• พรีเวดดิ้ง วิ่งหนีตาย! "เทนนิส-จูเนียร์" จำจนตาย 29/03/68 #เทนนิส #จูเนียร์ #พรีเวดดิ้ง #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม
    พรีเวดดิ้ง วิ่งหนีตาย! "เทนนิส-จูเนียร์" จำจนตาย 29/03/68 #เทนนิส #จูเนียร์ #พรีเวดดิ้ง #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 497 Views 24 0 Reviews
  • ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    ดูเตอร์เต้โยนระเบิดนิวเคลียร์ใส่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์รวม 3 ลูกใหญ่ๆ มีอะไรมาดูกันเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2025 ดูเตอร์เตปรากฏตัวในศาลด้วยรถเข็น เมื่อผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่างประเทศอ่านคำกล่าวหาเรื่อง "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" เสร็จ ชายวัย 79 ปี อดีต ปธน.ดูเตอร์เต้ แห่งฟิลิปปินส์ ก็โยนระเบิดนิวเคลียร์ข้อมูล 3 ลูกใส่ผู้พิพากษาอย่างกะทันหันว่า "กองทัพสหรัฐรับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ สังหารพลเรือน 350,000 คนในอัฟกานิสถาน ศาลอาญาระหว่างประเทศแกล้งทำเป็นตาบอดมา 20 ปี! อิสราเอลทิ้งระเบิดใส่ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กเสียชีวิตไป 50,000 คนในฉนวนกาซา หมายจับของคุณอยู่ที่ไหน?" ผู้เฒ่าดูเตอร์เต้ แสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่แท้จริงของการควบคุมยาเสพติดในเมืองดาเวาในศาล และการติดตามของโรงเรียนอนุบาลแสดงให้เห็นว่าอัตราการก่ออาชญากรรมลดลง 73% หลังจากมีการห้ามยาเสพติด ผู้พิพากษาประธานศาลอาญาระหว่างประเทศรีบเคาะค้อนเพื่อหยุดเขา แต่ดูเตอร์เต้กลับหยิบภาพถ่ายชุดหนึ่งออกมา เป็นศพของเด็กที่ถูกพ่อค้ายาฆ่าตาย และสถานที่เกิดเหตุระเบิดของโดรนสหรัฐในอัฟกานิสถาน ถามว่า "ฝ่ายไหนต่อต้านมนุษย์มากกว่ากัน" ผู้ชมต่างโห่ร้องแสดงความยินดี และชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศก็ตะโกนว่า "ประธานาธิบดีจงเจริญ" และเจ้าหน้าที่บังคับคดีก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ รัฐบาลของมาร์กอส จูเนียร์ กำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดิมทีต้องการใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศโค่นล้มคู่ต่อสู้ทางการเมือง แต่กลับทำให้คะแนนนิยมของซาราห์ รองประธานาธิบดีพุ่งสูงถึง 39% ดูเตอร์เต้ สัญญาในศาลว่า "หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิด โปรดนำไบเดนและเนทันยาฮูมาขึ้นศาลด้วย!" คำกล่าวนี้เผยให้เห็นหน้ากากอันหน้าซื่อใจคดของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ "โจมตียุงเท่านั้น ไม่โจมตีเสือ" ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นเดียวกัน การจะตัดสินว่า ดูเตอร์เต้ มีความผิดหรือไม่เริ่มมีปัญหา ? ประเทศโลกทางใต้เตรียมถอนตัวออกจากกลุ่มพร้อมกัน จึงไม่ใช่มีความผิด?นักการเงินตะวันตกตัดเงินทุนหลายร้อยล้านยูโร การพิจารณาคดีแห่งศตวรรษนี้ในที่สุดก็กลายเป็นกระจกวิเศษที่เผยให้เห็นฝีหนองของความยุติธรรมระหว่างประเทศและรุ่งอรุณของระเบียบโลกใหม่ ชัยโย ชัยโย ชัยโย !!!Cr. K.Soms..Cr. Paisan Apacnews#Save112#Saveรัฐธรรมนูญ2560#ไม่เอาคนหนักแผ่นดิน#ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม#ThammasatPitakTham
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • ไทเกอร์ วูดส์ อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก ยืนยันคบหา วาเนสซา อดีตภรรยาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

    "พญาเสือ" โพสต์ภาพคู่รัก 2 ภาพบนเพจ "อินสตาแกรม" สื่อสังคมออนไลน์ พร้อมคำบรรยาย "ความรักเสมือนอากาศรอบตัว ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ข้างคุณ"

    "เรามองถึงการเดินทางของชีวิตคู่ ตอนนี้เราขอความเป็นส่วนตัวจากทุกๆ คน"

    ไทเกอร์ วัย 49 ปี กับ วาเนสซา วัย 47 ปี เริ่มต้นจากสถานะเพื่อน แล้วเลื่อนขั้นเป็นมากกว่าเพื่อน

    ตามกระแสข่าว ทั้งคู่คบกันตั้งแต่ก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้า แต่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/sport/detail/9680000027812

    #MGROnline #ไทเกอร์วูดส์ #อดีตนักกอล์ฟหมายเลข1ของโลก #วาเนสซา #อดีตภรรยา #โดนัลด์ทรัมป์จูเนียร์ #ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
    ไทเกอร์ วูดส์ อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก ยืนยันคบหา วาเนสซา อดีตภรรยาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา • "พญาเสือ" โพสต์ภาพคู่รัก 2 ภาพบนเพจ "อินสตาแกรม" สื่อสังคมออนไลน์ พร้อมคำบรรยาย "ความรักเสมือนอากาศรอบตัว ชีวิตมีความหมายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ข้างคุณ" • "เรามองถึงการเดินทางของชีวิตคู่ ตอนนี้เราขอความเป็นส่วนตัวจากทุกๆ คน" • ไทเกอร์ วัย 49 ปี กับ วาเนสซา วัย 47 ปี เริ่มต้นจากสถานะเพื่อน แล้วเลื่อนขั้นเป็นมากกว่าเพื่อน • ตามกระแสข่าว ทั้งคู่คบกันตั้งแต่ก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้า แต่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/sport/detail/9680000027812 • #MGROnline #ไทเกอร์วูดส์ #อดีตนักกอล์ฟหมายเลข1ของโลก #วาเนสซา #อดีตภรรยา #โดนัลด์ทรัมป์จูเนียร์ #ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
    0 Comments 0 Shares 377 Views 0 Reviews
  • นายโรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกตำรวจจับกุมที่สนามบินนานาชาติในกรุงมะนิลา ตามคำสั่งของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่ยื่นฟ้องต่อเขาในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากนโยบายสงครามยาเสพติดที่ดูเตอร์เตดำเนินการในช่วงที่มีอำนาจปกครองประเทศ

    ตามรายงานของตำรวจ มีผู้ต้องสงสัย 6,200 คน ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตำรวจชี้แจงว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมเนื่องจากคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวกล่าวว่าความเสียหายที่แท้จริงจากการปราบปรามนั้นมากกว่านั้นมาก

    ดูเตอร์เต เคยกล่าวไว้ว่า ตนพร้อมจะถูกจับกุมหาก ICC ออกหมายจับ และย้ำจุดยืนเรื่องการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด
    “ถ้าหมายจับเป็นเรื่องจริง เพราะอะไรผมจึงทำเช่นนั้นล่ะ ผมทำเพื่อตัวผมเองหรอ เพื่อครอบครัวของผมหรอ เปล่าเลย ผมทำเพื่อประชาชนของผม เพื่อลูกๆ ของพวกเรา และเพื่อประเทศของเรา”
    “หากนี่คือชะตากรรมในชีวิตของผมจริงๆ ผมคงต้องยอมรับมัน พวกเขาสามารถจับผม ขังผมได้เลย”

    ทางด้านสำนักงานของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายดูเตอร์เตถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาจากฮ่องก
    นายโรดริโก ดูเตอร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถูกตำรวจจับกุมที่สนามบินนานาชาติในกรุงมะนิลา ตามคำสั่งของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่ยื่นฟ้องต่อเขาในความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากนโยบายสงครามยาเสพติดที่ดูเตอร์เตดำเนินการในช่วงที่มีอำนาจปกครองประเทศ ตามรายงานของตำรวจ มีผู้ต้องสงสัย 6,200 คน ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตำรวจชี้แจงว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรมเนื่องจากคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ แต่กลุ่มนักเคลื่อนไหวกล่าวว่าความเสียหายที่แท้จริงจากการปราบปรามนั้นมากกว่านั้นมาก ดูเตอร์เต เคยกล่าวไว้ว่า ตนพร้อมจะถูกจับกุมหาก ICC ออกหมายจับ และย้ำจุดยืนเรื่องการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด “ถ้าหมายจับเป็นเรื่องจริง เพราะอะไรผมจึงทำเช่นนั้นล่ะ ผมทำเพื่อตัวผมเองหรอ เพื่อครอบครัวของผมหรอ เปล่าเลย ผมทำเพื่อประชาชนของผม เพื่อลูกๆ ของพวกเรา และเพื่อประเทศของเรา” “หากนี่คือชะตากรรมในชีวิตของผมจริงๆ ผมคงต้องยอมรับมัน พวกเขาสามารถจับผม ขังผมได้เลย” ทางด้านสำนักงานของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายดูเตอร์เตถูกจับกุมหลังจากเดินทางมาจากฮ่องก
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 471 Views 0 Reviews
  • ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    0 Comments 0 Shares 431 Views 0 Reviews
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 Comments 0 Shares 1138 Views 0 Reviews
  • Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า”
    .
    การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง
    .
    อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที
    .
    แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!"
    .
    บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้"
    .
    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง"
    .
    .
    to be continued...
    .
    .
    Part 2 : จาก “ไอ้ขี้ยา” ถึง “มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า” . การฆ่าคนสักคนโดยที่คนเราจะตั้งใจไม่หรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากคนผู้นั้นมีจิตสำนึก ชีวิตอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สำหรับ วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ ที่ชักปืนมายิงเปรี้ยงพลาดเข้ากางหน้าผากโวมเมอร์ ภรรยาโดยพฤตินัยนั้น อย่างแรกที่เขาเลือกที่จะทำคือการโทรหาทนายความหัวหมอคนนั้นอีก ซึ่งแน่นอน เขารอดคุกเป็นครั้งที่ 2 จากการใช้ช่องโหว่ทางจดหมาย แต่ไม่นานเท่าไหร่ ทนายเองก็มีปัญหาส่วนตัวกับกฏหมายบ้านเมือง ทางออกที่ดีที่สุดคือ บิลต้องเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง คราวนี้ต้องไปให้ไกลกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม เขาไปใช้ชีวิตในแถบอเมริกาใต้อยู่ครึ่งปี และกลายเป็นคนแรกในกลุ่มบีทส์ ที่ได้เสพ อายาวัสกาอย่างบ้าคลั่ง ในปี 1953 บิลกลับมาที่แม็กซิโก และ เดินทางออกจากที่นั่น กลับไปที่้ นิวยอร์ค เพื่อพบกับอัลแลน ซึ่งได้แนะนำเส้นสายในวงการโรงพิมพ์ให้เขารู้จัก หนึ่งในนั้นคือ คาร์ล โซโลมอน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของ เอสบุ๊ค ผู้รับหนังสือเล่มแรกของบิลตีพิมพ์ออกสู่ตลาดในวงกว้าง "ไอ้ขี้ยา" - Junkie บิลได้เงินจากการขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์เป็นเงิน 800 เหรียญ หนังสือเล่มนี้ "ไอ้ขี้ยา" - Junkie ขายไม่ค่อยดีเท่าไรนักในเวลานั้น เนื่องจากมันเป็นการรวมประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิบและเถื่อนของบิลเองในฐานะผู้เสพยาเสพติดหลากหลายชนิด แต่หากมองในมุมมองของโลกบุคปัจจุบันซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 70 ปี หนังสือเล่มนี้เปิดโลกอีกใบของสังคมอเมริกาในยุค mid-century ที่คนภายนอก หรือคนในปัจจุบัน มองว่าทุกอย่างนั้นเป็นระเบียบแบบแผน มีสีสัน มีความล้ำสมัย มีความเป็นอเมริกาน่าแบบไม่ตกยุค "ไอ้ขี้ยา" - Junkie จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในจำนวนที่น้อยมากๆ ที่สะท้อนสังคมอเมริกันในยุคนั้น อย่างลึกซึ้ง . อันที่จริง บิล ตกหลุมรัก อัลแลน แบบจริงจัง แบบหัวปักหัวปำ โดยออกปากว่าอยากความสัมพันธ์ทางเพศแบบชายรักชายกับเขา แต่เมื่อ อัลแลนปฏิเสธเขา บิลรู้สึกอกหัก และเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งสู่ แทนเจียร์ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่า เป็นตลาดใหญ่ของ โสเภณีชาย และ ยาเสพติดทุกประเภทในโลก และมันก็ไม่เกินความคาดเดา บิลเสพยาหนักขึ้นอีก ยาที่เขาเลือกใช้บ่อยที่สุดในช่วงนั้นคือ ยูคาโดล ซึ่งก็คือชื่้อทางการตลาดของยาระงับประสาท ออกซิโคโดน นั่นเอง เขาติดแบบงอมแงมซะเขาต้องเลือกที่จะบากหน้ากลับไปหาแม่ ในเดือนกันยายน ปี 1956 เพื่อขอยืมเงิน 500 เหรียญเพื่อไปบำบัด ซึ่งเขาได้พบกับ ดร. จอห์น ยาเบอร์รี่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แพทย์สายบำบัด ที่เก่งที่สุดในโลก โดยให้ อโปมอร์ฟีน กับบิลแทน นั่นก็ทำให้บิลหยุดอาการอยากยา ได้ขณะหนึ่ง แต่ไม่รู้เหตุอันใด บิล รีบเดินทางกลับไปที่แทนเจียร์เลยทันที . แทนเจียร์ สภาพที่คุ้นเคย สถานที่ที่บิลจัดหาทุกอย่างเพื่อสนองความต้องของตัวเองได้ทุกเวลา บิลเริ่มมีความมุ่งมั่นในการผลิตงานเขียนอย่างจริงๆจังๆ ก็ที่นี่ ที่ผลงานชั้นครูในโลกของวรรณกรรมนอกกระแส "มื้อกลางวันที่เปลือยเปล่า" - Naked Lunch บิลเขียนจดหมายถึงอัลแลนเล่าว่า "นายรู้หรือเปล่า? วิธีเขียนหนังสือยาวๆแบบฉัน ฉันนี่ดูดกัญชาไปเรื่อยๆ พิมพ์ไปด้วยความสูงสุดเท่าที่จะพิมพ์ได้ วันละ หกชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้นเป็นเลิกกัน" อันที่จริงแล้วชื่อวรรณกรรมเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญสุดๆ คือตอนที่จะให้ชื่อกับวรรณกรรมดังกล่าว ก่อนหน้านี้ที่บิลนั้นเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกที่ ม.โคลัมเบีย ซึ่งกลุ่มบีทส์ นำโดย แจ็ค กับ อัลแลน จะฝึกวิชาเขียนบทกันอย่างหนักหน่วงมาก โดยจะผลัดกับเขียนเรื่องสั้น เรียกว่า รูทีน และเอาพวกคนในกลุ่มผลัดกันมาเล่นละครแล้วก็วิจารณ์กันเองอย่างดุเดือด อัลแลนอ่านประโยค "ความใคร่อันเปลือยเปล่า" - Naked Lust ผิดเป็น Naked Lunch ซึ่งบิลชื่นชอบคำนี้มาก และจำมาเขียนเป็นชื่อวรรณกรรมของเขาเอง ในปี 1957 แจ็คเดินทางไปแทนเจียร์และพบว่า ต้นฉบับของ Naked Lunch นั้นปลิวกระจายไปทั่วห้อง แจ็คถึงกลับต้องเอามานั่งเรียบเรียงและพิมพ์ดีดลงกระดาษให้เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาม เดือนถัดมา แจ็คก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับไปที่แทนเจียร์อีกรอบพร้อมกับชายคนรักคนใหม่ของเขา ปีเตอร์ ออลอฟสกี้ และสองคนนี้ก็ไปช่วยกันเรียบเรียงให้ต้นฉบับนี้สมบูรณ์และพร้อมตีพิมพ์ในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่ออัลแลนได้อ่านต้นฉบับถึงกลับเขียนจดหมายไปหา ลูเชี่ยน คารร์ เล่าว่า "ผลงานของบิลนี้โคตรเจ๋ง การที่บิลเขาทุ่มเทกับมันใช้ความรู้และศิลปะในการใช้ภาษาที่เขามี และ ยังมีพวกเราที่มาขัดเกลามันขึ้นอีก!" . บิลกับอัลแลนเดินทางไปปารีสในเดือนมกราคมปี 1958 และขายสิทธิ์ในการตีพิมพ์งานชิ้นเอกของเขาให้กับ สำนักพิมพ์โอลิมเปีย และต่อมา ในปี 1962 ผลงานนี้จึงถูกนำเข้ามาตีพิมพ์ในอเมริกาโดย สำนักพิมพ์โกว์ฟ แต่ขายได้ไม่นานก็ถูกสั่งโดยรัฐบาลกลางให้เลิกขายโดยทันทีเนื่องจากมีเนื้อหาที่ลามกหยาบโลนเกินไปสำหรับนักอ่านในอเมริกา กว่าหนังสือเล่มนี้จะได้ขายในตลาดหนังสืออเมริกาก็ปาเข้าไปปี 1966 ซึ่งบิลนั้นยินดีมากที่หนังสือเขาจะไม่ถูกหาว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ในเวลาต่อมาเมื่อมีการเสวนากันโดยสื่อมวลชนถึง คุณค่าและความเป็นวรรณกรรมของหนังสือดังกล่าว นอแมน เมลเลอร์ กล่าวว่า "ก็ด้วยความที่มันสุดขอบในเรื่องเซ็กซ์ ความใคร่ ความกระสันในความรุนแรงแบบน่าสยดสยอง แบบดิบๆ ที่เราเจอได้ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมชื่นชม คุณ เบอร์โรส์ มากๆ เพราะเขาเข้าถึงเรื่องอย่างว่าได้ลึกกว่านักเขียนคนใดในโลกตะวันตกในยุคนี้" . วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ ก็ใช่่จะไม่เจอปัญหาที่ในชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคมของเขา นั่นก็คือลูกชายเขา - บิลจูเนียร์ นั่นเอง บิลจูเนียร์ติดยาเสพติดอย่างงอมแงม ตามไลฟสไตล์ที่เขาเห็นพ่อ และ แม่ผู้ล่วงลับใช้ชีวิตกันแบบนั้นมาตลอด บิลเดินทางออกจากแทนเจียร์อีกครั้ง มาอเมริกาเพื่อเอาลูกชายตัวเอง เข้าสถานบำบัดเอกชน เล็กซิงตั้น มีเรื่้องเล่าอยู่ว่า วันที่ สองคนเดินทางไปถึง พยาบาลถึงกลับงงและถามว่า "หนึ่งในสองคนนี้ คนไหนกันคะที่จะเข้ารับการบำบัด?" บิลจูเนียร์ มีชีวิตที่น่าสงสาร เป็นโรคไตวาย เปลี่ยนไตใหม่ไปหนึ่งครั้ง และก็จบชีวิตที่แสนสั้นของเขาที่ฟลอริดา บิลจูเนียร์เขียนจดหมายลาพ่อของเขา ลงท้ายจดหมาย "จาก บุตรที่โดนสาปแช่งตั้งแต่เกิดของท่านเอง" . . to be continued... . .
    0 Comments 0 Shares 760 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม
    .
    "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน
    .
    ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด"
    .
    โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย
    .
    ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ
    .
    ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม"
    .
    แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี
    .
    ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ
    .
    ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว
    .
    ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิงวอน โดนัลด์ ทรัมป์ หลายต่อหลายครั้ง ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธมาอย่างต่อเนื่อง จากคำกล่าวอ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำเคียฟ ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา . โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนบนอินสตาแกรม ก่อนพิธีสาบานตนของผู้เป็นพ่อ เย้ยหยันคำพูดของผู้นำยูเครน ที่ให้สัมภาษณ์กับ เล็กซ์ ฟรีดแมน พอดแคสต์ชาวอเมริกัน เมื่อช่วงต้นเดือน ซึ่ง เซเลนสกี บอกว่าเขาไม่ได้รับเชิญเข้าร่มพิธีสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม . "ผมไม่สามารถมาได้ โดยเฉพาะในช่วงระหว่างสงคราม จนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเชิญผมเป็นการส่วนตัว ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเรื่องเหมาะสมไหมที่จะเดินทางมา เพราะผมรู้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกผู้นำบางคนมีเหตุผลบางประการที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ" เซเลนสกี บอกกับ ฟรีดแมน . ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบโต้ว่า "ส่วนที่ตลกที่สุดก็คือ เขาเป็นผู้ร้องขออย่างไม่เป็นทางการสำหรับคำเชิญถึง 3 รอบ และแต่ละครั้งถูกปฏิเสธ "ตอนนี้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง" พร้อมตราหน้าเซเลนสกีว่าเป็น "คนประหลาด" . โดยปกติแล้ว ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักไม่เชิญพวกผู้นำต่างชาติเข้าร่วมพิธีสาบานตน แต่ ทรัมป์ นั้น เปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติดั้งเดิมและส่งคำเชิญอย่างครอบคลุมถึง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน วิคตอร์ เออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ฆาเบียร์ มิลเล ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ และประธานาธิบดีซานติอาร์โก เปญา แห่งปารากวัย . ทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงแก่ยุทธการของสหรัฐฯ ในการช่วยเหลือยูเครน และประกาศยุติความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนเกรงว่าข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดย ทรัมป์ จะทำให้ประเทศของเขาเสียเปรียบ . ทั้งนี้ เซเลนสกี พบปะกับ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน จากนั้น ทรัมป์ เผยว่าผู้นำยูเครน "ต้องการให้ความขัดแย้งยุติลง และทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องการ "ข้อตกลงที่ยุติธรรม" . แม้ไม่ได้รับเชิญ แต่ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) เซเลนสกี โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง และยกย่องว่ามันเป็นโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพในประเทศของเขา ที่สู้รบทำสงครามต่อต้านการรุกรานของรัสเซียมาเกือบ 3 ปี . ทรัมป์ เรียกร้องซ้ำๆ เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง และสัญญาว่าจะหยุดสงครามอย่างทันทีทันใด แต่ไม่ได้บอกว่าจะด้วยวิธีการใด "ประธานาธิบดีทรัมป์เด็ดขาดเสมอ และนโยบายสันติภาพผ่านความเข้มแข็งที่เขาแถลง เปิดโอกาสสำหรับเสริมเข้มแข็งแก่ความเป็นผู้นำของอเมริกา และบรรลุเป้าหมายสันติภาพในระยะยาว ซึ่งมันมีความสำคัญลำดับสูงสุด" เซเลนสกีระบุ . ยูเครน มองการเพาะบ่มความใกล้ชิดกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือเป้าหมายสำคัญ และเซเลนสกี กล่าวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ายูเครนกำลังตั้งตาคอยบรรลุเป้าหมายแห่งความร่วมมือที่ก่อประโยชน์ร่วมกันกับรัฐบาลทรัมป์ "เมื่อร่วมมือกัน เราเข้มแข็งกว่าเดิม และเราสามารถมอบความมั่นคงและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมอบการเติบโตทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดีขึ้นแก่โลกและประเทศของเราทั้ง 2 ชาติ" เขากล่าว . ระหว่างการปราศรัยในช่วงค่ำ เซเลนสกี ให้คำจำกัดความ ทรัมป์ ว่าเป็น "คนที่เข้มแข็ง" ที่มอบแรงกดดันที่จำเป็นสำหรับเดินหน้าความพยายามบรรลุเป้าหมายแห่งสันติภาพ "นี่คือโอกาสที่ต้องคว้าไว้" เซเลนสกีกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006233 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    16
    0 Comments 0 Shares 1667 Views 1 Reviews
  • สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค)
    .
    เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี
    .
    เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น
    .
    ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน
    .
    เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต
    .
    ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา
    .
    “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว
    .
    ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา
    .
    ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน
    .
    อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989
    .
    โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
    .
    โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา
    .
    ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา”
    .
    บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน”
    .
    และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว”
    .
    “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด”
    .
    เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช”
    .
    เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค) . เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี . เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น . ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน . เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต . ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า . เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที . บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา . “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว . ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา . ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน . อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989 . โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล . โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา . ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา” . บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน” . และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว” . “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด” . เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช” . เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1281 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก
    .
    การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง
    .
    พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด
    .
    ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว
    .
    ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที
    .
    ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง
    .
    ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    .
    สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021
    .
    ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง
    .
    วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน
    .
    ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก . การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง . พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด . ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว . ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที . ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ . เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง . ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน . สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021 . ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง . วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน . ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227 .............. Sondhi X
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 1385 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 3 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (ลูกชาย ปธน.ทรัมป์) กล่าว
    ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ขอเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 3 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (ลูกชาย ปธน.ทรัมป์) กล่าว
    Haha
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • พันธมิตรรีพับลิกันของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นำเสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายให้อำนาจการเจรจา กรณีที่อเมริกาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำโปรเอกราชของเกาะแบะท่าพร้อมเจรจา หลัง ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึด
    .
    ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่งต่อในวันจันทร์ (13 ม.ค.) โดย แอนดี ออกเลส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกนับสิบคน จะเปิดทางให้ ทรัมป์ สามารถเริ่มเจรจากับเดนมาร์ก ได้ทันทีที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    "ด้วยเหตุนี้ คองเกรสให้อำนาจประธานาธิบดี เริ่มตั้งแต่ 00.01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก ของวันที่ 20 มกราคม 2025 ในการหาทางเข้าสู่การเจรจากับประเทศเดนมาร์ก เกี่ยวกับการซื้อเกาะกรีนแลนด์" ร่างกฎหมายระบุ
    .
    ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ รื้อฟื้นความสนใจในการดึงเกาะกรีนแลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ อ้างว่ามันมีความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงแห่งชาติ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารและมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว "ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เดนมาร์ก มีสิทธิโดยชอบธรรมทางกฎหมายใดๆ เหนือเกาะกรีนแลนด์หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขามี พวกเขาควรปล่อยมือ เพราะเราต้องการมัน" ทรัมป์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นย้ำว่าเกาะแห่งนี้มีความทะเทอทะยานอยากเป็นเอกราชแยกออกจากเดนมาร์ก พร้อมระบุประชาชนชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นทั้งคนเดนมาร์กหรืออเมริกันชน นอกจากนี้ เขายังแสดงถึงความพร้อมที่จะพูดคุยกับทรัมป์ และยอมรับว่าการที่ ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการบีบบังคับขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งที่ "น่าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง"
    .
    กรีนแลนด์ เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก มีชายฝั่งทั้งด้านแอตแลนติกและอาร์กติก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถึงปี 1950 มันเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยสมบูรณ์ แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองโดยสหรัฐฯ หลังจากเดนมาร์ก ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนี ปัจจุบันเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพทหารอเมริกาแห่งหนึ่ง และมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับภัยคุกคามจากขีปนาวุธ
    .
    เกาะแห่งนี้เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 พร้อมได้รับสิทธิในปี 2009 ในการประกาศเอกราช หากว่าประชามติผ่านความเห็นชอบ "ความปรารถนาเป็นเอกราช ความปรารถนาที่จะมีบ้านของตนเอง คงได้รับความเข้าใจจากประชาชนทั่วโลก" เอเกเด กล่าว พร้อมระบุว่าการลงประชามติประกาศเอกราช "จะมีขึ้นเร็วๆ นี้"
    .
    กรีนแลนด์ เป็นถิ่นพำนักของประชาชนไม่ถึง 57,000 คน และ 80% ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่มันอุดมไปด้วยทรัพยากรทองคำ เงิน ทองแดงและอะลูมิเนียม และเชื่อว่ามันมีแหล่งสำรองน้ำมันมหาศาลอยู่ในเขตน่านน้ำ
    .
    ผลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ของ Patriot Polling สถาบันวิจัยสหรัฐฯ พบว่ามีพลเมืองเกาะกรีนแลนด์ 57% สนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ โดยโพลดังกล่าวเป็นการสอบถามผู้ตอบแบบสอบถาม 416 คน และจัดทำเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนเกาะกรีนแลนด์ ในทริปส่วนตัวพอดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004284
    ..............
    Sondhi X
    พันธมิตรรีพับลิกันของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นำเสนอร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายให้อำนาจการเจรจา กรณีที่อเมริกาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำโปรเอกราชของเกาะแบะท่าพร้อมเจรจา หลัง ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้ายึด . ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ส่งต่อในวันจันทร์ (13 ม.ค.) โดย แอนดี ออกเลส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกนับสิบคน จะเปิดทางให้ ทรัมป์ สามารถเริ่มเจรจากับเดนมาร์ก ได้ทันทีที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . "ด้วยเหตุนี้ คองเกรสให้อำนาจประธานาธิบดี เริ่มตั้งแต่ 00.01 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก ของวันที่ 20 มกราคม 2025 ในการหาทางเข้าสู่การเจรจากับประเทศเดนมาร์ก เกี่ยวกับการซื้อเกาะกรีนแลนด์" ร่างกฎหมายระบุ . ข้อเสนอนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ รื้อฟื้นความสนใจในการดึงเกาะกรีนแลนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ อ้างว่ามันมีความจำเป็นอย่างที่สุดสำหรับความมั่นคงแห่งชาติ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารและมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว "ประชาชนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เดนมาร์ก มีสิทธิโดยชอบธรรมทางกฎหมายใดๆ เหนือเกาะกรีนแลนด์หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขามี พวกเขาควรปล่อยมือ เพราะเราต้องการมัน" ทรัมป์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เน้นย้ำว่าเกาะแห่งนี้มีความทะเทอทะยานอยากเป็นเอกราชแยกออกจากเดนมาร์ก พร้อมระบุประชาชนชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นทั้งคนเดนมาร์กหรืออเมริกันชน นอกจากนี้ เขายังแสดงถึงความพร้อมที่จะพูดคุยกับทรัมป์ และยอมรับว่าการที่ ทรัมป์ ไม่ตัดความเป็นไปได้ในการบีบบังคับขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ เป็นสิ่งที่ "น่าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง" . กรีนแลนด์ เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในโลก มีชายฝั่งทั้งด้านแอตแลนติกและอาร์กติก ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถึงปี 1950 มันเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กโดยสมบูรณ์ แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองโดยสหรัฐฯ หลังจากเดนมาร์ก ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนี ปัจจุบันเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพทหารอเมริกาแห่งหนึ่ง และมีระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าสำหรับภัยคุกคามจากขีปนาวุธ . เกาะแห่งนี้เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับอนุมัติให้ปกครองตนเองในปี 1979 พร้อมได้รับสิทธิในปี 2009 ในการประกาศเอกราช หากว่าประชามติผ่านความเห็นชอบ "ความปรารถนาเป็นเอกราช ความปรารถนาที่จะมีบ้านของตนเอง คงได้รับความเข้าใจจากประชาชนทั่วโลก" เอเกเด กล่าว พร้อมระบุว่าการลงประชามติประกาศเอกราช "จะมีขึ้นเร็วๆ นี้" . กรีนแลนด์ เป็นถิ่นพำนักของประชาชนไม่ถึง 57,000 คน และ 80% ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่มันอุดมไปด้วยทรัพยากรทองคำ เงิน ทองแดงและอะลูมิเนียม และเชื่อว่ามันมีแหล่งสำรองน้ำมันมหาศาลอยู่ในเขตน่านน้ำ . ผลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ของ Patriot Polling สถาบันวิจัยสหรัฐฯ พบว่ามีพลเมืองเกาะกรีนแลนด์ 57% สนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ โดยโพลดังกล่าวเป็นการสอบถามผู้ตอบแบบสอบถาม 416 คน และจัดทำเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนเกาะกรีนแลนด์ ในทริปส่วนตัวพอดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000004284 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    9
    0 Comments 0 Shares 1773 Views 0 Reviews
  • ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ข่มขู่ใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ประกาศใช้มาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจเพื่อผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา
    .
    ภายหลังรัฐสภาสหรัฐฯประกาศรับรองอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (7) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้ได้เชิญพวกผู้สื่อข่าวไปที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก ของเขา ในรัฐฟลอริดา เพื่อประกาศโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก่อนที่บรรยากาศของการแถลงข่าวจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับช่วงการหาเสียงอย่างรวดเร็ว
    .
    ทรัมป์ที่จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ที่จะถึงนี้ เริ่มต้นด้วยการอวดอ้างว่า นับจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง ความคิดของทั่วโลกก็เปลี่ยนไป และผู้คนจากประเทศต่างๆ โทรศัพท์มาขอบคุณเขา
    .
    มหาเศรษฐีจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็น “อ่าวอเมริกา” พร้อมขู่รีดภาษี ถ้าเม็กซิโกไม่จัดการปัญหาผู้อพยพลักลอบข้ามพรมแดนเข้าสู่อเมริกา
    .
    ทรัมป์ยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเพื่อยึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนในอธิปไตยของเดนมาร์ก ตลอดจนคลองปานามา ที่เขาระบุว่าอยากได้มานานแล้ว ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ผู้เพิ่งล่วงลับ ที่อนุญาตให้ปานามาเข้าควบคุมคลองปานามาแทนที่สหรัฐฯ เมื่อตอนที่เป็นประธานาธิบดี
    .
    เกี่ยวกับแคนาดาที่ทรัมป์คุยฟุ้งมาหลายหนแล้วว่า จะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกานั้น ล่าสุดเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้กำลังทหารบุกแคนาดาหรือไม่ ว่าที่ประมุขทำเนียบขาวตอบว่า จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และสำทับว่า การลบ “เส้นเขตแดนที่มนุษย์กำหนดขึ้น” ระหว่างพรมแดนอเมริกากับแคนาดาน่าจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
    .
    แม้มีความยากลำบากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการมุ่งโอ้อวดและปล่อยมุกมุ่งสร้างอารมณ์ขันของทรัมป์ กับการมุ่งมั่นดำเนินนโยบายที่แท้จริง แต่การประกาศเหล่านี้อีกคำรบหนึ่งของเขา ก็ถูกมองว่า เป็นการตอกย้ำวาทกรรมเกี่ยวกับการขยายดินแดน และทำให้ถูกต่อต้านจากพวกประเทศที่ถูกพาดพิงถึง
    .
    เริ่มจากนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่ตอบโต้ว่า ไม่มีทางที่แคนาดาจะผนวกกับอเมริกา
    .
    ด้าน ฌาเวียร์ มาร์ติเนซ-อาชา รัฐมนตรีต่างประเทศปานามา ยืนกรานว่า อธิปไตยคลองปานามาเป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้ และสำทับว่า ผู้ที่ควบคุมคลองปานามาในเวลานี้มีเพียงปานามาเท่านั้นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเป็นการตอบโต้การกล่าวหาอย่างเป็นเท็จของทรัมป์ที่ว่า ปัจจุบันทหารจีนเป็นผู้ควบคุมคลองแห่งนี้ ที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิก
    .
    ทั้งนี้ อเมริกาเป็นผู้ขุดคลองปานามา และตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนในสมัยประธานาธิบีดคาร์เตอร์ ได้ยินยอมมอบสิทธิในการควบคุมดูแลคืนให้รัฐบาลปานามา
    .
    ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังทำให้ยุโรปขุ่นเคืองด้วยการเสนอซื้อกรีนแลนด์ เกาะใหญ่ในอาร์กติกซึ่งปัจจุบันมีฐานทัพของอเมริกาตั้งอยู่ด้วย
    .
    ก่อนที่ทรัมป์จะพูดพาดพิงถึงกรีนแลนด์ในครั้งนี้ไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ได้เดินทางไปยังเกาะนี้ โดยระบุว่า เป็นทริปส่วนตัวและไม่มีกำหนดการพบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแต่อย่างใด
    .
    กรีนแลนด์เป็นเขตปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา และสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
    .
    นายกรัฐมนตรีเมตเทอ เฟรเดริกเซน ของเดนมาร์ก แสดงปฏิกิริยาโดยให้สัมภาษณ์สถานีทีวี2 ของแดนโคนมว่า อเมริกาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดและสำคัญที่สุดของเดนมาร์ก และเธอไม่เชื่อว่า อเมริกาจะใช้อำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจเพื่อเข้ายึดกรีนแลนด์
    .
    ไม่เพียงระรานดินแดนของหลายประเทศ ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวครั้งนี้ ทรัมป์ยังโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรื่องถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ความขัดแย้งในยูเครนและซีเรีย รวมทั้งย้ำข้อกล่าวอ้างอย่างผิดข้อเท็จจริงที่ว่า ระหว่างที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น อเมริกา “ไม่เคยมีสงคราม”
    .
    เขายังกล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในปัจจบันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โดยไม่เอ่ยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตัวเขาเองไม่เคยยอมรับว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่ ไบเดน อีกทั้งไม่ยอมไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดน
    .
    ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่า อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องทางกฎหมายมากมายหลายคดีที่ตนเองเผชิญอยู่ และขู่ว่า จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำเดโมแครตในการห้ามการพัฒนาโครงการก๊าซและน้ำมันนอกชายฝั่งอเมริกา
    .
    ทรัมป์ปิดท้ายค่ำวันอังคารด้วยการโพสต์มีมภาพแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหรัฐฯอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002351
    ..............
    Sondhi X
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ข่มขู่ใช้กำลังทหารเข้ายึดคลองปานามาและเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเขาอ้างว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ประกาศใช้มาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจเพื่อผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา . ภายหลังรัฐสภาสหรัฐฯประกาศรับรองอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (7) ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยในการเลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้ได้เชิญพวกผู้สื่อข่าวไปที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก ของเขา ในรัฐฟลอริดา เพื่อประกาศโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ก่อนที่บรรยากาศของการแถลงข่าวจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับช่วงการหาเสียงอย่างรวดเร็ว . ทรัมป์ที่จะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ที่จะถึงนี้ เริ่มต้นด้วยการอวดอ้างว่า นับจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง ความคิดของทั่วโลกก็เปลี่ยนไป และผู้คนจากประเทศต่างๆ โทรศัพท์มาขอบคุณเขา . มหาเศรษฐีจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ประกาศว่า จะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็น “อ่าวอเมริกา” พร้อมขู่รีดภาษี ถ้าเม็กซิโกไม่จัดการปัญหาผู้อพยพลักลอบข้ามพรมแดนเข้าสู่อเมริกา . ทรัมป์ยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเพื่อยึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนในอธิปไตยของเดนมาร์ก ตลอดจนคลองปานามา ที่เขาระบุว่าอยากได้มานานแล้ว ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ผู้เพิ่งล่วงลับ ที่อนุญาตให้ปานามาเข้าควบคุมคลองปานามาแทนที่สหรัฐฯ เมื่อตอนที่เป็นประธานาธิบดี . เกี่ยวกับแคนาดาที่ทรัมป์คุยฟุ้งมาหลายหนแล้วว่า จะทำให้ประเทศนี้กลายเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกานั้น ล่าสุดเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้กำลังทหารบุกแคนาดาหรือไม่ ว่าที่ประมุขทำเนียบขาวตอบว่า จะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และสำทับว่า การลบ “เส้นเขตแดนที่มนุษย์กำหนดขึ้น” ระหว่างพรมแดนอเมริกากับแคนาดาน่าจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ . แม้มีความยากลำบากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างการมุ่งโอ้อวดและปล่อยมุกมุ่งสร้างอารมณ์ขันของทรัมป์ กับการมุ่งมั่นดำเนินนโยบายที่แท้จริง แต่การประกาศเหล่านี้อีกคำรบหนึ่งของเขา ก็ถูกมองว่า เป็นการตอกย้ำวาทกรรมเกี่ยวกับการขยายดินแดน และทำให้ถูกต่อต้านจากพวกประเทศที่ถูกพาดพิงถึง . เริ่มจากนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา ที่ตอบโต้ว่า ไม่มีทางที่แคนาดาจะผนวกกับอเมริกา . ด้าน ฌาเวียร์ มาร์ติเนซ-อาชา รัฐมนตรีต่างประเทศปานามา ยืนกรานว่า อธิปไตยคลองปานามาเป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้ และสำทับว่า ผู้ที่ควบคุมคลองปานามาในเวลานี้มีเพียงปานามาเท่านั้นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเป็นการตอบโต้การกล่าวหาอย่างเป็นเท็จของทรัมป์ที่ว่า ปัจจุบันทหารจีนเป็นผู้ควบคุมคลองแห่งนี้ ที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิก . ทั้งนี้ อเมริกาเป็นผู้ขุดคลองปานามา และตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนในสมัยประธานาธิบีดคาร์เตอร์ ได้ยินยอมมอบสิทธิในการควบคุมดูแลคืนให้รัฐบาลปานามา . ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังทำให้ยุโรปขุ่นเคืองด้วยการเสนอซื้อกรีนแลนด์ เกาะใหญ่ในอาร์กติกซึ่งปัจจุบันมีฐานทัพของอเมริกาตั้งอยู่ด้วย . ก่อนที่ทรัมป์จะพูดพาดพิงถึงกรีนแลนด์ในครั้งนี้ไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ได้เดินทางไปยังเกาะนี้ โดยระบุว่า เป็นทริปส่วนตัวและไม่มีกำหนดการพบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นแต่อย่างใด . กรีนแลนด์เป็นเขตปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา และสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) . นายกรัฐมนตรีเมตเทอ เฟรเดริกเซน ของเดนมาร์ก แสดงปฏิกิริยาโดยให้สัมภาษณ์สถานีทีวี2 ของแดนโคนมว่า อเมริกาเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดและสำคัญที่สุดของเดนมาร์ก และเธอไม่เชื่อว่า อเมริกาจะใช้อำนาจทางทหารหรือเศรษฐกิจเพื่อเข้ายึดกรีนแลนด์ . ไม่เพียงระรานดินแดนของหลายประเทศ ในการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวครั้งนี้ ทรัมป์ยังโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรื่องถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ความขัดแย้งในยูเครนและซีเรีย รวมทั้งย้ำข้อกล่าวอ้างอย่างผิดข้อเท็จจริงที่ว่า ระหว่างที่ตนเองเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกนั้น อเมริกา “ไม่เคยมีสงคราม” . เขายังกล่าวหาพวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในปัจจบันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โดยไม่เอ่ยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตัวเขาเองไม่เคยยอมรับว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่ ไบเดน อีกทั้งไม่ยอมไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดน . ทรัมป์ยังกล่าวหาไบเดนว่า อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องทางกฎหมายมากมายหลายคดีที่ตนเองเผชิญอยู่ และขู่ว่า จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำเดโมแครตในการห้ามการพัฒนาโครงการก๊าซและน้ำมันนอกชายฝั่งอเมริกา . ทรัมป์ปิดท้ายค่ำวันอังคารด้วยการโพสต์มีมภาพแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหรัฐฯอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002351 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Love
    10
    0 Comments 0 Shares 1623 Views 0 Reviews
  • "ที่ผ่านมาเค้าเรียกว่าอะไร!"

    ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเดนมาร์กเริ่มเสื่อมถอย เมื่อทรัมป์วางแผนยึดกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก

    วันนี้มีการประกาศว่าทรัมป์จูเนียร์ลูกชายของโดนัลด์ทรัมป์จะไปเยือนกรีนแลนด์

    อีลอน มัสก์ยังประกาศด้วยว่าเขาต้องการให้กรีนแลนด์ของเดนมาร์กกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา

    ตอนนี้ทรัมป์พูดอีกครั้งและประกาศว่า "กรีนแลนด์คือ MAGA"

    เมื่อช่วงปีใหม่ มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ประกาศจะทำทุกวิถีทางให้กรีนแลนด์ได้รับอิสรภาพ

    ก่อนหน้านี้ เดนมาร์กตัดสินใจเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเพื่อปกป้องกรีนแลนด์

    ดูเหมือนว่าเดนมาร์กประเทศในยุโรปแห่งนี้จะโดนตบหน้าอย่างแรงจากพันธมิตรที่ชื่อสหรัฐ!
    "ที่ผ่านมาเค้าเรียกว่าอะไร!" ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเดนมาร์กเริ่มเสื่อมถอย เมื่อทรัมป์วางแผนยึดกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก วันนี้มีการประกาศว่าทรัมป์จูเนียร์ลูกชายของโดนัลด์ทรัมป์จะไปเยือนกรีนแลนด์ อีลอน มัสก์ยังประกาศด้วยว่าเขาต้องการให้กรีนแลนด์ของเดนมาร์กกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ทรัมป์พูดอีกครั้งและประกาศว่า "กรีนแลนด์คือ MAGA" เมื่อช่วงปีใหม่ มูเต เอเกเด นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ประกาศจะทำทุกวิถีทางให้กรีนแลนด์ได้รับอิสรภาพ ก่อนหน้านี้ เดนมาร์กตัดสินใจเพิ่มงบประมาณด้านการทหารเพื่อปกป้องกรีนแลนด์ ดูเหมือนว่าเดนมาร์กประเทศในยุโรปแห่งนี้จะโดนตบหน้าอย่างแรงจากพันธมิตรที่ชื่อสหรัฐ!
    0 Comments 0 Shares 343 Views 0 Reviews
  • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในการที่ นายเจมส์ คาร์เตอร์ (Mr. James Carter) อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ความว่า

    ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการจากไป ของ ฯพณฯ นายเจมส์ เอิร์ล คาร์เตอร์ จูเนียร์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ที่เป็นดั่งมิตรแท้และได้รับความไว้วางใจ ของประเทศไทย การจากไปของท่านอดีตประธานาธิบดี นับเป็นการสูญเสียรัฐบุรุษซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของโลก ที่อุทิศตนเพื่อประเทศและมวลมนุษยชาติ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือ และการชื่นชมจากนานาประเทศมายาวนาน

    ท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์เป็นแบบอย่างของความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลก และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกกาส อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งได้ยังผลให้มิตรภาพที่มีมายาวนานระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทยแน่นแฟ้นเป็นอย่างยิ่ง ประเทศของเราทั้งสองได้ร่วมมือกันอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังความขัดแย้ง และในการเผชิญความท้าทายที่ตามมาจากการหลั่งไหลของผู้อพยพจำนวนมาก ภายใต้การนำของท่านอดีตประธานาธิบดี ยังได้เกิดความเป็นหุ้นส่วนสำคัญระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้นในด้านการค้า การลงทุนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

    ประเทศไทยระลึกถึงการมาเยือนเป็นการส่วนตัวของท่านอดีตประธานาธิบดีถึงสองครั้ง ในปี 2549 และปี 2552 ซึ่งการเยือนดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้การดำเนินโครงการด้านมนุษยธรรมของท่านภายใต้มูลนิธิที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติประสบผลสำเร็จ คุณูปการจากการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และห่วงใยของท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้นำมาซึ่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งแก่ผู้คนทั้งหลายทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก

    ข้าพเจ้าและพระราชินีขอร่วมไว้อาลัยกับประชาชนของสหรัฐอเมริกา ต่อการสูญเสียผู้นำคนสำคัญ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในนามของประชาชนชาวไทย มายังท่านประธานาธิบดี ตลอดถึงครอบครัวของท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ และประชาชนของสหรัฐอเมริกา ในการสูญเสียที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าและไม่อาจทดแทนได้นี้

    (พระปรมาภิไธย) มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นความเสียพระราชหฤทัยไปยังประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในการที่ นายเจมส์ คาร์เตอร์ (Mr. James Carter) อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ความว่า ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการจากไป ของ ฯพณฯ นายเจมส์ เอิร์ล คาร์เตอร์ จูเนียร์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ที่เป็นดั่งมิตรแท้และได้รับความไว้วางใจ ของประเทศไทย การจากไปของท่านอดีตประธานาธิบดี นับเป็นการสูญเสียรัฐบุรุษซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของโลก ที่อุทิศตนเพื่อประเทศและมวลมนุษยชาติ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องนับถือ และการชื่นชมจากนานาประเทศมายาวนาน ท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์เป็นแบบอย่างของความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลก และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกกาส อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งได้ยังผลให้มิตรภาพที่มีมายาวนานระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทยแน่นแฟ้นเป็นอย่างยิ่ง ประเทศของเราทั้งสองได้ร่วมมือกันอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังความขัดแย้ง และในการเผชิญความท้าทายที่ตามมาจากการหลั่งไหลของผู้อพยพจำนวนมาก ภายใต้การนำของท่านอดีตประธานาธิบดี ยังได้เกิดความเป็นหุ้นส่วนสำคัญระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้นในด้านการค้า การลงทุนและการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ประเทศไทยระลึกถึงการมาเยือนเป็นการส่วนตัวของท่านอดีตประธานาธิบดีถึงสองครั้ง ในปี 2549 และปี 2552 ซึ่งการเยือนดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้การดำเนินโครงการด้านมนุษยธรรมของท่านภายใต้มูลนิธิที่อยู่อาศัยเพื่อมนุษยชาติประสบผลสำเร็จ คุณูปการจากการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และห่วงใยของท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้นำมาซึ่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งแก่ผู้คนทั้งหลายทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ข้าพเจ้าและพระราชินีขอร่วมไว้อาลัยกับประชาชนของสหรัฐอเมริกา ต่อการสูญเสียผู้นำคนสำคัญ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในนามของประชาชนชาวไทย มายังท่านประธานาธิบดี ตลอดถึงครอบครัวของท่านอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ และประชาชนของสหรัฐอเมริกา ในการสูญเสียที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าและไม่อาจทดแทนได้นี้ (พระปรมาภิไธย) มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    0 Comments 0 Shares 473 Views 0 Reviews
  • “มองไทย มองโลก” ไม่มีอะไรดี เลวร้ายลง รัฐบาลทำพังแต่คนไทยเอาแต่บ่นในปี 2568
    .
    ประเทศไทยแทบจะไม่ต้องพูดอะไรเลย เพราะว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มีแต่เลวลง สังคมกฎหมายเลวลงกรณีแตงโม กรณีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร กรณีเขากระโดง นี่คือจุดเริ่มต้นของความเสื่อมในปีหน้า ที่มันจะเสื่อมลงกว่าเก่า เศรษฐกิจก็ยังติดขัดอยู่ ทุกวันนี้ที่พรรคเพื่อไทยออกมาคุยโวโอ้อวด ผมยังไม่เคยเห็นพรรคเพื่อไทยทำอะไรเป็นการสร้างเศรษฐกิจให้ยั่งยืนเลย มีแต่เอาเงินงบประมาณมาแจกประชาชนเพื่อหวังเสียง แค่นั้นเอง
    .
    สรุปง่ายๆ พรรคเพื่อไทย กับพรรคไทยรักไทยตอนแรก ที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วตอนนี้ก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง โดยชูลูกสาวเป็นตัวปลอม เป็นหุ่นเชิดให้ นิสัยก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ลด แลก แจก แถม
    .
    ปีหน้าเมื่อมีการปรับ ครม.แล้ว ทักษิณ คงต้องเปลี่ยนตัวเอารัฐมนตรีฯ ต่างประเทศคนใหม่เข้ามาแทนที่ อาจจะเป็นนพดล ปัทมะ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบันไม่กล้าตั้งคณะกรรมการ JCT ต้องเอาคนที่หน้าด้าน แล้วผมจะเตือนอย่างนะครับ ท่านเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ กรมสนธิสัญญาฯ ถ้าคุณจำเป็นจะต้องไปนั่งเป็นคณะกรรมการ ให้คุณระวังตัวไว้นะ คุณอย่าทำตามใบสั่งทางการเมืองนะว่าเขาต้องมีธงแบบนี้ คุณยอมให้เขาย้ายดีกว่า เพราะว่าในที่สุด เมื่อประเทศไทยสูญเสียดินแดน คุณจะเห็นว่านรกมันมีจริงสำหรับชีวิตอนาคตข้างหน้าของพวกคุณ
    .
    มีคนเคยถามผมว่า คุณสนธิ VAT มันจะขึ้นไหม ? แนวโน้มสูงมากจะต้องขึ้น เพราะว่ารัฐบาลมันถังแตก ตระกูลชินวัตรทำให้ประเทศไทยล่มสลายจากการจำนำข้าวไป 7 แสนล้านบาท
    .
    ภูมิรัฐศาสตร์โลกมันจะเกิดสงครามเป็นหย่อมๆอย่างที่พูดไปแล้วเมื่อปี2567 แล้วความห้าวเป้งของนายทรัมป์ ที่ต้องการจะฟาดอิหร่านร่วมกับเนทันยาฮู อิสราเอล นั้น มันจะก่อให้เกิดสงครามใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด
    .
    สำหรับสงครามในยูเครนจะต้องจบไม่น่าจะเกินกุมภาพันธ์-มีนาคม ผมเชื่อว่ารัสเซียคงยังจะต้องใช้ออร์เซนิกสั่งสอนยูเครนและทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาโต และที่สำคัญ ทรัมป์ไม่ต้องการสงคราม ทรัมป์ต้องการจะค้าขาย เพราะฉะนั้นสงครามยูเครนน่าจะลดความร้อนแรงลง
    .
    ส่วนทะเลจีนตอนใต้ก็จะยังคงรุนแรงต่อ เพราะว่าล่าสุดติดขีปนาวุธพิสัยกลางไว้ที่เกาะฟิลิปปินส์ นายเฟอร์ดินานด์ มากอส จูเนียร์ กำลังจะเป็นเซเลนสกีทางภาคตะวันออกอีกคนหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพูดถึงทะเลจีนตอนใต้ นั่นก็คือการที่บ้านสองบ้านตรงข้ามกัน ในซอยเดียวกัน เปิดประตูแล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่กัน แต่ถ้าเป็นตะวันออกกลางแล้ว มันเริ่มเอาข้าวของ เอาปืนยิงใส่บ้านซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นยูเครน ก็คือเอาของขว้างต่อกัน ซึ่งกันและกัน นี่คือภาพของโลก
    .
    ถ้าดูตามตำราโหราศาสตร์ปี 2568ตามที่อาจารย์ยิปมันบอกว่า เป็นปีที่ 3 ที่ดาวมฤตยูเข้าสู่ราศีพฤษภของโลกและดวงเมืองประเทศไทย แปลว่าดาวบาปพระเคราะห์ดวงนี้จะทำให้เกิดการพลิกผันในวงการเศรษฐกิจ การเมือง การคลัง และจะทำให้การผันผวนด้านการเงินการคลัง และเศรษฐกิจของโลก ราคาทองคำ บิทคอยน์ จะผันผวนต่อเนื่อง สิ่งที่เคยมีค่าจะกลับกลายเป็นด้อยค่า หุ้นไทยและทองไทยยังมีโอกาสขึ้นต่อไปจนกว่าดาวพฤหัสจะย้าย แต่วงการสงฆ์ วงการศึกษา นักวิชาการ องค์กรอิสระ และตุลาการ จะเกิดการพลิกผันเกินกว่าที่ทุกคนจะคาดคิด สรุปแล้ว ผมก็ให้คำทำนายเอาไว้แบบนี้ เรายังมีเวลาปีหน้าอีกปีหนึ่ง ก็ดูว่าคำทำนายของผมนั้นถูกหรือผิด
    “มองไทย มองโลก” ไม่มีอะไรดี เลวร้ายลง รัฐบาลทำพังแต่คนไทยเอาแต่บ่นในปี 2568 . ประเทศไทยแทบจะไม่ต้องพูดอะไรเลย เพราะว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มีแต่เลวลง สังคมกฎหมายเลวลงกรณีแตงโม กรณีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร กรณีเขากระโดง นี่คือจุดเริ่มต้นของความเสื่อมในปีหน้า ที่มันจะเสื่อมลงกว่าเก่า เศรษฐกิจก็ยังติดขัดอยู่ ทุกวันนี้ที่พรรคเพื่อไทยออกมาคุยโวโอ้อวด ผมยังไม่เคยเห็นพรรคเพื่อไทยทำอะไรเป็นการสร้างเศรษฐกิจให้ยั่งยืนเลย มีแต่เอาเงินงบประมาณมาแจกประชาชนเพื่อหวังเสียง แค่นั้นเอง . สรุปง่ายๆ พรรคเพื่อไทย กับพรรคไทยรักไทยตอนแรก ที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วตอนนี้ก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง โดยชูลูกสาวเป็นตัวปลอม เป็นหุ่นเชิดให้ นิสัยก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ลด แลก แจก แถม . ปีหน้าเมื่อมีการปรับ ครม.แล้ว ทักษิณ คงต้องเปลี่ยนตัวเอารัฐมนตรีฯ ต่างประเทศคนใหม่เข้ามาแทนที่ อาจจะเป็นนพดล ปัทมะ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนปัจจุบันไม่กล้าตั้งคณะกรรมการ JCT ต้องเอาคนที่หน้าด้าน แล้วผมจะเตือนอย่างนะครับ ท่านเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ กรมสนธิสัญญาฯ ถ้าคุณจำเป็นจะต้องไปนั่งเป็นคณะกรรมการ ให้คุณระวังตัวไว้นะ คุณอย่าทำตามใบสั่งทางการเมืองนะว่าเขาต้องมีธงแบบนี้ คุณยอมให้เขาย้ายดีกว่า เพราะว่าในที่สุด เมื่อประเทศไทยสูญเสียดินแดน คุณจะเห็นว่านรกมันมีจริงสำหรับชีวิตอนาคตข้างหน้าของพวกคุณ . มีคนเคยถามผมว่า คุณสนธิ VAT มันจะขึ้นไหม ? แนวโน้มสูงมากจะต้องขึ้น เพราะว่ารัฐบาลมันถังแตก ตระกูลชินวัตรทำให้ประเทศไทยล่มสลายจากการจำนำข้าวไป 7 แสนล้านบาท . ภูมิรัฐศาสตร์โลกมันจะเกิดสงครามเป็นหย่อมๆอย่างที่พูดไปแล้วเมื่อปี2567 แล้วความห้าวเป้งของนายทรัมป์ ที่ต้องการจะฟาดอิหร่านร่วมกับเนทันยาฮู อิสราเอล นั้น มันจะก่อให้เกิดสงครามใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด . สำหรับสงครามในยูเครนจะต้องจบไม่น่าจะเกินกุมภาพันธ์-มีนาคม ผมเชื่อว่ารัสเซียคงยังจะต้องใช้ออร์เซนิกสั่งสอนยูเครนและทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาโต และที่สำคัญ ทรัมป์ไม่ต้องการสงคราม ทรัมป์ต้องการจะค้าขาย เพราะฉะนั้นสงครามยูเครนน่าจะลดความร้อนแรงลง . ส่วนทะเลจีนตอนใต้ก็จะยังคงรุนแรงต่อ เพราะว่าล่าสุดติดขีปนาวุธพิสัยกลางไว้ที่เกาะฟิลิปปินส์ นายเฟอร์ดินานด์ มากอส จูเนียร์ กำลังจะเป็นเซเลนสกีทางภาคตะวันออกอีกคนหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพูดถึงทะเลจีนตอนใต้ นั่นก็คือการที่บ้านสองบ้านตรงข้ามกัน ในซอยเดียวกัน เปิดประตูแล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่กัน แต่ถ้าเป็นตะวันออกกลางแล้ว มันเริ่มเอาข้าวของ เอาปืนยิงใส่บ้านซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นยูเครน ก็คือเอาของขว้างต่อกัน ซึ่งกันและกัน นี่คือภาพของโลก . ถ้าดูตามตำราโหราศาสตร์ปี 2568ตามที่อาจารย์ยิปมันบอกว่า เป็นปีที่ 3 ที่ดาวมฤตยูเข้าสู่ราศีพฤษภของโลกและดวงเมืองประเทศไทย แปลว่าดาวบาปพระเคราะห์ดวงนี้จะทำให้เกิดการพลิกผันในวงการเศรษฐกิจ การเมือง การคลัง และจะทำให้การผันผวนด้านการเงินการคลัง และเศรษฐกิจของโลก ราคาทองคำ บิทคอยน์ จะผันผวนต่อเนื่อง สิ่งที่เคยมีค่าจะกลับกลายเป็นด้อยค่า หุ้นไทยและทองไทยยังมีโอกาสขึ้นต่อไปจนกว่าดาวพฤหัสจะย้าย แต่วงการสงฆ์ วงการศึกษา นักวิชาการ องค์กรอิสระ และตุลาการ จะเกิดการพลิกผันเกินกว่าที่ทุกคนจะคาดคิด สรุปแล้ว ผมก็ให้คำทำนายเอาไว้แบบนี้ เรายังมีเวลาปีหน้าอีกปีหนึ่ง ก็ดูว่าคำทำนายของผมนั้นถูกหรือผิด
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 768 Views 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจของ TNN World คอลัมน์Editor’s Pick: ประวัติศาสตร์ “อภัยโทษ” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯการอภัยโทษไม่ใช่เรื่องผิด เป็นอำนาจที่ประธานาธิบดีสามารถทำได้ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แต่นี่คือการอภัยโทษ “ลูกชาย” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา .. แล้วที่ผ่านมา ผู้นำคนก่อน ๆ ของสหรัฐฯ เคยใช้อำนาจในการอภัยโทษให้ใครแล้วบ้าง? และมีใครที่กลายเป็นประเด็นอื้อฉาวแบบนี้อีกหรือไม่? มาค่อย ๆ ย้อนกลับไปทีละคน ◾️◾️◾️🔴โดนัลด์ ทรัมป์เริ่มตั้งแต่ โดนัลด์​ ทรัมป์​ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ​ ที่ออกมาวิจารณ์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างหนัก ว่าการอภัยโทษให้ลูกชาย “ฮันเตอร์ ไบเดน”​ นั้น บิดเบือนความยุติธรรมแต่ทรัมป์ก็อภัยโทษให้ใครหลาย ๆ คนมาแล้ว ตั้งแต่อดีตผู้ช่วยส่วนตัว มาจนถึงล่าสุด ที่ประกาศอภัยโทษให้กับ “ชาลส์ คุชเนอร์” บิดาของจาเร็ด คุชเนอร์​ สามีของอิวางกา ทรัมป์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดองของเขานั่นเอง จากคดีทุจริต เลี่ยงภาษี 16 กระทง และอื่น ๆ อีก - อีกทั้งล่าสุด ยังแต่ตั้ง ชาลส์ คุชเนอร์คนนี้ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ​ ประจำฝรั่งเศสอีกด้วยมีดองเป็นประธานาธิบดี..​ก็ดีเช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 บารัค โอบามาบารัค โอบามา ผู้นำผิวสีรายนี้ ไม่ได้มีการอภัยโทษที่อื้อฉาวมากนัก โดยหนึ่งในคนที่เป็นประเด็นที่สุด คือ “เชลซี แมนนิ่ง” อดีตทหารเมริกัน ที่แฉข้อมูลและเอกสารลับให้กับเว็ปไซต์จอมแฉ WikiLeaks ◾️◾️◾️🔴 บิล คลินตันถัดมา บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี ผู้เป็นทั้งที่รัก และที่ชัง ของชาวอเมริกัน ที่ใช้อำนาจอภัยโทษให้กับสามีของเศรษฐีนีผู้บริจาครายใหญ่ให้กับพรรค อย่าง “มาร์ก ริช” นักการเงินดัง ที่ถูกตั้งข้อหาเลี่ยงภาษี - เรื่องนี้ถูกแฉ จากการที่สำนักสอบสวนกลาง หรือ FBI ตรวจค้นอีเมล์ของฮิลลารี คลินตัน สมัยที่เธอชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียงแค่ไม่กี่วัน - จึงเป็นเรื่องอื้อฉาวว่า .. อภัยโทษให้มาร์ก ริช เพราะหวังเงินบริจาคนับล้านเข้าพรรคระหว่างหาเสียงหรือไม่?อีกทั้ง บิล คลินตัน ยังอภัยโทษให้กับพี่ชายร่วมสายเลือดอย่าง “โรเจอร์ คลินตัน จูเนียร์” จากความผิดฐานสมคมคิดจำหน่ายโคเคน ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในปี 2001 ด้วย ประโยชน์ แลกประโยชน์ ก็เช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 แอนดรูว์ จอห์นสันหรือหากย้อนกลับไปไกลหน่อย ในยุคสงครามกลางเมือง กรณีประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ที่พยายามจะรวมประเทศหลังสงครามอันยาวนาน จึงออกคำสั่งนิรโทษกรรมครั้งใหญ่ ให้กับเจ้าหน้าที่ และทหารฝ่ายสมาพันธรัฐ ราว 12,600 นาย ที่กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก ◾️◾️◾️🔴 ริชาร์ด นิกสัน - เจอรัลด์ ฟอร์ดส่วนกรณีสุดอื้อฉาวทางการเมืองของสหรัฐฯ อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เป็นการลักลอบโจรกรรมสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี .. และผลการตรวจสอบพบว่า “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวด้วย นำมาสู่การยอมลาออกของเขาในที่สุด และเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อมา อย่าง “เจอรัลด์ ฟอร์ด” จะใช้อำนาจในการอภัยโทษให้กับ “ริชาร์ด นิกสัน” ทั้งหมด เมื่อปี 1974 - ซึ่งแม้ประชาชนจะกังวลต่อการอภัยโทษครั้งนี้ แต่ฟอร์ดยืนยันว่า นี่คือผลประโยชน์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศ - และคาดว่า ผลของการอภัยโทษครั้งนั้นเอง ที่ทำให้ฟอร์ดพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้กับ “จิมมี่ คาร์เตอร์” ในอีก 2 ปีถัดมา (1976)◾️◾️◾️🔴 จิมมี่ คาร์เตอร์จิมมี่ คาร์เตอร์​ เองก็ถูกวิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากการอภัยโทษให้กับผู้หลบหนีการเกณฑ์ทหารไปร่วมในสงครามเวียดนามหลายแสนคน ตั้งแต่วันที่ 2 ของการรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาหาเสียงเอาไว้อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ​ แต่ก็มีกระแสเรียกร้องว่า ประธานาธิบดีไม่ควรจะมีอำนาจชนิดนี้ เพราะมันจะเป็นผลทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม—————ภาพ: Reutersอ้างอิง: https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/controversial-presidential-pardons-biden-trump-b2657552.htmlhttps://news.sky.com/story/what-is-the-us-presidential-pardon-and-when-has-it-been-used-13265442#TNNWorldNews #TNNOnline #ข่าวต่างประเทศ #ข่าว #ต่างประเทศ #นิรโทษกรรม #สหรัฐ #การเมือง #ประวัติศาสตร์ #ไบเดน————📲ติดตามคอนเทนต์ดี ๆ จาก TNNได้ที่ช่อง YouTube: TNN Originalsที่นี่เลยค่ะ >> https://bit.ly/TNNOriginals
    บทความน่าสนใจของ TNN World คอลัมน์Editor’s Pick: ประวัติศาสตร์ “อภัยโทษ” ของประธานาธิบดีสหรัฐฯการอภัยโทษไม่ใช่เรื่องผิด เป็นอำนาจที่ประธานาธิบดีสามารถทำได้ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แต่นี่คือการอภัยโทษ “ลูกชาย” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา .. แล้วที่ผ่านมา ผู้นำคนก่อน ๆ ของสหรัฐฯ เคยใช้อำนาจในการอภัยโทษให้ใครแล้วบ้าง? และมีใครที่กลายเป็นประเด็นอื้อฉาวแบบนี้อีกหรือไม่? มาค่อย ๆ ย้อนกลับไปทีละคน ◾️◾️◾️🔴โดนัลด์ ทรัมป์เริ่มตั้งแต่ โดนัลด์​ ทรัมป์​ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ​ ที่ออกมาวิจารณ์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างหนัก ว่าการอภัยโทษให้ลูกชาย “ฮันเตอร์ ไบเดน”​ นั้น บิดเบือนความยุติธรรมแต่ทรัมป์ก็อภัยโทษให้ใครหลาย ๆ คนมาแล้ว ตั้งแต่อดีตผู้ช่วยส่วนตัว มาจนถึงล่าสุด ที่ประกาศอภัยโทษให้กับ “ชาลส์ คุชเนอร์” บิดาของจาเร็ด คุชเนอร์​ สามีของอิวางกา ทรัมป์ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ดองของเขานั่นเอง จากคดีทุจริต เลี่ยงภาษี 16 กระทง และอื่น ๆ อีก - อีกทั้งล่าสุด ยังแต่ตั้ง ชาลส์ คุชเนอร์คนนี้ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ​ ประจำฝรั่งเศสอีกด้วยมีดองเป็นประธานาธิบดี..​ก็ดีเช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 บารัค โอบามาบารัค โอบามา ผู้นำผิวสีรายนี้ ไม่ได้มีการอภัยโทษที่อื้อฉาวมากนัก โดยหนึ่งในคนที่เป็นประเด็นที่สุด คือ “เชลซี แมนนิ่ง” อดีตทหารเมริกัน ที่แฉข้อมูลและเอกสารลับให้กับเว็ปไซต์จอมแฉ WikiLeaks ◾️◾️◾️🔴 บิล คลินตันถัดมา บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดี ผู้เป็นทั้งที่รัก และที่ชัง ของชาวอเมริกัน ที่ใช้อำนาจอภัยโทษให้กับสามีของเศรษฐีนีผู้บริจาครายใหญ่ให้กับพรรค อย่าง “มาร์ก ริช” นักการเงินดัง ที่ถูกตั้งข้อหาเลี่ยงภาษี - เรื่องนี้ถูกแฉ จากการที่สำนักสอบสวนกลาง หรือ FBI ตรวจค้นอีเมล์ของฮิลลารี คลินตัน สมัยที่เธอชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียงแค่ไม่กี่วัน - จึงเป็นเรื่องอื้อฉาวว่า .. อภัยโทษให้มาร์ก ริช เพราะหวังเงินบริจาคนับล้านเข้าพรรคระหว่างหาเสียงหรือไม่?อีกทั้ง บิล คลินตัน ยังอภัยโทษให้กับพี่ชายร่วมสายเลือดอย่าง “โรเจอร์ คลินตัน จูเนียร์” จากความผิดฐานสมคมคิดจำหน่ายโคเคน ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งในปี 2001 ด้วย ประโยชน์ แลกประโยชน์ ก็เช่นนี้เอง◾️◾️◾️🔴 แอนดรูว์ จอห์นสันหรือหากย้อนกลับไปไกลหน่อย ในยุคสงครามกลางเมือง กรณีประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ที่พยายามจะรวมประเทศหลังสงครามอันยาวนาน จึงออกคำสั่งนิรโทษกรรมครั้งใหญ่ ให้กับเจ้าหน้าที่ และทหารฝ่ายสมาพันธรัฐ ราว 12,600 นาย ที่กลายเป็นที่ถกเถียงอย่างหนัก ◾️◾️◾️🔴 ริชาร์ด นิกสัน - เจอรัลด์ ฟอร์ดส่วนกรณีสุดอื้อฉาวทางการเมืองของสหรัฐฯ อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เป็นการลักลอบโจรกรรมสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ ในกรุงวอชิงตันดีซี .. และผลการตรวจสอบพบว่า “ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน” มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวด้วย นำมาสู่การยอมลาออกของเขาในที่สุด และเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อมา อย่าง “เจอรัลด์ ฟอร์ด” จะใช้อำนาจในการอภัยโทษให้กับ “ริชาร์ด นิกสัน” ทั้งหมด เมื่อปี 1974 - ซึ่งแม้ประชาชนจะกังวลต่อการอภัยโทษครั้งนี้ แต่ฟอร์ดยืนยันว่า นี่คือผลประโยชน์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศ - และคาดว่า ผลของการอภัยโทษครั้งนั้นเอง ที่ทำให้ฟอร์ดพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้กับ “จิมมี่ คาร์เตอร์” ในอีก 2 ปีถัดมา (1976)◾️◾️◾️🔴 จิมมี่ คาร์เตอร์จิมมี่ คาร์เตอร์​ เองก็ถูกวิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากการอภัยโทษให้กับผู้หลบหนีการเกณฑ์ทหารไปร่วมในสงครามเวียดนามหลายแสนคน ตั้งแต่วันที่ 2 ของการรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาหาเสียงเอาไว้อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ​ แต่ก็มีกระแสเรียกร้องว่า ประธานาธิบดีไม่ควรจะมีอำนาจชนิดนี้ เพราะมันจะเป็นผลทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม—————ภาพ: Reutersอ้างอิง: https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/controversial-presidential-pardons-biden-trump-b2657552.htmlhttps://news.sky.com/story/what-is-the-us-presidential-pardon-and-when-has-it-been-used-13265442#TNNWorldNews #TNNOnline #ข่าวต่างประเทศ #ข่าว #ต่างประเทศ #นิรโทษกรรม #สหรัฐ #การเมือง #ประวัติศาสตร์ #ไบเดน————📲ติดตามคอนเทนต์ดี ๆ จาก TNNได้ที่ช่อง YouTube: TNN Originalsที่นี่เลยค่ะ >> https://bit.ly/TNNOriginals
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 860 Views 0 Reviews
  • 28 พฤศจิกายน 2567- TNNWorldNews รายงานข่าว ดรามาการเมืองฟิลิปปินส์กำลังร้อนแรงอย่างหนัก เมื่อประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีไม่ลงรอยกัน จนถึงขั้น “ขู่สังหาร” Summary - รองประธานาธิบดีซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ที่จับมือประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์​ ชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลายเมื่อปี 2565- แต่ความสัมพันธ์ 2 ตระกูลเริ่มร้าวฉาน เพราะดูแตร์เตหนุนจีน - ส่วนมาร์กอส จูเนียร์​หนุนสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย นำมาสู่การเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง- รองปธน.ซาร่า ดูแตร์เต เคยประกาศว่าได้สั่งคนไปเก็บปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ หากเธอถูกลอบสังหาร🔴 แรกเริ่มความสัมพันธ์ย้อนความกลับไปเมื่อปี 2565 ซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวคนโตของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุเด็ดเผ็ดมันในทุกเรื่อง ได้ผันตัวจากนักกฎหมายเข้าสู่สนามการเมือง  และควงแขนประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ คว้าใจประชาชน เอาชนะมาได้อย่างถล่มทลาย ด้วยนโยบายหาเสียง “เน้นความสามัคคีในชาติ”​เธอมีอารมณ์ร้อน และวาทุดุเดือดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ และมักจะมีการปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่มีนามสกุล “ดูแตร์เต”​ ซึ่งยังมีคนนิยมชมชอบในความแข็งกร้าวอยู่ ก็ทำให้เธอยังคงได้ฐานเสียงสำคัญ และเป็นที่รักของประชาชน (กลุ่มหนึ่ง) อยู่🔴 ความสัมพันธ์ส่อร้าวแม้จับจับมือกันหวานชื่นเมื่อสมัยเลือกตั้ง แต่หลังจากที่ปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ นั่งเก้าอี้ผู้นำได้เพียง 2 ปี ก็ได้เปิดฉากการตรวจสอบเรื่อง “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ขนานใหญ่ของอดีตปธน.ดูแตร์เต ด้วยการใช้กลไลสภาในการตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้คนนับพัน จึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ ของผู้นำและรองผู้นำแห่งฟิลิปปินส์​ เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นมาร์กอส จูเนียร์ ยังกล่าวหาว่ารองปธน.ใช้งบประมาณโดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการอีกด้วยเมื่อความหอมหวาน กลายเป็นความขมขื่น ซาร่า ดูแตร์เต จึงได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า เธออยากจะบั่นศีรษะประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์​ และอยากแม้กระทั่งไปขุดเอาซากกระดูกของ “เฟอร์ดินาน มาร์กอส” อดีตผู้นำเผด็จการ ขึ้นมาและเอาไปโปรยในทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกอีกด้วย🔴 คิดบัญชีกันและกันและจนกระทั่งล่าสุด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 พฤศจิกายน)​ ซาร่า ดูแตร์เต ก็ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เธอได้สั่งให้คนไปลอบสังหารมาร์กอส จูเนียร์​ - ภริยา และประธานสภาผู้แทนราษฎร “หากว่าตัวเธอถูกลอบสังหารไปก่อน” เรื่องนี้ก็ร้อนถึงประธานาธิบดีที่ต้องตอบโต้ทันที ว่าพร้อมที่จะสู้กลับ และ “หากการลอบสังหารประธานาธิบดีมันง่ายขนาดนั้น..​แล้วประชาชนคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร ดังนั้น อย่าได้มองข้ามการวางแผนก่ออาชญากรรมเช่นนี้”และล่าสุดวันพุธ (27 พฤศจิกายน)​ ตำรวจฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องอาญาต่อ “ซาร่า ดูแตร์เต” รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเธอ ฐานทำร้ายร่างกาย และละเมิดคำสั่งของทางการจากเหตุทะเลาะวิวาทในรัฐสภาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็เคยกล่าวในเชิงข่มขู่ว่าจะเกิดรัฐประหารด้วยว่า “ธรรมมาภิบาลที่แตกร้าว มีเพียง ‘ทหาร’ ที่จะสามารถเยียวยาได้” และทำให้กระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหารของอดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลหรือไม่?นับเป็นการดำเนินการทางกฎหมายของรัฐบาล “มาร์กอส จูเนียร์” ต่อ “ดูแตร์เต” ที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญของ 2 ตระกูลดังทางการเมืองที่ทรงอำนาจที่สุดในฟิลิปปินส์ในเวลานี้ ภาพ: Reutersที่มา TNNWorldNews 
    28 พฤศจิกายน 2567- TNNWorldNews รายงานข่าว ดรามาการเมืองฟิลิปปินส์กำลังร้อนแรงอย่างหนัก เมื่อประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีไม่ลงรอยกัน จนถึงขั้น “ขู่สังหาร” Summary - รองประธานาธิบดีซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ที่จับมือประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์​ ชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลายเมื่อปี 2565- แต่ความสัมพันธ์ 2 ตระกูลเริ่มร้าวฉาน เพราะดูแตร์เตหนุนจีน - ส่วนมาร์กอส จูเนียร์​หนุนสหรัฐฯ อย่างเปิดเผย นำมาสู่การเผชิญหน้ากับจีนในทะเลจีนใต้บ่อยครั้ง- รองปธน.ซาร่า ดูแตร์เต เคยประกาศว่าได้สั่งคนไปเก็บปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ หากเธอถูกลอบสังหาร🔴 แรกเริ่มความสัมพันธ์ย้อนความกลับไปเมื่อปี 2565 ซาร่า ดูแตร์เต ลูกสาวคนโตของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุเด็ดเผ็ดมันในทุกเรื่อง ได้ผันตัวจากนักกฎหมายเข้าสู่สนามการเมือง  และควงแขนประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ คว้าใจประชาชน เอาชนะมาได้อย่างถล่มทลาย ด้วยนโยบายหาเสียง “เน้นความสามัคคีในชาติ”​เธอมีอารมณ์ร้อน และวาทุดุเดือดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ และมักจะมีการปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่บ่อยครั้ง แต่ความที่มีนามสกุล “ดูแตร์เต”​ ซึ่งยังมีคนนิยมชมชอบในความแข็งกร้าวอยู่ ก็ทำให้เธอยังคงได้ฐานเสียงสำคัญ และเป็นที่รักของประชาชน (กลุ่มหนึ่ง) อยู่🔴 ความสัมพันธ์ส่อร้าวแม้จับจับมือกันหวานชื่นเมื่อสมัยเลือกตั้ง แต่หลังจากที่ปธน.มาร์กอส จูเนียร์​ นั่งเก้าอี้ผู้นำได้เพียง 2 ปี ก็ได้เปิดฉากการตรวจสอบเรื่อง “สงครามปราบปรามยาเสพติด” ขนานใหญ่ของอดีตปธน.ดูแตร์เต ด้วยการใช้กลไลสภาในการตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้คนนับพัน จึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ ของผู้นำและรองผู้นำแห่งฟิลิปปินส์​ เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นมาร์กอส จูเนียร์ ยังกล่าวหาว่ารองปธน.ใช้งบประมาณโดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการอีกด้วยเมื่อความหอมหวาน กลายเป็นความขมขื่น ซาร่า ดูแตร์เต จึงได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า เธออยากจะบั่นศีรษะประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์​ และอยากแม้กระทั่งไปขุดเอาซากกระดูกของ “เฟอร์ดินาน มาร์กอส” อดีตผู้นำเผด็จการ ขึ้นมาและเอาไปโปรยในทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกอีกด้วย🔴 คิดบัญชีกันและกันและจนกระทั่งล่าสุด เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 พฤศจิกายน)​ ซาร่า ดูแตร์เต ก็ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เธอได้สั่งให้คนไปลอบสังหารมาร์กอส จูเนียร์​ - ภริยา และประธานสภาผู้แทนราษฎร “หากว่าตัวเธอถูกลอบสังหารไปก่อน” เรื่องนี้ก็ร้อนถึงประธานาธิบดีที่ต้องตอบโต้ทันที ว่าพร้อมที่จะสู้กลับ และ “หากการลอบสังหารประธานาธิบดีมันง่ายขนาดนั้น..​แล้วประชาชนคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร ดังนั้น อย่าได้มองข้ามการวางแผนก่ออาชญากรรมเช่นนี้”และล่าสุดวันพุธ (27 พฤศจิกายน)​ ตำรวจฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องอาญาต่อ “ซาร่า ดูแตร์เต” รองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเธอ ฐานทำร้ายร่างกาย และละเมิดคำสั่งของทางการจากเหตุทะเลาะวิวาทในรัฐสภาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ก็เคยกล่าวในเชิงข่มขู่ว่าจะเกิดรัฐประหารด้วยว่า “ธรรมมาภิบาลที่แตกร้าว มีเพียง ‘ทหาร’ ที่จะสามารถเยียวยาได้” และทำให้กระทรวงยุติธรรมกำลังตรวจสอบว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหารของอดีตผู้นำผู้ทรงอิทธิพลหรือไม่?นับเป็นการดำเนินการทางกฎหมายของรัฐบาล “มาร์กอส จูเนียร์” ต่อ “ดูแตร์เต” ที่กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญของ 2 ตระกูลดังทางการเมืองที่ทรงอำนาจที่สุดในฟิลิปปินส์ในเวลานี้ ภาพ: Reutersที่มา TNNWorldNews 
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 475 Views 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาด่าทอ "พวกงี่เง่ากระหายสงคราม" หลังมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทิ้งทวนก่อนพ้นตำแหน่ง ให้ไฟเขียวยูเครน ใช้อาวุธพิสัยไกลที่อเมริกาจัดหาให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
    .
    ทรัมป์ จูเนียร์ ซึ่งหาเสียงเคียงข้างผู้เป็นพ่อ ระหว่างศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 และกำลังช่วยพ่อเลือกตัวเลือกคณะรัฐมนตรี โพสต์แสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดบนสื่อสังคมออนไลน์
    .
    "ดูเหมือนอุตสาหกรรมทางทหารต้องการทำให้แน่ใจว่า พวกเขากำลังจะได้สงครามโลกครั้งที่ 3 ก่อนที่พ่อของผมจะมีโอกาสสร้างสันติภาพและปกป้องชีวิต" เขาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ในวันอาทิตย์(17พ.ย.) "ตั้งใจกันจริงกับเงินล้านล้านดอลลาร์ ชีวิตบัดซบ!! พวกงี่เง่า!"
    .
    ก่อนหน้านี้รัฐบาลไบเดน เคยกำหนดข้อจำกัดการใช้ขีปนาวุธ ATACMS โดยยูเครน อ้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ว่าจะถูกรัสเซียแก้แค้น อย่างไรก็ตามล่าสุดสำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่า ทำเนียบขาวกลับลำนโยบายดังกล่าวแล้ว แม้ทั้งทำเนียบขาวและเพนตากอน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
    .
    รายงานเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามสุดท้ายในการเพิ่มแสนยานุภาพแก่กองทัพยูเครน ก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
    .
    ระหว่างการหาเสียงเลือกั้ง ทรัมป์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องมอบความช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขแก่เคียฟ และประกาศคลี่คลายความขัดแย้งด้วยหนทางด้านการทูต ทั้งนี้การที่ทรัมป์ใกล้กลับสู่ทำเนียบขาวทุกขณะ ได้ก่อความกังวลแก่ทั้งพรรคเดโมแครต พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนและอียู ที่วิตกว่ารัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯจะทอดทิ้งยูเครน
    .
    มอสโกเน้นย้ำมาตลอดว่าการที่ตะวันตกไฟเขียวยูเครนใช้อาวุธของพวกเขาโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย จะเป็นการส่งสัญญาณของการเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงของนาโตในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตือนว่า "รัสเซียจะตัดสินใจอย่างเหมาะสมในการตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าว"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111070
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาด่าทอ "พวกงี่เง่ากระหายสงคราม" หลังมีรายงานข่าวว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทิ้งทวนก่อนพ้นตำแหน่ง ให้ไฟเขียวยูเครน ใช้อาวุธพิสัยไกลที่อเมริกาจัดหาให้ โจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย . ทรัมป์ จูเนียร์ ซึ่งหาเสียงเคียงข้างผู้เป็นพ่อ ระหว่างศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 และกำลังช่วยพ่อเลือกตัวเลือกคณะรัฐมนตรี โพสต์แสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดบนสื่อสังคมออนไลน์ . "ดูเหมือนอุตสาหกรรมทางทหารต้องการทำให้แน่ใจว่า พวกเขากำลังจะได้สงครามโลกครั้งที่ 3 ก่อนที่พ่อของผมจะมีโอกาสสร้างสันติภาพและปกป้องชีวิต" เขาโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ในวันอาทิตย์(17พ.ย.) "ตั้งใจกันจริงกับเงินล้านล้านดอลลาร์ ชีวิตบัดซบ!! พวกงี่เง่า!" . ก่อนหน้านี้รัฐบาลไบเดน เคยกำหนดข้อจำกัดการใช้ขีปนาวุธ ATACMS โดยยูเครน อ้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ว่าจะถูกรัสเซียแก้แค้น อย่างไรก็ตามล่าสุดสำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่า ทำเนียบขาวกลับลำนโยบายดังกล่าวแล้ว แม้ทั้งทำเนียบขาวและเพนตากอน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ . รายงานเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นความพยายามสุดท้ายในการเพิ่มแสนยานุภาพแก่กองทัพยูเครน ก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม . ระหว่างการหาเสียงเลือกั้ง ทรัมป์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องมอบความช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขแก่เคียฟ และประกาศคลี่คลายความขัดแย้งด้วยหนทางด้านการทูต ทั้งนี้การที่ทรัมป์ใกล้กลับสู่ทำเนียบขาวทุกขณะ ได้ก่อความกังวลแก่ทั้งพรรคเดโมแครต พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนและอียู ที่วิตกว่ารัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯจะทอดทิ้งยูเครน . มอสโกเน้นย้ำมาตลอดว่าการที่ตะวันตกไฟเขียวยูเครนใช้อาวุธของพวกเขาโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย จะเป็นการส่งสัญญาณของการเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงของนาโตในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตือนว่า "รัสเซียจะตัดสินใจอย่างเหมาะสมในการตอบโต้ภัยคุกคามดังกล่าว" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111070 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    9
    1 Comments 0 Shares 1154 Views 0 Reviews
  • คณะบริหารไบเดนกลับลำ 360 องศา ไฟเขียวยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของอเมริกาโจมตีในดินแดนรัสเซีย ไม่สนคำขู่จากมอสโกว่า การตัดสินใจนี้อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง ขณะที่แหล่งข่าวเผยเคียฟเตรียมสนองบัญชาวอชิงตันด้วยการโจมตีรัสเซียในเร็ววัน
    .
    การตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในการอนุญาตให้ยูเครนใช้ระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธี (ATACMS) โจมตีในดินแดนรัสเซียถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก่อนการถ่ายโอนอำนาจให้โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า
    .
    นิวยอร์ก ไทมส์และวอชิงตัน โพสต์ที่เป็นสื่อสองแห่งแรกที่รายงานข่าวนี้ระบุว่า การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายในการตอบโต้การที่เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียทำสงครามกับยูเครน
    .
    ก่อนหน้านี้อเมริกากังวลว่า จะเกิดความขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซียที่เป็นหนึ่งในมหาอำนาจนิวเคลียร์ รวมถึงความเสี่ยงที่คลังอาวุธของตนเองจะร่อยหรอลง
    .
    ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ (17 พ.ย.) ว่า สื่อหลายสำนักรายงานว่า ยูเครนได้รับอนุญาตให้ดำเนินมาตรการที่เหมาะสม แต่การโจมตีไม่ได้กระทำด้วยคำพูด และสำทับว่า ยังไม่มีการประกาศเรื่องนี้ ทางด้านทำเนียบขาวและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ
    .
    สำนักข่าวทาสส์รายงานว่า วลาดิมีร์ จาบารอฟ รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศของวุฒิสภารัสเซีย เตือนว่า การตัดสินใจล่าสุดของวอชิงตันอาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง
    .
    ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตือนว่า การโจมตีด้วย ATACMS ที่มีระยะการโจมตี 300 กม.ในดินแดนรัสเซียหมายความว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เข้าสู่สงครามกับรัสเซีย อย่างไรก็ดี ขณะนี้ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า คลังแสงยูเครนมีขีปนาวุธ ATACMS อยู่มากน้อยเพียงใด
    .
    ขณะเดียวกัน แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนยังสงสัยว่า การอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลโจมตีเข้าไปในรัสเซียจะพลิกสถานการณ์ของสงครามในยูเครนได้ แต่การตัดสินใจนี้อาจช่วยให้เคียฟมีสถานะการต่อรองที่ดีขึ้นหากมีการเจรจาหยุดยิง
    .
    นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์จะยกเลิกการตัดสินใจนี้ของไบเดนหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาเขาวิจารณ์ระดับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่อเมริกาให้ยูเครนมาตลอด อีกทั้งประกาศว่า จะทำให้สงครามในยูเครนยุติลงโดยเร็ว แต่ไม่ได้อธิบายว่า จะทำอย่างไร
    .
    ก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้ไบเดนผ่อนคลายกฎจำกัดการใช้อาวุธของยูเครนที่อเมริกาจัดหาให้ และนับจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อาวุโสในคณะบริหารของไบเดนพากันย้ำว่า จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำให้แน่ใจว่า ยูเครนสามารถต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเจรจาสันติภาพกับรัสเซียด้วยสถานะที่สามารถต่อรองได้
    .
    แม้โฆษกของทรัมป์ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ทว่า หนึ่งในที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศที่ใกล้ชิดที่สุดของว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ วิจารณ์การตัดสินใจของไบเดนว่า เป็นการปลุกปั่นให้สงครามระอุขึ้นก่อนพ้นตำแหน่ง
    .
    นอกจากนั้น ไมค์ วอลซ์ ที่ทรัมป์เลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เคยโจมตีว่า การอัดฉีดเงินเป็นพันล้านดอลลาร์ให้ยูเครน ณ เวลานี้ถือเป็นความวิกลจริต และสำทับว่า ความขัดแย้งในยูเครนถึงทางตัน
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจล่าสุดของไบเดนว่า อุตสาหกรรมการทหารน่าจะอยากได้รับการรับรองว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะระเบิดขึ้นก่อนที่พ่อของตนคือทรัมป์จะมีโอกาสสร้างสันติภาพและปกป้องชีวิตผู้คน
    .
    อเล็กซ์ พลิตซาส นักวิชาการอาคันตุกะของแอตแลนติก เคาน์ซิล ชี้ว่า การยกเลิกการจำกัดการใช้อาวุธอาจช่วยให้ยูเครนรบกับรัสเซียได้คล่องขึ้น แต่อาจเป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินไป
    .
    อย่างไรก็ตาม การกลับลำนโยบายของอเมริกาครั้งนี้อาจทำให้ยุโรปทบทวนจุดยืนของตนเองเกี่ยวกับขีปนาวุธพิสัยไกล
    .
    ปัจจุบัน ฝรั่งเศสและอังกฤษจัดหาขีปนาวุธสตอร์ม ชาโดว์ และสกัลป์ แต่ยังไม่อนุญาตให้ยูเครนใช้โจมตีในดินแดนรัสเซีย หากอเมริกายังไม่อนุญาตให้ใช้ ATACMS
    .
    ระหว่างการหารือกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสในวันจันทร์ นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ได้หารือเกี่ยวกับวิธีการทำให้ยูเครนอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ขณะที่มาครงกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ปูตินไม่ต้องการสันติภาพ แต่ต้องการขยายการสู้รบรุนแรงขึ้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111060
    ..............
    Sondhi X
    คณะบริหารไบเดนกลับลำ 360 องศา ไฟเขียวยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของอเมริกาโจมตีในดินแดนรัสเซีย ไม่สนคำขู่จากมอสโกว่า การตัดสินใจนี้อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง ขณะที่แหล่งข่าวเผยเคียฟเตรียมสนองบัญชาวอชิงตันด้วยการโจมตีรัสเซียในเร็ววัน . การตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในการอนุญาตให้ยูเครนใช้ระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธี (ATACMS) โจมตีในดินแดนรัสเซียถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก่อนการถ่ายโอนอำนาจให้โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า . นิวยอร์ก ไทมส์และวอชิงตัน โพสต์ที่เป็นสื่อสองแห่งแรกที่รายงานข่าวนี้ระบุว่า การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายในการตอบโต้การที่เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียทำสงครามกับยูเครน . ก่อนหน้านี้อเมริกากังวลว่า จะเกิดความขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซียที่เป็นหนึ่งในมหาอำนาจนิวเคลียร์ รวมถึงความเสี่ยงที่คลังอาวุธของตนเองจะร่อยหรอลง . ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน กล่าวเมื่อคืนวันอาทิตย์ (17 พ.ย.) ว่า สื่อหลายสำนักรายงานว่า ยูเครนได้รับอนุญาตให้ดำเนินมาตรการที่เหมาะสม แต่การโจมตีไม่ได้กระทำด้วยคำพูด และสำทับว่า ยังไม่มีการประกาศเรื่องนี้ ทางด้านทำเนียบขาวและกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ . สำนักข่าวทาสส์รายงานว่า วลาดิมีร์ จาบารอฟ รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศของวุฒิสภารัสเซีย เตือนว่า การตัดสินใจล่าสุดของวอชิงตันอาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง . ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เตือนว่า การโจมตีด้วย ATACMS ที่มีระยะการโจมตี 300 กม.ในดินแดนรัสเซียหมายความว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เข้าสู่สงครามกับรัสเซีย อย่างไรก็ดี ขณะนี้ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า คลังแสงยูเครนมีขีปนาวุธ ATACMS อยู่มากน้อยเพียงใด . ขณะเดียวกัน แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางคนยังสงสัยว่า การอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลโจมตีเข้าไปในรัสเซียจะพลิกสถานการณ์ของสงครามในยูเครนได้ แต่การตัดสินใจนี้อาจช่วยให้เคียฟมีสถานะการต่อรองที่ดีขึ้นหากมีการเจรจาหยุดยิง . นอกจากนั้นยังไม่มีความชัดเจนว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์จะยกเลิกการตัดสินใจนี้ของไบเดนหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาเขาวิจารณ์ระดับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่อเมริกาให้ยูเครนมาตลอด อีกทั้งประกาศว่า จะทำให้สงครามในยูเครนยุติลงโดยเร็ว แต่ไม่ได้อธิบายว่า จะทำอย่างไร . ก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้ไบเดนผ่อนคลายกฎจำกัดการใช้อาวุธของยูเครนที่อเมริกาจัดหาให้ และนับจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อาวุโสในคณะบริหารของไบเดนพากันย้ำว่า จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำให้แน่ใจว่า ยูเครนสามารถต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเจรจาสันติภาพกับรัสเซียด้วยสถานะที่สามารถต่อรองได้ . แม้โฆษกของทรัมป์ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ทว่า หนึ่งในที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศที่ใกล้ชิดที่สุดของว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ วิจารณ์การตัดสินใจของไบเดนว่า เป็นการปลุกปั่นให้สงครามระอุขึ้นก่อนพ้นตำแหน่ง . นอกจากนั้น ไมค์ วอลซ์ ที่ทรัมป์เลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เคยโจมตีว่า การอัดฉีดเงินเป็นพันล้านดอลลาร์ให้ยูเครน ณ เวลานี้ถือเป็นความวิกลจริต และสำทับว่า ความขัดแย้งในยูเครนถึงทางตัน . โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายคนโตของทรัมป์ วิจารณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจล่าสุดของไบเดนว่า อุตสาหกรรมการทหารน่าจะอยากได้รับการรับรองว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะระเบิดขึ้นก่อนที่พ่อของตนคือทรัมป์จะมีโอกาสสร้างสันติภาพและปกป้องชีวิตผู้คน . อเล็กซ์ พลิตซาส นักวิชาการอาคันตุกะของแอตแลนติก เคาน์ซิล ชี้ว่า การยกเลิกการจำกัดการใช้อาวุธอาจช่วยให้ยูเครนรบกับรัสเซียได้คล่องขึ้น แต่อาจเป็นการตัดสินใจที่ช้าเกินไป . อย่างไรก็ตาม การกลับลำนโยบายของอเมริกาครั้งนี้อาจทำให้ยุโรปทบทวนจุดยืนของตนเองเกี่ยวกับขีปนาวุธพิสัยไกล . ปัจจุบัน ฝรั่งเศสและอังกฤษจัดหาขีปนาวุธสตอร์ม ชาโดว์ และสกัลป์ แต่ยังไม่อนุญาตให้ยูเครนใช้โจมตีในดินแดนรัสเซีย หากอเมริกายังไม่อนุญาตให้ใช้ ATACMS . ระหว่างการหารือกับประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสในวันจันทร์ นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ได้หารือเกี่ยวกับวิธีการทำให้ยูเครนอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ขณะที่มาครงกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ปูตินไม่ต้องการสันติภาพ แต่ต้องการขยายการสู้รบรุนแรงขึ้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111060 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 1607 Views 0 Reviews
  • โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการทหารของสหรัฐฯ ต้องการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ ๓ ก่อนที่พ่อของเขาจะขึ้นสู่อำนาจ
    .
    Donald Trump Jr. says US MIC wants to start WWIII before his father comes to power
    .
    4:26 AM · Nov 18, 2024 · 41.8K Views
    https://x.com/RT_com/status/1858260513232458132
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการทหารของสหรัฐฯ ต้องการเริ่มสงครามโลกครั้งที่ ๓ ก่อนที่พ่อของเขาจะขึ้นสู่อำนาจ . Donald Trump Jr. says US MIC wants to start WWIII before his father comes to power . 4:26 AM · Nov 18, 2024 · 41.8K Views https://x.com/RT_com/status/1858260513232458132
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • ไบเดนเตรียมเปิดห้องทำงานรูปไข่ต้อนรับทรัมป์ และยืนยันจะไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ต้นปีหน้า ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ทรัมป์ไม่ยอมทำเมื่อ 4 ปีที่แล้วด้วยข้ออ้างว่า ตนถูกปล้นชัยชนะ และขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มจัดตั้งคณะบริหาร ทางด้านเดโมแครตกลับไล่หาแพะรับผิดชอบความพ่ายแพ้ของแฮร์ริส โดยเพโลซี อดีตประธานสภาล่างชี้ว่า ถ้าไบเดนถอนตัวเร็วขึ้น เหตุการณ์อาจไม่เป็นแบบนี้
    .
    โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 สามารถกลับสู่ทำเนียบขาวอีกสมัยหลังคว้าชัยขาดลอยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา
    .
    ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) ว่าไบเดนจะพบทรัมป์ในห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ซึ่งการพบกันระหว่างประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ไม่ได้เชิญโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เยี่ยมเยียนทำเนียบขาว แต่กลับอ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า ตนเองถูกโกงเลือกตั้งและนำไปสู่การก่อม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021
    .
    นอกจากนั้นทรัมป์ยังแหกธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดนในวันที่ 20 ม.ค.ปีเดียวกัน แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดนจะไปร่วมพิธีดังกล่าวของทรัมป์ต้นปีหน้า
    .
    นอกจากนี้ ช่วงต้นปีหน้าไบเดนจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกคนที่ต้องถ่ายโอนอำนาจคืนให้ประธานาธิบดีคนก่อนตนเอง โดยครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์นี้คือตอนที่ประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน ส่งคืนทำเนียบขาวให้โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 19
    .
    ทรัมป์ อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์วัย 78 ปี กวาดชัยชนะท่วมท้นกว่าครั้งที่แล้ว แม้ถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา ถูกดำเนินการสอบสวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้งตอนที่เป็นประธานาธิบดี และถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานตีตราว่า เป็นเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม
    .
    ทั้งนี้ เอ็กซิตโพลล์พบว่า สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกังวลมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในยุคไบเดนภายหลังอเมริกาเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19
    .
    ไบเดน วัย 81 ปี ที่ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคมท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอายุ สุขภาพ และความเฉียบคมทางความคิดนั้น โทรแสดงความยินดีกับทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 พ.ย.)
    .
    สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนมองหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่รับไม้ต่อเป็นตัวแทนพรรคก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งเพียง 100 วัน
    .
    แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทมส์ว่า ไบเดนถอนตัวช้าเกินไป แถมประกาศรับรองแฮร์ริสทันที ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการหยั่งเสียงรอบไพรมารีที่อาจทำให้พรรคมีแคนดิเดตให้เลือกมากขึ้น
    .
    เพโลซีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีบทบาทสำคัญในการกล่อมให้ไบเดนยอมถอนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนผลการเลือกตั้งควรมุ่งที่จุดแข็งของแฮร์ริสที่สามารถกระตุ้นความหวังของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและทำให้แคมเปญหาเสียงมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างมาก
    .
    ขณะที่เดโมแครตกำลังหาแพะรับบาป ทรัมป์ได้เริ่มฟอร์มคณะบริหารสมัยที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งซูซี ไวลส์ ผู้จัดการแคมเปญหาเสียง เป็นหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ และเป็นการแต่งตั้งสมาชิกคณะบริหารคนแรกของทรัมป์
    .
    ตัวเก็งคนอื่นๆ ในคณะบริหารทรัมป์ 2 ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรเบิร์ต เคนเนดี้ จูเนียร์ แกนนำการต่อต้านวัคซีนที่ทรัมป์ประกาศว่า จะได้รับบทบาทสำคัญด้านสุขอนามัย
    .
    อีกคนคือ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก ที่อาจรับหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาล หลังจากนายใหญ่สเปซเอ็กซ์, เทสลา และเอ็กซ์ ที่มีอุดมการณ์การเมืองปีกขวาผู้นี้ ให้การสนับสนุนทรัมป์สุดตัว
    .
    นอกจากนั้นยังคาดว่า ทรัมป์จะยกเลิกนโยบายสำคัญของไบเดนหลายอย่าง โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ผู้นี้เตรียมกลับสู่ทำเนียบขาวในฐานะผู้ปฏิเสธแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แถมประกาศเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108252
    ..............
    Sondhi X
    ไบเดนเตรียมเปิดห้องทำงานรูปไข่ต้อนรับทรัมป์ และยืนยันจะไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ต้นปีหน้า ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ทรัมป์ไม่ยอมทำเมื่อ 4 ปีที่แล้วด้วยข้ออ้างว่า ตนถูกปล้นชัยชนะ และขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เริ่มจัดตั้งคณะบริหาร ทางด้านเดโมแครตกลับไล่หาแพะรับผิดชอบความพ่ายแพ้ของแฮร์ริส โดยเพโลซี อดีตประธานสภาล่างชี้ว่า ถ้าไบเดนถอนตัวเร็วขึ้น เหตุการณ์อาจไม่เป็นแบบนี้ . โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 สามารถกลับสู่ทำเนียบขาวอีกสมัยหลังคว้าชัยขาดลอยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา . ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) ว่าไบเดนจะพบทรัมป์ในห้องทำงานรูปไข่ในวันพุธ (13 พ.ย.) ซึ่งการพบกันระหว่างประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ไม่ได้เชิญโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เยี่ยมเยียนทำเนียบขาว แต่กลับอ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า ตนเองถูกโกงเลือกตั้งและนำไปสู่การก่อม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 . นอกจากนั้นทรัมป์ยังแหกธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดนในวันที่ 20 ม.ค.ปีเดียวกัน แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดนจะไปร่วมพิธีดังกล่าวของทรัมป์ต้นปีหน้า . นอกจากนี้ ช่วงต้นปีหน้าไบเดนจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกคนที่ต้องถ่ายโอนอำนาจคืนให้ประธานาธิบดีคนก่อนตนเอง โดยครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์นี้คือตอนที่ประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน ส่งคืนทำเนียบขาวให้โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 19 . ทรัมป์ อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์วัย 78 ปี กวาดชัยชนะท่วมท้นกว่าครั้งที่แล้ว แม้ถูกตัดสินกระทำผิดคดีอาญา ถูกดำเนินการสอบสวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้งตอนที่เป็นประธานาธิบดี และถูกอดีตหัวหน้าคณะทำงานตีตราว่า เป็นเผด็จการฟาสซิสต์ก็ตาม . ทั้งนี้ เอ็กซิตโพลล์พบว่า สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกังวลมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในยุคไบเดนภายหลังอเมริกาเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 . ไบเดน วัย 81 ปี ที่ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคมท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอายุ สุขภาพ และความเฉียบคมทางความคิดนั้น โทรแสดงความยินดีกับทรัมป์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 พ.ย.) . สมาชิกพรรคเดโมแครตหลายคนมองหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่รับไม้ต่อเป็นตัวแทนพรรคก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งเพียง 100 วัน . แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์นิวยอร์ก ไทมส์ว่า ไบเดนถอนตัวช้าเกินไป แถมประกาศรับรองแฮร์ริสทันที ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการหยั่งเสียงรอบไพรมารีที่อาจทำให้พรรคมีแคนดิเดตให้เลือกมากขึ้น . เพโลซีที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า มีบทบาทสำคัญในการกล่อมให้ไบเดนยอมถอนตัว ตั้งข้อสังเกตว่า การทบทวนผลการเลือกตั้งควรมุ่งที่จุดแข็งของแฮร์ริสที่สามารถกระตุ้นความหวังของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งและทำให้แคมเปญหาเสียงมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างมาก . ขณะที่เดโมแครตกำลังหาแพะรับบาป ทรัมป์ได้เริ่มฟอร์มคณะบริหารสมัยที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งซูซี ไวลส์ ผู้จัดการแคมเปญหาเสียง เป็นหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ และเป็นการแต่งตั้งสมาชิกคณะบริหารคนแรกของทรัมป์ . ตัวเก็งคนอื่นๆ ในคณะบริหารทรัมป์ 2 ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรเบิร์ต เคนเนดี้ จูเนียร์ แกนนำการต่อต้านวัคซีนที่ทรัมป์ประกาศว่า จะได้รับบทบาทสำคัญด้านสุขอนามัย . อีกคนคือ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลก ที่อาจรับหน้าที่ตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาล หลังจากนายใหญ่สเปซเอ็กซ์, เทสลา และเอ็กซ์ ที่มีอุดมการณ์การเมืองปีกขวาผู้นี้ ให้การสนับสนุนทรัมป์สุดตัว . นอกจากนั้นยังคาดว่า ทรัมป์จะยกเลิกนโยบายสำคัญของไบเดนหลายอย่าง โดยว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ผู้นี้เตรียมกลับสู่ทำเนียบขาวในฐานะผู้ปฏิเสธแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แถมประกาศเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000108252 .............. Sondhi X
    Love
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 1321 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์ต้องการให้ถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียตอนเหนือทันที

    โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ทีมงานคนสำคัญของทรัมป์เผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียตอนเหนือทั้งหมดโดยทันที

    ก่อนหน้านี้ ในการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์มีคำสั่งถอนทหารทั้งหมดออกจากซีเรียตอนเหนือไปแล้ว แต่ต้องหยุดชะงักไปในช่วงของรัฐบาลไบเดน

    ทรัมป์ไม่ต้องการให้ทหารสหรัฐอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างกลุ่มก่อการร้าย และกองกำลังตุรกีที่มีอิทธิพลในพื้นที่นี้
    ทรัมป์ต้องการให้ถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียตอนเหนือทันที โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ทีมงานคนสำคัญของทรัมป์เผยว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียตอนเหนือทั้งหมดโดยทันที ก่อนหน้านี้ ในการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์มีคำสั่งถอนทหารทั้งหมดออกจากซีเรียตอนเหนือไปแล้ว แต่ต้องหยุดชะงักไปในช่วงของรัฐบาลไบเดน ทรัมป์ไม่ต้องการให้ทหารสหรัฐอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างกลุ่มก่อการร้าย และกองกำลังตุรกีที่มีอิทธิพลในพื้นที่นี้
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • 🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน01.🤠

    เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา จีน และเกาหลีเหนือลงนามข้อตกลงสงบศึกที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    สงครามอันยาวนานและโหดร้ายสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโลกจะยังไม่ตอบสนอง

    สงครามครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกประเทศที่เข้าร่วม จีนและเกาหลีเหนือได้รับชัยชนะในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข สำหรับสหรัฐอเมริกา ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ประเทศเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามการนำของสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเชื่อได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นผู้แพ้

    😎การเจรจาต่อรองที่ยืดเยื้อ😎

    ในความเป็นจริง จีนและสหรัฐอเมริกาได้เจรจาสงบศึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่ราบรื่น

    เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐฯ ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อความสมดุลแห่งชัยชนะในสงครามเกาหลีเอียงไปทางจีนและเกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิง ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ยอมรับความจริงและตกลงที่จะเจรจา .

    อย่างไรก็ตาม โต๊ะเจรจายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนอันแรงกล้า

    สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับใบหน้าของตนเองเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปีค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามดำเนินไปในสภาพที่เลวร้าย ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman哈里·S·杜鲁门) ของสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากองทหารสหรัฐฯ จะสามารถถอนตัวออกจากเกาหลีเหนืออย่างมีศักดิ์ศรี

    อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็พ่ายแพ้ ความเหมาะสมมาจากไหน?

    ด้วยเหตุนี้ ทรูแมน(Truman)เกิดความคิดที่อุกอาจชนิดซึ่งไม่คำนึงถึงความไม่พอใจของชาวโลก เขาประกาศต่อสาธารณะว่าเขาจะใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน

    คำพูดที่น่าตกตะลึงของทรูแมน(Truman)ไม่เพียงทำให้จีนตกใจเท่านั้น แต่ยังทำให้คนทั้งโลกตื่นตระหนกอีกด้วย

    บุคคลแรกที่แสดงการต่อต้านเรื่องนี้คือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา

    เนื่องจากอังกฤษรู้ดีว่า ทันทีที่สหรัฐฯใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน สหภาพโซเวียตก็สามารถใช้ระเบิดปรมาณูต่อประเทศในยุโรปได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาหากประตูเมืองเกิดเพลิงไหม้และปลาในบ่อได้รับผลกระทบ ราคาค่าตอบแทนไม่ใช่สิ่งที่ประเทศในยุโรปจะสามารถยอมรับได้

    อีกทั้งประกอบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของกองทหารสหประชาชาติในสนามรบเกาหลี ประเทศในยุโรปได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษจึงบินไปสหรัฐอเมริกาทันทีและจัดการเจรจากับทรูแมน(Truman)5 ครั้ง โดยหวังว่าทรูแมน(Truman)จะยอมรับเงื่อนไขที่จีนและเกาหลีเหนือเสนอมาและทำการอ่อนข้อลง

    แต่ทรูแมน(Truman)กล่าวว่าแม้ว่าเขาจะสามารถยอมรับการเจรจาสันติภาพและการถอนทหารได้ แต่เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งผลประโยชน์ใดๆ

    เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอของประธานาธิบดี คณะผู้แทนที่ส่งมาจากสหรัฐอเมริกาก็ใช้สมองอย่างหนักเช่นกัน โชคดีที่เวลานี้จีนและสหภาพโซเวียตก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะส่งเสริมการสงบศึก ดังนั้น คณะผู้แทนอเมริกาจึงส่งคำพูดข้อความสื่อสารผ่านสหภาพโซเวียต โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงและถอนทหารออกจากเส้นขนานที่ 38 .

    จีนมีข้อตอบโต้ในทางสาธารณะอย่างรวดเร็วบนหนังสือพิมพ์ โดยแสดงความเห็นด้วยกับความเห็นของสหรัฐอเมริกา

    ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าวกลับไปเจรจา ในที่สุดก็ได้มองเห็นแสงสว่าง ทรูแมน(Truman)จึงได้แถลงการณ์ต่อสาธารณะอย่างรวดเร็วที่จะมีการเจรจาอย่างตรงไปตรงมากับจีน

    อย่างไรก็ตาม ประธานเหมาได้คาดการณ์ไว้แล้วถึงความไม่แน่นอนของสหรัฐอเมริกา ประธานเหมาเสนอว่ากลยุทธ์ของเราสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันคือ: “การต่อสู้ทางการเมืองและการทหารเป็นของคู่กันให้ดำเนินการพร้อมกันสองทาง คือ มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ ไม่กลัวสงคราม และเตรียมพร้อมที่จะชะลอลากยาว อดทนในการเจรจา เด็ดเดี่ยวในการรบต่อสู้ และถกเถียงช่วงชิงกันอย่างมีเหตุผล จนกว่าจะมีการสงบศึกที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล” "

    😎เกมจิตวิทยา😎

    หลังสงครามครั้งที่ 5 ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ก็แสดงเจตจำนงอย่างแรงกล้าที่จะเจรจาอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายจึงได้สรุปสถานที่เจรจาที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งก็คือการวาดเส้นแบ่งเขตทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่าย

    จีนเสนอให้ใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเขตแดน แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างแม่นมั่น เนื่องจากเมื่อใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขต หมายความว่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ เคยได้รับมาก่อนหน้านี้จะได้รับความเสียหาย ซึ่งฝ่าฝืนข้อกำหนดก่อนหน้าของทรูแมน(Truman)ซึ่งเสนอไว้

    ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธที่จะยอมต่อกัน และบรรยากาศที่โต๊ะเจรจาก็เย็นวูบลงและเงื่อนไขก็แสดงชัดเจน

    แล้วจากนั้นไม่มีใครพูดอะไร และพวกเขาก็เริ่มนั่งเงียบๆ เกมนี้เป็นเกมเงียบ ใครถอยก่อน คนนั้นแพ้

    แล้วจากนั้นผลก็คือการนั่งนิ่งอยู่นั้นกินเวลานานกว่าสองชั่วโมง

    ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ในใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแทนของฝ่ายจีนสูญเสียสมาธิความสงบ หลี่เค่อหนง(李克农)ซึ่งเป็นผู้นำทีมได้ส่งจดหมายน้อยข้อความอย่างเงียบ ๆ เพื่อแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในสถานที่สงบสติอารมณ์

    อาการความสงบของฝ่ายจีนตลอดกระบวนการทั้งหมดทำให้สหรัฐอเมริกาประหลาดใจมาก

    ท้ายที่สุด พลโทชาร์ลส์ เทิร์นเนอร์ จอย(Charles Turner Joy查尔斯·特纳·乔伊)ผู้แทนสหรัฐฯหมดความอดทน และประกาศเลิกประชุม การเจรจาวันแรกจบลงอย่างไม่น่าพอใจ

    อย่างไรก็ตาม การผัดวันประกันพรุ่งเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ยังไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นปัญหายังคงอยู่และต้องมีการเจรจา

    วันรุ่งขึ้น ฝ่ายเกาหลีเหนือมีหน้าที่เป็นประธานในการเจรจา ทั้งสองฝ่ายนั่งลงเป็นเวลา 25 วินาทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตัวแทนเกาหลีเหนือประกาศว่าหยุดการเจรจา ซึ่งทำให้แผนของกองทัพสหรัฐฯ หยุดชะงักกะทันหัน

    ตอนนั้นเองที่สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า จีนและเกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพสหรัฐฯ ในสนามรบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลผลกระทบอย่างรุนแรงที่โต๊ะเจรจาด้วย

    เมื่อการเจรจาไม่ราบรื่น และทั้งสองฝ่ายยังคงเข้าสู่โหมดสงครามต่อไป ภายในเวลาไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ สูญเสียผู้คนไปอีก 150,000 คนในสงคราม สิ่งนี้บังคับให้สหรัฐฯ พิจารณาให้ยอมอ่อนข้อมากขึ้น กล่าวคือ เห็นด้วยกับเส้นแบ่งเขตทางทหารที่เสนอโดยจีน

    หลังจากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข หลี่เค่อหนง(李克农)มีความดีใจมาก และเชื่อว่าการสงบศึกโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าการเจรจาครั้งนี้จะยืดเยื้อถึง 747 วันเต็ม

    เพื่อใช้คำพูดของคณะผู้แทนของจีนมาอธิบาย สหรัฐอเมริกาขณะเจรจาสงบศึกก็ต้องการจะรบต่อ และเมื่อพวกเขาเริ่มรบกันพวกเขาก็อยากจะเจรจาสงบศึกอีกครั้ง ทัศนคติความคิดของพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ ความทะเยอทะยานโลภมากของพวกเขามักจะกำจัดให้หายไปได้ยาก ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการแก้ไข

    แม้ว่าปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือเส้นแบ่งเขตทางทหารจะได้รับการแก้ไข แต่ในไม่ช้าความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในเรื่องการกำจัดเชลยศึก

    ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าจำนวนเชลยศึกในมือของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากันในขณะนั้น ทางฝั่งจีนมีนักโทษทหารสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 คน อย่างไรก็ตามทางฝั่งกองทัพสหรัฐฯมีนักโทษรวม 130,000 คน

    ตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศเจนีวา หลังจากการสงบศึก ทั้งสองฝ่ายควรปล่อยเชลยศึกทั้งหมด แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนกรานให้มีการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัว ซึ่งหมายความว่าเชลยศึก 120,000 คนจะไม่สามารถปล่อยตัวได้

    นี่มันจึงเป็นเรื่องไร้สาระ อเมริกากระทำแบบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจับตัวไว้เป็นตัวประกัน ฝ่ายจีนมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ในประเด็นนี้ และสหรัฐอเมริกาก็หันไปใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง เมื่อการเจรจาไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็เดินออกจากเต็นท์ทันที และประกาศเลื่อนการประชุม

    นี่ยังคงเป็นการท้ารบทางสงครามจิตวิทยาต่อจีนเช่นเดิม คณะผู้แทนของจีนจึงหารือล่วงหน้าว่า เมื่อต้องเผชิญกับพฤติกรรมเช่นนี้ของกองทัพสหรัฐฯ จะต้องไม่ตื่นตระหนก ในทางกลับกัน จะต้องให้ทำตัวสงบและผ่อนคลาย พูดคุยอารมณ์ดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำลายการป้องกันทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ ได้

    เหตุการณ์ลากยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์(Dwight D. Eisenhower德怀特·艾森豪威尔) ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา

    หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)ก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง ในสงครามเกาหลี สหรัฐฯ ลงทุนมากเกินไป บัดนี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ มากขึ้นเท่านั้น และอาจถึงขั้นสั่นคลอนการปกครองของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ

    ด้วยเหตุนี้ ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)จึงหวังที่จะยุติสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น สหรัฐฯ จึงส่งข้อความสื่อสารไปยังจีนและตกลงที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษที่บาดเจ็บบางส่วนก่อน

    ในเวลานี้สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตได้ถึงแก่กรรมแล้ว และจีนต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบรรลุข้อตกลงในประเด็นเรื่องเชลยศึกในที่สุด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 ทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีส่งมอบแลกเปลี่ยนนักโทษที่เมืองพันมุนจ็อม(Panmunjom板門店)

    ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายตัดสินใจลงนามข้อตกลงสงบศึกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ตัวแทนของกองทัพสหรัฐฯ คือ พลโทวิลเลียม เคลลี่ แฮร์ริสัน จูเนียร์(William Kelly Harrison Jr. 小威廉·凱利·哈里森)และตัวแทนของเกาหลีเหนือคือ นายพลนัม อิล(Nam Il南日)

    ขณะนั้นบรรยากาศในที่เกิดเหตุน่าอับอายมาก โดยเฉพาะฝั่งคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่น่าสังเวช

    🥳โปรดติดตามบทความ #สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    🤠#สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน01.🤠 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกา จีน และเกาหลีเหนือลงนามข้อตกลงสงบศึกที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) สงครามอันยาวนานและโหดร้ายสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าโลกจะยังไม่ตอบสนอง สงครามครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกประเทศที่เข้าร่วม จีนและเกาหลีเหนือได้รับชัยชนะในสภาพแวดล้อมที่สงบสุข สำหรับสหรัฐอเมริกา ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ประเทศเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามการนำของสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเชื่อได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นผู้แพ้ 😎การเจรจาต่อรองที่ยืดเยื้อ😎 ในความเป็นจริง จีนและสหรัฐอเมริกาได้เจรจาสงบศึกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่ราบรื่น เนื่องจากเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐฯ ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อความสมดุลแห่งชัยชนะในสงครามเกาหลีเอียงไปทางจีนและเกาหลีเหนือโดยสิ้นเชิง ในที่สุดสหรัฐฯ ก็ยอมรับความจริงและตกลงที่จะเจรจา . อย่างไรก็ตาม โต๊ะเจรจายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินปืนอันแรงกล้า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับใบหน้าของตนเองเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ปีค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามดำเนินไปในสภาพที่เลวร้าย ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman哈里·S·杜鲁门) ของสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ากองทหารสหรัฐฯ จะสามารถถอนตัวออกจากเกาหลีเหนืออย่างมีศักดิ์ศรี อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ก็พ่ายแพ้ ความเหมาะสมมาจากไหน? ด้วยเหตุนี้ ทรูแมน(Truman)เกิดความคิดที่อุกอาจชนิดซึ่งไม่คำนึงถึงความไม่พอใจของชาวโลก เขาประกาศต่อสาธารณะว่าเขาจะใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน คำพูดที่น่าตกตะลึงของทรูแมน(Truman)ไม่เพียงทำให้จีนตกใจเท่านั้น แต่ยังทำให้คนทั้งโลกตื่นตระหนกอีกด้วย บุคคลแรกที่แสดงการต่อต้านเรื่องนี้คือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอังกฤษรู้ดีว่า ทันทีที่สหรัฐฯใช้ระเบิดปรมาณูต่อจีน สหภาพโซเวียตก็สามารถใช้ระเบิดปรมาณูต่อประเทศในยุโรปได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลาหากประตูเมืองเกิดเพลิงไหม้และปลาในบ่อได้รับผลกระทบ ราคาค่าตอบแทนไม่ใช่สิ่งที่ประเทศในยุโรปจะสามารถยอมรับได้ อีกทั้งประกอบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของกองทหารสหประชาชาติในสนามรบเกาหลี ประเทศในยุโรปได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษจึงบินไปสหรัฐอเมริกาทันทีและจัดการเจรจากับทรูแมน(Truman)5 ครั้ง โดยหวังว่าทรูแมน(Truman)จะยอมรับเงื่อนไขที่จีนและเกาหลีเหนือเสนอมาและทำการอ่อนข้อลง แต่ทรูแมน(Truman)กล่าวว่าแม้ว่าเขาจะสามารถยอมรับการเจรจาสันติภาพและการถอนทหารได้ แต่เขาก็จะไม่มีวันละทิ้งผลประโยชน์ใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามคำร้องขอของประธานาธิบดี คณะผู้แทนที่ส่งมาจากสหรัฐอเมริกาก็ใช้สมองอย่างหนักเช่นกัน โชคดีที่เวลานี้จีนและสหภาพโซเวียตก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะส่งเสริมการสงบศึก ดังนั้น คณะผู้แทนอเมริกาจึงส่งคำพูดข้อความสื่อสารผ่านสหภาพโซเวียต โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงและถอนทหารออกจากเส้นขนานที่ 38 . จีนมีข้อตอบโต้ในทางสาธารณะอย่างรวดเร็วบนหนังสือพิมพ์ โดยแสดงความเห็นด้วยกับความเห็นของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าวกลับไปเจรจา ในที่สุดก็ได้มองเห็นแสงสว่าง ทรูแมน(Truman)จึงได้แถลงการณ์ต่อสาธารณะอย่างรวดเร็วที่จะมีการเจรจาอย่างตรงไปตรงมากับจีน อย่างไรก็ตาม ประธานเหมาได้คาดการณ์ไว้แล้วถึงความไม่แน่นอนของสหรัฐอเมริกา ประธานเหมาเสนอว่ากลยุทธ์ของเราสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันคือ: “การต่อสู้ทางการเมืองและการทหารเป็นของคู่กันให้ดำเนินการพร้อมกันสองทาง คือ มุ่งมั่นเพื่อสันติภาพ ไม่กลัวสงคราม และเตรียมพร้อมที่จะชะลอลากยาว อดทนในการเจรจา เด็ดเดี่ยวในการรบต่อสู้ และถกเถียงช่วงชิงกันอย่างมีเหตุผล จนกว่าจะมีการสงบศึกที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล” " 😎เกมจิตวิทยา😎 หลังสงครามครั้งที่ 5 ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ก็แสดงเจตจำนงอย่างแรงกล้าที่จะเจรจาอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายจึงได้สรุปสถานที่เจรจาที่พันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งก็คือการวาดเส้นแบ่งเขตทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่าย จีนเสนอให้ใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเขตแดน แต่สหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างแม่นมั่น เนื่องจากเมื่อใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเขต หมายความว่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ เคยได้รับมาก่อนหน้านี้จะได้รับความเสียหาย ซึ่งฝ่าฝืนข้อกำหนดก่อนหน้าของทรูแมน(Truman)ซึ่งเสนอไว้ ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธที่จะยอมต่อกัน และบรรยากาศที่โต๊ะเจรจาก็เย็นวูบลงและเงื่อนไขก็แสดงชัดเจน แล้วจากนั้นไม่มีใครพูดอะไร และพวกเขาก็เริ่มนั่งเงียบๆ เกมนี้เป็นเกมเงียบ ใครถอยก่อน คนนั้นแพ้ แล้วจากนั้นผลก็คือการนั่งนิ่งอยู่นั้นกินเวลานานกว่าสองชั่วโมง ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่ในใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแทนของฝ่ายจีนสูญเสียสมาธิความสงบ หลี่เค่อหนง(李克农)ซึ่งเป็นผู้นำทีมได้ส่งจดหมายน้อยข้อความอย่างเงียบ ๆ เพื่อแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในสถานที่สงบสติอารมณ์ อาการความสงบของฝ่ายจีนตลอดกระบวนการทั้งหมดทำให้สหรัฐอเมริกาประหลาดใจมาก ท้ายที่สุด พลโทชาร์ลส์ เทิร์นเนอร์ จอย(Charles Turner Joy查尔斯·特纳·乔伊)ผู้แทนสหรัฐฯหมดความอดทน และประกาศเลิกประชุม การเจรจาวันแรกจบลงอย่างไม่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม การผัดวันประกันพรุ่งเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ยังไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นปัญหายังคงอยู่และต้องมีการเจรจา วันรุ่งขึ้น ฝ่ายเกาหลีเหนือมีหน้าที่เป็นประธานในการเจรจา ทั้งสองฝ่ายนั่งลงเป็นเวลา 25 วินาทีโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตัวแทนเกาหลีเหนือประกาศว่าหยุดการเจรจา ซึ่งทำให้แผนของกองทัพสหรัฐฯ หยุดชะงักกะทันหัน ตอนนั้นเองที่สหรัฐฯ ตระหนักได้ว่า จีนและเกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพสหรัฐฯ ในสนามรบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลผลกระทบอย่างรุนแรงที่โต๊ะเจรจาด้วย เมื่อการเจรจาไม่ราบรื่น และทั้งสองฝ่ายยังคงเข้าสู่โหมดสงครามต่อไป ภายในเวลาไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ สูญเสียผู้คนไปอีก 150,000 คนในสงคราม สิ่งนี้บังคับให้สหรัฐฯ พิจารณาให้ยอมอ่อนข้อมากขึ้น กล่าวคือ เห็นด้วยกับเส้นแบ่งเขตทางทหารที่เสนอโดยจีน หลังจากปัญหานี้ได้รับการแก้ไข หลี่เค่อหนง(李克农)มีความดีใจมาก และเชื่อว่าการสงบศึกโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าการเจรจาครั้งนี้จะยืดเยื้อถึง 747 วันเต็ม เพื่อใช้คำพูดของคณะผู้แทนของจีนมาอธิบาย สหรัฐอเมริกาขณะเจรจาสงบศึกก็ต้องการจะรบต่อ และเมื่อพวกเขาเริ่มรบกันพวกเขาก็อยากจะเจรจาสงบศึกอีกครั้ง ทัศนคติความคิดของพวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ ความทะเยอทะยานโลภมากของพวกเขามักจะกำจัดให้หายไปได้ยาก ซึ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการแก้ไข แม้ว่าปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือเส้นแบ่งเขตทางทหารจะได้รับการแก้ไข แต่ในไม่ช้าความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายในเรื่องการกำจัดเชลยศึก ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าจำนวนเชลยศึกในมือของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากันในขณะนั้น ทางฝั่งจีนมีนักโทษทหารสหรัฐฯ มากกว่า 10,000 คน อย่างไรก็ตามทางฝั่งกองทัพสหรัฐฯมีนักโทษรวม 130,000 คน ตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศเจนีวา หลังจากการสงบศึก ทั้งสองฝ่ายควรปล่อยเชลยศึกทั้งหมด แต่กองทัพสหรัฐฯ ยืนกรานให้มีการแลกเปลี่ยนแบบตัวต่อตัว ซึ่งหมายความว่าเชลยศึก 120,000 คนจะไม่สามารถปล่อยตัวได้ นี่มันจึงเป็นเรื่องไร้สาระ อเมริกากระทำแบบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจับตัวไว้เป็นตัวประกัน ฝ่ายจีนมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ในประเด็นนี้ และสหรัฐอเมริกาก็หันไปใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง เมื่อการเจรจาไม่เป็นไปด้วยดี พวกเขาก็เดินออกจากเต็นท์ทันที และประกาศเลื่อนการประชุม นี่ยังคงเป็นการท้ารบทางสงครามจิตวิทยาต่อจีนเช่นเดิม คณะผู้แทนของจีนจึงหารือล่วงหน้าว่า เมื่อต้องเผชิญกับพฤติกรรมเช่นนี้ของกองทัพสหรัฐฯ จะต้องไม่ตื่นตระหนก ในทางกลับกัน จะต้องให้ทำตัวสงบและผ่อนคลาย พูดคุยอารมณ์ดี ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำลายการป้องกันทางจิตวิทยาของกองทัพสหรัฐฯ ได้ เหตุการณ์ลากยาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 เมื่อดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์(Dwight D. Eisenhower德怀特·艾森豪威尔) ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)ก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง ในสงครามเกาหลี สหรัฐฯ ลงทุนมากเกินไป บัดนี้ ยิ่งยืดเยื้อนานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ มากขึ้นเท่านั้น และอาจถึงขั้นสั่นคลอนการปกครองของรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ ไอเซนฮาวร์(Eisenhower)จึงหวังที่จะยุติสงครามโดยเร็วที่สุด ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น สหรัฐฯ จึงส่งข้อความสื่อสารไปยังจีนและตกลงที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษที่บาดเจ็บบางส่วนก่อน ในเวลานี้สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตได้ถึงแก่กรรมแล้ว และจีนต้องแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบรรลุข้อตกลงในประเด็นเรื่องเชลยศึกในที่สุด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1953 ทั้งสองฝ่ายได้จัดพิธีส่งมอบแลกเปลี่ยนนักโทษที่เมืองพันมุนจ็อม(Panmunjom板門店) ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายตัดสินใจลงนามข้อตกลงสงบศึกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 ตัวแทนของกองทัพสหรัฐฯ คือ พลโทวิลเลียม เคลลี่ แฮร์ริสัน จูเนียร์(William Kelly Harrison Jr. 小威廉·凱利·哈里森)และตัวแทนของเกาหลีเหนือคือ นายพลนัม อิล(Nam Il南日) ขณะนั้นบรรยากาศในที่เกิดเหตุน่าอับอายมาก โดยเฉพาะฝั่งคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่น่าสังเวช 🥳โปรดติดตามบทความ #สงครามเกาหลีมีผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอย่างไร ตอน02.ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🥳 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 790 Views 0 Reviews
  • เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่

    Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน
    วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024

    สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress)
    เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน
    และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้

    “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก

    นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน

    ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง

    ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา

    ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก

    กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป

    โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด”

    แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”

    ความเป็นมา:
    ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน

    ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน:
    Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr.

    ถอดความภาษาไทยโดย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ Gosar สมาชิกสภาคองเกรส สหรัฐ เสนอกฎหมายเพื่อฟ้อง บริษัทยายักษ์ใหญ่ (Big Pharma) สําหรับการบาดเจ็บจากวัคซีน วอชิงตัน ดี.ซี. 26 กันยายน 2024 สมาชิกสภาคองเกรส พอล เอ. โกซาร์, ดี.ดี.เอส. (AZ-09) ออกแถลงการณ์ ต่อไปนี้ หลังจากเสนอ H.R. 9828 พระราชบัญญัติระงับ การปกป้อง ผู้ผลิตวัคซีนจากการที่ไม่ต้องรับผิดชอบ End the Vaccine Carveout Act (https://www.congress.gov/bill/118th-congress/house-bill/9828#:~:text=Summary%20of%20H.R.9828%20-%20118th%20Congress) เป็นร่างกฎหมายที่จะถอดผู้ผลิตวัคซีนออกจากโล่ความที่ไม่ต้องรับผิด ส่งผลให้มีกําไรหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับ Big Pharma ในขณะที่ทำให้ผู้คนหลายหมื่นคนไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมทางกฎหมาย และ การชดเชยการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน และมีการแถลง press release ดังต่อไปนี้ “แม้ว่าข้าราชการของรัฐบาลกลางและ Big Pharma จะยืนยันว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย แต่ก็น่าเสียดายที่ขาดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน ตัวอย่างเช่น การทบทวนเอกสารทางวิทยาศาสตร์ 12,000 ฉบับโดยสถาบันการแพทย์ ที่ตีพิมพ์ในปี 2555 พบว่า 98% ของการบาดเจ็บที่ศึกษานั้น เกิดจากหรืออาจเกิดจากวัคซีน การศึกษาของรัฐบาลอีกชิ้นหนึ่ง พบว่า ในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดการบาดเจ็บใน 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับรายงาน ซึ่งหมายความว่าจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนถูกนับน้อยไปอย่างมาก นอกจากนี้ ตามระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมโรค มีรายงานว่าชาวอเมริกันเกือบ 20,000 คนตายโดยวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเท่ากับ การเสียชีวิต หนึ่งรายต่อทุกๆ 14,000 คน ที่ได้รับวัคซีน ซึ่งสูงกว่าหนึ่งในล้านของการเสียชีวิต ที่ปกติมีการอ้างถึงอันตรายจากวัคซีน ข้าราชการและนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลที่รับผิดชอบในการอนุมัติวัคซีนอยู่บนเตียงกับ Big Pharma ซึ่งมักเป็นเจ้าของหุ้นยา โดยมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และรับสัญญาที่ร่ํารวยจากบริษัทยาที่กดดันให้พวกเขาสร้างผลลัพธ์ที่ดีซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางโดยตรง ที่แย่กว่านั้น นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยหลายคนในหน่วยงานของรัฐพัฒนาสิทธิบัตรสําหรับวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่พวกเขาทํางาน สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์และก่อให้เกิดคําถามร้ายแรงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ผู้ผลิตวัคซีนจะต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีน เนื่องจากกฎหมายปี 1986 ที่สร้างภูมิคุ้มกันพิเศษอย่างไม่เป็นธรรมสําหรับ Big Pharma ทําให้เหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนชนะในศาลได้ยากมาก กฎหมายนี้ยกเลิกบทบัญญัติภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่ปกป้อง Big Pharma อย่างไม่เป็นธรรม จากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน และอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนดําเนินคดีทางแพ่งในศาลของรัฐหรือรัฐบาลกลาง Big Pharma ไม่สมควรได้รับบัตรปลอดคุกสําหรับการบาดเจ็บที่เกิดจากวัคซีนที่เป็นอันตราย” สมาชิกสภาคองเกรส Gosar กล่าวสรุป โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ผู้ก่อตั้ง Children's Health Defense และประธานคณะกรรมการ Leave กล่าวว่า “ผู้ผลิตวัคซีนชาวอเมริกันทั้งสี่รายเป็นองค์กรอาชญากรรมที่จ่ายค่าปรับทางอาญาหลายหมื่นล้านในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการปลดปล่อยพวกเขาจากความรับผิดสําหรับความประมาทเลินเล่อ กฎเกณฑ์ปี 1986 ได้ลบสิ่งจูงใจใด ๆ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย หากเราต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราจําเป็นต้องยุติเกราะป้องกันความรับผิด” แมรี่ ฮอลแลนด์ ประธานฝ่ายป้องกันสุขภาพเด็กกล่าวเสริมว่า “ขอบคุณสมาชิกสภาคองเกรสโกซาร์ที่แนะนํากฎหมายประวัติศาสตร์และจําเป็นอย่างเร่งด่วนนี้ เป็นเวลากว่า 35 ปีแล้วที่ผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากวัคซีนที่รัฐบาลแนะนําถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเยียวยาที่มีความหมาย -- มีเพียงโครงการชดเชยที่ซับซ้อนและหลอกลวงที่ทําให้ครอบครัวที่เสียใจต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่ Big Pharma ไม่มีความรับผิด ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภาวะสุขภาพเรื้อรังในเด็ก - ออทิสติก สมาธิสั้น โรคภูมิแพ้รุนแรง หอบหืด - ได้พุ่งสูงขึ้น กฎหมายนี้จะช่วยยุติการปกครองของ Big Pharma เหนือรัฐบาล ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ทุจริตของพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติปี 1986 ได้ปราบปรามวิทยาศาสตร์ ขัดขวางครอบครัว โค่นล้มตลาดการตรวจสอบและถ่วงดุลแบบประชาธิปไตย และลบสิทธิของพลเมืองในการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ชาวอเมริกันสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้” ความเป็นมา: ในปี 1986 สภาคองเกรสได้ผ่านพระราชบัญญัติการบาดเจ็บจากวัคซีนในวัยเด็กแห่งชาติ (NVCIA) ซึ่งปกป้องผู้ผลิตวัคซีนจากอันตรายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน ทําให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บาดเจ็บจากวัคซีนจะชนะในศาล โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ผลิตวัคซีนจงใจ "[ระงับ] ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีน" มีส่วนร่วมใน "กิจกรรมทางอาญาหรือผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน" หรือ "โดยหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ... ล้มเหลวในการใช้ความระมัดระวังอย่างเหมาะสม"การปฏิบัติตามข้อกําหนดเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ศูนย์ควบคุมโรค (CDC) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ได้รับมอบหมายให้อนุมัติวัคซีน น่าเศร้าที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างมาก เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ทํางานในหน่วยงานเหล่านี้ออกใบอนุญาตสิทธิบัตรให้กับผู้ผลิตวัคซีน และในการทําเช่นนั้น ได้รับค่าลิขสิทธิ์สูงถึง 150,000 ดอลลาร์นอกจากนี้ สมาชิกที่ลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการที่ให้คําแนะนําแก่ CDC และ NIH เป็นเจ้าของหุ้นของผู้ผลิตวัคซีน มีส่วนร่วมในงานสัญญาสําหรับผู้ผลิตวัคซีน และได้รับเงินช่วยเหลือจากผู้ผลิตวัคซีน ผู้สนับสนุนร่วมในปัจจุบัน: Representatives Andy Biggs, Lauren Boebert, Josh Brecheen, Tim Burchett, Eric Burlison, Mike Collins, Eli Crane, Warren Davidson, Byron Donalds, Matt Gaetz, Bob Good, Marjorie Taylor Greene, Harriet Hageman, Andy Harris, Clay Higgins, Ronny Jackson, Anna Paulina Luna, Nancy Mace, Thomas Massie, Mary E. Miller, Cory Mills, Barry Moore, Troy E. Nehls, Ralph Norman, Andy Ogles, Bill Posey, Chip Roy, Keith Self, Victoria Spartz, and Randy K. Weber Sr. ถอดความภาษาไทยโดย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 842 Views 0 Reviews
More Results