• 258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม

    เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜

    ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖

    🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี

    หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔

    👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺

    จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴

    เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣

    สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️

    หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน

    พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง

    คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪

    พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

    😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈

    "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯

    "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง

    "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬

    หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน

    แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕

    ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา

    ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์

    📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า

    “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”

    คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯

    🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน

    ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️

    🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน

    เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568

    📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    258 ปี สิ้น “ขุนหลวงขี้เรื้อน” จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง 👑 ราชบัลลังก์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา และชะตากรรมที่โลกไม่ลืม เส้นทางชีวิตของพระเจ้าเอกทัศ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับบทสรุปแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” 📜 ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก การสิ้นสุดของราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผ่านพระเจ้าเอกทัศ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม “ขุนหลวงขี้เรื้อน” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กับเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โรคร้าย และโศกนาฏกรรมแห่งชาติ 🇹🇭📖 🕰️ ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับใหล 🕰️ 258 ปี ผ่านไป นับแต่วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2310 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่สอง ชาติไทยได้สูญเสียสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือเอกราชแห่งแผ่นดิน และราชวงศ์ที่ปกครองสืบเนื่อง มายาวนานกว่า 400 ปี หนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลานี้คือ “พระเจ้าเอกทัศ” หรือที่ราษฎรทั่วไปเรียกว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” ชื่อที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เย้ยหยัน และประวัติศาสตร์ที่แสนซับซ้อน ของกษัตริย์องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ผู้สิ้นราชย์ ในห้วงยามแห่งความล่มสลายของชาติ 💔 👑กษัตริย์ที่ราชบัลลังก์ไม่เคยพร้อมให้ครอง "พระเจ้าเอกทัศ" หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ทรงมีพระนามหลากหลาย ทั้ง "พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์" และ "ขุนหลวงขี้เรื้อน" ซึ่งเป็นคำเรียกขานโดยราษฎร เนื่องจากพระองค์มีอาการประชวร ด้วยโรคผิวหนัง ที่สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคเรื้อน หรือกลากเกลื้อนเรื้อรัง 🩺 จุดเริ่มต้นของการขึ้นครองราชย์ หลังการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชทายาทที่เหมาะสมตามสายพระโลหิตคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” แต่ด้วยแรงปรารถนาจะขึ้นครองราชย์อย่างแรงกล้า เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งเป็นเชษฐา ได้เสด็จกลับจากการผนวช