• มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
    .
    วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี
    .
    นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    #ป่อเต็กตึ๊งช่วยชีวิตรักษาชีวิตสร้างชีวิต
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
    #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร . วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี . นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . #ป่อเต็กตึ๊งช่วยชีวิตรักษาชีวิตสร้างชีวิต #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เสาสัญญาณเเห่งความร่ำรวย
    #พิธีกรรมจิต เเละความศรัทธาในเงินสด

    การสร้างความร่ำรวยแท้จริงนั้น "ง่าย"

    อย่างที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน
    แต่ความง่ายนี้มีเงื่อนไขสำคัญ

    มันต้องกลายเป็น “กิจวัตร”
    ต้องทำซ้ำ ต้องย้ำต้องวน
    ต้องชัด และต้องศรัทธา

    #กุญแจสำคัญที่สุด คือ
    การล้างกระดานเก่าในจิต
    แล้วแทนที่ด้วยภาพใหม่
    ของความมั่งคั่ง

    จากนั้น #เปิดคลื่นวิทยุของจิต

    ให้รับ-ส่งแค่ช่องสัญญาณเดียว

    ช่องที่ชื่อว่า

    "ฉันมีเงิน ฉันร่ำรวย ฉันสำเร็จ"

    ซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งวันทั้งคืน

    อย่าปล่อยให้จิตเปิดรับทุกคลื่น
    เหมือนการฟังวิทยุหลายสถานี
    มีทั้งเพลง ข่าว โฆษณา
    ซึ่งมีสาระก็จริง แต่ไม่เข้มข้น
    และไม่ต่อเนื่องพอจะสร้างอะไรได้เลย

    เพราะมันเพียง
    สะกิดใจไม่กี่วินาที
    แล้วหายวับไป

    หากคุณอยากรวย ต้อง #ถักจิต
    เหมือน การทอผ้า ต้องนั่งทำซ้ำๆ ทุกวัน
    เหมือนการสร้างผืนผ้าขนาดใหญ่
    ที่ใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี

    หากเปรียบความร่ำรวยเป็นผืนผ้า

    คุณต้องยอมใช้ชีวิต
    ปักเข็มเส้นเดิมทุกวัน
    ไม่มีทางลัด

    #จิตที่แน่วแน่เท่านั้นที่รวยได้

    คุณต้องมีความหมกมุ่นระดับสูงสุด
    หมกมุ่นแบบนักธุรกิจ
    ที่คิดแค่เรื่องเงิน คิดหาเงิน เก็บเงิน
    ขยายเงิน ตั้งบริษัท สร้างอาณาจักร
    แล้วส่งต่อความมั่งคั่งให้รุ่นลูกหลาน

    เพราะจิตของคนรวยจะมีคลื่นเดียว

    “ฉันรวยและฉันกำลังรวย”

    แต่ในยุคนี้ อินเทอร์เน็ต
    ทำให้จิตคนยุคใหม่อ่อนแอ

    คลื่นสัญญาณถูกรบกวน
    จากข้อมูลสารพัดรูปแบบ
    ทำให้จิตสร้างอะไรไม่ได้เลย
    เพราะมันไม่แน่วแน่พอ
    ไม่มีคลื่นหลักของตัวเอง

    #ฟอร์มจิตให้กลายเป็นพลังสร้าง

    จะเปลี่ยนจิตให้สร้างสิ่งใดเป็นรูปธรรม
    ต้องใช้กลไกแบบเดียวกับ
    การดูละครซีรีส์ที่เราหลงใหล

    อ่านนิยายที่เรารู้สึกว่า “เราเองคือตัวเอก”
    มันต้องอิน ต้องย้ำ ต้องหมกมุ่น
    แล้วเราจะเริ่ม “กลายเป็นสิ่งนั้นจริงๆ”

    คนที่ไม่สำเร็จ เพราะจิตไม่ชัดเจน
    ไม่อิน ไม่เชื่อ ไม่ซ้ำ ใช้ชีวิตแบบดูผ่าน
    ฟังผ่าน แล้วก็หมดวันไปอย่างไร้พลัง

    เริ่มต้นความร่ำรวยจาก "พิธีกรรมเงินสด"

    หากคุณตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า
    “ฉันจะรวย” ให้ตั้งพิธีกรรมของคุณขึ้นมา
    ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

    1.หา #เครื่องยึดเหนี่ยว
    สัญลักษณ์ที่สั่นสะเทือนหัวใจ
    เช่น ทองคำแท่ง เงินสด ที่ดิน
    มาวางบนโต๊ะพิธีของคุณ
    เพื่อย้ำเตือนว่า นี่คือ
    เป้าหมายเดียวของชีวิตช่วงนี้

    2.#ถอนเงินสดออกจากออนไลน์
    อย่าปล่อยให้เงินอยู่แค่ในระบบดิจิทัล
    จิตจะไม่เห็นว่าตัวเองได้รับเงินเลย
    เพราะมันจำแค่ตอนโอนออก

    3.#ให้เงินสดอยู่ตรงหน้าคุณ 24 ชั่วโมง
    วางบนโต๊ะพิธี วางไว้ข้างหัวนอน
    วางตรงกระจกห้องน้ำ
    ถ้าคุณเห็นเงินทุกวัน
    จิตจะเริ่มซึมซับคลื่นความร่ำรวย

    4.#เมื่อเงินสดเริ่มมีแล้ว
    #ให้ขยับไปสู่ทองคำ
    ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อ “ดูดเงินเพิ่ม”
    ทอง คือ แม่เหล็กเงิน
    ถ้าคุณศรัทธา
    มันจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก
    ดึงดูดความมั่งคั่ง

    5.#คิดวนซ้ำสร้างเงิน เก็บเงิน ซื้อทอง
    เพื่อดูดเงิน ทำจนจิตของคุณ
    เปลี่ยนสนามพลังจากขาดแคลนเป็นมั่งคั่ง

    คุณ คือ #เสาสัญญาณแห่งความร่ำรวย

    เมื่อจิตคุณเปลี่ยน
    พลังงทานทั้งเมืองจะเปลี่ยน
    พลังงานประเทศจะเปลี่ยน
    เพราะเศรษฐกิจรอบตัวคุณ
    จะต้องสนับสนุนให้คุณได้เงิน

    เพราะคุณ คือ #ผู้ถือคลื่นแห่งเงินสด

    ลูกค้าจะเข้ามา หุ้นส่วนจะมาหา
    งานจะไหลมา เพราะคุณ
    กำลังทำพิธีกรรมเงินซ้ำๆ อย่างมีพลัง
    จิตคุณชัดและไม่สั่นไหว

    อย่าอิจฉาใคร
    เพราะทุกคนที่รวยขึ้นรอบตัวคุณ
    คือ เครื่องสะท้อนว่า
    คุณกำลังอยู่ในสนามถูกต้องแล้ว

    บทส่งท้าย: #บูชาเงินสดอย่างมีศรัทธา

    จงดำเนินชีวิตใหม่ให้เหมือน

    #นักบวชแห่งเงินสด

    ผู้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา และยึดมั่น
    ในเส้นทางแห่งความมั่งคั่งทุกลมหายใจ

    #ตัดสิ่งไร้สาระทิ้งไป

    ปกป้องพลังจิตอย่างเข้มแข็ง
    ทำทุกอย่างให้ใจมีความสุข
    เพื่อให้กลายเป็นการสร้างเงินที่ยั่งยืน

    เพราะสุดท้ายแล้ว
    “ความสุขและความร่ำรวย”
    คือ สิ่งเดียวกัน คุณไม่มีวันรวยได้จริง
    หากไม่รักหนทางที่กำลังเดิน

    จงหมกมุ่น จงตั้งใจ จงลงมือ จงทำซ้ำ
    แล้วคุณจะไม่เพียงแค่ร่ำรวย
    แต่จะกลายเป็นต้นน้ำแห่งความมั่งคั่ง
    ให้กับผู้คนทั้งแผ่นดิน
    #เสาสัญญาณเเห่งความร่ำรวย #พิธีกรรมจิต เเละความศรัทธาในเงินสด การสร้างความร่ำรวยแท้จริงนั้น "ง่าย" อย่างที่ไม่เคยมีใครบอกคุณมาก่อน แต่ความง่ายนี้มีเงื่อนไขสำคัญ มันต้องกลายเป็น “กิจวัตร” ต้องทำซ้ำ ต้องย้ำต้องวน ต้องชัด และต้องศรัทธา #กุญแจสำคัญที่สุด คือ การล้างกระดานเก่าในจิต แล้วแทนที่ด้วยภาพใหม่ ของความมั่งคั่ง จากนั้น #เปิดคลื่นวิทยุของจิต ให้รับ-ส่งแค่ช่องสัญญาณเดียว ช่องที่ชื่อว่า "ฉันมีเงิน ฉันร่ำรวย ฉันสำเร็จ" ซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งวันทั้งคืน อย่าปล่อยให้จิตเปิดรับทุกคลื่น เหมือนการฟังวิทยุหลายสถานี มีทั้งเพลง ข่าว โฆษณา ซึ่งมีสาระก็จริง แต่ไม่เข้มข้น และไม่ต่อเนื่องพอจะสร้างอะไรได้เลย เพราะมันเพียง สะกิดใจไม่กี่วินาที แล้วหายวับไป หากคุณอยากรวย ต้อง #ถักจิต เหมือน การทอผ้า ต้องนั่งทำซ้ำๆ ทุกวัน เหมือนการสร้างผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปี หากเปรียบความร่ำรวยเป็นผืนผ้า คุณต้องยอมใช้ชีวิต ปักเข็มเส้นเดิมทุกวัน ไม่มีทางลัด #จิตที่แน่วแน่เท่านั้นที่รวยได้ คุณต้องมีความหมกมุ่นระดับสูงสุด หมกมุ่นแบบนักธุรกิจ ที่คิดแค่เรื่องเงิน คิดหาเงิน เก็บเงิน ขยายเงิน ตั้งบริษัท สร้างอาณาจักร แล้วส่งต่อความมั่งคั่งให้รุ่นลูกหลาน เพราะจิตของคนรวยจะมีคลื่นเดียว “ฉันรวยและฉันกำลังรวย” แต่ในยุคนี้ อินเทอร์เน็ต ทำให้จิตคนยุคใหม่อ่อนแอ คลื่นสัญญาณถูกรบกวน จากข้อมูลสารพัดรูปแบบ ทำให้จิตสร้างอะไรไม่ได้เลย เพราะมันไม่แน่วแน่พอ ไม่มีคลื่นหลักของตัวเอง #ฟอร์มจิตให้กลายเป็นพลังสร้าง จะเปลี่ยนจิตให้สร้างสิ่งใดเป็นรูปธรรม ต้องใช้กลไกแบบเดียวกับ การดูละครซีรีส์ที่เราหลงใหล อ่านนิยายที่เรารู้สึกว่า “เราเองคือตัวเอก” มันต้องอิน ต้องย้ำ ต้องหมกมุ่น แล้วเราจะเริ่ม “กลายเป็นสิ่งนั้นจริงๆ” คนที่ไม่สำเร็จ เพราะจิตไม่ชัดเจน ไม่อิน ไม่เชื่อ ไม่ซ้ำ ใช้ชีวิตแบบดูผ่าน ฟังผ่าน แล้วก็หมดวันไปอย่างไร้พลัง เริ่มต้นความร่ำรวยจาก "พิธีกรรมเงินสด" หากคุณตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า “ฉันจะรวย” ให้ตั้งพิธีกรรมของคุณขึ้นมา ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 1.หา #เครื่องยึดเหนี่ยว สัญลักษณ์ที่สั่นสะเทือนหัวใจ เช่น ทองคำแท่ง เงินสด ที่ดิน มาวางบนโต๊ะพิธีของคุณ เพื่อย้ำเตือนว่า นี่คือ เป้าหมายเดียวของชีวิตช่วงนี้ 2.#ถอนเงินสดออกจากออนไลน์ อย่าปล่อยให้เงินอยู่แค่ในระบบดิจิทัล จิตจะไม่เห็นว่าตัวเองได้รับเงินเลย เพราะมันจำแค่ตอนโอนออก 3.#ให้เงินสดอยู่ตรงหน้าคุณ 24 ชั่วโมง วางบนโต๊ะพิธี วางไว้ข้างหัวนอน วางตรงกระจกห้องน้ำ ถ้าคุณเห็นเงินทุกวัน จิตจะเริ่มซึมซับคลื่นความร่ำรวย 4.#เมื่อเงินสดเริ่มมีแล้ว #ให้ขยับไปสู่ทองคำ ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อ “ดูดเงินเพิ่ม” ทอง คือ แม่เหล็กเงิน ถ้าคุณศรัทธา มันจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก ดึงดูดความมั่งคั่ง 5.#คิดวนซ้ำสร้างเงิน เก็บเงิน ซื้อทอง เพื่อดูดเงิน ทำจนจิตของคุณ เปลี่ยนสนามพลังจากขาดแคลนเป็นมั่งคั่ง คุณ คือ #เสาสัญญาณแห่งความร่ำรวย เมื่อจิตคุณเปลี่ยน พลังงทานทั้งเมืองจะเปลี่ยน พลังงานประเทศจะเปลี่ยน เพราะเศรษฐกิจรอบตัวคุณ จะต้องสนับสนุนให้คุณได้เงิน เพราะคุณ คือ #ผู้ถือคลื่นแห่งเงินสด ลูกค้าจะเข้ามา หุ้นส่วนจะมาหา งานจะไหลมา เพราะคุณ กำลังทำพิธีกรรมเงินซ้ำๆ อย่างมีพลัง จิตคุณชัดและไม่สั่นไหว อย่าอิจฉาใคร เพราะทุกคนที่รวยขึ้นรอบตัวคุณ คือ เครื่องสะท้อนว่า คุณกำลังอยู่ในสนามถูกต้องแล้ว บทส่งท้าย: #บูชาเงินสดอย่างมีศรัทธา จงดำเนินชีวิตใหม่ให้เหมือน #นักบวชแห่งเงินสด ผู้ที่เชื่อมั่น ศรัทธา และยึดมั่น ในเส้นทางแห่งความมั่งคั่งทุกลมหายใจ #ตัดสิ่งไร้สาระทิ้งไป ปกป้องพลังจิตอย่างเข้มแข็ง ทำทุกอย่างให้ใจมีความสุข เพื่อให้กลายเป็นการสร้างเงินที่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว “ความสุขและความร่ำรวย” คือ สิ่งเดียวกัน คุณไม่มีวันรวยได้จริง หากไม่รักหนทางที่กำลังเดิน จงหมกมุ่น จงตั้งใจ จงลงมือ จงทำซ้ำ แล้วคุณจะไม่เพียงแค่ร่ำรวย แต่จะกลายเป็นต้นน้ำแห่งความมั่งคั่ง ให้กับผู้คนทั้งแผ่นดิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔮 #ห้องพิธีดูดทรัพย์
    #เงินเข้าไม่มีทางออก
    #ห้องดูดทรัพย์ไม่มีวันออก
    #เงินพันดูดเงินหมื่น
    #เงินหมื่นดูดเงินเเสน
    #เงินเเสนดูดเงินล้าน
    พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
    ของผู้ศรัทธาในพลังเงินสด
    และรักตัวเองอย่างสูงสุด
    “ห้องพิธีดูดทรัพย์” คือ
    พื้นที่พิเศษสำหรับผู้มีจิตตั้งมั่น
    ผู้ที่ไม่ได้สะสมทรัพย์เพราะกลัวอด…
    แต่สะสมเพราะ รักตัวเอง
    จนอยากมอบอนาคตที่ดีที่สุด
    #ให้กับชีวิตของตนเอง
    ไม่ใช่ห้องแห่งความโลภ
    แต่คือ
    “ห้องแห่งพลังศรัทธา
    ในตนเองขั้นสูงสุด”
    👁 เจ้าพิธีผู้ดูดทรัพย์ คือใคร?
    คือ ผู้ที่จิตมั่น… ใจนิ่ง… และรักตัวเอง
    ในระดับที่ลึกจนไม่อาจปล่อยชีวิต
    ให้รั่วไหลออกไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
    เขา คือ ผู้ที่ไม่สะสมเพื่ออวด
    หรือ แข่งขันกับใคร
    แต่สะสมเพื่อให้ตนเองปลอดภัย
    อิ่มเอม และมั่นคงตลอดกาล
    🕯 องค์ประกอบของห้องพิธีดูดทรัพย์ (สมบูรณ์ที่สุด)
    1. เทียนสีเขียว – เสาสัญญาณเรียกเงิน
    จุดเพื่อเปิดคลื่นพลังทรัพย์เข้าสู่ห้อง
    เสมือนส่งสัญญาณวิทยุเรียกทรัพย์กลับบ้าน
    จุดพร้อมภาวนา:
    “ทรัพย์จงมา เงินจงไหล
    ความมั่นคงจงอยู่กับข้าตลอดกาล”
    2. เจ้าพิธีต้องอยู่ในห้องอย่างสงบ สม่ำเสมอ
    ฟังบทโปรแกรมจิตเงินซ้ำๆ
    นั่งสงบนิ่ง ปล่อยใจนิ่งลึก
    รับพลังงานทรัพย์เข้ามาโดยไม่ต่อต้าน
    3. ต้องทำเมื่อจิต “อิ่มเอม” เท่านั้น
    การดูดทรัพย์จะเกิดได้
    เฉพาะเมื่อหัวใจเปี่ยมสุข
    ห้ามทำเมื่อรู้สึกกลัวว่าทรัพย์จะหมด
    หรือ ทำเพราะขาดแคลน
    หากยังมีพลังงานกลัว ขาด กังวล
    ให้หยุด! แล้วออกไป
    ทำให้ตนเองมีความสุขก่อน
    เมื่อใจอิ่มจริงๆ
    จึงกลับมาเปิดห้องพิธีรอบใหม่
    4. ไอเดีย = สัญญาณทองคำ
    ทุกความคิดที่แวบขึ้นมาในห้องพิธี
    คือ คำสั่งซื้อจากจักรวาล
    ห้ามนิ่งเฉย ต้องลงมือทันที
    เพราะนั่น คือ เงินในอนาคตที่กำลังเรียกเข้า
    5. การใช้เงิน = คาถาสะท้อนทรัพย์กลับมา
    ทุกการใช้เงิน ต้องมี “ความหมาย” ว่า:
    ใช้เพื่อเงินกลับมาไวขึ้น
    ใช้เพื่อทำให้พลังเงินโต
    ใช้เพื่อจ้างคลื่นพลังให้หมุนเงินคืนคลัง
    เงินไม่ใช่แค่จ่าย… แต่คือ
    “การส่งพลังงานออกไปเพื่อดึงทรัพย์กลับคืน”
    6. ข้อห้ามศักดิ์สิทธิ์
    ห้ามเด็ดขาด:
    ใช้เงินด้วยความกลัว
    ใช้เงินสนองอารมณ์ต่ำ
    ใช้เงินทำลายพลังของผู้อื่น
    ใช้เงินโดยไม่เห็นคุณค่าของเงิน
    7. วงจรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพิธี
    เจ้าพิธีจะอยู่ใน 2 โหมด:
    🧘‍♀️ ช่วงสะสม:
    เก็บเงินนิ่งๆ ไม่รั่วไหล
    ไม่ใช้เลยถ้าไม่จำเป็น
    เติมพลังให้คลังทรัพย์หนาแน่น
    💖 ช่วงเบิกใช้ (เมื่อใจอิ่มแล้ว):
    ใช้เงินเยียวยาหัวใจ
    ใช้เท่าที่ทำให้รู้สึก “สมบูรณ์”
    พักใจ แล้วกลับมาสะสมรอบใหม่
    🗝 คาถาเจ้าพิธีดูดทรัพย์:
    "ข้าพเจ้า คือ ผู้เก็บทรัพย์
    ข้าพเจ้า คือ ผู้ดูแลพลังเงินสด
    ข้าพเจ้าจะสะสมทรัพย์
    ด้วยความสุขอย่างแท้จริง
    และจักรวาลจะคืนเงินข้าพเจ้าเสมอ
    ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม"
    🔁 สรุปแก่นลึก:
    ห้องพิธีดูดทรัพย์ ไม่ได้เปิดด้วยเทียน...
    แต่มันเปิดด้วย “หัวใจที่เปี่ยมสุข”
    หากใจยังกลัว ยังขาด ยังหวั่นไหว
    ให้ไปเติมพลังรักตัวเองก่อน
    แล้วกลับมาเปิดห้องอีกครั้ง
    ด้วยหัวใจที่สง่างาม
    พร้อมรับคลื่นเงินอย่างบริบูรณ์
    🔮 #ห้องพิธีดูดทรัพย์ #เงินเข้าไม่มีทางออก #ห้องดูดทรัพย์ไม่มีวันออก #เงินพันดูดเงินหมื่น #เงินหมื่นดูดเงินเเสน #เงินเเสนดูดเงินล้าน พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ของผู้ศรัทธาในพลังเงินสด และรักตัวเองอย่างสูงสุด “ห้องพิธีดูดทรัพย์” คือ พื้นที่พิเศษสำหรับผู้มีจิตตั้งมั่น ผู้ที่ไม่ได้สะสมทรัพย์เพราะกลัวอด… แต่สะสมเพราะ รักตัวเอง จนอยากมอบอนาคตที่ดีที่สุด #ให้กับชีวิตของตนเอง ไม่ใช่ห้องแห่งความโลภ แต่คือ “ห้องแห่งพลังศรัทธา ในตนเองขั้นสูงสุด” 👁 เจ้าพิธีผู้ดูดทรัพย์ คือใคร? คือ ผู้ที่จิตมั่น… ใจนิ่ง… และรักตัวเอง ในระดับที่ลึกจนไม่อาจปล่อยชีวิต ให้รั่วไหลออกไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป เขา คือ ผู้ที่ไม่สะสมเพื่ออวด หรือ แข่งขันกับใคร แต่สะสมเพื่อให้ตนเองปลอดภัย อิ่มเอม และมั่นคงตลอดกาล 🕯 องค์ประกอบของห้องพิธีดูดทรัพย์ (สมบูรณ์ที่สุด) 1. เทียนสีเขียว – เสาสัญญาณเรียกเงิน จุดเพื่อเปิดคลื่นพลังทรัพย์เข้าสู่ห้อง เสมือนส่งสัญญาณวิทยุเรียกทรัพย์กลับบ้าน จุดพร้อมภาวนา: “ทรัพย์จงมา เงินจงไหล ความมั่นคงจงอยู่กับข้าตลอดกาล” 2. เจ้าพิธีต้องอยู่ในห้องอย่างสงบ สม่ำเสมอ ฟังบทโปรแกรมจิตเงินซ้ำๆ นั่งสงบนิ่ง ปล่อยใจนิ่งลึก รับพลังงานทรัพย์เข้ามาโดยไม่ต่อต้าน 3. ต้องทำเมื่อจิต “อิ่มเอม” เท่านั้น การดูดทรัพย์จะเกิดได้ เฉพาะเมื่อหัวใจเปี่ยมสุข ห้ามทำเมื่อรู้สึกกลัวว่าทรัพย์จะหมด หรือ ทำเพราะขาดแคลน หากยังมีพลังงานกลัว ขาด กังวล ให้หยุด! แล้วออกไป ทำให้ตนเองมีความสุขก่อน เมื่อใจอิ่มจริงๆ จึงกลับมาเปิดห้องพิธีรอบใหม่ 4. ไอเดีย = สัญญาณทองคำ ทุกความคิดที่แวบขึ้นมาในห้องพิธี คือ คำสั่งซื้อจากจักรวาล ห้ามนิ่งเฉย ต้องลงมือทันที เพราะนั่น คือ เงินในอนาคตที่กำลังเรียกเข้า 5. การใช้เงิน = คาถาสะท้อนทรัพย์กลับมา ทุกการใช้เงิน ต้องมี “ความหมาย” ว่า: ใช้เพื่อเงินกลับมาไวขึ้น ใช้เพื่อทำให้พลังเงินโต ใช้เพื่อจ้างคลื่นพลังให้หมุนเงินคืนคลัง เงินไม่ใช่แค่จ่าย… แต่คือ “การส่งพลังงานออกไปเพื่อดึงทรัพย์กลับคืน” 6. ข้อห้ามศักดิ์สิทธิ์ ห้ามเด็ดขาด: ใช้เงินด้วยความกลัว ใช้เงินสนองอารมณ์ต่ำ ใช้เงินทำลายพลังของผู้อื่น ใช้เงินโดยไม่เห็นคุณค่าของเงิน 7. วงจรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพิธี เจ้าพิธีจะอยู่ใน 2 โหมด: 🧘‍♀️ ช่วงสะสม: เก็บเงินนิ่งๆ ไม่รั่วไหล ไม่ใช้เลยถ้าไม่จำเป็น เติมพลังให้คลังทรัพย์หนาแน่น 💖 ช่วงเบิกใช้ (เมื่อใจอิ่มแล้ว): ใช้เงินเยียวยาหัวใจ ใช้เท่าที่ทำให้รู้สึก “สมบูรณ์” พักใจ แล้วกลับมาสะสมรอบใหม่ 🗝 คาถาเจ้าพิธีดูดทรัพย์: "ข้าพเจ้า คือ ผู้เก็บทรัพย์ ข้าพเจ้า คือ ผู้ดูแลพลังเงินสด ข้าพเจ้าจะสะสมทรัพย์ ด้วยความสุขอย่างแท้จริง และจักรวาลจะคืนเงินข้าพเจ้าเสมอ ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม" 🔁 สรุปแก่นลึก: ห้องพิธีดูดทรัพย์ ไม่ได้เปิดด้วยเทียน... แต่มันเปิดด้วย “หัวใจที่เปี่ยมสุข” หากใจยังกลัว ยังขาด ยังหวั่นไหว ให้ไปเติมพลังรักตัวเองก่อน แล้วกลับมาเปิดห้องอีกครั้ง ด้วยหัวใจที่สง่างาม พร้อมรับคลื่นเงินอย่างบริบูรณ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • พอเพียง คือ พอดี พอประมาณ และพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ โดยไม่โลภอย่างมาก และไม่อยากได้ในสิ่งที่เกินตัว

    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักในการตัดสินใจ เพื่อความสมดุลของชีวิต และความสุขที่ยั่งยืน

    เรียบเรียงถ้อยคำจาก หนังสือใต้เบื้องพระยุคลบาท ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล โดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

    #มูลนิธิปิดทองหลังพระ

    #ทุกวิกฤตผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย

    #เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง

    #สืบสานพระราชปณิธาน

    #ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

    #พอเพียงเพื่อยั่งยืน

    มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ

    Website: www.pidthong.org

    Twitter: twitter.com/pidthong

    Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_

    Threads: threads.net/@pidthonglangphra_

    YouTube: https://youtube.com/@pidthong

    Line: https://bit.ly/3sumjTn

    Tiktok: https://bit.ly/3ZkPmXv
    พอเพียง คือ พอดี พอประมาณ และพอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ โดยไม่โลภอย่างมาก และไม่อยากได้ในสิ่งที่เกินตัว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักในการตัดสินใจ เพื่อความสมดุลของชีวิต และความสุขที่ยั่งยืน เรียบเรียงถ้อยคำจาก หนังสือใต้เบื้องพระยุคลบาท ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล โดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ #มูลนิธิปิดทองหลังพระ #ทุกวิกฤตผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย #เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง #สืบสานพระราชปณิธาน #ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน #พอเพียงเพื่อยั่งยืน มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ Website: www.pidthong.org Twitter: twitter.com/pidthong Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_ Threads: threads.net/@pidthonglangphra_ YouTube: https://youtube.com/@pidthong Line: https://bit.ly/3sumjTn Tiktok: https://bit.ly/3ZkPmXv
    YOUTUBE.COM
    Pidthong
    มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ทำหน้าที่จัดการองค์ความรู้และส่งเสริมการพัฒนาตามแนวพระราชดําริอย่างเป็นระบบในวงกว้าง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักของประเทศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจจุบันเราเดินอยู่บนโลกมนุษย์ ท่องเที่ยวหากินหาเงินทอง หาสนุกหาความสุข หลายคนก็หาบุญกุศลไปด้วย เพราะคนเรายังจะต้องเดินต่อไปยังภาพหน้า
    ปัจจุบันเราเดินอยู่บนโลกมนุษย์ ท่องเที่ยวหากินหาเงินทอง หาสนุกหาความสุข หลายคนก็หาบุญกุศลไปด้วย เพราะคนเรายังจะต้องเดินต่อไปยังภาพหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระยศเศรษฐีโลกะวิทู วัดศิลาชลเขต จ.นครศรีธรรมราช ปี2509
    พระยศเศรษฐีโลกะวิทู พิมพ์พิเศษกรรมการ ลงบรอนด์ทอง วัดศิลาชลเขต จ.นครศรีธรรมราช ปี2509 // พระดีพิธีใหญ๋ พระคณาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมอธิษฐานจิต 3 วัน 3 คืน สุดยอดพระเกจิสายใต้ร่วมปลุกเสกมากมาย (อ.นำ,พ่อท่านคล้าย,พ่อท่านเขียว ปลุกเสก) //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก ไม่ถูกใช้ครับ //# รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม "แคล้วคาด ปลอดภัย" คงกระพันชาตรี มหาอุดเยี่ยม ทำมาค้าขึ้น เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน การเงิน โชคลาภค้าขาย บริบูรณ์ไปด้วยความสุข สมหวัง >>>

    ** พระดีพิธิใหญ ของดี พุทธคุณเยี่ยมยอด" ปลุกเสกพิธีใหญ่ สุดยอดพระเกจิสายใต้ร่วมปลุกเสกมากมาย (อ.นำ,พ่อท่านคล้าย,พ่อท่านเขียว ปลุกเสก)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธีด้วย "พระดี ชือดี เกจิดัง"

    พระคณาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมอธิษฐานจิต 3 วัน 3 คืน อาทิ

    – หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    – หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    – หลวงปู่เทศก์ เทศก์รังษี วัดหินหมากเป้ง
    – หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด
    – พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยธำรงธรรม
    – พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา
    – หลวงปู่หิน วัดระฆัง
    – หลวงปู่เชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ
    – หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
    – หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง
    – หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว
    – หลวงพ่อโชติ ระลึกชาติ
    – หลวงพ่อนอ วัดท่าเรือ
    – หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิตร
    – หลวงพ่อเทียม วัดกษัตริยาธิราช
    – หลวงปู่แต้ม วัดพระลอย
    – หลวงพ่อเย่อ วัดอาษาสงคราม ฯลฯ

    เรียกได้ว่าพระเครื่องราคาองค์เป็นหมื่นเป็นแสนในปัจจุบัน ยังจัดพิธียิ่งใหญ่ไม่ได้ขนาดนี้ องค์นี้สภาพสวยสมบูรณ์ หน้าชัดหลังคม เต็มทุกตัวอักษร ใครกำลังมองหาพระดีพุทธคุณสูง ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก ไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระยศเศรษฐีโลกะวิทู วัดศิลาชลเขต จ.นครศรีธรรมราช ปี2509 พระยศเศรษฐีโลกะวิทู พิมพ์พิเศษกรรมการ ลงบรอนด์ทอง วัดศิลาชลเขต จ.นครศรีธรรมราช ปี2509 // พระดีพิธีใหญ๋ พระคณาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมอธิษฐานจิต 3 วัน 3 คืน สุดยอดพระเกจิสายใต้ร่วมปลุกเสกมากมาย (อ.นำ,พ่อท่านคล้าย,พ่อท่านเขียว ปลุกเสก) //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก ไม่ถูกใช้ครับ //# รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม "แคล้วคาด ปลอดภัย" คงกระพันชาตรี มหาอุดเยี่ยม ทำมาค้าขึ้น เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน การเงิน โชคลาภค้าขาย บริบูรณ์ไปด้วยความสุข สมหวัง >>> ** พระดีพิธิใหญ ของดี พุทธคุณเยี่ยมยอด" ปลุกเสกพิธีใหญ่ สุดยอดพระเกจิสายใต้ร่วมปลุกเสกมากมาย (อ.นำ,พ่อท่านคล้าย,พ่อท่านเขียว ปลุกเสก)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธีด้วย "พระดี ชือดี เกจิดัง" พระคณาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมอธิษฐานจิต 3 วัน 3 คืน อาทิ – หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี – หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม – หลวงปู่เทศก์ เทศก์รังษี วัดหินหมากเป้ง – หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด – พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยธำรงธรรม – พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา – หลวงปู่หิน วัดระฆัง – หลวงปู่เชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ – หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง – หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง – หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว – หลวงพ่อโชติ ระลึกชาติ – หลวงพ่อนอ วัดท่าเรือ – หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิตร – หลวงพ่อเทียม วัดกษัตริยาธิราช – หลวงปู่แต้ม วัดพระลอย – หลวงพ่อเย่อ วัดอาษาสงคราม ฯลฯ เรียกได้ว่าพระเครื่องราคาองค์เป็นหมื่นเป็นแสนในปัจจุบัน ยังจัดพิธียิ่งใหญ่ไม่ได้ขนาดนี้ องค์นี้สภาพสวยสมบูรณ์ หน้าชัดหลังคม เต็มทุกตัวอักษร ใครกำลังมองหาพระดีพุทธคุณสูง ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก ไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้ชีวิตให้มีความสุข...
    Cr.Wiwan Boonya
    การใช้ชีวิตให้มีความสุข... Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ
    ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว

    ////////////////////

    วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย
    โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม
    อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย
    และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา

    ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย
    นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้

    ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น
    อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก

    อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว //////////////////// วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์ประกอบของมรรค 8:
    1. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ):
    คือความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ไม่เห็นผิดตามความคิดอันตราย เช่น ความเห็นที่ว่าไม่มีกรรม ไม่มีผลของการกระทำ.
    2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ):
    คือการดำริในสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการดำริถึงความสุขทางโลก ความสุขทางธรรม หรือการดำริถึงความไม่รุนแรงต่อผู้อื่น.
    3. สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ):
    คือการพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ.
    4. สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ):
    คือการกระทำที่ถูกที่ควร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดทางกาม.
    5. สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ):
    คือการทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง.
    6. สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ):
    คือความพยายามที่จะละความชั่ว ป้องกันมิให้ความชั่วเกิดขึ้น พยายามสร้างความดีให้เกิดและรักษาความดีให้คงอยู่.
    7. สัมมาสติ (การระลึกชอบ):
    คือการระลึกถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร คิดอะไร.
    8. สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ):
    คือการตั้งจิตให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน หรือการมีสมาธิที่ทำให้จิตสงบ.
    การนำไปใช้:
    การปฏิบัติมรรค 8 ช่วยให้ลดความทุกข์ ลดความขัดแย้งในจิตใจ และนำไปสู่การดับทุกข์ในที่สุด. การฝึกฝนความเห็นชอบ การดำริชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ การระลึกชอบ และความตั้งจิตมั่นชอบ จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและสังคมให้ดีขึ้น.
    องค์ประกอบของมรรค 8: 1. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ): คือความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ไม่เห็นผิดตามความคิดอันตราย เช่น ความเห็นที่ว่าไม่มีกรรม ไม่มีผลของการกระทำ. 2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ): คือการดำริในสิ่งที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการดำริถึงความสุขทางโลก ความสุขทางธรรม หรือการดำริถึงความไม่รุนแรงต่อผู้อื่น. 3. สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ): คือการพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ. 4. สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ): คือการกระทำที่ถูกที่ควร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดทางกาม. 5. สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ): คือการทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง. 6. สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ): คือความพยายามที่จะละความชั่ว ป้องกันมิให้ความชั่วเกิดขึ้น พยายามสร้างความดีให้เกิดและรักษาความดีให้คงอยู่. 7. สัมมาสติ (การระลึกชอบ): คือการระลึกถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง รู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร คิดอะไร. 8. สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ): คือการตั้งจิตให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน หรือการมีสมาธิที่ทำให้จิตสงบ. การนำไปใช้: การปฏิบัติมรรค 8 ช่วยให้ลดความทุกข์ ลดความขัดแย้งในจิตใจ และนำไปสู่การดับทุกข์ในที่สุด. การฝึกฝนความเห็นชอบ การดำริชอบ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความพยายามชอบ การระลึกชอบ และความตั้งจิตมั่นชอบ จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและสังคมให้ดีขึ้น.
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตื่นมาเจอข่าวอะไรไม่รู้ อ้าว เพิ่งรู้ว่า BIOTHAI อยู่ข้างแดง นึกว่าอยู่ข้างส้มแค่ฝ่ายเดียว
    อ้อลืมไป BIOTHAI แดงแจ๋นานแล้ว และผมไม่ค่อยตามเพจนี้เพราะบางทีเพจนี้มันก็นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบ Woke นั่นแหละ
    วันนี้ว่าจะไม่สนใจและไม่อยากจะนึกถึงเพจบ้านั่นแล้ว เอาเวลามาพัฒนาตัวเองและความสุขตัวเองจะดีกว่าครับ
    ตื่นมาเจอข่าวอะไรไม่รู้ อ้าว เพิ่งรู้ว่า BIOTHAI อยู่ข้างแดง นึกว่าอยู่ข้างส้มแค่ฝ่ายเดียว อ้อลืมไป BIOTHAI แดงแจ๋นานแล้ว และผมไม่ค่อยตามเพจนี้เพราะบางทีเพจนี้มันก็นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบ Woke นั่นแหละ วันนี้ว่าจะไม่สนใจและไม่อยากจะนึกถึงเพจบ้านั่นแล้ว เอาเวลามาพัฒนาตัวเองและความสุขตัวเองจะดีกว่าครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • แสงในสมาธิ...ไม่ใช่แสงของตา แต่คือแสงของใจ

    แสงที่ใจสว่าง ไม่ต้องมาจากดวงอาทิตย์
    แต่เป็นแสงที่ฉายจากความสงบเย็นของจิต
    ไม่ต้องรอเห็นด้วยตา แค่รู้สึกด้วยใจ…ก็พอแล้ว

    ---

    แสงแบบแรก: แสงอ่อนจากจิตที่ปลอดโปร่ง

    หากคุณหลับตา
    แล้วรู้สึกเหมือนใจโล่งขึ้นกว่าปกติ
    ไม่หนักหัว ไม่อึดอัด ไม่มืดหม่น
    จิตเหมือนมีพื้นที่ว่างขาวนวลให้หายใจ
    นั่นแหละ คือแสงในสมาธิแบบเริ่มต้น

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

    “จิตโดยธรรมชาติมีความประภัสสร (สว่างอยู่แล้ว)”
    แต่ถูกกิเลสบัง จึงมืดมัว
    พอจิตคลายจากฟุ้งซ่าน คลายจากกังวล
    แสงเดิมๆ ที่เคยถูกบัง ก็เผยตัวออกมา

    ---

    แสงแบบลึก: แสงโอภาสจากจิตที่ตั้งมั่น

    ถ้าฝึกไปถึงจุดที่จิต “ตั้งมั่น” จริง
    เช่นในอุปจารสมาธิ หรือฌานเบื้องต้น
    คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึง
    แสงสว่างที่กว้างขวาง เย็น วิเวก และเปี่ยมสุข

    แสงนี้ไม่ได้เกิดจากการเพ่ง
    แต่เป็นผลพลอยได้จากจิตที่รวมกำลังเข้าดวงเดียว
    คล้ายพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสะท้อนความสงบในฟ้าไร้เมฆ

    ---

    แต่จำไว้…ยิ่งสว่างมาก ยิ่งมีโอกาสติดใจมาก

    จุดเปลี่ยนสำคัญคือ

    ถ้าเห็นแสงแล้วอยากให้มันอยู่ตลอด
    ถ้าเริ่มคิดว่าความสุขจากแสงคือที่สุดแล้ว
    จิตจะวนกลับไปหาความอยากอีก

    พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า

    “แม้แสง แม้ความสุข ก็ไม่เที่ยง”
    สังเกตอย่างรู้ทันว่า
    มันมา มันอยู่ มันไป
    แล้วถอยจิตออกมาดูว่า “นี่ไม่ใช่เรา”

    ---

    สิ่งที่ควรติดใจ…ไม่ใช่แสง แต่คือปัญญาที่เห็นว่าแสงก็ไม่เที่ยง

    ถ้าคุณเริ่มมีความสุขจากแสง
    แล้วเห็นว่ามันจางไปเพราะความคิดแทรก
    แต่ก็กลับมาใหม่เมื่อจิตนิ่งอีกครั้ง
    และสังเกตไปเรื่อยๆ ว่า...

    สว่างก็ชั่วคราว
    มืดก็ชั่วคราว
    ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว
    ใจนิ่งก็ชั่วคราว

    คุณจะเริ่มสัมผัส “ทางออก” จากการยึดถือ
    นั่นแหละคือ ความรู้จริง ที่เกิดจากสมาธิที่ไม่หลงรูปแบบ

    ---

    แสงในสมาธิที่แท้…คือป้ายบอกทาง ไม่ใช่ที่หมาย

    อย่าหลงรักป้ายจนไม่ยอมเดินต่อ
    ให้แสงนำพาเราไปสู่การเห็นธรรม
    เห็นกายใจตามความเป็นจริง
    ไม่ใช่แค่เห็นแสง แล้วอยากหยุดอยู่ตรงนั้น

    เพราะสุดท้าย ไม่ใช่คนเห็นแสงจะพ้นทุกข์
    แต่คือคนที่เห็นว่า “แม้แสง ก็ไม่มีตัวตน” ต่างหาก
    จึงจะหลุดพ้นได้จริง!
    แสงในสมาธิ...ไม่ใช่แสงของตา แต่คือแสงของใจ แสงที่ใจสว่าง ไม่ต้องมาจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นแสงที่ฉายจากความสงบเย็นของจิต ไม่ต้องรอเห็นด้วยตา แค่รู้สึกด้วยใจ…ก็พอแล้ว --- แสงแบบแรก: แสงอ่อนจากจิตที่ปลอดโปร่ง หากคุณหลับตา แล้วรู้สึกเหมือนใจโล่งขึ้นกว่าปกติ ไม่หนักหัว ไม่อึดอัด ไม่มืดหม่น จิตเหมือนมีพื้นที่ว่างขาวนวลให้หายใจ นั่นแหละ คือแสงในสมาธิแบบเริ่มต้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “จิตโดยธรรมชาติมีความประภัสสร (สว่างอยู่แล้ว)” แต่ถูกกิเลสบัง จึงมืดมัว พอจิตคลายจากฟุ้งซ่าน คลายจากกังวล แสงเดิมๆ ที่เคยถูกบัง ก็เผยตัวออกมา --- แสงแบบลึก: แสงโอภาสจากจิตที่ตั้งมั่น ถ้าฝึกไปถึงจุดที่จิต “ตั้งมั่น” จริง เช่นในอุปจารสมาธิ หรือฌานเบื้องต้น คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึง แสงสว่างที่กว้างขวาง เย็น วิเวก และเปี่ยมสุข แสงนี้ไม่ได้เกิดจากการเพ่ง แต่เป็นผลพลอยได้จากจิตที่รวมกำลังเข้าดวงเดียว คล้ายพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสะท้อนความสงบในฟ้าไร้เมฆ --- แต่จำไว้…ยิ่งสว่างมาก ยิ่งมีโอกาสติดใจมาก จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ถ้าเห็นแสงแล้วอยากให้มันอยู่ตลอด ถ้าเริ่มคิดว่าความสุขจากแสงคือที่สุดแล้ว จิตจะวนกลับไปหาความอยากอีก พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า “แม้แสง แม้ความสุข ก็ไม่เที่ยง” สังเกตอย่างรู้ทันว่า มันมา มันอยู่ มันไป แล้วถอยจิตออกมาดูว่า “นี่ไม่ใช่เรา” --- สิ่งที่ควรติดใจ…ไม่ใช่แสง แต่คือปัญญาที่เห็นว่าแสงก็ไม่เที่ยง ถ้าคุณเริ่มมีความสุขจากแสง แล้วเห็นว่ามันจางไปเพราะความคิดแทรก แต่ก็กลับมาใหม่เมื่อจิตนิ่งอีกครั้ง และสังเกตไปเรื่อยๆ ว่า... สว่างก็ชั่วคราว มืดก็ชั่วคราว ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว ใจนิ่งก็ชั่วคราว คุณจะเริ่มสัมผัส “ทางออก” จากการยึดถือ นั่นแหละคือ ความรู้จริง ที่เกิดจากสมาธิที่ไม่หลงรูปแบบ --- แสงในสมาธิที่แท้…คือป้ายบอกทาง ไม่ใช่ที่หมาย อย่าหลงรักป้ายจนไม่ยอมเดินต่อ ให้แสงนำพาเราไปสู่การเห็นธรรม เห็นกายใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่แค่เห็นแสง แล้วอยากหยุดอยู่ตรงนั้น เพราะสุดท้าย ไม่ใช่คนเห็นแสงจะพ้นทุกข์ แต่คือคนที่เห็นว่า “แม้แสง ก็ไม่มีตัวตน” ต่างหาก จึงจะหลุดพ้นได้จริง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตนักแสดงสิงคโปร์ คุก 40 เดือนพรากผู้เยาว์

    เรื่องอื้อฉาวในวงการบันเทิงสิงคโปร์ เมื่อ เอียน ฟาง เหวยจี้ (Ian Fang Weijie) อดีตนักแสดงสัญชาติจีนวัย 35 ปี ถูกศาลสิงคโปร์สั่งจำคุก 40 เดือนในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังคำพิพากษาได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 764,000 บาท) แต่จะต้องมารับโทษจำคุกในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้

    สำหรับเหยื่อเป็นเยาวชนเพศหญิงวัย 15 ปี ขณะที่เขาเป็นครูสอนการแสดง พบกันครั้งแรกในงานวงการบันเทิงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 ก่อนที่จะคุยกันทุกวันจนสนิทสนม ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย. 2567 แม่ของเยาวชนรายนี้พาเธอมากักตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากติดโควิด-19 กระทั่งเวลา 21.00 น. ฟางไปเยี่ยมเธอและมีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรกโดยไม่ป้องกัน แม้ฝ่ายหญิงจะร้องขอ

    ไม่ถึงสัปดาห์ต่อมา ฟางยังพาเธอออกจากโรงแรมที่กักตัวไปที่บ้านของฟาง และมีเซ็กซ์อีกครั้ง แม้ต่อมาเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 เพราะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่ฟางยังตามไปเยี่ยมและมีเซ็กซ์ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัวอีกด้วย กระทั่งเธอพบว่าอวัยวะเพศมีอาการเจ็บ จึงไปพบแพทย์ ก่อนจะทราบว่าติดเชื้อฮิวแมนพัพพิลโลมาไวรัส (HPV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    เมื่อแม่ของเยาวชนรายนี้ทราบเรื่องจึงแจ้งความกับตำรวจเมื่อเดือน ส.ค.2567 โดยพบว่าฟางและเธอมีเซ็กซ์มาแล้ว 5 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 2 ครั้งตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ จากนั้นฟางพยายามติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โน้มน้าวให้แม่ถอนแจ้งความ บอกว่าถ้าติดคุกจะฆ่าตัวตาย ขณะที่เหยื่อต้องรักษาอาการทางจิต เพราะสูญเสียความมั่นใจและไม่มีความสุขอีกต่อไป

    นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของฟางยังร้องต่อศาลสั่งห้ามเปิดเผยตัวตนของฟาง แต่ภายหลังอัยการร้องต่อศาลขอให้เปิดเผยตัวตน ในที่สุดศาลจึงพิพากษาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งข้อหาคุกคามจากการส่งข้อความไปหาเหยื่อ และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

    สำหรับเอียน ฟาง เหวยจี้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2532 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก่อนย้ายมาที่สิงคโปร์ เป็นอดีตนักแสดงค่ายมีเดียคอร์ป (Mediacorp) สื่อของสิงคโปร์ เข้าสู่วงการเมื่อปี 2554 มีผลงานทั้งภาพยนตร์ ละคร พิธีกรรายการวาไรตี้ และผลงานเพลง ได้แก่ ละครเรื่อง Don't Stop Believin' และภาพยนตร์เรื่อง Goodbye Mr. Loser แต่ไม่ต่อสัญญาและออกจากวงการเมื่อปี 2566 โดยผันตัวไปทำงานเป็นครูสอนการแสดงให้กับเยาวชนอายุระหว่าง 4 ถึง 14 ปี ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง

    #Newskit
    อดีตนักแสดงสิงคโปร์ คุก 40 เดือนพรากผู้เยาว์ เรื่องอื้อฉาวในวงการบันเทิงสิงคโปร์ เมื่อ เอียน ฟาง เหวยจี้ (Ian Fang Weijie) อดีตนักแสดงสัญชาติจีนวัย 35 ปี ถูกศาลสิงคโปร์สั่งจำคุก 40 เดือนในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังคำพิพากษาได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 764,000 บาท) แต่จะต้องมารับโทษจำคุกในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ สำหรับเหยื่อเป็นเยาวชนเพศหญิงวัย 15 ปี ขณะที่เขาเป็นครูสอนการแสดง พบกันครั้งแรกในงานวงการบันเทิงเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 ก่อนที่จะคุยกันทุกวันจนสนิทสนม ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย. 2567 แม่ของเยาวชนรายนี้พาเธอมากักตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากติดโควิด-19 กระทั่งเวลา 21.00 น. ฟางไปเยี่ยมเธอและมีเพศสัมพันธ์กันครั้งแรกโดยไม่ป้องกัน แม้ฝ่ายหญิงจะร้องขอ ไม่ถึงสัปดาห์ต่อมา ฟางยังพาเธอออกจากโรงแรมที่กักตัวไปที่บ้านของฟาง และมีเซ็กซ์อีกครั้ง แม้ต่อมาเธอจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 เพราะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่ฟางยังตามไปเยี่ยมและมีเซ็กซ์ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัวอีกด้วย กระทั่งเธอพบว่าอวัยวะเพศมีอาการเจ็บ จึงไปพบแพทย์ ก่อนจะทราบว่าติดเชื้อฮิวแมนพัพพิลโลมาไวรัส (HPV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อแม่ของเยาวชนรายนี้ทราบเรื่องจึงแจ้งความกับตำรวจเมื่อเดือน ส.ค.2567 โดยพบว่าฟางและเธอมีเซ็กซ์มาแล้ว 5 ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน ใช้ถุงยางอนามัยเพียง 2 ครั้งตามที่ฝ่ายหญิงร้องขอ จากนั้นฟางพยายามติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โน้มน้าวให้แม่ถอนแจ้งความ บอกว่าถ้าติดคุกจะฆ่าตัวตาย ขณะที่เหยื่อต้องรักษาอาการทางจิต เพราะสูญเสียความมั่นใจและไม่มีความสุขอีกต่อไป นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของฟางยังร้องต่อศาลสั่งห้ามเปิดเผยตัวตนของฟาง แต่ภายหลังอัยการร้องต่อศาลขอให้เปิดเผยตัวตน ในที่สุดศาลจึงพิพากษาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งข้อหาคุกคามจากการส่งข้อความไปหาเหยื่อ และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม สำหรับเอียน ฟาง เหวยจี้ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2532 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ก่อนย้ายมาที่สิงคโปร์ เป็นอดีตนักแสดงค่ายมีเดียคอร์ป (Mediacorp) สื่อของสิงคโปร์ เข้าสู่วงการเมื่อปี 2554 มีผลงานทั้งภาพยนตร์ ละคร พิธีกรรายการวาไรตี้ และผลงานเพลง ได้แก่ ละครเรื่อง Don't Stop Believin' และภาพยนตร์เรื่อง Goodbye Mr. Loser แต่ไม่ต่อสัญญาและออกจากวงการเมื่อปี 2566 โดยผันตัวไปทำงานเป็นครูสอนการแสดงให้กับเยาวชนอายุระหว่าง 4 ถึง 14 ปี ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • รูปหล่อพระนาคปรก ไม่ทราบที่
    รูปหล่อพระนาคปรก เนื้อกะไหล่เงิน ไม่ทราบที่ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเชื่อว่าช่วยคุ้มครองจากอุบัติเหตุและภัยร้ายต่างๆ แคล้วคลาดปลอดภัย ช่วยให้รอดพ้นจากเหตุร้ายและการคุกคาม เสริมดวงชะตา ช่วยให้ชีวิตราบรื่น โชคดี และมีความสุข เมตตามหานิยม: เสริมเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของผู้คน >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อพระนาคปรก ไม่ทราบที่ รูปหล่อพระนาคปรก เนื้อกะไหล่เงิน ไม่ทราบที่ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเชื่อว่าช่วยคุ้มครองจากอุบัติเหตุและภัยร้ายต่างๆ แคล้วคลาดปลอดภัย ช่วยให้รอดพ้นจากเหตุร้ายและการคุกคาม เสริมดวงชะตา ช่วยให้ชีวิตราบรื่น โชคดี และมีความสุข เมตตามหานิยม: เสริมเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของผู้คน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • โคราชตื่นตัว! จัดกิจกรรม “THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS FIRST” รวมพลคนชอบออกกำลังกายตอบรับกระแส Wellness ชวนคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท

    ​เดอะมอลล์โคราช ร่วมมือกับพันธมิตรด้านสุขภาพ ฟิตเนสเฟิร์ส ,ดีแคทลอน และ โรงภาพยนตร์โคราชซีนีเพล็กซ์ จัดกิจกรรม “THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS FIRST” รวมพลคนชอบออกกำลังกายตอบรับกระแส Wellness ชวนคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท ระหว่างวันที่ 17-18 พ.ค.2568 ที่ วาไรตี้ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช จากกระแสของการรักสุขภาพ ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพรอบด้าน โดยเฉพาะการมีสุขภาพเชิงเวลเนส (wellness) คือ การหากิจกรรมทางเลือกและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyles) ที่ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ โดยมุ่งเน้นที่การป้องกันก่อนการเกิดโรค และปรับการใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไป เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพองค์รวมและความเป็นอยู่ที่ดี เพราะ wellness ไม่ใช่แค่เรื่องการมีสุขภาพที่ดี แต่ยังมีอีกหลายมิติทั้งในด้านของกายภาพ จิตใจ การเข้าสังคม รวมถึงพัฒนาการด้านสติปัญญา

    ​เดอะมอลล์โคราชและพันธมิตรจึงเล็งเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบ wellness ที่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันมากกว่าการรักษาสุขภาวะทางอารมณ์ สุขภาวะทางกาย สุขภาวะทางสังคมสุขภาวะทางสติปัญญา จึงจัดกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อรวมพลคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง และสิ่งสำคัญผู้เข้าร่วมจะได้ความสุขจากการชนะใจตัวเอง ได้ทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จะรู้สึกเติมเต็มจากได้เจอเพื่อนสายสุขภาพถือเป็นคอมมูนิตี้ ที่ให้ผู้คนเหล่านี้ได้มาทำกิจกรรม ออกกำลังกาย และชาเลนจ์ร่วมกันถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข และสุขภาพดีที่ได้พาตัวเองออกจากความเครียดจากการทำงานหรือการใช้ชีวิต ตามแนวคิดการมีสุขภาพเชิงเวลเนส (wellness) และจากข้อมูลสถิติในประเทศไทยพบว่า 77% ของการเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด นอนหลับไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นการกิน ออกกำลังกาย และรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จึงกล่าวได้ว่าการดูแลสุขภาพในเชิง wellness สามารถช่วยป้องกันโรคได้ และในบางกรณี สามารถหยุดอาการเรื้อรังของโรคไม่ติดต่อบางชนิดได้ด้วยเช่นกัน

    กิจกรรมนี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปที่รักสุขภาพ ร่วมเข้าชาเลนจ์ ฟรี! ซึ่งมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 2 วัน กว่า 600 คน โดยกิจกรรมต่างๆ จะมีโค้ชจากฟิตเนสเฟิร์สเป็นไกด์ทางสุขภาพ กับกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้

    17 พ.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 11.30-16.45 น. มีชาเลนจ์ Aerobic Easy Move, Plank Challenge, Body Combat,Boarding Jump Challenge, Yoga Balance

    18 พ.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 11.30-16.45 น. มีชาเลนจ์ Zumba Party, Push Up Challenge,HIIT X Hyrofit, Agility Challenge, BodyJam

    ผู้เข้าร่วม Challenge ใน Group Class ที่ผ่านกติการับ Cash Coupon มูลค่า 500.- จำนวน 4 รางวัล/รอบกิจกรรมๆ วันละ 5 รอบ (เงื่อนไข Cash Coupon แทนเงินสด ใช้เฉพาะสาขาเดอะมอลล์โคราช เท่านั้น สามารถใช้แทนเงินสดมูลค่า 500 บาท เมื่อ Shop ในศูนย์ฯ ขั้นต่ำ 1,000 บาท / ใบเสร็จ ใช้ได้กับร้านค้าหรือร้านอาหารของศูนย์ฯ ที่ร่วมรับคูปอง ยกเว้น Gourmet, Food Hall หมดอายุวันที่ 30 พ.ค. 2568)

    สำหรับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS จะได้รับสิทธิพิเศษตามเงื่อนไข อาทิ
    สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า MCARD 1. เมื่อซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า รวมใบเสร็จ 800 บาท ขึ้นไป รับ CASH COUPON มูลค่า 100.- (1 คน/สิทธิ์) จำนวน 100 ใบ/ตลอดการจัดงาน 2. ผู้เข้าร่วม Challenge ใน Group Class ผ่านกติกาที่ตั้งไว้ รับ Cash Coupon มูลค่า 500.- จำนวน 4 รางวัล/รอบกิจกรรมๆ วันละ 5 รอบ
    DECATHLON ทดสอบความแม่นยำกับการยิงธนู เล่นได้ฟรี และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับ DECATHLON ในงานนี้ จะรับคูปองส่วนลด 300 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,200 บาท,
    โรงภาพยนตร์โคราชซีนีเพล็กซ์ มอบส่วนลดชมภาพยนตร์ มูลค่า 140 บาท (จำนวนจำกัด) เพียงดาวน์โหลด Application Major
    ทั้งนี้ ยังมีรางวัล Lucky Draw Membership 1 เดือน จำนวน 2 รางวัล/วัน มอบให้กับผู้โชคดีที่ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมฯ (สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยเป็นสมาชิกของ FITNESS FIRST มาก่อน) อีกด้วย
    โคราชตื่นตัว! จัดกิจกรรม “THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS FIRST” รวมพลคนชอบออกกำลังกายตอบรับกระแส Wellness ชวนคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท ​เดอะมอลล์โคราช ร่วมมือกับพันธมิตรด้านสุขภาพ ฟิตเนสเฟิร์ส ,ดีแคทลอน และ โรงภาพยนตร์โคราชซีนีเพล็กซ์ จัดกิจกรรม “THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS FIRST” รวมพลคนชอบออกกำลังกายตอบรับกระแส Wellness ชวนคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 20,000 บาท ระหว่างวันที่ 17-18 พ.ค.2568 ที่ วาไรตี้ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช จากกระแสของการรักสุขภาพ ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพรอบด้าน โดยเฉพาะการมีสุขภาพเชิงเวลเนส (wellness) คือ การหากิจกรรมทางเลือกและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyles) ที่ส่งเสริมสุขภาพองค์รวม ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ โดยมุ่งเน้นที่การป้องกันก่อนการเกิดโรค และปรับการใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ในการดูแลสุขภาพควบคู่กันไป เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพองค์รวมและความเป็นอยู่ที่ดี เพราะ wellness ไม่ใช่แค่เรื่องการมีสุขภาพที่ดี แต่ยังมีอีกหลายมิติทั้งในด้านของกายภาพ จิตใจ การเข้าสังคม รวมถึงพัฒนาการด้านสติปัญญา ​เดอะมอลล์โคราชและพันธมิตรจึงเล็งเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบ wellness ที่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันมากกว่าการรักษาสุขภาวะทางอารมณ์ สุขภาวะทางกาย สุขภาวะทางสังคมสุขภาวะทางสติปัญญา จึงจัดกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อรวมพลคนรักสุขภาพมาชาแลนจ์ความสตรอง และสิ่งสำคัญผู้เข้าร่วมจะได้ความสุขจากการชนะใจตัวเอง ได้ทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จะรู้สึกเติมเต็มจากได้เจอเพื่อนสายสุขภาพถือเป็นคอมมูนิตี้ ที่ให้ผู้คนเหล่านี้ได้มาทำกิจกรรม ออกกำลังกาย และชาเลนจ์ร่วมกันถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข และสุขภาพดีที่ได้พาตัวเองออกจากความเครียดจากการทำงานหรือการใช้ชีวิต ตามแนวคิดการมีสุขภาพเชิงเวลเนส (wellness) และจากข้อมูลสถิติในประเทศไทยพบว่า 77% ของการเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด นอนหลับไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นการกิน ออกกำลังกาย และรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จึงกล่าวได้ว่าการดูแลสุขภาพในเชิง wellness สามารถช่วยป้องกันโรคได้ และในบางกรณี สามารถหยุดอาการเรื้อรังของโรคไม่ติดต่อบางชนิดได้ด้วยเช่นกัน กิจกรรมนี้เปิดให้ประชาชนทั่วไปที่รักสุขภาพ ร่วมเข้าชาเลนจ์ ฟรี! ซึ่งมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 2 วัน กว่า 600 คน โดยกิจกรรมต่างๆ จะมีโค้ชจากฟิตเนสเฟิร์สเป็นไกด์ทางสุขภาพ กับกิจกรรมแบ่งเป็น 2 วัน ดังนี้ 17 พ.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 11.30-16.45 น. มีชาเลนจ์ Aerobic Easy Move, Plank Challenge, Body Combat,Boarding Jump Challenge, Yoga Balance 18 พ.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 11.30-16.45 น. มีชาเลนจ์ Zumba Party, Push Up Challenge,HIIT X Hyrofit, Agility Challenge, BodyJam ผู้เข้าร่วม Challenge ใน Group Class ที่ผ่านกติการับ Cash Coupon มูลค่า 500.- จำนวน 4 รางวัล/รอบกิจกรรมๆ วันละ 5 รอบ (เงื่อนไข Cash Coupon แทนเงินสด ใช้เฉพาะสาขาเดอะมอลล์โคราช เท่านั้น สามารถใช้แทนเงินสดมูลค่า 500 บาท เมื่อ Shop ในศูนย์ฯ ขั้นต่ำ 1,000 บาท / ใบเสร็จ ใช้ได้กับร้านค้าหรือร้านอาหารของศูนย์ฯ ที่ร่วมรับคูปอง ยกเว้น Gourmet, Food Hall หมดอายุวันที่ 30 พ.ค. 2568) สำหรับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม THE MALL KORAT FIT FUN FEST PRESENTED BY FITNESS จะได้รับสิทธิพิเศษตามเงื่อนไข อาทิ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า MCARD 1. เมื่อซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า รวมใบเสร็จ 800 บาท ขึ้นไป รับ CASH COUPON มูลค่า 100.- (1 คน/สิทธิ์) จำนวน 100 ใบ/ตลอดการจัดงาน 2. ผู้เข้าร่วม Challenge ใน Group Class ผ่านกติกาที่ตั้งไว้ รับ Cash Coupon มูลค่า 500.- จำนวน 4 รางวัล/รอบกิจกรรมๆ วันละ 5 รอบ DECATHLON ทดสอบความแม่นยำกับการยิงธนู เล่นได้ฟรี และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสมัครสมาชิกกับ DECATHLON ในงานนี้ จะรับคูปองส่วนลด 300 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,200 บาท, โรงภาพยนตร์โคราชซีนีเพล็กซ์ มอบส่วนลดชมภาพยนตร์ มูลค่า 140 บาท (จำนวนจำกัด) เพียงดาวน์โหลด Application Major ทั้งนี้ ยังมีรางวัล Lucky Draw Membership 1 เดือน จำนวน 2 รางวัล/วัน มอบให้กับผู้โชคดีที่ลงทะเบียนร่วมกิจกรรมฯ (สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยเป็นสมาชิกของ FITNESS FIRST มาก่อน) อีกด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 995
    ชื่อบทธรรม : -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    --อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่;
    การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น
    แล้วจักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ;
    เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่
    เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น.

    --อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า
    นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้
    เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย
    เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง
    ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน
    อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
    ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ;
    เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น
    โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
    เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ
    เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน.
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น
    (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น)
    แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพานธาตุ)
    ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น
    ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะอนาคามี
    ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ
    และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง.
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.

    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน
    เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
    ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ(เปยยาล)​....
    (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างต้นนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น
    แม้ข้อความที่ละเปยยาล ไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน
    ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า )
    ....
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ
    และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
    ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้
    $เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ ....
    ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน )
    ....
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
    เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึงจตุตถฌาน
    ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
    .... ฯลฯ....
    ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน )
    ....
    อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง
    เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา
    จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ
    อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) *--๑ ;
    เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
    โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ
    เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน
    เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่)
    เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น )
    แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน)
    ด้วยการกำหนดว่า
    “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต
    : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
    เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน”
    ดังนี้.
    เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น
    ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ;
    ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะอนาคามี
    ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ
    และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง.
    -- อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว
    จึง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่.
    . . . . ฯลฯ . . . .
    (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้
    มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น
    แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า)
    . . . .
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.

    --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ
    โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง $เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า
    “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
    . . . . ฯลฯ . . . .
    (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ)
    . . . .
    --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.-

    (สรุปความว่า มรรคหรือปฏิปทานี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้
    เพราะการเห็น อนิจจตา กระทั่งถึง อนัตตา รวมเป็น ๑๑ ลักษณะ
    ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งรูปฌานทั้งสี่ แต่ละฌาณๆ;
    และเห็นธรรม ๑๑ อย่างนั้นอย่างเดียวกัน
    ใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งอรูปฌานสามข้างต้น แต่ละฌาณๆ
    เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ;
    นับว่าเป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมที่สุด.
    ผู้ศึกษาพึงใคร่ครวญให้เป็นอย่างดีตรงที่ว่า มีขันธ์ห้า หรือ ขันธ์สี่
    อยู่ที่จิตในขณะที่มีฌาน ดังนี้
    ).

    *--๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า;
    ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป.

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/125-129/156-158.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/125/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๕๗-๑๖๑/๑๕๖-๑๕๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/157/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=995
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85
    ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 995 ชื่อบทธรรม : -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995 เนื้อความทั้งหมด :- --ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค --อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่; การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น แล้วจักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ; เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น. --อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? --อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ; เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพานธาตุ) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็นโอปปาติกะอนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง. --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ(เปยยาล)​.... (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างต้นนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น แม้ข้อความที่ละเปยยาล ไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า ) .... --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้ $เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ.... ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) *--๑ ; เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะอนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่ง ธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง. -- อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้ มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า) . . . . --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. --อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึง $เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ) . . . . --อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.- (สรุปความว่า มรรคหรือปฏิปทานี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ เพราะการเห็น อนิจจตา กระทั่งถึง อนัตตา รวมเป็น ๑๑ ลักษณะ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งรูปฌานทั้งสี่ แต่ละฌาณๆ; และเห็นธรรม ๑๑ อย่างนั้นอย่างเดียวกัน ใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปรากฏอยู่ในขณะแห่งอรูปฌานสามข้างต้น แต่ละฌาณๆ เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ; นับว่าเป็นธรรมที่ละเอียดสุขุมที่สุด. ผู้ศึกษาพึงใคร่ครวญให้เป็นอย่างดีตรงที่ว่า มีขันธ์ห้า หรือ ขันธ์สี่ อยู่ที่จิตในขณะที่มีฌาน ดังนี้ ). *--๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า; ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/125-129/156-158. http://etipitaka.com/read/thai/13/125/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๕๗-๑๖๑/๑๕๖-๑๕๘. http://etipitaka.com/read/pali/13/157/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=995 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=995 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85 ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค
    -ปฏิปทาเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือมรรค อานนท์ ! มรรคใด ปฏิปทาใด เป็นไปเพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้า มีอยู่; การที่บุคคลจะไม่อาศัย ซึ่งมรรคนั้น ซึ่งปฏิปทานั้น แล้ว จักรู้จักเห็นหรือว่าจักละ ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น : นั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ; เช่นเดียวกับการที่บุคคลไม่ถากเปือก ไม่ถากกระพี้ ของต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ เสียก่อน แล้วจักไปถากเอาแก่นนั้น : นั่นไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, ฉันใดก็ฉันนั้น. ...... อานนท์ ! มรรค และ ปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิย สังโยชน์ห้า นั้นเป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากอุปธิ เพราะละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะความระงับเฉพาะแห่งความหยาบกระด้างทางกายโดยประการทั้งปวง ก็สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่. ในปฐมฌานนั้น มีธรรมคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ที่กำลังทำหน้าที่อยู่) ; เธอนั้น ตามเห็นธรรมซึ่งธรรมเหล่านั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน. เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์ทั้งห้า) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เขาดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีปฐมฌานเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะ อนาคามี ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียน กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่งธัมมราคะ ธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้น ๆ นั่นเอง. อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความเข้าไปสงบระงับเสียได้ซึ่งวิตกและวิจาร จึง เข้าถึงทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... (ข้อความตรงที่ละเปยยาลไว้นี้ มีเนื้อความเต็มเหมือนในตอนที่กล่าวถึงปฐมฌานข้างบนนั้น ทุกตัวอักษร แปลกแต่คำว่าปฐมฌานเป็นทุติยฌานเท่านั้น แม้ข้อความที่ละเปยยาลไว้ในตอนตติยฌานและจตุตถฌาน ก็พึงทราบโดยนัยนี้ ผู้ศึกษาพึงเติมให้เต็มเอาเอง ; จนกระทั่งถึงข้อความว่า ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกายชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ .... ( มีเนื้อ ความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุข เสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะ ความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อนเข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่. .... ฯลฯ.... ( มีเนื้อความเต็มดุจในตอนปฐมฌาน ) .... อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เสียได้โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะการไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญา จึง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ แล้วแลอยู่. ในอากาสานัญจายตนะนั้น มีธรรม คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ( ที่กำลังทำหน้าที่อยู่ ) ๑ ; เธอนั้น ตามเห็นซึ่งธรรมเหล่านั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความยากลำบาก เป็นอาพาธ เป็นดังผู้อื่น (ให้ยืมมา) เป็นของแตกสลาย เป็นของว่าง เป็นของไม่ใช่ตน เธอดำรงจิตด้วยธรรม (คือขันธ์เพียงสี่) เหล่านั้น (อันประกอบด้วยลักษณะ ๑๑ ประการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ) แล้วจึง น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (คือนิพพาน) ด้วยการกำหนดว่า “นั่นสงบระงับ นั่นประณีต : นั่นคือธรรมชาติเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับ เป็นนิพพาน” ดังนี้. เธอดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณมีอากาสานัญจายตนะเป็นบาทนั้น ย่อม ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ; ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็เป็น โอปปาติกะ อนาคามี ๑. ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ในพวกรูปฌานมีขันธ์ครบห้า; ส่วนในอรูปฌานมีขันธ์เพียงสี่ คือขาดรูปขันธ์ไป. ผู้ปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ มีในเบื้องต่ำห้าประการ และเพราะอำนาจแห่งธัมมราคะธัมมนันทิ (อันเกิดจากการกำหนดจิตในอมตธาตุ) นั้นๆนั่นเอง. อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงเข้าถึง วิญญาณัญจายตนะ อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด” แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (ข้อความตรงละเปยยาลไว้นี้ มีข้อความที่ตรัสไว้เหมือนในตอนที่ตรัสถึงเรื่องอากาสานัญจายตนะข้างบนนี้ ทุกตัวอักษร แปลกแต่เปลี่ยนจากอากาสานัญจายตนะ มาเป็นวิญญาณัญจายตนะเท่านั้น แม้ในตอนอากิญจัญญายตนะที่ละไว้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้, จนกระทั่งถึงข้อความว่า) . . . . อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น. อานนท์ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะผ่านพ้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงเสียแล้ว จึงเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ อันมีการทำในใจว่า “อะไรๆไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่. . . . . ฯลฯ . . . . (มีเนื้อความเต็มดุจในตอนอากาสานัญจายตนะ) . . . . อานนท์ ! แม้นี้แล ก็เป็นมรรค เป็นปฏิปทา เพื่อละเสียซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้านั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเมืองโลกยิ่งแล้วใหญ่ขั้วอำนาจเดิมกับขั้วอำนาจใหม่ต่างฝ่ายต่างสู้กันด้วยวาทะส่งผลกระทบถึงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นประชาชนหาเช้ากินค่ำแทบไม่พอในแต่ละวันกดให้จนแล้วจนอีกค่าพลังงานที่แพงเกินจริงทั้งที่ขุดที่ไทยแต่อิงราคาสิงคโปรเพื่อ?🤑"การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสามารถผลิตขายให้"ปชช..ได้ในราคาต่ำก่วา2บาท.แต่รัฐไม่เอาต้องซื้อจากเอกชนในราคาแพงมากๆไม่สงสารประชาชนเลยไฟฟ้าเรามีเกินความต้องการภายในอยู่แล้วใยต้องทำสัญญาซื้อกับเอกชนอีกเล่าคนไทยไม่ได้ต้องการของแจกเราต้องการเติบโตได้ด้วยตนเองแบบพอเพียงไม่ต้องมาให้ปลาเราแค่สอนวิธีการจับปลาก็พอ#พ่อหลวง ร.๙สอนเราให้อยู่แบบพอเพียงก็มีความสุขได้ หยุดรังแก ปชช.สักทีเถอะสงสารเมตตาจริงใจกันบ้าง คำพูดมันไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอก ต่อไปจะให้ปชช.ใช้เงินดิจิตอลไม่ใช้เงินธนบัตรแล้วถ้าอยู่ในป่าในเขาหรือแม้ในเมืองไม่มีเน็ตไม่มีโทรฯจะใช้ยังไงคะ "ขนาดบอกสถานที่ราชการไม่ต้องถ่ายเอกสารใช้แค่บัตรปชช.ใบเดียวทุกวันนี้ยังทำไม่ได้เลยเอกชนก็ทำไม่ได้ไปหาหมอยื่นสิทธิถ่ายเอกสารเยอะมาก"สงครามโลกจะเกิดก็ไม่กลัวหรอกเพราะไม่มีฝ่ายไหนรอดทั้งนั้น
    การเมืองโลกยิ่งแล้วใหญ่ขั้วอำนาจเดิมกับขั้วอำนาจใหม่ต่างฝ่ายต่างสู้กันด้วยวาทะส่งผลกระทบถึงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นประชาชนหาเช้ากินค่ำแทบไม่พอในแต่ละวันกดให้จนแล้วจนอีกค่าพลังงานที่แพงเกินจริงทั้งที่ขุดที่ไทยแต่อิงราคาสิงคโปรเพื่อ?🤑"การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสามารถผลิตขายให้"ปชช..ได้ในราคาต่ำก่วา2บาท.แต่รัฐไม่เอาต้องซื้อจากเอกชนในราคาแพงมากๆไม่สงสารประชาชนเลยไฟฟ้าเรามีเกินความต้องการภายในอยู่แล้วใยต้องทำสัญญาซื้อกับเอกชนอีกเล่าคนไทยไม่ได้ต้องการของแจกเราต้องการเติบโตได้ด้วยตนเองแบบพอเพียงไม่ต้องมาให้ปลาเราแค่สอนวิธีการจับปลาก็พอ#พ่อหลวง ร.๙สอนเราให้อยู่แบบพอเพียงก็มีความสุขได้ หยุดรังแก ปชช.สักทีเถอะสงสารเมตตาจริงใจกันบ้าง คำพูดมันไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอก ต่อไปจะให้ปชช.ใช้เงินดิจิตอลไม่ใช้เงินธนบัตรแล้วถ้าอยู่ในป่าในเขาหรือแม้ในเมืองไม่มีเน็ตไม่มีโทรฯจะใช้ยังไงคะ "ขนาดบอกสถานที่ราชการไม่ต้องถ่ายเอกสารใช้แค่บัตรปชช.ใบเดียวทุกวันนี้ยังทำไม่ได้เลยเอกชนก็ทำไม่ได้ไปหาหมอยื่นสิทธิถ่ายเอกสารเยอะมาก"สงครามโลกจะเกิดก็ไม่กลัวหรอกเพราะไม่มีฝ่ายไหนรอดทั้งนั้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจอบ่อยๆแต่ช่างมันเถอะถือว่าได้บุญเพราะเป็นความสุขของเขา☺
    เจอบ่อยๆแต่ช่างมันเถอะถือว่าได้บุญเพราะเป็นความสุขของเขา☺
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เช้าๆแดดแรง บ่ายๆฝนตก ธรรมชาติสวยงามเสมอ🌳🪴
    #ความสุขอยู่รอบตัวเรา
    เช้าๆแดดแรง บ่ายๆฝนตก ธรรมชาติสวยงามเสมอ🌳🪴 #ความสุขอยู่รอบตัวเรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ”

    มีคนมากมายเคยสวดมนต์
    แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก
    “สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ”

    ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ
    บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด
    บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า

    > “ทำไมมันน่าเบื่อ?”
    “ทำไมจิตไม่สงบ?”
    “ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?”

    ---

    คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ

    ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ”
    ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ
    แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป

    แท้จริงแล้ว

    > การสวดมนต์ที่ดีที่สุด
    ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง
    แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก

    ---

    เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ

    ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร
    แค่คิดว่า

    > “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน
    ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์”

    แค่นั้นเอง…จิตจะเบา
    จิตจะเป็นอิสระ
    และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า

    > “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล”

    ---

    ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน

    การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
    โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง
    จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
    ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที
    ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย
    จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน
    จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก

    ---

    ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง

    ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้
    รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง
    รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย
    รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น
    สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว

    ---

    บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้

    > สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง
    แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย

    เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง
    จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน

    ---
    “สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ” มีคนมากมายเคยสวดมนต์ แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก “สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ” ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า > “ทำไมมันน่าเบื่อ?” “ทำไมจิตไม่สงบ?” “ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?” --- คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ” ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป แท้จริงแล้ว > การสวดมนต์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก --- เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร แค่คิดว่า > “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์” แค่นั้นเอง…จิตจะเบา จิตจะเป็นอิสระ และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า > “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล” --- ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก --- ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้ รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว --- บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้ > สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
    .
    วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี
    .
    นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพมูลค่ากว่า 3 แสนบาท แก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร . วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร รวม 2 แห่ง 20 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 393,570 บาท (สามแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยมี นางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว (ผู้แทนอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) พร้อมด้วย นางสาวศุภวรรณ ขูดแก้ว ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ นางสาวพรมณี พุ่มอิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง นางอภิรดี สุสุทธิ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ กรุงเทพมหานคร ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี . นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการ “ส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว” มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก โดยมูลนิธิฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินการโครงการดังกล่าวนี้ จะมีส่วนสนับสนุน ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทำบุญคนเดียว…ก็อาจพาตนพ้นทุกข์ได้”

    บุญไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำแล้วได้แต้มดีในโลกหน้า
    แต่เป็นสิ่งที่มีพลังบันดาล
    – ให้จิตใจสว่าง
    – ให้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง
    – ให้เกิดแรงบันดาลใจในการมีชีวิตแบบที่ไม่เปล่าประโยชน์

    ---

    ทำบุญด้วยใจอย่างไร…ใจก็จะเป็นแบบนั้น

    ลองสังเกตตัวเองดู
    หากคุณเคยทำบุญด้วยใจรำคาญ
    หรือแค่พาตัวไปแต่ปล่อยใจไว้อีกที่
    คุณจะรู้ทันทีเลยว่า “บุญนั้นไม่เบิกบาน”

    แต่หากคุณเคยตื่นเช้าในวันเงียบๆ
    เดินเข้าวัดคนเดียวอย่างสงบ
    ไม่ต้องรอ ไม่ต้องขัดแย้งความคิดใคร
    คุณจะรู้ว่าความสุขที่เรียบง่ายและลึกซึ้งนั้น…มีอยู่จริง

    ---

    ทำบุญคนเดียว ไม่ได้แปลว่าโดดเดี่ยวเสมอไป

    บางคนเข้าใจผิดว่า “ไปวัดคนเดียว” คือเหงา
    “ตักบาตรเงียบๆ” คือไม่มีเพื่อน
    แต่หากคุณสังเกตใจให้ดี
    คุณอาจพบว่า “จิตที่ไม่ต้องแบ่งปันความวุ่นวาย”
    คือจิตที่ได้สัมผัสบุญอย่างเต็มเปี่ยมที่สุด

    คุณไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณไม่มีใคร
    ถ้าจิตคุณกำลังพัฒนาให้ “เป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้”
    วันหนึ่ง บุญที่ทำจะกลายเป็นกำลังให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
    ไม่ต้องอิง ไม่ต้องพึ่ง
    แต่ยังมีใจพร้อมเผื่อแผ่

    ---

    หากคุณทำบุญด้วยใจที่ถวิลหาคู่ในฝัน

    แม้จะเบิกบานอยู่คนเดียว
    แต่ลึกๆกลับแอบอธิษฐานว่า

    > “ขอให้ได้เจอใครสักคนสักที”
    ถ้าเผลอแบบนี้บ่อยๆ
    คุณอาจติดนิสัยสร้างวิมานในจินตนาการ
    พร้อมจะมีคนร่วมสุข
    แต่ยังไม่พร้อมจะมีคนร่วมทุกข์ด้วยจริงๆ

    นั่นคือกับดักของจิตที่ฝันมากกว่าตั้งมั่น

    ---

    บทสรุปของการทำบุญคนเดียว

    > ไม่มีใครกำหนดได้ว่า
    “คุณต้องทำบุญกับใคร ถึงจะเรียกว่าดี”
    เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่…
    “ในขณะนั้น ใจคุณเป็นอย่างไร”

    ทำบุญแบบไหน
    ใจคุณก็จะคุ้นชินแบบนั้น
    และนิสัยแบบนั้น…
    จะพาคุณไปเจอชีวิตแบบเดียวกัน
    โดยไม่ต้องอธิษฐานเลยด้วยซ้ำ!
    “ทำบุญคนเดียว…ก็อาจพาตนพ้นทุกข์ได้” บุญไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำแล้วได้แต้มดีในโลกหน้า แต่เป็นสิ่งที่มีพลังบันดาล – ให้จิตใจสว่าง – ให้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง – ให้เกิดแรงบันดาลใจในการมีชีวิตแบบที่ไม่เปล่าประโยชน์ --- ทำบุญด้วยใจอย่างไร…ใจก็จะเป็นแบบนั้น ลองสังเกตตัวเองดู หากคุณเคยทำบุญด้วยใจรำคาญ หรือแค่พาตัวไปแต่ปล่อยใจไว้อีกที่ คุณจะรู้ทันทีเลยว่า “บุญนั้นไม่เบิกบาน” แต่หากคุณเคยตื่นเช้าในวันเงียบๆ เดินเข้าวัดคนเดียวอย่างสงบ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องขัดแย้งความคิดใคร คุณจะรู้ว่าความสุขที่เรียบง่ายและลึกซึ้งนั้น…มีอยู่จริง --- ทำบุญคนเดียว ไม่ได้แปลว่าโดดเดี่ยวเสมอไป บางคนเข้าใจผิดว่า “ไปวัดคนเดียว” คือเหงา “ตักบาตรเงียบๆ” คือไม่มีเพื่อน แต่หากคุณสังเกตใจให้ดี คุณอาจพบว่า “จิตที่ไม่ต้องแบ่งปันความวุ่นวาย” คือจิตที่ได้สัมผัสบุญอย่างเต็มเปี่ยมที่สุด คุณไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณไม่มีใคร ถ้าจิตคุณกำลังพัฒนาให้ “เป็นที่พึ่งให้ตัวเองได้” วันหนึ่ง บุญที่ทำจะกลายเป็นกำลังให้ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องอิง ไม่ต้องพึ่ง แต่ยังมีใจพร้อมเผื่อแผ่ --- หากคุณทำบุญด้วยใจที่ถวิลหาคู่ในฝัน แม้จะเบิกบานอยู่คนเดียว แต่ลึกๆกลับแอบอธิษฐานว่า > “ขอให้ได้เจอใครสักคนสักที” ถ้าเผลอแบบนี้บ่อยๆ คุณอาจติดนิสัยสร้างวิมานในจินตนาการ พร้อมจะมีคนร่วมสุข แต่ยังไม่พร้อมจะมีคนร่วมทุกข์ด้วยจริงๆ นั่นคือกับดักของจิตที่ฝันมากกว่าตั้งมั่น --- บทสรุปของการทำบุญคนเดียว > ไม่มีใครกำหนดได้ว่า “คุณต้องทำบุญกับใคร ถึงจะเรียกว่าดี” เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่… “ในขณะนั้น ใจคุณเป็นอย่างไร” ทำบุญแบบไหน ใจคุณก็จะคุ้นชินแบบนั้น และนิสัยแบบนั้น… จะพาคุณไปเจอชีวิตแบบเดียวกัน โดยไม่ต้องอธิษฐานเลยด้วยซ้ำ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภูฏาน ดินแดนแห่งมังกรอัสนี
    แผ่นดินแห่งความพอเพียงและความสุขที่แท้จริง
    .
    ภาพยนตร์จากมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด
    ด้วยความอนุเคราะห์จาก คุณบุญชัย เบญจรงคกุล
    .
    ภาพ : แมชชิ่งสตูดิโอ
    ดนตรีประกอบ : พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
    .
    ภูฏาน ดินแดนแห่งมังกรอัสนี แผ่นดินแห่งความพอเพียงและความสุขที่แท้จริง . ภาพยนตร์จากมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด ด้วยความอนุเคราะห์จาก คุณบุญชัย เบญจรงคกุล . ภาพ : แมชชิ่งสตูดิโอ ดนตรีประกอบ : พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 30 0 รีวิว
  • ..กฎหมายเราเองมีปัญหา&ตามระวังข้าศึกศัตรูไม่ทันเกมส์ทันหมากเข้าบวกคนในระบบข้าราชการเราเองไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่ปกป้องผลประโยชน์คนไทยตนเอง,ร่วมกันปิดประตูปิดช่องทางต่างๆมิให้ศัตรูข้าศึกมาแย่งชิงสัมมาอาชีพสร้างรายได้แทนคนไทยได้สะดวกสบายอิสระเสรีหรือเปิดเปิดเผยขนาดนี้,อาจแค่สามารถจัดแบบตลาดนัดวันสัมพันธุ์เชื่อมอาหารไทยจีนได้ไม่กี่วันกี่ช่วงเท่านั้นมิใช่ปล่อยต่างชาติอื่นใดๆบุกเราขนาดนี้,จะจีนจะอเมริกฝรั่งตะวันตกตะวันออกใดๆขึ้นชื่อต่างชาติทั้งหมด ,ต้องสัมมาอาชีพภายในคนไทยเองต้องมาก่อนเสมอ เมื่อทุกๆคนไทยไม่ถูกแย่งอาชีพค้าขายไป ตังทองก็หมุนเวียนจริงในชุมชนสังคมเราในท้องถิ่นนั้นทันที วัตถุดิบแหล่งผลิตก็ขับเคลื่อนจับจ่ายแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินตราสาระพัดสะพัดตังในประเทศเราอย่างมั่นคงและเพิ่มขึ้นทวีคูณต่อเนื่องได้อีก,ต้นน้ำก็ขายวัตถุดิบได้ ปลายน้ำก็มีลูกค้าตอบสนองแลกเปลี่ยนซื้อขายบริการกันพอมีรายได้กำไรเลี้ยงตนเองและครอบครัวใครมันนั้นๆ,ถ้าผู้นำยังเลอะเทอะผิดพลาดว่ายังประโยชน์ต่อต่างชาติให้ดีเชื่อมสายสัมพันธ์แต่คนไทยตนภายในประเทศ0บาทตายเรียบ จะมีผู้นำผู้ปกครองไว้ทำซากอะไร,ไม่ว่าจีนแขกแกวยุ่นพม่าแขมร์ลาวมลายูขอมจามเจ๊กฝรั่ง&ต่างชาติใดๆ คนไทยเท่านั้นต้องประกอบสัมมาอาชีพเหล่าใดมากกว่าต่างชาติจะมาทำเช่นนี้เองได้บนแผ่นดินไทยเรา,เช่นนั้นคนทั่วโลกไม่เสรีย้ายฐานมาทำอาชีพที่แผ่นดินไทยเต็มเหรอโดยสามารถอ้างว่ามาท่องเที่ยวเยอะนะ มาอยู่เลยดีมั้ย ชาติต่างๆสร้างมุกมาสักปี2ปีมิซวยเหรอ,เช่นdeep stateใช่เศษตังให้แขกประเทศละ10ล้านล้านบาทต่อปี พาคนแขกชาติต่างๆมาท่องเที่ยวหมุนเวียนสัก10ประเทศมุสลิม,เปิดร้านอาหาร ร้านนั้นร้านนี้ทั่วไทยอ้างว่าแขกชอบไปตรึม ยึดเหนือยึดอีสานยึดใต้ในท้องถิ่นต่างๆเปิดร้านค้าแขกสาระพัด ผสมจีนdeep state ccpจีนส่งมายึดเปิดร้านค้าปกติแบบนี้อีกทั่วอีสาน ทั่วตะวันออก&ตก ทั่วเหนือเมืองหลักๆทั่วไทยนอกจากกทม.กระจายทุกๆชาติทั่วโลกยึดทุกๆจังหวัดดินแดนที่ดินเปิดร้านค้ากิจการต่าง เดิมเต็มตรึมด้วยคนต่างชาติอ้างมาท่องเที่ยวเต็มประเทศนะ แต่ตังทั้งหมดมุกแบบ0เหรียญของจีนของแขกของฝรั่งและของต่างชาตินั้นๆของสมุนขี้ข้าdeep stateส่งเข้าบัญชีdeep stateทั้งหมด,ประเทศไทยไม่ได้ห่าอะไรเลย มีแต่ป้ายภาษาแขกต่างๆ ป้ายภาษาจีน ป้ายภาษาอื่นๆเต็มแผ่นดินไทยหมด มิมีภาษาไทยเขียนเหนือทุกๆภาษาห่านี้กำกับแบบเข้มข้นควบคุมอย่างละเอียดห่าอะไร แล้ววิถีการปกครองมันจะไม่เหี้ยมโหฬารมั้ยล่ะ,วิถีปกครองบรรลัยเลยล่ะ คนไทยชาติตนร่ำรวยโคตรๆทุกๆคนจะไม่ว่าห่าอะไรหรอกในการค้าขายเสรีปล่อยห่าเหวแบบนี้ แต่คนไทยยังเสือกยากจนมั่นคงอยู่นี้สิมันบัดสบมั้ยล่ะ,สัมมาอาชีพคนไทยเปิดกว้างให้ต่างชาติยึดครองผีบ้าอะไรแบบนี้,ตรวจพบมามุกนอมินีทันเกมส์ก็สั่งปิดทันทีได้,รัานค้าไทยยืนหนึ่งบนแผ่นดินไทยสิ,มิใช่ให้มีร้านค้าจากชาติอื่นมาเปิดตรึม จะของฝรั่งก็ตามเถอะ ,กฎหมายต้องปรับปรุงเขียนให้ทันสงครามตังสงครามเศรษฐกิจของต่างชาติ,กิจการต่างชาติใดๆสามารถเปิดได้เพียงในนามบริษัทมหาชนเท่านั้นและมีสำนักงานเพียงสถานที่แห่งเดียวเลือกแห่งใดแห่งหนึ่งดำเนินการและในแต่ละเขตอำเภอจังหวัดตำบลตบจะสามารถมีไม่เกิน1ที่รวมกันทั้งประเทศ,ห้ามเปิดสาขา,ตรวจพบว่ามีเจ้าของหรือเป็นเจ้าของคนเดียวกันสั่งยึดกิจการและเงินทุน&ทรัพย์สินทั้งหมดทันที.,นี้สามารถเป็นอีกมุกๆหนึ่งตัดตอนต่างชาติหัวหมอมาแย่งชิงสัมมาอาชีพคนไทยแย่งชิงรายได้พอเลี้ยงชีวิตครอบครัวคนไทยเราภายในประเทศได้,จีนคนกว่า1,400ล้านคน คนมีตังแค่100ล้านคนหอบตังลงทุนนิดหน่อยคนละ100ล้านหยวนก็ทำลายสัมมาอาชีพต่างๆภายในประเทศไทยเราได้สบาย ไม่รวมแขกอินเดียแจกอาหรับฝรั่งผู้ดีชอบปล้นชิงล่าวัตถุดิบ&อาณานิคมอีกกว่า100ล้านคนบินมาสัมมาอาชีพช่วนเหลือขยายอาชีพภายในประเทศไทย คนไทยจะมีรายได้ทางสัมมาอาชีพอะไรอีก เขาเสือกซื้อบริการใช้จ่ายกับแค่ร้านค้าขายคนของประเทศเขาอีก วัตถุดิบก็สั่งตรงจากชาติมัน ไม่ซื้อวัตถุดิบใดๆจากคนไทย ซวยแน่นอน.,เหมือนผีบ้าบางคนไปท่องเที่ยวเหี้ยพกไปเองหมด ไม่เสียตังสักบาทในบริเวณธรรมชาติอิสระเสรีนั้นๆ,นึกดูสิ,อันเดียวกัน มันใช้ไทยแบบนั้นล่ะ,แล้วก็ทิ้งขยะสร้างภาระให้พื้นที่นั้นๆกำจัดอีก,กำไรรายได้อิ่มท้องอิ่มตามันเอาไปเต็มๆแบบกินเองด้วย พกมาขายมากๆด้วย ใครมาเที่ยวที่นั้นไปซื้อของมันอีก ตังเต็มๆเอากลับบ้านไปนอนหลับสบาย อาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อครั้งโน้นก็ว่าออกนอกประเทศ ,คนต่างชาติย่อมยิ้มอย่างมีความสุขล่ะ.

    https://youtube.com/watch?v=8RD6KfYIMbw&si=p7Jpl4NYhI5B8Sdv

    ..กฎหมายเราเองมีปัญหา&ตามระวังข้าศึกศัตรูไม่ทันเกมส์ทันหมากเข้าบวกคนในระบบข้าราชการเราเองไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่ปกป้องผลประโยชน์คนไทยตนเอง,ร่วมกันปิดประตูปิดช่องทางต่างๆมิให้ศัตรูข้าศึกมาแย่งชิงสัมมาอาชีพสร้างรายได้แทนคนไทยได้สะดวกสบายอิสระเสรีหรือเปิดเปิดเผยขนาดนี้,อาจแค่สามารถจัดแบบตลาดนัดวันสัมพันธุ์เชื่อมอาหารไทยจีนได้ไม่กี่วันกี่ช่วงเท่านั้นมิใช่ปล่อยต่างชาติอื่นใดๆบุกเราขนาดนี้,จะจีนจะอเมริกฝรั่งตะวันตกตะวันออกใดๆขึ้นชื่อต่างชาติทั้งหมด ,ต้องสัมมาอาชีพภายในคนไทยเองต้องมาก่อนเสมอ เมื่อทุกๆคนไทยไม่ถูกแย่งอาชีพค้าขายไป ตังทองก็หมุนเวียนจริงในชุมชนสังคมเราในท้องถิ่นนั้นทันที วัตถุดิบแหล่งผลิตก็ขับเคลื่อนจับจ่ายแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินตราสาระพัดสะพัดตังในประเทศเราอย่างมั่นคงและเพิ่มขึ้นทวีคูณต่อเนื่องได้อีก,ต้นน้ำก็ขายวัตถุดิบได้ ปลายน้ำก็มีลูกค้าตอบสนองแลกเปลี่ยนซื้อขายบริการกันพอมีรายได้กำไรเลี้ยงตนเองและครอบครัวใครมันนั้นๆ,ถ้าผู้นำยังเลอะเทอะผิดพลาดว่ายังประโยชน์ต่อต่างชาติให้ดีเชื่อมสายสัมพันธ์แต่คนไทยตนภายในประเทศ0บาทตายเรียบ จะมีผู้นำผู้ปกครองไว้ทำซากอะไร,ไม่ว่าจีนแขกแกวยุ่นพม่าแขมร์ลาวมลายูขอมจามเจ๊กฝรั่ง&ต่างชาติใดๆ คนไทยเท่านั้นต้องประกอบสัมมาอาชีพเหล่าใดมากกว่าต่างชาติจะมาทำเช่นนี้เองได้บนแผ่นดินไทยเรา,เช่นนั้นคนทั่วโลกไม่เสรีย้ายฐานมาทำอาชีพที่แผ่นดินไทยเต็มเหรอโดยสามารถอ้างว่ามาท่องเที่ยวเยอะนะ มาอยู่เลยดีมั้ย ชาติต่างๆสร้างมุกมาสักปี2ปีมิซวยเหรอ,เช่นdeep stateใช่เศษตังให้แขกประเทศละ10ล้านล้านบาทต่อปี พาคนแขกชาติต่างๆมาท่องเที่ยวหมุนเวียนสัก10ประเทศมุสลิม,เปิดร้านอาหาร ร้านนั้นร้านนี้ทั่วไทยอ้างว่าแขกชอบไปตรึม ยึดเหนือยึดอีสานยึดใต้ในท้องถิ่นต่างๆเปิดร้านค้าแขกสาระพัด ผสมจีนdeep state ccpจีนส่งมายึดเปิดร้านค้าปกติแบบนี้อีกทั่วอีสาน ทั่วตะวันออก&ตก ทั่วเหนือเมืองหลักๆทั่วไทยนอกจากกทม.กระจายทุกๆชาติทั่วโลกยึดทุกๆจังหวัดดินแดนที่ดินเปิดร้านค้ากิจการต่าง เดิมเต็มตรึมด้วยคนต่างชาติอ้างมาท่องเที่ยวเต็มประเทศนะ แต่ตังทั้งหมดมุกแบบ0เหรียญของจีนของแขกของฝรั่งและของต่างชาตินั้นๆของสมุนขี้ข้าdeep stateส่งเข้าบัญชีdeep stateทั้งหมด,ประเทศไทยไม่ได้ห่าอะไรเลย มีแต่ป้ายภาษาแขกต่างๆ ป้ายภาษาจีน ป้ายภาษาอื่นๆเต็มแผ่นดินไทยหมด มิมีภาษาไทยเขียนเหนือทุกๆภาษาห่านี้กำกับแบบเข้มข้นควบคุมอย่างละเอียดห่าอะไร แล้ววิถีการปกครองมันจะไม่เหี้ยมโหฬารมั้ยล่ะ,วิถีปกครองบรรลัยเลยล่ะ คนไทยชาติตนร่ำรวยโคตรๆทุกๆคนจะไม่ว่าห่าอะไรหรอกในการค้าขายเสรีปล่อยห่าเหวแบบนี้ แต่คนไทยยังเสือกยากจนมั่นคงอยู่นี้สิมันบัดสบมั้ยล่ะ,สัมมาอาชีพคนไทยเปิดกว้างให้ต่างชาติยึดครองผีบ้าอะไรแบบนี้,ตรวจพบมามุกนอมินีทันเกมส์ก็สั่งปิดทันทีได้,รัานค้าไทยยืนหนึ่งบนแผ่นดินไทยสิ,มิใช่ให้มีร้านค้าจากชาติอื่นมาเปิดตรึม จะของฝรั่งก็ตามเถอะ ,กฎหมายต้องปรับปรุงเขียนให้ทันสงครามตังสงครามเศรษฐกิจของต่างชาติ,กิจการต่างชาติใดๆสามารถเปิดได้เพียงในนามบริษัทมหาชนเท่านั้นและมีสำนักงานเพียงสถานที่แห่งเดียวเลือกแห่งใดแห่งหนึ่งดำเนินการและในแต่ละเขตอำเภอจังหวัดตำบลตบจะสามารถมีไม่เกิน1ที่รวมกันทั้งประเทศ,ห้ามเปิดสาขา,ตรวจพบว่ามีเจ้าของหรือเป็นเจ้าของคนเดียวกันสั่งยึดกิจการและเงินทุน&ทรัพย์สินทั้งหมดทันที.,นี้สามารถเป็นอีกมุกๆหนึ่งตัดตอนต่างชาติหัวหมอมาแย่งชิงสัมมาอาชีพคนไทยแย่งชิงรายได้พอเลี้ยงชีวิตครอบครัวคนไทยเราภายในประเทศได้,จีนคนกว่า1,400ล้านคน คนมีตังแค่100ล้านคนหอบตังลงทุนนิดหน่อยคนละ100ล้านหยวนก็ทำลายสัมมาอาชีพต่างๆภายในประเทศไทยเราได้สบาย ไม่รวมแขกอินเดียแจกอาหรับฝรั่งผู้ดีชอบปล้นชิงล่าวัตถุดิบ&อาณานิคมอีกกว่า100ล้านคนบินมาสัมมาอาชีพช่วนเหลือขยายอาชีพภายในประเทศไทย คนไทยจะมีรายได้ทางสัมมาอาชีพอะไรอีก เขาเสือกซื้อบริการใช้จ่ายกับแค่ร้านค้าขายคนของประเทศเขาอีก วัตถุดิบก็สั่งตรงจากชาติมัน ไม่ซื้อวัตถุดิบใดๆจากคนไทย ซวยแน่นอน.,เหมือนผีบ้าบางคนไปท่องเที่ยวเหี้ยพกไปเองหมด ไม่เสียตังสักบาทในบริเวณธรรมชาติอิสระเสรีนั้นๆ,นึกดูสิ,อันเดียวกัน มันใช้ไทยแบบนั้นล่ะ,แล้วก็ทิ้งขยะสร้างภาระให้พื้นที่นั้นๆกำจัดอีก,กำไรรายได้อิ่มท้องอิ่มตามันเอาไปเต็มๆแบบกินเองด้วย พกมาขายมากๆด้วย ใครมาเที่ยวที่นั้นไปซื้อของมันอีก ตังเต็มๆเอากลับบ้านไปนอนหลับสบาย อาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อครั้งโน้นก็ว่าออกนอกประเทศ ,คนต่างชาติย่อมยิ้มอย่างมีความสุขล่ะ. https://youtube.com/watch?v=8RD6KfYIMbw&si=p7Jpl4NYhI5B8Sdv
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..จริงๆคลิปนี้สามารถทำลายกำลังใจคนรุ่นต่อไปเพื่อพึ่งพาตนเอง สร้างรายได้ทางการเกษตรกันเลยก็ว่า,อาจภาพเกษตรพอเพียงเสียเลยด้วยเพื่อพอจะมีรายได้มีกำไรพอยังชีพ ทำเกษตรขาดทุนหมดตังหมดกำลังใจกันเลย พ่อแม่ด่าอีกแฟนเมียเหยียบซ้ำด้วย พอจะเท่จะซื้อของใช้ซื้อพืชผักอื่นๆมาต่อยอดปลูกทำอีก&ซื้อข้าวของสินค้าอื่นๆสนองวัตถุธาตุอารมณ์ความรู้สึกตนแบบมนุษย์คนธรรมดาสามัญทั่วไปแบบเราๆได้,ทำไปก็ขาดทุน ตังลงทุนไปจมหายทิ้งละลายหมด เวลาที่เสียไป ชีวิตที่สั้นลงอีกแก่ชราไปภายหน้า สังขารเสื่อมลง กับเงินกับตังเฉลี่ยไม่พอจ่ายในภาระต่างๆแต่ละวันเดือนปีรอตรึมที่ตั้งด่านรอรับตัง&ไถ่ตังไถ่เงินอยู่โดยเฉพาะยิ่งภาระหนี้นอกระบบ, พืชผลการเกษตรตายด้วยโรคด้วยภัยธรรมชาติอีก เสี่ยงสูงในการขาดทุน,บวกรายได้ประจำแบบกินเงินเดือนสไตล์ข้าราชการรัฐก็ไม่มี,พอรอเก็บผลผลิตได้ก็ไม่มีทุกๆเดือนด้วยพอหักกลบลบหนี้ขาดทุนได้หรือลุกสู้ใหม่ปรับปรุงขยายสายงานพืชผลตัวใหม่เสริมผสมผสานกันต่อได้แบบไร่นาสวนผสมนั้น,แต่เหี้ยทั้งหมดมันจ่ายด้วยตังด้วยเงินทั้งหมดนะอะไรๆต้องซื้อมาลงทุนทำเกษตรก็ว่าในสถานะการณ์เวลายุคปัจจุบันนี้.

