง เช่น Activision Blizzard, Nintendo และ Take-Two Interactive ผ่าน Savvy Games Group และยังมีโครงการ Qiddiya ที่จะสร้างเมืองแห่งเกมและความบันเทิงในริยาด พร้อมเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี

    EA จะยังคงมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย และ CEO Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง โดยผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนข่าวดีลถึง 25% แม้บางนักวิเคราะห์จะมองว่าราคานี้ยังต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงของ EA

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์
    PIF จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ Affinity Partners ถือหุ้น 5%
    ดีลนี้ถือเป็น leveraged buyout ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    EA จะยังคงมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย และ CEO คนเดิม
    ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น สูงกว่าราคาปิดก่อนดีล 25%
    ซาอุฯ ต้องการใช้ EA เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจทางวัฒนธรรมผ่านเกม
    Vision 2030 ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นศูนย์กลางเกมและอีสปอร์ต
    PIF มีการลงทุนใน Activision Blizzard, Nintendo และ Take-Two ผ่าน Savvy Games Group
    โครงการ Qiddiya จะสร้างเมืองแห่งเกมในริยาด ดึงดูดนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    EA มีแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น FIFA, Battlefield, The Sims, Apex Legends
    Silver Lake เป็นบริษัททุนที่มีพอร์ตใน Dell, Learfield, Noom และ TikTok
    Jared Kushner ก่อตั้ง Affinity Partners ในปี 2021 โดยมีทุนจากซาอุฯ กาตาร์ และ UAE
    Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่เน้นการลดการพึ่งพาน้ำมัน
    อุตสาหกรรมเกมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–25% ต่อปีในกลุ่มอีสปอร์ต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/01/from-riyadh-to-silicon-valley-how-ea-became-the-jewel-of-saudi-arabia039s-gaming-vision
    🎮 “EA กลายเป็นอัญมณีแห่ง Vision 2030 — ซาอุฯ เท 55 พันล้านเหรียญซื้อกิจการ พร้อมปั้นอุตสาหกรรมเกมระดับโลก” Electronic Arts (EA) ผู้สร้างเกมระดับตำนานอย่าง Battlefield, FIFA และ The Sims กำลังกลายเป็นหัวใจของแผนยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย หลังจาก Public Investment Fund (PIF) ของประเทศจับมือกับ Silver Lake และ Affinity Partners (กองทุนของ Jared Kushner) ประกาศซื้อกิจการ EA ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ2 ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบ leveraged buyout ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย PIF จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EA ขณะที่ Affinity Partners จะถือหุ้น 5% และ Silver Lake จะขยายพอร์ตด้านเกม กีฬา และบันเทิงอย่างมหาศาล เหตุผลเบื้องหลังดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องกำไร — แต่คือการสร้าง “อำนาจทางวัฒนธรรม” ผ่านเกม โดย Crown Prince Mohammed bin Salman เคยกล่าวว่าเขาเล่นเกมกับเพื่อนและลูกเป็นประจำ และต้องการให้ซาอุฯ เป็น “ศูนย์กลางโลกด้านเกมและอีสปอร์ต” ภายในปี 2030 PIF ซึ่งมีสินทรัพย์เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ลงทุนในบริษัทเกมหลายแห่ง เช่น Activision Blizzard, Nintendo และ Take-Two Interactive ผ่าน Savvy Games Group และยังมีโครงการ Qiddiya ที่จะสร้างเมืองแห่งเกมและความบันเทิงในริยาด พร้อมเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี EA จะยังคงมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย และ CEO Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง โดยผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนข่าวดีลถึง 25% แม้บางนักวิเคราะห์จะมองว่าราคานี้ยังต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงของ EA ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ ➡️ PIF จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ Affinity Partners ถือหุ้น 5% ➡️ ดีลนี้ถือเป็น leveraged buyout ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ EA จะยังคงมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย และ CEO คนเดิม ➡️ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น สูงกว่าราคาปิดก่อนดีล 25% ➡️ ซาอุฯ ต้องการใช้ EA เป็นเครื่องมือสร้างอำนาจทางวัฒนธรรมผ่านเกม ➡️ Vision 2030 ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นศูนย์กลางเกมและอีสปอร์ต ➡️ PIF มีการลงทุนใน Activision Blizzard, Nintendo และ Take-Two ผ่าน Savvy Games Group ➡️ โครงการ Qiddiya จะสร้างเมืองแห่งเกมในริยาด ดึงดูดนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนต่อปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ EA มีแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น FIFA, Battlefield, The Sims, Apex Legends ➡️ Silver Lake เป็นบริษัททุนที่มีพอร์ตใน Dell, Learfield, Noom และ TikTok ➡️ Jared Kushner ก่อตั้ง Affinity Partners ในปี 2021 โดยมีทุนจากซาอุฯ กาตาร์ และ UAE ➡️ Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่เน้นการลดการพึ่งพาน้ำมัน ➡️ อุตสาหกรรมเกมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15–25% ต่อปีในกลุ่มอีสปอร์ต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/01/from-riyadh-to-silicon-valley-how-ea-became-the-jewel-of-saudi-arabia039s-gaming-vision
    WWW.THESTAR.COM.MY
    From Riyadh to Silicon Valley: How EA became the jewel of Saudi Arabia's gaming vision
    LONDON(Reuters) -For years, tech-focused buyout group Silver Lake coveted video game developer Electronic Arts, the power behind the popular "Battlefield" and "Madden NFL" series.
    0 Comments 0 Shares 316 Views 0 Reviews
  • “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม”

    Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย

    PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)

    Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง

    กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์
    ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25%
    ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน
    EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
    Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California
    PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
    ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026)
    EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์
    Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom
    EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC
    การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    🎮 “EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากซาอุฯ มูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ — ดีลประวัติศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตวงการเกม” Electronic Arts (EA) ผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ของโลก เจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง FIFA (ปัจจุบันคือ FC), Battlefield, The Sims และ Madden NFL ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า บริษัทจะถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มนักลงทุนที่ประกอบด้วย Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย, Silver Lake และ Affinity Partners ซึ่งก่อตั้งโดย Jared Kushner ด้วยมูลค่ารวมกว่า 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีลนี้ถือเป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทมหาชน โดยผู้ถือหุ้น EA จะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% และสูงกว่าราคาสูงสุดตลอดกาลของหุ้น EA ที่ 179 ดอลลาร์อีกด้วย PIF ซึ่งเคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% จะ “roll over” สัดส่วนเดิมเข้าสู่ดีลนี้ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักของ EA ที่จะกลายเป็นบริษัทเอกชนหลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) Andrew Wilson ซีอีโอของ EA จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิม และบริษัทจะยังคงมีสำนักงานใหญ่ที่ Redwood City, California โดยเขายืนยันว่า EA จะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา ดิจิทัล และความบันเทิง กลุ่มทุนที่เข้าซื้อกิจการนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมเกมระดับโลก โดยเฉพาะ PIF ที่ลงทุนใน Nintendo, Take-Two, Capcom และจัดการแข่งขัน eSports World Cup ปี 2025 เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EA ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุน PIF, Silver Lake และ Affinity Partners ด้วยมูลค่า 55 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินสด 210 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดก่อนดีลถึง 25% ➡️ ดีลนี้เป็นการซื้อกิจการแบบเงินสดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัทมหาชน ➡️ EA จะกลายเป็นบริษัทเอกชน และหุ้นจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ➡️ Andrew Wilson จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO และสำนักงานใหญ่ยังอยู่ที่ California ➡️ PIF เคยถือหุ้น EA อยู่แล้ว 9.9% และจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2027 (ประมาณเมษายน 2026) ➡️ EA ยืนยันว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเร่งนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ในวงการเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PIF เป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีสินทรัพย์รวมกว่า 925 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Affinity Partners ก่อตั้งโดย Jared Kushner และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทุนซาอุฯ ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีพอร์ตโฟลิโอใน Dell, Learfield และ Noom ➡️ EA เป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมระดับโลก เช่น Battlefield, The Sims, Mass Effect และ FC ➡️ การซื้อกิจการครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัว Battlefield 6 ซึ่งมีกระแสตอบรับดีจากช่วงเบต้า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/ea-acquired-by-saudi-arabian-investment-fund-and-others-for-usd55-billion-largest-ever-buyout-of-a-public-company
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    EA acquired by Saudi Arabian investment fund and others for $55 billion — largest ever buyout of a public company
    “Our creative and passionate teams at EA have delivered extraordinary experiences for hundreds of millions of fans, built some of the world’s most iconic IP, and created significant value for our business. This moment is a powerful recognition of their remarkable work."
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • ศึกสายเลือดดุสิตธานี รายย่อยงัดข้อป้องชนินทธ์

    ความขัดแย้งในกลุ่มทายาท ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี นับตั้งแต่นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค น้องสาวทั้งสองคน ถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นรักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ออกจากกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 49.74% ใน DUSIT ต่อด้วยฝั่งบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 และเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการบริษัทฯ

    ปรากฎว่าการประชุมดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.ย.) ผู้ถือหุ้นรายย่อย 420 คน ไม่อนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ มีผู้เห็นด้วยเพียงแค่ 42 ราย งดออกเสียง 11 ราย และไม่ลงคะแนนเสียง 10 ราย ซึ่งวาระดังกล่าวต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้น ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตามกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย เปรียบดังพลังมดที่ทำให้นายชนินทธ์ ยังคงรักษาตำแหน่งกรรมการบริษัทเอาไว้ได้

    แต่อีกวาระหนึ่ง คือ พิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ปรากฎว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อย ร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ตรวจสอบบริษัท ชนัตถ์และลูก และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ถือหุ้น 17.09% ใน DUSIT ว่ามีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อครอบงำกิจการหรือไม่ ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 4 ธ.ค. 2568

    น่าสังเกตว่า วาระดังกล่าว บริษัท ชนัตถ์และลูก เสนอเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 12 คนเป็น 18 คน โดยพบว่า นายปัณฑิต มงคลกุล และนายภูม โอสถานนท์ มาจากกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ DUSIT ในธุรกิจโรงแรม ส่วน ดร.กฤษดา กวีญาณ เป็นกรรมการบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด และบริษัท อัลทัส แคปปิตอล สยาม แอคควิซิชั่น ทู จำกัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่มีลักษณะเดียวกัน และอาจเป็นคู่แข่งกัน

    นอกจากนี้ ยังมีวาระเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัท จากเดิมนายชนินทธ์ เปลี่ยนเป็นเป็นนางสินี พร้อมบุคคลภายนอกอีก 2 คน ได้แก่ ดร.กฤษดา และนายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ หากผ่านวาระดังกล่าวอาจทำให้นายชนินทธ์ถูกลดบทบาทการบริหารงานลง แม้จะดำรงตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขอเกษียณก่อนกำหนด เพื่อไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ก็ตาม

