• รู้แล้วว่าทำไมญี่ปุ่นไม่จัดการเขมรเรื่องวางกับระเบิดใส่แผ่นดินไทยเสียทีและเด็ดขาดจริงจังกับเขมรในบทลงโทษเขมรเพราะญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในเขมรมากมายนั้นเอง.ตลอดญี่ปุ่นขี้ข้าฝรั่งเศสอเมริกาตัวจริงด้วยหมายแทรกแซงไทยอยากได้ทรัพยากรน้ำมันในอ่าวไทยกว่า20ล้านล้านบาทไปแบ่งกับเขมรด้วย,จึงตาเหลือกเข้าข้างช่วยเขมรเช่นกรณีเปิดด่านจนลืมปิดบังตัวตนสิ้นเหมือนในอดีตที่หลบซ่อนเสียนาน,
    ..อยากเห็นเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธถล่มญี่ปุ่นจริงๆ ไทยจะได้บอกญี่ปุ่นอย่าตอบโต้เขมรแบบไทยนะหรือแบนเกาหลีเหนือก็ว่า.,ญี่ปุ่นตัวร้ายให้ไทยเราสูญเสียพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ โดนไม่ช่วยห่าอะไรเลยก็ด้วย.,กะทำสงครามยึดบุกไปทั่ว,มักใหญ่ใฝ่สูงโดยสันดานทั้งประเทศ คือบุกรุกรานเอาเปรียบคนอื่นเมื่อตนได้เปรียบเขาแบบทำกับจีน เด็กๆจีนอย่างทารุนโหดเหี้ยมซึ่งเด็กๆไม่เกี่ยวอะไรเลย,ในการขยายอาณาเขตตนผ่านสงคราม สันดานเดียวกับเขมรแดง เด็กๆฆ่าไม่เว้น,จึงไม่แปลกใจที่ช่วยเหลือเขมร,มิตรไส้ศึกตัวพ่อประจำประเทศไทย อยู่ไทยเป็นสายให้อเมริกาเขมรว่าไทยคบจีนตนจะเดือดร้อนอะไร,ล็อบบี้รัฐบาลไทยบ๋อยอเมริกาจัดการจีน,บางทีรัฐบาลไทยก็ทำไม่ได้ จึงฟรีภาษีจีนนำเข้าก็มากทั้งจีนกดดันด้วยก็ไม่ปาน,
    ..เดอะแก๊งฝรั่งฝังตัวในไทยเป็นอันมาก,บางทีเราอาจต้องประสานจีนช่วยกำจัดเทาๆฝรั่งและเทาๆจีนด้วย อาจขายข้อมูลจีนให้ฝรั่งเทาๆนีัจากจีนเทาๆฆ่าจีนแท้ในไทยก็ด้วย.
    ..

    ..https://youtube.com/watch?v=0AcZ34sVKMg&si=o7OYI4WWChxptkxL
    รู้แล้วว่าทำไมญี่ปุ่นไม่จัดการเขมรเรื่องวางกับระเบิดใส่แผ่นดินไทยเสียทีและเด็ดขาดจริงจังกับเขมรในบทลงโทษเขมรเพราะญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในเขมรมากมายนั้นเอง.ตลอดญี่ปุ่นขี้ข้าฝรั่งเศสอเมริกาตัวจริงด้วยหมายแทรกแซงไทยอยากได้ทรัพยากรน้ำมันในอ่าวไทยกว่า20ล้านล้านบาทไปแบ่งกับเขมรด้วย,จึงตาเหลือกเข้าข้างช่วยเขมรเช่นกรณีเปิดด่านจนลืมปิดบังตัวตนสิ้นเหมือนในอดีตที่หลบซ่อนเสียนาน, ..อยากเห็นเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธถล่มญี่ปุ่นจริงๆ ไทยจะได้บอกญี่ปุ่นอย่าตอบโต้เขมรแบบไทยนะหรือแบนเกาหลีเหนือก็ว่า.,ญี่ปุ่นตัวร้ายให้ไทยเราสูญเสียพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ โดนไม่ช่วยห่าอะไรเลยก็ด้วย.,กะทำสงครามยึดบุกไปทั่ว,มักใหญ่ใฝ่สูงโดยสันดานทั้งประเทศ คือบุกรุกรานเอาเปรียบคนอื่นเมื่อตนได้เปรียบเขาแบบทำกับจีน เด็กๆจีนอย่างทารุนโหดเหี้ยมซึ่งเด็กๆไม่เกี่ยวอะไรเลย,ในการขยายอาณาเขตตนผ่านสงคราม สันดานเดียวกับเขมรแดง เด็กๆฆ่าไม่เว้น,จึงไม่แปลกใจที่ช่วยเหลือเขมร,มิตรไส้ศึกตัวพ่อประจำประเทศไทย อยู่ไทยเป็นสายให้อเมริกาเขมรว่าไทยคบจีนตนจะเดือดร้อนอะไร,ล็อบบี้รัฐบาลไทยบ๋อยอเมริกาจัดการจีน,บางทีรัฐบาลไทยก็ทำไม่ได้ จึงฟรีภาษีจีนนำเข้าก็มากทั้งจีนกดดันด้วยก็ไม่ปาน, ..เดอะแก๊งฝรั่งฝังตัวในไทยเป็นอันมาก,บางทีเราอาจต้องประสานจีนช่วยกำจัดเทาๆฝรั่งและเทาๆจีนด้วย อาจขายข้อมูลจีนให้ฝรั่งเทาๆนีัจากจีนเทาๆฆ่าจีนแท้ในไทยก็ด้วย. .. ..https://youtube.com/watch?v=0AcZ34sVKMg&si=o7OYI4WWChxptkxL
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 7 – ถังความคิด
    ทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 7 : ถังความคิด
    แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในกำมือพวกนายทุนใหญ่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาบอกว่าแค่อยู่ในมือเรา มันไม่อยู่นาน (พวกนี้คิดรอบคอบ) เราต้องสร้างพรรคพวก ต้องทำให้สังคม โดยเฉพาะสังคมในระดับสูง เห็นคล้อยตามเราด้วย ประเภทเราว่าไงเขาต้องว่าตามกัน มันจะได้คุม (หลอก) กัน ง่ายๆ หน่อย แล้วจะทำให้พวกคนในสังคมระดับสูงเขาเห็นพ้องด้วยได้อย่างไรล่ะ คนพวกนี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่จะให้เรียกให้มาประชุมคงไม่ง่ายนักหรอก พวกเขาหยิ่งยะโสเล่นตัวกันจะตาย แต่จะให้เดินสายไปคุยด้วยทีละราย กว่าจะรู้เรื่องเห็นพ้องกันหมด พวกตูก็แก่ตายหมด ไม่ได้ครองโลกกันเสียที !
    นายทุนใหญ่ ทั้งหลายจึงสรุปว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมอบให้ใครมันไปช่วยคิดช่วยทำให้เราดีกว่านะ รวยแล้ว อย่าต้องลงมือลงแรงเองหมด ใช้ให้ผีมันโม่แป้งแทนก็แล้วกัน แล้วพวกเขาก็ตั้งสถาบันประเภทนักคิด (think tank มาแล้ว) เพื่อให้มีหน้าที่จัดการคิด การชี้นำสังคม วิธีล้อมคอกพวกคนรวย (อื่นๆ) คนในสังคมชั้นสูงจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ สื่อ และแม้แต่พวกคุณทหาร เข้ามารับความเข้าใจ และควบคุมความคิดของบุคคลเหล่า นั้น ให้เป็นไปในทิศทางเดียว กับที่นายทุนใหญ่ต้องการ เข้าใจไหม มันเป็นการย้อมความคิด โดยคนถูกย้อมไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกย้อมสมอง ย้อมความคิด เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรแบบ นั้น พวกโลกสวยคงกำลังคิดในใจ ฮา มันเป็นวิธีที่เฉียบมาก จูงจมูกคนรวย หรือคนมีอำนาจ หรือนักวิชาการด้วยกัน นี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ หรือว่ามันก็ไม่ยากเกิน คนรวย คนมีอำนาจ นักวิชาการ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป ฮา อีกหน
    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มนักวิชาการชาวอเมริกัน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพสถานการณ์ ให้ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ฟังเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของอเมริกา ในกรณีที่สงครามโลกจบและ Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันหล่นจากบัลลังก์ นักวิชาการกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม The Inquiry เวลาวาดภาพให้ประธานาธิบดีฟัง เขามีวิธี เขาใช้วิธีเล่าผ่านคนสนิทที่ประธานาธิบดีเชื่อใจอย่างมาก (จำวิธีนี้กันไว้นะครับ เขาใช้กันทั้งนั้น ปากก็บอกผมไม่เคยเจรจา ไม่เคยพูด แต่ให้คนสนิทเป็นคนพูด ไม่ได้โกหกนี่หว่า !) นายคนสนิท ชื่อ พันเอก Edward M. House นี้สำคัญมาก เป็นผู้เดินสาส์นลับของประธานาธิบดี กับฝ่ายยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ.1914 จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนด้วยในช่วง ค.ศ.1917 ปากก็บอกว่าฉันสันโดษ Isolist แต่ส่งคนเดินสาส์น จนซ่นร้องเท้าสึกไปหลายคู่ นักการเมืองก็เป็นยังงี้ทั้งนั้น และไม่ว่าพันธุ์เทศ พันธุ์ไทย ปากก็พูดไปอย่าง แล้วก็ไปทำอีก 3 อย่าง คนละเรื่องกัน ท่านนายพันเอก House นี้ เป็นคนสำคัญในการผลักและดันให้ประธานาธิบดี Wilson เห็นชอบในการที่อเมริกาจัดตั้งระบบ Federal Reserve (ตกลงคุณ House นี้ เป็นพวกใครกันแน่ !)
    กลุ่ม The Enquiry นี้เอง เป็นผู้ปูทางการสร้าง the Council on Foreign Relations (CFR) CFR เป็น think tank ถังความคิด ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงปัจจุบัน
    เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919 กลุ่มนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งกลุ่ม The Inquiry นั่งสุมหัววางแผนกันที่โรงแรม the Majestic ในปารีส เพื่อที่จะร่วมกันตั้งสถาบันเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ โดยมีสาขาหนึ่งที่ London และอีกสาขาหนึ่งที่ New York เมื่อบรรดาพวกไปสุมหัวกลับมาถึง New York ก็รายงานผลการคุย ให้กับนักการเงินและนักกฏหมายที่ New York (นายทุนตัวจริง !) ฟัง ทุกคนไชโยโห่ตบมือเป่าปากกับข้อสรุปที่ตกลงกันมา แน่นอนคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใครเกิน นาย Cecil Rhodes นักล่ารุ่นเก๋า ที่แค่ซ่อนเขี้ยวของตัวเองให้มิดชิด นักล่ารุ่นกะเตาะ ก็นึกว่านักล่ารุ่นเก๋าเขี้ยวหลุดหมดปากไปแล้ว แหม ! หลอกง่ายจัง นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ ฉลาดกว่ารุ่นโบราณ ! แต่ในที่สุดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มันคงแปร่งหูเกินกว่าคนอังกฤษจะทนฟังได้ สถาบันนักชักใย CFR เลยเปลี่ยนแผนแยกตัวเป็น 2 แขนง แต่มาจากตอเดียวกัน ต่างคนต่างไปตั้งกลุ่มของพวกตัวเอง อังกฤษกลุ่มหนึ่ง อเมริกากลุ่มหนึ่ง แต่ยังจับมือกอดแขนจิกหัวกันไว้ ยังไงก็ต้องร่วมมือใกล้ชิด ก็คิดจะครองโลกด้วยกัน
    The Milner Group ของก๊วนนาย Cecil Rhodes รับบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้ง Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ถังความคิด think tank สัญชาติอังกฤษ ในปี ค.ศ.1919 ส่วนกลุ่ม The Inquiry ก็รับมอบหน้าที่ไปตั้ง Council of Foreign Relations think tank สัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ.1921
    นอกจากนี้ ยังมีองค์กรลับที่มีแนวคิดเดียวกับ Milner Group ทยอยเกิดขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศ เขาเรียกกลุ่มพวกนี้ว่าพวกโต๊ะ กลม เอามาจากอัศวินโต๊ะกลม Knights of the Round Table สมัย King Arthur ของอังกฤษนั่นแหละ Round Table Groups ในบรรดาพวกโต๊ะกลม โต๊ะใหญ่ในกลุ่มนี้ก็คือ Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ที่ลดหลั่นลงมาก็มี โต๊ะกลม Canada, Australia, New Zealand, South Africa และ India จักรภพอังกฤษถึงล่มก็ยังไม่สลาย ดึงเอาลูกกะเป๋งเก่า ตามมาเข้าขบวนตั้งโต๊ะกลมด้วย กลุ่มโต๊ะกลมนี้ ก็คือ กลุ่มถังความคิด (think tank) นานาชาติรุ่นแรก ซึ่งยังดำเนินการอย่างแข็งขัน และมีอิทธิพลในแต่ละประเทศของตัว จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะเป็นรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นมาตลอด รักษาตำแหน่งไว้ไม่เคยปล่อยให้ตกอันดับ
    ส่วนถังความคิดรุ่นใหญ่ในอเมริกา ที่ได้รับความนิยมตาม CFR มาติดๆ ก็มี Brookings Institution, Carnegie Endowment for International Peace, RAND Corporation, Heritage Foundation, Woodrow Wilson International Centre for Scholars, the Centre for Strategic and International Studies และ American Enterprise Institute (นักอ่านนิทานท่านใด ที่อยากรู้วิธีคิด หรืออยากรู้ว่านักล่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ อยากติดตามด้วยตัวเองก็ค้นได้จากอากู กดชื่อตัวถัง พวกนี้แหละครับ มีเรื่องให้อ่านเพียบเลย)
    สำหรับถังความคิดที่ไม่ได้สังกัดกับอเมริกา ก็จะมี Chatham House เป็นถังหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ เป็นที่นับหน้าถือตา มีอิทธิพล ทำนองเดียวกับ CFR, the International Institute for Strategic Studies in the UK, the German Council on Foreign Relation, the Adam Smith Institute in the UK, the Fraser Institute ใน Canada, the European Council on Foreign Relations, the International Crisis Group in Belgium และ Canadian Institute of International Affairs
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 7 – ถังความคิด ทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 7 : ถังความคิด แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในกำมือพวกนายทุนใหญ่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาบอกว่าแค่อยู่ในมือเรา มันไม่อยู่นาน (พวกนี้คิดรอบคอบ) เราต้องสร้างพรรคพวก ต้องทำให้สังคม โดยเฉพาะสังคมในระดับสูง เห็นคล้อยตามเราด้วย ประเภทเราว่าไงเขาต้องว่าตามกัน มันจะได้คุม (หลอก) กัน ง่ายๆ หน่อย แล้วจะทำให้พวกคนในสังคมระดับสูงเขาเห็นพ้องด้วยได้อย่างไรล่ะ คนพวกนี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่จะให้เรียกให้มาประชุมคงไม่ง่ายนักหรอก พวกเขาหยิ่งยะโสเล่นตัวกันจะตาย แต่จะให้เดินสายไปคุยด้วยทีละราย กว่าจะรู้เรื่องเห็นพ้องกันหมด พวกตูก็แก่ตายหมด ไม่ได้ครองโลกกันเสียที ! นายทุนใหญ่ ทั้งหลายจึงสรุปว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมอบให้ใครมันไปช่วยคิดช่วยทำให้เราดีกว่านะ รวยแล้ว อย่าต้องลงมือลงแรงเองหมด ใช้ให้ผีมันโม่แป้งแทนก็แล้วกัน แล้วพวกเขาก็ตั้งสถาบันประเภทนักคิด (think tank มาแล้ว) เพื่อให้มีหน้าที่จัดการคิด การชี้นำสังคม วิธีล้อมคอกพวกคนรวย (อื่นๆ) คนในสังคมชั้นสูงจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ สื่อ และแม้แต่พวกคุณทหาร เข้ามารับความเข้าใจ และควบคุมความคิดของบุคคลเหล่า นั้น ให้เป็นไปในทิศทางเดียว กับที่นายทุนใหญ่ต้องการ เข้าใจไหม มันเป็นการย้อมความคิด โดยคนถูกย้อมไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกย้อมสมอง ย้อมความคิด เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรแบบ นั้น พวกโลกสวยคงกำลังคิดในใจ ฮา มันเป็นวิธีที่เฉียบมาก จูงจมูกคนรวย หรือคนมีอำนาจ หรือนักวิชาการด้วยกัน นี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ หรือว่ามันก็ไม่ยากเกิน คนรวย คนมีอำนาจ นักวิชาการ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป ฮา อีกหน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มนักวิชาการชาวอเมริกัน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพสถานการณ์ ให้ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ฟังเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของอเมริกา ในกรณีที่สงครามโลกจบและ Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันหล่นจากบัลลังก์ นักวิชาการกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม The Inquiry เวลาวาดภาพให้ประธานาธิบดีฟัง เขามีวิธี เขาใช้วิธีเล่าผ่านคนสนิทที่ประธานาธิบดีเชื่อใจอย่างมาก (จำวิธีนี้กันไว้นะครับ เขาใช้กันทั้งนั้น ปากก็บอกผมไม่เคยเจรจา ไม่เคยพูด แต่ให้คนสนิทเป็นคนพูด ไม่ได้โกหกนี่หว่า !) นายคนสนิท ชื่อ พันเอก Edward M. House นี้สำคัญมาก เป็นผู้เดินสาส์นลับของประธานาธิบดี กับฝ่ายยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ.1914 จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนด้วยในช่วง ค.ศ.1917 ปากก็บอกว่าฉันสันโดษ Isolist แต่ส่งคนเดินสาส์น จนซ่นร้องเท้าสึกไปหลายคู่ นักการเมืองก็เป็นยังงี้ทั้งนั้น และไม่ว่าพันธุ์เทศ พันธุ์ไทย ปากก็พูดไปอย่าง แล้วก็ไปทำอีก 3 อย่าง คนละเรื่องกัน ท่านนายพันเอก House นี้ เป็นคนสำคัญในการผลักและดันให้ประธานาธิบดี Wilson เห็นชอบในการที่อเมริกาจัดตั้งระบบ Federal Reserve (ตกลงคุณ House นี้ เป็นพวกใครกันแน่ !) กลุ่ม The Enquiry นี้เอง เป็นผู้ปูทางการสร้าง the Council on Foreign Relations (CFR) CFR เป็น think tank ถังความคิด ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงปัจจุบัน เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919 กลุ่มนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งกลุ่ม The Inquiry นั่งสุมหัววางแผนกันที่โรงแรม the Majestic ในปารีส เพื่อที่จะร่วมกันตั้งสถาบันเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ โดยมีสาขาหนึ่งที่ London และอีกสาขาหนึ่งที่ New York เมื่อบรรดาพวกไปสุมหัวกลับมาถึง New York ก็รายงานผลการคุย ให้กับนักการเงินและนักกฏหมายที่ New York (นายทุนตัวจริง !) ฟัง ทุกคนไชโยโห่ตบมือเป่าปากกับข้อสรุปที่ตกลงกันมา แน่นอนคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใครเกิน นาย Cecil Rhodes นักล่ารุ่นเก๋า ที่แค่ซ่อนเขี้ยวของตัวเองให้มิดชิด นักล่ารุ่นกะเตาะ ก็นึกว่านักล่ารุ่นเก๋าเขี้ยวหลุดหมดปากไปแล้ว แหม ! หลอกง่ายจัง นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ ฉลาดกว่ารุ่นโบราณ ! แต่ในที่สุดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มันคงแปร่งหูเกินกว่าคนอังกฤษจะทนฟังได้ สถาบันนักชักใย CFR เลยเปลี่ยนแผนแยกตัวเป็น 2 แขนง แต่มาจากตอเดียวกัน ต่างคนต่างไปตั้งกลุ่มของพวกตัวเอง อังกฤษกลุ่มหนึ่ง อเมริกากลุ่มหนึ่ง แต่ยังจับมือกอดแขนจิกหัวกันไว้ ยังไงก็ต้องร่วมมือใกล้ชิด ก็คิดจะครองโลกด้วยกัน The Milner Group ของก๊วนนาย Cecil Rhodes รับบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้ง Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ถังความคิด think tank สัญชาติอังกฤษ ในปี ค.ศ.1919 ส่วนกลุ่ม The Inquiry ก็รับมอบหน้าที่ไปตั้ง Council of Foreign Relations think tank สัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ.1921 นอกจากนี้ ยังมีองค์กรลับที่มีแนวคิดเดียวกับ Milner Group ทยอยเกิดขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศ เขาเรียกกลุ่มพวกนี้ว่าพวกโต๊ะ กลม เอามาจากอัศวินโต๊ะกลม Knights of the Round Table สมัย King Arthur ของอังกฤษนั่นแหละ Round Table Groups ในบรรดาพวกโต๊ะกลม โต๊ะใหญ่ในกลุ่มนี้ก็คือ Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ที่ลดหลั่นลงมาก็มี โต๊ะกลม Canada, Australia, New Zealand, South Africa และ India จักรภพอังกฤษถึงล่มก็ยังไม่สลาย ดึงเอาลูกกะเป๋งเก่า ตามมาเข้าขบวนตั้งโต๊ะกลมด้วย กลุ่มโต๊ะกลมนี้ ก็คือ กลุ่มถังความคิด (think tank) นานาชาติรุ่นแรก ซึ่งยังดำเนินการอย่างแข็งขัน และมีอิทธิพลในแต่ละประเทศของตัว จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะเป็นรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นมาตลอด รักษาตำแหน่งไว้ไม่เคยปล่อยให้ตกอันดับ ส่วนถังความคิดรุ่นใหญ่ในอเมริกา ที่ได้รับความนิยมตาม CFR มาติดๆ ก็มี Brookings Institution, Carnegie Endowment for International Peace, RAND Corporation, Heritage Foundation, Woodrow Wilson International Centre for Scholars, the Centre for Strategic and International Studies และ American Enterprise Institute (นักอ่านนิทานท่านใด ที่อยากรู้วิธีคิด หรืออยากรู้ว่านักล่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ อยากติดตามด้วยตัวเองก็ค้นได้จากอากู กดชื่อตัวถัง พวกนี้แหละครับ มีเรื่องให้อ่านเพียบเลย) สำหรับถังความคิดที่ไม่ได้สังกัดกับอเมริกา ก็จะมี Chatham House เป็นถังหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ เป็นที่นับหน้าถือตา มีอิทธิพล ทำนองเดียวกับ CFR, the International Institute for Strategic Studies in the UK, the German Council on Foreign Relation, the Adam Smith Institute in the UK, the Fraser Institute ใน Canada, the European Council on Foreign Relations, the International Crisis Group in Belgium และ Canadian Institute of International Affairs คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา
    ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ)
    แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่
    ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป
    ฝั่งอเมริกา
    – Goldman Sachs
    – Rockefellers
    – Lehman of New York
    – Kuhn Loebs of New York
    ฝั่งอังกฤษและยุโรป
    – Rothschilds of Paris, London
    – Warburg of Hamburg
    – Lazards of Paris
    – Israel Moses Seifs of Rome
    กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง
    ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973
    รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก
    BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน
    คนเล่านิทาน
    30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 6 – พระเจ้าเงินตรา นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอ ย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ) แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่ ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป ฝั่งอเมริกา – Goldman Sachs – Rockefellers – Lehman of New York – Kuhn Loebs of New York ฝั่งอังกฤษและยุโรป – Rothschilds of Paris, London – Warburg of Hamburg – Lazards of Paris – Israel Moses Seifs of Rome กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศ แถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973 รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน คนเล่านิทาน 30 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 203 Views 0 Reviews
  • ..ส่วนตัวไทยต้องจัดการเขมรเองเพราะเขมรต้องถูกไทยเด็ดหัวสถานเดียว,ทำไม เพราะไทยปะทะกับเขมรแต่เริ่มแรก มิสามารถให้มหาอำนาจแบบรัสเชีย แบบจีน แบบอเมริกาฝรั่งเศสมาใช้เขมรเป็นฐานสงครามความขัดแย้งระดับมหาอำนาจได้ซึ่งอาจนำไปสู่สมรภูมิสงครามโลกครั้งที่3ได้,ลาว เวียดนามจริงๆไม่สามารถมายุ่งได้ ญี่ปุ่นที่บีบไทยขี้ข้าอเมริกาก็ไม่สมควรกระโดดสร้างมุกเข้ามายุ่งวุ่นวายขยายความขีดแย้งได้ด้วย,สมรังสีคือคนของอีลิทฝรั่งเศสอีก มาปกครองเขมรก็เป็นภัยศัตรูของไทยเหมือนเดิมเพราะขี้ข้าทาสรับใช้ชาติยุโรปอเมริกาฝรั่งเศสๆคือศัตรูตัวจริงของได้แน่นอนด้วย, จีนก็ไม่ปลื้มด้วยมิใช่แค่ไทยไม่ปลื้มกับมัน,
    ..ไทยต้องเด็ดหัวฮุนเซนและฮุนมาเนตข้อหาอาชญากรสงครามต่อไทยสถานเดียว.
    ..เพื่อมิให้ภูมิภาคนี้เป็นกระดานให้ใครมาเล่นมาสร้างความวุ่นวายความแตกแยกโกลาหลไม่สงบสุขสันติอีกตลอดไป.



    https://youtube.com/shorts/XjfPKMjTTXM?si=oGmle7P2sws0hArD
    ..ส่วนตัวไทยต้องจัดการเขมรเองเพราะเขมรต้องถูกไทยเด็ดหัวสถานเดียว,ทำไม เพราะไทยปะทะกับเขมรแต่เริ่มแรก มิสามารถให้มหาอำนาจแบบรัสเชีย แบบจีน แบบอเมริกาฝรั่งเศสมาใช้เขมรเป็นฐานสงครามความขัดแย้งระดับมหาอำนาจได้ซึ่งอาจนำไปสู่สมรภูมิสงครามโลกครั้งที่3ได้,ลาว เวียดนามจริงๆไม่สามารถมายุ่งได้ ญี่ปุ่นที่บีบไทยขี้ข้าอเมริกาก็ไม่สมควรกระโดดสร้างมุกเข้ามายุ่งวุ่นวายขยายความขีดแย้งได้ด้วย,สมรังสีคือคนของอีลิทฝรั่งเศสอีก มาปกครองเขมรก็เป็นภัยศัตรูของไทยเหมือนเดิมเพราะขี้ข้าทาสรับใช้ชาติยุโรปอเมริกาฝรั่งเศสๆคือศัตรูตัวจริงของได้แน่นอนด้วย, จีนก็ไม่ปลื้มด้วยมิใช่แค่ไทยไม่ปลื้มกับมัน, ..ไทยต้องเด็ดหัวฮุนเซนและฮุนมาเนตข้อหาอาชญากรสงครามต่อไทยสถานเดียว. ..เพื่อมิให้ภูมิภาคนี้เป็นกระดานให้ใครมาเล่นมาสร้างความวุ่นวายความแตกแยกโกลาหลไม่สงบสุขสันติอีกตลอดไป. https://youtube.com/shorts/XjfPKMjTTXM?si=oGmle7P2sws0hArD
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่
    CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก)
    โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล
    แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว
    แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ !
    ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !)
    นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !)
    ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 2 – ทุ่งใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่ CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก) โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ ! ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จ ได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !) นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า “Grand Area” ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
– ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
– ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
– เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
– เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !) ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย หรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม
    อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้
    แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน
    แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร
    นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire !
    เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง
    ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า
    ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย
    ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ)
    ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
    แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ
    คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้าไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire ! เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอ ยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลัก ดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการ เมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 – 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ คนเล่านิทาน
29 พค. 57
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • สมมุติว่า ตัวจริงตายไปแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทยครั้งแรก จะขังใคร.

    สมมุติว่า ตัวจริงอยู่ดูไบซึ่งตัวจริงนั้นล่ะบินำปดูไบ,แต่ตอนกลับมาจากดูไบ มันคือตัวปลอม ตัวโคลน ตัวใส่หน้ากากโทนี่ จะขังใคร ขังอะไร.
    ..สมมุติว่าเรา..ประชาชนถูกหลอก ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร,ความจริงคือจะเปิดเผยตอนไหน ก็น่าสงสัยอีก.

    ..https://youtube.com/shorts/00wGpxtBJSw?si=TFASWLV45ZpNngNI
    สมมุติว่า ตัวจริงตายไปแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาประเทศไทยครั้งแรก จะขังใคร. สมมุติว่า ตัวจริงอยู่ดูไบซึ่งตัวจริงนั้นล่ะบินำปดูไบ,แต่ตอนกลับมาจากดูไบ มันคือตัวปลอม ตัวโคลน ตัวใส่หน้ากากโทนี่ จะขังใคร ขังอะไร. ..สมมุติว่าเรา..ประชาชนถูกหลอก ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร,ความจริงคือจะเปิดเผยตอนไหน ก็น่าสงสัยอีก. ..https://youtube.com/shorts/00wGpxtBJSw?si=TFASWLV45ZpNngNI
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • ที่แท้..“อนุทิน สั่ง บิ๊กเล็ก” แบบนี้นี่เอง! (11/9/68)
    #เบื้องหลังคำสั่งนายกหนู #อนุทินสั่งบิ๊กเล็ก #ใครสั่งใครแน่ #ผู้นำตัวจริงคือใคร #เปิดด่านคำสั่งมาจากบน #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst
    ที่แท้..“อนุทิน สั่ง บิ๊กเล็ก” แบบนี้นี่เอง! (11/9/68) #เบื้องหลังคำสั่งนายกหนู #อนุทินสั่งบิ๊กเล็ก #ใครสั่งใครแน่ #ผู้นำตัวจริงคือใคร #เปิดด่านคำสั่งมาจากบน #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 0 Reviews
  • หนุ่มสุดจะทน ถามพรรคส้ม มีจุก (10/9/68)
    #หนุ่มไทยถามตรงๆ #พรรคส้มมีจุก #จี้จุดจนเถียงไม่ออก #เสียงจากประชาชนตัวจริง #ไม่ไหวจะทนแล้ว #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts
    หนุ่มสุดจะทน ถามพรรคส้ม มีจุก (10/9/68) #หนุ่มไทยถามตรงๆ #พรรคส้มมีจุก #จี้จุดจนเถียงไม่ออก #เสียงจากประชาชนตัวจริง #ไม่ไหวจะทนแล้ว #TruthFromThailand #news1 #thaitimes #shorts
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 0 Reviews
  • อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง

    ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ

    4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง

    นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้

    อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว

    #Newskit
    อนุทินกำจัดจุดอ่อน ฟอร์ม ครม.คนนอก-ฟื้นคนละครึ่ง ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังลาออกจากรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ต้องการเก้าอี้คืน แล้วตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในที่สุดดีลโหวตเลือกนายกฯ กับพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ก็ลงตัว ชนะนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย 311 ต่อ 152 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 4 ปัญหาบ้านเมืองที่นายอนุทินจะแก้ไข คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม จึงได้พบเห็นการฟอร์มรัฐมนตรีคนนอก ได้แก่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ จะมาเป็น รมว.คลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตซีอีโอ ปตท. และ โออาร์ จะมาเป็น รมว.พลังงาน และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะมาเป็น รมว.ต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า อยากได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานได้เลย ไม่ต้องเรียนรู้งานอะไรมาก สร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้ และล่าสุด เปิดตัวนายวรภัค ธันยาวงษ์ ประธานที่ปรึกษา นายพิชัย ชุณหวชิร อดีต รมว.คลังในรัฐบาลแพทองธาร ที่เป็นหนึ่งในทีมเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมาเป็น รมช.คลัง นอกจากนี้ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา หลังนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เรียกร้องให้สนับสนุนโครงการ Co-payment เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย ที่ต้องเผชิญพิษเศรษฐกิจและยอดขายตกต่ำ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคม เพราะเป็นโครงการในตำนานที่เห็นภาพและจับต้องได้ อีกทั้งระบบหลังบ้าน ธนาคารกรุงไทยมีประสบการณ์อยู่แล้ว มีฐานผู้ใช้งานแอปฯ เป๋าตังกว่า 40 ล้านราย เมื่อเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ต้องเขียนแอปฯ ใหม่ สุดท้ายทำไม่ได้จริง ได้แค่แจกเงินผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางผ่านระบบพร้อมเพย์ แม้จะมีการปลุกกระแสทำให้ผู้ค้าส่วนหนึ่งกลัวถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังก็ตาม แต่การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน โดยปกติหากรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว #Newskit
    Love
    1
    1 Comments 0 Shares 269 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • เหนื่อยกับการสับปลาร้าบองจนเมื่อยมือใช่ไหม? บอกลาความลำบากแล้วมาเปิดประตูสู่ความอร่อยแบบง่ายๆ กับ "เครื่องสับผสมอเนกประสงค์" ตัวนี้เลย!
    เครื่องนี้คือฮีโร่ตัวจริงสำหรับคนทำปลาร้าบอง ไม่ว่าจะเป็นปลาร้า, พริก, ข่า, ตะไคร้, หอมแดง, กระเทียม... เพียงแค่โยนส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถ ใบมีดคมกริบจะสับและผสมทุกอย่างให้ละเอียดเข้าเนื้อกันในพริบตา! ภายในไม่กี่นาที คุณก็จะได้ปลาร้าบองที่เนียนนัว หอมสมุนไพรแบบถึงเครื่อง พร้อมเสิร์ฟความแซ่บได้ทันที
    ไม่ต้องเมื่อย, ไม่ต้องเสียเวลา, ไม่ต้องเลอะเทอะ – เพราะเครื่องนี้ทำจากสแตนเลสคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และล้างทำความสะอาดง่ายสุดๆ
    มีให้เลือก 2 รุ่นตามความต้องการของคุณ:
    - รุ่นเล็ก (YMC-QS5A-Z-SUS): สำหรับทำกินในบ้าน หรือทำขายเล็กๆ น้อยๆ สับวัตถุดิบได้ครั้งละ 1-3 กก.
    - รุ่นใหญ่ (YMC QS13A Z-SUS): สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ทำขายจริงจัง สับได้ครั้งละ 4-6 กก.
    ไม่ว่าจะเป็นการทำปลาร้าบอง, น้ำพริก, แกง, หรือสับเนื้อสัตว์ เครื่องนี้ก็เอาอยู่หมด! #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY
    สนใจติดต่อสอบถาม
    ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน
    Inbox: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp
    โทร: 098-8307906, 098-8307905, 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com
    เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น.
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7
    #เครื่องสับผสม #เครื่องปั่นปลาร้า #ปลาร้าบอง #แจ่วบอง #น้ำพริกปลาร้า #ครัวอีสาน #เมนูแซ่บ #สร้างอาชีพ #ทำกินเอง #เครื่องครัว #เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว #ประหยัดเวลา #ของดีบอกต่อ #แม่ค้าออนไลน์ #สินค้าคุณภาพ #อาหารไทย #ธุรกิจอาหาร #ของอร่อย #ทำอาหารง่ายๆ #อร่อยไม่ยาก #เครื่องปั่นอเนกประสงค์ #ของมันต้องมี #ไอเท็มเด็ด #ชีวิตดีขึ้น #อร่อยเด็ด #เข้าครัว #ย่งฮะเฮง #yonghahheng
    เหนื่อยกับการสับปลาร้าบองจนเมื่อยมือใช่ไหม? 😫🌶️ บอกลาความลำบากแล้วมาเปิดประตูสู่ความอร่อยแบบง่ายๆ กับ "เครื่องสับผสมอเนกประสงค์" ตัวนี้เลย! เครื่องนี้คือฮีโร่ตัวจริงสำหรับคนทำปลาร้าบอง ไม่ว่าจะเป็นปลาร้า, พริก, ข่า, ตะไคร้, หอมแดง, กระเทียม... เพียงแค่โยนส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถ ใบมีดคมกริบจะสับและผสมทุกอย่างให้ละเอียดเข้าเนื้อกันในพริบตา! ภายในไม่กี่นาที คุณก็จะได้ปลาร้าบองที่เนียนนัว หอมสมุนไพรแบบถึงเครื่อง พร้อมเสิร์ฟความแซ่บได้ทันที ไม่ต้องเมื่อย, ไม่ต้องเสียเวลา, ไม่ต้องเลอะเทอะ – เพราะเครื่องนี้ทำจากสแตนเลสคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และล้างทำความสะอาดง่ายสุดๆ มีให้เลือก 2 รุ่นตามความต้องการของคุณ: - รุ่นเล็ก (YMC-QS5A-Z-SUS): สำหรับทำกินในบ้าน หรือทำขายเล็กๆ น้อยๆ สับวัตถุดิบได้ครั้งละ 1-3 กก. - รุ่นใหญ่ (YMC QS13A Z-SUS): สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ทำขายจริงจัง สับได้ครั้งละ 4-6 กก. ไม่ว่าจะเป็นการทำปลาร้าบอง, น้ำพริก, แกง, หรือสับเนื้อสัตว์ เครื่องนี้ก็เอาอยู่หมด! #เลือกคุณภาพ #เลือกBONNY สนใจติดต่อสอบถาม ย่งฮะเฮง เครื่องบด ย่อย หั่น สับ สไลซ์ คั้น อัด เลื่อย สำหรับ อาหาร ยา พลังงานหมุนเวียน Inbox: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือคลิก https://lin.ee/HV4lSKp โทร: 098-8307906, 098-8307905, 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 เว็บไซต์: www.yoryonghahheng.com เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00 น. | เสาร์ 8.00-16.00 น. แผนที่: https://maps.app.goo.gl/9oLTmzwbArzJy5wc7 #เครื่องสับผสม #เครื่องปั่นปลาร้า #ปลาร้าบอง #แจ่วบอง #น้ำพริกปลาร้า #ครัวอีสาน #เมนูแซ่บ #สร้างอาชีพ #ทำกินเอง #เครื่องครัว #เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว #ประหยัดเวลา #ของดีบอกต่อ #แม่ค้าออนไลน์ #สินค้าคุณภาพ #อาหารไทย #ธุรกิจอาหาร #ของอร่อย #ทำอาหารง่ายๆ #อร่อยไม่ยาก #เครื่องปั่นอเนกประสงค์ #ของมันต้องมี #ไอเท็มเด็ด #ชีวิตดีขึ้น #อร่อยเด็ด #เข้าครัว #ย่งฮะเฮง #yonghahheng
    0 Comments 0 Shares 299 Views 0 Reviews
  • 4 กันยายน 2568
    15.42 น.