และปรี่ขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ดั่งการตีตราจองราชบัลลังก์ ไว้ด้วยพระองค์เอง 🤴 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงสละราชสมบัติให้ หลังครองราชย์เพียง 10 วัน แล้วเสด็จออกผนวชเป็น “ขุนหลวงหาวัด” หวังหลีกเร้นจากวังวนอำนาจ 👣 สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของขุนหลวงขี้เรื้อน ☠️ หลักฐานไทย บันทึกของฝ่ายไทยกล่าวว่า พระองค์หนีภัยสงครามไปหลบซ่อนที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส และสิ้นพระชนม์เพราะอดพระกระยาหารนานเกิน 10 วัน พงศาวดารพม่า 🐘 กล่าวว่าพระองค์ถูกยิงเสียชีวิต ขณะหลบหนีระหว่างกรุงแตก บริเวณประตูท้ายวัง คำให้การของฝรั่ง "แอนโทนี โกยาตัน" บันทึกว่า พระเจ้าเอกทัศถูกปลงพระชนม์โดยชาวสยาม หรืออาจทรงวางยาพิษพระองค์เอง 🧪 พระศพและพิธีพระเพลิง นายทองสุกนำพระบรมศพ ไปฝังที่โคกพระเมรุ หน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะถูกอัญเชิญถวายพระเพลิง ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 😇 ขุนหลวงหาวัด กับขุนหลวงขี้เรื้อน 😈 "พระเจ้าอุทุมพร" กษัตริย์ผู้สละบัลลังก์เพื่อความสงบ พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท แต่เลือกสละราชสมบัติ เพื่อความสงบภายใน พระองค์จึงกลายเป็น "ขุนหลวงหาวัด" ผู้ปลีกวิเวกที่พระตำหนักคำหยาด จังหวัดอ่างทอง 🏯 "พระเจ้าเอกทัศ" กษัตริย์ผู้ไม่ยอมเสียราชบัลลังก์ ตรงกันข้าม พระเจ้าเอกทัศมีความกระหายอำนาจ แม้จะมีข้อจำกัดจากพระวรกาย ทรงใช้บัลลังก์เป็นตราจองอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อบ้านเมือง "ขุนหลวงขี้เรื้อน" เป็นโรคเรื้อนจริงหรือแค่คำเล่าลือ? 🧬 หลักฐานจากตะวันตก ฝรั่งเศส "สังฆราชปีแยร์ บรีโกต์" ระบุว่า พระองค์มีอาการของโรคเรื้อน และไม่ทรงปรากฏพระวรกายต่อผู้ใด ส่วนดัตช์รายงานของ "นิโกลาส บัง" ใช้คำว่า "ลาซารัส" อันเป็นคำเปรียบเทียบถึงโรคเรื้อน แต่...โรคเรื้อนห้ามบวช! พระวินัยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเรื้อนห้ามบวช ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ว่า พระเจ้าเอกทัศเคยออกผนวช จึงอาจหมายถึงโรคผิวหนังอื่น ที่คล้ายคลึงกัน เช่น กลากเกลื้อน หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง 😕 ความขัดแย้งในแผ่นดิน การแตกความสามัคคีในยุคปลายอยุธยา ⚔️ ขุนนางฉ้อฉล ข่มเหงประชาชน พระเจ้าเอกทัศไม่แสดงพระองค์แก่ประชาชน ฝ่ายในมีอำนาจครอบงำการเมือง ราษฎรถูกรีดไถ จนหมดศรัทธา ถึงแม้จะมีหลักฐาน ที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระองค์ ในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม แต่ภาพรวมกลับเป็นลบ ต่อสายตาประวัติศาสตร์ 📖 คำให้การจากผู้ถูกกวาดต้อน มุมมองที่แตกต่าง ใน "คำให้การของชาวกรุงเก่า" พระเจ้าเอกทัศกลับถูกยกย่องว่า “...ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง” คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังเสริมว่า พระองค์มีศีลธรรม ทศพิธราชธรรม และทำนุบำรุงบ้านเมือง พัฒนามาตราฐานตวงวัด และยกเลิกภาษี 3 ปี 🎯 🏚️ จุดจบราชวงศ์บ้านพลูหลวง และบทเรียนจากความล่มสลาย พระเจ้าเอกทัศถูกมองว่า เป็นต้นเหตุการเสียกรุง ทั้งจากราษฎรไทยในสมัยธนบุรี ไปจนถึงกษัตริย์ยุคต่อมา เช่น รัชกาลที่ 5 ที่ทรงกลัวจะถูกกล่าวขานในแบบเดียวกัน ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การจดจำบุคคล แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคที่ความมั่นคง พังทลายด้วยความทะยานอยากของอำนาจ ⚖️ 🕯️ กษัตริย์ผู้ถูกลืม หรือถูกจำในมุมผิด? “ขุนหลวงขี้เรื้อน” อาจเป็นเพียงนามที่ประชาชนผู้สิ้นศรัทธา ใช้เรียกผู้มีอำนาจที่ไร้ความสามารถ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเอกทัศอาจเป็นเพียงเหยื่อของช่วงเวลา แรงกดดัน และความไม่พร้อมของแผ่นดิน เรื่องราวของพระองค์ จึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของความพ่ายแพ้ แต่คือบทเรียนของการเมืองไทย ที่วนเวียนไม่รู้จบ 🌪️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171927 เม.ย. 2568 📢 #ขุนหลวงขี้เรื้อน #กรุงศรีอยุธยา #ประวัติศาสตร์ไทย #พระเจ้าเอกทัศ #ราชวงศ์บ้านพลูหลวง #ขุนหลวงหาวัด #คำให้การชาวกรุงเก่า #กษัตริย์ไทย #โบราณสถาน #พระตำหนักคำหยาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน

    ทุกวันคุณกำลังแลกบางสิ่งเพื่อได้อีกสิ่งหนึ่งมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สุขภาพ เวลา หรือความสัมพันธ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่คุณแลกมาและสิ่งที่คุณเสียไป

    ---

    สองทางเลือกในการแลกเปลี่ยน

    1. การแลกเปลี่ยนที่เน้นวัตถุ

    ตัวอย่าง: มีรายได้วันละล้าน แต่ต้องแลกกับเวลาอยู่กับครอบครัว ความเครียด หรือความเสี่ยง

    ผลลัพธ์: สิ่งที่ได้อาจเติมเต็มในด้านทรัพย์สิน แต่ไม่ได้เติมเต็มจิตใจ

    2. การแลกเปลี่ยนที่เน้นความสุขภายใน

    ตัวอย่าง: สละความโกรธ ความคิดที่มุ่งได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อแลกกับความสงบสุขในใจ

    ผลลัพธ์: ได้ความพอใจในชีวิตอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่มีอยู่จะไม่มากมาย

    ---

    พอใจกับสิ่งที่มีอยู่

    การมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จัก พอใจ กับสิ่งที่มีหรือไม่

    การฝึกพอใจเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น ลมหายใจ

    1. สังเกตลมหายใจเข้าออก

    2. รับรู้ความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้น เช่น จิตอยากให้ลมหายใจยาวกว่านี้ หรือสงบกว่านี้

    3. เมื่อสังเกตไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มเรียนรู้ที่จะ "พอ" กับสิ่งที่เป็นอยู่

    ---

    ผลลัพธ์ของการพอใจ

    1. ความสงบภายใน

    ความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก เช่น เงินทอง หรือคำชื่นชม

    2. ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

    คนที่รู้จักพอใจในตัวเอง จะสามารถสร้างความสุขให้คนรอบข้างได้ง่ายกว่า

    3. การมองโลกอย่างเบาสบาย

    เมื่อจิตเริ่ม "พอ" กับชีวิต ไม่ว่าจะเจออะไร ก็รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าพอใจ

    ---

    ข้อคิดสำคัญ:
    ชีวิตที่น่าพอใจไม่ได้มาจากการได้มากที่สุด แต่มาจากการรู้สึกว่า พอ กับสิ่งที่มีอยู่ การฝึกจิตให้เห็นความพอใจในลมหายใจคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เมื่อจิตพอได้ครั้งหนึ่ง การพอใจในชีวิตทั้งมวลก็จะตามมาเอง!
    ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน ทุกวันคุณกำลังแลกบางสิ่งเพื่อได้อีกสิ่งหนึ่งมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สุขภาพ เวลา หรือความสัมพันธ์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่คุณแลกมาและสิ่งที่คุณเสียไป --- สองทางเลือกในการแลกเปลี่ยน 1. การแลกเปลี่ยนที่เน้นวัตถุ ตัวอย่าง: มีรายได้วันละล้าน แต่ต้องแลกกับเวลาอยู่กับครอบครัว ความเครียด หรือความเสี่ยง ผลลัพธ์: สิ่งที่ได้อาจเติมเต็มในด้านทรัพย์สิน แต่ไม่ได้เติมเต็มจิตใจ 2. การแลกเปลี่ยนที่เน้นความสุขภายใน ตัวอย่าง: สละความโกรธ ความคิดที่มุ่งได้เปรียบเสียเปรียบ เพื่อแลกกับความสงบสุขในใจ ผลลัพธ์: ได้ความพอใจในชีวิตอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่มีอยู่จะไม่มากมาย --- พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ การมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณมีเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จัก พอใจ กับสิ่งที่มีหรือไม่ การฝึกพอใจเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น ลมหายใจ 1. สังเกตลมหายใจเข้าออก 2. รับรู้ความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้น เช่น จิตอยากให้ลมหายใจยาวกว่านี้ หรือสงบกว่านี้ 3. เมื่อสังเกตไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่มเรียนรู้ที่จะ "พอ" กับสิ่งที่เป็นอยู่ --- ผลลัพธ์ของการพอใจ 1. ความสงบภายใน ความสุขไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก เช่น เงินทอง หรือคำชื่นชม 2. ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น คนที่รู้จักพอใจในตัวเอง จะสามารถสร้างความสุขให้คนรอบข้างได้ง่ายกว่า 3. การมองโลกอย่างเบาสบาย เมื่อจิตเริ่ม "พอ" กับชีวิต ไม่ว่าจะเจออะไร ก็รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าพอใจ --- ข้อคิดสำคัญ: ชีวิตที่น่าพอใจไม่ได้มาจากการได้มากที่สุด แต่มาจากการรู้สึกว่า พอ กับสิ่งที่มีอยู่ การฝึกจิตให้เห็นความพอใจในลมหายใจคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เมื่อจิตพอได้ครั้งหนึ่ง การพอใจในชีวิตทั้งมวลก็จะตามมาเอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 793 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเราตกอยู่ในความทุกข์เพราะความรักที่เจือด้วยราคะ ความยึดมั่นของจิตใจจะทำให้เกิดทุกข์และความเสียใจอย่างหนักหน่วง การปรับจิตใจจากรักที่เต็มไปด้วยการยึดติด มาเป็นรักที่เมตตา ปราศจากการยึด จะช่วยให้เราปล่อยวางและคลายทุกข์ได้