    #Newskit
    ศึกสายเลือดดุสิตธานี รายย่อยงัดข้อป้องชนินทธ์ ความขัดแย้งในกลุ่มทายาท ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี นับตั้งแต่นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค น้องสาวทั้งสองคน ถอดถอนนายชนินทธ์ โทณวณิก พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นรักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ออกจากกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 49.74% ใน DUSIT ต่อด้วยฝั่งบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงินปี 2567 และเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ถอดถอนนายชนินทธ์ ออกจากกรรมการบริษัทฯ ปรากฎว่าการประชุมดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 ก.ย.) ผู้ถือหุ้นรายย่อย 420 คน ไม่อนุมัติถอดถอนนายชนินทธ์ มีผู้เห็นด้วยเพียงแค่ 42 ราย งดออกเสียง 11 ราย และไม่ลงคะแนนเสียง 10 ราย ซึ่งวาระดังกล่าวต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้น ซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตามกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย เปรียบดังพลังมดที่ทำให้นายชนินทธ์ ยังคงรักษาตำแหน่งกรรมการบริษัทเอาไว้ได้ แต่อีกวาระหนึ่ง คือ พิจารณาอนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการ แต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ และเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ปรากฎว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อย ร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ให้ตรวจสอบบริษัท ชนัตถ์และลูก และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ที่ถือหุ้น 17.09% ใน DUSIT ว่ามีพฤติกรรมร่วมมือกันเพื่อครอบงำกิจการหรือไม่ ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 4 ธ.ค. 2568 น่าสังเกตว่า วาระดังกล่าว บริษัท ชนัตถ์และลูก เสนอเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 12 คนเป็น 18 คน โดยพบว่า นายปัณฑิต มงคลกุล และนายภูม โอสถานนท์ มาจากกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ DUSIT ในธุรกิจโรงแรม ส่วน ดร.กฤษดา กวีญาณ เป็นกรรมการบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด และบริษัท อัลทัส แคปปิตอล สยาม แอคควิซิชั่น ทู จำกัด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าเป็นกิจการที่มีลักษณะเดียวกัน และอาจเป็นคู่แข่งกัน นอกจากนี้ ยังมีวาระเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัท จากเดิมนายชนินทธ์ เปลี่ยนเป็นเป็นนางสินี พร้อมบุคคลภายนอกอีก 2 คน ได้แก่ ดร.กฤษดา และนายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ หากผ่านวาระดังกล่าวอาจทำให้นายชนินทธ์ถูกลดบทบาทการบริหารงานลง แม้จะดำรงตำแหน่งรักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ขอเกษียณก่อนกำหนด เพื่อไปดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ก็ตาม #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • “OpenAI เตรียมเช่า GPU จาก NVIDIA แทนการซื้อ — กลยุทธ์ลดต้นทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW”

    ในยุคที่การสร้างโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล OpenAI กำลังพลิกเกมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการเจรจาเช่าชิป GPU ประสิทธิภาพสูงจาก NVIDIA แทนการซื้อขาด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการเทคโนโลยี

    แผนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI และ NVIDIA ที่ประกาศเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดย NVIDIA จะลงทุนใน OpenAI พร้อมให้การสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์และการเงิน รวมถึงถือหุ้นประมาณ 2% ในมูลค่าบริษัทที่ประเมินไว้ที่ 500 พันล้านดอลลาร์

    การเช่า GPU แบบระยะยาว 5 ปีจะช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ลงได้ราว 10–15% และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเสื่อมราคาของอุปกรณ์ โดย NVIDIA อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการด้านการเงิน โดยใช้ GPU เป็นหลักประกันในการกู้เงิน แล้วให้ OpenAI จ่ายค่าเช่าเพื่อชำระหนี้ในระยะยาว

    แม้ OpenAI จะมีมูลค่าสูง แต่ก็ยังไม่มีงบประมาณเพียงพอในการซื้อฮาร์ดแวร์หลายแสนล้านดอลลาร์ การเช่าชิปโดยตรงจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล การออกแบบระบบ และการจัดการโหลดงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    หากดีลนี้สำเร็จ จะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงภายใน OpenAI แต่จะส่งผลต่อทั้งอุตสาหกรรม เช่น วิธีการจัดสรรสินค้าของ NVIDIA, การเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ และการวางตำแหน่งของคู่แข่งในตลาด AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI อยู่ระหว่างเจรจาเช่า GPU จาก NVIDIA แทนการซื้อขาด
    เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ที่ประกาศเมื่อ 22 กันยายน 2025
    NVIDIA จะลงทุน 10 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI และถือหุ้นประมาณ 2%
    แผนการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ต้องใช้ GPU หลายล้านตัว
    การเช่าระยะยาว 5 ปีช่วยลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ลง 10–15%
    NVIDIA อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการด้านการเงิน โดยใช้ GPU เป็นหลักประกัน
    OpenAI จะมีอิสระในการเลือกสถานที่ตั้งและออกแบบศูนย์ข้อมูล
    การเช่าชิปโดยตรงช่วยลดการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น Microsoft หรือ Oracle