    ..คนไทบ้านปกติไม่มีเงินไม่มีทุนไม่มีตังปกติอยู่บวกกู้ตังธกส.จ่ายต้นจ่ายดอกเบี้ยแบงค์อีก ไม่รวมนอกระบบอื่นๆอีกนะ จะขนาดไหน,วงจรคนชาวเกษตรจึงไม่ร่ำรวยไง บวกยุคนีัค่าใช้จ่ายรอบด้านต้นทุนแพงรอบทิศรอบตัวอีก ไม่พอกินพอใช้อะไรหรอก ส่วนน้อยมากจะยืนได้ที่ออกมาโชว์ออฟช่องต่างๆ แต่ส่วนที่ล้มเหลวมันใต้ภูเขาน้ำแข็งเลยล่ะ เห็นปลายยอดภูเขาเปรียบพวกนั่งอยู่หอคอยงาช้างก็ได้ อาทิเช่นพวกข้าราชการมีเงินเดือนประจำพอโยกตังนั้นนี้ทันจนเดินได้ก็ว่า,พวกได้รับทุนโครงการเงินทุนเบื้องต้นสนับสนุนสาระพัดด้านการเกษตรช่วยงานการเข้าร่วมโครงการหลวงโครงการรัฐได้ทันเช่นโคกหนองนาโมเดล ทุนขุดสระทุนขุดคลองคอดไก่คนละกว่าแสนสองแสนบาทโน้นในอดีตและทางเกษตรช่วยต่างๆจนยืนได้ ใครได้อีกฝันเลยจะไทบ้าน ส่วนมากผู้นำชุมชนคณะกรรมการชุมชนหรือข้าราชการรัฐหลวงชิงตัดหน้าลงทะเบียนได้โครงการไปก่อนหรือในเครือญาติพี่น้องพวกนี้เพราะรับรู้ข่าวสารข้อมูลก่อนชิงตัดหน้ารับไปทำก่อน,เนียนๆก็ว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างชาวบ้านแต่เหี้ยแค่ตังขุดสระเป็นหมื่นเป็นแสนสไตล์โมเดลโคกหนองนา ชาวบ้านมีตังที่ไหน และพวกนี้ก็ใช้ตังเริ่มต้นจริงด้วยตังตนเองที่ไหน ก็โครงการช่วยเหลือหมดเช่นกันตอนเริ่มต้น,หรือผีบ้าบ้าคนมีตังหน่อย ร่ำรวยเกินชาวบ้านหน่อยโชว์สักหน่อยก็ว่ามีตังเหลือหลายจากการค้าการทำธุรกืจกิจการอื่นสำเร็จ ตังไร้หนี้บีบหลัง เงินเย็นๆรอผลผลิตได้ ทำสบายๆสไตล์คนเกษตรยุคโบราณไม่ดิ้นรนอะไรมากตามหนี้กดดันต้องใช้ให้เร็วก็ว่า.
    ..ปัญหาชาวเกษตรแก้ง่ายมาก คือลดต้นทุนคนเกษตรจากรัฐส่งเสริมจริงจัง น้ำมันแพงคือต้นทุนหลักไม่ต่างจากทุกๆภาคกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมหรอก,ชาวเกษตรหากรัฐไม่ช่วยในการลดต้นทุนทางตรงจากพ่อค้าที่ขายอุปกรณ์วัตถุดิบทางการเกษตรต่างๆลงได้ ตลอดต้นทุนเครื่องจักรทุ่นแรงราคาต่ำจริงเข้าถึงง่าย ราคาเสรีไม่กดราคาปั่นราคา,สาระพัดวิถีเกษตรจะมีค่าใช้จ่ายทำเกษตรไม่แพงอะไรเลย,
    ..รถไถ่นาเติมน้ำมันลิตรละ1บาท เติมถัง20-50ลิตร ใช้ตลอด50-100ไร่ไถ่นาสบาย,ค่าจ้างจะไม่แพง,ราคารถไถไทยทำเองจากโรงงานรัฐบาลส่งเสริมผลทำช่วยนำเข้าเสรีไม่แพงอีกในวัตถุดิบผลิตรถไถนาหรือสาระพัดเครื่องจักรทุ่นแรงต่างๆอาจคันละไม่กี่4-5หมื่นบาทเลยจากรถไถราคาปกติที่คันละ4-5แสนบาทหรือรถไถเดินตามปกติ2-3หมื่นบาทอาจเหลือแค่2-3พันบาทเลย,เพราะรัฐส่งเสริมจัดหาเต็มที่ทำทุกๆวิถีทางลดต้นทุนช่วยชาวเกษตรไทย,หรือยึดบ่อน้ำมัน บ่อน้ำมันส่งเข้าโรงกลั่น กลั่นได้ปุ๋ยมา ก็แจกจ่ายฟรีๆแก่คนไทยหรือมุ่งตรงคนเกษตรให้ได้รับมากหน่อยคนละ1กระสอบต่อไร่ทุกๆปีฟรีๆก็ได้,หรือนำเข้าปุ๋ยเสรี ราคาอาจเหลือแค่กระสอบละ20-30บาทก็ได้,ต้นทุนเราถูก รวมตัวเป็นสมาคม ทั้งระดับชุมชนตำบลอำเภอจังหวัดสู่ระดับภาคระดับชาติส่งออกเป็นเครือข่ายตรงผ่านสมาคม ราคาส่งออกนอก มิใช่ราคาภายในประเทศ ข้าวปกติขายตันละ400-800$ก็ได้ที่ต่างประเทศราคาตลาดโลกก็ว่า,แต่ขายจริงในไทยแค่ตันละ2-3พันบาทกันเองจะเป็นอะไรหรือถุง5-10กก.ถุงละ5-10บาทเราก็ขายได้,ซึ่งสมาคมเราจัดสรรบริหารจัดการเอง ชาวนาส่งขายข้าวทั้งหมดเองแก่สมาคม เก็บไว้กินเองตามสบายใจ สมาคมรับซื้อเพื่อแปรรูปข้าวส่งนอกก็ให้ราคาสูงแก่ชาวนาทันทีได้ตามราคาตลาดโลกเลย,เช่น60%รับซื้อราคาตลาดโลกขายนอก,40%รับซื้อแปรรูปขายในไทยเองราคาถูกๆช่วยคนไทยเราด้านความมั่นคงทางอาหารเลี้ยงในชาติไทยเราเอง,ชาวบ้านขายข้าว10ตัน 6ตันคิดตันละ40,000บาท,4ตันคิดตันละ2,000บาท ก็ว่า,หากคลังสมดุลข้าวภายในประเทศมากก็ลดเป็น80:20 ,รับซื้อจากชาวนา8ตันส่งนอกละ40,000บาท=320,000บาท,รับซื้อขายในประเทศ2ตันๆละ2,000บาท=4,000บาท รวมชาวนาได้324,000บาทก็ยังกำไรดีกว่าเมื่อ เทียบตันละ15,000สูงสุดแบบมโนๆในยุคปัจจุบันคือ150,000บาทต่อ10ตัน มันก็คนละเรื่องเช่นกัน 2ตันคือเสียสละเฉลี่ยเลี้ยงคนไทยลูกหลานเราเองในการสร้างชาติพัฒนาชาติให้มีแรงกำลังกายด้านอาหารข้าวปลาสร้างชาติไทยร่วมกันต่อไปนั้นเองสนับสนุนสัมมาอาชีพอื่นร่วมกัน.
    ..ไม่ว่าจะอาชีพเกษตรด้านไหน นี้คือสงครามภายในประเทศไทยตนเองกับผู้ปกครองชาติไทยตนเองชัดเจน ที่กำลังมองคนเกษตรไทยคือภัยอันตรายของประเทศเอง ขัดขวางภาคเหล็กปูนอิฐเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมต่างๆผลิตสินค้าที่สร้างกำไรน้อยมันว่า,พอเกษตรกรจะขายข้าวสักกก.ละแสนบาท อาจต้องมาควบคุมพะนะ,ทองคำบาทละ4-5หมื่นกินไม่ได้เสือกแพง,ข้าวกินได้เสือกถูก,พืชผักถั่วเสือกถูก,จริงๆวิธีแก้ตาแก้มัดพวกนี้ต้องผูกค่าอ้างอิงใส่มันเลย เช่นทองคำ1บาท ราคา50,000บาทคือฐาน,ข้าว1ตันราคา50,000บาทคือฐานด้วย,อนาคตราคาลดราคาลงหรือเพิ่มขึ้นให้ใช้ราคาทองคำเป็นฐานให้อ้างอิงกำหนดราคาข้าวขายในตลาดด้วยเรียลไทม์เลย,ทองคำราคาลงที่1บาท25,000บาท,ข้าวก็จะลดลงทันทีเช่นกันที่1ตัน ราคา25,000บาท.นี้ต้องแก้แบบนี้,สินค้าเกษตรจะไม่ถูกด้อยค่าอีก,มีฐานอ้างอิงด้วย,โลกเรามันผีบ้า หาว่าขายข้าวราคาต่ำๆเป็นจิตสำนึกรักกันเองในประเทศ สินค้าควบคุมป้องกันความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากที่ต้องจำเป็นกินข้าวกันทุกๆวัน,แต่จิตสำนึกห่วงใยชาวนาผู้ผลิตข้าวให้คนกินกลับไม่สนใจในความทุกข์ยากเดือดร้อนจนยากจนในความเสียสละของชาวนานั้น เอาเปรียบตัวนำการเอาเปรียบเองด้วยซ้ำคือรัฐบาลเองไม่ข่วย ไม่ควบคุม ไม่ลดต้นทุนวัตถุดิบรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับที่ชาวนาใช้ปลูกข้าวเพื่อผลิตข้าวให้คนทั้งประเทศกิน,อนาคตอวยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมากินเมื่อเจอวิกฤติเขาไม่ส่งข้าวมาให้ชาติไทยตนเองแดกจะเกิดอะไรขึ้น,ทั้งประเทศเลิกเป็นคนชาวนาชาวเกษตรอีกเพราะทำธุรกิจกิจการภาคอื่นๆอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช้ภาคเกษตรย่อลงมาย่อยคือชาวนาก็ซวยบรรลัยไร้แดกทั้งประเทศ,ความมั่นคงทางอาหารไม่มีตัดเสบียงทางการรบเห็นๆแพ้ศึกสงครามแน่นอนเพราะผีบ้าตามแต่อุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีAIหุ่นยนต์ ตนเสือกคือคนแท้ๆต้อกแดกข้าวแดกอาหารมิใช่ไฟฟ้าแบบหุ่นยนต์หรือAIในเน็ตในออนไลน์ พินาศคือเราคนเป็นๆนี้ล่ะ,
    ..ผู้นำจึงสำคัญจริงๆ ปลดปล่อยอิสระวัตถุดิบสมบัติชาติทรัพยากรชาติที่มีค่ามากมายคืนสู่สามัญแผ่นดินไทยเราดั่งเดิม เราจะมีวิถีชีวิตที่ดีแน่นอน แม้จะสัมมาอาชีพใดๆก็ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนสูงใดๆอีกต่อไป เพราะทุกๆคนช่วยกันคิดอ่านร่วมแก้ไขขจัดปัญหาต่างๆออกไป,กำไรแค่100-200บาทอาจมีความสุขโคตรมหาศาลก็ว่า เพราะไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาใช้หนี้ ไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาชำระค่าใช้จ่ายสาระพัดทาง อาทิเปิดเทอมลูกหลาน รัฐบาลส่งเสริมเรียนฟรีหมด ชุดนักเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าใช้จ่ายใดๆผู้ปกครองไม่ต้องจ่าย,เรียนคอมฯเรียนภาษาเรียนAIนวัตกรรมล้ำไหนฟรีหมด อาหารที่พักฟรี รถรับส่งไปกลับฟรี,ใช้กายใจตั้งใจเรียนรู้องค์รู้ต่างๆแค่นั้น จบมามีตังมีทุนเริ่มต้นสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีอีกฟรีเป็นต้น ค่างานศพใครตายก็ไม่ต้องเรี่ยไรจ่ายในแต่ละหมู่บ้าน รัฐรันระบบตรวจพบเจออำเภอคีย์แจ้งทราบ เคลมจ่ายศพมรณะทุกๆกรณีรายละ1ล้านบาทเรียลไทม์ก็ยังได้ ชาติไทยโคตรร่ำรวยจริงๆนะ แต่วิถีปกครองเรามันกาก&ผู้ปกครองกากเขลาโง่กระจอก,จนยกทรัพยากรมีค่ามากมายมหาศาลแก่คนอื่นชาติอื่นไปยึดครองแทนคนไทย.

    ..วิถีเกษตรเราล้มเหลวก็ได้ ดูหน่วยงานรัฐเราสิ ขี้ข้าคนเจ้าสัวตรึม,สมัยประท้วงพรบ.ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ นักวิชการเกษตรต่างๆทั่วไทยกลับไม่เร่งรีบลุกนำประท้วงความอยุติธรรมให้แก่คนภาคชาวเกษตรจริงอะไร จนเขาต้องนำทัพประท้วงช่วยเหลือกันเอง การยุบทุบทิ้งกระทรวงทบวงกรมสายงานเกษตรของภาครัฐทั้งหมดถูกต้องที่สุด มันคือวิถีทางเดียวจะล้างทำลายเผาไหม้จริงในรากเหง้าอิทธิอำนาจหยั่งลึกทุกๆมิติในวงการนี้ทั้งแผ่นดินไทยได้จริงทั้งหมด ย้ำมันวางรากลึกกัดกันวงจรชาวเกษตรไทยจนพินาศถึงปัจจุบันนีัจริงๆ.

    ..https://youtube.com/watch?v=topV7JVUnmE&si=mhL49JRpZO7BJ7BR
    ..จริงๆคลิปนี้สามารถทำลายกำลังใจคนรุ่นต่อไปเพื่อพึ่งพาตนเอง สร้างรายได้ทางการเกษตรกันเลยก็ว่า,อาจภาพเกษตรพอเพียงเสียเลยด้วยเพื่อพอจะมีรายได้มีกำไรพอยังชีพ ทำเกษตรขาดทุนหมดตังหมดกำลังใจกันเลย พ่อแม่ด่าอีกแฟนเมียเหยียบซ้ำด้วย พอจะเท่จะซื้อของใช้ซื้อพืชผักอื่นๆมาต่อยอดปลูกทำอีก&ซื้อข้าวของสินค้าอื่นๆสนองวัตถุธาตุอารมณ์ความรู้สึกตนแบบมนุษย์คนธรรมดาสามัญทั่วไปแบบเราๆได้,ทำไปก็ขาดทุน ตังลงทุนไปจมหายทิ้งละลายหมด เวลาที่เสียไป ชีวิตที่สั้นลงอีกแก่ชราไปภายหน้า สังขารเสื่อมลง กับเงินกับตังเฉลี่ยไม่พอจ่ายในภาระต่างๆแต่ละวันเดือนปีรอตรึมที่ตั้งด่านรอรับตัง&ไถ่ตังไถ่เงินอยู่โดยเฉพาะยิ่งภาระหนี้นอกระบบ, พืชผลการเกษตรตายด้วยโรคด้วยภัยธรรมชาติอีก เสี่ยงสูงในการขาดทุน,บวกรายได้ประจำแบบกินเงินเดือนสไตล์ข้าราชการรัฐก็ไม่มี,พอรอเก็บผลผลิตได้ก็ไม่มีทุกๆเดือนด้วยพอหักกลบลบหนี้ขาดทุนได้หรือลุกสู้ใหม่ปรับปรุงขยายสายงานพืชผลตัวใหม่เสริมผสมผสานกันต่อได้แบบไร่นาสวนผสมนั้น,แต่เหี้ยทั้งหมดมันจ่ายด้วยตังด้วยเงินทั้งหมดนะอะไรๆต้องซื้อมาลงทุนทำเกษตรก็ว่าในสถานะการณ์เวลายุคปัจจุบันนี้. ..คนไทบ้านปกติไม่มีเงินไม่มีทุนไม่มีตังปกติอยู่บวกกู้ตังธกส.จ่ายต้นจ่ายดอกเบี้ยแบงค์อีก ไม่รวมนอกระบบอื่นๆอีกนะ จะขนาดไหน,วงจรคนชาวเกษตรจึงไม่ร่ำรวยไง บวกยุคนีัค่าใช้จ่ายรอบด้านต้นทุนแพงรอบทิศรอบตัวอีก ไม่พอกินพอใช้อะไรหรอก ส่วนน้อยมากจะยืนได้ที่ออกมาโชว์ออฟช่องต่างๆ แต่ส่วนที่ล้มเหลวมันใต้ภูเขาน้ำแข็งเลยล่ะ เห็นปลายยอดภูเขาเปรียบพวกนั่งอยู่หอคอยงาช้างก็ได้ อาทิเช่นพวกข้าราชการมีเงินเดือนประจำพอโยกตังนั้นนี้ทันจนเดินได้ก็ว่า,พวกได้รับทุนโครงการเงินทุนเบื้องต้นสนับสนุนสาระพัดด้านการเกษตรช่วยงานการเข้าร่วมโครงการหลวงโครงการรัฐได้ทันเช่นโคกหนองนาโมเดล ทุนขุดสระทุนขุดคลองคอดไก่คนละกว่าแสนสองแสนบาทโน้นในอดีตและทางเกษตรช่วยต่างๆจนยืนได้ ใครได้อีกฝันเลยจะไทบ้าน ส่วนมากผู้นำชุมชนคณะกรรมการชุมชนหรือข้าราชการรัฐหลวงชิงตัดหน้าลงทะเบียนได้โครงการไปก่อนหรือในเครือญาติพี่น้องพวกนี้เพราะรับรู้ข่าวสารข้อมูลก่อนชิงตัดหน้ารับไปทำก่อน,เนียนๆก็ว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างชาวบ้านแต่เหี้ยแค่ตังขุดสระเป็นหมื่นเป็นแสนสไตล์โมเดลโคกหนองนา ชาวบ้านมีตังที่ไหน และพวกนี้ก็ใช้ตังเริ่มต้นจริงด้วยตังตนเองที่ไหน ก็โครงการช่วยเหลือหมดเช่นกันตอนเริ่มต้น,หรือผีบ้าบ้าคนมีตังหน่อย ร่ำรวยเกินชาวบ้านหน่อยโชว์สักหน่อยก็ว่ามีตังเหลือหลายจากการค้าการทำธุรกืจกิจการอื่นสำเร็จ ตังไร้หนี้บีบหลัง เงินเย็นๆรอผลผลิตได้ ทำสบายๆสไตล์คนเกษตรยุคโบราณไม่ดิ้นรนอะไรมากตามหนี้กดดันต้องใช้ให้เร็วก็ว่า. ..ปัญหาชาวเกษตรแก้ง่ายมาก คือลดต้นทุนคนเกษตรจากรัฐส่งเสริมจริงจัง น้ำมันแพงคือต้นทุนหลักไม่ต่างจากทุกๆภาคกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมหรอก,ชาวเกษตรหากรัฐไม่ช่วยในการลดต้นทุนทางตรงจากพ่อค้าที่ขายอุปกรณ์วัตถุดิบทางการเกษตรต่างๆลงได้ ตลอดต้นทุนเครื่องจักรทุ่นแรงราคาต่ำจริงเข้าถึงง่าย ราคาเสรีไม่กดราคาปั่นราคา,สาระพัดวิถีเกษตรจะมีค่าใช้จ่ายทำเกษตรไม่แพงอะไรเลย, ..รถไถ่นาเติมน้ำมันลิตรละ1บาท เติมถัง20-50ลิตร ใช้ตลอด50-100ไร่ไถ่นาสบาย,ค่าจ้างจะไม่แพง,ราคารถไถไทยทำเองจากโรงงานรัฐบาลส่งเสริมผลทำช่วยนำเข้าเสรีไม่แพงอีกในวัตถุดิบผลิตรถไถนาหรือสาระพัดเครื่องจักรทุ่นแรงต่างๆอาจคันละไม่กี่4-5หมื่นบาทเลยจากรถไถราคาปกติที่คันละ4-5แสนบาทหรือรถไถเดินตามปกติ2-3หมื่นบาทอาจเหลือแค่2-3พันบาทเลย,เพราะรัฐส่งเสริมจัดหาเต็มที่ทำทุกๆวิถีทางลดต้นทุนช่วยชาวเกษตรไทย,หรือยึดบ่อน้ำมัน บ่อน้ำมันส่งเข้าโรงกลั่น กลั่นได้ปุ๋ยมา ก็แจกจ่ายฟรีๆแก่คนไทยหรือมุ่งตรงคนเกษตรให้ได้รับมากหน่อยคนละ1กระสอบต่อไร่ทุกๆปีฟรีๆก็ได้,หรือนำเข้าปุ๋ยเสรี ราคาอาจเหลือแค่กระสอบละ20-30บาทก็ได้,ต้นทุนเราถูก รวมตัวเป็นสมาคม ทั้งระดับชุมชนตำบลอำเภอจังหวัดสู่ระดับภาคระดับชาติส่งออกเป็นเครือข่ายตรงผ่านสมาคม ราคาส่งออกนอก มิใช่ราคาภายในประเทศ ข้าวปกติขายตันละ400-800$ก็ได้ที่ต่างประเทศราคาตลาดโลกก็ว่า,แต่ขายจริงในไทยแค่ตันละ2-3พันบาทกันเองจะเป็นอะไรหรือถุง5-10กก.ถุงละ5-10บาทเราก็ขายได้,ซึ่งสมาคมเราจัดสรรบริหารจัดการเอง ชาวนาส่งขายข้าวทั้งหมดเองแก่สมาคม เก็บไว้กินเองตามสบายใจ สมาคมรับซื้อเพื่อแปรรูปข้าวส่งนอกก็ให้ราคาสูงแก่ชาวนาทันทีได้ตามราคาตลาดโลกเลย,เช่น60%รับซื้อราคาตลาดโลกขายนอก,40%รับซื้อแปรรูปขายในไทยเองราคาถูกๆช่วยคนไทยเราด้านความมั่นคงทางอาหารเลี้ยงในชาติไทยเราเอง,ชาวบ้านขายข้าว10ตัน 6ตันคิดตันละ40,000บาท,4ตันคิดตันละ2,000บาท ก็ว่า,หากคลังสมดุลข้าวภายในประเทศมากก็ลดเป็น80:20 ,รับซื้อจากชาวนา8ตันส่งนอกละ40,000บาท=320,000บาท,รับซื้อขายในประเทศ2ตันๆละ2,000บาท=4,000บาท รวมชาวนาได้324,000บาทก็ยังกำไรดีกว่าเมื่อ เทียบตันละ15,000สูงสุดแบบมโนๆในยุคปัจจุบันคือ150,000บาทต่อ10ตัน มันก็คนละเรื่องเช่นกัน 2ตันคือเสียสละเฉลี่ยเลี้ยงคนไทยลูกหลานเราเองในการสร้างชาติพัฒนาชาติให้มีแรงกำลังกายด้านอาหารข้าวปลาสร้างชาติไทยร่วมกันต่อไปนั้นเองสนับสนุนสัมมาอาชีพอื่นร่วมกัน. ..ไม่ว่าจะอาชีพเกษตรด้านไหน นี้คือสงครามภายในประเทศไทยตนเองกับผู้ปกครองชาติไทยตนเองชัดเจน ที่กำลังมองคนเกษตรไทยคือภัยอันตรายของประเทศเอง ขัดขวางภาคเหล็กปูนอิฐเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมต่างๆผลิตสินค้าที่สร้างกำไรน้อยมันว่า,พอเกษตรกรจะขายข้าวสักกก.ละแสนบาท อาจต้องมาควบคุมพะนะ,ทองคำบาทละ4-5หมื่นกินไม่ได้เสือกแพง,ข้าวกินได้เสือกถูก,พืชผักถั่วเสือกถูก,จริงๆวิธีแก้ตาแก้มัดพวกนี้ต้องผูกค่าอ้างอิงใส่มันเลย เช่นทองคำ1บาท ราคา50,000บาทคือฐาน,ข้าว1ตันราคา50,000บาทคือฐานด้วย,อนาคตราคาลดราคาลงหรือเพิ่มขึ้นให้ใช้ราคาทองคำเป็นฐานให้อ้างอิงกำหนดราคาข้าวขายในตลาดด้วยเรียลไทม์เลย,ทองคำราคาลงที่1บาท25,000บาท,ข้าวก็จะลดลงทันทีเช่นกันที่1ตัน ราคา25,000บาท.นี้ต้องแก้แบบนี้,สินค้าเกษตรจะไม่ถูกด้อยค่าอีก,มีฐานอ้างอิงด้วย,โลกเรามันผีบ้า หาว่าขายข้าวราคาต่ำๆเป็นจิตสำนึกรักกันเองในประเทศ สินค้าควบคุมป้องกันความเดือดร้อนแก่คนหมู่มากที่ต้องจำเป็นกินข้าวกันทุกๆวัน,แต่จิตสำนึกห่วงใยชาวนาผู้ผลิตข้าวให้คนกินกลับไม่สนใจในความทุกข์ยากเดือดร้อนจนยากจนในความเสียสละของชาวนานั้น เอาเปรียบตัวนำการเอาเปรียบเองด้วยซ้ำคือรัฐบาลเองไม่ข่วย ไม่ควบคุม ไม่ลดต้นทุนวัตถุดิบรอบด้านที่เกี่ยวข้องกับที่ชาวนาใช้ปลูกข้าวเพื่อผลิตข้าวให้คนทั้งประเทศกิน,อนาคตอวยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมากินเมื่อเจอวิกฤติเขาไม่ส่งข้าวมาให้ชาติไทยตนเองแดกจะเกิดอะไรขึ้น,ทั้งประเทศเลิกเป็นคนชาวนาชาวเกษตรอีกเพราะทำธุรกิจกิจการภาคอื่นๆอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช้ภาคเกษตรย่อลงมาย่อยคือชาวนาก็ซวยบรรลัยไร้แดกทั้งประเทศ,ความมั่นคงทางอาหารไม่มีตัดเสบียงทางการรบเห็นๆแพ้ศึกสงครามแน่นอนเพราะผีบ้าตามแต่อุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีAIหุ่นยนต์ ตนเสือกคือคนแท้ๆต้อกแดกข้าวแดกอาหารมิใช่ไฟฟ้าแบบหุ่นยนต์หรือAIในเน็ตในออนไลน์ พินาศคือเราคนเป็นๆนี้ล่ะ, ..ผู้นำจึงสำคัญจริงๆ ปลดปล่อยอิสระวัตถุดิบสมบัติชาติทรัพยากรชาติที่มีค่ามากมายคืนสู่สามัญแผ่นดินไทยเราดั่งเดิม เราจะมีวิถีชีวิตที่ดีแน่นอน แม้จะสัมมาอาชีพใดๆก็ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนสูงใดๆอีกต่อไป เพราะทุกๆคนช่วยกันคิดอ่านร่วมแก้ไขขจัดปัญหาต่างๆออกไป,กำไรแค่100-200บาทอาจมีความสุขโคตรมหาศาลก็ว่า เพราะไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาใช้หนี้ ไม่ต้องดิ้นรนหาตังมาชำระค่าใช้จ่ายสาระพัดทาง อาทิเปิดเทอมลูกหลาน รัฐบาลส่งเสริมเรียนฟรีหมด ชุดนักเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าใช้จ่ายใดๆผู้ปกครองไม่ต้องจ่าย,เรียนคอมฯเรียนภาษาเรียนAIนวัตกรรมล้ำไหนฟรีหมด อาหารที่พักฟรี รถรับส่งไปกลับฟรี,ใช้กายใจตั้งใจเรียนรู้องค์รู้ต่างๆแค่นั้น จบมามีตังมีทุนเริ่มต้นสร้างสัมมาอาชีพอิสระเสรีอีกฟรีเป็นต้น ค่างานศพใครตายก็ไม่ต้องเรี่ยไรจ่ายในแต่ละหมู่บ้าน รัฐรันระบบตรวจพบเจออำเภอคีย์แจ้งทราบ เคลมจ่ายศพมรณะทุกๆกรณีรายละ1ล้านบาทเรียลไทม์ก็ยังได้ ชาติไทยโคตรร่ำรวยจริงๆนะ แต่วิถีปกครองเรามันกาก&ผู้ปกครองกากเขลาโง่กระจอก,จนยกทรัพยากรมีค่ามากมายมหาศาลแก่คนอื่นชาติอื่นไปยึดครองแทนคนไทย. ..วิถีเกษตรเราล้มเหลวก็ได้ ดูหน่วยงานรัฐเราสิ ขี้ข้าคนเจ้าสัวตรึม,สมัยประท้วงพรบ.ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ นักวิชการเกษตรต่างๆทั่วไทยกลับไม่เร่งรีบลุกนำประท้วงความอยุติธรรมให้แก่คนภาคชาวเกษตรจริงอะไร จนเขาต้องนำทัพประท้วงช่วยเหลือกันเอง การยุบทุบทิ้งกระทรวงทบวงกรมสายงานเกษตรของภาครัฐทั้งหมดถูกต้องที่สุด มันคือวิถีทางเดียวจะล้างทำลายเผาไหม้จริงในรากเหง้าอิทธิอำนาจหยั่งลึกทุกๆมิติในวงการนี้ทั้งแผ่นดินไทยได้จริงทั้งหมด ย้ำมันวางรากลึกกัดกันวงจรชาวเกษตรไทยจนพินาศถึงปัจจุบันนีัจริงๆ. ..https://youtube.com/watch?v=topV7JVUnmE&si=mhL49JRpZO7BJ7BR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ประชาชนตังขาดมือ ไม่มีจะกินมากมาย ภาระรอบด้านสาระพัดค่าใช้จ่าย ตัง100บาท 300บาทเลี้ยงได้ทั้งครอบครัวอาจหลายวัน,อนาถสิ้นวิถีการปกครองบนแผ่นดินไทยเรา ทั้งเหล่าคนข้าราชการ&คนกินเงินงบประมาณหลวงของประเทศทุกๆเดือน&นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นทุกๆคนโดยมากในยุคนี้มากมายคตโกงไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนคนไทยนักบนความยากจนทุกข์ร้อนลำเค็ญมากมายของประชาชนคนไทยธรรมดาอย่างเราๆ,ชั่งมีวิถีความสุขสาระพัดจริงๆ

    https://m.youtube.com/watch?v=21IjFRE8tQM
    ..ประชาชนตังขาดมือ ไม่มีจะกินมากมาย ภาระรอบด้านสาระพัดค่าใช้จ่าย ตัง100บาท 300บาทเลี้ยงได้ทั้งครอบครัวอาจหลายวัน,อนาถสิ้นวิถีการปกครองบนแผ่นดินไทยเรา ทั้งเหล่าคนข้าราชการ&คนกินเงินงบประมาณหลวงของประเทศทุกๆเดือน&นักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นทุกๆคนโดยมากในยุคนี้มากมายคตโกงไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชนคนไทยนักบนความยากจนทุกข์ร้อนลำเค็ญมากมายของประชาชนคนไทยธรรมดาอย่างเราๆ,ชั่งมีวิถีความสุขสาระพัดจริงๆ https://m.youtube.com/watch?v=21IjFRE8tQM
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts