• อบรมอาสาตำรวจจีน ฉาวอธิบายไม่เคลียร์ ภาพพจน์โปลิศไทยพัง
    .
    กลายเป็นเรื่องอลหม่านที่ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมาแล้วสำหรับกรณีที่ 'ทนายแจม' ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์พร้อมภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท
    .
    ภาพที่ปรากฏออกมามีการอ้างว่าเป็นการดำเนินการของ Dr. Zhang Li ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ถ้าเป็นการอบรมให้ความรู้ทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่มีข้อมูลออกมาว่ามีการแจกใบประกาศและป้ายห้อยคอที่มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับผู้สำเร็จการอบรม ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้
    .
    พอเรื่องเริ่มแดงขึ้นมาแทนที่สังคมจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยสยาม แต่กลับปรากฏว่าแต่ละฝ่ายเลือกที่จะตอบคำถามแบบไม่ตอบคำถามที่ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น
    .
    สำนักตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาอ้างแค่ว่าได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรเท่านั้น ซึ่งการระบุในทำนองนี้แม้จะเป็นการทำให้ปัญหาถูกปัดพ้นตัวออกไป แต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมอบใบประกาศและป้ายห้อยคอเช่นนั้น
    .
    พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ชี้แจงว่า"เบื้องต้น ได้เห็นพยานหลักฐาน เป็นจดหมายเชิญจากทางมหาวิทยาลัย ฝึกอบรมนักศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยสยาม เขาขอความอนุเคราะห์วิทยากรพิเศษไปบรรยาย จึงได้ส่งรองผู้กำกับสืบสวนไปบรรยาย และ ปรากฏตามสื่อ ไปบรรยาย เข้ารับการอบรมจริง แต่ไม่ทราบว่ากี่วัน เบื้องต้นไปบรรยายเพียง 1 วัน"
    .
    ขณะที่ ในฝั่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสยามเองก็ยังไม่ให้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางรายออกมาระบุว่าไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการอบรม หรือแม้แต่อำนาจหน้าที่ของDr. Zhang Li ภายในมหาวิทยาลัยสยามนั้นก็ยังเป็นประเด็นที่ผู้บริหารก็ออกมายืนยันว่าไม่มีตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติแต่อย่างใด และที่สำคัญมหาวิทยาลัยสยามเองอาจถูกนำชื่อไปแอบอ้างหรือไม่ ภายหลังพบว่าเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นเขียนขื่อว่าของมหาวิทยาลัยสยามเป็น 'มหาลัยสยาม' ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย
    .
    ประเด็นใหญ่และสำคัญของเรื่องนี้ คือ ข้อห่วงกังวลที่ว่าจะมีการนำเอาใบประกาศหรือตราสัญลักษณ์ของทางราชการนี้ที่ได้รับจากการอบรมนำไปแอบอ้างเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการก่ออาชญากรรมหรือไม่
    .
    ทั้งนี้ เป็นเพราะต่างทราบกันดีว่าปัจจุบันมีคนจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งการเดินทางมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ หรือ นักศึกษาตามโครงการต่างๆของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนจีนแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในหลายรูปแบบ รวมไปถึงการตั้งตัวเป็นมาเฟียเสียเองเพื่อประทุษร้ายคนจีนในประเทศไทย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า 'แก๊งจีนเทา' หลายกรณีตำรวจไทยก็ตามจับได้ แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่ตำรวจไทยยังตามไม่ถึงต้นตอ
    .
    ดังนั้น การอบรมในลักษณะนี้ อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้มีการแอบอ้างเอาชื่อของหน่วยงานภาครัฐของไทยไปกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหยื่อที่คนจีนที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของขบวนการนอกกฎหมายเท่าใดนัก
    .
    ประเทศไทยกำลังเดินไปได้สวยในฐานะเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก อย่าให้ภาพลักษณ์ที่ดีต้องเสียไปเพราะการกระทำในลักษณะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดในเบื้องต้นที่จะทำได้ในเวลานี้ คือ การที่ทุกฝ่ายออกมาชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพื่อปิดโอกาสของผู้ไม่หวังดีนำเรื่องนี้ไปแสวงหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไป
    ..........
    Sondhi X
    อบรมอาสาตำรวจจีน ฉาวอธิบายไม่เคลียร์ ภาพพจน์โปลิศไทยพัง . กลายเป็นเรื่องอลหม่านที่ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมาแล้วสำหรับกรณีที่ 'ทนายแจม' ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อสังคมออนไลน์พร้อมภาพประกาศข้อความภาษาจีน ลักษณะเป็นการเปิดรับสมัครคนจีนมาอบรม ‘อาสาตำรวจคนจีน’ อ้างต้นสังกัดทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 โดย มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท . ภาพที่ปรากฏออกมามีการอ้างว่าเป็นการดำเนินการของ Dr. Zhang Li ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติ มหาวิทยาลัยสยาม ร่วมกับกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ถ้าเป็นการอบรมให้ความรู้ทั่วไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่นี่มีข้อมูลออกมาว่ามีการแจกใบประกาศและป้ายห้อยคอที่มีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับผู้สำเร็จการอบรม ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในเรื่องนี้ . พอเรื่องเริ่มแดงขึ้นมาแทนที่สังคมจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยสยาม แต่กลับปรากฏว่าแต่ละฝ่ายเลือกที่จะตอบคำถามแบบไม่ตอบคำถามที่ไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น . สำนักตำรวจแห่งชาติ ก็ออกมาอ้างแค่ว่าได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรเท่านั้น ซึ่งการระบุในทำนองนี้แม้จะเป็นการทำให้ปัญหาถูกปัดพ้นตัวออกไป แต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องมอบใบประกาศและป้ายห้อยคอเช่นนั้น . พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 ชี้แจงว่า"เบื้องต้น ได้เห็นพยานหลักฐาน เป็นจดหมายเชิญจากทางมหาวิทยาลัย ฝึกอบรมนักศึกษานานาชาติมหาวิทยาลัยสยาม เขาขอความอนุเคราะห์วิทยากรพิเศษไปบรรยาย จึงได้ส่งรองผู้กำกับสืบสวนไปบรรยาย และ ปรากฏตามสื่อ ไปบรรยาย เข้ารับการอบรมจริง แต่ไม่ทราบว่ากี่วัน เบื้องต้นไปบรรยายเพียง 1 วัน" . ขณะที่ ในฝั่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยสยามเองก็ยังไม่ให้ความชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางรายออกมาระบุว่าไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการอบรม หรือแม้แต่อำนาจหน้าที่ของDr. Zhang Li ภายในมหาวิทยาลัยสยามนั้นก็ยังเป็นประเด็นที่ผู้บริหารก็ออกมายืนยันว่าไม่มีตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนานาชาติแต่อย่างใด และที่สำคัญมหาวิทยาลัยสยามเองอาจถูกนำชื่อไปแอบอ้างหรือไม่ ภายหลังพบว่าเอกสารที่มีการเผยแพร่ออกมานั้นเขียนขื่อว่าของมหาวิทยาลัยสยามเป็น 'มหาลัยสยาม' ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย . ประเด็นใหญ่และสำคัญของเรื่องนี้ คือ ข้อห่วงกังวลที่ว่าจะมีการนำเอาใบประกาศหรือตราสัญลักษณ์ของทางราชการนี้ที่ได้รับจากการอบรมนำไปแอบอ้างเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบหรือใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการก่ออาชญากรรมหรือไม่ . ทั้งนี้ เป็นเพราะต่างทราบกันดีว่าปัจจุบันมีคนจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งการเดินทางมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ประกอบธุรกิจ หรือ นักศึกษาตามโครงการต่างๆของสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ไม่เพียงเท่านี้ ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่มีคนจีนแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในหลายรูปแบบ รวมไปถึงการตั้งตัวเป็นมาเฟียเสียเองเพื่อประทุษร้ายคนจีนในประเทศไทย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า 'แก๊งจีนเทา' หลายกรณีตำรวจไทยก็ตามจับได้ แต่ยังมีอีกหลายกรณีที่ตำรวจไทยยังตามไม่ถึงต้นตอ . ดังนั้น การอบรมในลักษณะนี้ อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ให้มีการแอบอ้างเอาชื่อของหน่วยงานภาครัฐของไทยไปกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหยื่อที่คนจีนที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของขบวนการนอกกฎหมายเท่าใดนัก . ประเทศไทยกำลังเดินไปได้สวยในฐานะเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก อย่าให้ภาพลักษณ์ที่ดีต้องเสียไปเพราะการกระทำในลักษณะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดในเบื้องต้นที่จะทำได้ในเวลานี้ คือ การที่ทุกฝ่ายออกมาชี้แจงให้เกิดความชัดเจน เพื่อปิดโอกาสของผู้ไม่หวังดีนำเรื่องนี้ไปแสวงหาประโยชน์ในทางที่ผิดต่อไป .......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1304 มุมมอง 1 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลางเผยถูกแอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB เปิดอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาให้ชาวจีนเรียกเก็บเงิน 3.8 หมื่นบาท

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000460

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจสอบสวนกลางเผยถูกแอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB เปิดอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาให้ชาวจีนเรียกเก็บเงิน 3.8 หมื่นบาท อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000460 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1590 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลางเผยถูกแอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB เปิดอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาให้ชาวจีนเรียกเก็บเงิน 3.8 หมื่นบาท

    วันนี้ ( 2 ม.ค.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท.พร้อมทีมประชาสัมพันธ์ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ชี้แจงกรณีมีผู้แอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB ของ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาของชาวจีน

    พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่าสืบเนื่องจากประเด็นที่เป็นข่าวในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับการอบรมอาสาตำรวจคนจีนที่เรียกเก็บค่าอบรม 38,000 บาท ระหว่างวันที่ 25-27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นการอบรม 3 วัน เมื่อผ่านการอบรมจะมีใบรับรอง ซึ่งมีอายุ 2 ปี พร้อมได้รับ หมวก, เสื้อยืด, เสื้อกั๊กตำรวจ, เสื้อสะท้อนแสง, ใบรับรอง, และบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ โดยในส่วนของตารางกิจกรรมปรากฏ “ตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” พร้อมกับ ชื่อ “CIB” นั้น ขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอบรมอาสาตำรวจในกรณีดังกล่าว แต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้จัดการอบรม มิได้มีการขอใช้ตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มายังหน่วยงานผู้รับผิดชอบแต่อย่างใด

    พ.ต.อ.เนติ กล่าวต่อว่าตำรวจสอบสวนกลาง ขอแจ้งเตือนว่าหากประชาชนพบเห็นประกาศเชิญชวนในลักษณะต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งหากมีการนำตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาใช้ประกอบในการโพสต์เชิญชวน สามารถสอบถาม หรือแจ้งเบาะแสมายังเพจเฟซบุ๊กตำรวจสอบสวนกลาง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากความเข้าใจผิด และการนำข่าวที่ไม่ถูกต้องไปเผยแพร่ต่อ