    การเปลี่ยนอาการอกหักให้กลายเป็นโอกาสในการเจริญสตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิธีที่คุณสามารถใช้ได้ตามแนวทางพุทธศาสนามีดังนี้:

    1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกุศลจิต: การสวดมนต์เป็นการเชื่อมต่อกับความดีและความเป็นสิริมงคล การเริ่มต้นวันด้วยบทสวด เช่น อิติปิโส จะช่วยปรับจิตใจให้อยู่ในทางกุศล และช่วยให้เกิดความรู้สึกเบาสบายมากขึ้น


    2. หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับความทุกข์: เมื่อมีอารมณ์เศร้าเข้ามา อย่าปล่อยตัวให้จมอยู่กับความเศร้านั้นนาน รีบหาทางทำสิ่งที่กระตุ้นความกระตือรือร้นทันที การเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังและสมาธิ จะช่วยลดความเศร้าและเพิ่มความสดชื่นได้


    3. เฝ้าสังเกตใจตัวเอง: เมื่อเกิดความถวิลหาหรือคิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ให้สำรวจดูว่าอารมณ์นั้นรุนแรงเพียงใด การเห็นความรุนแรงนั้นจะทำให้คุณรู้ว่ามันค่อยๆ เลือนลง และจะไม่ดึงดูดจิตใจเท่าเดิม


    4. หากิจกรรมที่ทำให้มีความสุข: หลีกเลี่ยงการเลี้ยงอารมณ์เศร้าด้วยการฟังเพลงเศร้า ควรหากิจกรรมที่ใช้พลังงานและสมาธิ เช่น การออกกำลังกาย หรือกีฬาที่ต้องโต้ตอบรวดเร็ว จะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมาแทน


    5. ช่วยเหลือผู้อื่น: การหันมาช่วยเหลือผู้อื่น เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจ และลดความรู้สึกเหงาได้ การมองเห็นความต้องการของผู้อื่นจะทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็มในทางจิตใจ


    6. เจริญสติ: เมื่อรู้สึกดีขึ้น อย่าหยุดที่แค่ความรู้สึกดีนั้น แต่ใช้โอกาสนี้ในการเจริญสติ เห็นว่าจิตใจไม่เที่ยงแท้ มีขึ้นมีลง เมื่อรู้ทันความไม่เที่ยงของจิตใจ ก็จะลดความยึดติดกับความรัก และมุ่งเน้นไปที่ความวิเวกทางใจที่สงบและเป็นอิสระมากขึ้น



    ทุกวิธีการนี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์และมุ่งสู่ความสงบภายในอย่างยั่งยืน