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    10GW เทียบเท่ากับพลังงานที่ใช้ในเมืองขนาดกลาง และเป็นมาตรฐานใหม่ของศูนย์ข้อมูล AI
    การเช่า GPU แบบนี้คล้ายกับโมเดล “Infrastructure-as-a-Service” แต่เป็นระดับฮาร์ดแวร์ลึก
    NVIDIA เคยทำดีลลักษณะนี้กับ Lambda โดยเช่า GPU 18,000 ตัวในระยะเวลา 4 ปี
    การใช้ GPU เป็นหลักประกันในการกู้เงินสะท้อนถึงการเปลี่ยนบทบาทของฮาร์ดแวร์เป็นสินทรัพย์ทางการเงิน
    OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และต้องการขยายโครงสร้างเพื่อรองรับโมเดลใหม่

    https://www.tomshardware.com/openai-may-lease-nvidia-gpus-instead-of-buying-them
    💸 “OpenAI เตรียมเช่า GPU จาก NVIDIA แทนการซื้อ — กลยุทธ์ลดต้นทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW” ในยุคที่การสร้างโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล OpenAI กำลังพลิกเกมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการเจรจาเช่าชิป GPU ประสิทธิภาพสูงจาก NVIDIA แทนการซื้อขาด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการเทคโนโลยี แผนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง OpenAI และ NVIDIA ที่ประกาศเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดย NVIDIA จะลงทุนใน OpenAI พร้อมให้การสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์และการเงิน รวมถึงถือหุ้นประมาณ 2% ในมูลค่าบริษัทที่ประเมินไว้ที่ 500 พันล้านดอลลาร์ การเช่า GPU แบบระยะยาว 5 ปีจะช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ลงได้ราว 10–15% และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเสื่อมราคาของอุปกรณ์ โดย NVIDIA อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการด้านการเงิน โดยใช้ GPU เป็นหลักประกันในการกู้เงิน แล้วให้ OpenAI จ่ายค่าเช่าเพื่อชำระหนี้ในระยะยาว แม้ OpenAI จะมีมูลค่าสูง แต่ก็ยังไม่มีงบประมาณเพียงพอในการซื้อฮาร์ดแวร์หลายแสนล้านดอลลาร์ การเช่าชิปโดยตรงจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล การออกแบบระบบ และการจัดการโหลดงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากดีลนี้สำเร็จ จะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงภายใน OpenAI แต่จะส่งผลต่อทั้งอุตสาหกรรม เช่น วิธีการจัดสรรสินค้าของ NVIDIA, การเปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ และการวางตำแหน่งของคู่แข่งในตลาด AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI อยู่ระหว่างเจรจาเช่า GPU จาก NVIDIA แทนการซื้อขาด ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือมูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ที่ประกาศเมื่อ 22 กันยายน 2025 ➡️ NVIDIA จะลงทุน 10 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI และถือหุ้นประมาณ 2% ➡️ แผนการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 10GW ต้องใช้ GPU หลายล้านตัว ➡️ การเช่าระยะยาว 5 ปีช่วยลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ลง 10–15% ➡️ NVIDIA อาจตั้งบริษัทลูกเพื่อจัดการด้านการเงิน โดยใช้ GPU เป็นหลักประกัน ➡️ OpenAI จะมีอิสระในการเลือกสถานที่ตั้งและออกแบบศูนย์ข้อมูล ➡️ การเช่าชิปโดยตรงช่วยลดการพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น Microsoft หรือ Oracle ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 10GW เทียบเท่ากับพลังงานที่ใช้ในเมืองขนาดกลาง และเป็นมาตรฐานใหม่ของศูนย์ข้อมูล AI ➡️ การเช่า GPU แบบนี้คล้ายกับโมเดล “Infrastructure-as-a-Service” แต่เป็นระดับฮาร์ดแวร์ลึก ➡️ NVIDIA เคยทำดีลลักษณะนี้กับ Lambda โดยเช่า GPU 18,000 ตัวในระยะเวลา 4 ปี ➡️ การใช้ GPU เป็นหลักประกันในการกู้เงินสะท้อนถึงการเปลี่ยนบทบาทของฮาร์ดแวร์เป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ➡️ OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์กว่า 700 ล้านคน และต้องการขยายโครงสร้างเพื่อรองรับโมเดลใหม่ https://www.tomshardware.com/openai-may-lease-nvidia-gpus-instead-of-buying-them
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • “Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สถาบัน — Harvard ลงทุนกว่า $116 ล้าน, 401(k) เปิดรับคริปโต, และ DeFi เติบโตต่อเนื่อง”

    ในอดีต การพูดถึง Bitcoin ในแวดวงการเงินสถาบันอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่าได้ถือหุ้นในกองทุน Bitcoin ETF ของ BlackRock กว่า 2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า $116 ล้าน กลายเป็นการลงทุนอันดับ 5 รองจาก Microsoft, Amazon, Booking และ Meta

    การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินเริ่มยอมรับ Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะผ่านโครงสร้าง ETF ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีการกำกับดูแลจาก SEC ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถือครองคริปโตโดยตรง เช่น การจัดการ private key หรือความผันผวนของตลาดแลกเปลี่ยน

    นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังประกาศนโยบายใหม่ที่เปิดให้รวมคริปโตเข้ากับบัญชีเกษียณ 401(k) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนมหาศาลจากกองทุนเกษียณทั่วประเทศ และช่วยลดความผันผวนของตลาดในระยะยาว