    #MGROnline #สัญลักษณ์CIB #CIB #ตำรวจสอบสวนกลาง
    ตำรวจสอบสวนกลางเผยถูกแอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB เปิดอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาให้ชาวจีนเรียกเก็บเงิน 3.8 หมื่นบาท • วันนี้ ( 2 ม.ค.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท.พร้อมทีมประชาสัมพันธ์ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ชี้แจงกรณีมีผู้แอบอ้างตราสัญลักษณ์ CIB ของ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการอบรมหลักสูตรตำรวจอาสาของชาวจีน • พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่าสืบเนื่องจากประเด็นที่เป็นข่าวในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับการอบรมอาสาตำรวจคนจีนที่เรียกเก็บค่าอบรม 38,000 บาท ระหว่างวันที่ 25-27 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นการอบรม 3 วัน เมื่อผ่านการอบรมจะมีใบรับรอง ซึ่งมีอายุ 2 ปี พร้อมได้รับ หมวก, เสื้อยืด, เสื้อกั๊กตำรวจ, เสื้อสะท้อนแสง, ใบรับรอง, และบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ โดยในส่วนของตารางกิจกรรมปรากฏ “ตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” พร้อมกับ ชื่อ “CIB” นั้น ขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอบรมอาสาตำรวจในกรณีดังกล่าว แต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้จัดการอบรม มิได้มีการขอใช้ตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มายังหน่วยงานผู้รับผิดชอบแต่อย่างใด • พ.ต.อ.เนติ กล่าวต่อว่าตำรวจสอบสวนกลาง ขอแจ้งเตือนว่าหากประชาชนพบเห็นประกาศเชิญชวนในลักษณะต่าง ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งหากมีการนำตราสัญลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาใช้ประกอบในการโพสต์เชิญชวน สามารถสอบถาม หรือแจ้งเบาะแสมายังเพจเฟซบุ๊กตำรวจสอบสวนกลาง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากความเข้าใจผิด และการนำข่าวที่ไม่ถูกต้องไปเผยแพร่ต่อ • #MGROnline #สัญลักษณ์CIB #CIB #ตำรวจสอบสวนกลาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • บช.ก.ร่วมอัยการประชุมคดี "ทนายตั้ม"โกง "พี่อ้อย" นัดแรก หารืออุดช่องโหว่ปิดทางไม่ให้ผู้ต้องหาดิ้นหลุด ตั้งกรอบเวลาสรุปสำนวนภายใน 6 ม.ค.นี้ ก่อนส่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี

    วันนี้ (23 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. มนตรี เทศขัน ผบก.ป.พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รอง อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ประชุมคดี นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีเป็นนัดแรก เนื่องจากมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาและเล็งเห็นว่าพฤติการณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ทำให้ต้องมีคณะทำงานของอัยการร่วมสอบสวน

    นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจดูสำนวน พิจารณาพยานหลักฐานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สอบสวนไปแล้วทั้งหมดพบว่ามีความละเอียดเรียบร้อยดี แต่ในความเห็นของอัยการก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนเกิดความสมบูรณ์ รัดกุม และไม่เป็นช่องโหว่ให้ผู้ต้องหานำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียก คุณอ้อย และ คุณน้อย เลขาคนสนิท รวมถึงพยานบางส่วนมาสอบปากคำเพิ่มเติม

    นายวัชรินทร์ กล่าวต่อว่า กระบวนการทำสำนวนทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จประมาณวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงขึ้นฝากขังผัดที่ 6 ของผู้ต้องหา และสำนวนจะต้องถูกส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว และสุดท้ายหากพบความผิดข้อหาอื่น ๆ ก็จะต้องมีการแจ้งข้อหากับทนายตั้มและผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมในเรือนจำ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000122919

    #MGROnline #ทนายตั้ม #พี่อ้อย
    บช.ก.ร่วมอัยการประชุมคดี "ทนายตั้ม"โกง "พี่อ้อย" นัดแรก หารืออุดช่องโหว่ปิดทางไม่ให้ผู้ต้องหาดิ้นหลุด ตั้งกรอบเวลาสรุปสำนวนภายใน 6 ม.ค.นี้ ก่อนส่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดี • วันนี้ (23 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. มนตรี เทศขัน ผบก.ป.พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รอง อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ประชุมคดี นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ฉ้อโกง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ พี่อ้อย เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีเป็นนัดแรก เนื่องจากมีการส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาและเล็งเห็นว่าพฤติการณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร ทำให้ต้องมีคณะทำงานของอัยการร่วมสอบสวน • นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า จากการตรวจดูสำนวน พิจารณาพยานหลักฐานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สอบสวนไปแล้วทั้งหมดพบว่ามีความละเอียดเรียบร้อยดี แต่ในความเห็นของอัยการก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนเกิดความสมบูรณ์ รัดกุม และไม่เป็นช่องโหว่ให้ผู้ต้องหานำมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้ ซึ่งเบื้องต้นจะต้องมีการเรียก คุณอ้อย และ คุณน้อย เลขาคนสนิท รวมถึงพยานบางส่วนมาสอบปากคำเพิ่มเติม • นายวัชรินทร์ กล่าวต่อว่า กระบวนการทำสำนวนทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จประมาณวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นช่วงขึ้นฝากขังผัดที่ 6 ของผู้ต้องหา และสำนวนจะต้องถูกส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว และสุดท้ายหากพบความผิดข้อหาอื่น ๆ ก็จะต้องมีการแจ้งข้อหากับทนายตั้มและผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติมในเรือนจำ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000122919 • #MGROnline #ทนายตั้ม #พี่อ้อย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • สระบุรี - บิ๊กเต่า พร้อมคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ภูนับดาว อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และพื้นที่โดยรอบกว่า 600 ไร่ เพื่อดูว่าจุดไหนมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ พร้อม เผยช่วงนี้ยุ่งไม่มีเวลาคุยกับใคร เอาไว้ไปสู้ศาลที่ศาล

    เวลาประมาณ 14.00 น. วันนี้ (12 ธ.ค.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อม นายกฤศกร สนิทศักดิ์ดี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 1 นายปรีชา ลิ้มถวิล รองเลขาธิการ ส.ป.ก, นายพนมไพร ดีใหม่ ผู้อำนวยการสำนักแผนที่และสารบบที่ดิน ส.ป.ก. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตำรวจ บก.ปปป. และตำรวจบก.ปทส. ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ภูนับดาว รวมถึงพื้นที่โดยรอบที่ขยายวงออกไปอีกกว่า 600 ไร่ เพื่อดูว่าจุดไหนมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ รวมถึงมีข้าราชการในพื้นที่และนายทุนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/local/detail/9670000119490

    #MGROnline #ไร่ภูนับดาว #สระบุรี
    สระบุรี - บิ๊กเต่า พร้อมคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ภูนับดาว อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และพื้นที่โดยรอบกว่า 600 ไร่ เพื่อดูว่าจุดไหนมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ พร้อม เผยช่วงนี้ยุ่งไม่มีเวลาคุยกับใคร เอาไว้ไปสู้ศาลที่ศาล • เวลาประมาณ 14.00 น. วันนี้ (12 ธ.ค.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อม นายกฤศกร สนิทศักดิ์ดี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เขต 1 นายปรีชา ลิ้มถวิล รองเลขาธิการ ส.ป.ก, นายพนมไพร ดีใหม่ ผู้อำนวยการสำนักแผนที่และสารบบที่ดิน ส.ป.ก. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตำรวจ บก.ปปป. และตำรวจบก.ปทส. ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ภูนับดาว รวมถึงพื้นที่โดยรอบที่ขยายวงออกไปอีกกว่า 600 ไร่ เพื่อดูว่าจุดไหนมีการกระทำผิดกฎหมาย หรือมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ รวมถึงมีข้าราชการในพื้นที่และนายทุนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9670000119490 • #MGROnline #ไร่ภูนับดาว #สระบุรี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • CIB RUN 2024 งานวิ่งรวมตำรวจขาแรง

    เป็นงานวิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมาก สำหรับกิจกรรมวิ่งเฉลิมพระเกียรติฯ CIB RUN 2024 เคียงข้างประชาชน ซีซัน 2 โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ที่สนามลู่ปั่นจักรยานเจริญสุขมงคลจิต ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 โดยได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้ใช้สถานที่จัดการแข่งขัน

    กิจกรรมนี้ได้ บริษัท ไตรลีก (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเคยจัดงานระดับนานาชาติทั้ง Amazing Thailand Marathon, พัทยามาราธอน, ไตรกีฬาโตโยต้าไอรอนแมน ฯลฯ ปีที่แล้วเปิดให้สมัครฟรีปรากฎว่าเจอซื้อ-ขายเบอร์แข่งขัน ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่ต้องการแบบนั้น จึงกำหนดให้มีค่าสมัครทุกระยะ แต่คิดแบบไม่หวังผลกำไร 23 กิโลเมตร (กม.) ค่าสมัคร 350 บาท 10 กม. 300 บาท และ 3 กม. 250 บาท เปิดระบบรับสมัครเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 พ.ย. 2567

    ผลก็คือมีนักวิ่งสนใจลงสมัครล้นหลามจนเว็บล่ม ก่อนเต็มจำนวนเพียงไม่กี่ชั่วโมง รวม 8,223 คน แบ่งเป็น 23 กม. 3,205 คน, 10 กม. 4,312 คน และ 3 กม. 706 คน

    มาถึงการจัดงาน เปิดสนามตั้งแต่เวลา 03.00 น. ก่อนปล่อยตัวนักวิ่ง 23 กม. เวลา 05.00 น. โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธาน พร้อมด้วย นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้แสลม นักร้องชื่อดังมาให้กำลังใจนักวิ่งอีกด้วย ส่วนนักวิ่ง 10 กม. ปล่อยตัวที่ กม.14 ของสนามลู่ปั่น (ทางเข้าสนามบินฯ ด้านถนนบางนา-ตราด) เวลา 05.03 น. โดยพบว่านอกจากประชาชนทั่วไปแล้ว ยังมีข้าราชการตำรวจ ที่ถือโอกาสเจอเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ได้พบกันมานานไปในตัว นอกจากนี้ ยังมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองปราบปราม แต่งกายเต็มยศให้กำลังใจก่อนเข้าเส้นชัยอีกด้วย

    สำหรับผู้ชนะเลิศประเภทบุคคลทั่วไปชาย 23 กม. ได้แก่ ร.ต.อ.ปฏิการ เพชรศรีชา ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 24 นาที ส่วนประเภทบุคคลทั่วไปหญิง 23 กม. ได้แก่ น.ส.อรอนงค์ วงศร ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที

    พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระราชทานรางวัลชนะเลิศแก่นักวิ่ง ขอขอบคุณประชาชนที่เข้าร่วมสมัครในปีนี้อย่างล้นหลาม หลายคนรอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เชื่อว่าการออกกำลังทุกประเภทส่งผลดีต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายจากความเครียด ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือสิ่งที่พบเจอในแต่ละวันได้ และขอขอบคุณที่ให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นส่วนหนึ่งที่ได้สนับสนุนการออกกำลังกายให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน

    #Newskit
    CIB RUN 2024 งานวิ่งรวมตำรวจขาแรง เป็นงานวิ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมาก สำหรับกิจกรรมวิ่งเฉลิมพระเกียรติฯ CIB RUN 2024 เคียงข้างประชาชน ซีซัน 2 โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ที่สนามลู่ปั่นจักรยานเจริญสุขมงคลจิต ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 โดยได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้ใช้สถานที่จัดการแข่งขัน กิจกรรมนี้ได้ บริษัท ไตรลีก (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเคยจัดงานระดับนานาชาติทั้ง Amazing Thailand Marathon, พัทยามาราธอน, ไตรกีฬาโตโยต้าไอรอนแมน ฯลฯ ปีที่แล้วเปิดให้สมัครฟรีปรากฎว่าเจอซื้อ-ขายเบอร์แข่งขัน ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่ต้องการแบบนั้น จึงกำหนดให้มีค่าสมัครทุกระยะ แต่คิดแบบไม่หวังผลกำไร 23 กิโลเมตร (กม.) ค่าสมัคร 350 บาท 10 กม. 300 บาท และ 3 กม. 250 บาท เปิดระบบรับสมัครเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 พ.ย. 2567 ผลก็คือมีนักวิ่งสนใจลงสมัครล้นหลามจนเว็บล่ม ก่อนเต็มจำนวนเพียงไม่กี่ชั่วโมง รวม 8,223 คน แบ่งเป็น 23 กม. 3,205 คน, 10 กม. 4,312 คน และ 3 กม. 706 คน มาถึงการจัดงาน เปิดสนามตั้งแต่เวลา 03.00 น. ก่อนปล่อยตัวนักวิ่ง 23 กม. เวลา 05.00 น. โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธาน พร้อมด้วย นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้แสลม นักร้องชื่อดังมาให้กำลังใจนักวิ่งอีกด้วย ส่วนนักวิ่ง 10 กม. ปล่อยตัวที่ กม.14 ของสนามลู่ปั่น (ทางเข้าสนามบินฯ ด้านถนนบางนา-ตราด) เวลา 05.03 น. โดยพบว่านอกจากประชาชนทั่วไปแล้ว ยังมีข้าราชการตำรวจ ที่ถือโอกาสเจอเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่ได้พบกันมานานไปในตัว นอกจากนี้ ยังมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองปราบปราม แต่งกายเต็มยศให้กำลังใจก่อนเข้าเส้นชัยอีกด้วย สำหรับผู้ชนะเลิศประเภทบุคคลทั่วไปชาย 23 กม. ได้แก่ ร.ต.อ.ปฏิการ เพชรศรีชา ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 24 นาที ส่วนประเภทบุคคลทั่วไปหญิง 23 กม. ได้แก่ น.ส.อรอนงค์ วงศร ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระราชทานรางวัลชนะเลิศแก่นักวิ่ง ขอขอบคุณประชาชนที่เข้าร่วมสมัครในปีนี้อย่างล้นหลาม หลายคนรอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เชื่อว่าการออกกำลังทุกประเภทส่งผลดีต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายจากความเครียด ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือสิ่งที่พบเจอในแต่ละวันได้ และขอขอบคุณที่ให้ตำรวจสอบสวนกลางเป็นส่วนหนึ่งที่ได้สนับสนุนการออกกำลังกายให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 607 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ยันให้การปฏิเสธทั้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท ย้อน "หนุ่ม กรรชัย" ไม่ได้ทำผิดจะให้ยอมรับได้ยังไง มั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี ที่ผ่านมาใช้ชีวิตบนทางที่ถูกต้องเสมอ

    วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก) เมื่อเวลา 16.00 น. นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีต ดารานักร้องชื่อดัง กล่าวภายหลังรับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำคดี "ร่วมกันพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท" จากกรณีคลิปเสียงร่วมกับ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช เรียกรับเงินจาก บอสบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 20 ล้านบาท และหมิ่นประมาท "หนุ่ม กรรชัย" พิธีกรรายการโหนกระแสว่า เบื้องต้นถูกแจ้ง 2 ข้อหา คือพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท "หนุ่ม กรรชัย" โดยตนเองให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา ซึ่งหลังจากนี้พนักงานสอบสวนก็จะนัดให้มารายงานตัวอีกครั้งในช่วงปลายเดือนนี้ ทั้งนี้ขอชี้แจงถึงประเด็นต่าง ๆ ว่า ที่ก่อนหน้านี้ "หนุ่ม กรรชัย" โทรมา 3-4 ครั้ง บอกให้ตนเองยอมรับผิดนั้น เป็นการให้ยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ตนเองเป็นคนตรง ๆ ผิดก็ยอมรับผิด แต่หากไม่ผิด ก็ไม่ยอม เรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่ไม่ออกมาพูด เพราะได้พูดไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่แถลงข่าวกับสื่อมวลชน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117542

    #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #หนุ่มกรรชัย
    "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ยันให้การปฏิเสธทั้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท ย้อน "หนุ่ม กรรชัย" ไม่ได้ทำผิดจะให้ยอมรับได้ยังไง มั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี ที่ผ่านมาใช้ชีวิตบนทางที่ถูกต้องเสมอ • วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก) เมื่อเวลา 16.00 น. นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีต ดารานักร้องชื่อดัง กล่าวภายหลังรับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำคดี "ร่วมกันพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท" จากกรณีคลิปเสียงร่วมกับ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช เรียกรับเงินจาก บอสบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำนวน 20 ล้านบาท และหมิ่นประมาท "หนุ่ม กรรชัย" พิธีกรรายการโหนกระแสว่า เบื้องต้นถูกแจ้ง 2 ข้อหา คือพยายามกรรโชกทรัพย์ และหมิ่นประมาท "หนุ่ม กรรชัย" โดยตนเองให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา ซึ่งหลังจากนี้พนักงานสอบสวนก็จะนัดให้มารายงานตัวอีกครั้งในช่วงปลายเดือนนี้ ทั้งนี้ขอชี้แจงถึงประเด็นต่าง ๆ ว่า ที่ก่อนหน้านี้ "หนุ่ม กรรชัย" โทรมา 3-4 ครั้ง บอกให้ตนเองยอมรับผิดนั้น เป็นการให้ยอมรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ตนเองเป็นคนตรง ๆ ผิดก็ยอมรับผิด แต่หากไม่ผิด ก็ไม่ยอม เรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่ไม่ออกมาพูด เพราะได้พูดไปหมดแล้วตั้งแต่วันแรกที่แถลงข่าวกับสื่อมวลชน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117542 • #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #หนุ่มกรรชัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" CIB Nominee sweep ep.2 รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิด4 ธันวาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.ฐากิจจ์ โตเกียรติชูกรณ์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแถลงข่าวด้วยสืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลให้ดำเนินการ กวาดล้างธุรกิจตัวแทนอำพรางหรือนอมินีในประเทศไทย ซึ่งประกอบอาชีพต้องห้ามตามกฎหมาย แข่งขันแย่งอาชีพคนไทย และหลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมออนไลน์ ใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน คอนโด และโครงการบ้านหรู ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยประสานความร่วมมือไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” ระหว่างตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 มีการเชื่อมต่อระบบข้อมูลผู้จดทะเบียนนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลาง ของตำรวจสอบสวนกลาง (BIG DATA) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคล ตลอดห้วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท พบว่า มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้ง กรณีใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลจึงขออนุมัติศาลเพื่อขอหมายเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย อาทิเช่น สำนักงานบัญชี โกดัง/คลังสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านรับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล บริษัทอสังหาริมทรัพย์และบ้านหรูที่ถือครองโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจค้น รวบรวมพยานหลักฐานและพยานเอกสารที่ตรวจยึด ทำให้พบแผนประทุษกรรมในการกระทำความผิด 2 รูปแบบ คือ (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) (2) การจดทะเบียนบริษัท ในลักษณะของบริษัทม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ในการฟอกเงิน ผลการปฏิบัติ(ภาพรวม) 1) ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ 2) พบเอกสารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของบุคคลและนิติบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 1,189 ล้านบาท ตรวจพบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท 3) การดำเนินคดี - นิติบุคคล จำนวน 442 ราย - บุคคล จำนวน 1,014 ราย (กรรมการ, ผู้ถือหุ้น, ผู้ทำบัญชี, ทนายความ, นายทุน) (สัญชาติจีน 258 ราย, ไทย 714 ราย, เยอรมัน 3 ราย, อังกฤษ 3 ราย, ญี่ปุ่น 2 ราย, เมียนมาร์ 2 ราย, กัมพูชา 4 ราย, อเมริกัน 1 ราย, มาเลเซีย 21 ราย,เวียดนาม 4 ราย ,สิงคโปร์ 1 ราย ,คาซัคสถาน 1 ราย 4) ของกลางและทรัพย์สินที่ตรวจยึด 1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 34 เล่ม 2. เอกสารการถือครองที่ดิน จำนวน 22 ฉบับ รวมมูลค่า 254 ล้านบาท 3. ตราประทับบริษัทต่างๆ จำนวน 494 ชิ้น 4. ป้ายบริษัท จำนวน 67 ป้าย 5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 24 เครื่อง 6. ธนบัตรสกุลเงินไทยและต่างประเทศ จำนวน 1,149,290 บาท 7. เครื่องนับธนบัตร จำนวน 2 เครื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 2. พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 3. พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล พ.ศ.2561 4. พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ.2485 5. พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 6. พ.ร.ก.การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 7. ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 8. ประมวลกฎหมายอาญา 9. พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ชาวต่างชาติจะว่าจ้าง บริษัทบัญชี ในการจดทะเบียนนิติบุคคลประกอบธุรกิจโดยใช้คนไทยเข้ามาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า “นอมินี” ถือหุ้นแทนชาวต่างชาติในสัดส่วนที่ไม่เกินกว่าที่กำหนด เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายและการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย ตลอดจนการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนิติบุคคล 244 ราย บุคคล 319 ราย (จีน 248,ไทย 57 สัญชาติอื่น 14 ราย) เบื้องต้นตรวจพบบริษัทลักษณะเป็นนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 891,000,000 บาท จุดตรวจค้นที่ 1 รวม 8 จุด : สำนักงานบัญชี 3 แห่ง และบริษัทนอมินี 5 ที่ถือครองบ้านหรู - พบ ชาวต่างชาติสัญชาติจีนจดทะเบียนนิติบุคคลร่วมทุนกับคนไทยโดยมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่น่าสงสัย เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบนิติบุคคลที่จดทะเบียนเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์หลายรายการ เช่น โฉนดที่ดินลักษณะเป็นบ้านหรู และที่ดินเพื่อการเกษตร รวม 22 แปลง รวมมูลค่า 254 ล้านบาท รวมถึงตราประทับของบริษัทต่างๆ จำนวนกว่า 242 ชิ้น และยังพบข้อมูลการว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชีและจดทะเบียนบริษัทที่รับทำบัญชีและจดจัดตั้งบริษัทให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มคนจีน โดยจะใช้ชื่อของตนเอง กลุ่มเครือญาติของตน รวมทั้งลูกจ้างของบริษัทเข้าไปถือหุ้นร่วมกับชาวต่างชาติ ในสัดส่วนของคนไทย เพื่อหลบหลีกข้อกฎหมาย จุดตรวจค้นที่ 2 รวม 7 จุด : ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ - ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการและ สมุทรสาคร พบสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศจำนวนหลายแสนชิ้น จึงได้ตรวจยึดสินค้าทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นพบสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร (สินค้าต้องห้ามนำเข้า, สินค้าที่ไม่ผ่านอนุญาต อย.) จุดตรวจค้นที่ 3 รวม 8 จุด : บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัล USDT - พื้นที่กรุงเทพมหานคร ลักลอบเปิดกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (USDT) โดยผิดกฎหมาย พบสถานประกอบการที่ดำเนินการโดยใช้ชื่อคนไทย ตรวจยึด สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก เช่น ธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศ เครื่องนับธนบัตร คอมพิวเตอร์ บัญชีธนาคารของคนจีน โบชัวร์รับแลกเงิน(USDT) โดยพบว่ามีชาวจีน 6 คนเป็นเจ้าของธุรกิจใชวีซาทองเที่ยวและวีซ่านักศึกษาเขามาในประเทศ (2) การจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล ในลักษณะของบริษัทม้า จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรม พบว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิด “บัญชีม้านิติบุคคล” แทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน เนื่องจากสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน ต่อครั้ง/ต่อวัน, ไม่ต้องทำการ KYC, สามารถโอนผ่าน browser (internet banking ) โดยเพียงมี User และ password ของบัญชีนิติบุคคล เท่านั้น กลุ่มมิจฉาชีพจึง ว่าจ้างสำนักงานบัญชี/สำนักงานทนายความ ในการจดทะเบียนนิติบุคคล จัดหาบัญชีหรือ “คอกม้า” โดยแอบอ้างใช้ชื่อคนไทยเข้าไปเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น เพื่ออำพราง เมื่อจดทะเบียนสำเร็จ จะนำนิติบุคคลดังกล่าวไปเปิดบัญชีเพื่อรับโอนผลประโยชน์หรือฟอกเงิน โดยไม่มีการประกอบกิจการจริง และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลวงประชาชน จากการตรวจสอบข้อมูลการแจ้งความร้องทุกข์ผ่าน ระบบรับแจ้งความออนไลน์ (Thai police online) พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าจำนวนหลายบริษัท จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ชลบุรี 10 จุด กรุงเทพมหานคร 3 จุด เชียงใหม่ 3 ราชบุรี 2 จุด จังหวัดละ 1 จุด ประกอบด้วย ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี จุดประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เผยว่า ผลการปฏิบัติ พบ นายทุน ชาวจีน, ชาวมาเลเซีย(สัญญาชาติจีน) รวม 8 ราย ว่าจ้างบริษัทบัญชีรวม 14 บริษัท จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยมีทนายความ ผู้ทำบัญชี ผู้รับมอบอำนาจในการจดทะเบียน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และจากการขยายผล พบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 198 บริษัท บุคคลธรรมดา 695 ราย (เป็นต่างชาติ 37 คน คนไทย 658 คน) ตรวจยึด บัญชีธนาคาร 314 บัญชี เงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพบว่า สำนักงานบัญชี บริษัทกฎหมาย สำนักงานทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยรับรองลายมือชื่ออันเป็นเท็จ ในเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน มีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และประมวลกฎหมายอาญา (รับรองเอกสารอันเป็นเท็จ, แจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จ) จึงได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่บัญชี และ ทนายความ จำนวน 25 ราย รวมทั้งได้มีหนังสือแจ้งไปยัง สภาทนายความ และสภาวิชาชีพบัญชี เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต ต่อไป ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้น โดยการนำเอาชื่อของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดไปก่อตั้งบริษัทให้กับบุคคลต่างชาติ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาแสวงผลประโยชน์ภายในประเทศ อันส่งผลกระทบภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศ และธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับประชาชนคนไทยซึ่งจะมีความผิดทั้งนิติบุคคลและผู้ให้ความช่วยเหลือ อันเป็นความผิดตาม พรบ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    ยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" CIB Nominee sweep ep.2 รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิดยุทธการการ "ทลายรังมังกรเทา" รวบ 8 นายทุนจีน เปิด 14 บริษัท กระทำผิด4 ธันวาคม 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.ฐากิจจ์ โตเกียรติชูกรณ์ รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้แทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแถลงข่าวด้วยสืบเนื่องจากนโยบายรัฐบาลให้ดำเนินการ กวาดล้างธุรกิจตัวแทนอำพรางหรือนอมินีในประเทศไทย ซึ่งประกอบอาชีพต้องห้ามตามกฎหมาย แข่งขันแย่งอาชีพคนไทย และหลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยพบว่าส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมออนไลน์ ใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน คอนโด และโครงการบ้านหรู ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยประสานความร่วมมือไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) “การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (NOMINEE)” ระหว่างตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 มีการเชื่อมต่อระบบข้อมูลผู้จดทะเบียนนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลาง ของตำรวจสอบสวนกลาง (BIG DATA) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคล ตลอดห้วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ข้อมูลการจดทะเบียนบริษัท พบว่า มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้ง กรณีใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง(Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลจึงขออนุมัติศาลเพื่อขอหมายเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย อาทิเช่น สำนักงานบัญชี โกดัง/คลังสินค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน ร้านรับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล บริษัทอสังหาริมทรัพย์และบ้านหรูที่ถือครองโดยผิดกฎหมาย จากการตรวจค้น รวบรวมพยานหลักฐานและพยานเอกสารที่ตรวจยึด ทำให้พบแผนประทุษกรรมในการกระทำความผิด 2 รูปแบบ คือ (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) (2) การจดทะเบียนบริษัท ในลักษณะของบริษัทม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคารรับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และใช้ในการฟอกเงิน ผลการปฏิบัติ(ภาพรวม) 1) ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ 2) พบเอกสารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของบุคคลและนิติบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 1,189 ล้านบาท ตรวจพบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท 3) การดำเนินคดี - นิติบุคคล จำนวน 442 ราย - บุคคล จำนวน 1,014 ราย (กรรมการ, ผู้ถือหุ้น, ผู้ทำบัญชี, ทนายความ, นายทุน) (สัญชาติจีน 258 ราย, ไทย 714 ราย, เยอรมัน 3 ราย, อังกฤษ 3 ราย, ญี่ปุ่น 2 ราย, เมียนมาร์ 2 ราย, กัมพูชา 4 ราย, อเมริกัน 1 ราย, มาเลเซีย 21 ราย,เวียดนาม 4 ราย ,สิงคโปร์ 1 ราย ,คาซัคสถาน 1 ราย 4) ของกลางและทรัพย์สินที่ตรวจยึด 1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 34 เล่ม 2. เอกสารการถือครองที่ดิน จำนวน 22 ฉบับ รวมมูลค่า 254 ล้านบาท 3. ตราประทับบริษัทต่างๆ จำนวน 494 ชิ้น 4. ป้ายบริษัท จำนวน 67 ป้าย 5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 24 เครื่อง 6. ธนบัตรสกุลเงินไทยและต่างประเทศ จำนวน 1,149,290 บาท 7. เครื่องนับธนบัตร จำนวน 2 เครื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 2. พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 3. พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล พ.ศ.2561 4. พ.ร.บ.ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา พ.ศ.2485 5. พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 6. พ.ร.ก.การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 7. ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 8. ประมวลกฎหมายอาญา 9. พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) การจดทะเบียนบริษัท โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ชาวต่างชาติจะว่าจ้าง บริษัทบัญชี ในการจดทะเบียนนิติบุคคลประกอบธุรกิจโดยใช้คนไทยเข้ามาเป็นตัวแทนอำพราง หรือที่เรียกว่า “นอมินี” ถือหุ้นแทนชาวต่างชาติในสัดส่วนที่ไม่เกินกว่าที่กำหนด เพื่อหลบเลี่ยงข้อกฎหมายและการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ มาประกอบธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับคนไทย ตลอดจนการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบนิติบุคคล 244 ราย บุคคล 319 ราย (จีน 248,ไทย 57 สัญชาติอื่น 14 ราย) เบื้องต้นตรวจพบบริษัทลักษณะเป็นนอมินีของชาวต่างชาติ จำแนกเป็นธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นการค้าที่ดิน, ท่องเที่ยว, ธุรกิจบริการและธุรกิจประเภทอื่นๆ มีทุนจดทะเบียนรวมกัน 891,000,000 บาท จุดตรวจค้นที่ 1 รวม 8 จุด : สำนักงานบัญชี 3 แห่ง และบริษัทนอมินี 5 ที่ถือครองบ้านหรู - พบ ชาวต่างชาติสัญชาติจีนจดทะเบียนนิติบุคคลร่วมทุนกับคนไทยโดยมีชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่น่าสงสัย เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบนิติบุคคลที่จดทะเบียนเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์หลายรายการ เช่น โฉนดที่ดินลักษณะเป็นบ้านหรู และที่ดินเพื่อการเกษตร รวม 22 แปลง รวมมูลค่า 254 ล้านบาท รวมถึงตราประทับของบริษัทต่างๆ จำนวนกว่า 242 ชิ้น และยังพบข้อมูลการว่าจ้างบริษัทรับทำบัญชีและจดทะเบียนบริษัทที่รับทำบัญชีและจดจัดตั้งบริษัทให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มคนจีน โดยจะใช้ชื่อของตนเอง กลุ่มเครือญาติของตน รวมทั้งลูกจ้างของบริษัทเข้าไปถือหุ้นร่วมกับชาวต่างชาติ ในสัดส่วนของคนไทย เพื่อหลบหลีกข้อกฎหมาย จุดตรวจค้นที่ 2 รวม 7 จุด : ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ - ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการและ สมุทรสาคร พบสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศจำนวนหลายแสนชิ้น จึงได้ตรวจยึดสินค้าทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นพบสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร (สินค้าต้องห้ามนำเข้า, สินค้าที่ไม่ผ่านอนุญาต อย.) จุดตรวจค้นที่ 3 รวม 8 จุด : บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัล USDT - พื้นที่กรุงเทพมหานคร ลักลอบเปิดกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (USDT) โดยผิดกฎหมาย พบสถานประกอบการที่ดำเนินการโดยใช้ชื่อคนไทย ตรวจยึด สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก เช่น ธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศ เครื่องนับธนบัตร คอมพิวเตอร์ บัญชีธนาคารของคนจีน โบชัวร์รับแลกเงิน(USDT) โดยพบว่ามีชาวจีน 6 คนเป็นเจ้าของธุรกิจใชวีซาทองเที่ยวและวีซ่านักศึกษาเขามาในประเทศ (2) การจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล ในลักษณะของบริษัทม้า จากการวิเคราะห์แผนประทุษกรรม พบว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิด “บัญชีม้านิติบุคคล” แทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน เนื่องจากสามารถโอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน ต่อครั้ง/ต่อวัน, ไม่ต้องทำการ KYC, สามารถโอนผ่าน browser (internet banking ) โดยเพียงมี User และ password ของบัญชีนิติบุคคล เท่านั้น กลุ่มมิจฉาชีพจึง ว่าจ้างสำนักงานบัญชี/สำนักงานทนายความ ในการจดทะเบียนนิติบุคคล จัดหาบัญชีหรือ “คอกม้า” โดยแอบอ้างใช้ชื่อคนไทยเข้าไปเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น เพื่ออำพราง เมื่อจดทะเบียนสำเร็จ จะนำนิติบุคคลดังกล่าวไปเปิดบัญชีเพื่อรับโอนผลประโยชน์หรือฟอกเงิน โดยไม่มีการประกอบกิจการจริง และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพในการหลอกลวงประชาชน จากการตรวจสอบข้อมูลการแจ้งความร้องทุกข์ผ่าน ระบบรับแจ้งความออนไลน์ (Thai police online) พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าจำนวนหลายบริษัท จึงมีการวางแผนและเข้าทำการตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ชลบุรี 10 จุด กรุงเทพมหานคร 3 จุด เชียงใหม่ 3 ราชบุรี 2 จุด จังหวัดละ 1 จุด ประกอบด้วย ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี จุดประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เผยว่า ผลการปฏิบัติ พบ นายทุน ชาวจีน, ชาวมาเลเซีย(สัญญาชาติจีน) รวม 8 ราย ว่าจ้างบริษัทบัญชีรวม 14 บริษัท จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อเปิดบัญชีธนาคาร โดยมีทนายความ ผู้ทำบัญชี ผู้รับมอบอำนาจในการจดทะเบียน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และจากการขยายผล พบนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 198 บริษัท บุคคลธรรมดา 695 ราย (เป็นต่างชาติ 37 คน คนไทย 658 คน) ตรวจยึด บัญชีธนาคาร 314 บัญชี เงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพบว่า สำนักงานบัญชี บริษัทกฎหมาย สำนักงานทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้อง รู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยรับรองลายมือชื่ออันเป็นเท็จ ในเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน มีความผิดตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และประมวลกฎหมายอาญา (รับรองเอกสารอันเป็นเท็จ, แจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จ) จึงได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่บัญชี และ ทนายความ จำนวน 25 ราย รวมทั้งได้มีหนังสือแจ้งไปยัง สภาทนายความ และสภาวิชาชีพบัญชี เพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาต ต่อไป ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชน การให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้น โดยการนำเอาชื่อของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิดไปก่อตั้งบริษัทให้กับบุคคลต่างชาติ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชาวต่างชาติเข้ามาแสวงผลประโยชน์ภายในประเทศ อันส่งผลกระทบภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศ และธุรกิจที่สงวนไว้สำหรับประชาชนคนไทยซึ่งจะมีความผิดทั้งนิติบุคคลและผู้ให้ความช่วยเหลือ อันเป็นความผิดตาม พรบ.การประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 767 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจ บช.ก. เปิดปฏิบัติการทลายแก๊ง “ไฮบริดสแกม” หลอก-รัก-ลวง-ลงทุน เสียหายนับร้อยล้านบาท

    วันนี้ ( 3 ธ.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท.พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ต.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์, ว่าที่ พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริ สว.บก.ปอท. แถลงผลเปิดปฏิบัติการ “Annihilate Hybrid Scam” ทลายแก๊ง หลอก-รัก-ลวง-ลงทุน สร้างความเสียหายกว่า 46 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 20 ราย ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่” ได้ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่, เชียงราย,มุกดาหาร, สุรินทร์ ,กทม. ,สมุทรปราการ,อุทัยธานี ,นครราชสีมา , กาญจนบุรี,ปราจีนบุรีและ พระนครศรีอยุธยา

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000116317

    #MGROnline #ไฮบริดสแกม
    ตำรวจ บช.ก. เปิดปฏิบัติการทลายแก๊ง “ไฮบริดสแกม” หลอก-รัก-ลวง-ลงทุน เสียหายนับร้อยล้านบาท • วันนี้ ( 3 ธ.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท.พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ต.ธนนชัยย์ ศรีบุญจันทร์, ว่าที่ พ.ต.ต.ศุภเดช ธนชัยศิริ สว.บก.ปอท. แถลงผลเปิดปฏิบัติการ “Annihilate Hybrid Scam” ทลายแก๊ง หลอก-รัก-ลวง-ลงทุน สร้างความเสียหายกว่า 46 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 20 ราย ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่” ได้ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่, เชียงราย,มุกดาหาร, สุรินทร์ ,กทม. ,สมุทรปราการ,อุทัยธานี ,นครราชสีมา , กาญจนบุรี,ปราจีนบุรีและ พระนครศรีอยุธยา • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000116317 • #MGROnline #ไฮบริดสแกม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอง ผบช.ก.เชื่อรีสอร์ทหรูสระบุรีบุกรุกที่ ส.ป.ก.ทำกันเป็นกระบวนการยันตำรวจสอบสวนกลางพร้อมรับทำคดีหาก ป.ป.ช.มอบหมายให้รับผิดชอบ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000115996

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รอง ผบช.ก.เชื่อรีสอร์ทหรูสระบุรีบุกรุกที่ ส.ป.ก.ทำกันเป็นกระบวนการยันตำรวจสอบสวนกลางพร้อมรับทำคดีหาก ป.ป.ช.มอบหมายให้รับผิดชอบ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000115996 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 930 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร. สั่งตั้ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนคดี “หมอบุญ” ยืนยันมีการประสานอินเตอร์โพล ตั้งแต่ผู้ต้องหาหนีไปต่างประเทศ

    วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการหลอกลวงประชาชน ว่า ที่ผ่านมาการดำเนินคดีของหมอบุญ เป็นความรับผิดชอบของทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการรวบรวมหลักฐานและเส้นทางการเงินไปได้พอสมควรแล้ว ทั้งนี้ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้น โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าชุดให้รวบรวมคดีมาที่ศูนย์กลาง เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นมีผู้เสียหายมากกว่า 300 ราย ความเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาท ฉะนั้นหากให้แต่ละหน่วยแยกย้ายกันทำคดีอาจไม่สะดวก และไม่ชัดเจนเท่าการมีคณะทำงานเพียงคณะเดียว แต่พนักงานสอบสวนในคณะก็คือตำรวจจากทั้ง บช.น. และ บช.ก.

    ส่วนกรณีที่หมอบุญได้มีการหลบหนีไปต่างประเทศตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ยืนยันว่าตำรวจของประเทศไทยได้มีการประสานงานกับตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) มาโดยตลอด ในกรณีที่ผู้ต้องหาอยู่ในประเทศที่มีสนธิสัญญา ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ แต่หากมีการหลบหนีในประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาก็จะต้องมีการแลกเปลี่ยนตัวผู้ต้องหากับเงื่อนไขของประเทศต้นทาง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000114921

    #MGROnline #หมอบุญ
    ผบ.ตร. สั่งตั้ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนคดี “หมอบุญ” ยืนยันมีการประสานอินเตอร์โพล ตั้งแต่ผู้ต้องหาหนีไปต่างประเทศ • วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นพ.บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการหลอกลวงประชาชน ว่า ที่ผ่านมาการดำเนินคดีของหมอบุญ เป็นความรับผิดชอบของทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการรวบรวมหลักฐานและเส้นทางการเงินไปได้พอสมควรแล้ว ทั้งนี้ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้น โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าชุดให้รวบรวมคดีมาที่ศูนย์กลาง เนื่องจากคดีที่เกิดขึ้นมีผู้เสียหายมากกว่า 300 ราย ความเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาท ฉะนั้นหากให้แต่ละหน่วยแยกย้ายกันทำคดีอาจไม่สะดวก และไม่ชัดเจนเท่าการมีคณะทำงานเพียงคณะเดียว แต่พนักงานสอบสวนในคณะก็คือตำรวจจากทั้ง บช.น. และ บช.ก. • ส่วนกรณีที่หมอบุญได้มีการหลบหนีไปต่างประเทศตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ยืนยันว่าตำรวจของประเทศไทยได้มีการประสานงานกับตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) มาโดยตลอด ในกรณีที่ผู้ต้องหาอยู่ในประเทศที่มีสนธิสัญญา ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ แต่หากมีการหลบหนีในประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาก็จะต้องมีการแลกเปลี่ยนตัวผู้ต้องหากับเงื่อนไขของประเทศต้นทาง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000114921 • #MGROnline #หมอบุญ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 381 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ "CIB ขยี้มังกรเทา" รวบสาวไทยร่วมสามีชาวจีนเช่าบ้านเชียงใหม่ ลักลอบตั้งซิมบ็อกซ์ 642 เครื่อง ยึดซิมการ์ดโทรศัพท์ เกือบ 6 แสนชิ้น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000114212

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ "CIB ขยี้มังกรเทา" รวบสาวไทยร่วมสามีชาวจีนเช่าบ้านเชียงใหม่ ลักลอบตั้งซิมบ็อกซ์ 642 เครื่อง ยึดซิมการ์ดโทรศัพท์ เกือบ 6 แสนชิ้น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000114212 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    20
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1388 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาให้ฝากขัง ’ดาว‘ พี่สาวเมีย "ทนายตั้ม" ข้อหาสมคบฟอกเงินฉ้อโก้งพี่อ้อย 39 ล้านบาท กองปราบ-ผู้เสียหายคัดค้านประกันตัว เผยพฤติการณ์ก่อนถูกจับรับคำสั่งจาก "ษิทรา" เปลี่ยนเครื่อง-เบอร์มือถือทำลายหลักฐานการติดต่อ มีร่องรอยขนย้ายทรัพย์สิน วันเกิดเหตุไม่ได้ไปรับลูกทนายตั้มที่โรงเรียนตามอ้าง

    เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว นางสาวปิณฑิรา หรือดาว การิวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ในความผิดฐาน "ร่วมกันกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน

    พฤติการณ์แห่งคดีคือ ก่อนเกิดเหตุ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้าง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่าง
    วาระกัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000114113

    #MGROnline #ดาว #พี่สาว #เมียทนายตั้ม #ทนายตั้ม
    ศาลอาญาให้ฝากขัง ’ดาว‘ พี่สาวเมีย "ทนายตั้ม" ข้อหาสมคบฟอกเงินฉ้อโก้งพี่อ้อย 39 ล้านบาท กองปราบ-ผู้เสียหายคัดค้านประกันตัว เผยพฤติการณ์ก่อนถูกจับรับคำสั่งจาก "ษิทรา" เปลี่ยนเครื่อง-เบอร์มือถือทำลายหลักฐานการติดต่อ มีร่องรอยขนย้ายทรัพย์สิน วันเกิดเหตุไม่ได้ไปรับลูกทนายตั้มที่โรงเรียนตามอ้าง • เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (27 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ควบคุมตัว นางสาวปิณฑิรา หรือดาว การิวัลย์ อายุ 43 ปี พี่สาวภรรยาทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ ในความผิดฐาน "ร่วมกันกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลอาญาเป็นเวลา 12 วัน • พฤติการณ์แห่งคดีคือ ก่อนเกิดเหตุ นางสาวจตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้าง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่าง วาระกัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000114113 • #MGROnline #ดาว #พี่สาว #เมียทนายตั้ม #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 439 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    ขบวนการ"ตั้ม นรกแตก"ปมสอดไส้พินัยกรรม.เมื่อวันจันทร์ที่18พ.ย.นี้ พี่อ้อยมาเพื่อมาขอบคุณพวกผม ทีมงาน สื่อในเครือ ก่อนจะเดินทางกลับต่างประเทศครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว พี่อ้อยฝากขอบคุณสื่อมวลชนทั้งหลายทุกคนที่เกาะติด ช่วยกันขุดค้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กระทำการฉ้อโกงพี่อ้อย จตุพร จนตำรวจตั้งข้อหาเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ถ้าภาษากฎหมายก็เรียกว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ".ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ฉ้อโกง เป็นการเข้าสู่ พ.ร.บ.ฟอกเงิน จนในที่สุดตอนนี้ ทั้งตั้มและภรรยา ตลอดจนนายนุวัฒน์ และภรรยาที่ชื่อ "แซน" สารินี นุชนารถ ก็ถูกจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ให้ประกัน เพราะคุณอ้อยตัดสินใจแจ้งความเรื่อง 39 ล้าน จากจุด 39 ล้าน โยงไปโยงมา โอ้โห ตัวละครเยอะมาก โยงไปจนถึงคุณดาว ซึ่งเป็นพี่สาวภรรยา โยงไปถึงนุวัฒน์ โยงไปถึงแซน นุชนารถ ไปหมดทุกคน และเกี่ยวข้องกับคนขับรถ แล้วก็จับเส้นทางการเงิน จนในที่สุดแล้ว พี่สาวของภรรยาษิทรา เบี้ยบังเกิด ยอมสารภาพ พาไปชี้ที่เกิดเหตุถุงที่ใส่เงินมา .ผมต้องขอชื่นชมและยกย่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจเขาใช้คนประมาณเท่าไร ? ร้อยกว่าคนที่ทำคดีนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้แตกย่อยออกเป็น 4 คดีแล้ว จาก 71 ล้าน มูลค่าการฉ้อโกง 120 กว่าล้านบาท .มันก็เลยกลายเป็นเรื่องขบวนการที่เตรียมการฉ้อโกง มีคลิปที่พี่อ้อยพูดเองกับอาจารย์ปานเทพว่า ตั้มต้องการเป็นผู้จัดการมรดกพี่อ้อยในการเขียนพินัยกรรม พอได้เป็นเสร็จเรียบร้อย ก็พยายามชวนพี่อ้อยไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ที่ๆ มันไกลปืนเที่ยง ที่อะไรก็ตามมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณอนุมานดูว่า คนถ้ามันไม่ซื่อสัตย์อย่างนี้ ทำไมทะลึ่งอยากจะมาเป็นผู้จัดการมรดก แต่ว่าโชคดีที่มีการไหวตัวทัน.ด้วยเหตุนี้ ต้นปี 2567 พี่อ้อยเมื่อได้รับทราบไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ที่ทนายตั้ม ษิทรา ดำเนินการ เขาก็เลยยกเลิกพินัยกรรมกรรมที่ทนายตั้ม บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ทุกฉบับ แล้วเขาก็ไปทำพินัยกรรมใหม่ฉบับที่ 3 ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมืองที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องรับรอง เพื่อไม่ให้พินัยกรรมฉบับเก่าไม่สามารถมีผลผูกพันได้อีกต่อไป.ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า ความเจ้าเล่ห์แสนกลของคนที่เป็นทนายความ คุณสายหยุด คุณฟังให้มันดีๆนะ คุณเดชาฟังให้ดึๆนะ ปั่นเสร็จแล้วจงใจหลอกลวงลูกความที่ไม่ค่อยรู้เรื่องทางกฎหมาย ผมไม่รู้ว่าคุณสองคนเคยหลอกลวงใครหรือเปล่า แต่ผมเพียงแต่อยากจะเตือนให้คุณฟังให้ดีๆ เพราะว่าคุณยืนข้างษิทรา เบี้ยบังเกิด.บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือว่า ระหว่างทนายตั้มที่ทำความเลวให้กับคุณอ้อย กับนักการเมืองที่ทำความชั่วให้กับแผ่นดินไทย ฮุบพื้นที่ดินของแผ่นดินไทยเป็นของตัวเองนั้น เปรียบเทียบกันแล้ว ใครเลวกว่าใคร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจ ปอศ.ส่งสำนวนคดี "หมอบุญ" โกงผู้เสียหาย 12 ราย รวมมูลค่า 1.9 พันล้านบาทให้ดีเอสไอแล้วเมื่อวาน (22 พ.ย.) หลังพบมูลค่าความผิดเข้าข่ายคดีพิเศษ

    วันนี้ ( 23 พ.ย. ) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ส่งสำนวนการสอบสวนคดีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ น.พ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี กับพวกในคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงชักชวนให้ลงทุน ให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ โดยได้ส่งมอบสำนวนดังกล่าวไปเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินความเสียหายเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000112745

    #MGROnline #หมอบุญ
    ตำรวจ ปอศ.ส่งสำนวนคดี "หมอบุญ" โกงผู้เสียหาย 12 ราย รวมมูลค่า 1.9 พันล้านบาทให้ดีเอสไอแล้วเมื่อวาน (22 พ.ย.) หลังพบมูลค่าความผิดเข้าข่ายคดีพิเศษ • วันนี้ ( 23 พ.ย. ) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผบก.ปอศ.) พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. ส่งสำนวนการสอบสวนคดีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ น.พ.บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี กับพวกในคดีเกี่ยวกับการหลอกลวงชักชวนให้ลงทุน ให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ โดยได้ส่งมอบสำนวนดังกล่าวไปเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินความเสียหายเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000112745 • #MGROnline #หมอบุญ
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากกรณีที่เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการสนธิเล่าเรื่อง เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้เพื่อกู้เงินผ่านเอเย่นต์ จนได้รับความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีผู้เสียหายที่ถูกนายแพทย์คนดัง ฉ้อโกงฯ เงิน ผ่านกลโกงการทำธุรกรรม ชักชวนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อีกหลายราย จนอาจทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างนับหมื่นล้าน กระทั่งมีรายงานด้วยว่าขณะนี้ นายแพทย์บุญ วนาสิน น่าจะหลบหนีคดีไปยังต่างประเทศแล้ว.ความคืบหน้าเมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 22 พ.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง บก.น.1 ที่ 285/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา จนสามารถนำมาสู่การออกหมายจับ นายแพทย์บุญ วนาสิน รวมถึงผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการ และมีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ได้ 9 คน ได้แก่.1.นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5645/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น.2.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี เลขาส่วนตัว นายแพทย์บุญ ซี่งเป็นผู้จัดการเรื่องการเงิน และการบัญชีสัญญากู้เงินทั้งหมด ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5646/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.3.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน ตามคำสั่ง น.ส.จิดาภา อาทิ การจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นผู้จ่ายเช็ค พร้อมทั้งติดต่อตัวแทนต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5647/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.4.นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค เป็นผู้ถือหุ้น THG ซึ่งนำมาค้ำประกันในสัญญากู้ต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5648/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.5.น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ และ นางจารุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ และ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5649/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.6.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน และมอบหมายให้คนนำสัญญากู้ยืม ทำสัญญาค้ำประกัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5650/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.7.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด ร่วมกับนางอัจจิมา เป็นผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน ผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5651/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.8.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นนายหน้า และผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน เป็นผู้จัดทำเอกสารเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน หนังสือส่งมอบเช็ค สัญญาซื้อและขายหุ้นคืนและหนังสือชำระหนี้ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5652/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.9.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และเป็นผู้นำสัญญามามอบให้ผู้เสียหาย ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5653/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในห้วงวันที่ 2-4 ก.พ.66 นายแพทย์บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสารธารณะแพร่ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์สาธารณะ โดยกล่าวอ้างการลงทุนที่น่าสนใจ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ .1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ งบลงทุน 4,๐๐๐ ล้านบาท (ทันสมัยที่สุดในเอเชีย) 2.โครงการเวสเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 5 ไร่เศษ งบลงทุนประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท (อาคารที่พักสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงวัย 400 ห้อง).3.โครงการสร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว จำนวน 3 แห่ง (ในเวียงจันทร์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง) 4.โครงการเข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน ประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท และ 5.โครงการสร้างเมดิคอล อินเทลลิเจน (Medical Intelligen) ซึ่งทำหน้าที่ด้านไอที ใช้งบประมาณ 1๐๐ ล้านบาท โดยหากมีการร่วมลงทุน ในปี 66 อ้างว่าจะได้กำไร 7๐๐ ล้านบาท และในปี 67 อ้างว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น  1,000 ล้านบาท.จากนั้นจึงมีผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยราย หลงเชื่อเพราะ นายแพทย์บุญ และครอบครัว มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง จึงเข้าร่วมลงทุน ผ่านการติดต่อจากตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ เป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุน ให้นายแพทย์บุญ และครอบครัว.ตลอดจนการลงทุนในลักษณะโครงการที่เสนอให้ลงทุนในรูปแบบที่ นายแพทย์บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหาย และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อนายแพทย์บุญ วนาสิน พร้อมทั้งมี นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน บุคคลในครอบครัวเป็น ผู้ค้ำประกันตามสัญญา.นอกจากนี้ นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน ทั้งสองคนยังเซ็นต์สลักหลังในเช็คทุกใบของนายแพทย์บุญ วนาสิน มอบให้แก่ผู้ให้กู้ โดยในช่วงแรกมีการให้ดอกเบี้ย แต่ต่อมาไม่มีการชำระแต่อย่างใด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จนกระทั่งต่อมาจากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์บุญ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ย.67 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาร์เธฯออกไปประเทศจีน โดยมีพฤติการณ์หลบหนี.ซึ่งในกรณี ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.66 – ต.ค.67 มีกลุ่มผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แล้วจำนวน 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 7,564,433,637 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยหกสิบสี่ล้านสี่แสนสามหมื่นสามพันหกร้อยสามสิบเจ็ดบาท) โดยในทันทีที่ศาลอนุมติหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา เอาไว้ได้แล้ว จำนวน 6 ราย  คือ.1.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี 2.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี 3.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี 4.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี 5.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี และ 6.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ยังเหลือที่ยังหลบหนีไปได้อีก 3 ราย คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ กับ นางจารุวรรณ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นควรอนุมัติให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวนี้ไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ DSI เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ โดยจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป (จบ 3/3)......Sondhi X
    จากกรณีที่เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการสนธิเล่าเรื่อง เพื่อเปิดโปงพฤติกรรมของ นายแพทย์บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้เพื่อกู้เงินผ่านเอเย่นต์ จนได้รับความเสียหายกว่า 8,000 ล้านบาท รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะมีผู้เสียหายที่ถูกนายแพทย์คนดัง ฉ้อโกงฯ เงิน ผ่านกลโกงการทำธุรกรรม ชักชวนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อีกหลายราย จนอาจทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างนับหมื่นล้าน กระทั่งมีรายงานด้วยว่าขณะนี้ นายแพทย์บุญ วนาสิน น่าจะหลบหนีคดีไปยังต่างประเทศแล้ว.ความคืบหน้าเมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 22 พ.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 และ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง บก.น.1 ที่ 285/2567 ลงวันที่ 11 พ.ย.67 ไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา จนสามารถนำมาสู่การออกหมายจับ นายแพทย์บุญ วนาสิน รวมถึงผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการ และมีพฤติการณ์ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ได้ 9 คน ได้แก่.1.นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5645/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็คนั้น.2.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี เลขาส่วนตัว นายแพทย์บุญ ซี่งเป็นผู้จัดการเรื่องการเงิน และการบัญชีสัญญากู้เงินทั้งหมด ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5646/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.3.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับเอกสาร สัญญาต่างๆ และจัดการด้านการเงิน ตามคำสั่ง น.ส.จิดาภา อาทิ การจ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย เป็นผู้จ่ายเช็ค พร้อมทั้งติดต่อตัวแทนต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5647/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.4.นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค เป็นผู้ถือหุ้น THG ซึ่งนำมาค้ำประกันในสัญญากู้ต่างๆ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5648/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.5.น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ และ นางจารุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาต่างๆ และ เป็นผู้ลงลายมือชื่ออาวัลในเช็ค ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5649/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.6.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด เป็นผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน และมอบหมายให้คนนำสัญญากู้ยืม ทำสัญญาค้ำประกัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5650/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.7.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงฟอร์ด ร่วมกับนางอัจจิมา เป็นผู้ประสานงานให้คำปรึกษา ชักชวนลงทุน ผู้ชักชวนให้ร่วมลงทุน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5651/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.8.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นนายหน้า และผู้ชักชวนแนะนำการลงทุน เป็นผู้จัดทำเอกสารเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน หนังสือส่งมอบเช็ค สัญญาซื้อและขายหุ้นคืนและหนังสือชำระหนี้ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5652/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.9.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนติดต่อชักชวนผู้เสียหาย เป็นผู้จัดทำสัญญา ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และเป็นผู้นำสัญญามามอบให้ผู้เสียหาย ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5653/2567 ลงวันที่ 22 พ.ย.67 ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน.การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในห้วงวันที่ 2-4 ก.พ.66 นายแพทย์บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสารธารณะแพร่ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์สาธารณะ โดยกล่าวอ้างการลงทุนที่น่าสนใจ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ .1.โครงการสร้างศูนย์มะเร็ง ย่านปิ่นเกล้า พื้นที่ 7 ไร่ งบลงทุน 4,๐๐๐ ล้านบาท (ทันสมัยที่สุดในเอเชีย) 2.โครงการเวสเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 5 ไร่เศษ งบลงทุนประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท (อาคารที่พักสูง 52 ชั้น รองรับผู้สูงวัย 400 ห้อง).3.โครงการสร้างโรงพยาบาลใน สปป.ลาว จำนวน 3 แห่ง (ในเวียงจันทร์ 2 แห่ง, จำปาสัก 1 แห่ง) 4.โครงการเข้าร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม โดยใช้งบลงทุน ประมาณ 4,๐๐๐ – 5,๐๐๐ ล้านบาท และ 5.โครงการสร้างเมดิคอล อินเทลลิเจน (Medical Intelligen) ซึ่งทำหน้าที่ด้านไอที ใช้งบประมาณ 1๐๐ ล้านบาท โดยหากมีการร่วมลงทุน ในปี 66 อ้างว่าจะได้กำไร 7๐๐ ล้านบาท และในปี 67 อ้างว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น  1,000 ล้านบาท.จากนั้นจึงมีผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยราย หลงเชื่อเพราะ นายแพทย์บุญ และครอบครัว มีบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่ง จึงเข้าร่วมลงทุน ผ่านการติดต่อจากตัวแทน (โบรกเกอร์) บริษัทหลักทรัพย์ เป็นตัวแทนการระดมเงินลงทุน ให้นายแพทย์บุญ และครอบครัว.ตลอดจนการลงทุนในลักษณะโครงการที่เสนอให้ลงทุนในรูปแบบที่ นายแพทย์บุญ ทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหาย และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อนายแพทย์บุญ วนาสิน พร้อมทั้งมี นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน บุคคลในครอบครัวเป็น ผู้ค้ำประกันตามสัญญา.นอกจากนี้ นางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน ทั้งสองคนยังเซ็นต์สลักหลังในเช็คทุกใบของนายแพทย์บุญ วนาสิน มอบให้แก่ผู้ให้กู้ โดยในช่วงแรกมีการให้ดอกเบี้ย แต่ต่อมาไม่มีการชำระแต่อย่างใด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินตามวันเวลาที่สั่งจ่าย ปรากฎว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จนกระทั่งต่อมาจากการตรวจสอบพบว่า นายแพทย์บุญ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ย.67 เวลา 14.25 น. โดยสายการบินคาร์เธฯออกไปประเทศจีน โดยมีพฤติการณ์หลบหนี.ซึ่งในกรณี ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.66 – ต.ค.67 มีกลุ่มผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แล้วจำนวน 527 ราย รวมมูลค่าความเสียหาย กว่า 7,564,433,637 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยหกสิบสี่ล้านสี่แสนสามหมื่นสามพันหกร้อยสามสิบเจ็ดบาท) โดยในทันทีที่ศาลอนุมติหมายจับ ผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จึงได้เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา เอาไว้ได้แล้ว จำนวน 6 ราย  คือ.1.น.ส.จิดาภา พุ่มพุฒ อายุ 53 ปี 2.น.ส.ศิวิมล จาดเมือง อายุ 38 ปี 3.นางอัจจิมา พาณิชเกรียงไกร อายุ 49 ปี 4.นายภาคย์ วัฒนาพร อายุ 36 ปี 5.นางภัทรานิษฐ์ ณ สงขลา อายุ 55 ปี และ 6.นายธนภูมิ ชนประเสริฐ อายุ 36 ปี ยังเหลือที่ยังหลบหนีไปได้อีก 3 ราย คือ นายแพทย์บุญ วนาสิน อายุ 86 ปี นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี ภรรยาของ นายแพทย์บุญ และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี บุตรสาวของนายแพทย์บุญ กับ นางจารุวรรณ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเห็นควรอนุมัติให้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวนี้ไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ DSI เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ โดยจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบอย่างเป็นทางการต่อไป (จบ 3/3)......Sondhi X
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1197 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอก สายไหมต้องรอด" มอบตัว หลังศาลออกหมายจับ โพสต์ข้อมูลเท็จคดีดิไอคอนฯ
    .
    "เอกภพ เหลืองประเสริฐ" ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท. หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนกรุ๊ป
    .
    วันนี้ (22 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือ เอก สายไหมต้องรอด นักการเมืองเขตสายไหม กรุงเทพฯ และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และศาลได้อนุมัติหมายจับในเวลาต่อมา
    .
    ทันทีที่มีการออกหมายจับ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางนายเอกภพ เจ้าตัวได้เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบเรื่องหมายจับ และขณะนี้กำลังเดินทางมาเพื่อให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญในเวลา 15.00 น.
    .
    ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า คดีนายเอกภพนั้น ทางชุดสืบสวนมีการนัดนายเอกภพมาให้ถ้อยคำในวันนี้ ช่วงเวลา 15.00 น. เนื่องจากชุดสืบสวนยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเรียกนายเอกภพมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. และวันอังคารที่ 19 พ.ย. ผ่านมา แต่นายเอกภพอ้างว่าติดธุระ เดี๋ยวจะมาพร้อมกับทนายความ ซึ่งกรณีนายเอกภพก็จะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. นายเอกภพได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท.แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังนำตัวผู้ต้องหาเข้ามายัง บก.ปอท. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    "เอก สายไหมต้องรอด" มอบตัว หลังศาลออกหมายจับ โพสต์ข้อมูลเท็จคดีดิไอคอนฯ . "เอกภพ เหลืองประเสริฐ" ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท. หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับ ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนกรุ๊ป . วันนี้ (22 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือ เอก สายไหมต้องรอด นักการเมืองเขตสายไหม กรุงเทพฯ และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับเงินดิจิตอล ที่เกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และศาลได้อนุมัติหมายจับในเวลาต่อมา . ทันทีที่มีการออกหมายจับ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางนายเอกภพ เจ้าตัวได้เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบเรื่องหมายจับ และขณะนี้กำลังเดินทางมาเพื่อให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญในเวลา 15.00 น. . ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า คดีนายเอกภพนั้น ทางชุดสืบสวนมีการนัดนายเอกภพมาให้ถ้อยคำในวันนี้ ช่วงเวลา 15.00 น. เนื่องจากชุดสืบสวนยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอยู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเรียกนายเอกภพมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. และวันอังคารที่ 19 พ.ย. ผ่านมา แต่นายเอกภพอ้างว่าติดธุระ เดี๋ยวจะมาพร้อมกับทนายความ ซึ่งกรณีนายเอกภพก็จะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ . ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. นายเอกภพได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ บก.ปอท.แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังนำตัวผู้ต้องหาเข้ามายัง บก.ปอท. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1418 มุมมอง 1 รีวิว
  • "พี่อ้อย" โร่ให้ให้ปากคำกองปราบคดีถูก "ทนายตั้ม"โกงเพิ่มเติม ตำรวจเตรียมสอบประเด็นพินัยกรรมสอดไส้ ด้าน รอง ผบช.ก.เผยสอบครั้งนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนของคดี

    วันนี้ ( 20 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญ น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือ "พี่อ้อย" มาให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีเงิน 71 ล้านบาท ที่ถูก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง โดยเน้นตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนใดขาดตกบกพร่อง และเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์และสำหรับประเด็นเรื่องพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ในการสืบสวนที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในวันนี้อาจมีการสอบถามเพิ่มเติมว่าพินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ ทั้งนี้ การเชิญให้ปากคำวันนี้มีเพียงพี่อ้อยที่ตำรวจนัดหมายมาเพียงคนเดียวเท่านั้น การให้ปากคำครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนในคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

    ต่อมาเมื่อเวลา 10.15 น. พี่อ้อย พร้อมผู้ติดตาม อีก 3 คน เดินทางมาถึงยัง บก.ป. โดยเข้าทางด้านหลังของอาคาร ผ่านลานจอดรถชั้น 2 ก่อนเข้าสู่ห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งตัวของพี่อ้อยปรากฏตัวในชุดแจ็คเก็ตสีขาวและหมวกสีชมพู โดยผู้ติดตาม 3 คน ยังถือถุงอาหารจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าเตรียมไว้สำหรับการรับประทานระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง

    #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม #พินัยกรรม
    "พี่อ้อย" โร่ให้ให้ปากคำกองปราบคดีถูก "ทนายตั้ม"โกงเพิ่มเติม ตำรวจเตรียมสอบประเด็นพินัยกรรมสอดไส้ ด้าน รอง ผบช.ก.เผยสอบครั้งนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนของคดี • วันนี้ ( 20 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญ น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือ "พี่อ้อย" มาให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีเงิน 71 ล้านบาท ที่ถูก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ฉ้อโกง โดยเน้นตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนใดขาดตกบกพร่อง และเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์และสำหรับประเด็นเรื่องพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ในการสืบสวนที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในวันนี้อาจมีการสอบถามเพิ่มเติมว่าพินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ ทั้งนี้ การเชิญให้ปากคำวันนี้มีเพียงพี่อ้อยที่ตำรวจนัดหมายมาเพียงคนเดียวเท่านั้น การให้ปากคำครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อความชัดเจนในคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการ • ต่อมาเมื่อเวลา 10.15 น. พี่อ้อย พร้อมผู้ติดตาม อีก 3 คน เดินทางมาถึงยัง บก.ป. โดยเข้าทางด้านหลังของอาคาร ผ่านลานจอดรถชั้น 2 ก่อนเข้าสู่ห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งตัวของพี่อ้อยปรากฏตัวในชุดแจ็คเก็ตสีขาวและหมวกสีชมพู โดยผู้ติดตาม 3 คน ยังถือถุงอาหารจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าเตรียมไว้สำหรับการรับประทานระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง • #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม #พินัยกรรม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองปราบเตรียมประสาน"พี่อ้อย" ให้ปากคำเพิ่มปม"ทนายตั้ม"วางแผนแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมขยายผลเอาผิดผู้ร่วมขบวนการอีก 1-2 ราย

    วันนี้ (19 พ.ย. ) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และพวกร่วมกันฉ้อโกงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย จำนวน 39 ล้านบาท ว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมาก สอบปากคำพยานบุคคลต่าง ๆ ไปแล้วจำนวนหลายปาก รวมถึงสืบพบพยานหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมหลายอย่าง ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ด้วยคดีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่จับตาของสังคม การดำเนินการต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องรอบคอบ ยึดข้อเท็จจริงพยานหลักฐานเป็นหลัก และอาจจะต้องมีการเรียกสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีกหลายปาก เพื่อให้กระจ่างชัด

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานกับพนักงานสอบสวนกองปราบ เมื่อวานที่ผ่านมานั้น พบว่า ข้อมูลที่พนักงานสอบสวนได้รับค่อนข้างเป็นประโยชน์กับรูปคดีอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร และ เรื่องขบวนการวางแผนตั้งทนายตั้ม เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งขณะนี้ชุดคลี่คลายคดีกองปราบกำลังให้ความสนใจตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเตรียมประสานไปยัง น.ส.จตุพร มาเข้าพบเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับทั้ง 2 เรื่องนี้อีกครั้ง

    อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ขณะนี้ เชื่อว่า การหลอกลวงเงินพี่อ้อย ของ นายษิทรา ทำกันเป็นขบวนการ และ น่าจะมีผู้เกี่ยวข้องคนอื่น ๆ ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก 1-2 ราย ซึ่งชุดคลี่คลายคดีของกองปราบเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดทนายตั้ม กับพวก ได้อย่างแน่นอน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด โดยในวันที่ 21 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ทางชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว จะมีการเรียกประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดีอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น

    #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม
    กองปราบเตรียมประสาน"พี่อ้อย" ให้ปากคำเพิ่มปม"ทนายตั้ม"วางแผนแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมขยายผลเอาผิดผู้ร่วมขบวนการอีก 1-2 ราย • วันนี้ (19 พ.ย. ) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และพวกร่วมกันฉ้อโกงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย จำนวน 39 ล้านบาท ว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมาก สอบปากคำพยานบุคคลต่าง ๆ ไปแล้วจำนวนหลายปาก รวมถึงสืบพบพยานหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมหลายอย่าง ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ด้วยคดีเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่จับตาของสังคม การดำเนินการต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องรอบคอบ ยึดข้อเท็จจริงพยานหลักฐานเป็นหลัก และอาจจะต้องมีการเรียกสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีกหลายปาก เพื่อให้กระจ่างชัด • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานกับพนักงานสอบสวนกองปราบ เมื่อวานที่ผ่านมานั้น พบว่า ข้อมูลที่พนักงานสอบสวนได้รับค่อนข้างเป็นประโยชน์กับรูปคดีอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร และ เรื่องขบวนการวางแผนตั้งทนายตั้ม เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งขณะนี้ชุดคลี่คลายคดีกองปราบกำลังให้ความสนใจตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเตรียมประสานไปยัง น.ส.จตุพร มาเข้าพบเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับทั้ง 2 เรื่องนี้อีกครั้ง • อย่างไรก็ตามจากพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ขณะนี้ เชื่อว่า การหลอกลวงเงินพี่อ้อย ของ นายษิทรา ทำกันเป็นขบวนการ และ น่าจะมีผู้เกี่ยวข้องคนอื่น ๆ ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก 1-2 ราย ซึ่งชุดคลี่คลายคดีของกองปราบเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดทนายตั้ม กับพวก ได้อย่างแน่นอน ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัด โดยในวันที่ 21 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ทางชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว จะมีการเรียกประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดีอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น • #MGROnline #พี่อ้อย #ทนายตั้ม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอง ผบช.ก. เผยคลิปเสียง "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์บอสดิไอคอน 20 ล้านมีมูล อาจเข้าข่ายข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ -เรียก "เอก สายไหม" ให้ปากคำชี้แจงปมกุเรื่องพยานเท็จวันนี้ (19 พ.ย.)

