• Intel ทดสอบเครื่องมือจาก ACM Research

    Intel กำลังประเมินเครื่องมือ wet etch จาก ACM Research สำหรับใช้ในกระบวนการผลิต 14A node ที่มีแผนเปิดตัวในปี 2027 เครื่องมือประเภทนี้ใช้สารเคมีในการกัดกร่อนวัสดุเพื่อสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตชิป แม้การทดสอบเครื่องมือจากหลายบริษัทเป็นเรื่องปกติ แต่กรณีนี้ถูกจับตามากเพราะ ACM มีฐานการดำเนินงานใหญ่ในจีน

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    ACM Research มีบางหน่วยงานที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเนื่องจากความสัมพันธ์กับบริษัทจีน เช่น SMIC, CXMT และ YMTC การที่ Intel ทดสอบเครื่องมือจากบริษัทที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ จึงถูกมองว่าอาจสร้างปัญหาด้านความมั่นคงและการเมือง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ กำลังเข้มงวดต่อการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีน

    ความเชื่อมโยงกับ Lip-Bu Tan
    Lip-Bu Tan ซึ่งเพิ่งขึ้นเป็น CEO ของ Intel เคยลงทุนใน ACM Research ผ่านกองทุน Walden International และ Walden CEL Global Fund I แม้จะเป็นการลงทุนทางอ้อมและไม่ใช่การถือหุ้นใหญ่ แต่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Intel อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหากตัดสินใจใช้เครื่องมือจาก ACM

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การทดสอบนี้สะท้อนถึงความท้าทายของ Intel ในการหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมเพื่อเร่งการผลิตชิปขั้นสูง หาก Intel เลือกใช้เครื่องมือจาก ACM จริง อาจทำให้เกิดแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel ทดสอบเครื่องมือใหม่
    เครื่องมือ wet etch จาก ACM Research
    ใช้ในกระบวนการผลิต 14A node ปี 2027

    ความเชื่อมโยงกับผู้บริหาร
    Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน ACM ผ่าน Walden International
    แม้ไม่ใช่การถือหุ้นใหญ่ แต่สร้างข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    ACM มีหน่วยงานถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ
    ความสัมพันธ์กับบริษัทจีน เช่น SMIC และ YMTC

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    Intel ต้องหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมเพื่อเร่งผลิตชิปขั้นสูง
    จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การใช้เครื่องมือจาก ACM อาจสร้างแรงกดดันทางการเมือง
    ความเสี่ยงต่อความมั่นคงหากมีการพึ่งพาบริษัทที่ถูกคว่ำบาตร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-tests-chipmaking-tools-from-sanctioned-china-focused-tool-maker-report-claims-move-could-raise-political-and-national-security-concerns-firm-was-backed-by-ceo-lip-bu-tans-investment-firm
    🏭 Intel ทดสอบเครื่องมือจาก ACM Research Intel กำลังประเมินเครื่องมือ wet etch จาก ACM Research สำหรับใช้ในกระบวนการผลิต 14A node ที่มีแผนเปิดตัวในปี 2027 เครื่องมือประเภทนี้ใช้สารเคมีในการกัดกร่อนวัสดุเพื่อสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการผลิตชิป แม้การทดสอบเครื่องมือจากหลายบริษัทเป็นเรื่องปกติ แต่กรณีนี้ถูกจับตามากเพราะ ACM มีฐานการดำเนินงานใหญ่ในจีน ⚠️ ความกังวลด้านความมั่นคง ACM Research มีบางหน่วยงานที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเนื่องจากความสัมพันธ์กับบริษัทจีน เช่น SMIC, CXMT และ YMTC การที่ Intel ทดสอบเครื่องมือจากบริษัทที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ จึงถูกมองว่าอาจสร้างปัญหาด้านความมั่นคงและการเมือง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ กำลังเข้มงวดต่อการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีน 👔 ความเชื่อมโยงกับ Lip-Bu Tan Lip-Bu Tan ซึ่งเพิ่งขึ้นเป็น CEO ของ Intel เคยลงทุนใน ACM Research ผ่านกองทุน Walden International และ Walden CEL Global Fund I แม้จะเป็นการลงทุนทางอ้อมและไม่ใช่การถือหุ้นใหญ่ แต่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Intel อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหากตัดสินใจใช้เครื่องมือจาก ACM 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การทดสอบนี้สะท้อนถึงความท้าทายของ Intel ในการหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมเพื่อเร่งการผลิตชิปขั้นสูง หาก Intel เลือกใช้เครื่องมือจาก ACM จริง อาจทำให้เกิดแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร แต่ในอีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel ทดสอบเครื่องมือใหม่ ➡️ เครื่องมือ wet etch จาก ACM Research ➡️ ใช้ในกระบวนการผลิต 14A node ปี 2027 ✅ ความเชื่อมโยงกับผู้บริหาร ➡️ Lip-Bu Tan เคยลงทุนใน ACM ผ่าน Walden International ➡️ แม้ไม่ใช่การถือหุ้นใหญ่ แต่สร้างข้อสงสัยเรื่องผลประโยชน์ ✅ ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ➡️ ACM มีหน่วยงานถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ➡️ ความสัมพันธ์กับบริษัทจีน เช่น SMIC และ YMTC ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ Intel ต้องหาซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมเพื่อเร่งผลิตชิปขั้นสูง ➡️ จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การใช้เครื่องมือจาก ACM อาจสร้างแรงกดดันทางการเมือง ⛔ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงหากมีการพึ่งพาบริษัทที่ถูกคว่ำบาตร https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-tests-chipmaking-tools-from-sanctioned-china-focused-tool-maker-report-claims-move-could-raise-political-and-national-security-concerns-firm-was-backed-by-ceo-lip-bu-tans-investment-firm
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องพูดภาษา “ธุรกิจ”

    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ไม่สามารถนำเสนอการลงทุนในระบบป้องกันเพียงแค่เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่ต้องเชื่อมโยงกับ เป้าหมายธุรกิจ เช่น การขยายตลาดใหม่ การเพิ่มความยืดหยุ่น และการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น การอธิบายว่าเทคโนโลยีช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ หรือช่วยลดต้นทุนได้อย่างไร จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นความคุ้มค่าและอนุมัติการลงทุนได้ง่ายขึ้น

    เทรนด์ Cybersecurity ปี 2025 จาก Gartner
    รายงานล่าสุดชี้ว่า Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูลจากแบบ “Structured Data” ไปสู่ “Unstructured Data” เช่น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ อีกทั้งการจัดการ Machine Identity กลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบัญชีเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติเพิ่มจำนวนมหาศาล หากไม่ควบคุมอาจขยายช่องโหว่ให้แฮกเกอร์โจมตีได้ง่ายขึ้น

    Quantum Computing และภัยคุกคามใหม่
    นักวิจัยเตือนว่า Quantum Computing อาจทำให้การเข้ารหัสแบบ RSA หรือ ECC ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกถูกถอดรหัสได้ในอนาคต เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Harvest Now, Decrypt Later” คือการขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ตอนนี้ แล้วรอให้ Quantum สามารถถอดรหัสได้ในอนาคต หากไม่เตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญมหาศาล

    วัฒนธรรมและพฤติกรรมด้านความปลอดภัย
    องค์กรจำนวนมากเริ่มลงทุนใน Security Behavior & Culture Programs (SBCPs) เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพนักงาน โดยผสมผสาน AI เข้ามาช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ คาดว่าภายในปี 2026 องค์กรที่ใช้แนวทางนี้จะลดเหตุการณ์ที่เกิดจากพนักงานได้ถึง 40%

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจ
    ลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ เพิ่มความยืดหยุ่น และสร้างรายได้ใหม่

    Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูล
    จากการป้องกันฐานข้อมูล ไปสู่การป้องกันข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ

    Machine Identity Management เป็นเรื่องเร่งด่วน
    หากไม่ควบคุม บัญชีเครื่องจักรอัตโนมัติจะขยายช่องโหว่

    Quantum Computing กำลังคุกคามการเข้ารหัสปัจจุบัน
    ต้องเตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันข้อมูลระยะยาว

    การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรช่วยลดความเสี่ยง
    AI สามารถช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์

    ความเสี่ยงจาก Quantum Computing
    “Harvest Now, Decrypt Later” อาจทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสวันนี้ถูกเปิดเผยในอนาคต

    การใช้ AI โดยไม่ควบคุมอาจสร้างช่องโหว่ใหม่
    AI ที่ไม่ถูกกำกับอาจถูกใช้สร้าง Deepfake หรือโจมตีระบบอัตโนมัติ

    https://www.csoonline.com/article/4104472/how-to-justify-your-security-investments.html
    🛡️ การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องพูดภาษา “ธุรกิจ” ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) ไม่สามารถนำเสนอการลงทุนในระบบป้องกันเพียงแค่เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่ต้องเชื่อมโยงกับ เป้าหมายธุรกิจ เช่น การขยายตลาดใหม่ การเพิ่มความยืดหยุ่น และการสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น การอธิบายว่าเทคโนโลยีช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ หรือช่วยลดต้นทุนได้อย่างไร จะทำให้บอร์ดบริหารเห็นความคุ้มค่าและอนุมัติการลงทุนได้ง่ายขึ้น 🤖 เทรนด์ Cybersecurity ปี 2025 จาก Gartner รายงานล่าสุดชี้ว่า Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูลจากแบบ “Structured Data” ไปสู่ “Unstructured Data” เช่น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ อีกทั้งการจัดการ Machine Identity กลายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบัญชีเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติเพิ่มจำนวนมหาศาล หากไม่ควบคุมอาจขยายช่องโหว่ให้แฮกเกอร์โจมตีได้ง่ายขึ้น ⚛️ Quantum Computing และภัยคุกคามใหม่ นักวิจัยเตือนว่า Quantum Computing อาจทำให้การเข้ารหัสแบบ RSA หรือ ECC ที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกถูกถอดรหัสได้ในอนาคต เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Harvest Now, Decrypt Later” คือการขโมยข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ตอนนี้ แล้วรอให้ Quantum สามารถถอดรหัสได้ในอนาคต หากไม่เตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญมหาศาล 🌐 วัฒนธรรมและพฤติกรรมด้านความปลอดภัย องค์กรจำนวนมากเริ่มลงทุนใน Security Behavior & Culture Programs (SBCPs) เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในพนักงาน โดยผสมผสาน AI เข้ามาช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ คาดว่าภายในปี 2026 องค์กรที่ใช้แนวทางนี้จะลดเหตุการณ์ที่เกิดจากพนักงานได้ถึง 40% 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การลงทุนด้าน Cybersecurity ต้องเชื่อมโยงกับธุรกิจ ➡️ ลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ เพิ่มความยืดหยุ่น และสร้างรายได้ใหม่ ✅ Generative AI กำลังเปลี่ยนโฟกัสการป้องกันข้อมูล ➡️ จากการป้องกันฐานข้อมูล ไปสู่การป้องกันข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ✅ Machine Identity Management เป็นเรื่องเร่งด่วน ➡️ หากไม่ควบคุม บัญชีเครื่องจักรอัตโนมัติจะขยายช่องโหว่ ✅ Quantum Computing กำลังคุกคามการเข้ารหัสปัจจุบัน ➡️ ต้องเตรียมใช้ Post-Quantum Cryptography เพื่อป้องกันข้อมูลระยะยาว ✅ การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กรช่วยลดความเสี่ยง ➡️ AI สามารถช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและลดเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์ ‼️ ความเสี่ยงจาก Quantum Computing ⛔ “Harvest Now, Decrypt Later” อาจทำให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสวันนี้ถูกเปิดเผยในอนาคต ‼️ การใช้ AI โดยไม่ควบคุมอาจสร้างช่องโหว่ใหม่ ⛔ AI ที่ไม่ถูกกำกับอาจถูกใช้สร้าง Deepfake หรือโจมตีระบบอัตโนมัติ https://www.csoonline.com/article/4104472/how-to-justify-your-security-investments.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to justify your security investments
    Budget discussions are tiresome because cyber risks and expenses are rising in tandem. CISOs should therefore align their arguments with business objectives.
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้นกู้ 6รุ่น Phuket ใช้สิทธิ์ (11/12/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ก.ล.ต. #ตลาดหุ้น #หุ้น
    ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้นกู้ 6รุ่น Phuket ใช้สิทธิ์ (11/12/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #ก.ล.ต. #ตลาดหุ้น #หุ้น
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 0 Reviews
  • IBM เข้าซื้อ Confluent: ก้าวสำคัญสู่ยุคข้อมูลเรียลไทม์

    IBM ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการ Confluent ซึ่งเป็นบริษัทผู้บุกเบิกด้าน data streaming ที่สร้างขึ้นจาก Apache Kafka โดยดีลนี้มีมูลค่า 31 ดอลลาร์ต่อหุ้นแบบ all-cash และคาดว่าจะปิดการทำธุรกรรมภายในกลางปี 2026 หลังจากได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    Confluent จะยังคงดำเนินงานในฐานะแบรนด์และธุรกิจที่แยกออกมา แต่จะได้รับการสนับสนุนจาก IBM ในการขยายการใช้งานสถาปัตยกรรมข้อมูลแบบ event-driven intelligence ไปสู่ตลาดองค์กรทั่วโลก การผนึกกำลังนี้สะท้อนถึงความเชื่อร่วมกันว่า ข้อมูลคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน AI และการปรับปรุงระบบธุรกิจสมัยใหม่

    Jay Kreps ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Confluent กล่าวว่าการเข้าร่วมกับ IBM จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายวิสัยทัศน์ในการ “ตั้งข้อมูลให้เคลื่อนไหว” ไปสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้นและมีผลกระทบมากขึ้น โดย IBM เองก็มีประสบการณ์ด้านการสนับสนุนโอเพนซอร์สจากการเข้าซื้อ Red Hat และ HashiCorp มาก่อนหน้านี้ ทำให้การเข้าซื้อ Confluent เป็นการต่อยอดเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน

    ในระหว่างที่รอการปิดดีล Confluent จะยังคงดำเนินงานอย่างอิสระ โดยพนักงานยังคงได้รับสิทธิประโยชน์และนโยบายเดิม พร้อมทั้งต้องส่งมอบพันธสัญญาแก่ลูกค้าและพันธมิตรต่อไป การเข้าซื้อครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการ “ขยายภารกิจ” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงทิศทางของบริษัท

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดการเข้าซื้อ
    IBM เข้าซื้อ Confluent ด้วยราคา 31 ดอลลาร์ต่อหุ้นแบบ all-cash
    คาดว่าจะปิดดีลกลางปี 2026 หลังการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    กลยุทธ์และเป้าหมาย
    Confluent จะยังคงดำเนินงานเป็นแบรนด์แยกภายใน IBM
    มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อรองรับ AI ในระดับองค์กร

    จุดแข็งร่วมกัน
    IBM มีประสบการณ์ด้านโอเพนซอร์สจากการเข้าซื้อ Red Hat และ HashiCorp
    Confluent มีความเชี่ยวชาญด้าน data streaming และ event-driven architecture

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    ดีลยังขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลและการโหวตจากผู้ถือหุ้น
    อาจเกิดความเสี่ยงด้านการรักษาบุคลากรหลักและความสัมพันธ์กับลูกค้าในช่วงการเปลี่ยนผ่าน

    https://www.confluent.io/blog/ibm-to-acquire-confluent/
    💼 IBM เข้าซื้อ Confluent: ก้าวสำคัญสู่ยุคข้อมูลเรียลไทม์ IBM ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการ Confluent ซึ่งเป็นบริษัทผู้บุกเบิกด้าน data streaming ที่สร้างขึ้นจาก Apache Kafka โดยดีลนี้มีมูลค่า 31 ดอลลาร์ต่อหุ้นแบบ all-cash และคาดว่าจะปิดการทำธุรกรรมภายในกลางปี 2026 หลังจากได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล Confluent จะยังคงดำเนินงานในฐานะแบรนด์และธุรกิจที่แยกออกมา แต่จะได้รับการสนับสนุนจาก IBM ในการขยายการใช้งานสถาปัตยกรรมข้อมูลแบบ event-driven intelligence ไปสู่ตลาดองค์กรทั่วโลก การผนึกกำลังนี้สะท้อนถึงความเชื่อร่วมกันว่า ข้อมูลคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน AI และการปรับปรุงระบบธุรกิจสมัยใหม่ Jay Kreps ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Confluent กล่าวว่าการเข้าร่วมกับ IBM จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายวิสัยทัศน์ในการ “ตั้งข้อมูลให้เคลื่อนไหว” ไปสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้นและมีผลกระทบมากขึ้น โดย IBM เองก็มีประสบการณ์ด้านการสนับสนุนโอเพนซอร์สจากการเข้าซื้อ Red Hat และ HashiCorp มาก่อนหน้านี้ ทำให้การเข้าซื้อ Confluent เป็นการต่อยอดเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน ในระหว่างที่รอการปิดดีล Confluent จะยังคงดำเนินงานอย่างอิสระ โดยพนักงานยังคงได้รับสิทธิประโยชน์และนโยบายเดิม พร้อมทั้งต้องส่งมอบพันธสัญญาแก่ลูกค้าและพันธมิตรต่อไป การเข้าซื้อครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการ “ขยายภารกิจ” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงทิศทางของบริษัท 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดการเข้าซื้อ ➡️ IBM เข้าซื้อ Confluent ด้วยราคา 31 ดอลลาร์ต่อหุ้นแบบ all-cash ➡️ คาดว่าจะปิดดีลกลางปี 2026 หลังการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ✅ กลยุทธ์และเป้าหมาย ➡️ Confluent จะยังคงดำเนินงานเป็นแบรนด์แยกภายใน IBM ➡️ มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อรองรับ AI ในระดับองค์กร ✅ จุดแข็งร่วมกัน ➡️ IBM มีประสบการณ์ด้านโอเพนซอร์สจากการเข้าซื้อ Red Hat และ HashiCorp ➡️ Confluent มีความเชี่ยวชาญด้าน data streaming และ event-driven architecture ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ⛔ ดีลยังขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลและการโหวตจากผู้ถือหุ้น ⛔ อาจเกิดความเสี่ยงด้านการรักษาบุคลากรหลักและความสัมพันธ์กับลูกค้าในช่วงการเปลี่ยนผ่าน https://www.confluent.io/blog/ibm-to-acquire-confluent/
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • แผนชั่ว ตอนที่ 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 4
    ปฏิบัติการต่างๆ ของอเมริกาหลังจากนั้น จึงเป็นปฏิบัติการพรางตัว จะอ้างว่าเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่แท้จริงเป็นความพยายามที่จะ “กัน” ไม่ให้จีนมีโอกาสแทรกตัว แหย่ขา เข้ามาในอาฟริกาได้ง่ายๆ หรือไม่ได้เลยยิ่งดี เพราะอเมริการู้ดีว่า อาฟริกานั้นเต็มไปด้วยแร่มีค่าสาระพัด อเมริกานึกไม่ถึงว่า อาเฮียจากแดนมังกรจะหาญกล้า ข้ามน้ำข้ามภูเขา มาฉกของดีตัดหน้าอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกได้ นึกว่าอาเฮียทำเป็น แค่ดีดลูกคิด….
    สาธารณารัฐคองโก หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสาธารณรัฐแซร์ Republic of Zaire ในปี คศ 1997 เมื่อกองกำลังของ โลรอง-เดซิเร คาบิล่า Laurent-Desire Kabila โค่นประธานาธิบดีตลอดกาล เซเซ เซกู หรือ โจเซฟ- โลรอง โมบูตู Sese Seku Joseph-Laurent Mobutu ที่ปกครองคองโก มาถึง 32 ปี ร่วงหล่นลงไปได้ ชาวอาฟริกาเรียกประเทศใหม่นี้ว่า คองโก-คินชาซา Congo-Kinshasa หรือคองโกใหญ่ ให้ต่างกับ คองโก-บราซาวิล Congo-Brazzaville ที่เล็กกว่า
    คองโกเคยอยู่ในอิทธิพลของเบลเยี่ยมมานาน ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1885 จนในที่สุด ก็ตกเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมใน ปี ค.ศ.1908 มาได้รับการปลดปล่อยเป็นไท เอาเมื่อปี ค.ศ.1960 นี้เอง
    เบลเยี่ยมเป็นแหล่งศูนย์กลางเจียรนัยเพชร ค้าเพชร กำหนดราคาเพชร และปริมาณเพชร ที่จะให้กระจายในตลาดเพชรแต่ละปี เพื่อควบคุมราคาเพชรในโลก และเป็นศูนย์กลางค้าเพชรใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งตลาดสว่าง และตลาดมืด ทำให้เบลเยี่ยมเป็นหนึ่งในประเทศร่ำรวยของยุโรป
    คองโกมีแหล่งเพชรเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของโลก คงไม่ต้องบอกว่า เบลเยี่ยมเอาเพชรมาจากไหน
    นอกจากมีแหล่งเพชรมากมายแล้ว แถบบริเวณ คิวู Kivu ในคองโก ที่มีเขตแดนยาวต่อกับรวันดาRwanda และ ยูกันดา Uganda นั้น นักธรณีวิทยา เชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรแร่มีค่า ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะใน บริเวณที่เรียกว่า Great African Rift Valley
    นอกจากนี้ คองโกยังมีแหล่งทรัพยากรโคบอลท์ cobalt มากกว่าครึ่งหนึ่ง ของแร่โคบอลท์ที่มีทั้งหมดในโลก และที่สำคัญ คองโกมีแร่แทนทาไลท์ หรือโคลแทน ถึง 3 ใน 4 ของโลก โคลแทน เป็นโลหะสำคัญที่นำมาใช้ในการสร้างคอมพิวเตอร์ชิพ และแผงวงจรไฟฟ้า ที่จำเป็นมากสำหรับอุปกรณ์มือถือ เครื่องคอม และเครื่องมืออีเลคโทรนิคทั้งปวง และเชื่อกันว่า คองโกก็มีแหล่งน้ำมันแยะมากด้วย
    แต่มันเหลือเชื่อ และน่าเศร้าใจว่า จนถึงปัจจุบันชาวคองโกส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตที่ลำบาก และประเทศยังยากจน
    ช่วงแรกๆ ที่โมบูตูปกครองคองโก เป็นช่วงสงครามเย็น อเมริกาจึงทำหวานเชื่อมกับโมบูตู เขาเป็นชาวอาฟริกันคนแรก ที่เป็นแขกเชิญของทำเนียบขาว โมบูตู เป็นนักการเมืองจอมแสบ เขาคบทั้งสหภาพโซเวียตและจีน เพื่อไว้ต่อรองกับอเมริกา ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับโมบูตู จึงทั้งหวานทั้งขมปนกัน อเมริกาคงยอมไม่ได้ ถ้าคองโกประเทศใหญ่ในอาฟริกา จะกลายเป็นพรรคพวกของคอมมิวนิสต์ เสียหน้าพี่เบิ้มใหญ่ แห่งค่ายประชาธิปไตยโรเนียวหมด
    โมบูตูจึงฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและพรรคพวก เขารวยอย่างมหาศาล และเป็นเผด็จการอย่างเข้มข้น หลายครั้งที่เขาถูกรัฐประหาร แต่ก็รอดมาได้ ด้วยอาวุธที่อเมริกาจัดส่งให้ เพื่อเอาไว้ขู่ ไม่ให้โซเวียตกับจีนเข้ามาในคองโก แต่หลังจากสงครามเย็นใกล้จบ ความต้องการที่จะง้อโมบูตู ก็คงหมดตามไปด้วย
    และก็มีคนช่างคิด ช่างสงสัย ว่าโรคเอดส์นั้น ทำไมไปเกิดอยู่ที่คองโกเป็นแห่งแรก ก่อนจะระบาดเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วโลก และก็น่าแปลกใจว่า ลูกชาย 2 คน ในจำนวนลูก 14 คนของโมบูตู ก็เสียชิวิตด้วยโรคเอดส์ และ 1 ใน 2 นั้น เป็นที่มุ่งหวังของโมบูตู ที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองคองโกต่อจากเขา
    American Minerals Fields, Inc บริษัทอเมริกันที่เป็นผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ คาบิลาโค่นโมบูตู มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐอาร์แคนซอร์ ฐานใหญ่ของอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน บิล คลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทนี้เป็นคนใกล้ชิดของคนนิยมเด็กฝึกงาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ว่าการรัฐ อาแคนซอร์ แหม ใครเขาจะเอาชื่อตัวเองมาใส่
    ก่อนการโค่น มูบูตู ลงจากแท่นไม่กี่เดือน คาบิลา เริ่มทบทวนสัญญาสัมปทานขุดแร่ และทำการเจรจาเงื่อนไขกับพวกบริษัท อเมริกัน อังกฤษ ที่มาลงทุนทำเหมืองในคองโกเสียใหม่ รวมทั้งเจรจากับ American Minerals ด้วย คาบิลาคงเข้าใจอะไรผิด หรือประเมินผู้สนับสนุนตัวเองผิด อย่างไม่น่าเป็นไปได้
    แบบนี้ วอชิงตันคงไม่เลี้ยงเขาไว้นาน แล้วในปี ค.ศ.2001 คาบิลาก็ถูกฆ่าตาย ใครฆ่าเขา ผมไม่รู้
    มีรายงานออกมาในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1997 ว่า หลังจากโมบูตูถูกโค่นไปไม่กี่เดือน IMF ก็แนะนำให้รัฐบาลคองโกหยุดการพิมพ์ธนบัตรอย่างกระทันหัน และสิ้นเชิง ตามนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจคองโกของ IMF และเมื่อ คาบิลา ขึ้นมาปกครอง IMF แนะนำให้คาบิลาระงับการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (ไม่รู้แปลว่าอะไร !) ซ้ำเข้าไปอีก หลังจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในคองโก ค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาวคองโกตกประมาณเดือนละ 3 หมื่นแซร์ หรือประมาณเดือนละ 1 เหรียญสหรัฐ …
    นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา นาย Michael Chossudovsky บอกว่า เงื่อนไขที่ IMF กำหนดให้รัฐบาลคองโกปฏิบัติมีผลเป็นการรักษาระดับความยากจนของประชาชนชาวคองโก ให้คงทนถาวรตลอดไป คองโกเป็นประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอย่างมาก แต่ชาวคองโกถูกแผนชั่วกำหนด ไม่ให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาประเทศตนเอง และต้องวนเวียนอยู่กับการสู้รบฆ่าฟันกันเอง จนมีคนตายไปเกือบ 2 ล้านคน
    เมื่อคาบิลา คนพ่อถูกเก็บ โจเซฟ ลูกชายเขาก็ถูกเอามาขึ้นแท่นแทนพ่อ เขาเป็นประธานาธิบดีของคองโกคนแรก ที่มาจากการ (สั่งให้มี) เลือกตั้ง และดูเหมือนจะไม่ (กล้า) สนใจที่จะพัฒนาประเทศตนเอง แต่อย่างใด
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    17 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 4 ปฏิบัติการต่างๆ ของอเมริกาหลังจากนั้น จึงเป็นปฏิบัติการพรางตัว จะอ้างว่าเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่แท้จริงเป็นความพยายามที่จะ “กัน” ไม่ให้จีนมีโอกาสแทรกตัว แหย่ขา เข้ามาในอาฟริกาได้ง่ายๆ หรือไม่ได้เลยยิ่งดี เพราะอเมริการู้ดีว่า อาฟริกานั้นเต็มไปด้วยแร่มีค่าสาระพัด อเมริกานึกไม่ถึงว่า อาเฮียจากแดนมังกรจะหาญกล้า ข้ามน้ำข้ามภูเขา มาฉกของดีตัดหน้าอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกได้ นึกว่าอาเฮียทำเป็น แค่ดีดลูกคิด…. สาธารณารัฐคองโก หรือที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสาธารณรัฐแซร์ Republic of Zaire ในปี คศ 1997 เมื่อกองกำลังของ โลรอง-เดซิเร คาบิล่า Laurent-Desire Kabila โค่นประธานาธิบดีตลอดกาล เซเซ เซกู หรือ โจเซฟ- โลรอง โมบูตู Sese Seku Joseph-Laurent Mobutu ที่ปกครองคองโก มาถึง 32 ปี ร่วงหล่นลงไปได้ ชาวอาฟริกาเรียกประเทศใหม่นี้ว่า คองโก-คินชาซา Congo-Kinshasa หรือคองโกใหญ่ ให้ต่างกับ คองโก-บราซาวิล Congo-Brazzaville ที่เล็กกว่า คองโกเคยอยู่ในอิทธิพลของเบลเยี่ยมมานาน ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1885 จนในที่สุด ก็ตกเป็นอาณานิคมของเบลเยี่ยมใน ปี ค.ศ.1908 มาได้รับการปลดปล่อยเป็นไท เอาเมื่อปี ค.ศ.1960 นี้เอง เบลเยี่ยมเป็นแหล่งศูนย์กลางเจียรนัยเพชร ค้าเพชร กำหนดราคาเพชร และปริมาณเพชร ที่จะให้กระจายในตลาดเพชรแต่ละปี เพื่อควบคุมราคาเพชรในโลก และเป็นศูนย์กลางค้าเพชรใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งตลาดสว่าง และตลาดมืด ทำให้เบลเยี่ยมเป็นหนึ่งในประเทศร่ำรวยของยุโรป คองโกมีแหล่งเพชรเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของโลก คงไม่ต้องบอกว่า เบลเยี่ยมเอาเพชรมาจากไหน นอกจากมีแหล่งเพชรมากมายแล้ว แถบบริเวณ คิวู Kivu ในคองโก ที่มีเขตแดนยาวต่อกับรวันดาRwanda และ ยูกันดา Uganda นั้น นักธรณีวิทยา เชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรแร่มีค่า ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะใน บริเวณที่เรียกว่า Great African Rift Valley นอกจากนี้ คองโกยังมีแหล่งทรัพยากรโคบอลท์ cobalt มากกว่าครึ่งหนึ่ง ของแร่โคบอลท์ที่มีทั้งหมดในโลก และที่สำคัญ คองโกมีแร่แทนทาไลท์ หรือโคลแทน ถึง 3 ใน 4 ของโลก โคลแทน เป็นโลหะสำคัญที่นำมาใช้ในการสร้างคอมพิวเตอร์ชิพ และแผงวงจรไฟฟ้า ที่จำเป็นมากสำหรับอุปกรณ์มือถือ เครื่องคอม และเครื่องมืออีเลคโทรนิคทั้งปวง และเชื่อกันว่า คองโกก็มีแหล่งน้ำมันแยะมากด้วย แต่มันเหลือเชื่อ และน่าเศร้าใจว่า จนถึงปัจจุบันชาวคองโกส่วนใหญ่ก็ยังมีชีวิตที่ลำบาก และประเทศยังยากจน ช่วงแรกๆ ที่โมบูตูปกครองคองโก เป็นช่วงสงครามเย็น อเมริกาจึงทำหวานเชื่อมกับโมบูตู เขาเป็นชาวอาฟริกันคนแรก ที่เป็นแขกเชิญของทำเนียบขาว โมบูตู เป็นนักการเมืองจอมแสบ เขาคบทั้งสหภาพโซเวียตและจีน เพื่อไว้ต่อรองกับอเมริกา ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับโมบูตู จึงทั้งหวานทั้งขมปนกัน อเมริกาคงยอมไม่ได้ ถ้าคองโกประเทศใหญ่ในอาฟริกา จะกลายเป็นพรรคพวกของคอมมิวนิสต์ เสียหน้าพี่เบิ้มใหญ่ แห่งค่ายประชาธิปไตยโรเนียวหมด โมบูตูจึงฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและพรรคพวก เขารวยอย่างมหาศาล และเป็นเผด็จการอย่างเข้มข้น หลายครั้งที่เขาถูกรัฐประหาร แต่ก็รอดมาได้ ด้วยอาวุธที่อเมริกาจัดส่งให้ เพื่อเอาไว้ขู่ ไม่ให้โซเวียตกับจีนเข้ามาในคองโก แต่หลังจากสงครามเย็นใกล้จบ ความต้องการที่จะง้อโมบูตู ก็คงหมดตามไปด้วย และก็มีคนช่างคิด ช่างสงสัย ว่าโรคเอดส์นั้น ทำไมไปเกิดอยู่ที่คองโกเป็นแห่งแรก ก่อนจะระบาดเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วโลก และก็น่าแปลกใจว่า ลูกชาย 2 คน ในจำนวนลูก 14 คนของโมบูตู ก็เสียชิวิตด้วยโรคเอดส์ และ 1 ใน 2 นั้น เป็นที่มุ่งหวังของโมบูตู ที่จะให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองคองโกต่อจากเขา American Minerals Fields, Inc บริษัทอเมริกันที่เป็นผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ คาบิลาโค่นโมบูตู มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐอาร์แคนซอร์ ฐานใหญ่ของอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน บิล คลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทนี้เป็นคนใกล้ชิดของคนนิยมเด็กฝึกงาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นผู้ว่าการรัฐ อาแคนซอร์ แหม ใครเขาจะเอาชื่อตัวเองมาใส่ ก่อนการโค่น มูบูตู ลงจากแท่นไม่กี่เดือน คาบิลา เริ่มทบทวนสัญญาสัมปทานขุดแร่ และทำการเจรจาเงื่อนไขกับพวกบริษัท อเมริกัน อังกฤษ ที่มาลงทุนทำเหมืองในคองโกเสียใหม่ รวมทั้งเจรจากับ American Minerals ด้วย คาบิลาคงเข้าใจอะไรผิด หรือประเมินผู้สนับสนุนตัวเองผิด อย่างไม่น่าเป็นไปได้ แบบนี้ วอชิงตันคงไม่เลี้ยงเขาไว้นาน แล้วในปี ค.ศ.2001 คาบิลาก็ถูกฆ่าตาย ใครฆ่าเขา ผมไม่รู้ มีรายงานออกมาในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1997 ว่า หลังจากโมบูตูถูกโค่นไปไม่กี่เดือน IMF ก็แนะนำให้รัฐบาลคองโกหยุดการพิมพ์ธนบัตรอย่างกระทันหัน และสิ้นเชิง ตามนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจคองโกของ IMF และเมื่อ คาบิลา ขึ้นมาปกครอง IMF แนะนำให้คาบิลาระงับการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (ไม่รู้แปลว่าอะไร !) ซ้ำเข้าไปอีก หลังจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในคองโก ค่าจ้างแรงงานโดยเฉลี่ยของชาวคองโกตกประมาณเดือนละ 3 หมื่นแซร์ หรือประมาณเดือนละ 1 เหรียญสหรัฐ … นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา นาย Michael Chossudovsky บอกว่า เงื่อนไขที่ IMF กำหนดให้รัฐบาลคองโกปฏิบัติมีผลเป็นการรักษาระดับความยากจนของประชาชนชาวคองโก ให้คงทนถาวรตลอดไป คองโกเป็นประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอย่างมาก แต่ชาวคองโกถูกแผนชั่วกำหนด ไม่ให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาประเทศตนเอง และต้องวนเวียนอยู่กับการสู้รบฆ่าฟันกันเอง จนมีคนตายไปเกือบ 2 ล้านคน เมื่อคาบิลา คนพ่อถูกเก็บ โจเซฟ ลูกชายเขาก็ถูกเอามาขึ้นแท่นแทนพ่อ เขาเป็นประธานาธิบดีของคองโกคนแรก ที่มาจากการ (สั่งให้มี) เลือกตั้ง และดูเหมือนจะไม่ (กล้า) สนใจที่จะพัฒนาประเทศตนเอง แต่อย่างใด สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 17 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 406 Views 0 Reviews
  • แผนชั่ว ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 2
    หลังจากพระเอกหนัง มาเดินตีหน้าเศร้าในซูดานใต้ไม่เท่าไหร CNN กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็เริ่มตีข่าวเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ที่ซูดานใต้
    ฝ่ายอเมริกาโดย คุณนาย Ellen Sauerbrey หัวหน้าฝ่ายศูนย์อพยพ และตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา
    ก็ออกมาบอกว่า นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่นานาชาติ และ องค์การสหประชาชาติต้องให้ความสนใจ
    แหม บทมันซ้ำจังคุณนาย ไอ้เรื่องอ้างสิทธิมนุษยชนนี่ ผมอยากจะอ้วก ท่านผู้อ่าน ก็คงเบื่อที่จะอ่านกัน ผมก็เบื่อที่จะเขียน แต่ช่วยทนอ่านนิทานเรื่องนี่หน่อยนะครับ อ่านแล้วจะได้รู้ว่า เรื่องไหนมันน่าสงสารจริง หรือเรื่องไหนมันน่าคลื่นไส้ น่าทุเรศ
    ปรากฏว่า คงเตี้ยมสหประชาชาติไม่ทัน ดันรีบตั้งคณะกรรมาธิการมาตรวจสอบเรื่องนี้ คณะตรวจสอบมี 5 คน มีผู้พิพากษา Antonio Cassese เป็นประธาน
    ซึ่งพิจารณาแล้วก็บอกว่า เรายังไม่เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เกิดขี้น ในดาร์ฟู แต่มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำร้ายกันรุนแรงเกิดขึ้น อ้าว
    อเมริกา จัดการประคองเอาตัว John Garang นักการเมืองชาวซูดานหัวรุนแรง ที่พยายามก่อกบฏกับรัฐบาลซูดานมานาน แต่ยังไปไม่ถึงไหน มารับการฝึกอบรมจากหน่วยรบพิเศษของอเมริกาที่ Fort Benning รัฐ Georgia
    หลังจากนั้น ก็เลื่อนชั้นให้เป็นผู้อำนวยการกองกำลังใหญ่ กลับมาให้การฝึกอบรมกับพรรคพวก ที่มีการจัดตั้งเตรียมพร้อมไว้ ให้เป็นกองทัพปลดปล่อยซูดาน ชื่อ Sudan Peoples’ Liberation Army
    โดยทางวอชิงตัน อำนวยการจัดทั้งคน จัดทั้งอาวุธ ให้เต็มอัตรา เพื่อจะให้ชาวซูดานตีกันสมใจ (อเมริกา)
    แล้วอเมริกาก็แยงซ้าย เสี้ยมขวา ในที่สุดชาวซูดานก็ทะเลาะกัน ตีกันจริง มีผู้บาดเจ็บล้มตายเรือนแสน และคนหลายล้านไม่มีที่อยู่
    ส่วนนาย Garang เมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ผลตามใบสั่ง อเมริกาก็ตกรางวัลให้เป็น รองประธานาธิบดี แต่ เป็นได้ไม่ถึงเดือน ขณะที่ Garang กำลังเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์
    เครื่องก็ถลาร่อน แกว่งไปมา แล้วก็หล่นกระแทกพื้น และ Garang ก็ตายอยู่กับซากเฮลิคอปเตอร์ สงสัยเป็นรางวัลแบบมีวันหมดอายุ จะรับรางวัลอะไรกัน ก็ดูวันหมดอายุด้วย ไม่ใช่รับปุ๊บ ยังไม่ถึงเดือน หมดอายุเสียแล้ว
    ฝ่ายกบฏที่เมืองดาร์ฟูทางซูดานใต้ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Justice for Equality Movement (JEM) ส่วนอีกกลุ่มใหญ่กว่าคือ Sudan Liberation Army (SLA) ของ Garang ทั้ง 2 กลุ่ม มีเป้าหมายที่จะขับไล่รัฐบาลซูดานที่กำลังสร้างมิตรภาพกับจีน
    และทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านกำลัง และอาวุธจากอเมริกา เพื่อความรอบคอบ อเมริกาซื้อไพ่ทุกใบอย่างเคยๆ
    เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2006 สภาสูงของอเมริกา ลงมติให้ (อเมริกาสั่ง) นาโต้ ส่งกองกำลังเข้ามาดูแลดาร์ฟู และให้สหประชาชาติ ส่งหน่วยรักษาสันติภาพมาประจำดาร์ฟูด้วย จริงๆก็ให้มาทำอะไรก็ได้ ที่จะเป็นการขัดขวาง ไม่ให้การเข้ามาลงทุน การสำรวจ และ ซื้อน้ำมันในดาร์ฟูของจีน ประสพผลสำเร็จนั่นแหละ
    จะเล่นแต่ที่ซูดาน กลัวจะขวางจีนไม่อยู่ อเมริกาลงทุน “สนับสนุน” Idriss Deby ประธานาธิบดีของชาด Chad ให้เป็นผู้รับผิดชอบส่งกองกำลังจากชาด เข้าไปในซูดานอีกทาง กองกำลังพวกนี้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี Deby เอง ที่ได้รับการฝึกอบรมจากอเมริกา (เหมือนกัน) กองกำลังที่ส่งไปส่วนใหญ่ เป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในซูดาน พวกนี้เข้าไปดาร์ฟูพร้อมกับอาวุธหนักเบา ที่ได้รับอภินันทนาการจากอเมริกา และด้วยกองกำลังจากชาด รวมทั้งกองกำลังจากยูกันดา เอธิโอเปีย ที่ได้ใบสั่งจาก อเมริกา เข้าตีกระนาบ 3 ด้านใส่ดาร์ฟู ไม่นาน ดาร์ฟูก็กลายเป็นแผ่นดินเดือด ชาวซูดานตายเกลื่อน
    นาย Keith Harmon Snow นักวิจัยเกี่ยวกับอาฟริกา เขียนสรุปเหตุการณ์ที่ซูดานไว้ว่า ขณะที่กองทหารของอเมริกาและนาโต้เข้าไปประจำการณ์อยู่ที่ดาร์ฟู โดยอ้างว่าเพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบในภูมิภาคนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งอเมริกาและนาโต้ ไปให้การสนับสนุนกับกองกำลังร่วมของอาฟริกามากกว่า
    โดยนาโต้รับหน้าที่ดูแลด้านภาคพื้นดิน และการโจมตีทางอากาศ ซูดานจึงอยู่ในสภาวะสงครามจากศึกนอก โดยการยกกำลังมารบ ของเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ ชาด ยูกานดา และเอธิโอเปีย ที่มีอเมริกา และนาโต้สนับสนุน
    นอกจากนี้ ซูดานยังต้องต่อสู้กับศึกในที่เป็นพวกกบฏ ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุน เช่นเดียวกันทั้งด้านอาวุธ และคนที่เป็นกองกำลังนอกระบบแบบพวกน้ำดำ Black Water ที่โด่งดังก็มาร่วมด้วย ช่วยกระหน่ำอีกด้วย
    สรุปว่า ซูดานถูกรุมกินโต๊ะจากเพื่อนบ้าน 3 ทาง ที่อเมริกาทั้งยุแยง และ สนับสนุน รวมทั้งกลุ่มกบฏอีก 2 กลุ่ม ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุนอีกเช่นกัน เพราะ ซูดานมีแหล่งน้ำมันใหญ่ และไปตกลงร่วมทุนและขายน้ำมันให้กับกับจีน
    แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้แน่ใจว่าจีนไม่กล้าเข้ามาแหยม อเมริกาถึงกับส่งกองทหารของตัวร่วมกับนาโต้ มาตีกันจีนอีกด้วย ทำไมไม่ขนมาทั้งประเทศเลยวะไอ้ใบตองแห้ง ผล ซูดาน ใกล้จะแตกเป็น 2 เสี่ยง 2 ประเทศ
    จีนทำอย่างไรหรือ เมื่อเจอกับดัก แผนชั่วขนาดนี้
    เดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 จีนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของชาดไปหารือกันที่จีน รื้อฟื้นสัมพันธไมตรีที่ถูกตัดขาดไป เมื่อปี ค.ศ.1997 ขึ้นมาใหม่ พร้อมทำสัญญาซื้อน้ำมันจากชาด ในเงื่อนไขที่ชาดยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน และเป็นธรรมกว่าที่ค่ายอื่นเคยมาทำด้วย
    ศึกซูดาน ด้านชาดจึงเบาลงไปบ้าง
    หลังจากนั้น เดือนธันวาคม ค.ศ.2006 จีนจัด African Summit เชิญ 40 ผู้นำจากอาฟริกามาประชุมแบบสุดยอด สุดหรู มีผู้นำจากอัลจีเรีย ไนจีเรีย มาลี แองโกลา อาฟริกากลาง แซมเบีย อาฟริกาใต้ รวมทั้งซูดาน เป็นต้น มาร่วมประชุม เสร็จการประชุม มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือสาระพัด ที่สำคัญ จีนแอบจับมือไนจีเรียมาเป็นพวก แถมเข้าไปถือหุ้นในแหล่งพลังงานนอกฝั่งของไนจีเรียอีกด้วย เรื่องนี้มีความหมายมาก เพราะไนจีเรีย อยู่ในอวยของนักล่าใบตองแห้งกับชาวเกาะใหญ่ โดย ExxonMobil, Shell, Chevron ต่างตีตั๋วจองเอาไว้แล้วทั้งนั้น อาเฮียกำลังลองของหรือไงครับ
    จีนเดินหน้าเอาเงินช่วยเหลือนำหน้า ให้อาฟริกาเอาไปพัฒนาประเทศ อาฟริกาซึ่งเคยแต่ถูกพวกนักล่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่เอาเปรียบ ขูดเลือดเถือเนื้อ เหลือแต่กระดูกก็คงต้องคิดหนัก รับจ้างเขาทำสงคราม แต่ประเทศจน และประชาชนอดตาย หรือจะค้าขายกับจีนแล้วประเทศมีกิน
    เฉพาะ ค.ศ.2006 ปีเดียว จีนตกลงให้เงินกู้กับไนจีเรีย แองโกลาและโมแซมบิก เป็นจำนวนรวมกันประมาณ 8 พันล้านเหรียญ ขณะที่ World Bank ให้เงินกู้กับกลุ่มประเทศในอาฟริกาทั้งหมด เพียง 2.3 พันล้าน
    เดือนมกราคม ค.ศ.2007 ประธานาธิบดีหูจินเทา เดินทางไปปลอบใจซูดานด้วยตนเอง ไม่รู้คุยอะไรกันบ้าง หลังจากนั้น คุณลุงหูก็บุกเข้าไปจับเข่ากับแคเมอรูน ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันต่อกับชาด ดาร์ฟูของซูดาน เป็นเสมือนข้อต่ออยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งมีชาด แคมมารูน อีกด้านหนึ่ง มีลิเบียกับ อียิปต์ จะเชื่อมต่อกัน ให้มันได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไหม หรือคิดแต่จะรบกัน ตามที่เขายุแยง ให้ฉิบหายและจนอยู่อย่างนี้
    นี่ผมเดาเอาว่า คุณลุงหู คงพูดแบบนี้ เพราะจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในบ้านใคร แม้จะเป็นคู่ค้า คู่ลงทุนรายใหญ่อย่างซูดาน และนั่นดูเหมือนจะทำให้จีน ยิ่งเดินเข้าไปยืน อยู่กลางกับดัก โดยไม่รู้ตัว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 2 หลังจากพระเอกหนัง มาเดินตีหน้าเศร้าในซูดานใต้ไม่เท่าไหร CNN กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ก็เริ่มตีข่าวเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ที่ซูดานใต้ ฝ่ายอเมริกาโดย คุณนาย Ellen Sauerbrey หัวหน้าฝ่ายศูนย์อพยพ และตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ก็ออกมาบอกว่า นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เป็นเรื่องที่นานาชาติ และ องค์การสหประชาชาติต้องให้ความสนใจ แหม บทมันซ้ำจังคุณนาย ไอ้เรื่องอ้างสิทธิมนุษยชนนี่ ผมอยากจะอ้วก ท่านผู้อ่าน ก็คงเบื่อที่จะอ่านกัน ผมก็เบื่อที่จะเขียน แต่ช่วยทนอ่านนิทานเรื่องนี่หน่อยนะครับ อ่านแล้วจะได้รู้ว่า เรื่องไหนมันน่าสงสารจริง หรือเรื่องไหนมันน่าคลื่นไส้ น่าทุเรศ ปรากฏว่า คงเตี้ยมสหประชาชาติไม่ทัน ดันรีบตั้งคณะกรรมาธิการมาตรวจสอบเรื่องนี้ คณะตรวจสอบมี 5 คน มีผู้พิพากษา Antonio Cassese เป็นประธาน ซึ่งพิจารณาแล้วก็บอกว่า เรายังไม่เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เกิดขี้น ในดาร์ฟู แต่มีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการทำร้ายกันรุนแรงเกิดขึ้น อ้าว อเมริกา จัดการประคองเอาตัว John Garang นักการเมืองชาวซูดานหัวรุนแรง ที่พยายามก่อกบฏกับรัฐบาลซูดานมานาน แต่ยังไปไม่ถึงไหน มารับการฝึกอบรมจากหน่วยรบพิเศษของอเมริกาที่ Fort Benning รัฐ Georgia หลังจากนั้น ก็เลื่อนชั้นให้เป็นผู้อำนวยการกองกำลังใหญ่ กลับมาให้การฝึกอบรมกับพรรคพวก ที่มีการจัดตั้งเตรียมพร้อมไว้ ให้เป็นกองทัพปลดปล่อยซูดาน ชื่อ Sudan Peoples’ Liberation Army โดยทางวอชิงตัน อำนวยการจัดทั้งคน จัดทั้งอาวุธ ให้เต็มอัตรา เพื่อจะให้ชาวซูดานตีกันสมใจ (อเมริกา) แล้วอเมริกาก็แยงซ้าย เสี้ยมขวา ในที่สุดชาวซูดานก็ทะเลาะกัน ตีกันจริง มีผู้บาดเจ็บล้มตายเรือนแสน และคนหลายล้านไม่มีที่อยู่ ส่วนนาย Garang เมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ผลตามใบสั่ง อเมริกาก็ตกรางวัลให้เป็น รองประธานาธิบดี แต่ เป็นได้ไม่ถึงเดือน ขณะที่ Garang กำลังเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ เครื่องก็ถลาร่อน แกว่งไปมา แล้วก็หล่นกระแทกพื้น และ Garang ก็ตายอยู่กับซากเฮลิคอปเตอร์ สงสัยเป็นรางวัลแบบมีวันหมดอายุ จะรับรางวัลอะไรกัน ก็ดูวันหมดอายุด้วย ไม่ใช่รับปุ๊บ ยังไม่ถึงเดือน หมดอายุเสียแล้ว ฝ่ายกบฏที่เมืองดาร์ฟูทางซูดานใต้ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Justice for Equality Movement (JEM) ส่วนอีกกลุ่มใหญ่กว่าคือ Sudan Liberation Army (SLA) ของ Garang ทั้ง 2 กลุ่ม มีเป้าหมายที่จะขับไล่รัฐบาลซูดานที่กำลังสร้างมิตรภาพกับจีน และทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านกำลัง และอาวุธจากอเมริกา เพื่อความรอบคอบ อเมริกาซื้อไพ่ทุกใบอย่างเคยๆ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2006 สภาสูงของอเมริกา ลงมติให้ (อเมริกาสั่ง) นาโต้ ส่งกองกำลังเข้ามาดูแลดาร์ฟู และให้สหประชาชาติ ส่งหน่วยรักษาสันติภาพมาประจำดาร์ฟูด้วย จริงๆก็ให้มาทำอะไรก็ได้ ที่จะเป็นการขัดขวาง ไม่ให้การเข้ามาลงทุน การสำรวจ และ ซื้อน้ำมันในดาร์ฟูของจีน ประสพผลสำเร็จนั่นแหละ จะเล่นแต่ที่ซูดาน กลัวจะขวางจีนไม่อยู่ อเมริกาลงทุน “สนับสนุน” Idriss Deby ประธานาธิบดีของชาด Chad ให้เป็นผู้รับผิดชอบส่งกองกำลังจากชาด เข้าไปในซูดานอีกทาง กองกำลังพวกนี้เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี Deby เอง ที่ได้รับการฝึกอบรมจากอเมริกา (เหมือนกัน) กองกำลังที่ส่งไปส่วนใหญ่ เป็นคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่ในซูดาน พวกนี้เข้าไปดาร์ฟูพร้อมกับอาวุธหนักเบา ที่ได้รับอภินันทนาการจากอเมริกา และด้วยกองกำลังจากชาด รวมทั้งกองกำลังจากยูกันดา เอธิโอเปีย ที่ได้ใบสั่งจาก อเมริกา เข้าตีกระนาบ 3 ด้านใส่ดาร์ฟู ไม่นาน ดาร์ฟูก็กลายเป็นแผ่นดินเดือด ชาวซูดานตายเกลื่อน นาย Keith Harmon Snow นักวิจัยเกี่ยวกับอาฟริกา เขียนสรุปเหตุการณ์ที่ซูดานไว้ว่า ขณะที่กองทหารของอเมริกาและนาโต้เข้าไปประจำการณ์อยู่ที่ดาร์ฟู โดยอ้างว่าเพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบในภูมิภาคนั้น แต่ในความเป็นจริง ทั้งอเมริกาและนาโต้ ไปให้การสนับสนุนกับกองกำลังร่วมของอาฟริกามากกว่า โดยนาโต้รับหน้าที่ดูแลด้านภาคพื้นดิน และการโจมตีทางอากาศ ซูดานจึงอยู่ในสภาวะสงครามจากศึกนอก โดยการยกกำลังมารบ ของเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ ชาด ยูกานดา และเอธิโอเปีย ที่มีอเมริกา และนาโต้สนับสนุน นอกจากนี้ ซูดานยังต้องต่อสู้กับศึกในที่เป็นพวกกบฏ ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุน เช่นเดียวกันทั้งด้านอาวุธ และคนที่เป็นกองกำลังนอกระบบแบบพวกน้ำดำ Black Water ที่โด่งดังก็มาร่วมด้วย ช่วยกระหน่ำอีกด้วย สรุปว่า ซูดานถูกรุมกินโต๊ะจากเพื่อนบ้าน 3 ทาง ที่อเมริกาทั้งยุแยง และ สนับสนุน รวมทั้งกลุ่มกบฏอีก 2 กลุ่ม ที่อเมริกาก็ให้การสนับสนุนอีกเช่นกัน เพราะ ซูดานมีแหล่งน้ำมันใหญ่ และไปตกลงร่วมทุนและขายน้ำมันให้กับกับจีน แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้แน่ใจว่าจีนไม่กล้าเข้ามาแหยม อเมริกาถึงกับส่งกองทหารของตัวร่วมกับนาโต้ มาตีกันจีนอีกด้วย ทำไมไม่ขนมาทั้งประเทศเลยวะไอ้ใบตองแห้ง ผล ซูดาน ใกล้จะแตกเป็น 2 เสี่ยง 2 ประเทศ จีนทำอย่างไรหรือ เมื่อเจอกับดัก แผนชั่วขนาดนี้ เดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 จีนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของชาดไปหารือกันที่จีน รื้อฟื้นสัมพันธไมตรีที่ถูกตัดขาดไป เมื่อปี ค.ศ.1997 ขึ้นมาใหม่ พร้อมทำสัญญาซื้อน้ำมันจากชาด ในเงื่อนไขที่ชาดยอมรับว่าเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน และเป็นธรรมกว่าที่ค่ายอื่นเคยมาทำด้วย ศึกซูดาน ด้านชาดจึงเบาลงไปบ้าง หลังจากนั้น เดือนธันวาคม ค.ศ.2006 จีนจัด African Summit เชิญ 40 ผู้นำจากอาฟริกามาประชุมแบบสุดยอด สุดหรู มีผู้นำจากอัลจีเรีย ไนจีเรีย มาลี แองโกลา อาฟริกากลาง แซมเบีย อาฟริกาใต้ รวมทั้งซูดาน เป็นต้น มาร่วมประชุม เสร็จการประชุม มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือสาระพัด ที่สำคัญ จีนแอบจับมือไนจีเรียมาเป็นพวก แถมเข้าไปถือหุ้นในแหล่งพลังงานนอกฝั่งของไนจีเรียอีกด้วย เรื่องนี้มีความหมายมาก เพราะไนจีเรีย อยู่ในอวยของนักล่าใบตองแห้งกับชาวเกาะใหญ่ โดย ExxonMobil, Shell, Chevron ต่างตีตั๋วจองเอาไว้แล้วทั้งนั้น อาเฮียกำลังลองของหรือไงครับ จีนเดินหน้าเอาเงินช่วยเหลือนำหน้า ให้อาฟริกาเอาไปพัฒนาประเทศ อาฟริกาซึ่งเคยแต่ถูกพวกนักล่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่เอาเปรียบ ขูดเลือดเถือเนื้อ เหลือแต่กระดูกก็คงต้องคิดหนัก รับจ้างเขาทำสงคราม แต่ประเทศจน และประชาชนอดตาย หรือจะค้าขายกับจีนแล้วประเทศมีกิน เฉพาะ ค.ศ.2006 ปีเดียว จีนตกลงให้เงินกู้กับไนจีเรีย แองโกลาและโมแซมบิก เป็นจำนวนรวมกันประมาณ 8 พันล้านเหรียญ ขณะที่ World Bank ให้เงินกู้กับกลุ่มประเทศในอาฟริกาทั้งหมด เพียง 2.3 พันล้าน เดือนมกราคม ค.ศ.2007 ประธานาธิบดีหูจินเทา เดินทางไปปลอบใจซูดานด้วยตนเอง ไม่รู้คุยอะไรกันบ้าง หลังจากนั้น คุณลุงหูก็บุกเข้าไปจับเข่ากับแคเมอรูน ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันต่อกับชาด ดาร์ฟูของซูดาน เป็นเสมือนข้อต่ออยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งมีชาด แคมมารูน อีกด้านหนึ่ง มีลิเบียกับ อียิปต์ จะเชื่อมต่อกัน ให้มันได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายไหม หรือคิดแต่จะรบกัน ตามที่เขายุแยง ให้ฉิบหายและจนอยู่อย่างนี้ นี่ผมเดาเอาว่า คุณลุงหู คงพูดแบบนี้ เพราะจีนไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในบ้านใคร แม้จะเป็นคู่ค้า คู่ลงทุนรายใหญ่อย่างซูดาน และนั่นดูเหมือนจะทำให้จีน ยิ่งเดินเข้าไปยืน อยู่กลางกับดัก โดยไม่รู้ตัว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 492 Views 0 Reviews
  • แผนชั่ว ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 1
    อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง
    ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที
    พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร
    แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น
    ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด
    จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ
    ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก
    ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน
    เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ)
    หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF
    สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก
    ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ
    จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ
    ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง
    พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด
    มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 1 อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ) หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 423 Views 0 Reviews
  • OpenAI เข้าสู่โหมด “Code Red”

    ตามรายงานจาก The Wall Street Journal และ Tom’s Hardware, Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้ส่งบันทึกภายในประกาศว่าองค์กรอยู่ในสถานะ “Code Red” หลังจาก Google เปิดตัว Gemini 3 ที่ถูกฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์หลักของ Google และทำคะแนน benchmark ได้เหนือกว่า ChatGPT การตัดสินใจนี้ทำให้ OpenAI ต้องหยุดโครงการอื่น ๆ เพื่อทุ่มทรัพยากรไปที่การพัฒนาโมเดลหลัก

    จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข
    Altman ระบุว่าทีมต้องเร่งปรับปรุง ความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่ง (personalization) ของ ChatGPT รวมถึงขยายขอบเขตความรู้ให้ครอบคลุมมากขึ้น หลังจากที่ GPT-5 ซึ่งเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ถูกวิจารณ์ว่ามีความ “เชิงวิชาการเกินไป” และด้อยกว่าในด้านคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    การแข่งขันที่ดุเดือด
    นอกจาก Google แล้ว ยังมีคู่แข่งรายอื่น เช่น Anthropic ที่เพิ่งเปิดตัว Claude Opus 4.5 และ Meta ที่ผลักดันโมเดลโอเพ่นซอร์ส LLaMA รวมถึง DeepSeek จากจีน ทำให้ตลาด LLM มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ OpenAI จึงต้องเร่งรักษาความได้เปรียบเพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ในตลาดที่กำลังเติบโต

    มิติทางธุรกิจ
    Microsoft ซึ่งถือหุ้นราว 27% ใน OpenAI ได้ลงทุนไปกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็รายงานขาดทุนกว่า 3.1 พันล้านในไตรมาสล่าสุด การแข่งขันที่รุนแรงนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นแรงกดดันทางการเงินที่ทำให้ OpenAI ต้องเร่งสร้างความแตกต่างและหาทางคืนทุน

    สรุปสาระสำคัญ
    OpenAI ประกาศ “Code Red” หลัง Gemini 3 แซง ChatGPT
    หยุดโครงการอื่นเพื่อทุ่มไปที่โมเดลหลัก

    Sam Altman สั่งเร่งปรับปรุง GPT
    เน้นความเร็ว ความเสถียร และการปรับแต่ง

    คู่แข่งรายอื่นกำลังไล่บี้
    Anthropic, Meta และ DeepSeek กำลังขยายตลาด

    Microsoft ลงทุนมหาศาลแต่ยังขาดทุน
    กดดันให้ OpenAI ต้องสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจ

    GPT-5 ถูกวิจารณ์ว่าด้อยกว่าในบางด้าน
    อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น

    การแข่งขัน LLM รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
    หากไม่เร่งพัฒนา OpenAI อาจเสียความเป็นผู้นำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-declares-code-red-as-googles-gemini-ai-outpaces-chatgpt-in-industry-benchmarks-report-claims-sam-altman-sets-all-hands-to-the-pump-on-flagship-llm-parks-other-projects
    🚨 OpenAI เข้าสู่โหมด “Code Red” ตามรายงานจาก The Wall Street Journal และ Tom’s Hardware, Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้ส่งบันทึกภายในประกาศว่าองค์กรอยู่ในสถานะ “Code Red” หลังจาก Google เปิดตัว Gemini 3 ที่ถูกฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์หลักของ Google และทำคะแนน benchmark ได้เหนือกว่า ChatGPT การตัดสินใจนี้ทำให้ OpenAI ต้องหยุดโครงการอื่น ๆ เพื่อทุ่มทรัพยากรไปที่การพัฒนาโมเดลหลัก ⚙️ จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข Altman ระบุว่าทีมต้องเร่งปรับปรุง ความเร็ว ความเสถียร และความสามารถในการปรับแต่ง (personalization) ของ ChatGPT รวมถึงขยายขอบเขตความรู้ให้ครอบคลุมมากขึ้น หลังจากที่ GPT-5 ซึ่งเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ถูกวิจารณ์ว่ามีความ “เชิงวิชาการเกินไป” และด้อยกว่าในด้านคณิตศาสตร์และภูมิศาสตร์เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า 🌍 การแข่งขันที่ดุเดือด นอกจาก Google แล้ว ยังมีคู่แข่งรายอื่น เช่น Anthropic ที่เพิ่งเปิดตัว Claude Opus 4.5 และ Meta ที่ผลักดันโมเดลโอเพ่นซอร์ส LLaMA รวมถึง DeepSeek จากจีน ทำให้ตลาด LLM มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ OpenAI จึงต้องเร่งรักษาความได้เปรียบเพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ในตลาดที่กำลังเติบโต 💰 มิติทางธุรกิจ Microsoft ซึ่งถือหุ้นราว 27% ใน OpenAI ได้ลงทุนไปกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็รายงานขาดทุนกว่า 3.1 พันล้านในไตรมาสล่าสุด การแข่งขันที่รุนแรงนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นแรงกดดันทางการเงินที่ทำให้ OpenAI ต้องเร่งสร้างความแตกต่างและหาทางคืนทุน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ OpenAI ประกาศ “Code Red” หลัง Gemini 3 แซง ChatGPT ➡️ หยุดโครงการอื่นเพื่อทุ่มไปที่โมเดลหลัก ✅ Sam Altman สั่งเร่งปรับปรุง GPT ➡️ เน้นความเร็ว ความเสถียร และการปรับแต่ง ✅ คู่แข่งรายอื่นกำลังไล่บี้ ➡️ Anthropic, Meta และ DeepSeek กำลังขยายตลาด ✅ Microsoft ลงทุนมหาศาลแต่ยังขาดทุน ➡️ กดดันให้ OpenAI ต้องสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจ ‼️ GPT-5 ถูกวิจารณ์ว่าด้อยกว่าในบางด้าน ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น ‼️ การแข่งขัน LLM รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ⛔ หากไม่เร่งพัฒนา OpenAI อาจเสียความเป็นผู้นำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/openai-declares-code-red-as-googles-gemini-ai-outpaces-chatgpt-in-industry-benchmarks-report-claims-sam-altman-sets-all-hands-to-the-pump-on-flagship-llm-parks-other-projects
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • Cherry: ตำนานสวิตช์คีย์บอร์ดในวิกฤติการเงิน

    Cherry ผู้ผลิตสวิตช์เชิงกลที่เป็นที่รักของนักเล่นคีย์บอร์ดทั่วโลก กำลังเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ โดยหนี้สินของบริษัทสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ทำให้ผู้บริหารต้องพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน เช่น แผนก Peripherals (คีย์บอร์ดและเมาส์) หรือ Digital Health & Solutions เพื่อรักษาสภาพคล่อง.

    แม้จะมีข่าวการขายธุรกิจ แต่ สวิตช์ Cherry MX ที่เป็นหัวใจหลักของวงการคีย์บอร์ดยังคงอยู่ภายใต้แผนก Components ซึ่งจะไม่ถูกขายออกไปในตอนนี้ ทำให้แฟน ๆ ที่กังวลว่าสวิตช์จะหายไปจากตลาดยังคงสบายใจได้. อย่างไรก็ตาม Cherry สูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมไปมาก หลังสิทธิบัตร Cherry MX หมดอายุในปี 2014 เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh และ Outemu เข้ามาแย่งตลาดด้วยสวิตช์ที่มีลูกเล่นใหม่ ๆ เช่น โรงงานหล่อลื่น (factory-lubed) และ Hall-effect switches.

    สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หลังปี 2022 เมื่อยอดขายลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงที่เคยรุ่งเรืองในยุคโควิด-19 แม้รายได้รวมจะฟื้นตัวในปี 2023 แต่แผนก Digital Health และ Components กลับยังคงขาดทุน ทำให้ผู้บริหารต้องหาทางออกด้วยการขายบางธุรกิจและย้ายการผลิตสวิตช์จากเยอรมนีไปยังจีนและสโลวาเกียเพื่อลดต้นทุน.

    Cherry ยังพยายามเสริมสภาพคล่องด้วยการขายธุรกิจ Active Key (อุปกรณ์สุขอนามัย) ได้เงิน 21 ล้านยูโร พร้อมขอเงินสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ Argand Partners และจัดหาเงินกู้เพิ่มเติม 23 ล้านยูโร แต่ผู้บริหารยอมรับว่าการอยู่รอดในระยะยาวอาจต้องพึ่งการควบรวมกิจการหรือขายธุรกิจบางส่วนออกไป.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    วิกฤติการเงินของ Cherry
    หนี้สินสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สิน
    พิจารณาขายแผนก Peripherals หรือ Digital Health & Solutions

    สถานะของ Cherry MX
    อยู่ในแผนก Components จึงยังไม่ถูกขาย
    สิทธิบัตรหมดอายุปี 2014 เปิดทางคู่แข่ง

    การแข่งขันในตลาด
    คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh, Outemu พัฒนาสวิตช์ใหม่ ๆ
    บริษัทใหญ่เช่น Corsair, Logitech, Razer หันไปใช้สวิตช์จากคู่แข่ง

    มาตรการแก้ไข
    ย้ายการผลิตไปจีนและสโลวาเกีย
    ขาย Active Key ได้ 21 ล้านยูโร
    ได้เงินกู้เพิ่ม 23 ล้านยูโร และการสนับสนุนจาก Argand Partners

    ความเสี่ยงต่ออนาคต
    อาจต้องขายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอด
    การสูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมทำให้ยากต่อการแข่งขัน

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/iconic-mechanical-keyboard-switch-maker-cherry-is-in-deep-financial-trouble-the-company-is-considering-selling-its-peripherals-division-to-stay-afloat
    ⌨️ Cherry: ตำนานสวิตช์คีย์บอร์ดในวิกฤติการเงิน Cherry ผู้ผลิตสวิตช์เชิงกลที่เป็นที่รักของนักเล่นคีย์บอร์ดทั่วโลก กำลังเผชิญวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ โดยหนี้สินของบริษัทสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ทำให้ผู้บริหารต้องพิจารณาขายธุรกิจบางส่วน เช่น แผนก Peripherals (คีย์บอร์ดและเมาส์) หรือ Digital Health & Solutions เพื่อรักษาสภาพคล่อง. แม้จะมีข่าวการขายธุรกิจ แต่ สวิตช์ Cherry MX ที่เป็นหัวใจหลักของวงการคีย์บอร์ดยังคงอยู่ภายใต้แผนก Components ซึ่งจะไม่ถูกขายออกไปในตอนนี้ ทำให้แฟน ๆ ที่กังวลว่าสวิตช์จะหายไปจากตลาดยังคงสบายใจได้. อย่างไรก็ตาม Cherry สูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมไปมาก หลังสิทธิบัตร Cherry MX หมดอายุในปี 2014 เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh และ Outemu เข้ามาแย่งตลาดด้วยสวิตช์ที่มีลูกเล่นใหม่ ๆ เช่น โรงงานหล่อลื่น (factory-lubed) และ Hall-effect switches. สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่หลังปี 2022 เมื่อยอดขายลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงที่เคยรุ่งเรืองในยุคโควิด-19 แม้รายได้รวมจะฟื้นตัวในปี 2023 แต่แผนก Digital Health และ Components กลับยังคงขาดทุน ทำให้ผู้บริหารต้องหาทางออกด้วยการขายบางธุรกิจและย้ายการผลิตสวิตช์จากเยอรมนีไปยังจีนและสโลวาเกียเพื่อลดต้นทุน. Cherry ยังพยายามเสริมสภาพคล่องด้วยการขายธุรกิจ Active Key (อุปกรณ์สุขอนามัย) ได้เงิน 21 ล้านยูโร พร้อมขอเงินสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ Argand Partners และจัดหาเงินกู้เพิ่มเติม 23 ล้านยูโร แต่ผู้บริหารยอมรับว่าการอยู่รอดในระยะยาวอาจต้องพึ่งการควบรวมกิจการหรือขายธุรกิจบางส่วนออกไป. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ วิกฤติการเงินของ Cherry ➡️ หนี้สินสูงกว่ามูลค่าทรัพย์สิน ➡️ พิจารณาขายแผนก Peripherals หรือ Digital Health & Solutions ✅ สถานะของ Cherry MX ➡️ อยู่ในแผนก Components จึงยังไม่ถูกขาย ➡️ สิทธิบัตรหมดอายุปี 2014 เปิดทางคู่แข่ง ✅ การแข่งขันในตลาด ➡️ คู่แข่งอย่าง Gateron, Kailh, Outemu พัฒนาสวิตช์ใหม่ ๆ ➡️ บริษัทใหญ่เช่น Corsair, Logitech, Razer หันไปใช้สวิตช์จากคู่แข่ง ✅ มาตรการแก้ไข ➡️ ย้ายการผลิตไปจีนและสโลวาเกีย ➡️ ขาย Active Key ได้ 21 ล้านยูโร ➡️ ได้เงินกู้เพิ่ม 23 ล้านยูโร และการสนับสนุนจาก Argand Partners ‼️ ความเสี่ยงต่ออนาคต ⛔ อาจต้องขายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอด ⛔ การสูญเสียความได้เปรียบทางนวัตกรรมทำให้ยากต่อการแข่งขัน https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/iconic-mechanical-keyboard-switch-maker-cherry-is-in-deep-financial-trouble-the-company-is-considering-selling-its-peripherals-division-to-stay-afloat
    0 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
  • ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia

    ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

    ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก

    การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่
    Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของความขัดแย้ง
    Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT
    ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
    ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป
    ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม

    การลงทุนและการเมือง
    เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย
    ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก
    ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก
    เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน 🌍 ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก 💼 การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่ Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน 🏛️ การแทรกแซงจากรัฐบาล เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของความขัดแย้ง ➡️ Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ➡️ ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ✅ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ➡️ ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป ➡️ ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม ✅ การลงทุนและการเมือง ➡️ เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย ➡️ ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ✅ การแทรกแซงจากรัฐบาล ➡️ จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก ➡️ ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก ⛔ เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Embattled Dutch chipmaker Nexperia gets into public spat with Chinese owners — accused of deception and obstruction, suspending wafer shipments
    A governance battle inside one of the world’s biggest suppliers of mature-node chips is now spilling into the open.
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • “Meta ซ่อนหนี้ 27 พันล้านผ่านดีลศูนย์ข้อมูล Hyperion”

    Meta Platforms กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ชื่อ Hyperion ที่ Richland Parish, Louisiana ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 27 พันล้านดอลลาร์ แต่แทนที่จะบันทึกหนี้และสินทรัพย์นี้ในงบการเงินของตนเอง Meta เลือกใช้โครงสร้างร่วมทุนกับ Blue Owl Capital โดยให้บริษัทในเครือ Beignet Investor LLC ถือหุ้น 80% และ Meta ถือเพียง 20%

    แม้ Meta จะถือหุ้นส่วนน้อย แต่บริษัทกลับเป็นผู้จัดการก่อสร้างและผู้เช่าหลักของศูนย์ข้อมูลทั้งหมด พร้อมรับประกันค่าเช่าและมูลค่าทรัพย์สินในอนาคตผ่านสัญญา Residual Value Guarantee (RVG) ซึ่งทำให้โครงการนี้ยังคงผูกพันกับความเสี่ยงของ Meta อย่างเข้มข้น แม้จะไม่ปรากฏในงบการเงินโดยตรง

    การจัดโครงสร้างเช่นนี้ช่วยให้ Meta รักษาอันดับเครดิตและภาพลักษณ์ทางการเงินให้ดู “แข็งแรง” แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการใช้ช่องว่างทางบัญชีเพื่อซ่อนหนี้จริง ๆ ที่บริษัทต้องรับผิดชอบอยู่ดี หากความต้องการศูนย์ข้อมูลลดลงหรือเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ Meta อาจต้องแบกรับภาระมหาศาลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยในงบการเงิน

    นอกจากนี้ โครงการ Hyperion ยังสะท้อนการแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google และ OpenAI ที่ต่างลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การที่ Meta ใช้โครงสร้างทางการเงินเช่นนี้จึงถูกจับตามองว่าเป็นทั้ง “กลยุทธ์เชิงรุก” และ “ความเสี่ยงเชิงซ่อนเร้น” ในเวลาเดียวกัน

    สรุปสาระสำคัญ
    โครงสร้างการลงทุน Hyperion
    Meta ถือหุ้น 20% แต่ Blue Owl Capital ถือ 80% ผ่าน Beignet Investor LLC
    มูลค่าโครงการรวมกว่า 27 พันล้านดอลลาร์

    บทบาทของ Meta
    Meta เป็นผู้จัดการก่อสร้างและผู้เช่าหลักของศูนย์ข้อมูล
    มีสัญญา Residual Value Guarantee เพื่อค้ำประกันมูลค่าทรัพย์สิน

    ผลต่ออันดับเครดิต
    การซ่อนหนี้ช่วยให้ Meta รักษาอันดับเครดิต A+
    ภาพลักษณ์ทางการเงินดูแข็งแรงแม้มีภาระจริง

    ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
    หากความต้องการศูนย์ข้อมูลลดลง Meta ต้องรับภาระค่าเช่าและหนี้
    ช่องว่างทางบัญชีอาจถูกตรวจสอบหากกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลง

    ผลกระทบระยะยาว
    หากตลาดศูนย์ข้อมูลอิ่มตัว มูลค่าทรัพย์สินอาจต่ำกว่าที่รับประกัน
    อาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินของ Meta ในอนาคต

    https://stohl.substack.com/p/exclusive-credit-report-shows-meta
    🏢 “Meta ซ่อนหนี้ 27 พันล้านผ่านดีลศูนย์ข้อมูล Hyperion” Meta Platforms กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ชื่อ Hyperion ที่ Richland Parish, Louisiana ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 27 พันล้านดอลลาร์ แต่แทนที่จะบันทึกหนี้และสินทรัพย์นี้ในงบการเงินของตนเอง Meta เลือกใช้โครงสร้างร่วมทุนกับ Blue Owl Capital โดยให้บริษัทในเครือ Beignet Investor LLC ถือหุ้น 80% และ Meta ถือเพียง 20% แม้ Meta จะถือหุ้นส่วนน้อย แต่บริษัทกลับเป็นผู้จัดการก่อสร้างและผู้เช่าหลักของศูนย์ข้อมูลทั้งหมด พร้อมรับประกันค่าเช่าและมูลค่าทรัพย์สินในอนาคตผ่านสัญญา Residual Value Guarantee (RVG) ซึ่งทำให้โครงการนี้ยังคงผูกพันกับความเสี่ยงของ Meta อย่างเข้มข้น แม้จะไม่ปรากฏในงบการเงินโดยตรง การจัดโครงสร้างเช่นนี้ช่วยให้ Meta รักษาอันดับเครดิตและภาพลักษณ์ทางการเงินให้ดู “แข็งแรง” แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการใช้ช่องว่างทางบัญชีเพื่อซ่อนหนี้จริง ๆ ที่บริษัทต้องรับผิดชอบอยู่ดี หากความต้องการศูนย์ข้อมูลลดลงหรือเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ Meta อาจต้องแบกรับภาระมหาศาลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยในงบการเงิน นอกจากนี้ โครงการ Hyperion ยังสะท้อนการแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google และ OpenAI ที่ต่างลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การที่ Meta ใช้โครงสร้างทางการเงินเช่นนี้จึงถูกจับตามองว่าเป็นทั้ง “กลยุทธ์เชิงรุก” และ “ความเสี่ยงเชิงซ่อนเร้น” ในเวลาเดียวกัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โครงสร้างการลงทุน Hyperion ➡️ Meta ถือหุ้น 20% แต่ Blue Owl Capital ถือ 80% ผ่าน Beignet Investor LLC ➡️ มูลค่าโครงการรวมกว่า 27 พันล้านดอลลาร์ ✅ บทบาทของ Meta ➡️ Meta เป็นผู้จัดการก่อสร้างและผู้เช่าหลักของศูนย์ข้อมูล ➡️ มีสัญญา Residual Value Guarantee เพื่อค้ำประกันมูลค่าทรัพย์สิน ✅ ผลต่ออันดับเครดิต ➡️ การซ่อนหนี้ช่วยให้ Meta รักษาอันดับเครดิต A+ ➡️ ภาพลักษณ์ทางการเงินดูแข็งแรงแม้มีภาระจริง ‼️ ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ ⛔ หากความต้องการศูนย์ข้อมูลลดลง Meta ต้องรับภาระค่าเช่าและหนี้ ⛔ ช่องว่างทางบัญชีอาจถูกตรวจสอบหากกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลง ‼️ ผลกระทบระยะยาว ⛔ หากตลาดศูนย์ข้อมูลอิ่มตัว มูลค่าทรัพย์สินอาจต่ำกว่าที่รับประกัน ⛔ อาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินของ Meta ในอนาคต https://stohl.substack.com/p/exclusive-credit-report-shows-meta
    STOHL.SUBSTACK.COM
    EXCLUSIVE: Credit Report Shows Meta Keeping $27 Billion Off Its Books Through Advanced Geometry
    FSG LLC’s preliminary rating explains how a data center and selective eyesight create a perfectly legal accounting miracle.
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.33

    ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์

    หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้

    โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    บทความกฎหมาย EP.33 ในทางกฎหมายและธุรกิจ คำว่า "นิติบุคคล" เป็นแนวคิดพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจเพียงผิวเผิน นิติบุคคลนั้นสามารถนิยามได้อย่างกระชับและทรงพลัง นั่นคือ องค์กรที่มีสถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล การเปรียบเทียบนี้ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนโวหาร แต่เป็นการมอบสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบทางกฎหมายให้กับกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินที่รวมกันเป็นหน่วยงานเดียว ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย นิติบุคคลถือเป็น "บุคคล" ประเภทหนึ่งนอกเหนือจากบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อนเกินกว่าขีดความสามารถของปัจเจกชน ตัวอย่างที่ชัดเจนและพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ "บริษัทจำกัด" ซึ่งเป็นรูปแบบทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากให้ข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ การเกิดขึ้นของนิติบุคคลนั้นมีรากฐานมาจากหลักการที่ว่า เพื่อให้การดำเนินงานขนาดใหญ่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง จำเป็นต้องแยกสถานะของกิจการออกจากสถานะส่วนตัวของผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้น นิติบุคคลจึงมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง มีหนี้สินเป็นของตนเอง สามารถเข้าทำสัญญา ฟ้องร้อง หรือถูกฟ้องร้องในนามขององค์กรได้ ซึ่งเป็นหลักการที่เรียกว่า "การแยกทรัพย์สิน" หรือ "Separate Legal Personality" หลักการนี้ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดได้รับความคุ้มครองที่เรียกว่า "ความรับผิดจำกัด" (Limited Liability) นั่นคือความรับผิดของพวกเขาจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น หากบริษัทเกิดปัญหาล้มละลายหรือมีหนี้สินมหาศาล เจ้าหนี้จะสามารถเรียกร้องได้เพียงแค่ทรัพย์สินของบริษัทเท่านั้น จะไม่สามารถลุกลามไปยึดทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้ เว้นแต่จะมีกรณีที่ศาลพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้สถานะนิติบุคคลไปในทางที่ทุจริตหรือมิชอบด้วยกฎหมาย นอกเหนือจากบริษัทจำกัดแล้ว นิติบุคคลยังครอบคลุมไปถึงรูปแบบองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มูลนิธิ สมาคม ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ได้จดทะเบียน ตลอดจนหน่วยงานของรัฐบางประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะที่ใช้กำกับดูแลแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานที่ว่ามี "สถานะทางกฎหมายเหมือนบุคคล" นั้นยังคงเป็นแก่นเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระ มีอายุยืนยาวกว่าผู้ก่อตั้ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบุคคลภายนอกได้ และที่สำคัญที่สุดคือ สามารถเป็นเจ้าของสิทธิและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ หลักการแยกสถานะนี้เองที่ทำให้นิติบุคคลกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสมัยใหม่ ลองจินตนาการถึงการลงทุนขนาดใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก หากไม่มีรูปแบบนิติบุคคลที่ให้ความรับผิดจำกัด ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองมาลงทุนในกิจการที่มีความไม่แน่นอนสูง นิติบุคคลจึงช่วยกระจายความเสี่ยงและดึงดูดเงินทุนจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม การได้รับสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมายนั้นมาพร้อมกับภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานต้องโปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนไว้กับหน่วยงานราชการ หากนิติบุคคลใดกระทำการนอกเหนืออำนาจหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การกระทำนั้นอาจตกเป็นโมฆะหรือมีผลผูกพันเพียงบางส่วน การบริหารจัดการนิติบุคคลจึงต้องอาศัยคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทน เช่น กรรมการบริษัท ซึ่งผู้แทนเหล่านี้ต้องกระทำการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรอบคอบเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของนิติบุคคลเป็นสำคัญ หากกรรมการกระทำการโดยประมาทเลินเล่อหรือทุจริตจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคลหรือบุคคลภายนอก กรรมการเหล่านั้นอาจต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางกฎหมายที่เรียกว่านิติบุคคลนี้จึงต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงทั้งสิทธิที่ได้รับและความรับผิดชอบที่ตามมา การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับองค์กร ขณะที่การละเลยข้อกำหนดทางกฎหมายอาจนำไปสู่ปัญหาทางคดีและการล่มสลายของกิจการได้ โดยสรุปแล้ว นิติบุคคลไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขององค์กร แต่เป็นโครงสร้างทางกฎหมายที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง มันคือการสร้าง "บุคคลเทียม" ขึ้นมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่และลดความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ประกอบการ นิติบุคคลมอบโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับกิจการผ่านหลักการความรับผิดจำกัดและการมีอยู่ที่เป็นอิสระ แต่ในทางกลับกัน มันก็เรียกร้องความรับผิดชอบในระดับเดียวกับบุคคลธรรมดาในการปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ความเข้าใจที่ถ่องแท้ในสถานะทางกฎหมายและผลที่ตามมาของการเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารนิติบุคคลอย่างมีธรรมาภิบาลและการยึดมั่นในกรอบกฎหมายคือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรเหล่านี้สามารถใช้สิทธิอำนาจเทียบเท่าบุคคลได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรมในสังคม
    0 Comments 0 Shares 481 Views 0 Reviews
  • "Valve ทำรายได้ต่อพนักงานสูงสุดในโลกเกม – เกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน"

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Valve มีพนักงานเพียงประมาณ 350 คน แต่สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Steam แพลตฟอร์มขายเกมออนไลน์ของบริษัททำรายได้ไปแล้วกว่า 16.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2024 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นการกระจายเกมดิจิทัลและการหักส่วนแบ่งจากเกมยอดนิยมอย่าง Counter-Strike 2 และ Dota 2

    โครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใคร
    หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ โครงสร้างองค์กรแบบแบน (flat structure) ของ Valve ที่ไม่มีผู้จัดการหรือ C-suite executives ทุกคนทำงานร่วมกันในฐานะทีมเท่าเทียมกัน ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและยืดหยุ่น นอกจากนี้ Valve ยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถนำกำไรกลับคืนสู่พนักงานได้มากขึ้น โดยมีข้อมูลรั่วไหลว่า Valve ใช้เงินกว่า 450 ล้านดอลลาร์จ่ายเงินเดือน เฉลี่ยมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน

    ผลงานและนวัตกรรมที่สร้างชื่อ
    Valve ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกม เช่น
    การเปิดตัว Steam ที่ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล
    การสร้างเกมดังอย่าง Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead
    การเปิดตัว Steam Deck (2022) ที่ช่วยฟื้นตลาดเครื่องเกมพกพา
    แผนเปิดตัว Steam Machine (2026) ที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PC gaming

    เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น
    แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จะมีรายได้ต่อพนักงานสูง แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับ Valve เช่น
    McKesson (Healthcare): 8.2 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
    Apple: 2.4 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
    Meta (Facebook): 1.9 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน

    Valve จึงถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    รายได้ต่อพนักงาน
    Valve ทำรายได้เฉลี่ยเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน
    มีพนักงานเพียง ~350 คน แต่สร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์

    โครงสร้างองค์กร
    ใช้โครงสร้างแบบแบน ไม่มีผู้จัดการ
    เป็นบริษัทเอกชน จึงคืนกำไรให้พนักงานมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน

    ผลงานสำคัญ
    Steam ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล
    เกมดัง: Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead
    Steam Deck ฟื้นตลาดเกมพกพา และ Steam Machine กำลังจะมาในปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    Valve เคยถูกวิจารณ์เรื่อง loot boxes ที่ส่งผลต่อผู้เล่น
    การพึ่งพา Steam เป็นหลักอาจทำให้บริษัทเสี่ยงหากตลาดเปลี่ยนแปลง

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/valve-makes-almost-usd50-million-per-employee-raking-in-more-cash-per-person-than-google-amazon-or-microsoft-gaming-giants-350-employees-on-track-to-generate-usd17-billion-this-year
    📰 "Valve ทำรายได้ต่อพนักงานสูงสุดในโลกเกม – เกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน" รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Valve มีพนักงานเพียงประมาณ 350 คน แต่สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Steam แพลตฟอร์มขายเกมออนไลน์ของบริษัททำรายได้ไปแล้วกว่า 16.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2024 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นการกระจายเกมดิจิทัลและการหักส่วนแบ่งจากเกมยอดนิยมอย่าง Counter-Strike 2 และ Dota 2 💼 โครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใคร หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ โครงสร้างองค์กรแบบแบน (flat structure) ของ Valve ที่ไม่มีผู้จัดการหรือ C-suite executives ทุกคนทำงานร่วมกันในฐานะทีมเท่าเทียมกัน ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและยืดหยุ่น นอกจากนี้ Valve ยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถนำกำไรกลับคืนสู่พนักงานได้มากขึ้น โดยมีข้อมูลรั่วไหลว่า Valve ใช้เงินกว่า 450 ล้านดอลลาร์จ่ายเงินเดือน เฉลี่ยมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน 🎮 ผลงานและนวัตกรรมที่สร้างชื่อ Valve ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกม เช่น 💠 การเปิดตัว Steam ที่ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล 💠 การสร้างเกมดังอย่าง Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead 💠 การเปิดตัว Steam Deck (2022) ที่ช่วยฟื้นตลาดเครื่องเกมพกพา 💠 แผนเปิดตัว Steam Machine (2026) ที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PC gaming 🌍 เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จะมีรายได้ต่อพนักงานสูง แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับ Valve เช่น 💠 McKesson (Healthcare): 8.2 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน 💠 Apple: 2.4 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน 💠 Meta (Facebook): 1.9 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน Valve จึงถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายได้ต่อพนักงาน ➡️ Valve ทำรายได้เฉลี่ยเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน ➡️ มีพนักงานเพียง ~350 คน แต่สร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ ✅ โครงสร้างองค์กร ➡️ ใช้โครงสร้างแบบแบน ไม่มีผู้จัดการ ➡️ เป็นบริษัทเอกชน จึงคืนกำไรให้พนักงานมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน ✅ ผลงานสำคัญ ➡️ Steam ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล ➡️ เกมดัง: Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead ➡️ Steam Deck ฟื้นตลาดเกมพกพา และ Steam Machine กำลังจะมาในปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ Valve เคยถูกวิจารณ์เรื่อง loot boxes ที่ส่งผลต่อผู้เล่น ⛔ การพึ่งพา Steam เป็นหลักอาจทำให้บริษัทเสี่ยงหากตลาดเปลี่ยนแปลง https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/valve-makes-almost-usd50-million-per-employee-raking-in-more-cash-per-person-than-google-amazon-or-microsoft-gaming-giants-350-employees-on-track-to-generate-usd17-billion-this-year
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • หลักฐานเส้นเงินชัด 2 อดีตรมต.พันสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE]

    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยื่นหลักฐานเส้นทางธุรกรรมการเงินของขบวนการสแกมเมอร์ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) พบธุรกรรมผิดปกติชัดเจน เริ่มต้นแค่ 10 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 330 บาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนของบริษัทที่มีอดีตรัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่สามารถเข้าซื้อกิจการมูลค่าสูงกว่าเป็นล้านเท่า เชื่อมโยงกับบุคคลที่มีรายชื่อในสหรัฐฯ มีปลายทางเชื่อมโยงถึงบริษัทพลังงานของไทยที่เคยเป็นข่าวว่า อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยรายชื่อที่ส่งให้ ปปง.เป็นเอกสารสาธารณะที่มีชื่อบุคคล สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากหลายธุรกรรมต้องดำเนินการผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ มีระดับรัฐมนตรีเกี่ยวข้อง 2 คน ทั้งอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว ขอฝ่ายการเมืองไม่เข้าไปเป็นอุปสรรค ฝากนายกรัฐมนตรีพิสูจน์ความจริงใจปราบปรามสแกมเมอร์
    หลักฐานเส้นเงินชัด 2 อดีตรมต.พันสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE] นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยื่นหลักฐานเส้นทางธุรกรรมการเงินของขบวนการสแกมเมอร์ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) พบธุรกรรมผิดปกติชัดเจน เริ่มต้นแค่ 10 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 330 บาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนของบริษัทที่มีอดีตรัฐมนตรีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่สามารถเข้าซื้อกิจการมูลค่าสูงกว่าเป็นล้านเท่า เชื่อมโยงกับบุคคลที่มีรายชื่อในสหรัฐฯ มีปลายทางเชื่อมโยงถึงบริษัทพลังงานของไทยที่เคยเป็นข่าวว่า อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยรายชื่อที่ส่งให้ ปปง.เป็นเอกสารสาธารณะที่มีชื่อบุคคล สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากหลายธุรกรรมต้องดำเนินการผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ มีระดับรัฐมนตรีเกี่ยวข้อง 2 คน ทั้งอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว ขอฝ่ายการเมืองไม่เข้าไปเป็นอุปสรรค ฝากนายกรัฐมนตรีพิสูจน์ความจริงใจปราบปรามสแกมเมอร์
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 523 Views 0 0 Reviews
  • เสี่ยเนสั่งนายกฯ หนู
    หยุดพูดโมโตพีจี ยิ่งพูดยิ่งโดนขุด ว่าถือหุ้นกันทั้งตระกูล ทั้งเนวิน กรุณา ชิดชนก ชนน์ชนก ไชยชนก
    #7ดอกจิก
    เสี่ยเนสั่งนายกฯ หนู หยุดพูดโมโตพีจี ยิ่งพูดยิ่งโดนขุด ว่าถือหุ้นกันทั้งตระกูล ทั้งเนวิน กรุณา ชิดชนก ชนน์ชนก ไชยชนก #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • นายกฯ ยันอนุมัติเงิน 4 พันล้าน จัดโมโตจีพี ไม่เกี่ยวเนวิน ทั้งที่บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต และบริษัท เค.มอเตอร์สปอร์ต ก็มีแต่คนในตระกูลชิดชอบเป็นกรรมการ และถือหุ้น ทั้งเสี่ยเน ซ้อต่าย ชิดชนก ชนน์ชนก และไชยชนก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นายกฯ ยันอนุมัติเงิน 4 พันล้าน จัดโมโตจีพี ไม่เกี่ยวเนวิน ทั้งที่บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต และบริษัท เค.มอเตอร์สปอร์ต ก็มีแต่คนในตระกูลชิดชอบเป็นกรรมการ และถือหุ้น ทั้งเสี่ยเน ซ้อต่าย ชิดชนก ชนน์ชนก และไชยชนก #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ

    17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป

    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์

    ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท

    ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์

    คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา

    #Newskit
    วิบากกรรมทักษิณ คดี 112-ภาษีชินคอร์ปฯ 17 พ.ย. ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สองเรื่องในวันเดียว เรื่องแรก เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อัยการสูงสุด มีความเห็นควรที่จะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 ส.ค. ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดยื่นขยายระยะเวลาต่อศาลอาญาครั้งที่ 2 ไปถึงวันที่ 21 พ.ย. หลังจากนี้ คำสั่งของอัยการสูงสุดจะถูกส่งไปยังอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ต่อไป ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุดคนที่แล้ว มีคำสั่งให้นำเรื่องการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณเข้าสู่การพิจารณากลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาคดีมาตรา 112 ของอัยการสูงสุด ขณะนั้นมีมติ 8 ต่อ 2 เห็นควรไม่อุทธรณ์ ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่สองตามมา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ และศาลภาษีอากรกลาง ยกฟ้องคดีที่นายทักษิณฟ้องกรมสรรพากร และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีผลให้นายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีตามคำสั่งเรียกเก็บจำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ศาลเห็นว่าการที่นายทักษิณปกปิดหุ้นชินคอร์ปฯ โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะจะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย อีกทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง จึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ คดีนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากนายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,271 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือครองแทนนายทักษิณ ในชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ซื้อมาจากบริษัท แอมเพิลริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วนำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมนอกตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ซึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง กรมสรรพากรจึงตีความว่านายทักษิณควรเป็นผู้มีเงินได้และต้องเสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา #Newskit
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 581 Views 0 Reviews
  • ศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา “ทักษิณ” แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป เปิดทางรัฐเรียกเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้าน
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคดีการเงินการเมืองสำคัญของประเทศ โดยศาลมีมติ กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และเห็นพ้องว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรต่อกรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่อยู่ในกรอบกฎหมายอย่างถูกต้อง
    .
    คำพิพากษานี้ทำให้กรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจาก นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 17,600 ล้านบาท ตามหนังสือประเมินภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 หลังศาลวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเป็น “ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง” จากการขายหุ้นชินคอร์ป แม้จะมีการใช้ชื่อบุตรเป็นผู้ถือครองแทนก็ตาม
    .
    ก่อนหน้านี้ ศาลสองชั้นเคยเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบตามขั้นตอนของประมวลรัษฎากร มาตรา 19 จึงตัดสินให้การประเมินภาษีเป็นโมฆะ แต่ศาลฎีกาได้วางหลักใหม่ โดยเห็นว่าพฤติการณ์ของคดีชี้ให้เห็นอย่างเพียงพอว่า สิทธิในการจัดเก็บภาษีของรัฐยังคงมีผลบังคับ และมอบอำนาจให้กรมสรรพากรดำเนินการเรียกเก็บได้ตามความจำเป็น
    .
    คดีนี้มีความเกี่ยวข้องกับการจัดโครงสร้างการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตรในช่วงปี 2541–2549 ซึ่งเริ่มจากการจัดตั้งบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์ ในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน เพื่อเป็นตัวกลางรับโอนหุ้นชินคอร์ป ก่อนที่ นายพานทองแท้ และ นางสาวพินทองทา จะขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 การขายหุ้นดังกล่าวเคยถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ชี้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เกิดส่วนต่างมูลค่าเข้าข่าย “เงินได้พึงประเมิน” จนนำไปสู่ข้อพิพาททางภาษีมูลค่าหลายพันล้านบาท
    .
    ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังเคยมีคำพิพากษาก่อนหน้านี้ว่า หุ้นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องยังถือเป็นของนายทักษิณ โดยให้บุตรทั้งสองทำหน้าที่ “ถือแทน” จึงทำให้นายทักษิณเป็นเจ้าของผลประโยชน์ตามกฎหมายทุกประการ และมีสถานะเป็นผู้มีเงินได้ตัวจริงเมื่อมีการขายหุ้นให้กลุ่มทุนต่างชาติ
    .
    คำตัดสินวันนี้จึงถูกมองว่าเป็นการปิดฉากข้อถกเถียงทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานาน และเป็นแนวทางให้ฝ่ายรัฐเดินหน้าดำเนินกระบวนการจัดเก็บภาษีตามขั้นตอนต่อไป ขณะเดียวกันก็ส่งแรงสะเทือนทางการเมือง เนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่เกิดขึ้นในช่วงที่อดีตนายกรัฐมนตรีเผชิญคดีหลายประเด็นอยู่ระหว่างพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ
    .
    ภายหลังคำพิพากษา กระแสข่าวจากครอบครัวชินวัตรระบุว่า นายทักษิณมีความ “เสียใจและเจ็บช้ำ” ต่อมติของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับคดีอื่นที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์และไต่สวนเพิ่มเติม ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองรอบตัวอดีตผู้นำยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
    .
    #News1live #MGRInfographics #ศาลฎีกา #ทักษิณ #ชินคอร์ป #คดีภาษีหุ้น #การเมืองไทย #คดีประวัติศาสตร์ #กรมสรรพากร #ภาษี17600ล้าน
    ศาลฎีกาพลิกคำพิพากษา “ทักษิณ” แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป เปิดทางรัฐเรียกเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้าน . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคดีการเงินการเมืองสำคัญของประเทศ โดยศาลมีมติ กลับคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และเห็นพ้องว่าการประเมินภาษีของกรมสรรพากรต่อกรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการที่อยู่ในกรอบกฎหมายอย่างถูกต้อง . คำพิพากษานี้ทำให้กรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจาก นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 17,600 ล้านบาท ตามหนังสือประเมินภาษี ภ.ง.ด.12 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 หลังศาลวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเป็น “ผู้มีเงินได้ที่แท้จริง” จากการขายหุ้นชินคอร์ป แม้จะมีการใช้ชื่อบุตรเป็นผู้ถือครองแทนก็ตาม . ก่อนหน้านี้ ศาลสองชั้นเคยเห็นว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบตามขั้นตอนของประมวลรัษฎากร มาตรา 19 จึงตัดสินให้การประเมินภาษีเป็นโมฆะ แต่ศาลฎีกาได้วางหลักใหม่ โดยเห็นว่าพฤติการณ์ของคดีชี้ให้เห็นอย่างเพียงพอว่า สิทธิในการจัดเก็บภาษีของรัฐยังคงมีผลบังคับ และมอบอำนาจให้กรมสรรพากรดำเนินการเรียกเก็บได้ตามความจำเป็น . คดีนี้มีความเกี่ยวข้องกับการจัดโครงสร้างการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตรในช่วงปี 2541–2549 ซึ่งเริ่มจากการจัดตั้งบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์ ในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิน เพื่อเป็นตัวกลางรับโอนหุ้นชินคอร์ป ก่อนที่ นายพานทองแท้ และ นางสาวพินทองทา จะขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 การขายหุ้นดังกล่าวเคยถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ชี้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เกิดส่วนต่างมูลค่าเข้าข่าย “เงินได้พึงประเมิน” จนนำไปสู่ข้อพิพาททางภาษีมูลค่าหลายพันล้านบาท . ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังเคยมีคำพิพากษาก่อนหน้านี้ว่า หุ้นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องยังถือเป็นของนายทักษิณ โดยให้บุตรทั้งสองทำหน้าที่ “ถือแทน” จึงทำให้นายทักษิณเป็นเจ้าของผลประโยชน์ตามกฎหมายทุกประการ และมีสถานะเป็นผู้มีเงินได้ตัวจริงเมื่อมีการขายหุ้นให้กลุ่มทุนต่างชาติ . คำตัดสินวันนี้จึงถูกมองว่าเป็นการปิดฉากข้อถกเถียงทางกฎหมายที่ยืดเยื้อมานาน และเป็นแนวทางให้ฝ่ายรัฐเดินหน้าดำเนินกระบวนการจัดเก็บภาษีตามขั้นตอนต่อไป ขณะเดียวกันก็ส่งแรงสะเทือนทางการเมือง เนื่องจากเป็นคำพิพากษาที่เกิดขึ้นในช่วงที่อดีตนายกรัฐมนตรีเผชิญคดีหลายประเด็นอยู่ระหว่างพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ . ภายหลังคำพิพากษา กระแสข่าวจากครอบครัวชินวัตรระบุว่า นายทักษิณมีความ “เสียใจและเจ็บช้ำ” ต่อมติของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับคดีอื่นที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์และไต่สวนเพิ่มเติม ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองรอบตัวอดีตผู้นำยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด . #News1live #MGRInfographics #ศาลฎีกา #ทักษิณ #ชินคอร์ป #คดีภาษีหุ้น #การเมืองไทย #คดีประวัติศาสตร์ #กรมสรรพากร #ภาษี17600ล้าน
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 740 Views 0 Reviews
  • AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป

    AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

    ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ

    Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค

    นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง

    แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง

    AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ
    อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD
    การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น
    Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC
    อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง

    พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม
    Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว
    Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า

    สถานะของคู่แข่งในตลาด
    Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน
    Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน

    คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น
    ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา
    อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

    ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค
    หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ
    AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    ⚠️ AMD เตือนภัย! การจับมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมชิป AMD เผยในรายงานไตรมาสล่าสุดว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia อาจสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อธุรกิจของตน ทั้งในด้านการแข่งขันและราคาที่อาจทำให้เสียเปรียบในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว. ในรายงานไตรมาสเดือนพฤศจิกายน 2025 AMD ได้เปิดเผยความกังวลต่อการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี — Intel และ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ AMD อย่างมีนัยสำคัญ Nvidia ได้ลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ใน Intel เพื่อพัฒนาชิปแบบ SoC ที่รวมจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยเฉพาะในตลาด APU สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพา ซึ่งเป็นจุดแข็งของ AMD มานาน หาก Intel และ Nvidia สามารถสร้างชิปที่รวม GPU และ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ AMD สูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค นอกจากนี้ AMD ยังกล่าวหาว่า Intel และ Nvidia ใช้ตำแหน่งทางการตลาดเพื่อเสนอราคาที่ก้าวร้าวและสิ่งจูงใจพิเศษแก่ลูกค้าและพันธมิตรช่องทางขาย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายและราคาขายเฉลี่ยของ AMD ลดลง แม้ AMD จะเป็นบริษัทที่มั่นคง แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่มีทรัพยากรมหาศาล เช่น Nvidia ที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ และ Intel ที่แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ยังครองส่วนแบ่งตลาด CPU อย่างแข็งแกร่ง ✅ AMD เตือนว่าความร่วมมือระหว่าง Intel และ Nvidia เป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจ ➡️ อาจส่งผลต่อยอดขายและกำไรของ AMD ➡️ การแข่งขันด้านราคาจะรุนแรงขึ้น ➡️ Nvidia ลงทุน $5 พันล้านใน Intel เพื่อพัฒนาชิป SoC ➡️ อาจกระทบตลาด APU ที่ AMD เคยครอง ✅ พฤติกรรมทางธุรกิจของคู่แข่งที่ AMD มองว่าไม่เป็นธรรม ➡️ Intel ใช้ส่วนแบ่งตลาด CPU เพื่อเสนอราคาก้าวร้าว ➡️ Nvidia ใช้ทรัพยากรและระบบซอฟต์แวร์ปิดเพื่อดึงลูกค้า ✅ สถานะของคู่แข่งในตลาด ➡️ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก ณ ปัจจุบัน ➡️ Intel ยังครองตลาด CPU แม้จะมีปัญหาทางการเงิน ‼️ คำเตือนจาก AMD ต่อผู้ถือหุ้น ⛔ ความร่วมมือของคู่แข่งอาจทำให้ AMD ต้องลดราคา ⛔ อาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว ‼️ ความเสี่ยงต่อการสูญเสียความได้เปรียบทางเทคนิค ⛔ หาก Intel/Nvidia พัฒนาชิปที่รวม GPU/CPU ได้สำเร็จ ⛔ AMD อาจเสียตำแหน่งในตลาดเกมพกพาและ APU https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-warns-intel-nvidia-partnership-is-a-business-risk-quarterly-report-outlines-risk-from-increased-competition-and-pricing-pressure
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา”

    รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่
    ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง:
    ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน
    ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์
    หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ความเคลื่อนไหวของจีน
    ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal
    เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III
    รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง

    ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์
    ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน
    ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี
    ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก

    ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว
    เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้
    หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน
    จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง

    ความคืบหน้าของ Nantong Crystal
    เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว
    ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก
    ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก
    ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก
    การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    🪨🔧 “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา” รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี 🧪 ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่ ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง: 🎗️ ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน 🎗️ ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์ 🎗️ หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย ✅ ความเคลื่อนไหวของจีน ➡️ ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal ➡️ เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III ➡️ รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง ✅ ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์ ➡️ ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน ➡️ ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี ➡️ ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก ✅ ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว ➡️ เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้ ➡️ หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน ➡️ จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง ✅ ความคืบหน้าของ Nantong Crystal ➡️ เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว ➡️ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก ➡️ ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่ ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก ⛔ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก ⛔ การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์

    Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla

    Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง

    รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian
    มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
    ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น
    เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk
    สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว
    กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้
    หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
    อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป
    นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า
    การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    💰 Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง ✅ รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian ➡️ มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี ➡️ ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น ➡️ เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe ✅ แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว ➡️ กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้ ⛔ หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ⛔ อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป ⛔ นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า ⛔ การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EV maker Rivian gives CEO a Musk-style pay package worth up to $4.6 billion
    (Reuters) -Electric pickup and SUV maker Rivian said on Friday it was giving its CEO a pay plan worth as much as $4.6 billion over the next decade, a deal similar to Tesla's record package for CEO Elon Musk, and linked to new profit targets and lower share price milestones than a previous deal.
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว

    ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท

    MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

    บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก"

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง

    #Newskit
    หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก" อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 633 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 5

    คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย

    และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ

    แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน

    เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที

    หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ

    Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์

    Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ
    ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน

    คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต

    เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 6

    Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2

    Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ

    ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส

    เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง

    ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว

    Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง

    เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ

    ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย
    แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว
    Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน

    Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน

    Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย

    วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ

    คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด

    “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    10 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 5 คงพอเห็นแล้วว่า ฉากปฏิวัติ Bolsheviks เป็นฉากสำคัญ ที่มีผลต่อสงครามโลก ละครลวงโลก ที่เล่นกันข้ามเดือนข้ามปี มันต้องเป็นการจับมือวางแผนร่วมกัน ของหลายพวกหลายฝ่าย และคงไม่ต้องแปลกใจมากนักว่า เยอรมันก็เล่นละครเป็น และร่วมเล่นละครลวงโลกกับเขาด้วย แม้จะไม่ได้ร่วมเขียนบทด้วยกันกับกลุ่มอื่นๆ แต่ละครเรื่องนี้ คงเล่นสำเร็จถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีนายโรงตัวจริง หรือหัวหน้าโจรตัวจริง ที่วางกลยุทธ์ อย่างลึกซึ้ง เลือดเย็น ยาวนาน และคอยชักใยทุกฝ่ายอย่างแนบเนียน เราย้อนกลับไปดูเรื่องและบทสำคัญ ของบางคนอีกที หัวหน้า Bolsheviks ผู้ทำการปฏิวัติที่โด่งดัง ตัวละคร ที่การมาเข้าฉากละครลวงโลก เหมือนจะยังไม่ชัดเจน พวกเขาน่าจะเป็นกุญแจสำคัญ Levi Davidovich Bronstien คือชื่อจริงของ Leon Trotsky เขาเป็นยิวทั้งแท่ง มาจากครอบครัวคนมีกิน ที่เป็นเจ้าของที่ดินทางใต้ของยูเครน เขาอ่านหนังสือของ Marx บรมครูของลัทธิสังคมนิยม (ซึ่งก็เป็นชาวยิว) แล้วซาบซึ้ง ใฝ่ฝันตั้งแต่ยังเป็นกระทงหนุ่มอายุ 18 ที่จะเป็นนักปฏิวัติ เขาจึงมาคลุกคลีอยู่กับพวกสังคมนิยมชาวยิว ถูกจับเข้าคุกหลายครั้ง เพราะวุ่นอยู่กับการปลุกระดมการประท้วงของพวกกรรมกร เขาเอาชื่อ Leon Trosky มาจากชื่อผู้คุมคุกชาวโปแลนด์ Trosky ได้ยินชื่อ Lenin นักปลุกระดมลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาจึงติดต่อไปหา แล้วทั้ง 2 คนก็แลกฝันกัน Lenin บอก Trosky ว่า เราต้องไปแสวงหาโลกข้างนอกที่กว้างใหญ่กว่ารัสเซีย ในที่สุด ทั้ง 2 คนก็นัดพบกันที่ลอนดอน อืม น่าสนใจ ปี ค.ศ. 1905 Trotsky กลับมารัสเซีย เพื่อพยายามก่อการปฏิวัติขับไล่ ซาร์ การปลุกระดมดำเนินอยู่หลายเดือน แต่ไม่สำเร็จ และ Trosky ถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง คราวนี้ได้เจอตัวละครสำคัญในคุก Alexander “Parvus” Helphand ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางชาวยิวและมือเก๋าในการปลุกระดม เป็น Parvus ที่แนะนำให้ Trotsky กับ Jacob H Schiff รู้จักกัน คนหนึ่ง อยากได้คนมาไล่ซาร์ ส่วนอีกคน กำลังอยากไล่ซาร์ อยากทำปฏิวัติตามฝัน สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย Schiff จึงตกลงอุดหนุนการปฏิวัติของTrotsky ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของ Kuhn, Loeb &Co หรือจริงๆ ก็คือเงิน ของ Rothschild ที่ต้องการกำจัด ซาร์ จากเรื่องน้ำมันที่ Baku และเรื่องของชาวยิวในรัสเซีย เมื่อ Trotsky และครอบครัวเดินทางมาถึงนิวยอร์ค เพื่อเก็บตัวก่อนการเข้าฉากสำคัญที่รัสเซีย ผู้ที่ไปรับเขาที่ท่าเรือ คือ Arthur Concors ผุ้อำนวยการ สมาคมช่วยเหลือชาวยิวที่เพิ่งเดิน ทางเข้าอเมริกา the Hebrew Shelterings and Immigration Aid Society ซึ่ง Schiff เป็นกรรมการที่ปรึกษา ส่วนอพาตเมนท์ที่ Trosky และครอบครัวไปพัก รวมทั้งรถและคนขับนั้น เป็นของ Dr Julius Hammer ที่อพยพมาจากรัสเซีย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อเมริกา Armand ลูกชายของ Julius ประธานของ Occidental Petroleum Corporation เป็นต่างชาติรายแรก ที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลโซเวียต เมื่อ Trosky ถูกจับที่แคนาดา คำสั่งปล่อยตัว Trotsky มาจากการตกลงใจร่วมกัน ระหว่าง Col. House กับเพื่อนร่วมอพาตเมนท์เดียวกัน ชื่อ Sir William Wiseman หัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษที่อยู่ที่อเมริกานั่นเอง และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ของ Kuhn, Loeb ของ Schiff หรือของ Rothschild ด้วย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 6 Nikolai Lenin หรือชื่อจริงคือ Vladimir llyich Ulyanov ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิวหนึ่งส่วนสี่ จากย่าที่เป็นชาวยิว เขาเป็นผู้นิยมลัทธิ Marx และคิดที่จะแก้แค้นแทนพี่ชาย ที่ถูกลงโทษแขวนคอ พร้อมพวกอีก 4 คน เนื่องจากร่วมกันลอบฆ่าซาร์ Alexander ที่ 2 ปู่ ของ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 Lenin คิดใช้นโยบายประชานิยม เพื่อล้มรัฐบาลซาร์ และนำลัทธิสังคมนิยมมาใช้ปกครองต่อ ปี ค.ศ. 1905 ขณะที่รัสเซีย กำลังวุ่นวายอยู่กับการรบกับญี่ปุ่น Lenin Trosky และพวก ก็พยายามยุให้ชาวนาต่อต้านซาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันหนีออกไปจากรัสเซีย Lenin ตระเวนไปทั่วยุโรป สุดท้ายกบดานอยู่ที่สวิส เป็น Parvus คนสำคัญเจ้าเก่า ที่ไปหา Lenin ที่สวิส และชักชวนให้ Lenin ซึ่งยังฝันค้าง มาร่วมทำปฏิวัติรัสเซีย แต่ Lenin บอกไม่มีทุน แถมยังต้องกบดาน จะไปปฏิวัติได้ยังไง ช่วงนั้น Parvus ปักหลักอยู่ที่ Copenhagen จึงคุ้นเคยกับ Brockdorff-Rantzau รัฐมนตรีของเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่ เดนมาร์กและทำหน้าที่หาข่าว Parvus วิจารณ์การรบของเยอรมัน ให้รัฐมนตรีเยอรมันฟัง เยอรมันกำลังทำสงครามแบบขาถ่าง ด้านหนึ่งสู้กับกลุ่มอังกฤษ ฝรั่งเศส ทางตะวันตก ส่วนด้านตะวันออกก็สู้รัสเซีย เยอรมันสู้แบบห่วงหน้าพะวงหลัง รบแบบนี้ ให้ตายก็ไม่มีทางชนะ แถมจะขาถ่าง หัวทิ่มตาย มันต้องหาวิธีทำให้รัสเซียถอนตัวจากการรบ ทำให้รัสเซียถอนตัวจากสงคราม ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เยอรมันจะได้รบอังกฤษด้านเดียว อัดตามสบาย แล้ว Lenin ก็ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน เป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญทอง เพื่อมาทำปฏิวัติในฝันที่รัสเซีย แต่เขาคงจะคุยโวยากหน่อย ถึงการปฏวัติ ที่รับทุนจากประเทศที่เป็นศัตรู และกำลังทำสงครามกัน มันน่าจะเรียกว่า เป็นการกบฏขายชาติ มากกว่าเป็นปฏิวัติที่โด่งดัง ละครฉากนี้บัดซบจริงๆ และคงเป็นเพราะเหตุนี้ กลุ่มนักปฏิวัติจึงมี ชาวรัสเซียแท้เพียง 25 % ที่เหลือเป็นรัสเซียเชื้อสายยิว Parvus มีชื่อเต็มตามที่เขาบอกใครๆ ว่า Alexander Israel Helphand แต่จริงๆ เขาชื่อ Israel Lazarevich Gelfand พ่อแม่เชื้อสายยิวทั้งคู่ เขาเป็นชาวยิวเต็มร้อย เขาเกิดที่เมือง Berazino ซึ่งปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของ Beralus เขาเจอ Lenin ครั้งแรก เมื่อปี 1900 ที่เมืองมิวนิค ของเยอรมัน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนทฤษฏีกัน Parvus เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมว่า เฉลียวฉลาดมาก และฝักใฝ่เรื่องการปฏิวัติมาตลอด เขาเป็นคนคิดทฤษฏี เอาสงครามนอกบ้าน มาใช้ก่อเหตุในบ้าน Parvus ใช้ชีวิตอยู่แถบยุโรปส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาร่อนเร่ไปอยู่ตุรกีถึง 5 ปี เป็นช่วงเดียวกับที่ Sir Basil Zaharoff ก็อยู่ที่นั่นด้วย เพื่อทำภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ในการจัดหาอาวุธให้กรีกไปรบกับ ตุรกี เป็นการตัดกำลังออตโตมาน อาวุธที่ส่งให้กรีก มาจากบริษัท Vickers บริษัทผลิตอาวุธ ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ที่ Zaharoff เป็นกรรมการ และมี Rothschild เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Parvus ได้ร่วมงานด้วย และทำให้เขามีเงินใช้ชีวิตอย่างสบาย วันที่ Lenin และพวก เดินทางจากสวิส ผ่านเยอรมัน มาเข้ารัสเซีย พร้อมทองคำ 10 ล้านเหรียญ พวกเขาซ่อนตัวมาในรถไฟ ซึ่งปิดหน้าต่างมีผ้าคลุม ไม่ให้รู้ว่า ใครอยู่ในรถไฟ คำพูดของ หลอด Winston Churchill ที่พูดไว้ที่สภาของอังกฤษ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ.1919 เกี่ยวกับ Lenin น่าสนใจ และน่าคิด “… Lenin ถูกนำตัวมารัสเซีย…เหมือนการนำเอาขวดแก้ว ที่ใส่เชื้อไทฟอยด์ หรืออหิวาต์เข้ามา เพื่อเอาไปเทใส่ในแหล่งน้ำ ให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมือง และมันได้ผลดีอย่างมหัศจรรย์ ทันทีที่ Lenin ถึงที่หมาย เขาก็เริ่มชี้นิ้ว สั่งคนนั้น สั่งคนนี้ ที่แอบซ่อนอยู่ใน New York, Glasgow, Bern และเมืองอื่นๆ เขาเรียกให้พวกหัวหน้าของลัทธิ ที่น่ากลัว ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกมารวมตัวกัน และเมื่อมีพวกนี้อยู่รอบตัว เขาก็เริ่มงานที่เป็นการทำลายล้างทุกสถาบัน ที่ประกอบเป็นรัสเซีย ที่รัสเซียยึดถืออยู่ แหลกละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 10 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 777 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1073 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา”

    ตอน 1

    The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ

    Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว !

    บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น”
    ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน

    ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง

    หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ

    – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC

    – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery

    – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ

    – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน
    G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา

    – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด

    ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม

    สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ !

    American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks

    คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย

    เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป

    ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing

    หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ :
    กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี
    กระทรวงต่างประเทศ
    วอซิงตัน ดี ซี

    กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..”

    แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา

    หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น”

    จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก

    William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง
    ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค

    ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก

    วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom !

    “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing”

    คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28”
    และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands)
    ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard”

    ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands
    หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย”

    เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้

    ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ไอ้เสือเอาวา นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 6 “ไอ้เสือเอาวา” ตอน 1 The American International Corporation (AIC) ตั้งขึ้นที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1915 โดยกลุ่ม J P Morgan และผู้ร่วมทุนจาก National City Bank ของกลุ่ม Stillman และกลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller เรียกว่าเป็นการร่วมทุนของพวก เจ้าพ่อ ธุรกิจการเงิน และอุตสาหกรรมของอเมริกา สำนักงานใหญ่ของ AIC ตั้ง อยู่เลขที่ 120 ถนนบรอดเวย์ หนังสือบริคณห์ของบริษัท ระบุวัตถุประสงค์ว่า เพื่อทำธุรกิจทุกประเภท (ยกเว้นการธนาคารและสาธารณูปโภค) ในทุกประเทศ “ทั่วโลก” เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจการค้าภายในและภายนอกประเทศ และขยายธุรกิจของอเมริกาไปยังต่างประเทศ Frank A. Vanderlip เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่าง มาก ที่ American International Corporation ก่อตั้งขึ้นได้สำเร็จ จริงๆแล้ว มันเกิดขึ้น จากการคุยกัน ระหว่าง คนทำงานของ Stone & Webster บริษัทก่อสร้างทางรถไฟระหว่างประเทศ ที่บอกกับ Jim Perkins และ Frank A. Vanderlip แห่ง National City Bank (NCB) ว่า จะไม่เหลือทางรถไฟในอเมริกาให้เราสร้างสักเท่าไรแล้ว ! บริษัทได้ระบุจำนวนทุน ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกชำระ คือ 50 ล้านเหรียญ และนาย Vanderlip บันทึกต่อไปว่า เขาได้เขียนไปหาประธานของ American International Corporation “…หลังจากที่ผมบอกให้พวกเขา รู้ว่า เรากำลังทำจะอะไร พวกเขาดีใจมาก ที่เราชวนพวกเขามาร่วมด้วย ทุกคนลงทุนกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับขอเพิ่มอีก และแถมบางคนยังกันท่า ไม่อยากให้บางคนมาร่วมมือด้วย…ทุกคนที่เราไปคุย เอาด้วยทั้งนั้น” ตกลงพวกเขากำลังจะทำอะไร ธุรกิจของ AIC คืออะไรกันแน่ นักธุรกิจอเมริกัน ถึงกับแย่งกันเข้ามาร่วมลงทุน ในปี 1916 AIC มีการลงทุนในต่างประเทศ เป็นจำนวนมากกว่า 23 ล้านเหรียญ และในปี 1917 เพิ่มเป็นกว่า 27 ล้านเหรียญ มีบริษัทตัวแทน อยู่ที่ลอนดอน ปารีส บัวโนสไอเรส ปักกิ่ง Petrograd รัสเซีย และหลังจากตั้งบริษัทได้ไม่ถึง 2 ปี ธุรกิจของ AIC ก็ขยายไปถึง ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โคลัมเบีย บราซิล ซิลี จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซีลอน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน คิวบา เม็กซิโก และอีกหลายๆประเทศในอเมริกากลาง หลังจากนั้นไม่นาน American International Corporation (AIC) ได้ตั้งบริษัทลูก อีกหลายบริษัทคือ – The Allied Machinery Company of America ตั้งขึ้นในปี 1916 ถือหุ้นทั้งหมดโดย AIC – The Grace Russian Company ตั้งขึ้นในปี 1917 ถือหุ้นโดย W.R. Grace & Co และ San Galli Trading Company of Petrograd โดย AIC ถือหุ้นข้างมากใน Grace Russian ร่วมกับ Holbrook ซึ่งเป็นผู้บริหาร Allied Machinery – United Fruit Company ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติหลายครั้งในอเมริกากลาง ในปี ช่วงปี 1920 กว่าๆ – American International Shipbuilding Corporation ซึ่ง AIC ถือหุ้นทั้งหมด และได้รับสัญญาให้ต่อเรือรบหลายสัญญาจาก Emergency Fleet Corporation สัญญาหนึ่งประมาณ 50 ลำ อีกสัญญา 40 ลำ และยังมีสัญญาให้ต่อเรือบรรทุกสินค้าอีก 60 ลำ นับเป็นบริษัทแห่งเดียว ที่ได้รับสัญญาต่อเรือจำนวนมากที่สุดจาก Emergency Fleet Corporation ซึ่งเป็นของรัฐบาลอเมริกัน G. Amsinck & Co., Inc of New York ซึ่ง AIC ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1917 Amsinck เป็นแหล่งเงินทุนใหญ่ ในการสนับสนุนการจารกรรมของเยอรมันในอเมริกา – Symington Forge Corporation บริษัทซึ่งได้รับสัญญาจากรัฐบาล ให้ทำการหล่อลูกปืนจำนวนมากที่สุด ดูเหมือน American International Corporation จะเป็นบริษัท ที่รับงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกันและต่างประเทศ เกี่ยวกับกิจกรรมสงคราม สรุปสั้นๆ ธุรกิจของบริษัทคือ การทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 เดินหน้านั่นแหละ ! American International Corporation มีกรรมการ 22 คน กรรมการไม่น้อยกว่า 10 คนมาจาก National City Bank ที่เหลือมาจาก Stillman, Rockefeller, Morgan, Kuhn Loeb, Du Ponts, Stone & Webster และจาก Federal Reserve Banks คงเห็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของ American International Corporation กันแล้ว คราวนี้มาดูอิทธิพลของบริษัทนี้ เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย เมื่อพวก Bolsheviks รุกคืบเข้าไปคุมในรัสเซียกลางได้ Robert Lansing รัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ได้ขอความเห็นจาก American International Corporation เกี่ยวกับนโยบาย ที่อเมริกาควรดำเนินกับรัฐบาลโซเวียตต่อไป ในวันที่ 16 มกราคม 1918 ประมาณ 2 เดือน หลังจากการยึด Petrograd และ Moscow และก่อนที่ Bolsheviks จะควบคุมส่วนอื่นๆได้ นาย William Franklin Sands เลขาธิการของ American International Corporation ได้ทำบันทึกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย ส่งให้กับรัฐมนตรี Lansing หนังสือปะหน้านำส่งบันทึกของ Sands ลงวันที่ 16 มกราคม 1918 เขียนไว้ดังนี้ : กราบเรียน พณฯ รัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศ วอซิงตัน ดี ซี กระผม ขอเรียนเสนอบันทึกที่แนบมานี้ ตามที่ท่านขอให้กระผม แสดงความคิดเห็นของกระผมเสนอท่าน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ในรัสเซีย กระผมได้แยกการอธิบายเป็น 3 ส่วน : ประวัติศาสตร์ สาเหตุที่มาของการปฏิวัติ อย่างย่อเท่าที่จะทำได้, ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบาย, และการบรรยายถึงกิจกรรมของคนอเมริกา ที่กำลังดำเนินการอยู่ในรัสเซีย..” แม้ว่าการควบคุมรัสเซียของพวก Bolsheviks จะยังไม่แน่นอน และอันที่จริงพวก Bolsheviks ก็ทำท่าจะไปไม่รอดเอาด้วยซ้ำในกลางปี 1918 แต่ Sands ก็เขียนไว้ในบันทึกของเขาตั้งแต่เดือนมกราคม 1918 ไปแล้วว่า อเมริกาแสดงความล่าช้าเกินไป ในการให้การรับรองของ Trotsky โดยเขาเน้นว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม (ที่เรายังไม่รับรอง Trotsky) บัดนี้ ก็น่าจะให้การรับรองได้แล้ว อย่างน้อยก็ในชัยชนะที่ Trotsky ทำให้เกิดขึ้น จากความเสียสละส่วนตัวเขา หลังจากนั้น Sands ก็ย้ำถึงสิ่งที่อเมริกาสามารถจะทำ เพื่อแก้ไขการล่าช้าเสียเวลานั้น ควบคู่ไปกับปฏิวัติของ Bolsheviks คือ “การปฏิวัติของเรา” และสรุปว่า “กระผมมีเหตุผลทุกประการที่น่าเชื่อว่า “แผนการบริหารรัสเซีย” จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา และได้รับการเห็นชอบจากมหาชนในอเมริกาอย่างท่วมท้น” จดหมายของนาย William F Sands ข้างต้น คงชัดเจน คงไม่ต้องอธิบาย หรือสรุปใดอีก William F Sands เป็นผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลในกระทรวงต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ถนนอาชีพของ Sands วิ่งไปมา ระหว่างกระทรวงต่างประเทศและวอลสตรีท ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เขารับตำแหน่ง ทางการฑูตหลายตำแหน่ง ในปี 1910 เขาเปลี่ยนจากอาชีพในกระทรวงต่างประเทศ มาร่วมธุรกิจธนาคารกับ James Speyer เพื่อไปช่วยเจรจาเงินกู้ให้กับ ประเทศ Ecuador หลังจากนั้น ก็ไปยึดกิจการน้ำตาลใน Puerto Rico อยู่ 2 ปี ในปี 1916 เขาอยู่ในรัสเซีย ในกิจกรรมกาชาด เพื่อปฏิบัติภาระกิจพิเศษ โดยทำคู่กับ Basil Miles และกลับมาร่วมงานกับ American International Corporation ในนิวยอร์ค ในต้นปี 1918 เป็นที่รู้กันว่า Sands เป็นคนที่ได้สัญญาลับพิเศษ จากฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้น Sands ยังเป็นผู้ถือเอกสารติดต่อ ลับพิเศษจากรัสเซีย มาให้กระทรวงต่างประเทศ แถมบางครั้งยังได้อ่านเอกสารก่อนกระทรวงต่างประเทศเสียอีก วันที่ 14 มกราคม 1918 เพียง 2 วันก่อนที่ Sands จะเขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับนโยบายที่ควรมีต่อพวก Bolsheviks รัฐมนตรีต่างประเทศ Lansing ได้โทรเลขโดยใส่รหัส Green Cipher ถึงสถานฑูตอเมริกันที่ Stockhlom ! “เอกสารราชการสำคัญมากสำหรับให้ Sands นำมาส่งที่กระทรวง ถูกส่งทิ้งไว้ที่สถานฑูต ได้มีการส่งต่อให้หรือไม่ Lansing” คำตอบจาก Morris ที่ Stockhlom : “เลขที่ 460 ของท่าน 14 มกราคม 5 โมงเย็น เอกสารดังกล่าวได้ส่งต่อไปให้กระทรวงทางถุงเมล์ เลขที่ 34 เมื่อธันวาคม 28” และมีเอกสารเป็นบันทึกลงชื่อ “BM” (Basil Miles คณะทำงานของ Sands) ” Mr. Philips พวกเขาไม่ได้ส่งเอกสารลับ ส่วนที่ 1 ให้แก่ Sands ที่เขานำมาที่ Stockholm จาก Petrogard” ทำไม เลขานุการบริหาร ของ AIC ถึงเป็นบุคคลสำคัญ ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศต้องคอยดูแลตามเอกสารให้ และทำไมเอกสารสำคัญของทางรัสเซีย จึงอยู่ในมือของบุคคลธรรมดาอย่างนาย Sands หลายเดือนต่อมา ในวันที่ 1 กรกฏาคม 1918 Sands เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีคลัง McAdoo แนะนำให้มีคณะกรรมาธิการ สำหรับ “ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย” เขาแนะนำว่า เนื่องจากเป็นการยาก สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่จะเข้าไปช่วยจัดหา อุปกรณ์ และเครื่องจักร ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่รัสเซีย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเรียกให้ฝ่ายเอกชน ที่มีความชำนาญ ด้านธุรกิจการเงิน การค้า และอุตสาหกรรมในอเมริกา มาเป็นผู้จัดหา อุปกรณ์และเครื่องจักร ภายใต้การดูแล ของคณะกรรมาธิการ หรือคณะกรรมการใด ที่ประธานาธิบดีจะเลือก หรือแต่งตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมนี้ ความหมายของ Sands คือ ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มธุรกิจ ไปจัดการ “ปล้น” รัสเซียให้เหลือแต่คราบ ตามที่ตกลงกันได้แล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 1071 Views 0 Reviews
More Results