    เมื่อเราตกอยู่ในความทุกข์เพราะความรักที่เจือด้วยราคะ ความยึดมั่นของจิตใจจะทำให้เกิดทุกข์และความเสียใจอย่างหนักหน่วง การปรับจิตใจจากรักที่เต็มไปด้วยการยึดติด มาเป็นรักที่เมตตา ปราศจากการยึด จะช่วยให้เราปล่อยวางและคลายทุกข์ได้ การเปลี่ยนอาการอกหักให้กลายเป็นโอกาสในการเจริญสตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิธีที่คุณสามารถใช้ได้ตามแนวทางพุทธศาสนามีดังนี้: 1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกุศลจิต: การสวดมนต์เป็นการเชื่อมต่อกับความดีและความเป็นสิริมงคล การเริ่มต้นวันด้วยบทสวด เช่น อิติปิโส จะช่วยปรับจิตใจให้อยู่ในทางกุศล และช่วยให้เกิดความรู้สึกเบาสบายมากขึ้น 2. หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับความทุกข์: เมื่อมีอารมณ์เศร้าเข้ามา อย่าปล่อยตัวให้จมอยู่กับความเศร้านั้นนาน รีบหาทางทำสิ่งที่กระตุ้นความกระตือรือร้นทันที การเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังและสมาธิ จะช่วยลดความเศร้าและเพิ่มความสดชื่นได้ 3. เฝ้าสังเกตใจตัวเอง: เมื่อเกิดความถวิลหาหรือคิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ให้สำรวจดูว่าอารมณ์นั้นรุนแรงเพียงใด การเห็นความรุนแรงนั้นจะทำให้คุณรู้ว่ามันค่อยๆ เลือนลง และจะไม่ดึงดูดจิตใจเท่าเดิม 4. หากิจกรรมที่ทำให้มีความสุข: หลีกเลี่ยงการเลี้ยงอารมณ์เศร้าด้วยการฟังเพลงเศร้า ควรหากิจกรรมที่ใช้พลังงานและสมาธิ เช่น การออกกำลังกาย หรือกีฬาที่ต้องโต้ตอบรวดเร็ว จะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมาแทน 5. ช่วยเหลือผู้อื่น: การหันมาช่วยเหลือผู้อื่น เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจ และลดความรู้สึกเหงาได้ การมองเห็นความต้องการของผู้อื่นจะทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็มในทางจิตใจ 6. เจริญสติ: เมื่อรู้สึกดีขึ้น อย่าหยุดที่แค่ความรู้สึกดีนั้น แต่ใช้โอกาสนี้ในการเจริญสติ เห็นว่าจิตใจไม่เที่ยงแท้ มีขึ้นมีลง เมื่อรู้ทันความไม่เที่ยงของจิตใจ ก็จะลดความยึดติดกับความรัก และมุ่งเน้นไปที่ความวิเวกทางใจที่สงบและเป็นอิสระมากขึ้น ทุกวิธีการนี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์และมุ่งสู่ความสงบภายในอย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน
    สิ่งสำคัญคือ "การอยู่กับตัวเอง"
    -การมีสติช่วยให้เรา-
    มีความสุขและสงบสุขภายใน
    โดยไม่ต้อง "พึ่งพาสิ่งภายนอก"

    จากหนังสือ | Wherever You Go, There You Are

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #WhereverYouGo,ThereYouAre #การอยู่กับตัวเอง
    #Thaitimes #ความสงบ #ความสงบภายใน
    ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน สิ่งสำคัญคือ "การอยู่กับตัวเอง" -การมีสติช่วยให้เรา- มีความสุขและสงบสุขภายใน โดยไม่ต้อง "พึ่งพาสิ่งภายนอก" จากหนังสือ | Wherever You Go, There You Are #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #WhereverYouGo,ThereYouAre #การอยู่กับตัวเอง #Thaitimes #ความสงบ #ความสงบภายใน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 907 มุมมอง 0 รีวิว
  • จงใช้ความมืดมิดนำทาง
    หาแสงสว่างในตัวเองให้เจอ
    เมื่อโลกภายนอกเคลื่อนไหว
    จงพึ่งพาความสงบภายในตัวเธอ

    จากหนังสือ | แค่นึกถึงไม่ถึงกับคิดถึง

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #หนังสือแค่นึกถึงไม่ถึงกับคิดถึง #Thaitimes
    จงใช้ความมืดมิดนำทาง หาแสงสว่างในตัวเองให้เจอ เมื่อโลกภายนอกเคลื่อนไหว จงพึ่งพาความสงบภายในตัวเธอ จากหนังสือ | แค่นึกถึงไม่ถึงกับคิดถึง #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #หนังสือแค่นึกถึงไม่ถึงกับคิดถึง #Thaitimes
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 715 มุมมอง 0 รีวิว