    วันนี้ ( 19 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคลิปเสียงตบทรัพย์ผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอน ว่า ได้รับการประสานมาจากนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล“ และ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่า วันนี้จะไปพบ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ “บอสปัน” เพื่อขอให้เซ็นมอบอำนาจก่อนเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีในวันนี้

    เมื่อถามว่าหลังทนายเข้าแจ้งความแล้วจะดำเนินการทันทีเลยหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประชุมคณะทำงานไปแล้ว พบว่า คดีที่เหลือของน.ส.กฤษองค์ มีทั้งหมด 3 คดี เรื่องแรกคือ ปมคลิปเสียงเงิน 20 ล้าน ,เรื่องที่ 2 คือ คดีหมิ่นประมาท ที่มีคลิปเสียงพาดพิงถึง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ เรื่องคลิปเสียงหมิ่นประมาทหนุ่ม กรรชัย ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานพยายามให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน โดยตำรวจจะเร่งเข้าไปสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องในเรือนจำด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000111249

    #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บอสดิไอคอน
    รอง ผบช.ก. เผยคลิปเสียง "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์บอสดิไอคอน 20 ล้านมีมูล อาจเข้าข่ายข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ -เรียก "เอก สายไหม" ให้ปากคำชี้แจงปมกุเรื่องพยานเท็จวันนี้ (19 พ.ย.) • วันนี้ ( 19 พ.ย.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคลิปเสียงตบทรัพย์ผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอน ว่า ได้รับการประสานมาจากนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล“ และ บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่า วันนี้จะไปพบ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ “บอสปัน” เพื่อขอให้เซ็นมอบอำนาจก่อนเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีในวันนี้ • เมื่อถามว่าหลังทนายเข้าแจ้งความแล้วจะดำเนินการทันทีเลยหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เบื้องต้นได้ประชุมคณะทำงานไปแล้ว พบว่า คดีที่เหลือของน.ส.กฤษองค์ มีทั้งหมด 3 คดี เรื่องแรกคือ ปมคลิปเสียงเงิน 20 ล้าน ,เรื่องที่ 2 คือ คดีหมิ่นประมาท ที่มีคลิปเสียงพาดพิงถึง น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ เรื่องคลิปเสียงหมิ่นประมาทหนุ่ม กรรชัย ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานพยายามให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน โดยตำรวจจะเร่งเข้าไปสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องในเรือนจำด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000111249 • #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บอสดิไอคอน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 587 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ยื่นหนังสือลาออกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกับ กกต.แล้ว หลังมีคลิปเสียงหลุด เรียกรับเงินบอสดิไอคอน จับตาจะมีหมายจับ-หมายเรียกจากตำรวจหรือไม่•วันนี้(18 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีตรองโฆษก และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นการยื่นลาออกต่อ กกต. หลังมีคลิปเสียงพัวพันการแอบอ้างชื่อพิธีกรรายการข่าวดังกรณีดิไอคอนกรุ๊ป•พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่า วันนี้ (18 พ.ย. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนว่าจะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับนายรัฐภูมิ หรือไม่ อีกด้วย•#MGROnline #ดิไอคอน #ฟิมล์รัฐภูมิ
    'ฟิล์ม รัฐภูมิ' ยื่นหนังสือลาออกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกับ กกต.แล้ว หลังมีคลิปเสียงหลุด เรียกรับเงินบอสดิไอคอน จับตาจะมีหมายจับ-หมายเรียกจากตำรวจหรือไม่•วันนี้(18 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" อดีตรองโฆษก และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเป็นการยื่นลาออกต่อ กกต. หลังมีคลิปเสียงพัวพันการแอบอ้างชื่อพิธีกรรายการข่าวดังกรณีดิไอคอนกรุ๊ป•พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่า วันนี้ (18 พ.ย. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนว่าจะออกหมายเรียกหรือออกหมายจับนายรัฐภูมิ หรือไม่ อีกด้วย•#MGROnline #ดิไอคอน #ฟิมล์รัฐภูมิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน.เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ .ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน.พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท.ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา.ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น.ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย.ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน.เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ .ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน.พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท.ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา.ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น.ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย.ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 818 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน
    .
    เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ
    .
    ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน
    .
    พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท
    .
    ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
    .
    ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
    .
    ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย
    .
    ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    จับขบวนการ‘แก๊งตั้ม’สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน . เรื่องคดีฉ้อโกงคุณจตุพร อุบลเลิศ เศรษฐินีคนปากช่องที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยฝีมือของคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับพวกนั้น มันมีความซับซ้อนและเกิดขึ้นหลายกรรมหลายวาระ จนกระทั่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตำรวจต้องดำเนินคดี "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" คือพูดภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ฉ้อโกงจนเป็นสันดาน" ในการโกง โกงแล้วโกงอีกๆ . ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมกฎหมายอาญา คือคดีฉ้อโกง กับกฎหมายคดีฟอกเงิน บูรณาการเข้ามา เป็นมาตรการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะได้ถือโอกาสยึด อายัดทรัพย์สิน . พฤติการณ์การฉ้อโกงที่มีการเปิดเผยกันตอนนี้มีอยู่ 4 คดี เรื่องแรกคือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หลอกให้คุณอ้อยทำแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ จำนวน 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร เรื่องที่สอง คือ เงินส่วนต่างซื้อรถเบนซ์ G400 จำนวน 1.5 ล้านบาท (นี่คือเงินส่วนต่าง) เรื่องที่สาม อ้างกรณีสแกมเมอร์คริปโต จำนวน 39 ล้านบาท เรื่องที่สี่ ค่าจ้างออกแบบโรงแรม จำนวน 9 ล้านบาท . ผมคิดว่าการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท นั้น ในภาพรวมท่านผู้ชมน่าจะกระจ่าง สิ้นข้อสงสัยแล้ว จากการชี้แจงของอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในรายการโหนกระแส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา . ประเด็นต่อมา คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเงิน 39 ล้านบาท คุณเกี่ยวข้องเข้าไปเต็มเท้าสองเท้าเลย เรื่องนี้มาโป๊ะแตก เพราะคณะทำงานของผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง "บิ๊กก้อง" สืบสวนสอบสวนพบความจริงว่า คนที่โอนเงินคริปโตให้พี่อ้อยคือ นายนุ นุวัฒน์ ไม่ใช่ "แซน" สารินี ซึ่งเป็นภรรยา ตามที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ นายนุ นุวัฒน์ ไม่เคยถูกระงับบัญชีเงินดิจิทัลใดๆ ทั้งสิ้น และ แซน สารินี ก็ไม่เคยโอนเงินคริปโตให้พี่อ้อย 7 ครั้ง จนถูกระงับบัญชีแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้ว ความเสียหายที่อ้างว่า 39 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น . ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความผิดปกติ สืบค้นได้จริง ออกหมายจับ นุ นุวัฒน์ และ แซน สารินี ตั้งแต่วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567 และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้กับทนายตั้ม ษิทรา ซึ่งอยู่ในเรือนจำด้วย . ถ้า พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผู้กำกับสถานีตำรวจตำรวจบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวจริง และเมื่อรู้ว่าข้อความการบันทึกประจำวันซ่อนรูปในรูปของการแจ้งความเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นแล้ว ท่านผู้กำกับ สน.บางซื่อ ควรดำเนินคดีกับคนที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมดในการลงบันทึกประจำวันปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แซน สารินี หรือ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ตาม
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1303 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตรียมปราบแก๊งตบทรัพย์ 'บิ๊กเต่า' สอบเข้มทุกกรณี คาดมีบอสโดนไถอีกเพียบ
    .
    มหากาพย์ข่าว The Icon เวลานี้ถือว่าขยายวงไปไกลมาก โดยไม่ได้มีเพียงเฉพาะการเอาผิดกับกลุ่มผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังพบขบวนการตบทรัพย์ของบรรดาของบุคคลที่สวมสูทแสร้งทำตัวเป็นคนดีด้วย โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง ที่มีการเรียกรับเงิน นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล
    .
    พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงความคึบหน้าในการสอบสวนนักตบทรัพย์ว่า กรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่มีการเรียกรับเงินจากบอสพอล จำนวน 300,000 บาท และ 450,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ไปแล้วถึง 80-90% และจะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นในส่วนนี้จะเข้าข่ายความผิดกรรโชกทรัพย์ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับ
    .
    บิ๊กเต่า ระบุอีกว่า ส่วนกรณีเรื่องต่อมาคือเรื่องใหม่ที่ทนายของ นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม กรรชัย ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีระหว่าง น.ส.กฤษอนงค์ กับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ที่มีการกล่าวอ้างชื่อหนุ่ม กรรชัย และรายการโหนกระแสไปเรียกรับเงินจากบอสปันและบอสพอล จำนวน 20 ล้านบาทนั้น ในส่วนนี้เป็นความรับผิดชอบของ กก.1 บก.ป. เบื้องต้นในส่วนที่หนุ่ม กรรชัย แจ้งความเอาผิด 2 บุคคลดังกล่าวในข้อหาพยายามฉ้อโกงและหมิ่นประมาท และจากหลักฐานที่ได้มายืนยันว่าคลิปเสียงไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด และขณะนี้ก็ได้มีการประสานทนายบอสพอลเพื่อให้นำหลักฐานต่างๆ มาร้องทุกข์ แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งทนายบอสพอลยืนยันว่าจะดำเนินคดีด้วย และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด
    .
    "คาดว่ายังมีบอสอีกหลายคนที่ถูกกระทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ขอทำเป็นเรื่องๆ ไปก่อน" บิ๊กเต่า ระบุ
    .
    ด้าน นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า ยอมรับว่าเสียงผู้หญิงในคลิปบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นตัวเองจริง แต่คลิปเสียงมีการตัดตอนออกบางช่วง ส่วนจำนวนเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นค่าแผนงานโครงสร้างธุรกิจ เช่น งบประชาสัมพันธ์, เงินเยียวยาผู้เสียหาย โดยเงินจำนวนนี้เกิดจากพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทดิไอคอน ที่ประเมินมูลค่าแผนงานดังกล่าวมาจากขนาดธุรกิจ
    .
    ไที่ตัวเองตกเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดีดิไอคอน จำนวน 89 คน ให้ได้รับเงินเยียวยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียผลประโยชน์มีความแค้น"
    ..............
    Sondhi X
    เตรียมปราบแก๊งตบทรัพย์ 'บิ๊กเต่า' สอบเข้มทุกกรณี คาดมีบอสโดนไถอีกเพียบ . มหากาพย์ข่าว The Icon เวลานี้ถือว่าขยายวงไปไกลมาก โดยไม่ได้มีเพียงเฉพาะการเอาผิดกับกลุ่มผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังพบขบวนการตบทรัพย์ของบรรดาของบุคคลที่สวมสูทแสร้งทำตัวเป็นคนดีด้วย โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง ที่มีการเรียกรับเงิน นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล . พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงความคึบหน้าในการสอบสวนนักตบทรัพย์ว่า กรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่มีการเรียกรับเงินจากบอสพอล จำนวน 300,000 บาท และ 450,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ไปแล้วถึง 80-90% และจะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นในส่วนนี้จะเข้าข่ายความผิดกรรโชกทรัพย์ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับ . บิ๊กเต่า ระบุอีกว่า ส่วนกรณีเรื่องต่อมาคือเรื่องใหม่ที่ทนายของ นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม กรรชัย ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีระหว่าง น.ส.กฤษอนงค์ กับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ที่มีการกล่าวอ้างชื่อหนุ่ม กรรชัย และรายการโหนกระแสไปเรียกรับเงินจากบอสปันและบอสพอล จำนวน 20 ล้านบาทนั้น ในส่วนนี้เป็นความรับผิดชอบของ กก.1 บก.ป. เบื้องต้นในส่วนที่หนุ่ม กรรชัย แจ้งความเอาผิด 2 บุคคลดังกล่าวในข้อหาพยายามฉ้อโกงและหมิ่นประมาท และจากหลักฐานที่ได้มายืนยันว่าคลิปเสียงไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด และขณะนี้ก็ได้มีการประสานทนายบอสพอลเพื่อให้นำหลักฐานต่างๆ มาร้องทุกข์ แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งทนายบอสพอลยืนยันว่าจะดำเนินคดีด้วย และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด . "คาดว่ายังมีบอสอีกหลายคนที่ถูกกระทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ขอทำเป็นเรื่องๆ ไปก่อน" บิ๊กเต่า ระบุ . ด้าน นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า ยอมรับว่าเสียงผู้หญิงในคลิปบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นตัวเองจริง แต่คลิปเสียงมีการตัดตอนออกบางช่วง ส่วนจำนวนเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นค่าแผนงานโครงสร้างธุรกิจ เช่น งบประชาสัมพันธ์, เงินเยียวยาผู้เสียหาย โดยเงินจำนวนนี้เกิดจากพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทดิไอคอน ที่ประเมินมูลค่าแผนงานดังกล่าวมาจากขนาดธุรกิจ . ไที่ตัวเองตกเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดีดิไอคอน จำนวน 89 คน ให้ได้รับเงินเยียวยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียผลประโยชน์มีความแค้น" .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1375 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1029 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts