• นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน
    ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร
    ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง !
    ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !)
    เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน
    ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ
    แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น
    จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน
    แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน”
    ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile !
    มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 17 : หลอกยิวกลับบ้าน ค.ศ. 1870 น้ำมันของรัสเซียที่แหล่ง Baku ทำท่าจะแซง ความเป็นพี่เบิ้มของ Standard Oil ส่วนตระกูลเศรษฐีโคตรรวยฝั่งยุโรป Rothchild หลังจากส้มหล่น รวยเอารวยเอา จนถือได้ว่ากลางศตวรรษที่ 19 ตระกูลนี้รวยที่สุดในโลก มีสาขาธุรกิจการเงินการธนาคาร แผ่ขยายไปทั่วยุโรป เป็นกลุ่มบรรษัทข้ามชาติของแท้รุ่นแรก นาย Alfonse de Rothchild แอบไปลงทุนในน้ำมันของรัสเซียมาหลายสิบปีเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีนี่สงสัยจมูกยาวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นเงินก่อนใคร ปีค.ศ. 1880 Rothchild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง ไม่แค่นั้น เขาเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปและตะวันออกไกล ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไปสำหรับการส่งน้ำมัน พวกเขาเริ่มดูเส้นทางใหม่เอี่ยม คลองสุเอช ยาว 4,000 ไมล์ น่าสนใจ ! แต่จะให้ดีต้องมีใครคุมอยู่แถวนั้น แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 รัฐบาลอังกฤษจับมือให้ Rothchild (เอะ หรือ Rothchild จับมือรัฐบาลกันแน่ ?!) ซึ่งหุ้นในบริษัท Suez Canal เวลาประชุมผู้ถือหุ้น ก็นั่งเคียงกับรัฐบาลอังกฤษ มีพระอันดับ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers คงเห็นกันแล้วว่า พวกเศรษฐีเขาหาเงินกันยังไง ! ตระกูล Rothchild ทำธุรกิจขยายไปตามสาขาของครอบครัวตระกูล ที่อยู่ในฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และรัสเซีย เมื่อพระเจ้า Czar ตาย ลูกชายคือ Czar Nicholas ที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน พร้อมกันทำงานที่พ่อเริ่มไว้คือ ผลักดันให้ชาวยิวในรัสเซีย ย้ายออกไปจากรัสเซีย พวกยิวก็มุ่งหน้าไปทางยุโรปตะวันตก ยิวพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสังคมนิยม เมื่อจะเดินเท้าเข้ายังยุโรปตะวันตก พวกเศรษฐียุโรปก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะพวกที่กำลังนั่งโกยเงินอยู่ในอังกฤษ ถ้ายิวกลุ่มนี้เข้ามาก่อความวุ่นวายแถวลอนดอน ธุรกิจการค้าของเขาก็จะชะงักงัน (เห็นไหม ท่านผู้อ่านนิทาน นักธุรกิจก็คิดเป็นเท่านี้แหละ ใครจะทำอะไร เพื่ออะไร ถูกหรือผิด เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียว อย่าให้การค้าของเขากระทบแล้ว เหมือนกันหมดทุกชาติ ทุกสมัย !) เพราะฉะนั้น Palestine คือ คำตอบ มันเป็นการล็อคสเปค ไอ้ที่อ้างว่าส่งยิวกลับบ้านน่ะ มันข่าวประเภท CNN หรือข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ของจริงเป็นยังไง อ่านต่อไปท่านผู้อ่านนิทาน ตระกูล Rothchilds เป็นที่รู้กันว่า pro ยิว (pro – Zionist) แม้รัสเซียจะเขี่ยยิวออกไปจากประเทศ ไอ้พวกโคตรรวยส้มหล่นนี่ก็ยังต้องทำเป็นไม่เดือดร้อน แถมเข้าไปสนับสนุนรัสเซียต่อ เพราะมันอยากได้น้ำมันเขา เงินทองมันหอมยวนใจ แล้วตระกูลโคตรรวย 2 ฝั่งคาบสมุทร ก็หันมาจับมือกัน ปี ค.ศ. 1895 Rothchilds ก็ทำสัญญากับ Standad Oil ของ Rockefeller เพื่อตกลงแบ่งส่วนครองตลาดน้ำมันโลกกัน พวกมันนึกว่า มันเป็นเจ้าของโลกจริง ๆ แต่รัสเซียไม่ได้โง่ มีบ่อน้ำมันอยู่ในมือ จะให้เศรษฐีหลอกรับประทานอยู่ข้างเดียวได้ยังไง รัสเซียจึงวางเงื่อนไข กลับไปที่เศรษฐีส้มหล่น จะเอายังไงเพื่อน จะอุ้มยิวหรือจะเอาน้ำมัน เศรษฐีโคตรรวยทำเป็นยัวะ มันไม่เห็นแก่หน้าเราเลยนะ นึกว่ามีอำนาจแล้ว สั่งคนรวยได้หรือ เงินก็ซื้ออำนาจได้เหมือนกันนะ อย่าลืม หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า ตระกูล Rothchild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตนมีอยู่ในธุรกิจน้ำมันที่รัสเซีย ให้แก่ Royal Dutch Shell แต่ของจริง คือ Rothchild “ประเมิน” ไว้แล้วว่า การเมืองในรัสเซีย น่าจะเกิดปัญหาในอีกไม่กี่ปี ถือหุ้นน้ำมันไปก็เหนื่อย ขายออกมาทำกำไรก่อนดีกว่า 555 นักเล่นหุ้น ควรดูฝีมือลงทุนของตระกูลนี้ไว้ เผื่อจะส้มหล่นกันบ้าง ตั้งแต่เริ่มแรกจนบัดนี้ เขาเอาอะไรเป็นตัววัด ในการซื้อ การขาย การลงทุน แล้วรัสเซียก็เกิดความวุ่นวายในประเทศเป็นระลอก ๆ จริง ๆ ตามที่เศรษฐีส้มหล่น “ประเมิน” ปี ค.ศ. 1917 ความวุ่นวายคร้ังนี้ เริ่มมาจากการประท้วงของกรรมกร ที่ทำงานในแหล่งน้ำมันที่ Baku แล้วก็มีกองทัพของ Azerbaijan บุกเข้ามายึดบ่อน้ำมันที่ Baku ระหว่างที่กรรมกรกำลังก่อเหตุนั่นแหละ อ้าว ! โผล่มาจากไหนละ กองทัพ Azerbaijan นี่น่ะ ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ หลังจาก Azerbaijan ยึด Baku ไปแล้ว ก็มีบริษัทม้ามืดชื่อ SONJ ย่อมาจาก Standard Oil of New Jersey เข้ามาทำสัญญาสำรวจน้ำมันในแถบ Baku แทน ระหว่างเกิดเหตุความวุ่นวาย บริษัทต่างชาติก็วิ่งเข้ามาแย่งซื้อสัมปทานในรัสเซีย หวังจะได้ส้มหล่นบ้าง แต่ไม่ทันเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของ SONJ ซึ่งบัดนี้ใช้ชื่อว่า Exxon Mobile ! มาถึงตรงนี้นักธุรกิจอย่าง J D Rockefeller และนักค้าเงินแถว Wall Street อย่าง JP Morgan ก็มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนว่า หนทางที่จะเหมาเข่งธุรกิจการค้า ไม่มีอะไรดีกว่า “เล่นการเมือง” และท่านผู้อ่านนิทานก็คงพอจะมองออกแล้วว่า เขาเล่นกลกันอย่างไร คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • จริงๆประชาชน สมควรตั้งสติคิดกันได้แล้วนะ จะลงโทษเจ้าสัวคณะกรรมการบริษัทและพวกผู้ถือหุ้นนี้อย่างไร ทั้งพวกต่างชาติที่ถือหุ้นในกิจการนี้ด้วย.
    ..เรา..ประชาชนร่วมใจกันแบนกิจการพวกนี้น่าจะดีนะ,สินค้าต่างๆพวกนี้ด้วย เลิกเข้าห้างพวกนี้ทั้งหมด จะซื้อถามก่อนว่าสินค้ามาจากห้างส่งพวกนี้ด้วยมั้ยหรือชาวบ้านทำเอง,ชาวบ้านเราก็เริ่มทำให้ดี มีคุณภาพรับกระแสกว่าเดิมด้วย จากสะอาดก็สะอาดละเอียดขึ้น,มาตรฐานดีขึ้น,ร่วมกันแบนสินค้าเจ้าสัวพวกนี้,ใครบริจาคอะไร กิจการไหนทำดีอย่างไร รวบรวมไว้ให้คนไทยตื่นรู้เข้าใจสันดานนิสัยคนพวกนี้ที่หากินบนแผ่นดินไทยกับประชาชนคนไทยเรา,บริษัทต่างชาติที่ตั้งบริษัทในไทย มีส่วนร่วมรักษาอธิปไตยไทยเราที่พวกมันมาตั้งฐานตั้งบริษัทกิจการหาเงินกับคนไทยเรา ใช้แผ่นดินไทยทำมาหาแดกบนแผ่นดินไทนเรา มันๆเข้าร่วมปกป้องอธิปไตยแผ่นดินไทยช่วยเหลือประชาชนคนไทยยามเราลำบากมีบริษัทกิจการไหนบ้าง เราสร้างแพลตฟอร์มรวบร่วมคุณความดีเขาเหล่านั้นด้วย เราจะได้ไม่ทำให้เขาลำบากเสียตังเสียสละเงินทองเปล่าประโยชน์หรือขาดสภาพคล่องจนอาจปิดกิจการไป,ได้มาสนับสนุนสินค้าบริการเขาถูกคน,กิิจการใดเนรคุณหมายผลประโยชน์เงินทองจากคนไทยอย่างเดียวเราไม่สมควรสนับสนุนสร้างชื่อเสียงมันอีก,แบนได้แบนเลย ประจานได้ประจานเลย.,กฎหมายหมิ่นประมาทจึงต้องฉีกทิ้งดีที่สุด,สังคมชุมชนเราจะต้องควบคุมกันเอง มิใช่ใช้กฎหมายบีบกดทัพประชาชน.

    ..ถึงเวลารวบรวมใครช่วยเหลือคนไทยเราบ้างเมื่อคนไทยเราเดือดร้อน แม้คนช่วยเหลือเขาไม่ใส่ใจ แต่เราก็สมควรจดรายชื่อเขาในความเสียสละนั้นไว้ว่าเขาไม่ถูกทอดทิ้งมิให้ใครไม่จดจำเขาได้แม้เล็กน้อยก็ตาม.,แผนกติดตามความดีภาคประชาชน เราต้องมีจริงๆจังๆเช่นกัน แม้พยายามบันทึกความดีผู้คนให้มากที่สุดที่ท่านเหล่านั้นไม่หวังสิ่งตอบแทนกลับคืนแต่เมื่อคนไทยเราย้อนไปเปิดอ่านรายชื่อดู มีชื่อคุณความดีเขาอยู่ในทำเนียบรายชื่อผู้ทำดีด้วย จะจรรโลงสร้างคนไทยรุ่นต่อไปว่าการทำความดีแม้ต่อหน้าหรือปิดทองหลังพระความดีเขาจะเป็นที่จดจำเสมอและส่งต่อแก่รุ่นๆต่อไปจนถึงที่สุด,สังคมไทยเราจะอัพเรเวลตนเองแบบไม่รู้ตัว,ยกจิตยกใจอัตโนมัติขึ้นๆไปอีกนั้นเอง.

    ..ถึงเวลาแบนสันดานคนที่หาแดกทำกินหาแดกบนแผ่นดินไทยอย่างเดียวได้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/kS-5t3x8Wu8?si=051BtAlwP9HXYXw0
    จริงๆประชาชน สมควรตั้งสติคิดกันได้แล้วนะ จะลงโทษเจ้าสัวคณะกรรมการบริษัทและพวกผู้ถือหุ้นนี้อย่างไร ทั้งพวกต่างชาติที่ถือหุ้นในกิจการนี้ด้วย. ..เรา..ประชาชนร่วมใจกันแบนกิจการพวกนี้น่าจะดีนะ,สินค้าต่างๆพวกนี้ด้วย เลิกเข้าห้างพวกนี้ทั้งหมด จะซื้อถามก่อนว่าสินค้ามาจากห้างส่งพวกนี้ด้วยมั้ยหรือชาวบ้านทำเอง,ชาวบ้านเราก็เริ่มทำให้ดี มีคุณภาพรับกระแสกว่าเดิมด้วย จากสะอาดก็สะอาดละเอียดขึ้น,มาตรฐานดีขึ้น,ร่วมกันแบนสินค้าเจ้าสัวพวกนี้,ใครบริจาคอะไร กิจการไหนทำดีอย่างไร รวบรวมไว้ให้คนไทยตื่นรู้เข้าใจสันดานนิสัยคนพวกนี้ที่หากินบนแผ่นดินไทยกับประชาชนคนไทยเรา,บริษัทต่างชาติที่ตั้งบริษัทในไทย มีส่วนร่วมรักษาอธิปไตยไทยเราที่พวกมันมาตั้งฐานตั้งบริษัทกิจการหาเงินกับคนไทยเรา ใช้แผ่นดินไทยทำมาหาแดกบนแผ่นดินไทนเรา มันๆเข้าร่วมปกป้องอธิปไตยแผ่นดินไทยช่วยเหลือประชาชนคนไทยยามเราลำบากมีบริษัทกิจการไหนบ้าง เราสร้างแพลตฟอร์มรวบร่วมคุณความดีเขาเหล่านั้นด้วย เราจะได้ไม่ทำให้เขาลำบากเสียตังเสียสละเงินทองเปล่าประโยชน์หรือขาดสภาพคล่องจนอาจปิดกิจการไป,ได้มาสนับสนุนสินค้าบริการเขาถูกคน,กิิจการใดเนรคุณหมายผลประโยชน์เงินทองจากคนไทยอย่างเดียวเราไม่สมควรสนับสนุนสร้างชื่อเสียงมันอีก,แบนได้แบนเลย ประจานได้ประจานเลย.,กฎหมายหมิ่นประมาทจึงต้องฉีกทิ้งดีที่สุด,สังคมชุมชนเราจะต้องควบคุมกันเอง มิใช่ใช้กฎหมายบีบกดทัพประชาชน. ..ถึงเวลารวบรวมใครช่วยเหลือคนไทยเราบ้างเมื่อคนไทยเราเดือดร้อน แม้คนช่วยเหลือเขาไม่ใส่ใจ แต่เราก็สมควรจดรายชื่อเขาในความเสียสละนั้นไว้ว่าเขาไม่ถูกทอดทิ้งมิให้ใครไม่จดจำเขาได้แม้เล็กน้อยก็ตาม.,แผนกติดตามความดีภาคประชาชน เราต้องมีจริงๆจังๆเช่นกัน แม้พยายามบันทึกความดีผู้คนให้มากที่สุดที่ท่านเหล่านั้นไม่หวังสิ่งตอบแทนกลับคืนแต่เมื่อคนไทยเราย้อนไปเปิดอ่านรายชื่อดู มีชื่อคุณความดีเขาอยู่ในทำเนียบรายชื่อผู้ทำดีด้วย จะจรรโลงสร้างคนไทยรุ่นต่อไปว่าการทำความดีแม้ต่อหน้าหรือปิดทองหลังพระความดีเขาจะเป็นที่จดจำเสมอและส่งต่อแก่รุ่นๆต่อไปจนถึงที่สุด,สังคมไทยเราจะอัพเรเวลตนเองแบบไม่รู้ตัว,ยกจิตยกใจอัตโนมัติขึ้นๆไปอีกนั้นเอง. ..ถึงเวลาแบนสันดานคนที่หาแดกทำกินหาแดกบนแผ่นดินไทยอย่างเดียวได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/kS-5t3x8Wu8?si=051BtAlwP9HXYXw0
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel

    ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

    ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่

    แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต

    แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า?

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10%
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส
    รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung
    แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน
    การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ
    CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ
    Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
    รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
    การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน
    CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน
    Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี
    การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    🎙️ เมื่อเงินช่วยเหลือกลายเป็นหุ้น – สหรัฐฯ กับแนวคิดถือหุ้นใน Samsung และ Intel ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2025 โลกเทคโนโลยีต้องสะเทือน เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ในบริษัท ซึ่งถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนโยบายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ข่าวลือเริ่มลุกลามไปถึง Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนกว่า 4.75 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส แม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะออกมาปฏิเสธทันทีว่าไม่มีแผนให้สหรัฐฯ เข้าถือหุ้นใน Samsung แต่ความกังวลในแวดวงธุรกิจและการเมืองก็ยังคงอยู่ แนวคิดนี้มาจากรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick ซึ่งเสนอว่าหากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนบริษัทเอกชน ก็ควรได้รับผลตอบแทนในรูปแบบหุ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เช่น การปิดโรงงานหรือการย้ายฐานผลิต แม้จะดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีคำถามตามมามากมาย เช่น หากรัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหาร จะมีผลต่อการถือหุ้นหรือไม่? และจะกระทบต่อความเป็นอิสระของบริษัทหรือเปล่า? 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ Intel เพื่อแลกเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้น 10% ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุนกว่า $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act เพื่อสร้างโรงงานในเท็กซัส ➡️ รัฐบาลเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการถือหุ้นของสหรัฐฯ ใน Samsung ➡️ แนวคิดถือหุ้นมาจากรัฐมนตรี Lutnick เพื่อให้เงินสนับสนุนมีผลตอบแทน ➡️ การถือหุ้นอาจไม่มีสิทธิบริหาร แต่สามารถรับเงินปันผลหรือมีสิทธิ์ยับยั้งบางการตัดสินใจ ➡️ CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้านเพื่อสนับสนุนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ ➡️ Intel เป็นผู้รับเงินสนับสนุนรายใหญ่ที่สุด และอาจกลายเป็นบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นมากที่สุด ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีเป็นแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ➡️ รัฐบาลเคยถือหุ้นในบริษัทช่วงวิกฤตปี 2008 เช่น General Motors เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ➡️ การถือหุ้นอาจช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้ง่ายขึ้น และลดภาษีนำเข้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยไม่ขอสิทธิบริหาร ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเจรจา “golden share” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการปิดโรงงาน ➡️ CHIPS Act ถูกผลักดันหลัง COVID-19 และสงครามเทคโนโลยีสหรัฐ–จีน ➡️ Intel ประสบปัญหาการแข่งขันจาก TSMC และ Samsung ในด้านเทคโนโลยี ➡️ การถือหุ้นอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อเสริมความมั่นคงด้าน AI และการทหาร https://www.tomshardware.com/tech-industry/south-korea-says-there-are-no-plans-for-the-u-s-to-acquire-samsung-shares-denial-comes-amid-talks-about-washington-acquiring-a-10-percent-equity-stake-in-intel-for-chips-act-funds
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์

    ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump

    หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ

    Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก

    นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump
    Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10%
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น”
    Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป
    Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส
    TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว
    การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump
    Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel
    การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030
    SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน
    การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง

    https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    🎙️ Samsung จับมือ Intel – เกมการเมืองระดับโลกในสนามเซมิคอนดักเตอร์ ในช่วงที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังกลายเป็นสมรภูมิทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับชาติ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump หลังจาก SoftBank ประกาศลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ Samsung ก็ถูกเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทำแบบเดียวกัน โดยหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในโครงการโรงงานและการผลิตชิปในประเทศ Intel กลายเป็นศูนย์กลางของนโยบาย CHIPS Act ที่รัฐบาล Trump กำลังปรับเปลี่ยนจาก “เงินสนับสนุน” เป็น “การถือหุ้น” โดยมีแผนจะเปลี่ยนเงินช่วยเหลือมูลค่ากว่า $10.9 พันล้านให้กลายเป็นหุ้น 10% ใน Intel ซึ่งจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Samsung ซึ่งได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ก็อาจถูกเสนอให้แลกเงินนั้นกับการถือหุ้นเช่นกัน ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และยุทธศาสตร์การผลิตของ Samsung ในระดับโลก นอกจากนี้ Samsung ยังพิจารณาร่วมมือกับบริษัท Amkor ในด้านการแพ็กเกจชิป ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ Samsung เมื่อเทียบกับ TSMC ที่มีโรงงานแพ็กเกจในสหรัฐฯ แล้ว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Samsung กำลังพิจารณาลงทุนใน Intel เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาล Trump ➡️ Intel ได้รับเงินสนับสนุน $10.9 พันล้านจาก CHIPS Act และอาจถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้านจาก CHIPS Act ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแนวทางจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” ➡️ Samsung พิจารณาร่วมมือกับ Amkor เพื่อเสริมความสามารถด้านการแพ็กเกจชิป ➡️ Samsung มีข้อตกลงผลิตชิป AI ให้ Tesla มูลค่า $16.5 พันล้านในรัฐเท็กซัส ➡️ TSMC ประกาศลงทุนเพิ่ม $100 พันล้านในสหรัฐฯ ผ่านการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ➡️ การลงทุนใน Intel ถูกมองว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อนโยบายของรัฐบาล Trump ➡️ Samsung หวังใช้การลงทุนนี้เพื่อเสริมบทบาทในตลาดสหรัฐฯ และลดผลกระทบจากภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถือหุ้นใน TSMC, Micron และ Samsung เช่นเดียวกับ Intel ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเป็นแนวทางที่ใช้ในจีน, เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ➡️ Samsung ลงทุน $37 พันล้านในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ ภายในปี 2030 ➡️ SK hynix ก็ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act และอาจถูกเสนอให้แลกเป็นหุ้นเช่นกัน ➡️ การถือหุ้นของรัฐบาลอาจไม่ให้สิทธิ์บริหาร แต่มีผลต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคง https://wccftech.com/samsung-seeking-to-woo-trump-administration-by-investing-in-intel-after-softbank-says-report/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Seeking To Woo Trump Administration By Investing In Intel After Softbank, Says Report
    Samsung is considering investing in Intel to support U.S. chip production after Softbank's $2 billion investment.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • ผู้ถือหุ้นกู้ ACAP ยื่นฟ้องเอาผิดผู้บริหาร 21/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ผู้ถือหุ้นกู้ #เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป #ACAP
    ผู้ถือหุ้นกู้ ACAP ยื่นฟ้องเอาผิดผู้บริหาร 21/08/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ผู้ถือหุ้นกู้ #เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป #ACAP
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 0 Reviews
  • CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ

    เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว

    หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง

    แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง

    อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป
    Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน
    แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries
    เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B
    Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป”
    แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้
    การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์
    มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG
    TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์
    การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน
    Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน
    Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    🎙️ CHIPS Act ไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลืออีกต่อไป — รัฐบาลสหรัฐฯ อาจกลายเป็นผู้ถือหุ้นใน Intel และบริษัทชิปอื่น ๆ เดิมที CHIPS Act ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ แต่ล่าสุด Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแนวคิดใหม่ที่พลิกเกม: แทนที่จะให้เงินเปล่า รัฐบาลควร “ซื้อหุ้น” ในบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน แนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน และอาจได้รับเงินกู้เพิ่มอีก $11 พันล้าน แต่รัฐบาลกำลังพิจารณาถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนดังกล่าว หากแนวทางนี้ขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung หรือ GlobalFoundries ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมชิปไปอย่างสิ้นเชิง แม้แนวคิดนี้จะดูเหมือนการลงทุนแบบ VC แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น บริษัทต่างชาติอย่าง Samsung หรือ TSMC อาจไม่ยอมให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นง่าย ๆ เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของประเทศตนเอง และอาจซับซ้อนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนเพียง 80 ไมล์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอแนวคิดเปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นการซื้อหุ้นในบริษัทชิป ➡️ Howard Lutnick เสนอให้ถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อแลกกับเงินสนับสนุนกว่า $7.86 พันล้าน ➡️ แนวคิดนี้อาจขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, TSMC, Samsung และ GlobalFoundries ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้เสียภาษีได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ไม่ใช่แค่ให้เงินเปล่า ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยให้เงินสนับสนุน Samsung $4.75B, Micron $6.2B และ TSMC $6.6B ➡️ Lutnick ระบุว่า “เราไม่สามารถพึ่งพาไต้หวันในการผลิตชิปขั้นสูงได้อีกต่อไป” ➡️ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กำลังเจรจาใหม่กับบริษัทที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ➡️ การถือหุ้นจะไม่ให้สิทธิ์ในการบริหาร แต่จะให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางยุทธศาสตร์ ➡️ มีการเปรียบเทียบกับการถือหุ้นของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยถือหุ้นในบริษัทเอกชนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น GM และ AIG ➡️ TSMC มีผู้ถือหุ้นจากหลายประเทศ เช่น รัฐบาลไต้หวันและกองทุนจากสิงคโปร์ ➡️ การถือหุ้นของรัฐอาจช่วยดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ให้กับ Intel ที่กำลังขาดทุน ➡️ Nvidia เคยทำข้อตกลงให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่วนแบ่ง 15% จากการขายชิป H20 ให้จีน ➡️ Pentagon เตรียมถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเหมืองเพื่อเพิ่มการผลิตแม่เหล็กหายาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/chips-act-funding-could-herald-an-era-where-the-u-s-is-not-offering-grants-but-buying-equity-lutnicks-semiconductor-strategy-might-not-end-with-intel
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย

    การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า

    รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

    Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์

    แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด
    SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2%
    หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม
    รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel
    หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10%
    Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป
    โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก
    SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel
    CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025
    Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle
    Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank
    BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel
    ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว
    Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    💬 Intel กำลังหายใจ – เมื่อยักษ์ใหญ่ต้องลดราคาหุ้นเพื่อความอยู่รอด ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อขอเงินทุนเพิ่มผ่านการขายหุ้นในราคาส่วนลด หลังจากเพิ่งได้รับเงินลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์จาก SoftBank ที่ซื้อหุ้นในราคา $23 ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดเล็กน้อย การระดมทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของ Intel ที่จะฟื้นฟูธุรกิจผลิตชิปในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในตลาด AI ที่ถูกครอบครองโดย Nvidia และ TSMC มานานหลายปี เนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล่าช้า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick เสนอให้เปลี่ยนเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลถือหุ้นถึง 10% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Intel ต้องการเงินทุนมหาศาลถึง $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิประดับสูง โดยเฉพาะโครงการโรงงานผลิตชิปในรัฐโอไฮโอที่ล่าช้ามาหลายปี และการยกเลิกโครงการในเยอรมนีและโปแลนด์ แม้ SoftBank จะไม่ขอที่นั่งในบอร์ด แต่การลงทุนครั้งนี้ถือเป็น “เดิมพัน” ว่า Intel จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ และกลับมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิปอีกครั้ง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Intel กำลังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อระดมทุนผ่านการขายหุ้นราคาส่วนลด ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้าน ซื้อหุ้นที่ $23 ต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ➡️ หุ้น Intel ร่วง 7% หลังข่าวการระดมทุนเพิ่มเติม ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอเปลี่ยนเงินสนับสนุน CHIPS Act เป็นหุ้นของ Intel ➡️ หากเปลี่ยนทั้งหมด รัฐบาลจะถือหุ้นถึง 10% ➡️ Intel ต้องการเงินทุนรวมประมาณ $40 พันล้านเพื่อแข่งขันในตลาดชิป ➡️ โครงการโรงงานในโอไฮโอล่าช้า และโครงการในเยอรมนี-โปแลนด์ถูกยกเลิก ➡️ SoftBank ไม่ขอที่นั่งในบอร์ด และไม่มีข้อผูกพันในการซื้อชิปจาก Intel ➡️ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan เข้ามาแทน Pat Gelsinger ตั้งแต่มีนาคม 2025 ➡️ Intel เคยขาดทุน $18.8 พันล้านในปี 2024 ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank มีแผนลงทุน $30 พันล้านใน OpenAI และโครงการ Stargate ร่วมกับ Oracle ➡️ Foxconn จะผลิตอุปกรณ์ดาต้าเซ็นเตอร์ในโรงงานเดิมที่โอไฮโอให้ SoftBank ➡️ BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Intel อยู่แล้ว ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของ Intel ➡️ ตลาดชิป AI มีมูลค่ามากกว่า $500 พันล้าน และเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Intel ยังไม่มีลูกค้าหลักในธุรกิจผลิตชิปตามสั่ง (foundry) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/intel-in-talks-with-large-investors-for-equity-boost-at-discount-cnbc-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel in talks with large investors for equity boost at discount, CNBC reports
    (Reuters) -Intel is in talks with other large investors to receive an equity infusion at a discounted price, CNBC reported on Wednesday, just days after the chipmaker got a $2 billion capital injection from SoftBank Group.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าใหม่: รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมถือหุ้นในบริษัทชิป – เมื่อเงินภาษีอาจกลายเป็นหุ้นใน Intel, Micron และ TSMC

    ในปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick กำลังผลักดันแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน: ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิปที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดสรรงบประมาณกว่า $52.7 พันล้าน เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ

    แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเจรจากับ Intel ซึ่งอาจนำไปสู่การถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล แลกกับเงินสนับสนุนที่เคยให้ไปในยุคของประธานาธิบดี Biden และกำลังขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, Samsung และ TSMC

    แม้จะยังไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้จีนเพียง 80 ไมล์

    นอกจากนี้ รัฐบาลยังเคยใช้แนวทางคล้ายกันกับ Nippon Steel โดยถือ “หุ้นทองคำ” เพื่อควบคุมการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติในสหรัฐฯ

    ข้อมูลในข่าว
    รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาถือหุ้นในบริษัทชิปที่ได้รับเงินจาก CHIPS Act
    เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งอาจมีการถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล
    ขยายแนวคิดไปยัง Micron, Samsung และ TSMC
    CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้าน สำหรับสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้าน, Micron $6.2 พันล้าน, TSMC $6.6 พันล้าน
    รัฐบาลเคยใช้แนวทาง “หุ้นทองคำ” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการลงทุน
    Lutnick ระบุว่าแนวคิดนี้จะไม่แทรกแซงการบริหารของบริษัท
    ทรัมป์สนับสนุนแนวคิดนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาติและผู้เสียภาษี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ปัจจุบันตามหลัง TSMC และ Samsung
    การถือหุ้นโดยรัฐบาลอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุน
    CHIPS Act ผ่านในยุค Biden เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศหลังวิกฤตโควิด
    การถือหุ้นโดยรัฐเคยเกิดขึ้นในวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือ GM และ AIG
    การถือหุ้นอาจช่วยให้รัฐบาลมีสิทธิ์ตรวจสอบการใช้เงินและการดำเนินงาน
    การผลิตชิปในประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและกลาโหม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/trump-eyes-us-government-stakes-in-other-chip-makers-that-received-chips-act-funds-sources-say
    🏛️ เรื่องเล่าใหม่: รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมถือหุ้นในบริษัทชิป – เมื่อเงินภาษีอาจกลายเป็นหุ้นใน Intel, Micron และ TSMC ในปี 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick กำลังผลักดันแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน: ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ถือหุ้นในบริษัทผู้ผลิตชิปที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดสรรงบประมาณกว่า $52.7 พันล้าน เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการเจรจากับ Intel ซึ่งอาจนำไปสู่การถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล แลกกับเงินสนับสนุนที่เคยให้ไปในยุคของประธานาธิบดี Biden และกำลังขยายไปยังบริษัทอื่น เช่น Micron, Samsung และ TSMC แม้จะยังไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ และลดการพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้จีนเพียง 80 ไมล์ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเคยใช้แนวทางคล้ายกันกับ Nippon Steel โดยถือ “หุ้นทองคำ” เพื่อควบคุมการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาถือหุ้นในบริษัทชิปที่ได้รับเงินจาก CHIPS Act ➡️ เริ่มต้นจาก Intel ซึ่งอาจมีการถือหุ้น 10% โดยรัฐบาล ➡️ ขยายแนวคิดไปยัง Micron, Samsung และ TSMC ➡️ CHIPS Act มีงบประมาณรวม $52.7 พันล้าน สำหรับสนับสนุนการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Samsung ได้รับเงินสนับสนุน $4.75 พันล้าน, Micron $6.2 พันล้าน, TSMC $6.6 พันล้าน ➡️ รัฐบาลเคยใช้แนวทาง “หุ้นทองคำ” กับ Nippon Steel เพื่อควบคุมการลงทุน ➡️ Lutnick ระบุว่าแนวคิดนี้จะไม่แทรกแซงการบริหารของบริษัท ➡️ ทรัมป์สนับสนุนแนวคิดนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาติและผู้เสียภาษี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel เคยเป็นผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ปัจจุบันตามหลัง TSMC และ Samsung ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐบาลอาจช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุน ➡️ CHIPS Act ผ่านในยุค Biden เพื่อกระตุ้นการผลิตชิปในประเทศหลังวิกฤตโควิด ➡️ การถือหุ้นโดยรัฐเคยเกิดขึ้นในวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือ GM และ AIG ➡️ การถือหุ้นอาจช่วยให้รัฐบาลมีสิทธิ์ตรวจสอบการใช้เงินและการดำเนินงาน ➡️ การผลิตชิปในประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านเทคโนโลยีและกลาโหม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/trump-eyes-us-government-stakes-in-other-chip-makers-that-received-chips-act-funds-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump eyes US government stakes in other chip makers that received CHIPS Act funds, sources say
    WASHINGTON (Reuters) -U.S. Commerce Secretary Howard Lutnick is looking into the federal government taking equity stakes in computer chip manufacturers that receive CHIPS Act funding to build factories in the country, two sources said.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate

    SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า

    แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง

    SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน
    โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า
    Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank
    โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน
    SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม
    โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank
    Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ
    SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI
    การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia
    Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank
    โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก
    SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    🏗️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอ: จุดเริ่มต้นของจักรวาล AI ชื่อ Stargate SoftBank ได้ซื้อโรงงานขนาดใหญ่ในเมือง Lordstown รัฐโอไฮโอ จาก Foxconn ด้วยมูลค่า $375 ล้าน โรงงานนี้มีพื้นที่กว่า 6.2 ล้านตารางฟุต เดิมใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และอุปกรณ์สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ที่มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้านในหลายปีข้างหน้า แม้ว่า SoftBank จะเป็นเจ้าของโรงงาน แต่ Foxconn จะยังคงเป็นผู้ดำเนินการผลิต โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันในรูปแบบพันธมิตรระยะยาว จุดเด่นของโรงงานนี้คือมีพลังงานไฟฟ้าสำรองมหาศาล และพื้นที่ขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเหมาะกับการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ต้องใช้พลังงานสูง SoftBank ยังอยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล Stargate โดยพิจารณาจากแหล่งพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ซึ่งเมื่อสถานที่พร้อม โรงงานในโอไฮโอก็จะเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักรหลักทันที นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นในบริษัทผลิตชิปอย่าง Ampere และ Graphcore ซึ่งอาจนำชิปของตนมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ที่ปัจจุบันครองตลาดอยู่ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ SoftBank ซื้อโรงงาน Foxconn ในโอไฮโอด้วยมูลค่า $375 ล้าน ➡️ โรงงานมีขนาด 6.2 ล้านตารางฟุต ใหญ่กว่าศูนย์ผลิตในฮิวสตันถึง 6 เท่า ➡️ Foxconn จะยังคงดำเนินการผลิต แม้โรงงานเป็นของ SoftBank ➡️ โรงงานจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI สำหรับโครงการ Stargate ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank กำลังเลือกสถานที่ตั้งศูนย์ข้อมูล โดยพิจารณาจากพลังงาน น้ำ และโครงสร้างโทรคมนาคม ➡️ โรงงานโอไฮโอจะเป็นฐานผลิตหลักของ Stargate และรับคำสั่งซื้อจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ➡️ SoftBank เคยประกาศลงทุน $100 พันล้านในโครงการนี้เมื่อเดือนมกราคม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SoftBank ถือหุ้นใน Ampere และ Graphcore ซึ่งผลิตชิปสำหรับ AI ➡️ การใช้ชิปของตัวเองอาจช่วยลดต้นทุนและลดการพึ่งพา Nvidia ➡️ Foxconn เคยใช้โรงงานนี้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนขายให้ SoftBank ➡️ โครงการ Stargate ได้รับความสนใจจากธนาคารญี่ปุ่นและนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ➡️ SoftBank มีบริษัทลูกชื่อ SB Energy ที่พัฒนาโซลาร์ฟาร์มในสหรัฐฯ ซึ่งอาจใช้เป็นฐานพลังงานให้ Stargate https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/softbank-acquires-foxconns-ohio-facility-to-build-stargate-ai-servers-usd375-million-deal-says-foxconn-will-continue-to-operate-the-plant
    0 Comments 0 Shares 143 Views 0 Reviews
  • SoftBank ทุ่ม 2 พันล้านดอลลาร์ซื้อหุ้น Intel: เดิมพันอนาคตชิปและ AI
    SoftBank Group ประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel โดยซื้อหุ้นสามัญในราคาหุ้นละ $23 ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของ Intel ที่มีสินทรัพย์รวมกว่า $109 พันล้านดอลลาร์

    ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังดิ้นรนฟื้นตัวจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชิป AI ซึ่งถูกครองโดย Nvidia และ AMD โดย SoftBankมองว่า Intel ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิปที่แข็งแกร่ง และสามารถกลับมาเป็นผู้นำได้ หากเทคโนโลยี 18A และ 14A ประสบความสำเร็จ

    การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel และถือเป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และรองรับความต้องการด้าน AI ที่กำลังพุ่งสูง

    นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ไปเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญในโครงการ Stargate—a mega project ร่วมกับ OpenAI และ Oracle ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน

    SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยซื้อหุ้นละ $23
    Intel กำลังฟื้นตัวจากการสูญเสียตลาดชิป AI และราคาหุ้นตกหนักในปี 2024
    การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel
    ดีลนี้เป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท
    Intel มีแผนฟื้นตัวผ่านเทคโนโลยี 18A และ 14A สำหรับการผลิตชิปรุ่นใหม่
    SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing
    โครงการ Stargate ร่วมกับ OpenAI และ Oracle เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AI
    Intel CEO Lip-Bu Tan และ Masayoshi Son มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยร่วมงานกันหลายครั้ง

    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังสามารถผลิตชิปรุ่นสูงได้ภายในประเทศ
    SoftBank เคยซื้อ Arm ในปี 2016 ด้วยมูลค่า $32 พันล้าน และปัจจุบันมีมูลค่ากว่า $150 พันล้าน
    Ampere Computing เป็นผู้ผลิตชิป ARM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เติบโตเร็ว
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $400 พันล้านภายในปี 2030
    การลงทุนใน Intel อาจช่วย SoftBank ต่อรองกับพันธมิตรอื่นในระบบนิเวศ AI
    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาซื้อหุ้น 10% ใน Intel เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/softbank-to-buy-usd2-billion-in-intel-shares-at-usd23-each-firm-still-owns-majority-share-of-arm
    💼 SoftBank ทุ่ม 2 พันล้านดอลลาร์ซื้อหุ้น Intel: เดิมพันอนาคตชิปและ AI SoftBank Group ประกาศเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ว่าจะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ใน Intel โดยซื้อหุ้นสามัญในราคาหุ้นละ $23 ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของ Intel ที่มีสินทรัพย์รวมกว่า $109 พันล้านดอลลาร์ ดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Intel กำลังดิ้นรนฟื้นตัวจากการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มชิป AI ซึ่งถูกครองโดย Nvidia และ AMD โดย SoftBankมองว่า Intel ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตชิปที่แข็งแกร่ง และสามารถกลับมาเป็นผู้นำได้ หากเทคโนโลยี 18A และ 14A ประสบความสำเร็จ การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel และถือเป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ และรองรับความต้องการด้าน AI ที่กำลังพุ่งสูง นอกจากนี้ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ไปเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งทั้งสองบริษัทมีบทบาทสำคัญในโครงการ Stargate—a mega project ร่วมกับ OpenAI และ Oracle ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ SoftBank ลงทุน $2 พันล้านใน Intel โดยซื้อหุ้นละ $23 ➡️ Intel กำลังฟื้นตัวจากการสูญเสียตลาดชิป AI และราคาหุ้นตกหนักในปี 2024 ➡️ การลงทุนนี้ทำให้ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 ของ Intel ➡️ ดีลนี้เป็นการเสริมพันธมิตรระยะยาวระหว่างสองบริษัท ➡️ Intel มีแผนฟื้นตัวผ่านเทคโนโลยี 18A และ 14A สำหรับการผลิตชิปรุ่นใหม่ ➡️ SoftBank ยังถือหุ้นใหญ่ใน Arm และเพิ่งซื้อ Ampere Computing ➡️ โครงการ Stargate ร่วมกับ OpenAI และ Oracle เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ AI ➡️ Intel CEO Lip-Bu Tan และ Masayoshi Son มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยร่วมงานกันหลายครั้ง ➡️ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังสามารถผลิตชิปรุ่นสูงได้ภายในประเทศ ➡️ SoftBank เคยซื้อ Arm ในปี 2016 ด้วยมูลค่า $32 พันล้าน และปัจจุบันมีมูลค่ากว่า $150 พันล้าน ➡️ Ampere Computing เป็นผู้ผลิตชิป ARM สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เติบโตเร็ว ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $400 พันล้านภายในปี 2030 ➡️ การลงทุนใน Intel อาจช่วย SoftBank ต่อรองกับพันธมิตรอื่นในระบบนิเวศ AI ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาซื้อหุ้น 10% ใน Intel เพื่อเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/softbank-to-buy-usd2-billion-in-intel-shares-at-usd23-each-firm-still-owns-majority-share-of-arm
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3

    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3)
    เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย
    ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ
    ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก
    ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว
    นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร
    ยัง ยังไม่พอ
    อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า
    มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ
    มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน
    การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา
    อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง
    ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน
    การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง
    โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง
    นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ
    สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า
    อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา
    สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย
    ตรงไหนนะ
    ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น
    น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ
    ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย
    Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ
    ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway
    ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ
    อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง
    ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน
    แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม
    หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน

    คนเล่านิทาน
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3 ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3) เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร ยัง ยังไม่พอ อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย ตรงไหนนะ ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • เหมืองในสหรัฐฯ ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของ iPhone เครื่องถัดไป และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคง

    ในทะเลทรายของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีเหมืองแร่ชื่อ Mountain Pass ที่ดูเงียบเหงา แต่กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาจีนด้านแร่หายาก (rare earth elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงขีปนาวุธ

    บริษัท MP Materials ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองนี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง Apple และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดย Apple ลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กที่ผลิตจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ส่วนกระทรวงกลาโหมลงทุนกว่า 550 ล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปแบบการซื้อหุ้นและให้เงินกู้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

    แร่หายาก เช่น samarium, neodymium และ praseodymium มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น มอเตอร์ของเครื่องบินรบ และแม่เหล็กใน iPhone ที่ทำให้เครื่องสั่นได้อย่างแม่นยำ

    แม้แร่เหล่านี้จะไม่ “หายาก” จริง ๆ แต่การแยกและกลั่นให้บริสุทธิ์นั้นซับซ้อนและมีต้นทุนสูง จีนจึงครองตลาดโลกถึงกว่า 80% และเมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออก สหรัฐฯ ก็ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ

    MP Materials เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตและกลั่นแร่หายาก
    ตั้งอยู่ที่เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

    Apple ลงทุน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส
    ใช้ใน iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ

    กระทรวงกลาโหมลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในหุ้นของ MP Materials
    กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท

    มีเงินกู้เพิ่มเติมอีก 150 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิต samarium
    ใช้ในอาวุธ เช่น ขีปนาวุธและเครื่องบินรบ

    เหมืองเคยใกล้ล้มละลายก่อนถูกซื้อโดย MP Materials เมื่อ 8 ปีก่อน
    ปัจจุบันผลิตแร่ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของเหมือง

    มีการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลและระบบ zero-discharge สำหรับน้ำเสีย
    เพื่อให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

    การสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต
    ถือเป็นประเด็นที่มีฉันทามติในด้านความมั่นคงของชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/your-next-iphone-could-come-from-this-us-mine-it-also-has-billions-in-pentagon-contracts
    🏗️📱 เหมืองในสหรัฐฯ ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของ iPhone เครื่องถัดไป และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ในทะเลทรายของรัฐแคลิฟอร์เนีย มีเหมืองแร่ชื่อ Mountain Pass ที่ดูเงียบเหงา แต่กลับกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาจีนด้านแร่หายาก (rare earth elements) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงขีปนาวุธ บริษัท MP Materials ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองนี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้ง Apple และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดย Apple ลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กที่ผลิตจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ส่วนกระทรวงกลาโหมลงทุนกว่า 550 ล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปแบบการซื้อหุ้นและให้เงินกู้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แร่หายาก เช่น samarium, neodymium และ praseodymium มีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น มอเตอร์ของเครื่องบินรบ และแม่เหล็กใน iPhone ที่ทำให้เครื่องสั่นได้อย่างแม่นยำ แม้แร่เหล่านี้จะไม่ “หายาก” จริง ๆ แต่การแยกและกลั่นให้บริสุทธิ์นั้นซับซ้อนและมีต้นทุนสูง จีนจึงครองตลาดโลกถึงกว่า 80% และเมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออก สหรัฐฯ ก็ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ ✅ MP Materials เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตและกลั่นแร่หายาก ➡️ ตั้งอยู่ที่เหมือง Mountain Pass ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ✅ Apple ลงทุน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อแม่เหล็กจากโรงงานรีไซเคิลในเท็กซัส ➡️ ใช้ใน iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ✅ กระทรวงกลาโหมลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ในหุ้นของ MP Materials ➡️ กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัท ✅ มีเงินกู้เพิ่มเติมอีก 150 ล้านดอลลาร์เพื่อผลิต samarium ➡️ ใช้ในอาวุธ เช่น ขีปนาวุธและเครื่องบินรบ ✅ เหมืองเคยใกล้ล้มละลายก่อนถูกซื้อโดย MP Materials เมื่อ 8 ปีก่อน ➡️ ปัจจุบันผลิตแร่ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของเหมือง ✅ มีการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลและระบบ zero-discharge สำหรับน้ำเสีย ➡️ เพื่อให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ✅ การสนับสนุนจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ➡️ ถือเป็นประเด็นที่มีฉันทามติในด้านความมั่นคงของชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/13/your-next-iphone-could-come-from-this-us-mine-it-also-has-billions-in-pentagon-contracts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Your next iPhone could come from this US mine. It also has billions in Pentagon contracts
    Tech giant Apple signed a US$500mil (RM2.12bil) contract with the company, as well, committing to sourcing some of its magnets from MP Materials' Texas recycling plant.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย.
    #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย.


    รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ
    รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!!

    เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง
    และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย
    บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้
    เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…”

    ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State"
    จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น
    เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

    ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี
    ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร
    และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่

    พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome
    ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก)
    และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati
    ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด
    ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT,
    ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ
    และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง,
    ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป
    และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร
    คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street,
    Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase
    บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก
    และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock
    ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก
    และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น
    อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น
    พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง!

    ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต
    ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย
    พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor
    ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ

    ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา
    การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์
    นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต
    ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง"
    หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง
    แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา
    การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ
    เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ



    พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา
    พวกเขา มีคนดังมากมาย
    พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล
    พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ
    พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง
    พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน
    พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด
    พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง
    พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street
    พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา
    พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ
    พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา
    พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา
    พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ
    พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง
    พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์
    พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา
    พวกเขา มีเงินมากกว่า
    พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ
    พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย
    พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล
    พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
    พวกเขา ควบคุม Google
    พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ
    พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง
    พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี
    อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา
    พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์

    พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้

    #ชาติศาสน์กษัตริย์ครบนี้จึงคือประเทศไทย. #อำนาจมืดชักใยโลกต้องการยึดไทย. รัฐลึก Deep State, หมวกขาว White Hats และ Q/Qanon ไร้สาระ รู้เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ!!! เมื่อผู้คนค่อยๆ ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงของโลกของเรา การถูกจับเป็นตัวประกันโดย13สายเลือดผู้ปกครอง และปรสิตภายในสมาคมลับของพวกเขา (กลุ่มคาบาล) และทุกสิ่งที่เราถูกสอนมาเป็นเรื่องโกหก เส้นทางที่แตกต่างกันมากมาย บางคนหลุดเข้าไปในอุโมงค์มืด(รูกระต่าย)ของฝ่ายมืดที่ถูกควบคุม (คนเฝ้าประตู) และวาระของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้คุณรู้ลึกไปมากกว่านี้ ในบทความนี้ผมจะช่วยทำให้คุณเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้น เริ่มกันที่ “การเมือง…” ผู้คนที่อ้างถึงผู้มีอำนาจผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังว่า "The Deep State" จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "The Deep State" นั่นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระที่ CIA และ สาวก Q-โง่ๆ บัญญัติขึ้น เดิมทีมันปรากฏเป็นชวเลขสำหรับข้าราชการที่ต้องการบ่อนทำลายทรัมป์ - ซึ่งตลกเพราะการเมืองคือละครนํ้าเน่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง อย่าใช้คำศัพท์เหล่านี้หากคุณต้องการได้รับความเชื่อ ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้คนจาก 13 สายเลือดโบราณ (ตระกูล) ของกษัตริย์และราชินี ตามมาด้วยพระสันตปาปาดำและคณะเยซูอิต ตามมาด้วยพวกนักบวชทางศาสนา (ซาตาน) มหาเศรษฐีและนายธนาคาร และพวกเขา ทั้งหมดทำงานภายในสมาคมลับหรือ 'พันธมิตร' - ทำงานเพื่อรัฐบาลโลกเดียวหรือที่เรียกว่าระเบียบโลกใหม่ พวกเขามีคณะกรรมการประมาณ 300 คน (ชายและหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก) และคลังความคิดที่เรียกว่า Club of Rome ที่สร้างขึ้นโดยนิกายเยซูอิตหรือที่รู้จักกันในชื่อ Society of Jesus (คำสั่งภายในคริสตจักรคาทอลิก) และจาองค์กรอื่น ๆ เช่น Freemasons (แต่เดิมถูกแทรกซึมโดย Order of the Illuminati ซึ่งก่อตั้งโดยนักบวชนิกายเยซูอิต Adam Weishaupt) และกลายเป็นคำสั่งลึกลับและสถาบันของรัฐบาลทั้งหมด ที่ถูกแทรกซึมโดยกลุ่มดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะตำรวจ, กองทัพ, NATO, UN(UnitedNation), GATT, ธนาคารกลาง, FED, กรมสรรพากร, ศูนย์ข้อมูลทางการทหาร, สถานพยาบาล, บริษัทและองค์กรข้ามชาติ และยังมี Bilderberg Group ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสำหรับนักการเมือง, ผู้จัดการ, และนักธุรกิจ “แถวหน้า” นี่เป็นที่ที่พวกเขาจะได้รับข้อมูลและแนวทางสำหรับปีต่อ ๆ ไป และถ้าคุณดูว่าสายเลือดโบราณทั้ง 13 สายได้แทรกซึมทางการเงินไปทั่วโลกอย่างไร คุณต้องดูที่บริษัทการเงินและลงทุนเช่น Vanguard, BlackRock, State Street, Berkshire Hathaway, Morgan Stanley, JPMorgan Chase บริษัทเหล่านี้มีหุ้นส่วนใหญ่ในทุกอุตสาหกรรมและบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดในโลก และพวกเขายังเป็นเจ้าของหุ้นในกันและกัน และที่ด้านบนสุดของปิรามิดนี้ Vanguard และ BlackRock ซึ่งมีหุ้นใหญ่ในบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดที่อยู่ใต้พวกเขา และพวกเขาล้วนเป็นเจ้าของหุ้นในทุกอุตสาหกรรมและทุกบริษัทในโลก และจากสองบริษัทนี้ Vanguardเป็นบริษัทเดียวที่สามารถไม่แสดงตัวผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นข้อมูล คุณจะเห็นชื่อต่างๆ เช่น Rothschild, Rockefeller, DuPont เป็นต้น พวกเขาซ่อนตัวอยู่ใน Vanguard และเป็นเจ้าของทุกสิ่ง! ถ้าเราจะระบุ "Deep State"จริง ๆ มันก็เป็นแค่สมาชิกภายในรัฐบาลและศูนย์การทหารที่ทำตามคำสั่งของนิกายเยซูอิต ตามคำสั่งของ 13 ครอบครัวใน Vanguard และเป้าหมายปัจจุบันของพวกเขา และชาวสวีเดนตัวน้อย ตระกูลวอลเลนเบิร์กผู้ชั่วร้าย พวกเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของนิกายเยซูอิตในคริสตจักรคาทอลิกและอีก 13 ตระกูล พวกเขาอาจมีอำนาจในสายงานธุรกิจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห่วงโซ่อาหารและปฏิบัติตามคำสั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ บริษัทของ Wallenberg เช่น Investor ถูกควบคุมโดย Vanguard และ BlackRock เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ผู้คนยังคงถกกันเรื่องการเมือง ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา การเมืองเป็นโรงละครสำหรับมวลชนที่ยังคงหลับใหล เช่นเดียวกับกีฬา รายการทีวี ข่าว ดนตรีและภาพยนตร์ นักการเมืองและประธานาธิบดีส่วนใหญ่เป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยนิกายเยซูอิต ผ่านสมาชิกและลูกน้องเพื่อให้ประชาชนรู้สึกยุติธรรมโดยการ "ลงคะแนนเสียง" หากคุณเสียเวลาไปกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประธานาธิบดีหรือพรรคการเมือง แสดงว่าคุณกำลังเล่นเกมอยู่ในกำมือของพวกเขา การแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มที่ไม่ชอบหน้ากัน เช่นเดียวกับเรื่องไร้สาระ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ กีฬา การหลอกลวงสภาพอากาศ ความถูกต้องทางการเมือง และอื่นๆ พวกเขา ควบคุมสื่อ ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาลกลางของเรา ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา มีนักการเมืองที่ฉ้อฉล อัยการเขต และผู้พิพากษา พวกเขา มีคนดังมากมาย พวกเขา จ่ายเงินให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขา เซ็นเซอร์เรา อย่างไม่ลดละ พวกเขา ควบคุมเครื่องลงคะแนนเสียง พวกเขา นำผู้ลงคะแนนเสียงใหม่ เข้ามาหลายล้านคน พวกเขา ติดตามทุกคนได้ อย่างไม่จำกัด พวกเขา มีผู้มีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขา มี BlackRock, Vanguard และ State Street พวกเขา ควบคุมระบบกฎหมายของเรา พวกเขา ควบคุมระบบโรงเรียนของรัฐ พวกเขา ควบคุมมหาวิทยาลัยของเรา พวกเขา ควบคุมกองทัพของเรา พวกเขา ควบคุมความมั่นคงภายในประเทศ พวกเขา ควบคุมองค์กรนอกภาครัฐ หลายร้อยแห่ง พวกเขา ควบคุมตลาดการเงิน ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขา ควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลของเรา พวกเขา มีเงินมากกว่า พวกเขา ควบคุมนโยบายต่างประเทศ พวกเขา เก็บภาษีเราจนตาย พวกเขา ท่วมโซเชียลมีเดียของเรา ด้วยบ็อทและโทรล พวกเขา ควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขา ควบคุม Google พวกเขา ควบคุมรายการทอล์คโชว์ รายการวิทยุ นิตยสาร และใบอนุญาตออกอากาศ พวกเขา มีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่เบื้องหลัง พวกเขา มีประสบการณ์หลายสิบปี อุตสาหกรรมการทหาร อยู่เบื้องหลังพวกเขา พวกเขา มีศูนย์ข้อมูล ที่ใช้โมเดลการคาดการณ์ พวกเขามีทั้งหมดนั้น ... แต่พวกเขาก็ยังแพ้
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • "เรืองไกร" ร้อง ป.ป.ช. สอบ "แพทองธาร" ปมที่ดินเขาใหญ่! ชี้ถือหุ้นบริษัทบนที่ดินต้นน้ำ อาจขาดคุณสมบัตินายกฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/20863/
    .
    #เรืองไกรลีกิจวัฒนะ #แพทองธารชินวัตร #ที่ดินเขาใหญ่ #ปปช #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    "เรืองไกร" ร้อง ป.ป.ช. สอบ "แพทองธาร" ปมที่ดินเขาใหญ่! ชี้ถือหุ้นบริษัทบนที่ดินต้นน้ำ อาจขาดคุณสมบัตินายกฯ https://www.thai-tai.tv/news/20863/ . #เรืองไกรลีกิจวัฒนะ #แพทองธารชินวัตร #ที่ดินเขาใหญ่ #ปปช #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

    เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน

    แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

    Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel
    อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด
    พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ

    Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน
    ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited

    บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ
    ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ

    Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
    พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา

    คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่
    ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท

    Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก
    เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ
    ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง

    Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ
    ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco

    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง
    เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    🏛️💼 เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ✅ Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel ➡️ อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน ✅ Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด ➡️ พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน ➡️ ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ✅ บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ ➡️ ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ ✅ Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ➡️ พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา ✅ คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่ ➡️ ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท ✅ Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก ➡️ เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน ✅ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ✅ Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ ➡️ ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco ✅ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง ➡️ เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    0 Comments 0 Shares 297 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews

  • อนาคตไทยเราต้องพัฒนาอาวุธยุคใหม่ให้สำเร็จโเยรวดเร็วลิกตามดากฝรั่งได้แล้ว ตลอดเครื่องบินรบก็ต้องผลิตเองได้แล้ว เรามีทรัพยากรและวัสดุเพียงพอ,พัฒนาคนไทยตั้งแต่เยาวชนเลย,ผู้ปกครองผู้นำเรากากกระจอกเกินไป,สุดท้ายประเทศอื่นแบบอเมริกาหรือมหาอำนาจฝรั่งมันก็มาคุกคามปล้นชิงแย่งชิงทรัพยากรมีค่ามากมายในประเทศเราแบบสาระพัดมุกกดดันข่มขู่เราแบบภาษีทรัมป์นั้นล่ะ เพราะผู้นำกาก รัฐบาลกระจอกขลาดเขลา ผู้นำโง่ใจปลาซิว ทีมงานใจหมาสมองควายวัวอีกเอาแต่ได้หมายแต่แดกแต่คตโกงขี้โกงทั้งชุดคณะปกครองนั้นเองโดยวลีเด็ดมุกที่มันชอบใช้กันคือ "ทำเพื่อประชาชน" แดกเพื่อประชาชน แดกแทนมากๆเพื่อประชาชน,เราจึงถอยหลังด้านศีลด้านธรรมของคุณธรรมประจำใจ ถอยหลังการพัฒนาบุคคลในนวัตกรรมล้ำแก่คนไทย เมื่อคนไทยร่ำรวยจะสามารถซื้อหาคิดอ่านสร้างสรรค์ผลงานได้สะดวกมีทุนเตรียมวัตถุดิบได้ในสัมมาอาชีพต่างๆหรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตลอดไม่ซื้อเสียงขายเสียงด้วย แต่ผู้นำผู้ปกครองบริหารประเทศให้คนไทยยากจน บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายก็ยกให้ฝรั่ง บริหารเป็นจะกระจายความมั่งคั่งร่ำรวยแก่คนไทยได้ หรือล่าสุดแลนด์บริดจ์หรือขุดคลองคอดกระ เราทำเองเป็นฮับเดินเรือค้าขายระดับโลกเม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ ตั้งเป็นนิคมฮับการค้าโลกก็ได้,คนไทยตั้งบริษัทกองทุนปกครองบริหารจัดการงานแทนทั้งหมดได้ ออกหุ้นฟรีๆและซื้อให้คนไทยจับต้องเป็นรูปธรรมแสดงถึงความเป็นเจ้าของจริงร่วมกัน ต่างชาติจะแบ่งแยกสร้างความแตกต่างก็ยากเพราะห้ามคนต่างชาติมาถือหุ้นในนี้ทุกๆกรณี,ถ้าปล่อยรัฐบาลจัดการก็เหมือนบ่อน้ำมันไปสุมหัวยกให้ต่างชาติแบบบริษัทอเมริกาเชฟรอนและฝรั่งอื่นๆทำบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยทำแดกเองจนร่ำจนรวยถึงปัจจุบันนี้ล่ะ คนไทยก็ยากจนเหมือนเดิม เหมือนกำลังให้อเมริกายึดพังงายึดฮับตังเราอยู่นี้เห็นก้อนเงินมหาศาลอเมริกาสถุนก็อยากได้ตาร้อนโลภกระสั่นรีบแล่นเข้ามาจะยึดจุดยุทธศาสตร์เราทันทีอ้างปิดปากเดินเรือจีนช่องแคบมะลาก็ว่า,จริงมันมองแดกทะลุหมดล่ะ อเมริกาจึงถือว่าเป็นชาติพาลชาติชั่วเลวของจริง ปล้นชิงแย่งชิงไปทั่วโลก,ยิ่งผู้ปกครองกาก ผู้นำขี้ขลาดโง่ ไร้ฝีมือ มือไม่ถึง ยิ่งถูกอเมริกาเหยียบ แค่อ้างภาษีทรัมป์ก็แสดงอาการใจหมาขาสั่นกากแล้ว,ตัดการค้าขายกับอเมริกาไปชาติไทยไม่ล้มสลายหรอก,ตลาดโลกฝั่งเอเชียเรามูลค้ากว่า100ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ปกครองกากผู้นำกระจอกเอง สาระพัดมุกวิธีเจริญไมตรีค้าขายดีงามกับชาติเอเชียเราด้วยกัน เอเชียร่วมใจถีบชาติฝรั่งออกจากระบบตลาดค้าขายเราก็สามารถทำได้เลยหรือทั่วโลกยกเว้นอเมริกาและชาติยุโรป เราก็ค้าขายได้สบาย ไทยขุดคลองคอดกระช่วยการขนส่งเอเชียเราแต่บริหารจัดการเองจากตังคนไทยเองที่ขุดเองทั้งหมดตัดตอนการแทรกแซงจัดการเป็นเอกเทศเลย ทวีปแอฟริกาค้าขายกับเอเชีย สินค้าเอเชียค้าทั่วทวีปเราและแอฟริกา ขนส่งมหาศาลทางเรือปริมาณมากครั้งเดียวต่อเรือใหญ่ยักษ์100,000เที่ยว1,000,000เที่ยวต่อปี รวมเรือสาระพัดประเภทชนิด เรือสำราญใหญ่ๆบ่อนลอยน้ำข้ามทวีปอีก เม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทเข้าไทยจึงกระจอกมาก,ไม่รวมฮับในพื้นที่บริหารจัดการรอบๆแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระอีก,
    ..เราจึงพัฒนาตนเองทุกๆด้านได้แล้วโดยเฉพาะขีปนาวุธลูกกระสุนต้องผลิตเองดีที่สุด ขีปนาวุธEMPระยะใกล้ กลางและวิถีไกลข้ามทวีปก็สมควรมีปกป้องตนเองด้วย ระเบิดกลางอวกาศกำจัดดาวเทียมชั่วเลวคุกคามไทยเราก็สามารถทำได้,ระเบิดเขมรสิ้นแผ่นดินแบ่งให้ลาว เวียดนามปกครองเนื้อที่ก็ทำได้ทันทีด้วย กำจัดอาชญากรรมทั่วโลกได้ด้วย อย่าปล่อยรกโลกคุกคามระรานชั่วไปทั่ว.



    https://www.youtube.com/watch?v=5W4gRXvSqNA
    อนาคตไทยเราต้องพัฒนาอาวุธยุคใหม่ให้สำเร็จโเยรวดเร็วลิกตามดากฝรั่งได้แล้ว ตลอดเครื่องบินรบก็ต้องผลิตเองได้แล้ว เรามีทรัพยากรและวัสดุเพียงพอ,พัฒนาคนไทยตั้งแต่เยาวชนเลย,ผู้ปกครองผู้นำเรากากกระจอกเกินไป,สุดท้ายประเทศอื่นแบบอเมริกาหรือมหาอำนาจฝรั่งมันก็มาคุกคามปล้นชิงแย่งชิงทรัพยากรมีค่ามากมายในประเทศเราแบบสาระพัดมุกกดดันข่มขู่เราแบบภาษีทรัมป์นั้นล่ะ เพราะผู้นำกาก รัฐบาลกระจอกขลาดเขลา ผู้นำโง่ใจปลาซิว ทีมงานใจหมาสมองควายวัวอีกเอาแต่ได้หมายแต่แดกแต่คตโกงขี้โกงทั้งชุดคณะปกครองนั้นเองโดยวลีเด็ดมุกที่มันชอบใช้กันคือ "ทำเพื่อประชาชน" แดกเพื่อประชาชน แดกแทนมากๆเพื่อประชาชน,เราจึงถอยหลังด้านศีลด้านธรรมของคุณธรรมประจำใจ ถอยหลังการพัฒนาบุคคลในนวัตกรรมล้ำแก่คนไทย เมื่อคนไทยร่ำรวยจะสามารถซื้อหาคิดอ่านสร้างสรรค์ผลงานได้สะดวกมีทุนเตรียมวัตถุดิบได้ในสัมมาอาชีพต่างๆหรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตลอดไม่ซื้อเสียงขายเสียงด้วย แต่ผู้นำผู้ปกครองบริหารประเทศให้คนไทยยากจน บ่อน้ำมันบ่อทองคำมากมายก็ยกให้ฝรั่ง บริหารเป็นจะกระจายความมั่งคั่งร่ำรวยแก่คนไทยได้ หรือล่าสุดแลนด์บริดจ์หรือขุดคลองคอดกระ เราทำเองเป็นฮับเดินเรือค้าขายระดับโลกเม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ ตั้งเป็นนิคมฮับการค้าโลกก็ได้,คนไทยตั้งบริษัทกองทุนปกครองบริหารจัดการงานแทนทั้งหมดได้ ออกหุ้นฟรีๆและซื้อให้คนไทยจับต้องเป็นรูปธรรมแสดงถึงความเป็นเจ้าของจริงร่วมกัน ต่างชาติจะแบ่งแยกสร้างความแตกต่างก็ยากเพราะห้ามคนต่างชาติมาถือหุ้นในนี้ทุกๆกรณี,ถ้าปล่อยรัฐบาลจัดการก็เหมือนบ่อน้ำมันไปสุมหัวยกให้ต่างชาติแบบบริษัทอเมริกาเชฟรอนและฝรั่งอื่นๆทำบ่อน้ำมันทั่วประเทศไทยทำแดกเองจนร่ำจนรวยถึงปัจจุบันนี้ล่ะ คนไทยก็ยากจนเหมือนเดิม เหมือนกำลังให้อเมริกายึดพังงายึดฮับตังเราอยู่นี้เห็นก้อนเงินมหาศาลอเมริกาสถุนก็อยากได้ตาร้อนโลภกระสั่นรีบแล่นเข้ามาจะยึดจุดยุทธศาสตร์เราทันทีอ้างปิดปากเดินเรือจีนช่องแคบมะลาก็ว่า,จริงมันมองแดกทะลุหมดล่ะ อเมริกาจึงถือว่าเป็นชาติพาลชาติชั่วเลวของจริง ปล้นชิงแย่งชิงไปทั่วโลก,ยิ่งผู้ปกครองกาก ผู้นำขี้ขลาดโง่ ไร้ฝีมือ มือไม่ถึง ยิ่งถูกอเมริกาเหยียบ แค่อ้างภาษีทรัมป์ก็แสดงอาการใจหมาขาสั่นกากแล้ว,ตัดการค้าขายกับอเมริกาไปชาติไทยไม่ล้มสลายหรอก,ตลาดโลกฝั่งเอเชียเรามูลค้ากว่า100ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ปกครองกากผู้นำกระจอกเอง สาระพัดมุกวิธีเจริญไมตรีค้าขายดีงามกับชาติเอเชียเราด้วยกัน เอเชียร่วมใจถีบชาติฝรั่งออกจากระบบตลาดค้าขายเราก็สามารถทำได้เลยหรือทั่วโลกยกเว้นอเมริกาและชาติยุโรป เราก็ค้าขายได้สบาย ไทยขุดคลองคอดกระช่วยการขนส่งเอเชียเราแต่บริหารจัดการเองจากตังคนไทยเองที่ขุดเองทั้งหมดตัดตอนการแทรกแซงจัดการเป็นเอกเทศเลย ทวีปแอฟริกาค้าขายกับเอเชีย สินค้าเอเชียค้าทั่วทวีปเราและแอฟริกา ขนส่งมหาศาลทางเรือปริมาณมากครั้งเดียวต่อเรือใหญ่ยักษ์100,000เที่ยว1,000,000เที่ยวต่อปี รวมเรือสาระพัดประเภทชนิด เรือสำราญใหญ่ๆบ่อนลอยน้ำข้ามทวีปอีก เม็ดเงินกว่า1,000ล้านล้านบาทเข้าไทยจึงกระจอกมาก,ไม่รวมฮับในพื้นที่บริหารจัดการรอบๆแลนด์บริดจ์และคลองคอดกระอีก, ..เราจึงพัฒนาตนเองทุกๆด้านได้แล้วโดยเฉพาะขีปนาวุธลูกกระสุนต้องผลิตเองดีที่สุด ขีปนาวุธEMPระยะใกล้ กลางและวิถีไกลข้ามทวีปก็สมควรมีปกป้องตนเองด้วย ระเบิดกลางอวกาศกำจัดดาวเทียมชั่วเลวคุกคามไทยเราก็สามารถทำได้,ระเบิดเขมรสิ้นแผ่นดินแบ่งให้ลาว เวียดนามปกครองเนื้อที่ก็ทำได้ทันทีด้วย กำจัดอาชญากรรมทั่วโลกได้ด้วย อย่าปล่อยรกโลกคุกคามระรานชั่วไปทั่ว. https://www.youtube.com/watch?v=5W4gRXvSqNA
    0 Comments 0 Shares 338 Views 0 Reviews
  • ตอน 12
    พี่เบิ้มหายไปไหน ถึงได้ตกข่าวขนาดนั้น ก็พี่เบิ้มกำลังไปขุดเผือกขุดน้ำมันไง
    ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) ระหว่างที่เห็นลางว่า รบกับพวกแกวนี่ท่าทางกูจะเหนื่อย เอาเครื่องบินไล่ถล่มอยู่ดีๆ มันทะลึ่งหนีลงรูไปหมด พี่เบิ้มไม่โง่นี่ จะได้มุดรูดตาม พี่เบิ้มก็เลยหาทางไปรับประทานทางอื่นต่อดีกว่า
    พี่เบิ้มก็เข้าไปยุให้อิรัก อิหร่าน มันรบกัน ป่วนเรื่องอียิปต์ อิสราเอล และซาอุหนุนคูเวต สารพัดละก็แถวนั้นมันบ่อน้ำมันทั้งนั้น
    จำง่ายๆ เวลาพี่เบิ้มเขาอยากได้อะไร …เขาก็ต้องสร้างเรื่องให้ประเทศเจ้าของบ้าน มันวุ่น มันงง แล้วในที่สุดก็เละ… เขาจะได้เข้าไปได้สะดวกโดยเจ้าของบ้านไม่รู้ตัว ก็สูตรธรรมดา จะไปขโมยของบ้านเขา รอบรั้วการป้อง กันเขาแข็งแรง จะขโมยได้ง่ายยังไง เสือใบ เสือดำ นักปล้นรุ่นโบราณของบ้านเรายังรู้เลย จะปล้นเขา ก็ต้องรอให้มันมืด มอมเหล้าเด็กแถวบ้านมันบ้าง ปล่อยหมาให้มันไปกัดกันหน้าบ้านบ้าง ปาก้อนอิฐใส่บ้าง พอเจ้า ของบ้านมันงง ก็ค่อยเขย่งเก็งกอย เข้าไปหยิบฉวยสมบัติเจ้าคุณปู่เขาออกมา ก็เท่านั้น
    ทุกเรื่องที่พี่เบิ้มเขาทำ มันก็สูตรทำนองนี้ ทั้งนั้น แต่มันสร้างเรื่อง ทำฉากให้ใหญ่โต ก็ติดนิสัยนักสร้างหนังฮอลลีวู้ดไง ถ้าเราดูอะไรแบบตรงไปตรงมา อย่าไปตื่นเต้นกับฉากมโหฬาร ถามตัวเองก่อน… ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยใครได้ ใครเสีย วิเคราะห์เองบ้าง ก็จะมองเห็นละนะคุณโยม ไม่ต้องไปหาหมอดู ถามมันวันละ 3 ครั้งให้เสียเงินเปล่าๆ ว่าบ้านเมืองมันเราจะเป็นยังไง มันจะแย่ไหมค้า
    เอ้ากลับมาที่คุณน้าขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์
    ไอ้เรื่องดาวเทียม เรื่องโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ใหญ่ยังไง ก็แหม ดาวเทียมนี่ เอามาลอยตุ๊บป่องจัดวางให้ถูกองศา ส่องไปที่ไหนนี่นะ ไม่อยากพูดเลย เหมือนดูหนังโป๊ สิว ไฝ ฝ้า หูด แผล มีตรงไหนเห็นหมดแล้วไอ้การกำหนดองศา slot ของดาวเทียมนี้ มันมีองค์การที่ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งดาวเทียม ที่แต่ละประเทศก็มีสิทธิจองกัน
    นี่ถ้าเราให้สมันน้อย จององศาให้ถูกที่เราต้องการนะ อาเฮียกำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี้เกาหูด ไอก็เห็นทุกช็อต เฮ้อ! แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง
    ส่วนไอ้ 3 ล้านเลขหมายนะ มันเรื่องจ้อย มันอยากจะจ้อกันทั้งวันก็ช่างหัวมันเต๊อะ
    แต่การจะใช้ 3 ล้านเลขหมายนี้นะ มันต้องวางเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกทั้งประเทศ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้น้ำ ใครกระซิบ ใครส่งข่าวอะไร ไอ้สายบ้านี่มันจับได้หมด
    แหม! มีทั้งบนฟ้า มีทั้งบนดิน ใต้ดิน บวกกับค่ายรามสูรที่ไอแกล้งทำลืม ไม่เอากลับตอนเลิกรบกับ เวียต นามนะ ไทยแลนด์ ไอไม่ต้องจ่ายค่าวิ่งผลัด อย่างเมื่อก่อน ไอก็คุมได้ เข้าใจไหมสมันน้อย
    แล้วจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ต้องเล่าให้ชัดกว่านี้มั้ย
    อ่านนิทานมาจนบัดนี้แล้วน่ะ หัดตอบโจทย์เองบ้าง ไม่ต้องไปรอใครทำหน้าฉลาดตอบให้หรอก
    แล้วมันจะบังเอิญไปหน่อยไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องพฤษภาทมิฬ
    คุณทหารทั้งหลายก็ลุกขึ้นมาแย่งอำนาจกัน บี้กันไปบี้กันมา เหล่าม๊อบมือถือแห่งไทยแลนด์แดนสวรรค์ ก็หน้ามุ่ยออกไปประท้วง ทั้งลุงจำลอง ลุงฉลาด แย่งกันอดข้าว อดน้ำ
    แล้วไง พอถึงเวลา ต้ายตาย ดร.อาทิตย์หน้าแฉล้ม ปล่อยให้คุณน้าสมบุญเป็นพ่อสายบัว แต่งชุดขาว ภู่ระหงส์ เหี่ยวรออยู่กับบ้าน แต่ดันไปอุ้มคุณน้านัน technocrat แห่งซิบวีนัส ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
    คิดแล้ว ไม่แปลกใจบ้างหรือจ๊ะ เมืองไทยนี้สมกับเป็นแดนแห่ง Amazing Thailand จริ๊ง จริง คุณน้านัน ผู้ดีเก่า นี่น่าสนใจ
    สมัยสงครามเวียตนามช่วงท้าย ระหว่างที่คุณลุงถนัดออกมาอาละวาด ฟาดงวงงา เรื่องพี่เบิ้มไม่ยอมทำสัญญาจริงๆ จังๆกับไทย คุณน้านันเป็นทูตไทยประจำ UN คุณน้าเลยต้องเป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับพี่เบิ้มตลอดเวลา (สมัยนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นนายกฯ)
    เสร็จการเจรจา รายงานฝ่ายอเมริกาบอก Mr. A นี่ เป็นคนที่เราจะต้องจับตามอง เขาเป็นคนที่เราจะพูดคุยได้รู้เรื่อง (เหมือนกับ Mr. P รุ่นปู่เจ้าพ่อน้ำดำเลยนะ) เอ้า! ก็อย่างว่า แล้วคุณน้านัน ก็มาเป็นนายก เป็นแล้วเป็นอีก ช่วงปี พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2535 เขาว่า งานแรกที่คุณน้านัน มาจัดการก็คือเรื่องที่ค้างคา (คาใจพี่เบิ้ม!) เป็นที่เรียบร้อย
    ไอ้ 3 ล้านเลขหมาย เขาว่า (อีกแล้ว) คุณน้าเรียกมาแบ่งเค้ก เอ้ย! เจรจาเองเลยนะ บริษัทของพี่เบิ้มตกรอบ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการ 3 ล้านเลขหมาย ไม่เป็นไรยูรับเหมาวาง fiber optic ไปแล้วกันนะ แหะแหะ สมใจนึกบางลำพู ทำท่าหงอยๆ รับ ok ok กลับไปรายงานข้ามโลกว่า We win! แล้วดาวเทียมล่ะ เสร็จโก๋ท้องถิ่นหน้าใหม่เอี่ยมเหลี่ยมพราว นายหน้าเหลี่ยมแจ้งเกิด ได้สัมปทานดาวเทียมเอาไปกอดอยู่ 15 ปี ต่อมาขายให้สิงคโปร์ กำไรบานตะเกียงไม่เสียภาษีซักกะแดง ไอ้หนุ่ยลูกป้าเหน่ง ทำงานเป็นเสมียน เงินเดือนๆ ละ 20,000 ยังเสียภาษีเดือนละ 2,000 บาทเลย เป็นงงเอาฝ่าเท้าก่ายหน้าผากรำพึง มันทำได้ไงวะ
    พูดถึงดาวเทียม ข้อมูลมันน่าสนใจ ไม่รู้ลืมกันหมดหรือยัง ไม่เล่าสู่กันฟัง มารู้ภายหลัง เดี๋ยวจะมาต่อว่ามีของดีแล้วไม่บอก
    ไอ้ดาวเทียมไทยคมนี้ นายหน้าเหลี่ยมเขาได้ไปก็จริง แต่ขบวนการมันน่าคิดนะ ตอนไปขอสัมปทานกับรัฐน่ะ
    ยังต้องให้เจ๊กระบัง ตากหน้าไปแลกเช็คอยู่เลย เอาเงินจากไหนมาคิดสร้างดาวเทียมน่ะ มันดวงละ 100, 200 บาท ซะเมื่อไหร่ ไม่ใช่ลูกโป่งนะ
    อ๋อ! ก็กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ (Exim Bank, Export Import Bank) ของพี่เบิ้ม ที่สนง.ใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซิ คร้าบ อา! มาแล้ว เริ่มเห็นหัวโผล่ๆ มาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนอ่านนิทานฉลาดจะตาย อ่านนิทานไปไม่เท่าไหร่ พอจะปะติดปะต่อกันได้ อิ! อิ!
    มันไม่เท่านั้นนะนาย กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ แล้วยังมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้อีก เอ! แล้วธนาคารนี้มาเกี่ยวอะไร เขาถ้าจะรักฝังใจ เสียดายดาวเทียม ตอนแรกก็ทำคลอดให้ ตอนจบก็ช่วยแต่งศพให้ ..เอ๊ะ! เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยซีลุง
    ก็คืองี้ ตอนกู้เงินสร้างดาวเทียม ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กรุณาค้ำประกันให้ตอนจะขายให้ Temasek ของสิงคโปร์ บริษัทลูกของไทยพาณิชย์ ก็เป็นที่ปรึกษาการเงินให้เสร็จ แล้วเพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่สัมปทานกำหนด เกณฑ์คนต่างด้าวถือหุ้นเอาไว้ ก็ต้องสร้างนอมินี (nominee) ไทยมาถือแทนต่างด้าว (อีนอมาอีกแล้ว) อีนอก็ดันไม่มีเงินซื้อ ไปกู้เงินจากไทยพาณิชย์ เป็นทุนมาซื้อหุ้นดาวเทียม
    บริษัทนี้ชื่อกุหลาบแก้วไงจ๊ะ ลืมกันแล้วหรือ แล้วใครเป็นประธานบริษัทกุหลาบแก้วนะ แหม! ไม่อยากบอกเล้ย ! เขาชื่อมิสเตอร์พงส์ ลูกมิสเตอร์ พี แห่งน้ำดำจ๊ะ มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องมันถึงไหน ผิดถูกอย่างไร ไปตามหากันต่อเองเน้อ เอ้า ! ยังมีบังเอิญอีก แล้วธนาคารไทยพาณิชย์นี่นะ อีตอนที่ให้กุหลาบแก้วกู้เงินน่ะ ข่าวว่า ประธานธนาคารชื่อ คุณน้านัน! โอ้ย! มันบังเอิญทั้งนั้น Amazing Thailand นี่น่ะ
    แล้วตกลงไอ้ดาวเทียมไทยคม นี่มันเป็นของไอ้เหลี่ยมตั้งแต่ต้น หรือไอ้เหลี่ยมก็มีนอกันแน่ …คิดมากแล้วปวดหัวนิ
    เรื่องบ้านเมืองนี้ มันมีแยะ ตั้งกะพี่เบิ้มมันเดินยิ้ม จมูกโด่งงุ้ม ย้ายพุงไปมาในบ้านเราน่ะ ถึงว่าจะดูอะไร ดูให้ชัดๆ จะฟังอะไร ก็หัดกรอง สมองมีให้คิด ไม่ใช่มีไว้กั้นหูอย่างเดียว


    คนเล่านิทาน
    ตอน 12 พี่เบิ้มหายไปไหน ถึงได้ตกข่าวขนาดนั้น ก็พี่เบิ้มกำลังไปขุดเผือกขุดน้ำมันไง ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) ระหว่างที่เห็นลางว่า รบกับพวกแกวนี่ท่าทางกูจะเหนื่อย เอาเครื่องบินไล่ถล่มอยู่ดีๆ มันทะลึ่งหนีลงรูไปหมด พี่เบิ้มไม่โง่นี่ จะได้มุดรูดตาม พี่เบิ้มก็เลยหาทางไปรับประทานทางอื่นต่อดีกว่า พี่เบิ้มก็เข้าไปยุให้อิรัก อิหร่าน มันรบกัน ป่วนเรื่องอียิปต์ อิสราเอล และซาอุหนุนคูเวต สารพัดละก็แถวนั้นมันบ่อน้ำมันทั้งนั้น จำง่ายๆ เวลาพี่เบิ้มเขาอยากได้อะไร …เขาก็ต้องสร้างเรื่องให้ประเทศเจ้าของบ้าน มันวุ่น มันงง แล้วในที่สุดก็เละ… เขาจะได้เข้าไปได้สะดวกโดยเจ้าของบ้านไม่รู้ตัว ก็สูตรธรรมดา จะไปขโมยของบ้านเขา รอบรั้วการป้อง กันเขาแข็งแรง จะขโมยได้ง่ายยังไง เสือใบ เสือดำ นักปล้นรุ่นโบราณของบ้านเรายังรู้เลย จะปล้นเขา ก็ต้องรอให้มันมืด มอมเหล้าเด็กแถวบ้านมันบ้าง ปล่อยหมาให้มันไปกัดกันหน้าบ้านบ้าง ปาก้อนอิฐใส่บ้าง พอเจ้า ของบ้านมันงง ก็ค่อยเขย่งเก็งกอย เข้าไปหยิบฉวยสมบัติเจ้าคุณปู่เขาออกมา ก็เท่านั้น ทุกเรื่องที่พี่เบิ้มเขาทำ มันก็สูตรทำนองนี้ ทั้งนั้น แต่มันสร้างเรื่อง ทำฉากให้ใหญ่โต ก็ติดนิสัยนักสร้างหนังฮอลลีวู้ดไง ถ้าเราดูอะไรแบบตรงไปตรงมา อย่าไปตื่นเต้นกับฉากมโหฬาร ถามตัวเองก่อน… ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยใครได้ ใครเสีย วิเคราะห์เองบ้าง ก็จะมองเห็นละนะคุณโยม ไม่ต้องไปหาหมอดู ถามมันวันละ 3 ครั้งให้เสียเงินเปล่าๆ ว่าบ้านเมืองมันเราจะเป็นยังไง มันจะแย่ไหมค้า เอ้ากลับมาที่คุณน้าขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์ ไอ้เรื่องดาวเทียม เรื่องโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ใหญ่ยังไง ก็แหม ดาวเทียมนี่ เอามาลอยตุ๊บป่องจัดวางให้ถูกองศา ส่องไปที่ไหนนี่นะ ไม่อยากพูดเลย เหมือนดูหนังโป๊ สิว ไฝ ฝ้า หูด แผล มีตรงไหนเห็นหมดแล้วไอ้การกำหนดองศา slot ของดาวเทียมนี้ มันมีองค์การที่ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งดาวเทียม ที่แต่ละประเทศก็มีสิทธิจองกัน นี่ถ้าเราให้สมันน้อย จององศาให้ถูกที่เราต้องการนะ อาเฮียกำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี้เกาหูด ไอก็เห็นทุกช็อต เฮ้อ! แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง ส่วนไอ้ 3 ล้านเลขหมายนะ มันเรื่องจ้อย มันอยากจะจ้อกันทั้งวันก็ช่างหัวมันเต๊อะ แต่การจะใช้ 3 ล้านเลขหมายนี้นะ มันต้องวางเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกทั้งประเทศ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้น้ำ ใครกระซิบ ใครส่งข่าวอะไร ไอ้สายบ้านี่มันจับได้หมด แหม! มีทั้งบนฟ้า มีทั้งบนดิน ใต้ดิน บวกกับค่ายรามสูรที่ไอแกล้งทำลืม ไม่เอากลับตอนเลิกรบกับ เวียต นามนะ ไทยแลนด์ ไอไม่ต้องจ่ายค่าวิ่งผลัด อย่างเมื่อก่อน ไอก็คุมได้ เข้าใจไหมสมันน้อย แล้วจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ต้องเล่าให้ชัดกว่านี้มั้ย อ่านนิทานมาจนบัดนี้แล้วน่ะ หัดตอบโจทย์เองบ้าง ไม่ต้องไปรอใครทำหน้าฉลาดตอบให้หรอก แล้วมันจะบังเอิญไปหน่อยไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องพฤษภาทมิฬ คุณทหารทั้งหลายก็ลุกขึ้นมาแย่งอำนาจกัน บี้กันไปบี้กันมา เหล่าม๊อบมือถือแห่งไทยแลนด์แดนสวรรค์ ก็หน้ามุ่ยออกไปประท้วง ทั้งลุงจำลอง ลุงฉลาด แย่งกันอดข้าว อดน้ำ แล้วไง พอถึงเวลา ต้ายตาย ดร.อาทิตย์หน้าแฉล้ม ปล่อยให้คุณน้าสมบุญเป็นพ่อสายบัว แต่งชุดขาว ภู่ระหงส์ เหี่ยวรออยู่กับบ้าน แต่ดันไปอุ้มคุณน้านัน technocrat แห่งซิบวีนัส ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คิดแล้ว ไม่แปลกใจบ้างหรือจ๊ะ เมืองไทยนี้สมกับเป็นแดนแห่ง Amazing Thailand จริ๊ง จริง คุณน้านัน ผู้ดีเก่า นี่น่าสนใจ สมัยสงครามเวียตนามช่วงท้าย ระหว่างที่คุณลุงถนัดออกมาอาละวาด ฟาดงวงงา เรื่องพี่เบิ้มไม่ยอมทำสัญญาจริงๆ จังๆกับไทย คุณน้านันเป็นทูตไทยประจำ UN คุณน้าเลยต้องเป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับพี่เบิ้มตลอดเวลา (สมัยนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นนายกฯ) เสร็จการเจรจา รายงานฝ่ายอเมริกาบอก Mr. A นี่ เป็นคนที่เราจะต้องจับตามอง เขาเป็นคนที่เราจะพูดคุยได้รู้เรื่อง (เหมือนกับ Mr. P รุ่นปู่เจ้าพ่อน้ำดำเลยนะ) เอ้า! ก็อย่างว่า แล้วคุณน้านัน ก็มาเป็นนายก เป็นแล้วเป็นอีก ช่วงปี พ.ศ.2531 ถึง พ.ศ.2535 เขาว่า งานแรกที่คุณน้านัน มาจัดการก็คือเรื่องที่ค้างคา (คาใจพี่เบิ้ม!) เป็นที่เรียบร้อย ไอ้ 3 ล้านเลขหมาย เขาว่า (อีกแล้ว) คุณน้าเรียกมาแบ่งเค้ก เอ้ย! เจรจาเองเลยนะ บริษัทของพี่เบิ้มตกรอบ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการ 3 ล้านเลขหมาย ไม่เป็นไรยูรับเหมาวาง fiber optic ไปแล้วกันนะ แหะแหะ สมใจนึกบางลำพู ทำท่าหงอยๆ รับ ok ok กลับไปรายงานข้ามโลกว่า We win! แล้วดาวเทียมล่ะ เสร็จโก๋ท้องถิ่นหน้าใหม่เอี่ยมเหลี่ยมพราว นายหน้าเหลี่ยมแจ้งเกิด ได้สัมปทานดาวเทียมเอาไปกอดอยู่ 15 ปี ต่อมาขายให้สิงคโปร์ กำไรบานตะเกียงไม่เสียภาษีซักกะแดง ไอ้หนุ่ยลูกป้าเหน่ง ทำงานเป็นเสมียน เงินเดือนๆ ละ 20,000 ยังเสียภาษีเดือนละ 2,000 บาทเลย เป็นงงเอาฝ่าเท้าก่ายหน้าผากรำพึง มันทำได้ไงวะ พูดถึงดาวเทียม ข้อมูลมันน่าสนใจ ไม่รู้ลืมกันหมดหรือยัง ไม่เล่าสู่กันฟัง มารู้ภายหลัง เดี๋ยวจะมาต่อว่ามีของดีแล้วไม่บอก ไอ้ดาวเทียมไทยคมนี้ นายหน้าเหลี่ยมเขาได้ไปก็จริง แต่ขบวนการมันน่าคิดนะ ตอนไปขอสัมปทานกับรัฐน่ะ ยังต้องให้เจ๊กระบัง ตากหน้าไปแลกเช็คอยู่เลย เอาเงินจากไหนมาคิดสร้างดาวเทียมน่ะ มันดวงละ 100, 200 บาท ซะเมื่อไหร่ ไม่ใช่ลูกโป่งนะ อ๋อ! ก็กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ (Exim Bank, Export Import Bank) ของพี่เบิ้ม ที่สนง.ใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซิ คร้าบ อา! มาแล้ว เริ่มเห็นหัวโผล่ๆ มาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้คนอ่านนิทานฉลาดจะตาย อ่านนิทานไปไม่เท่าไหร่ พอจะปะติดปะต่อกันได้ อิ! อิ! มันไม่เท่านั้นนะนาย กู้เงินจากเอ็กซิม แบงค์ แล้วยังมีธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้อีก เอ! แล้วธนาคารนี้มาเกี่ยวอะไร เขาถ้าจะรักฝังใจ เสียดายดาวเทียม ตอนแรกก็ทำคลอดให้ ตอนจบก็ช่วยแต่งศพให้ ..เอ๊ะ! เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยซีลุง ก็คืองี้ ตอนกู้เงินสร้างดาวเทียม ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กรุณาค้ำประกันให้ตอนจะขายให้ Temasek ของสิงคโปร์ บริษัทลูกของไทยพาณิชย์ ก็เป็นที่ปรึกษาการเงินให้เสร็จ แล้วเพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่สัมปทานกำหนด เกณฑ์คนต่างด้าวถือหุ้นเอาไว้ ก็ต้องสร้างนอมินี (nominee) ไทยมาถือแทนต่างด้าว (อีนอมาอีกแล้ว) อีนอก็ดันไม่มีเงินซื้อ ไปกู้เงินจากไทยพาณิชย์ เป็นทุนมาซื้อหุ้นดาวเทียม บริษัทนี้ชื่อกุหลาบแก้วไงจ๊ะ ลืมกันแล้วหรือ แล้วใครเป็นประธานบริษัทกุหลาบแก้วนะ แหม! ไม่อยากบอกเล้ย ! เขาชื่อมิสเตอร์พงส์ ลูกมิสเตอร์ พี แห่งน้ำดำจ๊ะ มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องมันถึงไหน ผิดถูกอย่างไร ไปตามหากันต่อเองเน้อ เอ้า ! ยังมีบังเอิญอีก แล้วธนาคารไทยพาณิชย์นี่นะ อีตอนที่ให้กุหลาบแก้วกู้เงินน่ะ ข่าวว่า ประธานธนาคารชื่อ คุณน้านัน! โอ้ย! มันบังเอิญทั้งนั้น Amazing Thailand นี่น่ะ แล้วตกลงไอ้ดาวเทียมไทยคม นี่มันเป็นของไอ้เหลี่ยมตั้งแต่ต้น หรือไอ้เหลี่ยมก็มีนอกันแน่ …คิดมากแล้วปวดหัวนิ เรื่องบ้านเมืองนี้ มันมีแยะ ตั้งกะพี่เบิ้มมันเดินยิ้ม จมูกโด่งงุ้ม ย้ายพุงไปมาในบ้านเราน่ะ ถึงว่าจะดูอะไร ดูให้ชัดๆ จะฟังอะไร ก็หัดกรอง สมองมีให้คิด ไม่ใช่มีไว้กั้นหูอย่างเดียว คนเล่านิทาน
    3 Comments 0 Shares 350 Views 0 Reviews
  • ⚡️ เรื่องเล่าจากโลกธุรกิจเทคโนโลยี: เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Core Scientific ขัดขวางดีล 9 พันล้านกับ CoreWeave

    ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดแรงสั่นสะเทือนในวงการ AI และคริปโต เมื่อ Two Seas Capital ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Core Scientific ประกาศว่าจะ “โหวตไม่เห็นด้วย” กับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับ CoreWeave มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าดีลนี้ “ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำเกินไป” และ “เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นโดยไม่จำเป็น”

    CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใช้ชิป Nvidia ต้องการซื้อ Core Scientific เพื่อขยายศักยภาพด้าน data center รองรับความต้องการฝึกโมเดล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเสนอซื้อแบบ all-stock deal ที่ไม่มีการป้องกันความผันผวนของราคาหุ้น

    แม้ Two Seas จะไม่คัดค้านการควบรวมโดยหลักการ และยังเป็นผู้ลงทุนใน CoreWeave ด้วย แต่พวกเขาเชื่อว่าดีลนี้ “เอื้อประโยชน์ให้ CoreWeave มากเกินไป” และไม่สะท้อนคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของ Core Scientific ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการล้มละลายในปี 2024 และกำลังเปลี่ยนโฟกัสจากการขุด Bitcoin ไปสู่การให้บริการพลังงานแก่ระบบ AI

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/core-scientific039s-largest-shareholder-to-vote-against-sale-to-coreweave
    🏢⚡️ เรื่องเล่าจากโลกธุรกิจเทคโนโลยี: เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Core Scientific ขัดขวางดีล 9 พันล้านกับ CoreWeave ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดแรงสั่นสะเทือนในวงการ AI และคริปโต เมื่อ Two Seas Capital ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Core Scientific ประกาศว่าจะ “โหวตไม่เห็นด้วย” กับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับ CoreWeave มูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่าดีลนี้ “ประเมินมูลค่าบริษัทต่ำเกินไป” และ “เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นโดยไม่จำเป็น” CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใช้ชิป Nvidia ต้องการซื้อ Core Scientific เพื่อขยายศักยภาพด้าน data center รองรับความต้องการฝึกโมเดล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเสนอซื้อแบบ all-stock deal ที่ไม่มีการป้องกันความผันผวนของราคาหุ้น แม้ Two Seas จะไม่คัดค้านการควบรวมโดยหลักการ และยังเป็นผู้ลงทุนใน CoreWeave ด้วย แต่พวกเขาเชื่อว่าดีลนี้ “เอื้อประโยชน์ให้ CoreWeave มากเกินไป” และไม่สะท้อนคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของ Core Scientific ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการล้มละลายในปี 2024 และกำลังเปลี่ยนโฟกัสจากการขุด Bitcoin ไปสู่การให้บริการพลังงานแก่ระบบ AI https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/core-scientific039s-largest-shareholder-to-vote-against-sale-to-coreweave
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Core Scientific's largest shareholder to vote against sale to CoreWeave
    (Reuters) -Two Seas Capital, the largest shareholder of Core Scientific, issued an open letter on Thursday saying it would vote against the company's proposed sale to CoreWeave, in a potential blow to the $9 billion deal.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเวทีการค้าระดับโลก: เมื่อสหรัฐฯ เสนอเงื่อนไขสุดโหดให้ TSMC เพื่อช่วย Intel และลดภาษีให้ไต้หวัน

    ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศยังคุกรุ่น รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือหลักในการลดการขาดดุลการค้า โดยเฉพาะกับไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีสูงถึง 20% ขณะที่ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นจ่ายเพียง 15%

    เพื่อแลกกับการลดภาษีเหล่านี้ สหรัฐฯ ได้เสนอเงื่อนไขที่หนักหน่วงให้กับไต้หวันผ่านบริษัท TSMC ได้แก่:

    1️⃣ให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel

    2️⃣ ให้ TSMC ลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ

    แม้ TSMC จะลงทุนในสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า $165 พันล้าน ทั้งในโรงงานผลิตชิปที่ Arizona และศูนย์วิจัย แต่เงื่อนไขใหม่นี้ถือว่าเกินขีดความสามารถทางการเงินและยุทธศาสตร์ของบริษัท

    เบื้องหลังของข้อเสนอนี้คือความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะช่วย Intel ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก รายได้ลดลงจาก $79 พันล้านในปี 2021 เหลือเพียง $53 พันล้านในปี 2024 และโรงงานใหม่ในรัฐโอไฮโอก็ถูกเลื่อนเปิดจากปี 2025 ไปเป็น 2030

    สหรัฐฯ เสนอให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel
    เป็นเงื่อนไขในการลดภาษีศุลกากรสำหรับไต้หวัน

    TSMC ต้องลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ
    นอกเหนือจากการลงทุนเดิม $165 พันล้าน

    Intel กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
    รายได้ลดลง 33% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

    โรงงานใหม่ของ Intel ในโอไฮโอถูกเลื่อนเปิดเป็นปี 2030
    สะท้อนปัญหาการจัดการเงินทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ

    TSMC มีโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ อยู่แล้ว
    รวมถึงโรงงานที่เริ่มผลิตในปี 2024 และอีกสองแห่งที่กำลังก่อสร้าง

    การถือหุ้น 49% ไม่ได้ให้สิทธิ์ควบคุมกิจการ
    TSMC จะไม่มีอำนาจในการบริหาร Intel โดยตรง

    Intel มีการขายหุ้นโรงงานให้กับบริษัทเอกชนแล้ว
    เช่น Brookfield Asset Management ถือหุ้นบางส่วน

    TSMC เป็นบริษัท foundry แบบ pure-play
    ไม่ได้มีธุรกิจ consumer product แบบ Intel

    การควบรวมอาจไม่เกิด synergy ที่แท้จริง
    เพราะโมเดลธุรกิจของทั้งสองบริษัทต่างกัน

    https://www.notebookcheck.net/Desperate-measures-to-save-Intel-US-reportedly-forcing-TSMC-to-buy-49-stake-in-Intel-to-secure-tariff-relief-for-Taiwan.1079424.0.html
    🇺🇸💻 เรื่องเล่าจากเวทีการค้าระดับโลก: เมื่อสหรัฐฯ เสนอเงื่อนไขสุดโหดให้ TSMC เพื่อช่วย Intel และลดภาษีให้ไต้หวัน ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศยังคุกรุ่น รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือหลักในการลดการขาดดุลการค้า โดยเฉพาะกับไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บภาษีสูงถึง 20% ขณะที่ประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่นจ่ายเพียง 15% เพื่อแลกกับการลดภาษีเหล่านี้ สหรัฐฯ ได้เสนอเงื่อนไขที่หนักหน่วงให้กับไต้หวันผ่านบริษัท TSMC ได้แก่: 1️⃣ให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel 2️⃣ ให้ TSMC ลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ แม้ TSMC จะลงทุนในสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า $165 พันล้าน ทั้งในโรงงานผลิตชิปที่ Arizona และศูนย์วิจัย แต่เงื่อนไขใหม่นี้ถือว่าเกินขีดความสามารถทางการเงินและยุทธศาสตร์ของบริษัท เบื้องหลังของข้อเสนอนี้คือความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะช่วย Intel ซึ่งกำลังตกต่ำอย่างหนัก รายได้ลดลงจาก $79 พันล้านในปี 2021 เหลือเพียง $53 พันล้านในปี 2024 และโรงงานใหม่ในรัฐโอไฮโอก็ถูกเลื่อนเปิดจากปี 2025 ไปเป็น 2030 ✅ สหรัฐฯ เสนอให้ TSMC ซื้อหุ้น 49% ของ Intel ➡️ เป็นเงื่อนไขในการลดภาษีศุลกากรสำหรับไต้หวัน ✅ TSMC ต้องลงทุนเพิ่มอีก $400 พันล้านในสหรัฐฯ ➡️ นอกเหนือจากการลงทุนเดิม $165 พันล้าน ✅ Intel กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ➡️ รายได้ลดลง 33% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ✅ โรงงานใหม่ของ Intel ในโอไฮโอถูกเลื่อนเปิดเป็นปี 2030 ➡️ สะท้อนปัญหาการจัดการเงินทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐ ✅ TSMC มีโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ➡️ รวมถึงโรงงานที่เริ่มผลิตในปี 2024 และอีกสองแห่งที่กำลังก่อสร้าง ✅ การถือหุ้น 49% ไม่ได้ให้สิทธิ์ควบคุมกิจการ ➡️ TSMC จะไม่มีอำนาจในการบริหาร Intel โดยตรง ✅ Intel มีการขายหุ้นโรงงานให้กับบริษัทเอกชนแล้ว ➡️ เช่น Brookfield Asset Management ถือหุ้นบางส่วน ✅ TSMC เป็นบริษัท foundry แบบ pure-play ➡️ ไม่ได้มีธุรกิจ consumer product แบบ Intel ✅ การควบรวมอาจไม่เกิด synergy ที่แท้จริง ➡️ เพราะโมเดลธุรกิจของทั้งสองบริษัทต่างกัน https://www.notebookcheck.net/Desperate-measures-to-save-Intel-US-reportedly-forcing-TSMC-to-buy-49-stake-in-Intel-to-secure-tariff-relief-for-Taiwan.1079424.0.html
    WWW.NOTEBOOKCHECK.NET
    Desperate measures to save Intel: US reportedly forcing TSMC to buy 49% stake in Intel to secure tariff relief for Taiwan
    A new report out of Taiwan has revealed that the current US administration is tying the reduction on trade of trade tariffs on Taiwan to significant TSMC investment in the US. This investment includes a 49% stake in Intel.
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: วิศวกร AI ปฏิเสธเงินพันล้านจาก Meta เพื่อสร้างอนาคตในแบบที่ตัวเองเชื่อ

    Meta พยายามดึงตัวทีมงานจาก Thinking Machines Lab ซึ่งนำโดย Andrew Tulloch และ Mira Murati—สองบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทใน Meta และ OpenAI โดยเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนที่อาจรวมสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะหลายปี ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัส

    แต่ทั้ง Tulloch และ Murati รวมถึงทีมงานของพวกเขา ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการสร้างเทคโนโลยีในแบบที่มีจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยเป้าหมายทางโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

    เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ในวงการ AI ที่นักพัฒนาเริ่มให้ความสำคัญกับ “เป้าหมายร่วม” และ “ความไว้วางใจในผู้นำ” มากกว่าการไล่ตามเงินก้อนโต ซึ่ง Meta แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ก็ยังไม่สามารถดึงตัวนักวิจัยระดับสูงจากคู่แข่งได้มากนัก

    Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1.5 พันล้านให้กับ Andrew Tulloch และทีม Thinking Machines
    ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัสในระยะหลายปี
    เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่สูงที่สุดในวงการ AI

    Mira Murati และทีมงานของเธอปฏิเสธข้อเสนอจาก Meta ทั้งหมด
    ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการเข้าซื้อกิจการ แต่ยังปฏิเสธข้อเสนอส่วนตัว
    แสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษาอุดมการณ์ขององค์กร

    Meta ไม่ปฏิเสธว่ามีความพยายามดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่ง
    แม้จะบอกว่าตัวเลขอาจถูกกล่าวเกินจริง
    แต่ยอมรับว่ามีการทาบทามนักวิจัยระดับสูงจริง

    แนวโน้มใหม่ในวงการ AI คือการเลือก “เป้าหมายร่วม” มากกว่า “ค่าตอบแทนสูงสุด”
    วิศวกรบางคนต้องการสร้างเทคโนโลยีที่มีจริยธรรม
    ไม่ต้องการให้ผลงานถูกใช้เพื่อโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

    Meta สามารถดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่งได้เพียงจำนวนน้อย แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล
    การแข่งขันด้าน AI ไม่ได้วัดกันแค่เงิน
    ความเชื่อมั่นในผู้นำและเป้าหมายองค์กรกลายเป็นปัจจัยสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/108917-ai-engineers-reject-meta-15-billion-offers-stay.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: วิศวกร AI ปฏิเสธเงินพันล้านจาก Meta เพื่อสร้างอนาคตในแบบที่ตัวเองเชื่อ Meta พยายามดึงตัวทีมงานจาก Thinking Machines Lab ซึ่งนำโดย Andrew Tulloch และ Mira Murati—สองบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทใน Meta และ OpenAI โดยเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนที่อาจรวมสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะหลายปี ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัส แต่ทั้ง Tulloch และ Murati รวมถึงทีมงานของพวกเขา ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการสร้างเทคโนโลยีในแบบที่มีจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยเป้าหมายทางโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ในวงการ AI ที่นักพัฒนาเริ่มให้ความสำคัญกับ “เป้าหมายร่วม” และ “ความไว้วางใจในผู้นำ” มากกว่าการไล่ตามเงินก้อนโต ซึ่ง Meta แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ก็ยังไม่สามารถดึงตัวนักวิจัยระดับสูงจากคู่แข่งได้มากนัก ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1.5 พันล้านให้กับ Andrew Tulloch และทีม Thinking Machines ➡️ ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัสในระยะหลายปี ➡️ เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่สูงที่สุดในวงการ AI ✅ Mira Murati และทีมงานของเธอปฏิเสธข้อเสนอจาก Meta ทั้งหมด ➡️ ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการเข้าซื้อกิจการ แต่ยังปฏิเสธข้อเสนอส่วนตัว ➡️ แสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษาอุดมการณ์ขององค์กร ✅ Meta ไม่ปฏิเสธว่ามีความพยายามดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่ง ➡️ แม้จะบอกว่าตัวเลขอาจถูกกล่าวเกินจริง ➡️ แต่ยอมรับว่ามีการทาบทามนักวิจัยระดับสูงจริง ✅ แนวโน้มใหม่ในวงการ AI คือการเลือก “เป้าหมายร่วม” มากกว่า “ค่าตอบแทนสูงสุด” ➡️ วิศวกรบางคนต้องการสร้างเทคโนโลยีที่มีจริยธรรม ➡️ ไม่ต้องการให้ผลงานถูกใช้เพื่อโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ✅ Meta สามารถดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่งได้เพียงจำนวนน้อย แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ➡️ การแข่งขันด้าน AI ไม่ได้วัดกันแค่เงิน ➡️ ความเชื่อมั่นในผู้นำและเป้าหมายองค์กรกลายเป็นปัจจัยสำคัญ https://www.techspot.com/news/108917-ai-engineers-reject-meta-15-billion-offers-stay.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI engineers reject Meta's $1.5 billion offers to build on their own terms
    While not in the majority, many engineers are choosing to pass up unprecedented offers in favor of staying loyal to their mission, values, and the chance to...
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • ตอน 6
    ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด
    จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊
    แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่)
    พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ
    จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ
    เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ
    มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง)
    ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา…
    จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย
    เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ
    ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ
    (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555)
    สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย
    พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง
    แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น
    แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ)
    นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา)
    ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง
    มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร
    จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส
    น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน
    จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ!
    นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง
    รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย
    พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน
    คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย
    อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร
    อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น
    อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย
    วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก
    ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ
    พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้
    อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก
    แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน
    แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5
    ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน
    แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน
    เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้
    ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม
    พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ
    คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว
    ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก)
    รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ
    ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว
    รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม!
    19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย
    20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ
    CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ
    Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง)


    คนเล่านิทาน
    ตอน 6 ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊ แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่) พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง) ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา… จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555) สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ) นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา) ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ! นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้ อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5 ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้ ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก) รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม! 19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย 20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง) คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 462 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ARM พลิกเกมจากเบื้องหลังสู่เวทีหน้าในตลาด AI

    ARM เคยเป็นผู้ให้สิทธิ์ใช้งานสถาปัตยกรรม CPU ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple, Qualcomm, NVIDIA และ AWS โดยไม่ผลิตชิปเอง แต่ในปี 2025 ARM ประกาศแผนใหม่—จะพัฒนา “Full-End Solutions” ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ชิปเล็ก (chiplet) ไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    CEO ของ ARM, Rene Haas เผยว่า “เราไม่ใช่แค่จะออกแบบ แต่จะสร้างจริง” ซึ่งหมายถึงการลงทุนมหาศาลใน R&D การเลือกโรงงานผลิต และการจัดจำหน่าย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิปหนึ่งตัว

    แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าเดิมที่อาจมองว่า ARM กลายเป็นคู่แข่ง แต่ ARM ก็มีจุดแข็งจากประสบการณ์และการยอมรับในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscaler เช่น AWS, Google, Microsoft ที่ใช้ชิป Neoverse ของ ARM ในระบบ AI ของตน

    ARM เตรียมพัฒนา Full-End Solutions สำหรับตลาด AI
    รวมถึง chiplets, บอร์ด, และระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด
    เปลี่ยนจากโมเดล IP licensing ไปสู่การผลิตจริง

    CEO Rene Haas ยืนยันการลงทุนใน R&D และการสร้างชิปเอง
    อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิป
    ต้องเลือกโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายเอง

    ARM มีฐานลูกค้าในตลาด AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
    Neoverse CPU ถูกใช้ใน AWS Graviton, Google Axion, Microsoft Cobalt
    คาดว่า 50% ของ CPU ใน data center จะใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายในปีนี้

    SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ARM และมีประวัติการลงทุนในโครงการเสี่ยง
    เพิ่มความมั่นใจในการสนับสนุนแผนใหม่ของ ARM
    เคยลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ARM ไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ผลิตชิปเต็มรูปแบบ แต่จะสร้าง prototype เพื่อเร่งนวัตกรรมของลูกค้า
    ใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยลูกค้าออกแบบชิปเฉพาะทาง
    เน้นตลาด AI inference และ data center

    https://wccftech.com/arm-is-reportedly-exploring-full-end-solutions-for-the-ai-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ARM พลิกเกมจากเบื้องหลังสู่เวทีหน้าในตลาด AI ARM เคยเป็นผู้ให้สิทธิ์ใช้งานสถาปัตยกรรม CPU ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple, Qualcomm, NVIDIA และ AWS โดยไม่ผลิตชิปเอง แต่ในปี 2025 ARM ประกาศแผนใหม่—จะพัฒนา “Full-End Solutions” ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ชิปเล็ก (chiplet) ไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว CEO ของ ARM, Rene Haas เผยว่า “เราไม่ใช่แค่จะออกแบบ แต่จะสร้างจริง” ซึ่งหมายถึงการลงทุนมหาศาลใน R&D การเลือกโรงงานผลิต และการจัดจำหน่าย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิปหนึ่งตัว แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าเดิมที่อาจมองว่า ARM กลายเป็นคู่แข่ง แต่ ARM ก็มีจุดแข็งจากประสบการณ์และการยอมรับในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscaler เช่น AWS, Google, Microsoft ที่ใช้ชิป Neoverse ของ ARM ในระบบ AI ของตน ✅ ARM เตรียมพัฒนา Full-End Solutions สำหรับตลาด AI ➡️ รวมถึง chiplets, บอร์ด, และระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด ➡️ เปลี่ยนจากโมเดล IP licensing ไปสู่การผลิตจริง ✅ CEO Rene Haas ยืนยันการลงทุนใน R&D และการสร้างชิปเอง ➡️ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิป ➡️ ต้องเลือกโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายเอง ✅ ARM มีฐานลูกค้าในตลาด AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Neoverse CPU ถูกใช้ใน AWS Graviton, Google Axion, Microsoft Cobalt ➡️ คาดว่า 50% ของ CPU ใน data center จะใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายในปีนี้ ✅ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ARM และมีประวัติการลงทุนในโครงการเสี่ยง ➡️ เพิ่มความมั่นใจในการสนับสนุนแผนใหม่ของ ARM ➡️ เคยลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ ARM ไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ผลิตชิปเต็มรูปแบบ แต่จะสร้าง prototype เพื่อเร่งนวัตกรรมของลูกค้า ➡️ ใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยลูกค้าออกแบบชิปเฉพาะทาง ➡️ เน้นตลาด AI inference และ data center https://wccftech.com/arm-is-reportedly-exploring-full-end-solutions-for-the-ai-market/
    WCCFTECH.COM
    ARM Is Reportedly Exploring "Full-End" Solutions for the AI Market, Marking a Major Pivot from CPU IP Licensing to Competing with Mainstream Players Like AMD & Intel
    ARM is expected to make a pivot towards full-end solutions for its customers, creating its own chips to compete with Intel and AMD.
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 Reviews
  • ตอน 2

    จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์



    อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

    แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

    อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

    ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

    (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ)

    ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้

    รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

    สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม…

    คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

    สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

    ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง

    ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

    นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย

    ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว!

    พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

    นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ

    หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ

    สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

    อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

    พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

    แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

    ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

    Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ)

    Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

    คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

    ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

    ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

    การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

    นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

    ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

    นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

    แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง

    คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น!

    ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

    ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

    ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 2 จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์ อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ) ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้ รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม… คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ! แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ) Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น! ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง คนเล่านิทาน
    1 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
More Results