    ในฝั่งของ DeFi หรือการเงินแบบกระจายอำนาจ Bitcoin ยังคงเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่วงการกว่า $180 ล้านในช่วงครึ่งปีแรก และบริษัทด้าน stablecoin ก็สามารถระดมทุนได้ถึง $13 ล้าน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารที่ใช้เหรียญดิจิทัลเป็นหลัก

    Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตอันดับสองก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยจำนวนธุรกรรมบนเครือข่ายแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการจัดประเภทของ liquid staking แต่ตลาดที่เริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบก็ช่วยให้ ETH มีเสถียรภาพมากขึ้น

    การยอมรับ Bitcoin ในระดับสถาบัน
    Harvard ลงทุน $116 ล้านในกองทุน iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock
    ETF ช่วยให้สถาบันเข้าถึง Bitcoin โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง
    สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Bitcoin ETF พุ่งเกิน $86.3 พันล้านหลังการอนุมัติจาก SEC
    สถาบันอื่น เช่น Brown, Emory และ University of Texas ก็เริ่มลงทุนในคริปโตเช่นกัน

    การเปิดรับคริปโตในบัญชีเกษียณ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เปิด 401(k) สำหรับคริปโต
    นโยบายนี้อาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนจากกองทุนเกษียณ
    ช่วยเพิ่มความมั่นคงและลดความผันผวนของตลาดคริปโต
    นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตด้วยสินทรัพย์ทางเลือกที่มีผลตอบแทนสูง

    การเติบโตของ DeFi และ Ethereum
    Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักใน DeFi โดยมีเงินทุนไหลเข้า $180 ล้าน
    บริษัทด้าน stablecoin ระดมทุน $13 ล้านเพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัล
    Ethereum มีธุรกรรมแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงด้านกฎหมาย
    ตลาดคริปโตเริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ส่งผลให้สินทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การอนุมัติ ETF โดย SEC ในปี 2024 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการยอมรับคริปโต
    Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ คล้ายทองคำ แต่มีความคล่องตัวสูงกว่า
    การจัดสรรคริปโตเพียง 2–3% ในพอร์ตสถาบันอาจสร้างดีมานด์กว่า $3–4 ล้านล้านดอลลาร์
    การลงทุนผ่าน ETF ช่วยลดความเสี่ยงด้านการจัดเก็บและความปลอดภัยของคริปโต

    https://hackread.com/bitcoin-continues-increase-institutional-popularity/
    💰 “Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สถาบัน — Harvard ลงทุนกว่า $116 ล้าน, 401(k) เปิดรับคริปโต, และ DeFi เติบโตต่อเนื่อง” ในอดีต การพูดถึง Bitcoin ในแวดวงการเงินสถาบันอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมหาวิทยาลัย Harvard เปิดเผยว่าได้ถือหุ้นในกองทุน Bitcoin ETF ของ BlackRock กว่า 2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า $116 ล้าน กลายเป็นการลงทุนอันดับ 5 รองจาก Microsoft, Amazon, Booking และ Meta การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้มที่สถาบันการเงินเริ่มยอมรับ Bitcoin เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะผ่านโครงสร้าง ETF ที่มีความปลอดภัย โปร่งใส และมีการกำกับดูแลจาก SEC ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถือครองคริปโตโดยตรง เช่น การจัดการ private key หรือความผันผวนของตลาดแลกเปลี่ยน นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังประกาศนโยบายใหม่ที่เปิดให้รวมคริปโตเข้ากับบัญชีเกษียณ 401(k) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนมหาศาลจากกองทุนเกษียณทั่วประเทศ และช่วยลดความผันผวนของตลาดในระยะยาว ในฝั่งของ DeFi หรือการเงินแบบกระจายอำนาจ Bitcoin ยังคงเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีเงินทุนไหลเข้าสู่วงการกว่า $180 ล้านในช่วงครึ่งปีแรก และบริษัทด้าน stablecoin ก็สามารถระดมทุนได้ถึง $13 ล้าน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารที่ใช้เหรียญดิจิทัลเป็นหลัก Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตอันดับสองก็มีการเติบโตเช่นกัน โดยจำนวนธุรกรรมบนเครือข่ายแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการจัดประเภทของ liquid staking แต่ตลาดที่เริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบก็ช่วยให้ ETH มีเสถียรภาพมากขึ้น ✅ การยอมรับ Bitcoin ในระดับสถาบัน ➡️ Harvard ลงทุน $116 ล้านในกองทุน iShares Bitcoin ETF ของ BlackRock ➡️ ETF ช่วยให้สถาบันเข้าถึง Bitcoin โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง ➡️ สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Bitcoin ETF พุ่งเกิน $86.3 พันล้านหลังการอนุมัติจาก SEC ➡️ สถาบันอื่น เช่น Brown, Emory และ University of Texas ก็เริ่มลงทุนในคริปโตเช่นกัน ✅ การเปิดรับคริปโตในบัญชีเกษียณ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ออกคำสั่งให้เปิด 401(k) สำหรับคริปโต ➡️ นโยบายนี้อาจนำไปสู่การไหลเข้าของเงินทุนจากกองทุนเกษียณ ➡️ ช่วยเพิ่มความมั่นคงและลดความผันผวนของตลาดคริปโต ➡️ นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตด้วยสินทรัพย์ทางเลือกที่มีผลตอบแทนสูง ✅ การเติบโตของ DeFi และ Ethereum ➡️ Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์หลักใน DeFi โดยมีเงินทุนไหลเข้า $180 ล้าน ➡️ บริษัทด้าน stablecoin ระดมทุน $13 ล้านเพื่อสร้างแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัล ➡️ Ethereum มีธุรกรรมแตะระดับสูงสุดของปี แม้ยังมีข้อถกเถียงด้านกฎหมาย ➡️ ตลาดคริปโตเริ่มมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ส่งผลให้สินทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การอนุมัติ ETF โดย SEC ในปี 2024 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการยอมรับคริปโต ➡️ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ คล้ายทองคำ แต่มีความคล่องตัวสูงกว่า ➡️ การจัดสรรคริปโตเพียง 2–3% ในพอร์ตสถาบันอาจสร้างดีมานด์กว่า $3–4 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ การลงทุนผ่าน ETF ช่วยลดความเสี่ยงด้านการจัดเก็บและความปลอดภัยของคริปโต https://hackread.com/bitcoin-continues-increase-institutional-popularity/
    HACKREAD.COM
    Bitcoin continues to increase its institutional popularity
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • อันวาร์ นายกฯถั่วดำ ดู VAR ก่อนตัดสินก็ได้ เพราะการปะทะเกิดจากเขมรรุกล้ำเข้ามา เป่าฟาล์วไวเกิน เพราะคนมาเลย์ถือหุ้นในบ่อนใช่ไหม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อันวาร์
    อันวาร์ นายกฯถั่วดำ ดู VAR ก่อนตัดสินก็ได้ เพราะการปะทะเกิดจากเขมรรุกล้ำเข้ามา เป่าฟาล์วไวเกิน เพราะคนมาเลย์ถือหุ้นในบ่อนใช่ไหม #คิงส์โพธิ์แดง #อันวาร์
    Like
    Haha
    2
    1 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • “TikTok รอดแบนในสหรัฐฯ หลังดีลทรัมป์–จีนใกล้ลงตัว: Oracle เตรียมถือหุ้นใหญ่ ข้อมูลผู้ใช้จะอยู่ในมืออเมริกัน”

    หลังจากยืดเยื้อมานานกว่า 9 เดือน สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนโครงสร้างความเป็นเจ้าของของ TikTok เพื่อหลีกเลี่ยงการแบนในสหรัฐฯ ซึ่งเดิมมีกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการภายในวันที่ 17 กันยายน 2025 มิฉะนั้นจะถูกลบออกจาก App Store และระบบปฏิบัติการทั้งหมดในประเทศ

    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจากการเจรจาในกรุงมาดริดระหว่างรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent และรองนายกรัฐมนตรีจีน He Lifeng โดยมีการยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายได้บรรลุ “กรอบพื้นฐาน” ของดีลแล้ว และจะมีการพูดคุยขั้นสุดท้ายระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน

    ตามรายงานจากหลายสำนักข่าว ดีลนี้จะนำไปสู่การตั้งบริษัทใหม่ในสหรัฐฯ โดยมีนักลงทุนอเมริกันถือหุ้นประมาณ 80% และ ByteDance ถือหุ้นไม่เกิน 20% โดยมี Oracle, Andreessen Horowitz และ Silver Lake เป็นผู้ลงทุนหลัก และ Oracle จะรับหน้าที่ดูแลข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ที่ศูนย์ข้อมูลในรัฐเท็กซัส

    แม้จะยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยวกับการควบคุมอัลกอริธึมของ TikTok ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์ม แต่จีนได้แสดงท่าทีเปิดกว้างในการอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีผ่านการออกใบอนุญาต และให้วิศวกรอเมริกันพัฒนาอัลกอริธึมใหม่สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ โดยแยกออกจากระบบเดิม

    การเลื่อนแบน TikTok ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่กฎหมายบังคับขายกิจการมีผลในเดือนมกราคม 2025 โดยก่อนหน้านี้ TikTok เคยถูกปิดใช้งานในสหรัฐฯ ชั่วคราวเป็นเวลา 24 ชั่วโมงในเดือนมกราคม ทำให้ผู้ใช้แห่สมัคร VPN กันอย่างล้นหลาม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับ TikTok เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025
    ByteDance จะถือหุ้นไม่เกิน 20% ในบริษัทใหม่ที่ตั้งในสหรัฐฯ
    Oracle จะดูแลข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ที่ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัส
    ประธานาธิบดี Trump และ Xi Jinping จะพูดคุยเพื่อสรุปดีลในวันที่ 19 กันยายน

    โครงสร้างดีลและผู้เกี่ยวข้อง
    นักลงทุนหลัก ได้แก่ Oracle, Andreessen Horowitz, Silver Lake
    บริษัทใหม่จะมีคณะกรรมการที่คนอเมริกันเป็นเสียงข้างมาก และมีตัวแทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    ByteDance อาจอนุญาตให้ใช้อัลกอริธึมผ่านการออกใบอนุญาต
    วิศวกรอเมริกันจะพัฒนาอัลกอริธึมใหม่สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TikTok มีผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 170 ล้านคน
    กฎหมายบังคับขายกิจการมีผลตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี Joe Biden
    Trump เคยพยายามแบน TikTok ในสมัยแรก แต่กลับมาเปลี่ยนท่าทีในสมัยที่สอง
    Oracle เคยพยายามซื้อ TikTok ในปี 2020 แต่ดีลถูกระงับ

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/tiktok-to-be-saved-in-the-us-as-trump-confirms-a-deal-with-china-ahead-of-upcoming-ban
    📱 “TikTok รอดแบนในสหรัฐฯ หลังดีลทรัมป์–จีนใกล้ลงตัว: Oracle เตรียมถือหุ้นใหญ่ ข้อมูลผู้ใช้จะอยู่ในมืออเมริกัน” หลังจากยืดเยื้อมานานกว่า 9 เดือน สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนโครงสร้างความเป็นเจ้าของของ TikTok เพื่อหลีกเลี่ยงการแบนในสหรัฐฯ ซึ่งเดิมมีกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการภายในวันที่ 17 กันยายน 2025 มิฉะนั้นจะถูกลบออกจาก App Store และระบบปฏิบัติการทั้งหมดในประเทศ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจากการเจรจาในกรุงมาดริดระหว่างรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent และรองนายกรัฐมนตรีจีน He Lifeng โดยมีการยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายได้บรรลุ “กรอบพื้นฐาน” ของดีลแล้ว และจะมีการพูดคุยขั้นสุดท้ายระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ตามรายงานจากหลายสำนักข่าว ดีลนี้จะนำไปสู่การตั้งบริษัทใหม่ในสหรัฐฯ โดยมีนักลงทุนอเมริกันถือหุ้นประมาณ 80% และ ByteDance ถือหุ้นไม่เกิน 20% โดยมี Oracle, Andreessen Horowitz และ Silver Lake เป็นผู้ลงทุนหลัก และ Oracle จะรับหน้าที่ดูแลข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ที่ศูนย์ข้อมูลในรัฐเท็กซัส แม้จะยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยวกับการควบคุมอัลกอริธึมของ TikTok ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์ม แต่จีนได้แสดงท่าทีเปิดกว้างในการอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีผ่านการออกใบอนุญาต และให้วิศวกรอเมริกันพัฒนาอัลกอริธึมใหม่สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ โดยแยกออกจากระบบเดิม การเลื่อนแบน TikTok ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่กฎหมายบังคับขายกิจการมีผลในเดือนมกราคม 2025 โดยก่อนหน้านี้ TikTok เคยถูกปิดใช้งานในสหรัฐฯ ชั่วคราวเป็นเวลา 24 ชั่วโมงในเดือนมกราคม ทำให้ผู้ใช้แห่สมัคร VPN กันอย่างล้นหลาม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับ TikTok เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 ➡️ ByteDance จะถือหุ้นไม่เกิน 20% ในบริษัทใหม่ที่ตั้งในสหรัฐฯ ➡️ Oracle จะดูแลข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ที่ศูนย์ข้อมูลในเท็กซัส ➡️ ประธานาธิบดี Trump และ Xi Jinping จะพูดคุยเพื่อสรุปดีลในวันที่ 19 กันยายน ✅ โครงสร้างดีลและผู้เกี่ยวข้อง ➡️ นักลงทุนหลัก ได้แก่ Oracle, Andreessen Horowitz, Silver Lake ➡️ บริษัทใหม่จะมีคณะกรรมการที่คนอเมริกันเป็นเสียงข้างมาก และมีตัวแทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ByteDance อาจอนุญาตให้ใช้อัลกอริธึมผ่านการออกใบอนุญาต ➡️ วิศวกรอเมริกันจะพัฒนาอัลกอริธึมใหม่สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TikTok มีผู้ใช้ในสหรัฐฯ กว่า 170 ล้านคน ➡️ กฎหมายบังคับขายกิจการมีผลตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี Joe Biden ➡️ Trump เคยพยายามแบน TikTok ในสมัยแรก แต่กลับมาเปลี่ยนท่าทีในสมัยที่สอง ➡️ Oracle เคยพยายามซื้อ TikTok ในปี 2020 แต่ดีลถูกระงับ https://www.techradar.com/computing/cyber-security/tiktok-to-be-saved-in-the-us-as-trump-confirms-a-deal-with-china-ahead-of-upcoming-ban
    WWW.TECHRADAR.COM
    TikTok to be saved in the US as Trump confirms a deal with China ahead of upcoming ban
    The deadline for TikTok to divest or be banned is set to expire on Wednesday, September 17
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • “Intel ขายหุ้น Altera ลดต้นทุนปี 2025 — พลิกเกมการเงินหลังขาดทุนหนักในยุคก่อน”

    หลังจากเผชิญกับภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ Intel ได้ตัดสินใจขายหุ้น 51% ของธุรกิจชิปแบบปรับแต่งได้ Altera ให้กับบริษัทเอกชน Silver Lake ด้วยมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงครึ่งหนึ่ง การขายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปลดภาระ แต่เป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan

    ผลจากการขายทำให้ Intel ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2025 ลงเหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้านดอลลาร์ โดยยังคงเป้าหมายปี 2026 ไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ การลดค่าใช้จ่ายนี้ช่วยให้ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เคยกังวลกับการขาดทุนสะสมกว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

    Altera ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ Intel หวังจะใช้ขยายตลาดด้าน programmable chips รายงานรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 พร้อมกำไรขั้นต้น 55% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 356 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้นให้ Silver Lake ทำให้ Intel ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักได้มากขึ้น

    นอกจากนี้ Intel ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กร เช่น ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% และเปลี่ยนแปลงทีมบริหาร พร้อมกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แปลงเงินสนับสนุนในยุค Biden เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินและความสามารถในการแข่งขันในตลาดชิปที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ขายหุ้น 51% ของ Altera ให้ Silver Lake มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์
    ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายปี 2025 เหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้าน
    ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% หลังประกาศข่าว
    Altera เคยมีรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก และกำไรขั้นต้น 55%

    การปรับโครงสร้างองค์กร
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เน้นลดต้นทุนและปรับโครงสร้าง
    ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% ภายในสิ้นปี
    รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้น 10% ผ่านการแปลงเงินสนับสนุนเป็นทุน
    เป้าหมายปี 2026 ยังคงไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Altera เป็นผู้นำด้าน FPGA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาด AI และ embedded systems
    Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพลิกฟื้นธุรกิจเทคโนโลยี
    การขายหุ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 356 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    Intel ยังถือหุ้น 49% ใน Altera — มีสิทธิ์ร่วมรับผลประโยชน์ในอนาคต

    คำเตือนและข้อจำกัด
    มูลค่าการขาย Altera ต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงเกือบครึ่ง
    การลดพนักงานอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและความสามารถในการดำเนินงาน
    การพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลอาจมีข้อจำกัดด้านนโยบายในอนาคต
    หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหญ่สำหรับเทคโนโลยี 14A ได้ อาจต้องยกเลิกสายการผลิต
    ตลาดชิปยังแข่งขันสูงจากคู่แข่งอย่าง AMD, Nvidia และ TSMC — Intel ต้องเร่งปรับตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/intel-lowers-full-year-expense-target
    💸 “Intel ขายหุ้น Altera ลดต้นทุนปี 2025 — พลิกเกมการเงินหลังขาดทุนหนักในยุคก่อน” หลังจากเผชิญกับภาวะขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ Intel ได้ตัดสินใจขายหุ้น 51% ของธุรกิจชิปแบบปรับแต่งได้ Altera ให้กับบริษัทเอกชน Silver Lake ด้วยมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงครึ่งหนึ่ง การขายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปลดภาระ แต่เป็นการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan ผลจากการขายทำให้ Intel ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2025 ลงเหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้านดอลลาร์ โดยยังคงเป้าหมายปี 2026 ไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ การลดค่าใช้จ่ายนี้ช่วยให้ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่เคยกังวลกับการขาดทุนสะสมกว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 Altera ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ Intel หวังจะใช้ขยายตลาดด้าน programmable chips รายงานรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 พร้อมกำไรขั้นต้น 55% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 356 ล้านดอลลาร์ การขายหุ้นให้ Silver Lake ทำให้ Intel ไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อีกต่อไป และสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักได้มากขึ้น นอกจากนี้ Intel ยังมีการปรับโครงสร้างองค์กร เช่น ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% และเปลี่ยนแปลงทีมบริหาร พร้อมกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แปลงเงินสนับสนุนในยุค Biden เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินและความสามารถในการแข่งขันในตลาดชิปที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ขายหุ้น 51% ของ Altera ให้ Silver Lake มูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ปรับลดเป้าหมายค่าใช้จ่ายปี 2025 เหลือ 16.8 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 17 พันล้าน ➡️ ราคาหุ้น Intel พุ่งขึ้นเกือบ 6% หลังประกาศข่าว ➡️ Altera เคยมีรายได้ 816 ล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก และกำไรขั้นต้น 55% ✅ การปรับโครงสร้างองค์กร ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เน้นลดต้นทุนและปรับโครงสร้าง ➡️ ลดจำนวนพนักงานลงกว่า 20% ภายในสิ้นปี ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้น 10% ผ่านการแปลงเงินสนับสนุนเป็นทุน ➡️ เป้าหมายปี 2026 ยังคงไว้ที่ 16 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Altera เป็นผู้นำด้าน FPGA ซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาด AI และ embedded systems ➡️ Silver Lake เป็นบริษัทลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพลิกฟื้นธุรกิจเทคโนโลยี ➡️ การขายหุ้นช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 356 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ Intel ยังถือหุ้น 49% ใน Altera — มีสิทธิ์ร่วมรับผลประโยชน์ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ มูลค่าการขาย Altera ต่ำกว่าราคาที่ Intel เคยซื้อไว้ในปี 2015 ถึงเกือบครึ่ง ⛔ การลดพนักงานอาจกระทบต่อขวัญกำลังใจและความสามารถในการดำเนินงาน ⛔ การพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลอาจมีข้อจำกัดด้านนโยบายในอนาคต ⛔ หาก Intel ไม่สามารถหาลูกค้ารายใหญ่สำหรับเทคโนโลยี 14A ได้ อาจต้องยกเลิกสายการผลิต ⛔ ตลาดชิปยังแข่งขันสูงจากคู่แข่งอย่าง AMD, Nvidia และ TSMC — Intel ต้องเร่งปรับตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/15/intel-lowers-full-year-expense-target
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel trims full-year expense outlook following Altera stake sale
    (Reuters) - Intel said on Monday it has lowered its full-year 2025 adjusted operating expense target to $16.8 billion, from $17 billion earlier, to reflect the deconsolidation of its programmable chip business, Altera.
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
    แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
    ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
    ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
    ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
    แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
    หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
    ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
    อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 12 – ชีวิตในคอก (ตอนจบ) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ) แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษา วิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ) หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews
More Results