    'เพื่อไทย' ปล่อยคลิป 'ชัยเกษม' อ่านคำตอบรับข้อเสนอทุกข้อของ 'พรรคประชาชน' ยุบสภาทันทีไม่ต้องรอ 4 เดือน ยืนยันเป็นสัญญา ปฏิบัติตามไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ
    .
    เกมของเพื่อไทยคือ ในเมื่อรักษาการนายกฯ มีข้อขัดแย้งในเรื่องอำนาจการยุบสภา เลยจะให้ "ชัยเกษม" ได้เป็นายกฯตัวจริง เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ยุบสภาแทน
    .
    ลูกบอลไปอยู่กับทาง "พรรคประชาชน" หากยังคงเลือกโหวตให้อนุทิน จะถูกครหาไปตลอดว่า ไม่จริงใจอย่างที่พูด เร่งให้มีการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว

    แต่ถ้าหาก พรรคประชาชน กลับลำ โหวตให้เพื่อไทย จะกลายเป็นพรรคที่กลับไปกลับมา ไม่รักษาคำพูด ดังที่เคยดูถูกดูแคลนพรรคอื่นๆตลอดมา
    4 กันยายน 2568 15.42 น. 'เพื่อไทย' ปล่อยคลิป 'ชัยเกษม' อ่านคำตอบรับข้อเสนอทุกข้อของ 'พรรคประชาชน' ยุบสภาทันทีไม่ต้องรอ 4 เดือน ยืนยันเป็นสัญญา ปฏิบัติตามไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมใดๆ . เกมของเพื่อไทยคือ ในเมื่อรักษาการนายกฯ มีข้อขัดแย้งในเรื่องอำนาจการยุบสภา เลยจะให้ "ชัยเกษม" ได้เป็นายกฯตัวจริง เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ยุบสภาแทน . 👉ลูกบอลไปอยู่กับทาง "พรรคประชาชน" หากยังคงเลือกโหวตให้อนุทิน จะถูกครหาไปตลอดว่า ไม่จริงใจอย่างที่พูด เร่งให้มีการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว 👉แต่ถ้าหาก พรรคประชาชน กลับลำ โหวตให้เพื่อไทย จะกลายเป็นพรรคที่กลับไปกลับมา ไม่รักษาคำพูด ดังที่เคยดูถูกดูแคลนพรรคอื่นๆตลอดมา
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 0 Reviews
  • อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย

    การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน

    ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้

    ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้

    ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

    ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง

    #Newskit
    อนุทินนายกฯ 4 เดือน นับถอยหลังเพื่อไทย การเมืองไทยหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ช่วงนี้จะได้เห็นการชิงไหวชิงพริบเพื่อช่วงชิงอำนาจ เมื่อวันที่ 3 ก.ย. พรรคประชาชน ที่มีเสียงในสภาฯ 143 เสียง มีมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แต่มีเงื่อนไข 5 ข้อ คือ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันแถลงนโยบาย การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ใช้สภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้ง ห้ามพรรคภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะขอเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ เมื่อรู้ว่าพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งสถานะตอนนี้เพียงปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รักษาการนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ก็เปิดเผยว่ายื่นทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว โดยไม่ฟังเสียงกฤษฎีกาและบรรดานักกฎหมายที่ท้วงติงว่าทำไม่ได้ กระทั่งมีรายงานข่าวว่า สำนักองคมนตรี ส่งคืนร่างดังกล่าวไปแล้ว เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลฯ ยุบสภาได้ ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรจุวาระเรื่องด่วน พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 5 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ก่อนหน้านี้มีความเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรม ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะถูกนายทักษิณตัดพ้อว่า ผิดที่ไว้ใจ แต่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า อย่าไปคิดมาก เพราะเป็นการหาทางออกให้บ้านเมือง หรือจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้พรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกไม่หยุด และมีผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่มีชนักติดหลังเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่พรรคประชาชน แม้จะอธิบายว่าการโหวตเลือกนายอนุทินเพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง แต่ก็ถูกวิจารณ์จากกลุ่มนักเคลื่อนไหว เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดีตแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ เตือนว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทยจะทรยศและใช้อำนาจทำร้ายพรรคประชาชน รวมทั้งทำร้ายขบวนการประชาธิปไตยทั้งองคาพยพ การสนับสนุนนายอนุทิน ทำให้การปฏิรูปการเมืองถดถอย และทรยศหักหลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปี 2563 อย่างรุนแรง #Newskit
    1 Comments 0 Shares 305 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 5
    อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change
    เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ?
    กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ
    เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก)
    เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ?
    ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ !
    ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ
    – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย
    – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด
    – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !)
    – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด
    – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี
    – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม
    – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju
    – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว
    นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !)
    ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว !
    อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !)
    SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ
    สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!)

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 5 อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ? กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก) เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ? ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ ! ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !) – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !) ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว ! อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !) SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!) คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เชือด

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ‘มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 23 : “เชือด”
    หลายประเทศขยาดจากการที่ราคาน้ำมันขึ้นอย่างบ้าเลือด เมื่อตอนปี ค.ศ. 1973 พวกเขาพยายามหาทางพึ่งพาน้ำมันให้น้อยลง ประมาณปี ค.ศ. 1975 Brazil จึงติดต่อเยอรมันให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ Mexico ก็สนใจทำตาม เพื่อรักษาน้ำมันที่ตนมีอยู่ไว้ให้นานที่สุด แต่ที่ทำให้นักเล่นกลเริ่มออกอาการ คือ Shah แห่งอิหร่าน มีน้ำมันเยอะแยะ แต่ดันจะเก็บไว้ ไม่ยอมหลวมตัวเอาน้ำมันแลกกับกระดาษอีกต่อไป เตรียมตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตามแผนที่วางไว้ ปี ค.ศ. 1995 อิหร่านจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 20 โรง ทำให้อิหร่านขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก ที่มีโครงการนิวเคลียร์
    อเมริกาเริ่มนั่งไม่ติด พยายามเจรจาให้เยอรมันยกเลิกสัญญากับอิหร่าน แต่ไม่สำเร็จ อเมริกาไม่มีอำนาจเหนือเยอรมัน ค.ศ. 1978 อเมริกาเหลือทางเลือกทางเดียว ต้องเลิกสนับสนุน Shah หาคนอื่นมาเป็นหุ่นแทน ขณะที่อเมริกากำลังคิดแผนกำจัด Shah Shah ก็เดินเชิดหน้าไปสดุดฝ่าเท้านายท่านเจ้าเก่า British Petroleum (BP) ซึ่งกำลังเจราจาต่อสัญญากับ Shah อีก 25 ปี โดย BP ยื่นเงื่อนไขว่าอิหร่านต้องให้สิทธิพิเศษแก่ BP รายเดียวสำหรับน้ำมันที่อิหร่านจะขุดเจอในอนาคต แต่ไม่ยอมประกันราคาซื้อ (แหม ! สัญญาได้ประโยชน์ขาเดียว แบบนี้เขาเรียกสัญญาทาส) คราวนี้ Shah Rukh Khanข็งข้อบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปหาคนซื้อรายอื่นแล้วกัน ยังมีเรียงแถวกันมาอีกแยะ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น
    เยอรมันอีกแล้ว ! นายท่านร้อง เจ็บนั้นไม่ลืม ยังจะมีเพิ่มเจ็บนี้อีกนานหรือไง นายท่านไม่รอช้าสั่งตั้งโรงงิ้วทันที มันลืมไปแล้วหรือไง ว่าไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้อย่างไร ว่าแล้วก็กระทืบเท้า 3 ที เรียกลูกรักมาสั่งความ ไประดมพวกเรากันมา คราวนี้ต้องใช้เด็กหลายคนหน่อย
    แผน 1 ก็เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 นายท่านสั่งให้ไปหาคนมาแทน Shah ก่อน อ่า ! เจอแล้วครับท่านเอาท่าน Ayotolloh Khomeini ไหมครับ เขาเคยเป็นคู่กรณีกันอยู่ ตอนนี้นั่งเฉย ๆ อยู่ที่ฝรั่งเศส
    แล้วแผน 2 ก็เริ่มตามมา นักสร้างฉากนักเล่นกล ค่าย US และ UK พากันจูงมือเข้าไปเดินพล่านในกรุงเตหะราน แล้วข่าวเรื่อง Shah ไม่ประพฤติตัวตามข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม ก็ทะยอยตามออกมา ประชาชนก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ Shah เริ่มเป็นที่วิพากษ์อย่างรุนแรง (ทั้ง ๆ เรื่องดังกล่าวก็มีมานานแล้ว) เรื่องการทำตัวหรูหราความฟู่ฟ่าของครอบครัว Shah ก็ทะยอยออกมา (ทั้ง ๆ ความจริงก็เป็นมาอย่างนี้นานแล้วเช่นกัน) ข่าวปล่อยเพิ่มเรื่องอีกว่าไปShah เป็นเผด็จการ มีตำรวจลับคอยจับประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน สื่อ BBC ก็ประโคมข่าวทุกวัน ทุกวันในขณะเดียวกัน ท่าน Khomeini ก็เริ่มมีการออกความเห็นผ่านสื่อต่างชาติ แต่ข่าวที่ Shah โต้ตอบ ไม่มีออกไปในสื่อ
    การออกข่าวแบบนี้ดำเนินไปได้ไม่เท่าไหร่ ประชาชนลุกขึ้นเดินขบวนขับไล่ Shah เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 ก็มีคนมาช่วย Shah เก็บกระเป๋าขนของและครอบครัวออกไปจากอิหร่าน แล้วก็มีคนมาเชิญท่าน Ayotolleh Khomeini มาเป็นประมุขประเทศ ล้มบัลลังก์นกยูงของ Shah ลง และสถาปนาอิหร่านเป็นรัฐศาสนา ความวุ่นวายของอิหร่านก็เริ่มสงบ แต่ที่ตามมาคือ British Petroleum และ Royal Dutch Shell ต่างยกเลิกสัญญาซื้อน้ำมันกับอิหร่านเสียหมด
    แค่นั้นมันเบาไปหน่อยไหม กับคนที่ไม่รู้ถี่รู้ห่าง อุตสาห์อุ้มมานั่งบัลลังก์ ชุบเลี้ยงให้ร่ำรวย นอกจากไม่ยอมให้ตุ๋นต่อแล้ว ยังจะไปสมคบกับศัตรู แบบนี้ต้องเอาให้เข็ดหลาบ อเมริกาจัดหนักให้กับอิหร่านจริง ๆ นอกจากยกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำมันแล้ว อเมริกายังประกาศคว่ำบาตร ห้ามมิให้มีการซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมีจากอิหร่าน รวมทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่านอีกด้วย ต่อมาก็ห้ามไป ถึงการขนส่ง การประกันภัย เรียกว่าห้ามธุรกิจอเมริกาไปยุ่งเกี่ยวกับอิหร่านเกือบทั้งหมด
    และมันไม่ได้หยุดแค่นั้น อเมริกาใช้อิทธิพลของตนเองที่มีเหนือประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและคู่ค้า เช่น ออสเตรเลีย แคนนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล (แน่นอนของตาย !) ประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป กลุ่ม BRRICS ให้คว่ำบาตร (sanction) อิหร่านด้วยเช่นกัน การคว่ำบาตรเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1979 จนบัดนี้ยังไม่เลิก และยังเพิ่มข้อหาไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะข้อหาว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ UN มีมติให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งถึงเดี๋ยวนี้ก็ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่าอิหร่านทำเช่นนั้นจริง แต่อิหร่านก็ยังอยู่ได้ ประเทศแม้จะจนถึงขนาด แต่ชาวอิหร่านไม่ยอมอ่อนข้อให้อเมริกา เขาก้มหน้าก้มตาสร้างบ้านเมืองในแบบเขา เมื่อเขาผลิตเครื่องอีเลคโทรนิค
    หรือเครื่องมือในโลกไซเบอร์ได้ อเมริกาก็ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ผลิต มันเกี่ยวกับน้ำมันตรงไหนนะ
    อเมริกาทำตัวเป็นนักเลงโต จิกโก๋ปากซอยตัวจริง แต่จิกโก๋คิดแค่นี้หรือ ยี่สิบกว่าปีที่อิหร่านถูกคว่ำบาตร ขายน้ำมันยากเย็น เพราะฉะนั้นดินแดนอิหร่านน้ำมันยังไม่พร่องมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาแตะ ตอนนี้อิหร่านมีน้ำมัน ก็เหมือนไม่มี เจอการวิธีเล่นกล เสกน้ำมันให้หาย (ค่า) ได้แต่กัดฟันรอเวลาเอาคืน แล้วคอยดูไปเถอะ เมื่อถึงเวลา “อันเหมาะสม” รายแรกที่จะเข้าไปเปิดบ่อน้ำมันใหม่คืออเมริกา อ้าว ! มาแล้วไงคุณโอบามาเริ่มออกข่าวแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วว่า จะมีการนัดเจรจาพิจารณาลดหย่อน เงื่อนไขการคว่ำบาตรให้กับอิหร่าน เห็นฝีมือหรือยัง การเล่นกลจาก 2 ค่าย 2 ฝั่งมหาสมุทรแอทแลนติค ! นี่ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู แต่เป็นการเชือดทิ้งจริง ๆ เมื่อหมดประโยชน์ หรือหมากตัวที่ส่งไปเล่นในกระดาน แต่ดันเล่นผิดบทหรือทำให้เกิด cost overrun ! เขาก็เปลี่ยนหมากตัวใหม่ แต่ยังเอามากำกับให้เดิน ในกระดานของเขาเหมือนเดิม


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน เชือด นิทานเรื่องจริง เรื่อง ‘มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 23 : “เชือด” หลายประเทศขยาดจากการที่ราคาน้ำมันขึ้นอย่างบ้าเลือด เมื่อตอนปี ค.ศ. 1973 พวกเขาพยายามหาทางพึ่งพาน้ำมันให้น้อยลง ประมาณปี ค.ศ. 1975 Brazil จึงติดต่อเยอรมันให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ Mexico ก็สนใจทำตาม เพื่อรักษาน้ำมันที่ตนมีอยู่ไว้ให้นานที่สุด แต่ที่ทำให้นักเล่นกลเริ่มออกอาการ คือ Shah แห่งอิหร่าน มีน้ำมันเยอะแยะ แต่ดันจะเก็บไว้ ไม่ยอมหลวมตัวเอาน้ำมันแลกกับกระดาษอีกต่อไป เตรียมตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตามแผนที่วางไว้ ปี ค.ศ. 1995 อิหร่านจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 20 โรง ทำให้อิหร่านขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลก ที่มีโครงการนิวเคลียร์ อเมริกาเริ่มนั่งไม่ติด พยายามเจรจาให้เยอรมันยกเลิกสัญญากับอิหร่าน แต่ไม่สำเร็จ อเมริกาไม่มีอำนาจเหนือเยอรมัน ค.ศ. 1978 อเมริกาเหลือทางเลือกทางเดียว ต้องเลิกสนับสนุน Shah หาคนอื่นมาเป็นหุ่นแทน ขณะที่อเมริกากำลังคิดแผนกำจัด Shah Shah ก็เดินเชิดหน้าไปสดุดฝ่าเท้านายท่านเจ้าเก่า British Petroleum (BP) ซึ่งกำลังเจราจาต่อสัญญากับ Shah อีก 25 ปี โดย BP ยื่นเงื่อนไขว่าอิหร่านต้องให้สิทธิพิเศษแก่ BP รายเดียวสำหรับน้ำมันที่อิหร่านจะขุดเจอในอนาคต แต่ไม่ยอมประกันราคาซื้อ (แหม ! สัญญาได้ประโยชน์ขาเดียว แบบนี้เขาเรียกสัญญาทาส) คราวนี้ Shah Rukh Khanข็งข้อบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะไปหาคนซื้อรายอื่นแล้วกัน ยังมีเรียงแถวกันมาอีกแยะ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมันอีกแล้ว ! นายท่านร้อง เจ็บนั้นไม่ลืม ยังจะมีเพิ่มเจ็บนี้อีกนานหรือไง นายท่านไม่รอช้าสั่งตั้งโรงงิ้วทันที มันลืมไปแล้วหรือไง ว่าไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้อย่างไร ว่าแล้วก็กระทืบเท้า 3 ที เรียกลูกรักมาสั่งความ ไประดมพวกเรากันมา คราวนี้ต้องใช้เด็กหลายคนหน่อย แผน 1 ก็เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 นายท่านสั่งให้ไปหาคนมาแทน Shah ก่อน อ่า ! เจอแล้วครับท่านเอาท่าน Ayotolloh Khomeini ไหมครับ เขาเคยเป็นคู่กรณีกันอยู่ ตอนนี้นั่งเฉย ๆ อยู่ที่ฝรั่งเศส แล้วแผน 2 ก็เริ่มตามมา นักสร้างฉากนักเล่นกล ค่าย US และ UK พากันจูงมือเข้าไปเดินพล่านในกรุงเตหะราน แล้วข่าวเรื่อง Shah ไม่ประพฤติตัวตามข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม ก็ทะยอยตามออกมา ประชาชนก็เริ่มแสดงความไม่พอใจ Shah เริ่มเป็นที่วิพากษ์อย่างรุนแรง (ทั้ง ๆ เรื่องดังกล่าวก็มีมานานแล้ว) เรื่องการทำตัวหรูหราความฟู่ฟ่าของครอบครัว Shah ก็ทะยอยออกมา (ทั้ง ๆ ความจริงก็เป็นมาอย่างนี้นานแล้วเช่นกัน) ข่าวปล่อยเพิ่มเรื่องอีกว่าไปShah เป็นเผด็จการ มีตำรวจลับคอยจับประชาชน ละเมิดสิทธิมนุษยชน สื่อ BBC ก็ประโคมข่าวทุกวัน ทุกวันในขณะเดียวกัน ท่าน Khomeini ก็เริ่มมีการออกความเห็นผ่านสื่อต่างชาติ แต่ข่าวที่ Shah โต้ตอบ ไม่มีออกไปในสื่อ การออกข่าวแบบนี้ดำเนินไปได้ไม่เท่าไหร่ ประชาชนลุกขึ้นเดินขบวนขับไล่ Shah เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือน วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 ก็มีคนมาช่วย Shah เก็บกระเป๋าขนของและครอบครัวออกไปจากอิหร่าน แล้วก็มีคนมาเชิญท่าน Ayotolleh Khomeini มาเป็นประมุขประเทศ ล้มบัลลังก์นกยูงของ Shah ลง และสถาปนาอิหร่านเป็นรัฐศาสนา ความวุ่นวายของอิหร่านก็เริ่มสงบ แต่ที่ตามมาคือ British Petroleum และ Royal Dutch Shell ต่างยกเลิกสัญญาซื้อน้ำมันกับอิหร่านเสียหมด แค่นั้นมันเบาไปหน่อยไหม กับคนที่ไม่รู้ถี่รู้ห่าง อุตสาห์อุ้มมานั่งบัลลังก์ ชุบเลี้ยงให้ร่ำรวย นอกจากไม่ยอมให้ตุ๋นต่อแล้ว ยังจะไปสมคบกับศัตรู แบบนี้ต้องเอาให้เข็ดหลาบ อเมริกาจัดหนักให้กับอิหร่านจริง ๆ นอกจากยกเลิกสัญญาซื้อขายน้ำมันแล้ว อเมริกายังประกาศคว่ำบาตร ห้ามมิให้มีการซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมีจากอิหร่าน รวมทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่านอีกด้วย ต่อมาก็ห้ามไป ถึงการขนส่ง การประกันภัย เรียกว่าห้ามธุรกิจอเมริกาไปยุ่งเกี่ยวกับอิหร่านเกือบทั้งหมด และมันไม่ได้หยุดแค่นั้น อเมริกาใช้อิทธิพลของตนเองที่มีเหนือประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและคู่ค้า เช่น ออสเตรเลีย แคนนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล (แน่นอนของตาย !) ประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป กลุ่ม BRRICS ให้คว่ำบาตร (sanction) อิหร่านด้วยเช่นกัน การคว่ำบาตรเริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1979 จนบัดนี้ยังไม่เลิก และยังเพิ่มข้อหาไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะข้อหาว่า อิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ UN มีมติให้ทำการตรวจสอบ ซึ่งถึงเดี๋ยวนี้ก็ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่าอิหร่านทำเช่นนั้นจริง แต่อิหร่านก็ยังอยู่ได้ ประเทศแม้จะจนถึงขนาด แต่ชาวอิหร่านไม่ยอมอ่อนข้อให้อเมริกา เขาก้มหน้าก้มตาสร้างบ้านเมืองในแบบเขา เมื่อเขาผลิตเครื่องอีเลคโทรนิค หรือเครื่องมือในโลกไซเบอร์ได้ อเมริกาก็ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ผลิต มันเกี่ยวกับน้ำมันตรงไหนนะ อเมริกาทำตัวเป็นนักเลงโต จิกโก๋ปากซอยตัวจริง แต่จิกโก๋คิดแค่นี้หรือ ยี่สิบกว่าปีที่อิหร่านถูกคว่ำบาตร ขายน้ำมันยากเย็น เพราะฉะนั้นดินแดนอิหร่านน้ำมันยังไม่พร่องมาก เพราะยังไม่มีใครกล้ามาแตะ ตอนนี้อิหร่านมีน้ำมัน ก็เหมือนไม่มี เจอการวิธีเล่นกล เสกน้ำมันให้หาย (ค่า) ได้แต่กัดฟันรอเวลาเอาคืน แล้วคอยดูไปเถอะ เมื่อถึงเวลา “อันเหมาะสม” รายแรกที่จะเข้าไปเปิดบ่อน้ำมันใหม่คืออเมริกา อ้าว ! มาแล้วไงคุณโอบามาเริ่มออกข่าวแล้วเมื่อปลายปีที่แล้วว่า จะมีการนัดเจรจาพิจารณาลดหย่อน เงื่อนไขการคว่ำบาตรให้กับอิหร่าน เห็นฝีมือหรือยัง การเล่นกลจาก 2 ค่าย 2 ฝั่งมหาสมุทรแอทแลนติค ! นี่ไม่ใช่เชือดไก่ให้ลิงดู แต่เป็นการเชือดทิ้งจริง ๆ เมื่อหมดประโยชน์ หรือหมากตัวที่ส่งไปเล่นในกระดาน แต่ดันเล่นผิดบทหรือทำให้เกิด cost overrun ! เขาก็เปลี่ยนหมากตัวใหม่ แต่ยังเอามากำกับให้เดิน ในกระดานของเขาเหมือนเดิม คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว
    ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System
    The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921
    CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
    เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา !
    แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic
    J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 20 : เจ้ามือมาแล้ว ย้อนกลับไประหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังขับเคี้ยวกันอยู่ ประธานาธิบดีอเมริกา Woodrow Wilson นั่งบนกำแพงดูทิศทางลม ไม่ต้องการมีส่วนร่วมในสงครามพวกนักธุรกิจเห็นว่ามัวแต่นั่งดูทางลมแบบนั้น มันจะเข้าทางพวกเราหรือ ว่าแล้วพวกเขาก็รวบรวมพรรคพวก ตั้งคณะกำหนดทิศทางลมแทน ชื่อ “The Inquiry” เพื่อทำการศึกษา (ตามโผ !) และแนะนำประธานาธิบดี Wilson ว่า หาก Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันล้มคว่ำ โลกนี้ควรจะมีทิศทางในการเดินเกมการเมืองอย่างไร การเสนอแนะของ The Inquiry ทำผ่าน Col. Edward M. House คนสนิทของประธานาธิบดี Wilson ท่านนายพัน House นี้ เป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้เกิด Federal Reserve System The Inquiry นี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของ The Council on Foreign Relations (CFR) ผู้มีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พวกเขาคือคนถือเข็มทิศ กำหนดทิศทางเดินของอเมริกานั่นเอง CFR เริ่มต้นจากการรวมตัวของนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา เขาตกลงกันในที่ประชุมเมื่อพฤษภาคม ค.ศ. 1919 ว่า พวกเราควรจัดให้มีสถาบันร่วมมือกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เพื่อ “ดูแล” เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ (International Affairs) หลังจากนั้น ใน ค.ศ. 1921 พวกเขาก็ได้ขยายแนวร่วมไปยังกลุ่ม นักกฎหมายและนักการเงิน และร่วมกันตั้ง The Council on Foreign Relations ขึ้นในปี ค.ศ. 1921 CFR มีเป้าหมายที่จะกำหนดที่ยืนของอเมริกาในโลกเสียใหม่ จากที่ทำแต่อุตสาหกรรมโดยลำพัง อยู่โดดเดี่ยว เปลี่ยนสภาพเป็นตัวกลไกสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเงินระหว่างประเทศ และกำหนดทิศทางการเดินของอเมริกาที่จะก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ การทหาร สื่อมวลชน และนักวิชาการ ในสังคมระดับสูง และทิศทางดังกล่าวจะต้องทำเป็นนโยบายระดับนานาชาติ โดยมีกลุ่มทุนใหญ่สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เงินคืออำนาจ อำนาจคือเงิน อย่าถามว่าพวกเขาจะสร้างอำนาจนี้ได้จริงหรือ และเมื่อมีอำนาจแล้วจะใช้อำนาจนี้ไหม จักรวรรดิอเมริกามีจริงหรือไม่ เขาว่าถามแบบนี้ แน่นอน คนถามต้องไม่ใช่เป็นพวก CFR และไม่มีวันได้เป็น ฮา ! แต่ก่อนจะมีอำนาจ ต้องมีเงินก่อนตามสูตร แล้วนักเล่นกล ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่อเมริกาจะต้องมีธนาคารกลาง แต่เป็นธนาคารกลางที่พวกเขา ควรเป็น (เจ้ามือ) เจ้าของและควบคุม มันเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักการเงิน 2 ฝั่งคาบสมุทร Atlantic J P Morgan ร่ายมนต์ให้นักการเมืองฟังว่า เหตุการณ์วิกฤติทางการเงินของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1907 น่ะ เพราะพวกคุณไม่มีระบบการเงินที่ดี รัฐบาลก็ไม่มีกระเป๋าเงินของตัวเองที่ใหญ่พอ ตอนเกิดเรื่องนะจำได้มั้ย เราน่ะ J P Morgan เป็นคนให้รัฐบาลยืมเงินนะ จะเสียหน้าแบบนั้นอีกเหรอ คำขู่ได้ผลประธานาธิบดี Wilson มือไม้สั่นรีบออก Federal Reserve Act ในปี ค.ศ. 1913 ผลของกฎหมายฉบับนี้ ทำให้อเมริกาถูกควบคุม โดยผู้มีอำนาจทางการเงิน Federal Reserve Bank หรือ “Fed” (เจ้ามือตัวจริง !) ซึ่งรัฐบาลอเมริกาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ Fed สามารถที่กำหนดหลักเกณฑ์ ในการพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้เอง โดยไม่ต้องผ่าน Congress เยี่ยมจริง ๆ!!! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • เรา..ประชาชนสามารถเข้าใจและพร้อมกับฟันธงได้เลยทันทีว่านอกจากที่เรา..เชื่อว่ามีไส้ศึกในส่วนอื่นๆแล้ว ตัวพ่ออีกตัวคือ กต.นี้เอง เธอมีองค์ข้อมูลสาระพัดกับดิวต่างประเทศทั้งหมด อะไรที่เกี่ยวกับอธิปไตยไทยต่อต่างชาติเธอคนนี้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดก่อนใครเพื่อน นักการเมืองจะขายชาติจะแย่งเอาบ่อน้ำมันจากอ่าวไทยเธอในเรื่องอะไรจะไม่รู้ลึกรู้หนารู้ตื้น ช่องทางใดต่างชาติได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบไทยเธอก็รับรู้รายละเอียดความในเราหมดสิ้นมีช่องว่างอะไรที่จะช่วยต่างชาติชนะเราได้,เรามีอะไรปิดช่องนั้นก็ได้อีก สามารถเสนอทางตัดตอนเด็ดขาดก็ได้หรือไม่เด็ดขาดโอนอ่อนผ่อนตามก็ได้อีก,จะเสียดินแดนเสียอธิปไตยไทย กต.มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆเรื่องราวสืบทอดเชื่อมโยงแต่ละรัฐบาลได้นั้นเอง,ปลัดกระทรวงกต.จึงเสมือนกลไกให้คุณให้โทษเต็มที่ต่อการเสียอธิปไตยไทยแก่ต่างชาติใดๆหรือไม่ก็ได้ นอกจากมาจากฝ่ายนักการเมืองด้วย ตัวอันตรายที่สุดนอกจากฝ่ายนักการเมือง ปลัดกระทรวงอธิบดีทบวงกรมก็อันตรายไม่แพ้กัน เขียนสัญญาข้อตกลงได้เสียหมดที่กระทำการใดๆกับต่างชาตินอกอาณาจักรเราทั้งหมด,
    ..คนไทยเรากำลังเล่นงานผิดคนก็ด้วยนอกจากนักการเมือง,คนของกระทรวงต่างประเทศด้วยคือตัวอันตรายตัวจริงอีกตัว,แค่แถลงชี้เป้า แบบสไตล์ผู้ว่าฯสระแก้วก็พอเข้าใจแนวรบของพวกขายชาติไส้ศึกแล้ว จึงพยายามยืนยันทุกๆรูปแบบ ทุกๆช่องทาง ตีหลายด้าน ในที่นี้คือผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ใช้เรือกะรุกขุนเลย เดินเรือค้าขายพาณิชย์มานานกับต่างชาติกะค้ำประกันยืนยันเข้าข้างต่างชาติเสียสะงันว่าต้องใช้1:200,000แน่นอน แม้ ในหลวงร.9เราถือใช้กางออกร่วมกับทหารแนวพรมแดนก็เป็นตกไป กระทรวงการต่างประเทศใหญ่กว่าในหลวงเรา ร.9เราที่ทรงใช้แผนที่1:50,000ตลอดการครองราชพระองค์ท่าน กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าเสียเองแล้ว เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยนี้เสียแล้ว เป็นผู้กำหนดแผ่นดินเขตแดนราชอาณาจักรไทยแล้วว่าต้องใช้อัตราเขตแดน1:200,000นะเพื่อเป็นประโยชน์แก่เขมร เป็นประโยชน์แก่อเมริกาฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนแดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยได้ รับตังมาแล้วต้องเร่งรีบตามแผนเดี๋ยวต่างชาติอเมริกาฝรั่งเศสdeep stateเอากูตาย ,ข้ามีอำนาจเต็มใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับต่างประเทศตลอดข้อตกลงต่างๆข้าเท่านั้นเป็นผู้อนุมัตและกำหนดกฎกติกาเงื่อนไขใดๆจะเข้าข้างต่างชาติจะทำไมทำอะไรกูได้เพราะกูมีอำนาจเต็มมือแล้วตอนนี้ คำโพสต์คำยืนยัน คำใดๆประกาศผ่านกูคือราชโองการโว้ย เขตแดนทั่วราชอาณาจักรไทยกูจะขีดจะรับกฎกติกาสมยอมเลียตีนใครก็เรื่องของกูเพราะกูใหญ่ กูจึงประกาศชัดเจนในที่นี้ว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ในประเทศไทยนี้ใครใหญ่กว่ากูตอนนี้ กูบอกยืนยันใช้ต้องใช้ตามกูบอก ,กูมีอเมริกาฝรั่งเศสหนุนหลังด้วยเรือจอดท่าเรียมแล้วเช่นนั้นกูไม่กล้าเจาะจงโพสต์วันนี้หรอกมันว่า.

    ..ในหลวงเรา ร.9 เสด็จพระราชกรณียกิจทั่วประเทศกางแผนที่กับทหารทั่วประเทศก็ใช้1:50,000 สคส.ก็ขีดวาดแผนที่1:50,000 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศไทยขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สำเร็จราชการบนแผ่นดินไทยแน่นอนแล้ว สามารถสั่งการหนักแน่นว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ทั้งที่ปี2505เราประกาศไม่ยอมรับการตัดสินศาลผีบ้านี้แล้วพร้อมเสือกยื่นเสนอฝ่ายเดียวด้วย,ต้องโมฆะแผนที่นั้นอัตโนมัติตั้งแต่ปี2505แล้วซึ่งต้องเป็นไปในแบบนั้นถึงปัจจุบัน.
    ..สรุปใครก็ตามที่มีแนวคิดและโพสต์ความคิดเห็น แสดงวาจาว่าต้องใช้1:200,000 มันผู้นั้นคือศัตรูภัยร้ายทำลายแผ่นดินไทยประเทศไทยที่แท้จริง,มิอาจให้มันอยู่ร่วมแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้ กบฎทรยศอธิปไตยชาติไทยชัดเจน เจตนาทำให้สูญเสียดินแดนเขตอธิปไตยไทยแน่นอนแล้ว.,เพราะนั้นคือแผ่นดินไทยที่หายไปถึง1:150,000เลย,ซึ่งในหลวง ร.9เราใช้1:50,000 ,กระทรวงการต่างประเทศบกพร่องโดยทุจริตในใจชัดเจน ไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อประเทศชาติตน ไม่แสวงข้อเท็จจริงใดๆที่กูรูไทยมากมายรู้ต้นรู้ปลายสาเหตุและเกิดผลของปัญหา ขาดฝีมือมือไม่ถึง ขลาดเขลาหวาดกลัวต่อนักการเมืองและต่างชาติเสมือนพร้อมทรยศหักหลังทั้งสามารถเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเองโดยง่ายให้ศัตรูรู้ความภายในตน, ไร้เกียรติไร้ศักดิ์สุดอัปยศและอัปรีย์จัญไรกว่าใดๆยุดใดสมัยใดที่มีกระทรวงการต่างประเทศในไทยเรา.,ไม่มีก็ได้ในเวลานี้กระทรวงแบบนี้,ยุบไปเลย,เรา..ประชาชนทั่วไทยมีคนเก่งมากความสามารถทั่วประเทศในเวลานี้ยุคนี้สามารถตั้งเป็นกระทรวงใหม่เพื่อเจรจาความต่างๆเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อต่างชาติต่างประเทศทั่วโลกใหม่ได้และอาจรุ่งเรืองรุ่งโรจน์โคตรๆกว่าปัจจุบันอีก,เพราะรากเหง้าอิทธิพลทรามหยาบหนามึนคงเต็มกระทรวงเดิมแล้ว สามารถล้างบางทั้งหมดในคราวเดียวกัน,ตั้งชื่อกระทรวงว่า กระทรวงการรวมเพื่อนทั่วโลก ก็ว่าไป อนาคตใครคือศัตรูตัดสายสัมพันธ์เลย มีแต่เพื่อนๆร่วมปฏิสัมพันธ์กันเท่านั้น,ผีบ้าแบบปัจจุบันเป็นศัตรูแท้ๆก็ยังคบหาอยู่ ไม่เลือกคบนั้นเองจึงนำภัยวุ่นวายเข้าสู่ประเทศตนเองไม่ขาดสายมิใช่ความเจริญรุ่งเรืองสงบสันติสุขอะไรเลย,เจรจาผีบ้าผีบ้าก็ตกลงไปทั่วไร้สติปัญญาความามารถ แยกแยะถูกผิดชั่วเลวไม่เป็น,อะไรตนเสียเปรียบ อะไรตนเอาเปรียบเขาเกินงามก็ไม่กระทำเป็นต้น,เพื่อนมิตรประเทศแม้เขาเสียเปรียบไม่รู้ เราผู้รู้ก็ไม่สามารถเอาเปรียบเอาแต่ได้ในสิ่งที่รู้ได้,มิตรที่ดีก็ระวังภัยให้มิตรได้,แบบอเมริการู้ว่าเรามีน้ำมันมากมาย แต่ก็เอาเปรียบมากมายกับเราในสิ่งที่รู้,
    ..ยุบทิ้งกระทรวงการต่างประเทศเลย
    #กระทรวงการต่างประเทศมีไว้ทำไม.
    ..ใครที่เกี่ยวข้องในการสมยอมสนับสนุบใช้1:200,000 จัดอยู่ในโหมด ม.119ได้เลยสามารถให้ทนายแผ่นดินไทยฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดไว้ก่อนได้เลย.ยิ่งเกี่ยวข้องในอำนาจหน้าที่ของตนแบบผู้ว่าฯสระแก้ว ที่กล้ามากเก่งมากต่อดินแดนอธิปไตยตนคนเหล่านี้ต้องพร้อมจ่ายราคาที่ตนกระทำออกมาอย่างแสนแพง,ยิ่งรับรู้และเก็บรวบรวมข้อมูลมามาดมายหลายทศวรรตยิ่งต้องจ่ายราคาแพงและแสนแพงในผลการกระทำของตนที่กล้าหาญท้าทายพระราชอำนาจกษัตริย์เราที่ใช้1:50,000ทั่วราชอาณาจักร,ใดๆทั้งหมดทั้งสิ้นต้องตกไปทั้งหมดแม้อำนาจศาลสูงสุดขึ้นบัลลังก์ว่าความ อื่นๆใดก็ต้องตกไป ไม่สามารถใช้บังคับได้ นอกจาก1:50,000เท่านั้น.เพราะนี้คืออัตราส่วนที่ในหลวงเรา ร.9ใช้จริงบนผืนแผ่นดินไทยเรานี้ทุกๆพระองค์ท่านแน่นอน.

    https://youtube.com/watch?v=vTKbeqvv0RA&si=QtfSpJJWdJy9bEa5
    เรา..ประชาชนสามารถเข้าใจและพร้อมกับฟันธงได้เลยทันทีว่านอกจากที่เรา..เชื่อว่ามีไส้ศึกในส่วนอื่นๆแล้ว ตัวพ่ออีกตัวคือ กต.นี้เอง เธอมีองค์ข้อมูลสาระพัดกับดิวต่างประเทศทั้งหมด อะไรที่เกี่ยวกับอธิปไตยไทยต่อต่างชาติเธอคนนี้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดก่อนใครเพื่อน นักการเมืองจะขายชาติจะแย่งเอาบ่อน้ำมันจากอ่าวไทยเธอในเรื่องอะไรจะไม่รู้ลึกรู้หนารู้ตื้น ช่องทางใดต่างชาติได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบไทยเธอก็รับรู้รายละเอียดความในเราหมดสิ้นมีช่องว่างอะไรที่จะช่วยต่างชาติชนะเราได้,เรามีอะไรปิดช่องนั้นก็ได้อีก สามารถเสนอทางตัดตอนเด็ดขาดก็ได้หรือไม่เด็ดขาดโอนอ่อนผ่อนตามก็ได้อีก,จะเสียดินแดนเสียอธิปไตยไทย กต.มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆเรื่องราวสืบทอดเชื่อมโยงแต่ละรัฐบาลได้นั้นเอง,ปลัดกระทรวงกต.จึงเสมือนกลไกให้คุณให้โทษเต็มที่ต่อการเสียอธิปไตยไทยแก่ต่างชาติใดๆหรือไม่ก็ได้ นอกจากมาจากฝ่ายนักการเมืองด้วย ตัวอันตรายที่สุดนอกจากฝ่ายนักการเมือง ปลัดกระทรวงอธิบดีทบวงกรมก็อันตรายไม่แพ้กัน เขียนสัญญาข้อตกลงได้เสียหมดที่กระทำการใดๆกับต่างชาตินอกอาณาจักรเราทั้งหมด, ..คนไทยเรากำลังเล่นงานผิดคนก็ด้วยนอกจากนักการเมือง,คนของกระทรวงต่างประเทศด้วยคือตัวอันตรายตัวจริงอีกตัว,แค่แถลงชี้เป้า แบบสไตล์ผู้ว่าฯสระแก้วก็พอเข้าใจแนวรบของพวกขายชาติไส้ศึกแล้ว จึงพยายามยืนยันทุกๆรูปแบบ ทุกๆช่องทาง ตีหลายด้าน ในที่นี้คือผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ใช้เรือกะรุกขุนเลย เดินเรือค้าขายพาณิชย์มานานกับต่างชาติกะค้ำประกันยืนยันเข้าข้างต่างชาติเสียสะงันว่าต้องใช้1:200,000แน่นอน แม้ ในหลวงร.9เราถือใช้กางออกร่วมกับทหารแนวพรมแดนก็เป็นตกไป กระทรวงการต่างประเทศใหญ่กว่าในหลวงเรา ร.9เราที่ทรงใช้แผนที่1:50,000ตลอดการครองราชพระองค์ท่าน กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าเสียเองแล้ว เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยนี้เสียแล้ว เป็นผู้กำหนดแผ่นดินเขตแดนราชอาณาจักรไทยแล้วว่าต้องใช้อัตราเขตแดน1:200,000นะเพื่อเป็นประโยชน์แก่เขมร เป็นประโยชน์แก่อเมริกาฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนแดกบ่อน้ำมันในอ่าวไทยได้ รับตังมาแล้วต้องเร่งรีบตามแผนเดี๋ยวต่างชาติอเมริกาฝรั่งเศสdeep stateเอากูตาย ,ข้ามีอำนาจเต็มใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับต่างประเทศตลอดข้อตกลงต่างๆข้าเท่านั้นเป็นผู้อนุมัตและกำหนดกฎกติกาเงื่อนไขใดๆจะเข้าข้างต่างชาติจะทำไมทำอะไรกูได้เพราะกูมีอำนาจเต็มมือแล้วตอนนี้ คำโพสต์คำยืนยัน คำใดๆประกาศผ่านกูคือราชโองการโว้ย เขตแดนทั่วราชอาณาจักรไทยกูจะขีดจะรับกฎกติกาสมยอมเลียตีนใครก็เรื่องของกูเพราะกูใหญ่ กูจึงประกาศชัดเจนในที่นี้ว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ในประเทศไทยนี้ใครใหญ่กว่ากูตอนนี้ กูบอกยืนยันใช้ต้องใช้ตามกูบอก ,กูมีอเมริกาฝรั่งเศสหนุนหลังด้วยเรือจอดท่าเรียมแล้วเช่นนั้นกูไม่กล้าเจาะจงโพสต์วันนี้หรอกมันว่า. ..ในหลวงเรา ร.9 เสด็จพระราชกรณียกิจทั่วประเทศกางแผนที่กับทหารทั่วประเทศก็ใช้1:50,000 สคส.ก็ขีดวาดแผนที่1:50,000 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศไทยขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สำเร็จราชการบนแผ่นดินไทยแน่นอนแล้ว สามารถสั่งการหนักแน่นว่าต้องใช้1:200,000เท่านั้น,ทั้งที่ปี2505เราประกาศไม่ยอมรับการตัดสินศาลผีบ้านี้แล้วพร้อมเสือกยื่นเสนอฝ่ายเดียวด้วย,ต้องโมฆะแผนที่นั้นอัตโนมัติตั้งแต่ปี2505แล้วซึ่งต้องเป็นไปในแบบนั้นถึงปัจจุบัน. ..สรุปใครก็ตามที่มีแนวคิดและโพสต์ความคิดเห็น แสดงวาจาว่าต้องใช้1:200,000 มันผู้นั้นคือศัตรูภัยร้ายทำลายแผ่นดินไทยประเทศไทยที่แท้จริง,มิอาจให้มันอยู่ร่วมแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้ กบฎทรยศอธิปไตยชาติไทยชัดเจน เจตนาทำให้สูญเสียดินแดนเขตอธิปไตยไทยแน่นอนแล้ว.,เพราะนั้นคือแผ่นดินไทยที่หายไปถึง1:150,000เลย,ซึ่งในหลวง ร.9เราใช้1:50,000 ,กระทรวงการต่างประเทศบกพร่องโดยทุจริตในใจชัดเจน ไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อประเทศชาติตน ไม่แสวงข้อเท็จจริงใดๆที่กูรูไทยมากมายรู้ต้นรู้ปลายสาเหตุและเกิดผลของปัญหา ขาดฝีมือมือไม่ถึง ขลาดเขลาหวาดกลัวต่อนักการเมืองและต่างชาติเสมือนพร้อมทรยศหักหลังทั้งสามารถเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเองโดยง่ายให้ศัตรูรู้ความภายในตน, ไร้เกียรติไร้ศักดิ์สุดอัปยศและอัปรีย์จัญไรกว่าใดๆยุดใดสมัยใดที่มีกระทรวงการต่างประเทศในไทยเรา.,ไม่มีก็ได้ในเวลานี้กระทรวงแบบนี้,ยุบไปเลย,เรา..ประชาชนทั่วไทยมีคนเก่งมากความสามารถทั่วประเทศในเวลานี้ยุคนี้สามารถตั้งเป็นกระทรวงใหม่เพื่อเจรจาความต่างๆเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อต่างชาติต่างประเทศทั่วโลกใหม่ได้และอาจรุ่งเรืองรุ่งโรจน์โคตรๆกว่าปัจจุบันอีก,เพราะรากเหง้าอิทธิพลทรามหยาบหนามึนคงเต็มกระทรวงเดิมแล้ว สามารถล้างบางทั้งหมดในคราวเดียวกัน,ตั้งชื่อกระทรวงว่า กระทรวงการรวมเพื่อนทั่วโลก ก็ว่าไป อนาคตใครคือศัตรูตัดสายสัมพันธ์เลย มีแต่เพื่อนๆร่วมปฏิสัมพันธ์กันเท่านั้น,ผีบ้าแบบปัจจุบันเป็นศัตรูแท้ๆก็ยังคบหาอยู่ ไม่เลือกคบนั้นเองจึงนำภัยวุ่นวายเข้าสู่ประเทศตนเองไม่ขาดสายมิใช่ความเจริญรุ่งเรืองสงบสันติสุขอะไรเลย,เจรจาผีบ้าผีบ้าก็ตกลงไปทั่วไร้สติปัญญาความามารถ แยกแยะถูกผิดชั่วเลวไม่เป็น,อะไรตนเสียเปรียบ อะไรตนเอาเปรียบเขาเกินงามก็ไม่กระทำเป็นต้น,เพื่อนมิตรประเทศแม้เขาเสียเปรียบไม่รู้ เราผู้รู้ก็ไม่สามารถเอาเปรียบเอาแต่ได้ในสิ่งที่รู้ได้,มิตรที่ดีก็ระวังภัยให้มิตรได้,แบบอเมริการู้ว่าเรามีน้ำมันมากมาย แต่ก็เอาเปรียบมากมายกับเราในสิ่งที่รู้, ..ยุบทิ้งกระทรวงการต่างประเทศเลย #กระทรวงการต่างประเทศมีไว้ทำไม. ..ใครที่เกี่ยวข้องในการสมยอมสนับสนุบใช้1:200,000 จัดอยู่ในโหมด ม.119ได้เลยสามารถให้ทนายแผ่นดินไทยฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดไว้ก่อนได้เลย.ยิ่งเกี่ยวข้องในอำนาจหน้าที่ของตนแบบผู้ว่าฯสระแก้ว ที่กล้ามากเก่งมากต่อดินแดนอธิปไตยตนคนเหล่านี้ต้องพร้อมจ่ายราคาที่ตนกระทำออกมาอย่างแสนแพง,ยิ่งรับรู้และเก็บรวบรวมข้อมูลมามาดมายหลายทศวรรตยิ่งต้องจ่ายราคาแพงและแสนแพงในผลการกระทำของตนที่กล้าหาญท้าทายพระราชอำนาจกษัตริย์เราที่ใช้1:50,000ทั่วราชอาณาจักร,ใดๆทั้งหมดทั้งสิ้นต้องตกไปทั้งหมดแม้อำนาจศาลสูงสุดขึ้นบัลลังก์ว่าความ อื่นๆใดก็ต้องตกไป ไม่สามารถใช้บังคับได้ นอกจาก1:50,000เท่านั้น.เพราะนี้คืออัตราส่วนที่ในหลวงเรา ร.9ใช้จริงบนผืนแผ่นดินไทยเรานี้ทุกๆพระองค์ท่านแน่นอน. https://youtube.com/watch?v=vTKbeqvv0RA&si=QtfSpJJWdJy9bEa5
    0 Comments 0 Shares 342 Views 0 Reviews
  • “พรหมินทร์” ชี้ “เฟกนิวส์” คือศัตรูตัวจริง! ยันรัฐบาลปกป้องอธิปไตยชายแดนถึงที่สุด เตือนคนไทยอย่าตกเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้งภายใน
    https://www.thai-tai.tv/news/21144/
    .
    #พรหมินทร์เลิศสุริย์เดช #แพทองธาร #ข่าวการเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความมั่นคง #ไทยไท
    “พรหมินทร์” ชี้ “เฟกนิวส์” คือศัตรูตัวจริง! ยันรัฐบาลปกป้องอธิปไตยชายแดนถึงที่สุด เตือนคนไทยอย่าตกเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้งภายใน https://www.thai-tai.tv/news/21144/ . #พรหมินทร์เลิศสุริย์เดช #แพทองธาร #ข่าวการเมือง #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวความมั่นคง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • ถ้าเวียดนามช่วย สมรังสีจริง ด้วยนิสัยสันดานคนเนรคุณทรยศแบบคนเขมรทุกๆตัว เวียดนามซวยแน่นอน ถูกสมรังสีหลอกใช้เต็มโดยแค่ใช้เหยื่อกากๆล่อก็ติดแล้ว เวียดนามจะเสียหัวเสียชื่อเป็นตัวตลกของเอเชียเลยล่ะ เพราะสมรังสีมันสมุนขี้ข้าฝรั่งยุโรปอเมริกาตัวจริง เขาเลี้ยงมันที่หนีไปเพื่อปกครองเขมรหลังฉากตัวจริงอยู่แล้ว ความซวยคือเวียดนามจะโดนจีนถล่มโดนรัสเชียถีบนะสิ.,ทำลายเขมรย่อยยับแล้วแบ่งให้ลาว ให้ตัวเองและคืนพื้นที่เดิมที่ฝรั่งเศสปล้นชิงของไทยไปก็จะจบด้วยดีสมบูรณ์แบบแทนโน้น.

    https://youtube.com/watch?v=-wnFNI1jww0&si=g9e-SzvbmgAL4v2f
    ถ้าเวียดนามช่วย สมรังสีจริง ด้วยนิสัยสันดานคนเนรคุณทรยศแบบคนเขมรทุกๆตัว เวียดนามซวยแน่นอน ถูกสมรังสีหลอกใช้เต็มโดยแค่ใช้เหยื่อกากๆล่อก็ติดแล้ว เวียดนามจะเสียหัวเสียชื่อเป็นตัวตลกของเอเชียเลยล่ะ เพราะสมรังสีมันสมุนขี้ข้าฝรั่งยุโรปอเมริกาตัวจริง เขาเลี้ยงมันที่หนีไปเพื่อปกครองเขมรหลังฉากตัวจริงอยู่แล้ว ความซวยคือเวียดนามจะโดนจีนถล่มโดนรัสเชียถีบนะสิ.,ทำลายเขมรย่อยยับแล้วแบ่งให้ลาว ให้ตัวเองและคืนพื้นที่เดิมที่ฝรั่งเศสปล้นชิงของไทยไปก็จะจบด้วยดีสมบูรณ์แบบแทนโน้น. https://youtube.com/watch?v=-wnFNI1jww0&si=g9e-SzvbmgAL4v2f
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • Rubin – GPU ที่แรงที่สุดของ Nvidia เกิดจากการร่วมมือที่ไม่คาดคิด

    ในโลกของการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับพันล้านเกต การจำลองพลังงานและประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือเหตุผลที่ Nvidia หันไปใช้เครื่องมือจาก Cadence เพื่อช่วยออกแบบ GPU รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Rubin” ซึ่งคาดว่าจะเป็น GPU ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    Rubin ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ที่มีความซับซ้อนสูง โดยมีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และอาจใช้พลังงานถึง 700W ต่อ die หรือสูงถึง 3.6kW ในระบบแบบหลายชิป ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “megawatt-class” สำหรับ data center

    Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยวิเคราะห์พลังงานแบบละเอียดในระดับ cycle ต่อ cycle โดย Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และระบบเครือข่าย Quantum Infiniband ในขณะที่ Protium X3 ใช้ FPGA จาก AMD Ultrascale เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนผลิตจริง

    การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมออกแบบสามารถตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายให้เหมาะสมก่อน tape-out ซึ่ง Rubin ได้ tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P แต่มีรายงานว่าอาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัวจริงในปี 2026

    ที่น่าสนใจคือ แม้ AMD จะเป็นคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU แต่ฮาร์ดแวร์ของ AMD ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วย Nvidia สร้าง GPU ที่จะมาแข่งกับ MI450 ของ AMD เอง — เป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมชิปในยุค AI

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia พัฒนา GPU รุ่นใหม่ชื่อ “Rubin” โดยใช้เครื่องมือจาก Cadence
    Rubin มีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และใช้พลังงานสูงถึง 700W ต่อ die
    ระบบแบบหลายชิปอาจใช้พลังงานรวมถึง 3.6kW
    ใช้ Palladium Z3 emulator และ Protium X3 FPGA prototyping จาก Cadence
    Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และเครือข่าย Quantum Infiniband
    Protium X3 ใช้ AMD Ultrascale FPGA เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์
    การจำลองช่วยตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายก่อนผลิตจริง
    Rubin tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P
    มีรายงานว่า Rubin อาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    คาดว่า Rubin จะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cadence เปิดตัว Palladium Z3 และ Protium X3 ในปี 2024 ด้วยความสามารถสูงกว่าเดิม 2 เท่า
    ระบบสามารถจำลองได้ถึง 48 พันล้านเกต และวิเคราะห์พลังงานได้ในระดับ cycle
    DPA (Dynamic Power Analysis) ของ Cadence เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2016 และกลายเป็นเครื่องมือหลักในยุค AI
    Rubin ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งกับ AMD MI450 ซึ่งเป็น GPU ระดับสูงในกลุ่ม AI
    การใช้ฮาร์ดแวร์จากคู่แข่งอย่าง AMD สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามแบรนด์ในอุตสาหกรรม
    บทเรียนจาก Rubin จะถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ consumer ในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/heres-how-nvidia-and-amd-hardware-are-being-used-in-surprising-ways-to-build-nvidias-fastest-gpu-ever
    🎙️ Rubin – GPU ที่แรงที่สุดของ Nvidia เกิดจากการร่วมมือที่ไม่คาดคิด ในโลกของการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับพันล้านเกต การจำลองพลังงานและประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือเหตุผลที่ Nvidia หันไปใช้เครื่องมือจาก Cadence เพื่อช่วยออกแบบ GPU รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Rubin” ซึ่งคาดว่าจะเป็น GPU ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา Rubin ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ที่มีความซับซ้อนสูง โดยมีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และอาจใช้พลังงานถึง 700W ต่อ die หรือสูงถึง 3.6kW ในระบบแบบหลายชิป ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “megawatt-class” สำหรับ data center Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยวิเคราะห์พลังงานแบบละเอียดในระดับ cycle ต่อ cycle โดย Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และระบบเครือข่าย Quantum Infiniband ในขณะที่ Protium X3 ใช้ FPGA จาก AMD Ultrascale เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนผลิตจริง การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมออกแบบสามารถตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายให้เหมาะสมก่อน tape-out ซึ่ง Rubin ได้ tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P แต่มีรายงานว่าอาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัวจริงในปี 2026 ที่น่าสนใจคือ แม้ AMD จะเป็นคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU แต่ฮาร์ดแวร์ของ AMD ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วย Nvidia สร้าง GPU ที่จะมาแข่งกับ MI450 ของ AMD เอง — เป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมชิปในยุค AI 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia พัฒนา GPU รุ่นใหม่ชื่อ “Rubin” โดยใช้เครื่องมือจาก Cadence ➡️ Rubin มีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และใช้พลังงานสูงถึง 700W ต่อ die ➡️ ระบบแบบหลายชิปอาจใช้พลังงานรวมถึง 3.6kW ➡️ ใช้ Palladium Z3 emulator และ Protium X3 FPGA prototyping จาก Cadence ➡️ Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และเครือข่าย Quantum Infiniband ➡️ Protium X3 ใช้ AMD Ultrascale FPGA เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ ➡️ การจำลองช่วยตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายก่อนผลิตจริง ➡️ Rubin tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P ➡️ มีรายงานว่า Rubin อาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ คาดว่า Rubin จะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cadence เปิดตัว Palladium Z3 และ Protium X3 ในปี 2024 ด้วยความสามารถสูงกว่าเดิม 2 เท่า ➡️ ระบบสามารถจำลองได้ถึง 48 พันล้านเกต และวิเคราะห์พลังงานได้ในระดับ cycle ➡️ DPA (Dynamic Power Analysis) ของ Cadence เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2016 และกลายเป็นเครื่องมือหลักในยุค AI ➡️ Rubin ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งกับ AMD MI450 ซึ่งเป็น GPU ระดับสูงในกลุ่ม AI ➡️ การใช้ฮาร์ดแวร์จากคู่แข่งอย่าง AMD สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามแบรนด์ในอุตสาหกรรม ➡️ บทเรียนจาก Rubin จะถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ consumer ในอนาคต https://www.techradar.com/pro/heres-how-nvidia-and-amd-hardware-are-being-used-in-surprising-ways-to-build-nvidias-fastest-gpu-ever
    WWW.TECHRADAR.COM
    How Cadence, along with Nvidia and AMD hardware, is shaping the creation of Nvidia's fastest GPU ever
    Cadence's power modelling tool can address bottlenecks early in a chip's design
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • คงไม่ใช่ตัวจริง จริงๆ มั้ยนะ เดี๋ยวตัวปลอมไปติดคุกจริงๆ ซึ่งตัวจริงตายจริงๆไปนานแล้วกันแน่หรือเรากำลังดูการแสดงนะ.,หรือเราพึ่งระบบเก่านี้ไม่ได้อีกต่อไป.

    https://youtube.com/shorts/tZmETEFiXDs?si=PRW1qjRvxV3nmvDY
    คงไม่ใช่ตัวจริง จริงๆ มั้ยนะ เดี๋ยวตัวปลอมไปติดคุกจริงๆ ซึ่งตัวจริงตายจริงๆไปนานแล้วกันแน่หรือเรากำลังดูการแสดงนะ.,หรือเราพึ่งระบบเก่านี้ไม่ได้อีกต่อไป. https://youtube.com/shorts/tZmETEFiXDs?si=PRW1qjRvxV3nmvDY
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • จริงๆนำโดยไทยซึ่งเป็นคู่กรณีแล้วตัวจริงและปรากฎชัดเจนร่วมกับจีน ยื่นฟ้องอาชญากรและอาชญากรรมเขมรต่อฑูตประจำประเทศไทยทั้งประสานฑูตจีนร่วมไล่ล่ายื่นฟ้องตรวจสอบสถานะการมีอยู่ของแหล่งเงินทุนเขมรที่กระจายฟอกเงินอยู่ในทุกๆประเทศทั่วโลกเพื่อตรวจสอบร่วมกันได้ ทั้งธนาคารสิงคโปร์ เกาะเคแมน เกาะฟอกเงินต่างๆด้วย ประเทศใดร่วมปกปิดปิดบังสถานะการเงินของเขมรที่เข้าไปมีธุรกรรมใดๆผิดปกติเป็นอันมากทัังที่คนในประเทศยากจนทุกข์ยากแสนสาหัส มันสวนกระแสที่ต้องนำเงินนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประเทศตนให้ดีขึ้นมีตังมากขึ้นแต่สวนทาง กลับตังไหลออกจากประเทศมากมายผิดปกติ นั้นคือกระบวนการอาชญากรรมนี้ฟอกเงินผ่านการลงทุนผ่านการถือครองทรัพย์สินในประเทศนั้นชัดเจน เสมือนประเทศนัันหรือออสเตรเลียสมรู้ร่วมคิดกับโจร รับฝากของฝากตังฝากอาวุธของๆโจรนั้นเอง ออสเตรเลียจึงมีสถานะร่วมเป็นประเทศอาชญากรรมไปด้วย ถ้าอาจแหล่งขนย้ายค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ค้ายาเสพติดผ่านสถานะการเข้าถือครองทรัพย์สินสิทธิของประเทศออสเตรเลียอย่างถูกกฎหมายด้วย, จีนและไทยและชาติอื่นๆทั่วโลกสามารถตั้งข้อหาประเทศลักษณะออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ร่วมมีส่วนก่ออาชญากรและอาชญากรรมระดับโลกได้ด้วย.

    https://youtube.com/shorts/pBzkmL1fsAg?si=xQMxsT3pKdHQiNRf
    จริงๆนำโดยไทยซึ่งเป็นคู่กรณีแล้วตัวจริงและปรากฎชัดเจนร่วมกับจีน ยื่นฟ้องอาชญากรและอาชญากรรมเขมรต่อฑูตประจำประเทศไทยทั้งประสานฑูตจีนร่วมไล่ล่ายื่นฟ้องตรวจสอบสถานะการมีอยู่ของแหล่งเงินทุนเขมรที่กระจายฟอกเงินอยู่ในทุกๆประเทศทั่วโลกเพื่อตรวจสอบร่วมกันได้ ทั้งธนาคารสิงคโปร์ เกาะเคแมน เกาะฟอกเงินต่างๆด้วย ประเทศใดร่วมปกปิดปิดบังสถานะการเงินของเขมรที่เข้าไปมีธุรกรรมใดๆผิดปกติเป็นอันมากทัังที่คนในประเทศยากจนทุกข์ยากแสนสาหัส มันสวนกระแสที่ต้องนำเงินนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจปากท้องประเทศตนให้ดีขึ้นมีตังมากขึ้นแต่สวนทาง กลับตังไหลออกจากประเทศมากมายผิดปกติ นั้นคือกระบวนการอาชญากรรมนี้ฟอกเงินผ่านการลงทุนผ่านการถือครองทรัพย์สินในประเทศนั้นชัดเจน เสมือนประเทศนัันหรือออสเตรเลียสมรู้ร่วมคิดกับโจร รับฝากของฝากตังฝากอาวุธของๆโจรนั้นเอง ออสเตรเลียจึงมีสถานะร่วมเป็นประเทศอาชญากรรมไปด้วย ถ้าอาจแหล่งขนย้ายค้ามนุษย์ค้าอวัยวะมนุษย์ค้ายาเสพติดผ่านสถานะการเข้าถือครองทรัพย์สินสิทธิของประเทศออสเตรเลียอย่างถูกกฎหมายด้วย, จีนและไทยและชาติอื่นๆทั่วโลกสามารถตั้งข้อหาประเทศลักษณะออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ร่วมมีส่วนก่ออาชญากรและอาชญากรรมระดับโลกได้ด้วย. https://youtube.com/shorts/pBzkmL1fsAg?si=xQMxsT3pKdHQiNRf
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • สันดานมึน สันดานหนา สันดานด้าน สันดานทรยศเนรคุณหักหลัง และสันดานอื่นๆรวมทุกๆสันดานมีอยู่ในตัวคนเขมร.,ฮุนเซนจะเผด็จการแค่ไหน เมื่อสันดานดีงามมีในตัวจริงจะพลิกต่อต้านสู้ได้หมดล่ะ แต่ที่เห็นตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ไม่มีเลย.

    https://youtube.com/shorts/DZwUymDvzKU?si=QcmvhueINusJmF7U
    สันดานมึน สันดานหนา สันดานด้าน สันดานทรยศเนรคุณหักหลัง และสันดานอื่นๆรวมทุกๆสันดานมีอยู่ในตัวคนเขมร.,ฮุนเซนจะเผด็จการแค่ไหน เมื่อสันดานดีงามมีในตัวจริงจะพลิกต่อต้านสู้ได้หมดล่ะ แต่ที่เห็นตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ไม่มีเลย. https://youtube.com/shorts/DZwUymDvzKU?si=QcmvhueINusJmF7U
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
More Results