• 🔄 Windows Update Orchestration Platform: ระบบอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว
    Microsoft เปิดตัว Windows Update Orchestration Platform ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ อัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว แทนที่จะต้องจัดการอัปเดตแยกกัน

    Windows Update ปกติจะอัปเดตเฉพาะ ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ แต่แอปของ Microsoft และแอปของบุคคลที่สามยังต้องจัดการอัปเดตแยกกัน

    แพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT สามารถจัดการอัปเดตแอปได้ง่ายขึ้น ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึง ลดต้นทุนการสนับสนุน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows Update Orchestration Platform ช่วยให้สามารถอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว
    - Microsoft เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT
    - ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการอัปเดตแยกกัน
    - ช่วยให้มีการแจ้งเตือนที่สม่ำเสมอผ่านระบบ Windows Update
    - นักพัฒนาสามารถใช้ Windows Runtime APIs และ PowerShell commands เพื่อจัดการอัปเดต

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วง Private Preview และต้องรอการเปิดตัวเต็มรูปแบบ
    - ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่
    - อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับองค์กรที่มีระบบอัปเดตเฉพาะทาง
    - ต้องรอดูว่าการรวมแอปทั้งหมดเข้ากับ Windows Update จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบหรือไม่

    Windows Update Orchestration Platform อาจช่วยให้ การจัดการอัปเดตแอปง่ายขึ้น และลดปัญหาด้านประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่

    https://wccftech.com/microsoft-debuts-windows-update-orchestration-platform-for-updating-all-apps/
    🔄 Windows Update Orchestration Platform: ระบบอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว Microsoft เปิดตัว Windows Update Orchestration Platform ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ อัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว แทนที่จะต้องจัดการอัปเดตแยกกัน Windows Update ปกติจะอัปเดตเฉพาะ ส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการ แต่แอปของ Microsoft และแอปของบุคคลที่สามยังต้องจัดการอัปเดตแยกกัน แพลตฟอร์มใหม่นี้ช่วยให้ นักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT สามารถจัดการอัปเดตแอปได้ง่ายขึ้น ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึง ลดต้นทุนการสนับสนุน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows Update Orchestration Platform ช่วยให้สามารถอัปเดตแอปทั้งหมดจากที่เดียว - Microsoft เปิดตัวแพลตฟอร์มนี้เพื่อช่วยนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ IT - ลดปัญหา CPU และแบนด์วิดท์ที่พุ่งสูงขึ้นจากการอัปเดตแยกกัน - ช่วยให้มีการแจ้งเตือนที่สม่ำเสมอผ่านระบบ Windows Update - นักพัฒนาสามารถใช้ Windows Runtime APIs และ PowerShell commands เพื่อจัดการอัปเดต ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แพลตฟอร์มนี้ยังอยู่ในช่วง Private Preview และต้องรอการเปิดตัวเต็มรูปแบบ - ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่ - อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานสำหรับองค์กรที่มีระบบอัปเดตเฉพาะทาง - ต้องรอดูว่าการรวมแอปทั้งหมดเข้ากับ Windows Update จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบหรือไม่ Windows Update Orchestration Platform อาจช่วยให้ การจัดการอัปเดตแอปง่ายขึ้น และลดปัญหาด้านประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามจะเข้าร่วมแพลตฟอร์มหรือไม่ https://wccftech.com/microsoft-debuts-windows-update-orchestration-platform-for-updating-all-apps/
    WCCFTECH.COM
    Microsoft Debuts Windows Update Orchestration Platform For Updating All Apps From A Single Place
    Microsoft has announced that it will now handle all the apps from the Windows Update Orchestration Platform in order to update them easily.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง
    Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s

    SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น

    นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB
    - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s
    - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1
    - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน
    - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

    SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่

    📢📢 ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !! 😅😅

    https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    🚀 ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่ 📢📢 ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !! 😅😅 https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาใน Yeston Radeon RX 9060 XT

    Yeston ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ซึ่งมีทั้งรุ่น 16 GB และ 8 GB โดยพบว่ามีความแตกต่างของ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา ระหว่างสองรุ่นนี้

    รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz ในขณะที่รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz

    นอกจากนี้ รุ่น Game Ace OC 16 GB ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Yeston มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Yeston เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA รุ่น 16 GB และ 8 GB
    - รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz
    - รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz
    - Game Ace OC 16 GB มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz
    - รุ่น White Game Ace มีเฉพาะตัวเลือก 8 GB และไม่มีการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพมากนัก
    - ข้อมูลที่เผยแพร่อาจเป็นตัวเลขชั่วคราวหรือ placeholder
    - ต้องติดตามว่ารุ่น Game Ace OC 8 GB จะเปิดตัวหรือไม่
    - ราคาของรุ่นต่าง ๆ อาจมีผลต่อความคุ้มค่าของการเลือกซื้อ

    การเปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ของ Yeston แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของสเปกภายในแบรนด์เดียวกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพจริงหรือไม่

    https://www.techpowerup.com/337504/clock-speed-disparities-noted-between-yestons-radeon-rx-9060-xt-gaea-16-gb-8-gb-skus
    🎮 ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาใน Yeston Radeon RX 9060 XT Yeston ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ซึ่งมีทั้งรุ่น 16 GB และ 8 GB โดยพบว่ามีความแตกต่างของ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา ระหว่างสองรุ่นนี้ รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz ในขณะที่รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz นอกจากนี้ รุ่น Game Ace OC 16 GB ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Yeston มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz ✅ ข้อมูลจากข่าว - Yeston เปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA รุ่น 16 GB และ 8 GB - รุ่น 16 GB มี Boost Clock 3230 MHz และ Game Clock 2620 MHz - รุ่น 8 GB ใช้ค่ามาตรฐานของ AMD ที่ Boost Clock 3130 MHz และ Game Clock 2530 MHz - Game Ace OC 16 GB มี Boost Clock สูงถึง 3320 MHz และ Game Clock 2780 MHz - รุ่น White Game Ace มีเฉพาะตัวเลือก 8 GB และไม่มีการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพมากนัก - ข้อมูลที่เผยแพร่อาจเป็นตัวเลขชั่วคราวหรือ placeholder - ต้องติดตามว่ารุ่น Game Ace OC 8 GB จะเปิดตัวหรือไม่ - ราคาของรุ่นต่าง ๆ อาจมีผลต่อความคุ้มค่าของการเลือกซื้อ การเปิดตัว Radeon RX 9060 XT GAEA ของ Yeston แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของสเปกภายในแบรนด์เดียวกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าความแตกต่างของความเร็วสัญญาณนาฬิกาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพจริงหรือไม่ https://www.techpowerup.com/337504/clock-speed-disparities-noted-between-yestons-radeon-rx-9060-xt-gaea-16-gb-8-gb-skus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Clock Speed Disparities Noted Between Yeston's Radeon RX 9060 XT GAEA 16 GB & 8 GB SKUs
    Earlier in the week, Yeston revealed a sci-fi/cyberpunk character-themed Radeon RX 9060 XT 16 GB Game Ace SKU. Eager followers of the Chinese brand were wondering whether additional custom designs—based on AMD's Navi 44 XT GPU—were in the pipeline, possibly ready in time for an official June 5 launc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💾 ราคาชิป DRAM พุ่งขึ้น 20% ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง

    ราคาชิป DRAM และ NAND เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 8GB DDR4 ที่ราคาขยับจาก $1.65 ในเดือนเมษายน เป็น $2.10 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 27%

    การเพิ่มขึ้นของราคาชิป DRAM ส่วนหนึ่งเกิดจาก การกักตุนสินค้าของบริษัทต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก ภาษีนำเข้าที่กำหนดโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งให้ ระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้

    นอกจากนี้ Samsung, Micron และ SK hynix ได้ประกาศ ยุติการผลิต DDR4 เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจาก ผู้ผลิตจีน เช่น CXMT และ Fujian Jinhua ที่สามารถขาย DDR4 ในราคาถูกกว่าหน่วยความจำที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากผู้ผลิตรายใหญ่

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ราคาชิป DRAM และ NAND เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 8GB DDR4 ที่เพิ่มขึ้น 27% ในเดือนพฤษภาคม
    - บริษัทต่าง ๆ กักตุนสินค้าก่อนที่ภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้
    - Samsung, Micron และ SK hynix ประกาศยุติการผลิต DDR4
    - CXMT และ Fujian Jinhua ขาย DDR4 ในราคาถูกกว่าผู้ผลิตรายใหญ่
    - การลดลงของอุปทาน DDR4 อาจทำให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นต่อไป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - หากภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ ราคาชิปอาจเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาสถัดไป
    - การยุติการผลิต DDR4 อาจทำให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนไปใช้ DDR5 ซึ่งมีราคาสูงกว่า
    - ตลาดหน่วยความจำยังคงมีความไม่แน่นอน และอาจส่งผลต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจีนจะสามารถรักษาราคาที่ต่ำได้หรือไม่ในระยะยาว

    การเพิ่มขึ้นของราคาชิป DRAM อาจส่งผลต่อ ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ยังใช้ DDR4 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะปรับกลยุทธ์อย่างไร เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากจีน

    ℹ️ℹ️ ลุงแนะนำว่าใครอยาก Upgrade RAM DDR4 ให้รีบทำในช่วงนี้เลยครับ เพราะข่าวนี้ และยังมีข่าว บ.จีน จะเลิกผลิต DDR4 ในกลางปีหน้าอีกด้วย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-have-jumped-by-20-percent-for-the-second-month-in-a-row-surging-demand-is-likely-due-to-stockpiling
    💾 ราคาชิป DRAM พุ่งขึ้น 20% ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง ราคาชิป DRAM และ NAND เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 8GB DDR4 ที่ราคาขยับจาก $1.65 ในเดือนเมษายน เป็น $2.10 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 27% การเพิ่มขึ้นของราคาชิป DRAM ส่วนหนึ่งเกิดจาก การกักตุนสินค้าของบริษัทต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก ภาษีนำเข้าที่กำหนดโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งให้ ระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ Samsung, Micron และ SK hynix ได้ประกาศ ยุติการผลิต DDR4 เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงจาก ผู้ผลิตจีน เช่น CXMT และ Fujian Jinhua ที่สามารถขาย DDR4 ในราคาถูกกว่าหน่วยความจำที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากผู้ผลิตรายใหญ่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - ราคาชิป DRAM และ NAND เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 8GB DDR4 ที่เพิ่มขึ้น 27% ในเดือนพฤษภาคม - บริษัทต่าง ๆ กักตุนสินค้าก่อนที่ภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ - Samsung, Micron และ SK hynix ประกาศยุติการผลิต DDR4 - CXMT และ Fujian Jinhua ขาย DDR4 ในราคาถูกกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ - การลดลงของอุปทาน DDR4 อาจทำให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - หากภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ ราคาชิปอาจเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาสถัดไป - การยุติการผลิต DDR4 อาจทำให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนไปใช้ DDR5 ซึ่งมีราคาสูงกว่า - ตลาดหน่วยความจำยังคงมีความไม่แน่นอน และอาจส่งผลต่อราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจีนจะสามารถรักษาราคาที่ต่ำได้หรือไม่ในระยะยาว การเพิ่มขึ้นของราคาชิป DRAM อาจส่งผลต่อ ราคาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ยังใช้ DDR4 อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะปรับกลยุทธ์อย่างไร เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากจีน ℹ️ℹ️ ลุงแนะนำว่าใครอยาก Upgrade RAM DDR4 ให้รีบทำในช่วงนี้เลยครับ เพราะข่าวนี้ และยังมีข่าว บ.จีน จะเลิกผลิต DDR4 ในกลางปีหน้าอีกด้วย https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-have-jumped-by-20-percent-for-the-second-month-in-a-row-surging-demand-is-likely-due-to-stockpiling
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Molex เปิดตัวโซลูชันสายเคเบิล PCIe 7.0 รองรับความเร็ว 128 GT/s
    Molex ได้เปิดตัว Genesis cable and connector solution สำหรับ PCIe 7.0 ที่สามารถรองรับความเร็ว 128 GT/s ที่ระยะ 1 เมตร โดยออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ PCB traces ในการส่งสัญญาณความเร็วสูง

    Genesis ใช้ SFF TA-1040 connector ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมได้อย่างกว้างขวางเมื่อ PCIe 7.0 เริ่มถูกนำมาใช้ โดย Molex ได้ทำการทดสอบ signal integrity และพบว่า loss อยู่ที่ -3.4 dB ที่ 250 มม. และ -9.2 dB ที่ 1000 มม. ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

    นอกจากนี้ Genesis ยังใช้ 29 AWG low-loss microwave coax cables เพื่อให้สามารถรักษาคุณภาพสัญญาณได้ดีแม้ในระยะทางที่ยาวขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Molex เปิดตัว Genesis cable สำหรับ PCIe 7.0 รองรับความเร็ว 128 GT/s ที่ระยะ 1 เมตร
    - ใช้ SFF TA-1040 connector เพื่อรองรับการใช้งานในอุตสาหกรรม
    - ทดสอบ signal integrity พบว่า loss อยู่ที่ -3.4 dB ที่ 250 มม. และ -9.2 dB ที่ 1000 มม.
    - ใช้ 29 AWG low-loss microwave coax cables เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ
    - Molex วางแผนเปิดตัว x8 connector ในเดือนพฤษภาคม 2025 และ x16 ในเดือนกรกฎาคม 2025

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - PCIe 7.0 ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการนำมาใช้งานจริง
    - Genesis cable อาจมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ PCB traces แบบเดิม
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นจะนำโซลูชันนี้ไปใช้หรือไม่
    - PCIe 7.0 อาจเริ่มถูกนำมาใช้ในศูนย์ข้อมูลช่วงปลายทศวรรษ 2020 หรือต้นทศวรรษ 2030

    Genesis cable ของ Molex อาจช่วยให้ PCIe 7.0 สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการ การส่งข้อมูลความเร็วสูงในระยะทางที่ไกลขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นจะนำโซลูชันนี้ไปใช้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/peripherals/cables-connectors/molex-demonstrates-pcie-7-0-cabling-solution-128-gt-s-at-1-meter
    🚀 Molex เปิดตัวโซลูชันสายเคเบิล PCIe 7.0 รองรับความเร็ว 128 GT/s Molex ได้เปิดตัว Genesis cable and connector solution สำหรับ PCIe 7.0 ที่สามารถรองรับความเร็ว 128 GT/s ที่ระยะ 1 เมตร โดยออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ PCB traces ในการส่งสัญญาณความเร็วสูง Genesis ใช้ SFF TA-1040 connector ซึ่งช่วยให้สามารถรองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมได้อย่างกว้างขวางเมื่อ PCIe 7.0 เริ่มถูกนำมาใช้ โดย Molex ได้ทำการทดสอบ signal integrity และพบว่า loss อยู่ที่ -3.4 dB ที่ 250 มม. และ -9.2 dB ที่ 1000 มม. ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ นอกจากนี้ Genesis ยังใช้ 29 AWG low-loss microwave coax cables เพื่อให้สามารถรักษาคุณภาพสัญญาณได้ดีแม้ในระยะทางที่ยาวขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Molex เปิดตัว Genesis cable สำหรับ PCIe 7.0 รองรับความเร็ว 128 GT/s ที่ระยะ 1 เมตร - ใช้ SFF TA-1040 connector เพื่อรองรับการใช้งานในอุตสาหกรรม - ทดสอบ signal integrity พบว่า loss อยู่ที่ -3.4 dB ที่ 250 มม. และ -9.2 dB ที่ 1000 มม. - ใช้ 29 AWG low-loss microwave coax cables เพื่อรักษาคุณภาพสัญญาณ - Molex วางแผนเปิดตัว x8 connector ในเดือนพฤษภาคม 2025 และ x16 ในเดือนกรกฎาคม 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - PCIe 7.0 ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการนำมาใช้งานจริง - Genesis cable อาจมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ PCB traces แบบเดิม - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นจะนำโซลูชันนี้ไปใช้หรือไม่ - PCIe 7.0 อาจเริ่มถูกนำมาใช้ในศูนย์ข้อมูลช่วงปลายทศวรรษ 2020 หรือต้นทศวรรษ 2030 Genesis cable ของ Molex อาจช่วยให้ PCIe 7.0 สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่ต้องการ การส่งข้อมูลความเร็วสูงในระยะทางที่ไกลขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นจะนำโซลูชันนี้ไปใช้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/peripherals/cables-connectors/molex-demonstrates-pcie-7-0-cabling-solution-128-gt-s-at-1-meter
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💾 SSD รูปแบบใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1,000,000 GB

    อุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย E2 SSD ซึ่งเป็นรูปแบบ SSD ที่สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) โดยถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่าง HDD ความจุสูง และ SSD ประสิทธิภาพสูง

    E2 SSD ได้รับการพัฒนาโดย Storage Networking Industry Association (SNIA) และ Open Compute Project (OCP) โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับ "warm data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการความหนาแน่นสูงและต้นทุนต่ำ

    อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์เดียวสามารถมีความจุสูงถึง 40 เพตะไบต์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - E2 SSD สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB)
    - พัฒนาโดย SNIA และ OCP เพื่อรองรับ "warm data"
    - ออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์
    - ใช้มาตรฐาน EDSFF และเชื่อมต่อผ่าน PCIe 6.0 x4 หรือดีกว่า
    - Micron เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของ E2 SSD

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - E2 SSD มีการใช้พลังงานสูงถึง 80 วัตต์ต่อไดรฟ์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาด้านความร้อน
    - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากอาจไม่สามารถใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศได้
    - ความเร็วของ E2 SSD อยู่ที่ 8-10 MB/s ต่อเทราไบต์ ซึ่งเน้นความจุมากกว่าประสิทธิภาพ
    - ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะนำไปใช้งานในเซิร์ฟเวอร์จริง

    E2 SSD อาจเป็นทางออกสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงในราคาที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่เหมาะสม และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/a-new-ssd-form-factor-can-house-a-staggering-1-000-000-gb-of-storage-e2-drives-could-store-11-000-4k-movies-with-80w-power-draw
    💾 SSD รูปแบบใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1,000,000 GB อุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูลกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย E2 SSD ซึ่งเป็นรูปแบบ SSD ที่สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) โดยถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่าง HDD ความจุสูง และ SSD ประสิทธิภาพสูง E2 SSD ได้รับการพัฒนาโดย Storage Networking Industry Association (SNIA) และ Open Compute Project (OCP) โดยมีเป้าหมายเพื่อรองรับ "warm data" ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการความหนาแน่นสูงและต้นทุนต่ำ อุปกรณ์นี้ถูกออกแบบมาสำหรับ เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เซิร์ฟเวอร์เดียวสามารถมีความจุสูงถึง 40 เพตะไบต์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - E2 SSD สามารถรองรับความจุสูงสุดถึง 1 เพตะไบต์ (1,000,000 GB) - พัฒนาโดย SNIA และ OCP เพื่อรองรับ "warm data" - ออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U และสามารถรองรับ 40 ไดรฟ์ในหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ - ใช้มาตรฐาน EDSFF และเชื่อมต่อผ่าน PCIe 6.0 x4 หรือดีกว่า - Micron เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักของ E2 SSD ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - E2 SSD มีการใช้พลังงานสูงถึง 80 วัตต์ต่อไดรฟ์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาด้านความร้อน - ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากอาจไม่สามารถใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศได้ - ความเร็วของ E2 SSD อยู่ที่ 8-10 MB/s ต่อเทราไบต์ ซึ่งเน้นความจุมากกว่าประสิทธิภาพ - ยังต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะนำไปใช้งานในเซิร์ฟเวอร์จริง E2 SSD อาจเป็นทางออกสำหรับ ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการความจุสูงในราคาที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาโซลูชันระบายความร้อนที่เหมาะสม และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/a-new-ssd-form-factor-can-house-a-staggering-1-000-000-gb-of-storage-e2-drives-could-store-11-000-4k-movies-with-80w-power-draw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🖥️ Mozilla ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU ใน Firefox
    Mozilla ได้ปล่อย Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกที่เกิดขึ้นกับ Nvidia GPU โดยเฉพาะใน ระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน

    ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเคยถูกจำกัดการใช้งานบน Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ ส่งผลให้เกิด อาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อมีการเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง

    ผู้ใช้บางรายพบวิธีแก้ไขชั่วคราวโดย ปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ใน Bugzilla แต่ Mozilla ตัดสินใจออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหาโดยตรง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Mozilla ออก Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นกับระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน
    - เกิดอาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง
    - Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา
    - สามารถอัปเดต Firefox ได้โดยไปที่เมนู Help > About Firefox

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไม Mozilla จึงปลดบล็อก DirectComposition
    - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ใช้ Intel หรือ AMD GPU หรือระบบที่มีหน้าจอเดียว
    - ต้องติดตามว่าแพตช์นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่
    - ผู้ใช้ที่ยังพบปัญหาอาจต้องปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ด้วยตนเอง

    การอัปเดตนี้ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ใช้ Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ อย่างไรก็ตาม Mozilla ยังต้องตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ Firefox ในระยะยาวหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/mozilla-fires-off-emergency-patch-to-fix-nvidia-gpu-artifacting-bugs-in-firefox
    🖥️ Mozilla ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU ใน Firefox Mozilla ได้ปล่อย Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกที่เกิดขึ้นกับ Nvidia GPU โดยเฉพาะใน ระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน ปัญหานี้เกิดขึ้นหลังจาก Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเคยถูกจำกัดการใช้งานบน Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ ส่งผลให้เกิด อาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อมีการเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง ผู้ใช้บางรายพบวิธีแก้ไขชั่วคราวโดย ปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ใน Bugzilla แต่ Mozilla ตัดสินใจออกแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหาโดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Mozilla ออก Firefox 139.0.1 เพื่อแก้ไขปัญหากราฟิกบน Nvidia GPU - ปัญหานี้เกิดขึ้นกับระบบที่ใช้หลายหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชแตกต่างกัน - เกิดอาการภาพแตก, glitch และ screen corruption เมื่อเล่นวิดีโอ 60 FPS บนหน้าจอรอง - Mozilla ปลดบล็อก DirectComposition ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา - สามารถอัปเดต Firefox ได้โดยไปที่เมนู Help > About Firefox ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไม Mozilla จึงปลดบล็อก DirectComposition - ปัญหานี้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ที่ใช้ Intel หรือ AMD GPU หรือระบบที่มีหน้าจอเดียว - ต้องติดตามว่าแพตช์นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ - ผู้ใช้ที่ยังพบปัญหาอาจต้องปิดการใช้งาน gfx.webrender.dcomp-video-hw-overlay-win ด้วยตนเอง การอัปเดตนี้ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ใช้ Nvidia GPU ที่ใช้หลายหน้าจอ อย่างไรก็ตาม Mozilla ยังต้องตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ Firefox ในระยะยาวหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/mozilla-fires-off-emergency-patch-to-fix-nvidia-gpu-artifacting-bugs-in-firefox
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Mozilla fires off emergency patch to fix Nvidia GPU artifacting bugs in Firefox
    Only affects multi-monitor setups with different refresh rates and Nvidia GPUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์
    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI

    Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026
    - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์
    - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม
    - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว
    - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร
    - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต

    Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง

    https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    🚀 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026 - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Dell, Nvidia, and Department of Energy join forces on "Doudna" supercomputer for science and AI
    The advanced system, to be housed at Lawrence Berkeley National Laboratory and scheduled to become operational in 2026, will be named "Doudna" in honor of Nobel laureate...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔍 Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น

    🔬 เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา
    HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027
    - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
    - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล
    - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB
    - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว
    - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว
    - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording)
    - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง

    🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล
    การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม

    https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    🔍 Western Digital เตรียมเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 Western Digital หนึ่งในผู้ผลิตฮาร์ดไดรฟ์รายใหญ่ของโลก ได้ประกาศแผนเปิดตัว ฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้เทคโนโลยี Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) ในปี 2027 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความจุของฮาร์ดไดรฟ์ให้สูงขึ้น 🔬 เทคโนโลยี HAMR และการพัฒนา HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะเปิดตัว HAMR อย่างเต็มรูปแบบ Western Digital จะยังคงพัฒนา ePMR 2 (energy-assisted Perpendicular Magnetic Recording) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมที่หัวเขียน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Western Digital จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ HAMR ในปี 2027 - HAMR ใช้ความร้อนเพื่อช่วยให้วัสดุบนจานแม่เหล็กสามารถบันทึกข้อมูลได้แม่นยำขึ้น - ก่อนเปิดตัว HAMR บริษัทจะยังคงพัฒนา ePMR 2 เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล - ฮาร์ดไดรฟ์ HAMR รุ่นแรกจะมีความจุ 36TB และ 40TB - Western Digital ตั้งเป้าผลิตฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - HAMR เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเปิดตัว - Seagate กำลังนำหน้า Western Digital ในการพัฒนา HAMR และเริ่มทดสอบผลิตภัณฑ์แล้ว - SMR (Shingled Magnetic Recording) อาจมีปัญหาด้านประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเมื่อเทียบกับ CMR (Conventional Magnetic Recording) - ต้องติดตามว่า Western Digital จะสามารถแข่งขันกับ Seagate ได้หรือไม่ในตลาดฮาร์ดไดรฟ์ความจุสูง 🚀 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูล การเปิดตัว HAMR ของ Western Digital อาจช่วยให้ตลาดฮาร์ดไดรฟ์สามารถแข่งขันกับ SSD ที่มีความเร็วสูงขึ้น ได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม https://www.techspot.com/news/108125-western-digital-plans-hamr-hard-disk-drives-materialize.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Western Digital's plans for HAMR hard disk drives will materialize in 2027
    At the recent Computex trade show in Taipei, Western Digital confirmed that its first hard drives based on Heat-Assisted Magnetic Recording (HAMR) technology are scheduled to debut...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💰 Meliuz เปิดขายหุ้นเพื่อซื้อ Bitcoin
    บริษัทฟินเทค Meliuz จากบราซิลได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin โดยมีการกำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025

    Meliuz เป็นบริษัทที่ให้บริการ แคชแบ็กและโซลูชันทางการเงิน ในบราซิล และการลงทุนใน Bitcoin ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มของบริษัทฟินเทคที่หันมาใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงิน

    นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Meliuz ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin
    - กำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025
    - การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก
    - มูลค่าการเสนอขายหุ้นเริ่มต้นอยู่ที่ 150 ล้านเรียลบราซิล (ประมาณ 26.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
    - อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 5.6704 เรียลบราซิล

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การลงทุนใน Bitcoin มีความผันผวนสูง และอาจส่งผลต่อมูลค่าของหุ้น Meliuz
    - ต้องติดตามว่าการเสนอขายหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากน้อยเพียงใด
    - ตลาดคริปโตยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบในหลายประเทศ
    - Meliuz อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล

    การที่ Meliuz หันมาลงทุนใน Bitcoin อาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทฟินเทคในละตินอเมริกากำลังให้ความสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/brazil039s-meliuz-launches-share-offering-for-bitcoin-purchase
    💰 Meliuz เปิดขายหุ้นเพื่อซื้อ Bitcoin บริษัทฟินเทค Meliuz จากบราซิลได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin โดยมีการกำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 Meliuz เป็นบริษัทที่ให้บริการ แคชแบ็กและโซลูชันทางการเงิน ในบราซิล และการลงทุนใน Bitcoin ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มของบริษัทฟินเทคที่หันมาใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเงิน นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก ซึ่งหมายความว่าบริษัทอาจสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Meliuz ยื่นขอเสนอขายหุ้นเพื่อระดมทุนสำหรับการซื้อ Bitcoin - กำหนดราคาหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2025 - การเสนอขายหุ้นครั้งนี้อาจขยายขนาดได้ถึง 200% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในตอนแรก - มูลค่าการเสนอขายหุ้นเริ่มต้นอยู่ที่ 150 ล้านเรียลบราซิล (ประมาณ 26.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) - อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 5.6704 เรียลบราซิล ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การลงทุนใน Bitcoin มีความผันผวนสูง และอาจส่งผลต่อมูลค่าของหุ้น Meliuz - ต้องติดตามว่าการเสนอขายหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากน้อยเพียงใด - ตลาดคริปโตยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบในหลายประเทศ - Meliuz อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล การที่ Meliuz หันมาลงทุนใน Bitcoin อาจเป็นสัญญาณว่า บริษัทฟินเทคในละตินอเมริกากำลังให้ความสนใจสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/brazil039s-meliuz-launches-share-offering-for-bitcoin-purchase
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Brazil's Meliuz launches share offering for bitcoin purchase
    SAO PAULO (Reuters) - Brazilian fintech Meliuz said it has filed for a primary offering of shares with the aim of raising funds for the acquisition of bitcoin, with pricing scheduled for June 12.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔍 อนาคตของการค้นหาข้อมูลท่ามกลางการเติบโตของ AI
    ผู้พิพากษา Amit Mehta ตั้งคำถามต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร ในขณะที่คดีต่อต้านการผูกขาดของ Google กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

    Mehta กำลังพิจารณาว่า AI ควรถือเป็นเทคโนโลยีที่แข่งขันกับการค้นหาข้อมูล หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดย DOJ ต้องการให้ Google หยุดการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น

    นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - ผู้พิพากษา Mehta ตั้งคำถามว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร
    - DOJ ต้องการให้ Google หยุดจ่ายเงินให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น
    - Google ได้ยกเลิกข้อตกลงพิเศษกับ Samsung และผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปค้นหาของคู่แข่งได้
    - DOJ เสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งแข่งขันได้
    - OpenAI สนใจซื้อ Chrome หาก Google ถูกบังคับให้ขาย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การบังคับให้ Google แบ่งปันข้อมูลการค้นหาอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
    - AI อาจไม่สามารถแทนที่เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด
    - Google อาจใช้ข้อได้เปรียบจากการผูกขาดการค้นหาเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง เช่น Gemini
    - ต้องติดตามว่าผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไรในเดือนสิงหาคม

    คดีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดการค้นหาข้อมูล หาก DOJ ประสบความสำเร็จ Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ และเปิดโอกาสให้บริษัท AI เช่น OpenAI และ Perplexity เข้ามาแข่งขัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/google-and-doj-to-make-final-push-in-us-search-antitrust-case
    🔍 อนาคตของการค้นหาข้อมูลท่ามกลางการเติบโตของ AI ผู้พิพากษา Amit Mehta ตั้งคำถามต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร ในขณะที่คดีต่อต้านการผูกขาดของ Google กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย Mehta กำลังพิจารณาว่า AI ควรถือเป็นเทคโนโลยีที่แข่งขันกับการค้นหาข้อมูล หรือเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดย DOJ ต้องการให้ Google หยุดการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น นอกจากนี้ DOJ ยังเสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม ✅ ข้อมูลจากข่าว - ผู้พิพากษา Mehta ตั้งคำถามว่า AI จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดการค้นหาข้อมูลอย่างไร - DOJ ต้องการให้ Google หยุดจ่ายเงินให้ Apple และบริษัทอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น - Google ได้ยกเลิกข้อตกลงพิเศษกับ Samsung และผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปค้นหาของคู่แข่งได้ - DOJ เสนอให้ Google ขาย Chrome และแบ่งปันข้อมูลการค้นหา เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งแข่งขันได้ - OpenAI สนใจซื้อ Chrome หาก Google ถูกบังคับให้ขาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การบังคับให้ Google แบ่งปันข้อมูลการค้นหาอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ - AI อาจไม่สามารถแทนที่เครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด - Google อาจใช้ข้อได้เปรียบจากการผูกขาดการค้นหาเพื่อพัฒนา AI ของตนเอง เช่น Gemini - ต้องติดตามว่าผู้พิพากษาจะตัดสินอย่างไรในเดือนสิงหาคม คดีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดการค้นหาข้อมูล หาก DOJ ประสบความสำเร็จ Google อาจต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ และเปิดโอกาสให้บริษัท AI เช่น OpenAI และ Perplexity เข้ามาแข่งขัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/30/google-and-doj-to-make-final-push-in-us-search-antitrust-case
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Judge in Google case questions future of search amid rise of AI
    WASHINGTON (Reuters) -A judge asked the U.S. Department of Justice on Friday how much room there would be for new search engines to emerge given the rise of artificial intelligence, as antitrust enforcers press for Alphabet's Google to take dramatic measures to restore competition in online search.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔐 การอัปเดตด้านความปลอดภัยของ Windows 11 และ Server 2025
    Microsoft ได้เปิดตัว Windows 11 24H2 และ Windows Server 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น Recall และ Windows Hotpatching ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังสำหรับองค์กร

    Recall เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้อนดูการทำงานบนเครื่องได้ผ่าน AI และ Optical Character Recognition (OCR) อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น "ฝันร้ายด้านความเป็นส่วนตัว" ทำให้ Microsoft ต้องปรับให้เป็น ระบบ opt-in

    Windows Hotpatching เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ช่วยให้สามารถติดตั้งอัปเดตด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง ซึ่งช่วยลดเวลาหยุดทำงานของระบบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows 11 24H2 และ Server 2025 มาพร้อมกับฟีเจอร์ Recall และ Windows Hotpatching
    - Recall ใช้ AI และ OCR เพื่อสร้างฐานข้อมูลกิจกรรมของผู้ใช้
    - Windows Hotpatching ช่วยให้สามารถติดตั้งอัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง
    - Microsoft แนะนำให้ตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การบล็อก NTLM และการใช้ Entra ID
    - Server 2025 มีการปรับปรุงนโยบาย Local Administrator Password Solution (LAPS)

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Recall เคยถูกวิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัว และต้องมีการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม
    - Windows Hotpatching อาจไม่รองรับทุกอัปเดต และต้องมีการตรวจสอบก่อนใช้งาน
    - องค์กรควรพิจารณาการตั้งค่าความปลอดภัย เช่น การบล็อก NTLM เพื่อป้องกันการโจมตี
    - ต้องติดตามการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อดูว่าฟีเจอร์ใหม่มีผลกระทบต่อระบบอย่างไร

    Windows 11 24H2 และ Server 2025 นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังที่องค์กรต้องพิจารณา เช่น การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ Recall และการตรวจสอบความเข้ากันได้ของ Windows Hotpatching

    https://www.csoonline.com/article/3996290/securing-windows-11-and-server-2025-what-cisos-should-know-about-the-latest-updates.html
    🔐 การอัปเดตด้านความปลอดภัยของ Windows 11 และ Server 2025 Microsoft ได้เปิดตัว Windows 11 24H2 และ Windows Server 2025 พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น Recall และ Windows Hotpatching ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังสำหรับองค์กร Recall เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้อนดูการทำงานบนเครื่องได้ผ่าน AI และ Optical Character Recognition (OCR) อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น "ฝันร้ายด้านความเป็นส่วนตัว" ทำให้ Microsoft ต้องปรับให้เป็น ระบบ opt-in Windows Hotpatching เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ช่วยให้สามารถติดตั้งอัปเดตด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง ซึ่งช่วยลดเวลาหยุดทำงานของระบบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows 11 24H2 และ Server 2025 มาพร้อมกับฟีเจอร์ Recall และ Windows Hotpatching - Recall ใช้ AI และ OCR เพื่อสร้างฐานข้อมูลกิจกรรมของผู้ใช้ - Windows Hotpatching ช่วยให้สามารถติดตั้งอัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตเครื่อง - Microsoft แนะนำให้ตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การบล็อก NTLM และการใช้ Entra ID - Server 2025 มีการปรับปรุงนโยบาย Local Administrator Password Solution (LAPS) ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Recall เคยถูกวิจารณ์เรื่องความเป็นส่วนตัว และต้องมีการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม - Windows Hotpatching อาจไม่รองรับทุกอัปเดต และต้องมีการตรวจสอบก่อนใช้งาน - องค์กรควรพิจารณาการตั้งค่าความปลอดภัย เช่น การบล็อก NTLM เพื่อป้องกันการโจมตี - ต้องติดตามการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อดูว่าฟีเจอร์ใหม่มีผลกระทบต่อระบบอย่างไร Windows 11 24H2 และ Server 2025 นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังที่องค์กรต้องพิจารณา เช่น การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของ Recall และการตรวจสอบความเข้ากันได้ของ Windows Hotpatching https://www.csoonline.com/article/3996290/securing-windows-11-and-server-2025-what-cisos-should-know-about-the-latest-updates.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Securing Windows 11 and Server 2025: What CISOs should know about the latest updates
    Microsoft’s latest rollouts to Windows 11 24H2 and Windows Server 2025 include the arrival of Recall and hotpatching. Here are the security settings and recommendations to note.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔍 ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress อาจทำให้กว่า 100,000 เว็บไซต์ตกอยู่ในความเสี่ยง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า TI WooCommerce Wishlist ซึ่งเป็นปลั๊กอินยอดนิยมสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์สามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ ทำให้เว็บไซต์อาจถูกเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์

    🕵️‍♂️ รายละเอียดของช่องโหว่
    ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 (critical) ซึ่งหมายความว่าเป็นช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงสูงสุด

    ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เว็บไซต์ e-commerce ที่มีการทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TI WooCommerce Wishlist มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์อันตรายได้
    - ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10
    - ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์
    - เว็บไซต์ที่มี WC Fields Factory plugin ติดตั้งอยู่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
    - เวอร์ชันล่าสุดของปลั๊กอินคือ 2.9.2 และยังไม่มีแพตช์แก้ไข

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ควรปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน TI WooCommerce Wishlist จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่
    - เว็บไซต์ e-commerce ที่ใช้ปลั๊กอินนี้อาจถูกแฮกและข้อมูลลูกค้าถูกขโมย
    - WC Fields Factory plugin อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีได้ง่ายขึ้น
    - ต้องติดตามการอัปเดตจากนักพัฒนาปลั๊กอินเพื่อดูว่ามีแพตช์แก้ไขออกมาเมื่อใด

    🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม e-commerce
    ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของการตรวจสอบความปลอดภัยของปลั๊กอิน WordPress โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน

    หากคุณใช้ TI WooCommerce Wishlist ควร ปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/critical-security-flaw-could-leave-over-100-000-wordpress-sites-at-risk
    🔍 ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress อาจทำให้กว่า 100,000 เว็บไซต์ตกอยู่ในความเสี่ยง นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่า TI WooCommerce Wishlist ซึ่งเป็นปลั๊กอินยอดนิยมสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์สามารถอัปโหลดไฟล์อันตรายได้โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ ทำให้เว็บไซต์อาจถูกเข้าควบคุมโดยสมบูรณ์ 🕵️‍♂️ รายละเอียดของช่องโหว่ ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 (critical) ซึ่งหมายความว่าเป็นช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เว็บไซต์ e-commerce ที่มีการทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - TI WooCommerce Wishlist มีช่องโหว่ที่เปิดให้แฮกเกอร์อัปโหลดไฟล์อันตรายได้ - ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-47577 และได้รับคะแนนความรุนแรง 10/10 - ปลั๊กอินนี้มีการติดตั้งใช้งานมากกว่า 100,000 เว็บไซต์ - เว็บไซต์ที่มี WC Fields Factory plugin ติดตั้งอยู่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น - เวอร์ชันล่าสุดของปลั๊กอินคือ 2.9.2 และยังไม่มีแพตช์แก้ไข ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ควรปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน TI WooCommerce Wishlist จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ - เว็บไซต์ e-commerce ที่ใช้ปลั๊กอินนี้อาจถูกแฮกและข้อมูลลูกค้าถูกขโมย - WC Fields Factory plugin อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีได้ง่ายขึ้น - ต้องติดตามการอัปเดตจากนักพัฒนาปลั๊กอินเพื่อดูว่ามีแพตช์แก้ไขออกมาเมื่อใด 🔎 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม e-commerce ช่องโหว่นี้แสดงให้เห็นถึง ความสำคัญของการตรวจสอบความปลอดภัยของปลั๊กอิน WordPress โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน หากคุณใช้ TI WooCommerce Wishlist ควร ปิดการใช้งานและลบปลั๊กอิน จนกว่าจะแก้ไขช่องโหว่ เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/critical-security-flaw-could-leave-over-100-000-wordpress-sites-at-risk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่

    High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class)
    - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2
    - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23%
    - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029
    - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี
    - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV
    - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต
    - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    TSMC ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิตชิป 1.4nm-class โดยบริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือลิเธียกราฟีรุ่นใหม่ High-NA EUV เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การผลิตชิปมีความแม่นยำมากขึ้น โดย Intel เป็นบริษัทที่ผลักดันการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยลดจำนวนขั้นตอนการผลิต อย่างไรก็ตาม TSMC เชื่อว่าการพัฒนาโครงสร้างทรานซิสเตอร์แบบ nanosheet gate-all-around และ standard cell architecture สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ✅ ข้อมูลจากข่าว - TSMC ไม่ใช้ High-NA EUV สำหรับกระบวนการผลิต A16 (1.6nm-class) และ A14 (1.4nm-class) - A14 ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% และลดการใช้พลังงานลง 25-30% เมื่อเทียบกับ N2 - A14 เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ขึ้น 20-23% - A14 จะเริ่มผลิตในปี 2028 และจะมีรุ่นปรับปรุงในปี 2029 - TSMC อาจใช้ High-NA EUV ในอนาคต แต่ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในตอนนี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Intel กำลังใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยี - TSMC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ เพื่อให้สามารถผลิตชิป 1.4nm-class ได้โดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV - การใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน อาจส่งผลต่อการแข่งขันระหว่าง Intel และ TSMC ในอนาคต - ตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีการแข่งขันสูง และต้องจับตาดูว่า TSMC จะสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปโดยไม่ต้องใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจาก Intel อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยังคงเข้มข้น และต้องติดตามว่ากลยุทธ์นี้จะช่วยให้ TSMC รักษาความเป็นผู้นำได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reiterates-it-doesnt-need-high-na-euv-for-1-4nm-class-process-technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย

    แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด
    - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets
    - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม
    - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps
    - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา
    - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต
    - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง

    Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป

    https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    Microsoft กำลังพัฒนา Windows Update orchestration platform ซึ่งจะช่วยให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมด รวมถึงแอปพลิเคชันและไดรเวอร์ สามารถจัดการได้ผ่าน Windows Update โดยตรง แทนที่จะต้องใช้ตัวอัปเดตแยกต่างหากจากผู้พัฒนาแต่ละราย แนวคิดนี้อาจช่วยลดปัญหาการแจ้งเตือนที่ซ้ำซ้อนและการใช้ทรัพยากรระบบที่มากเกินไปจากตัวอัปเดตของแต่ละแอป นอกจากนี้ Microsoft ยังเน้นการอัปเดตที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อ Wi-Fi และใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว Windows Update orchestration platform เพื่อรวมการอัปเดตทั้งหมด - นักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเป็น update provider และใช้ WinRT APIs หรือ PowerShell cmdlets - ระบบจะตรวจสอบเวอร์ชันใหม่และติดตั้งเมื่ออุปกรณ์อยู่ในสถานะที่เหมาะสม - รองรับ MSIX/APPX packages และบางส่วนของ Win32 apps - แอปที่เข้าร่วมจะปรากฏใน Windows Update history และสามารถใช้ toast notifications ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - นักพัฒนาต้องปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา - ผู้ใช้บางรายอาจกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว และการควบคุมการอัปเดต - การรวมทุกอย่างไว้ใน Windows Update อาจทำให้เกิดปัญหาหากระบบมีข้อผิดพลาด - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อ ธุรกิจของผู้พัฒนาแอปที่เคยใช้ตัวอัปเดตของตนเอง Microsoft หวังว่าการรวมระบบอัปเดตทั้งหมดไว้ใน Windows Update จะช่วยให้ผู้ใช้และองค์กรสามารถจัดการซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีข้อกังวลที่ต้องติดตามต่อไป https://www.techspot.com/news/108088-windows-update-could-soon-handle-all-apps-drivers.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Windows Update could soon handle all apps and drivers, not just the OS
    Angie Chen, a product manager at Microsoft, writes that the updates across the Windows ecosystem can feel like a fragmented experience, which has led to Microsoft developing...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Opera ได้เปิดตัว Neon ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่มีความสามารถ AI agentic ซึ่งหมายถึงสามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้ เช่น การช็อปปิ้ง, กรอกแบบฟอร์ม, เขียนโค้ด, ค้นคว้า และอื่น ๆ แม้ในขณะที่ ออฟไลน์

    Neon ใช้ AI engine ที่ทำงานร่วมกับ cloud-based AI agents ทำให้สามารถดำเนินงานหลายอย่างได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ Opera ยังระบุว่า Neon จะเป็นบริการแบบพรีเมียม ซึ่งต้องสมัครสมาชิก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Neon เป็นเบราว์เซอร์ AI agentic ตัวแรก ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้
    - มี 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ Chat, Do และ Make
    - Make สามารถสร้างเว็บไซต์, เกม, โค้ด และอื่น ๆ จาก ข้อความธรรมดา
    - Do สามารถดำเนินงานอัตโนมัติ เช่น จองตั๋ว, ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน
    - Opera ยืนยันว่า AI ทำงานในเบราว์เซอร์โดยตรง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้
    - Neon จะเป็นบริการแบบพรีเมียม แต่ยังไม่เปิดเผยราคา

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจสร้างข้อมูลผิดพลาด ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ใช้หลายคน
    - แม้ Opera จะยืนยันเรื่องความปลอดภัย แต่ผู้ใช้บางรายอาจยังไม่มั่นใจ
    - การแข่งขันในตลาด AI agents กำลังเพิ่มขึ้น หลายบริษัทกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายกัน
    - Neon ยังไม่มีวันเปิดตัวที่แน่นอน และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดให้ใช้งาน

    Neon เป็นก้าวใหม่ของ Opera ในการนำ AI agentic มาสู่เบราว์เซอร์ ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องความแม่นยำและความปลอดภัยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม

    https://www.techspot.com/news/108087-opera-neon-ai-agentic-browser-promises-do-everything.html
    Opera ได้เปิดตัว Neon ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่มีความสามารถ AI agentic ซึ่งหมายถึงสามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้ เช่น การช็อปปิ้ง, กรอกแบบฟอร์ม, เขียนโค้ด, ค้นคว้า และอื่น ๆ แม้ในขณะที่ ออฟไลน์ Neon ใช้ AI engine ที่ทำงานร่วมกับ cloud-based AI agents ทำให้สามารถดำเนินงานหลายอย่างได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ Opera ยังระบุว่า Neon จะเป็นบริการแบบพรีเมียม ซึ่งต้องสมัครสมาชิก ✅ ข้อมูลจากข่าว - Neon เป็นเบราว์เซอร์ AI agentic ตัวแรก ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ - มี 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ Chat, Do และ Make - Make สามารถสร้างเว็บไซต์, เกม, โค้ด และอื่น ๆ จาก ข้อความธรรมดา - Do สามารถดำเนินงานอัตโนมัติ เช่น จองตั๋ว, ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน - Opera ยืนยันว่า AI ทำงานในเบราว์เซอร์โดยตรง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ - Neon จะเป็นบริการแบบพรีเมียม แต่ยังไม่เปิดเผยราคา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจสร้างข้อมูลผิดพลาด ซึ่งเป็นข้อกังวลของผู้ใช้หลายคน - แม้ Opera จะยืนยันเรื่องความปลอดภัย แต่ผู้ใช้บางรายอาจยังไม่มั่นใจ - การแข่งขันในตลาด AI agents กำลังเพิ่มขึ้น หลายบริษัทกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายกัน - Neon ยังไม่มีวันเปิดตัวที่แน่นอน และอาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดให้ใช้งาน Neon เป็นก้าวใหม่ของ Opera ในการนำ AI agentic มาสู่เบราว์เซอร์ ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องความแม่นยำและความปลอดภัยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม https://www.techspot.com/news/108087-opera-neon-ai-agentic-browser-promises-do-everything.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Opera's Neon AI agentic browser promises to do everything – even write code while you're offline
    Opera Neon – the company used the name for a different browser in 2017 that didn't gain much traction – is designed to understand your intent, assist...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • M.2 vs SSD: ความแตกต่างที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้งาน

    หลายคนอาจสับสนระหว่าง M.2 กับ SSD แต่จริง ๆ แล้ว M.2 เป็นเพียงรูปแบบของ SSD ไม่ใช่เทคโนโลยีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดย M.2 SSD มีขนาดเล็กและเชื่อมต่อโดยตรงกับเมนบอร์ด ในขณะที่ SSD แบบ 2.5 นิ้วใช้สาย SATA ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

    🔍 ข้อแตกต่างระหว่าง M.2 และ SSD แบบ 2.5 นิ้ว
    ✅ M.2 เป็นรูปแบบของ SSD ที่มีขนาดเล็กและติดตั้งโดยตรงบนเมนบอร์ด
    - ไม่ต้องใช้สาย SATA และสายไฟเพิ่มเติม

    ✅ M.2 SSD ที่ใช้ NVMe มีความเร็วสูงกว่ารุ่นที่ใช้ SATA
    - PCIe Gen5 NVMe SSD สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 14,000 MB/s
    - SATA SSD มีความเร็วสูงสุดที่ 550 MB/s

    ✅ M.2 SSD เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น เกมมิ่งและงานตัดต่อวิดีโอ
    - ใช้พื้นที่น้อยและมีความเร็วสูง

    ✅ SSD แบบ 2.5 นิ้วยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดระบบเก่า
    - เหมาะสำหรับ คอมพิวเตอร์ที่ไม่มีช่อง M.2

    ✅ เมนบอร์ดรุ่นใหม่รองรับ M.2 มากขึ้น ทำให้ SATA SSD เริ่มลดความนิยมลง
    - ปัจจุบัน เมนบอร์ดส่วนใหญ่มีช่อง M.2 อย่างน้อย 2-4 ช่อง

    ⚠️ ข้อควรระวังและผลกระทบที่ต้องติดตาม
    ‼️ M.2 NVMe SSD อาจมีความร้อนสูง โดยเฉพาะรุ่น Gen4 และ Gen5
    - ควร ใช้ฮีตซิงค์เพื่อช่วยระบายความร้อน

    ‼️ SSD แบบ 2.5 นิ้วมีราคาต่อ GB ถูกกว่า M.2 NVMe SSD
    - เหมาะสำหรับ ผู้ใช้ที่ต้องการความจุสูงในราคาประหยัด

    https://computercity.com/hardware/storage/m-2-vs-ssd
    M.2 vs SSD: ความแตกต่างที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้งาน หลายคนอาจสับสนระหว่าง M.2 กับ SSD แต่จริง ๆ แล้ว M.2 เป็นเพียงรูปแบบของ SSD ไม่ใช่เทคโนโลยีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดย M.2 SSD มีขนาดเล็กและเชื่อมต่อโดยตรงกับเมนบอร์ด ในขณะที่ SSD แบบ 2.5 นิ้วใช้สาย SATA ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน 🔍 ข้อแตกต่างระหว่าง M.2 และ SSD แบบ 2.5 นิ้ว ✅ M.2 เป็นรูปแบบของ SSD ที่มีขนาดเล็กและติดตั้งโดยตรงบนเมนบอร์ด - ไม่ต้องใช้สาย SATA และสายไฟเพิ่มเติม ✅ M.2 SSD ที่ใช้ NVMe มีความเร็วสูงกว่ารุ่นที่ใช้ SATA - PCIe Gen5 NVMe SSD สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 14,000 MB/s - SATA SSD มีความเร็วสูงสุดที่ 550 MB/s ✅ M.2 SSD เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น เกมมิ่งและงานตัดต่อวิดีโอ - ใช้พื้นที่น้อยและมีความเร็วสูง ✅ SSD แบบ 2.5 นิ้วยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดระบบเก่า - เหมาะสำหรับ คอมพิวเตอร์ที่ไม่มีช่อง M.2 ✅ เมนบอร์ดรุ่นใหม่รองรับ M.2 มากขึ้น ทำให้ SATA SSD เริ่มลดความนิยมลง - ปัจจุบัน เมนบอร์ดส่วนใหญ่มีช่อง M.2 อย่างน้อย 2-4 ช่อง ⚠️ ข้อควรระวังและผลกระทบที่ต้องติดตาม ‼️ M.2 NVMe SSD อาจมีความร้อนสูง โดยเฉพาะรุ่น Gen4 และ Gen5 - ควร ใช้ฮีตซิงค์เพื่อช่วยระบายความร้อน ‼️ SSD แบบ 2.5 นิ้วมีราคาต่อ GB ถูกกว่า M.2 NVMe SSD - เหมาะสำหรับ ผู้ใช้ที่ต้องการความจุสูงในราคาประหยัด https://computercity.com/hardware/storage/m-2-vs-ssd
    COMPUTERCITY.COM
    M.2 vs SSD
    Confused about M.2 drives versus SSDs? Many computer users struggle with this terminology when upgrading storage. M.2 is actually a form factor (physical
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • GlobalWafers ลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ หลังเปิดโรงงานในเท็กซัส

    GlobalWafers บริษัทผู้ผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนจากไต้หวัน ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ หลังจากเปิดโรงงานใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายการผลิตชิปในประเทศ

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนของ GlobalWafers
    ✅ GlobalWafers เปิดโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนใน Sherman, Texas
    - โรงงานนี้ จะผลิตแผ่นเวเฟอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    ✅ บริษัทประกาศลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิตในสหรัฐฯ
    - เป็นการ สนับสนุนการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า

    ✅ โรงงานในเท็กซัสสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่ง และมีพนักงานก่อสร้างกว่า 1,000 คน
    - คาดว่า จะเพิ่มตำแหน่งงานอีก 650 ตำแหน่งภายในปี 2028

    ✅ TSMC และ Nvidia ก็มีแผนลงทุนในตลาดชิปของสหรัฐฯ เช่นกัน
    - TSMC ประกาศลงทุน 165 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ
    - Nvidia ยืนยันว่าจะผลิตชิป Blackwell ในสหรัฐฯ

    ✅ การลงทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภาษีการนำเข้าฮาร์ดแวร์
    - เป็นผลจาก นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย

    ‼️ แม้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามว่าการผลิตชิปในสหรัฐฯ จะสามารถแข่งขันกับเอเชียได้หรือไม่
    - อาจต้องใช้ เวลาหลายปีในการสร้างซัพพลายเชนที่มั่นคง

    ‼️ การลงทุนของ GlobalWafers อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
    - ต้องติดตามว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษทางภาษีหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalwafers-to-invest-usd4-billion-into-u-s-chip-manufacturing-after-opening-texas-plant
    GlobalWafers ลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ หลังเปิดโรงงานในเท็กซัส GlobalWafers บริษัทผู้ผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนจากไต้หวัน ประกาศลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ หลังจากเปิดโรงงานใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายการผลิตชิปในประเทศ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนของ GlobalWafers ✅ GlobalWafers เปิดโรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนใน Sherman, Texas - โรงงานนี้ จะผลิตแผ่นเวเฟอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ✅ บริษัทประกาศลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิตในสหรัฐฯ - เป็นการ สนับสนุนการผลิตชิปภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า ✅ โรงงานในเท็กซัสสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่ง และมีพนักงานก่อสร้างกว่า 1,000 คน - คาดว่า จะเพิ่มตำแหน่งงานอีก 650 ตำแหน่งภายในปี 2028 ✅ TSMC และ Nvidia ก็มีแผนลงทุนในตลาดชิปของสหรัฐฯ เช่นกัน - TSMC ประกาศลงทุน 165 พันล้านดอลลาร์ในโรงงานและศูนย์วิจัยในสหรัฐฯ - Nvidia ยืนยันว่าจะผลิตชิป Blackwell ในสหรัฐฯ ✅ การลงทุนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภาษีการนำเข้าฮาร์ดแวร์ - เป็นผลจาก นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาการผลิตจากเอเชีย ‼️ แม้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามว่าการผลิตชิปในสหรัฐฯ จะสามารถแข่งขันกับเอเชียได้หรือไม่ - อาจต้องใช้ เวลาหลายปีในการสร้างซัพพลายเชนที่มั่นคง ‼️ การลงทุนของ GlobalWafers อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม - ต้องติดตามว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้สิทธิพิเศษทางภาษีหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalwafers-to-invest-usd4-billion-into-u-s-chip-manufacturing-after-opening-texas-plant
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    GlobalWafers to invest $4 billion into U.S. chip manufacturing after opening Texas plant
    GlobalWafers is expanding its U.S. presence in the midst of tariff uncertainty.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • Superwood: วัสดุแห่งอนาคตที่อาจแทนที่เหล็กและคอนกรีต

    InventWood บริษัทสตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ กำลังเตรียมเปิดตัววัสดุใหม่ที่เรียกว่า "Superwood" ซึ่งเป็นไม้ที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึง 10 เท่า แต่ยังคงมีน้ำหนักเบาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Superwood
    ✅ Superwood มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึง 10 เท่า แต่เบากว่า
    - ใช้เทคนิค การปรับโครงสร้างโมเลกุลของไม้เพื่อเพิ่มความแข็งแรง

    ✅ กระบวนการผลิตใช้สารเคมีจากอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเสริมความแข็งแรงของเซลลูโลส
    - ทำให้ ไม้มีความทนทานต่อไฟ, น้ำ, การผุกร่อน และแมลง

    ✅ InventWood ได้รับเงินทุนกว่า 50 ล้านดอลลาร์ และเตรียมเปิดโรงงานผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2025
    - โรงงานแห่งแรกจะตั้งอยู่ที่ เมือง Frederick รัฐแมริแลนด์

    ✅ Superwood สามารถใช้แทนวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม เช่น คอนกรีตและเหล็ก
    - ช่วยลด การปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง

    ✅ บริษัทมีแผนขยายการใช้งานไปยังโครงสร้างอาคารและวัสดุภายนอก เช่น หลังคาและพื้นไม้
    - โดยร่วมมือกับ Intectural ผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในอเมริกาเหนือ

    ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล เช่น กระทรวงพลังงานและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
    - แสดงให้เห็นว่า วัสดุนี้มีศักยภาพในการใช้งานที่หลากหลาย

    ‼️ Superwood ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตเชิงพาณิชย์
    - ต้องติดตามว่า จะสามารถผลิตในปริมาณมากได้หรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107948-superwood-aims-replace-steel-concrete-sustainable-alternative.html
    Superwood: วัสดุแห่งอนาคตที่อาจแทนที่เหล็กและคอนกรีต InventWood บริษัทสตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ กำลังเตรียมเปิดตัววัสดุใหม่ที่เรียกว่า "Superwood" ซึ่งเป็นไม้ที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึง 10 เท่า แต่ยังคงมีน้ำหนักเบาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Superwood ✅ Superwood มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึง 10 เท่า แต่เบากว่า - ใช้เทคนิค การปรับโครงสร้างโมเลกุลของไม้เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ✅ กระบวนการผลิตใช้สารเคมีจากอุตสาหกรรมอาหารเพื่อเสริมความแข็งแรงของเซลลูโลส - ทำให้ ไม้มีความทนทานต่อไฟ, น้ำ, การผุกร่อน และแมลง ✅ InventWood ได้รับเงินทุนกว่า 50 ล้านดอลลาร์ และเตรียมเปิดโรงงานผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2025 - โรงงานแห่งแรกจะตั้งอยู่ที่ เมือง Frederick รัฐแมริแลนด์ ✅ Superwood สามารถใช้แทนวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิม เช่น คอนกรีตและเหล็ก - ช่วยลด การปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง ✅ บริษัทมีแผนขยายการใช้งานไปยังโครงสร้างอาคารและวัสดุภายนอก เช่น หลังคาและพื้นไม้ - โดยร่วมมือกับ Intectural ผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในอเมริกาเหนือ ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล เช่น กระทรวงพลังงานและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ - แสดงให้เห็นว่า วัสดุนี้มีศักยภาพในการใช้งานที่หลากหลาย ‼️ Superwood ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตเชิงพาณิชย์ - ต้องติดตามว่า จะสามารถผลิตในปริมาณมากได้หรือไม่ https://www.techspot.com/news/107948-superwood-aims-replace-steel-concrete-sustainable-alternative.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Superwood aims to replace steel and concrete with a sustainable alternative
    What began as a laboratory experiment at the University of Maryland is now poised to significantly influence construction practices. InventWood, a startup spun out of the university,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SM2504XT สำหรับ SSD PCIe 5.0 ในราคาที่เข้าถึงได้

    Silicon Motion กำลังนำเทคโนโลยี PCIe 5.0 SSD มาสู่ตลาดระดับกลาง ด้วยคอนโทรลเลอร์ SM2504XT ซึ่งจะถูกนำเสนอในงาน Computex 2025 ที่ไทเป โดยคอนโทรลเลอร์นี้ให้ประสิทธิภาพสูงในราคาที่จับต้องได้

    ✅ SM2504XT เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe 5.0 x4 ที่รองรับ NVM 2.0
    - ใช้ Arm Cortex-R8 triple-core และมี 4 ช่องสัญญาณ NAND รองรับอัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 3600 MT/s

    ✅ ความเร็วในการอ่านและเขียนสูงสุดอยู่ที่ 11.5 GB/s และ 11.0 GB/s ตามลำดับ
    - ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ SSD PCIe 5.0 รุ่นไฮเอนด์ในยุคแรก

    ✅ ใช้เทคโนโลยี NANDXtend ECC เพื่อเพิ่มความเสถียรของข้อมูล
    - ใช้ LDPC error correction ที่รองรับ 3D TLC และ 3D QLC NAND

    ✅ รองรับ Host Memory Buffer (HMB) สำหรับ SSD ที่ไม่มี DRAM
    - ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ SSD ระดับกลาง

    ✅ ใช้พลังงานต่ำ โดยมีการใช้พลังงานขณะทำงานเพียง 4.7W และขณะพักเพียง 1.2mW
    - ประหยัดพลังงานมากกว่า คู่แข่งถึง 24%

    ‼️ SSD ที่ใช้ SM2504XT อาจไม่สามารถแข่งขันกับรุ่นไฮเอนด์ที่ใช้ Phison E28 ได้
    - ต้องติดตามว่า ประสิทธิภาพจริงจะเป็นอย่างไรเมื่อวางจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/silicon-motion-enables-pcie-5-0-ssds-at-mainstream-prices-with-sm2504xt-controller
    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SM2504XT สำหรับ SSD PCIe 5.0 ในราคาที่เข้าถึงได้ Silicon Motion กำลังนำเทคโนโลยี PCIe 5.0 SSD มาสู่ตลาดระดับกลาง ด้วยคอนโทรลเลอร์ SM2504XT ซึ่งจะถูกนำเสนอในงาน Computex 2025 ที่ไทเป โดยคอนโทรลเลอร์นี้ให้ประสิทธิภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ ✅ SM2504XT เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe 5.0 x4 ที่รองรับ NVM 2.0 - ใช้ Arm Cortex-R8 triple-core และมี 4 ช่องสัญญาณ NAND รองรับอัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 3600 MT/s ✅ ความเร็วในการอ่านและเขียนสูงสุดอยู่ที่ 11.5 GB/s และ 11.0 GB/s ตามลำดับ - ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ SSD PCIe 5.0 รุ่นไฮเอนด์ในยุคแรก ✅ ใช้เทคโนโลยี NANDXtend ECC เพื่อเพิ่มความเสถียรของข้อมูล - ใช้ LDPC error correction ที่รองรับ 3D TLC และ 3D QLC NAND ✅ รองรับ Host Memory Buffer (HMB) สำหรับ SSD ที่ไม่มี DRAM - ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ SSD ระดับกลาง ✅ ใช้พลังงานต่ำ โดยมีการใช้พลังงานขณะทำงานเพียง 4.7W และขณะพักเพียง 1.2mW - ประหยัดพลังงานมากกว่า คู่แข่งถึง 24% ‼️ SSD ที่ใช้ SM2504XT อาจไม่สามารถแข่งขันกับรุ่นไฮเอนด์ที่ใช้ Phison E28 ได้ - ต้องติดตามว่า ประสิทธิภาพจริงจะเป็นอย่างไรเมื่อวางจำหน่าย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/silicon-motion-enables-pcie-5-0-ssds-at-mainstream-prices-with-sm2504xt-controller
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักลงทุนสถาบันปรับพอร์ต Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12%

    ในไตรมาสแรกของปี 2025 นักลงทุนสถาบันหลายราย ลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังจากราคาคริปโตลดลง 12% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนมักเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ประเภทนี้

    ✅ นักลงทุนสถาบันลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12%
    - Hedge funds และกองทุนความมั่งคั่งบางแห่ง ลดสัดส่วนการลงทุน ขณะที่บางแห่งเพิ่มหรือปรับพอร์ตใหม่

    ✅ Millennium Management LLC ลดการถือครอง iShares Bitcoin Trust ETF ลง 41%
    - ขายหุ้นออกไป 17.6 ล้านหุ้น และถอนตัวจาก Invesco Galaxy Bitcoin ETF

    ✅ Brevan Howard ลดสัดส่วนการถือครอง iShares ETF ลง 15.6%
    - เป็นหนึ่งในกองทุนที่ ปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง

    ✅ กองทุนจาก Abu Dhabi เพิ่มการถือครอง iShares ETF เป็น 8.72 ล้านหุ้น มูลค่า $408.5 ล้าน
    - แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนบางส่วนยังคงเชื่อมั่นใน Bitcoin ETF

    ✅ Brown University เข้าสู่ตลาดคริปโต ETF เป็นครั้งแรก
    - ซื้อหุ้น iShares Bitcoin Trust ETF มูลค่า $4.9 ล้าน

    ‼️ การลดการถือครองของนักลงทุนสถาบันอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต
    - ต้องติดตามว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/institutional-investors-juggle-bitcoin-etf-holdings-us-filings-show
    นักลงทุนสถาบันปรับพอร์ต Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12% ในไตรมาสแรกของปี 2025 นักลงทุนสถาบันหลายราย ลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังจากราคาคริปโตลดลง 12% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนมักเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ประเภทนี้ ✅ นักลงทุนสถาบันลดการถือครอง Bitcoin ETF หลังราคาคริปโตลดลง 12% - Hedge funds และกองทุนความมั่งคั่งบางแห่ง ลดสัดส่วนการลงทุน ขณะที่บางแห่งเพิ่มหรือปรับพอร์ตใหม่ ✅ Millennium Management LLC ลดการถือครอง iShares Bitcoin Trust ETF ลง 41% - ขายหุ้นออกไป 17.6 ล้านหุ้น และถอนตัวจาก Invesco Galaxy Bitcoin ETF ✅ Brevan Howard ลดสัดส่วนการถือครอง iShares ETF ลง 15.6% - เป็นหนึ่งในกองทุนที่ ปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง ✅ กองทุนจาก Abu Dhabi เพิ่มการถือครอง iShares ETF เป็น 8.72 ล้านหุ้น มูลค่า $408.5 ล้าน - แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนบางส่วนยังคงเชื่อมั่นใน Bitcoin ETF ✅ Brown University เข้าสู่ตลาดคริปโต ETF เป็นครั้งแรก - ซื้อหุ้น iShares Bitcoin Trust ETF มูลค่า $4.9 ล้าน ‼️ การลดการถือครองของนักลงทุนสถาบันอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโต - ต้องติดตามว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/16/institutional-investors-juggle-bitcoin-etf-holdings-us-filings-show
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Institutional investors juggle bitcoin ETF holdings, US filings show
    (Reuters) -A number of high-profile asset managers cut their stakes in spot bitcoin exchange-traded funds amid a 12% drop in the cryptocurrency's price in the first quarter of 2025, according to recent regulatory filings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025

    Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ

    ✅ Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ
    - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร

    ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง

    ✅ วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล

    ✅ Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ
    - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025
    - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้

    ‼️ การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี
    - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่

    ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
    - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    Space Forge เตรียมเปิดตัวดาวเทียมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในอวกาศปี 2025 Space Forge บริษัทสตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักร ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A เพื่อพัฒนา ดาวเทียม ForgeStar-1 และ ForgeStar-2 สำหรับการผลิตวัสดุที่ไม่สามารถสร้างบนโลกได้ โดยใช้ สภาวะไร้น้ำหนัก, สูญญากาศ และอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วในอวกาศ ✅ Space Forge ได้รับเงินทุน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในอวกาศ - เป็น เงินทุนรอบ Series A ที่สูงที่สุดสำหรับบริษัทเทคโนโลยีอวกาศในสหราชอาณาจักร ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเป็นดาวเทียมผลิตวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ - ช่วยให้ สามารถทำการทดลองและผลิตวัสดุในอวกาศได้อย่างต่อเนื่อง ✅ วัสดุที่ผลิตในอวกาศมีศักยภาพในการปรับปรุงเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม - อาจช่วย ลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 75% ในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์ข้อมูล ✅ Space Forge Inc. ในสหรัฐฯ ตั้งเป้าปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในประเทศ - สอดคล้องกับ CHIPS and Science Act เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ✅ ดาวเทียม ForgeStar-1 จะเริ่มภารกิจทดสอบในวงโคจรครั้งแรกในปี 2025 - เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตในอวกาศที่สามารถใช้งานซ้ำได้ ‼️ การผลิตในอวกาศต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุนและเทคโนโลยี - ต้องติดตามว่า Space Forge จะสามารถทำให้โครงการนี้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ - การพึ่งพาไต้หวันในปัจจุบัน อาจมีผลกระทบหากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/space-forge-to-pioneer-semiconductor-manufacturing-in-space-with-first-satellite-launch-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหภาพยุโรปเปิดตัวฐานข้อมูลช่องโหว่สาธารณะ: ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์

    สหภาพยุโรป (EU) ได้เปิดตัว European Vulnerability Database (EUVD) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่บริหารโดย EU Agency for Cybersecurity (ENISA) ฐานข้อมูลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและตอบสนองต่อช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น

    ✅ EUVD เป็นฐานข้อมูลช่องโหว่ที่สอดคล้องกับ NIS2 Directive และ Cyber Resilience Act
    - ช่วยให้ องค์กรในยุโรปสามารถจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ✅ ENISA เป็นผู้ดูแลฐานข้อมูลนี้ และรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแบบเปิดและ CSIRTs ระดับประเทศ
    - ทำให้ ข้อมูลมีความแม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง

    ✅ EUVD มีสามแดชบอร์ดหลัก: ช่องโหว่ที่สำคัญ, ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี และช่องโหว่ที่ได้รับการจัดการโดย EU
    - ช่วยให้ องค์กรสามารถติดตามภัยคุกคามได้ง่ายขึ้น

    ✅ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2026 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องรายงานช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี
    - เป็นมาตรการที่ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

    ✅ EUVD อาจกลายเป็นทางเลือกแทน CVE หากสหรัฐฯ ลดงบประมาณด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - ทำให้ ยุโรปมีความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

    ‼️ EUVD อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้เทียบเท่ากับ CVE
    - ต้องติดตามว่า ฐานข้อมูลนี้จะได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด

    ‼️ การบังคับให้รายงานช่องโหว่อาจเพิ่มภาระให้กับผู้ผลิตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์
    - อาจทำให้ บริษัทขนาดเล็กต้องปรับตัวเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด

    https://www.techspot.com/news/107921-european-union-public-vulnerability-database-enters-beta-phase.html
    สหภาพยุโรปเปิดตัวฐานข้อมูลช่องโหว่สาธารณะ: ยกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ สหภาพยุโรป (EU) ได้เปิดตัว European Vulnerability Database (EUVD) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลช่องโหว่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่บริหารโดย EU Agency for Cybersecurity (ENISA) ฐานข้อมูลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและตอบสนองต่อช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น ✅ EUVD เป็นฐานข้อมูลช่องโหว่ที่สอดคล้องกับ NIS2 Directive และ Cyber Resilience Act - ช่วยให้ องค์กรในยุโรปสามารถจัดการช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ENISA เป็นผู้ดูแลฐานข้อมูลนี้ และรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลแบบเปิดและ CSIRTs ระดับประเทศ - ทำให้ ข้อมูลมีความแม่นยำและสามารถนำไปใช้ได้จริง ✅ EUVD มีสามแดชบอร์ดหลัก: ช่องโหว่ที่สำคัญ, ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี และช่องโหว่ที่ได้รับการจัดการโดย EU - ช่วยให้ องค์กรสามารถติดตามภัยคุกคามได้ง่ายขึ้น ✅ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2026 ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต้องรายงานช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี - เป็นมาตรการที่ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ✅ EUVD อาจกลายเป็นทางเลือกแทน CVE หากสหรัฐฯ ลดงบประมาณด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - ทำให้ ยุโรปมีความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ‼️ EUVD อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้เทียบเท่ากับ CVE - ต้องติดตามว่า ฐานข้อมูลนี้จะได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด ‼️ การบังคับให้รายงานช่องโหว่อาจเพิ่มภาระให้กับผู้ผลิตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ - อาจทำให้ บริษัทขนาดเล็กต้องปรับตัวเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด https://www.techspot.com/news/107921-european-union-public-vulnerability-database-enters-beta-phase.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    European Union public vulnerability database enters beta phase
    The European Commission has launched a new vulnerability database managed by the EU Agency for Cybersecurity (ENISA). The beta version of the European Vulnerability Database (EUVD) is...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • GM เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV ใหม่: เพิ่มระยะทางและลดต้นทุนการผลิตภายในปี 2028

    General Motors (GM) และ LG Energy Solution กำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีส (LMR) รุ่นใหม่ ซึ่งมีศักยภาพในการ เพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าและลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028

    ✅ GM และ LG Energy Solution พัฒนาแบตเตอรี่ LMR เพื่อใช้ในรถบรรทุกไฟฟ้าและ SUV
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ GM แข่งขันกับ Tesla และ Ford ในตลาด EV ระดับพรีเมียม

    ✅ แบตเตอรี่ LMR มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าลิเธียมไอออนฟอสเฟตถึง 33%
    - ลดการใช้โคบอลต์ ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยั่งยืน

    ✅ GM วางแผนเริ่มผลิตแบตเตอรี่ LMR ในสหรัฐฯ ปี 2027 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028
    - ใช้แบรนด์ Ultium Cells และทดสอบที่ศูนย์พัฒนาแบตเตอรี่ในมิชิแกน

    ✅ แบตเตอรี่ LMR ใช้ดีไซน์แบบปริซึมแทนแบบซอง
    - ช่วยให้ บรรจุพลังงานได้มากขึ้นและลดต้นทุนการผลิต

    ✅ GM ตั้งเป้าให้รถบรรทุกไฟฟ้า เช่น Chevrolet Silverado EV มีระยะทางเกิน 400 ไมล์
    - เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Ford และ Tesla

    ‼️ แบตเตอรี่ LMR เคยมีปัญหาด้านความเสถียร เช่น การเสื่อมสภาพของแรงดันไฟฟ้า
    - GM ใช้เวลากว่า 10 ปีในการแก้ไขปัญหานี้

    ‼️ Ford วางแผนเปิดตัวแบตเตอรี่ LMR ในปี 2030 ซึ่งอาจทำให้ GM ได้เปรียบในตลาด
    - ต้องติดตามว่า Ford จะเร่งการพัฒนาเพื่อแข่งขันหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107911-new-gm-ev-battery-tech-promises-extended-range.html
    GM เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV ใหม่: เพิ่มระยะทางและลดต้นทุนการผลิตภายในปี 2028 General Motors (GM) และ LG Energy Solution กำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีส (LMR) รุ่นใหม่ ซึ่งมีศักยภาพในการ เพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าและลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 ✅ GM และ LG Energy Solution พัฒนาแบตเตอรี่ LMR เพื่อใช้ในรถบรรทุกไฟฟ้าและ SUV - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ GM แข่งขันกับ Tesla และ Ford ในตลาด EV ระดับพรีเมียม ✅ แบตเตอรี่ LMR มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าลิเธียมไอออนฟอสเฟตถึง 33% - ลดการใช้โคบอลต์ ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยั่งยืน ✅ GM วางแผนเริ่มผลิตแบตเตอรี่ LMR ในสหรัฐฯ ปี 2027 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 - ใช้แบรนด์ Ultium Cells และทดสอบที่ศูนย์พัฒนาแบตเตอรี่ในมิชิแกน ✅ แบตเตอรี่ LMR ใช้ดีไซน์แบบปริซึมแทนแบบซอง - ช่วยให้ บรรจุพลังงานได้มากขึ้นและลดต้นทุนการผลิต ✅ GM ตั้งเป้าให้รถบรรทุกไฟฟ้า เช่น Chevrolet Silverado EV มีระยะทางเกิน 400 ไมล์ - เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Ford และ Tesla ‼️ แบตเตอรี่ LMR เคยมีปัญหาด้านความเสถียร เช่น การเสื่อมสภาพของแรงดันไฟฟ้า - GM ใช้เวลากว่า 10 ปีในการแก้ไขปัญหานี้ ‼️ Ford วางแผนเปิดตัวแบตเตอรี่ LMR ในปี 2030 ซึ่งอาจทำให้ GM ได้เปรียบในตลาด - ต้องติดตามว่า Ford จะเร่งการพัฒนาเพื่อแข่งขันหรือไม่ https://www.techspot.com/news/107911-new-gm-ev-battery-tech-promises-extended-range.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New GM EV battery tech promises extended range and lower production costs by 2028
    General Motors and LG Energy Solution are poised to launch a new era for electric vehicles with the commercial release of lithium manganese-rich (LMR) prismatic battery cells....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับแอปเบราว์เซอร์ยอดนิยมที่มีการสอดแนมข้อมูลผู้ใช้งาน โดยในวิดีโอพาโรดีปี 2024 Apple ได้แนะนำให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนมาใช้ Safari แทน Chrome ของ Google วิดีโอที่ชื่อว่า Privacy on iPhone: Flock แสดงภาพกล้องวงจรปิดที่มีปีกบินตามผู้ใช้งาน iPhone และเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาอย่างใกล้ชิด

    วิดีโอดังกล่าวเป็นการอ้างอิงถึงเทคโนโลยี FLoC (Federated Learning of Cohorts) ของ Google ซึ่งใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อส่งโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจงโดยไม่ต้องติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้งานแบบรายบุคคล แม้ว่า Google จะยกเลิกการใช้ FLoC แต่ยังคงติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานผ่านวิธีอื่น เช่น การใช้คุกกี้บุคคลที่สาม

    Safari ของ Apple มีจุดเด่นที่ไม่อนุญาตให้เว็บไซต์ภายนอกติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ Apple ใช้ในการแข่งขันกับ Chrome

    ✅ การอ้างอิงถึง FLoC
    - FLoC เป็นเทคโนโลยีที่ Google ใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อส่งโฆษณา
    - Google ยกเลิกการใช้ FLoC แต่ยังคงติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานผ่านวิธีอื่น

    ✅ ข้อได้เปรียบของ Safari
    - Safari ไม่อนุญาตให้เว็บไซต์ภายนอกติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งาน
    - Apple ใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการแข่งขันกับ Chrome

    ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน
    - ผู้ใช้งานได้รับการปกป้องข้อมูลส่วนตัวมากขึ้นเมื่อใช้ Safari

    ✅ เป้าหมายของ Apple
    - ส่งเสริมการใช้ Safari เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/28/this-popular-internet-browser-app-is-spying-on-you-apple-warns
    Apple ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับแอปเบราว์เซอร์ยอดนิยมที่มีการสอดแนมข้อมูลผู้ใช้งาน โดยในวิดีโอพาโรดีปี 2024 Apple ได้แนะนำให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนมาใช้ Safari แทน Chrome ของ Google วิดีโอที่ชื่อว่า Privacy on iPhone: Flock แสดงภาพกล้องวงจรปิดที่มีปีกบินตามผู้ใช้งาน iPhone และเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาอย่างใกล้ชิด วิดีโอดังกล่าวเป็นการอ้างอิงถึงเทคโนโลยี FLoC (Federated Learning of Cohorts) ของ Google ซึ่งใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อส่งโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจงโดยไม่ต้องติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้งานแบบรายบุคคล แม้ว่า Google จะยกเลิกการใช้ FLoC แต่ยังคงติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานผ่านวิธีอื่น เช่น การใช้คุกกี้บุคคลที่สาม Safari ของ Apple มีจุดเด่นที่ไม่อนุญาตให้เว็บไซต์ภายนอกติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ Apple ใช้ในการแข่งขันกับ Chrome ✅ การอ้างอิงถึง FLoC - FLoC เป็นเทคโนโลยีที่ Google ใช้ในการจัดกลุ่มผู้ใช้งานเพื่อส่งโฆษณา - Google ยกเลิกการใช้ FLoC แต่ยังคงติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งานผ่านวิธีอื่น ✅ ข้อได้เปรียบของ Safari - Safari ไม่อนุญาตให้เว็บไซต์ภายนอกติดตามกิจกรรมของผู้ใช้งาน - Apple ใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการแข่งขันกับ Chrome ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน - ผู้ใช้งานได้รับการปกป้องข้อมูลส่วนตัวมากขึ้นเมื่อใช้ Safari ✅ เป้าหมายของ Apple - ส่งเสริมการใช้ Safari เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/28/this-popular-internet-browser-app-is-spying-on-you-apple-warns
    WWW.THESTAR.COM.MY
    This popular Internet browser app is spying on you, Apple warns
    An old warning from Apple about a popular Internet browsing app is gaining renewed attention.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts