• สนธิเล่าเรื่อง 22-12-68
    .
    เช้าวันจันทร์วันนี้ วงประชุมและรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ กับ ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ มีเมนูเป็นข้าวผัดแหนม และต้มจืดหมูสับ เนื้อหาของการพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องความทุ่มเท การวางแผน และความเสียสละของทหารและกองทัพไทยในการยึดพื้นที่อธิปไตยของชาติ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้คืนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปราสาทตาควาย" และ "เนิน 350" นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงแนวโน้มในอนาคตเกี่ยวกับการจัดการเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยในหลากหลายด้านด้วย
    .
    คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jAUPkXy7Zd8
    .
    #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยเขมร
    สนธิเล่าเรื่อง 22-12-68 . เช้าวันจันทร์วันนี้ วงประชุมและรับประทานอาหารเช้าของคุณสนธิ อ.ปานเทพ กับ ทีมงานคุยทุกเรื่องกับสนธิ มีเมนูเป็นข้าวผัดแหนม และต้มจืดหมูสับ เนื้อหาของการพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องความทุ่มเท การวางแผน และความเสียสละของทหารและกองทัพไทยในการยึดพื้นที่อธิปไตยของชาติ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้คืนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปราสาทตาควาย" และ "เนิน 350" นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงแนวโน้มในอนาคตเกี่ยวกับการจัดการเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยในหลากหลายด้านด้วย . คลิกชม >> https://www.youtube.com/watch?v=jAUPkXy7Zd8 . #สนธิเล่าเรื่อง #SondhiTalk #ไทยเขมร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ว่าฯ มุกดาหาร นำคณะลงพื้นที่ตรวจเข้มการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ด่านศุลกากรสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 2 หลังมีมาตรการตัดการส่งน้ำมันไปยังกัมพูชา
    .
    ย้ำกำชับทุกหน่วยงานเพิ่มการตรวจสอบเชิงลึก ป้องกันลักลอบขนส่งน้ำมันอ้อมผ่าน สปป.ลาว ไปยังชายแดนลาว–กัมพูชา
    .
    ด่านศุลกากรระบุ ปริมาณการส่งออกน้ำมันผ่านด่านมุกดาหารเพิ่มขึ้นจากการย้ายเส้นทาง แต่ภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย
    .
    ผู้ว่าฯ ยืนยันเดินหน้าตรวจเข้มต่อเนื่อง เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122307
    .
    #News1live #News1 #มุกดาหาร #ด่านชายแดน #ความมั่นคง
    ผู้ว่าฯ มุกดาหาร นำคณะลงพื้นที่ตรวจเข้มการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ด่านศุลกากรสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 2 หลังมีมาตรการตัดการส่งน้ำมันไปยังกัมพูชา . ย้ำกำชับทุกหน่วยงานเพิ่มการตรวจสอบเชิงลึก ป้องกันลักลอบขนส่งน้ำมันอ้อมผ่าน สปป.ลาว ไปยังชายแดนลาว–กัมพูชา . ด่านศุลกากรระบุ ปริมาณการส่งออกน้ำมันผ่านด่านมุกดาหารเพิ่มขึ้นจากการย้ายเส้นทาง แต่ภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย . ผู้ว่าฯ ยืนยันเดินหน้าตรวจเข้มต่อเนื่อง เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000122307 . #News1live #News1 #มุกดาหาร #ด่านชายแดน #ความมั่นคง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอากาศชี้แจงกรณีการใช้เครื่องบิน F-16 ปฏิบัติการทางอากาศ หลังมีการเผยแพร่วิดีโอการโจมตีเป้าหมายในพื้นที่ใกล้เมืองปอยเปต ยืนยันว่าไม่ได้โจมตีพื้นที่เมืองหรือพลเรือน
    .
    โฆษกกองทัพอากาศระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการคือ สป.5 ซึ่งเป็นคลังเก็บอาวุธ กระสุน และวัตถุระเบิด โดยข้อมูลทางการข่าวยืนยันว่าเป็นจุดจัดเก็บจรวด BM-21 ที่เข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย
    .
    การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มุ่งเป้าเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหาร เพื่อจำกัดและลดทอนขีดความสามารถของฝ่ายคู่กรณี
    .
    กองทัพอากาศยืนยันว่า การกำหนดเป้าหมายทุกครั้งผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลจากระบบตรวจจับและข่าวกรองภาคพื้นดิน และจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121844
    .
    #News1live #News1 #กองทัพอากาศ #F16 #BM21 #ปอยเปต #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    กองทัพอากาศชี้แจงกรณีการใช้เครื่องบิน F-16 ปฏิบัติการทางอากาศ หลังมีการเผยแพร่วิดีโอการโจมตีเป้าหมายในพื้นที่ใกล้เมืองปอยเปต ยืนยันว่าไม่ได้โจมตีพื้นที่เมืองหรือพลเรือน . โฆษกกองทัพอากาศระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการคือ สป.5 ซึ่งเป็นคลังเก็บอาวุธ กระสุน และวัตถุระเบิด โดยข้อมูลทางการข่าวยืนยันว่าเป็นจุดจัดเก็บจรวด BM-21 ที่เข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย . การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มุ่งเป้าเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหาร เพื่อจำกัดและลดทอนขีดความสามารถของฝ่ายคู่กรณี . กองทัพอากาศยืนยันว่า การกำหนดเป้าหมายทุกครั้งผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูลจากระบบตรวจจับและข่าวกรองภาคพื้นดิน และจากการตรวจสอบไม่พบว่ามีพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121844 . #News1live #News1 #กองทัพอากาศ #F16 #BM21 #ปอยเปต #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงมีการสู้รบอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์สำคัญ “เนิน 350” บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ช่วงชิงอำนาจการควบคุม
    .
    โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงระดมยิงอาวุธหนัก รวมถึงจรวด BM-21 ใส่พื้นที่พลเรือนและพื้นที่เกษตร ส่งผลให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินการป้องกันตัว
    .
    รายงานยืนยันว่า ทหารไทยเสียชีวิตจากการปะทะแล้ว 20 นาย และเสียชีวิตจากภารกิจอีก 1 นาย รวม 21 นาย ขณะที่ในพื้นที่เนิน 350 ยังมีทหารอีก 2 นายที่ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ เนื่องจากสถานการณ์การรบยังรุนแรง
    .
    กองทัพบกระบุว่า ฝ่ายไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้หลายจุด และจะดำเนินการตอบโต้เพื่อยับยั้งการรุกล้ำอธิปไตย พร้อมยืนยันภารกิจปกป้องประชาชนและความมั่นคงของประเทศ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121759
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปราสาทตาควาย #เนิน350 #กองทัพไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    กองทัพแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงมีการสู้รบอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจุดยุทธศาสตร์สำคัญ “เนิน 350” บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ช่วงชิงอำนาจการควบคุม . โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงระดมยิงอาวุธหนัก รวมถึงจรวด BM-21 ใส่พื้นที่พลเรือนและพื้นที่เกษตร ส่งผลให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินการป้องกันตัว . รายงานยืนยันว่า ทหารไทยเสียชีวิตจากการปะทะแล้ว 20 นาย และเสียชีวิตจากภารกิจอีก 1 นาย รวม 21 นาย ขณะที่ในพื้นที่เนิน 350 ยังมีทหารอีก 2 นายที่ยังไม่สามารถนำร่างออกมาได้ เนื่องจากสถานการณ์การรบยังรุนแรง . กองทัพบกระบุว่า ฝ่ายไทยยังคงควบคุมพื้นที่ได้หลายจุด และจะดำเนินการตอบโต้เพื่อยับยั้งการรุกล้ำอธิปไตย พร้อมยืนยันภารกิจปกป้องประชาชนและความมั่นคงของประเทศ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121759 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปราสาทตาควาย #เนิน350 #กองทัพไทย #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน! เกิดสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา หลังมีรายงานว่า ทหารไทยเปิดปฏิบัติการยิงถล่มเป้าหมายทางทหารในพื้นที่เมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา ตรงข้ามอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
    .
    โดยเมื่อเวลา 11.54 น. วันที่ 18 ธันวาคม เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปการโจมตี พร้อมระบุว่าเป็นการถล่มฐานทหารกัมพูชา จำนวน 5 พิกัด ในพื้นที่เมืองปอยเปต
    .
    รายงานระบุว่า การปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังตรวจพบการซ่องสุมกำลังพลและอาวุธของทหารกัมพูชา ซึ่งเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย
    .
    ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือความสูญเสียอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ โดยสถานการณ์ชายแดนยังอยู่ระหว่างการติดตามอย่างใกล้ชิด
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121788
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปอยเปต #ความมั่นคง #สถานการณ์ชายแดน
    ด่วน! เกิดสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา หลังมีรายงานว่า ทหารไทยเปิดปฏิบัติการยิงถล่มเป้าหมายทางทหารในพื้นที่เมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา ตรงข้ามอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว . โดยเมื่อเวลา 11.54 น. วันที่ 18 ธันวาคม เพจเฟซบุ๊ก Army Military Force ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปการโจมตี พร้อมระบุว่าเป็นการถล่มฐานทหารกัมพูชา จำนวน 5 พิกัด ในพื้นที่เมืองปอยเปต . รายงานระบุว่า การปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังตรวจพบการซ่องสุมกำลังพลและอาวุธของทหารกัมพูชา ซึ่งเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย . ขณะนี้ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือความสูญเสียอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรัฐ โดยสถานการณ์ชายแดนยังอยู่ระหว่างการติดตามอย่างใกล้ชิด . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121788 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ปอยเปต #ความมั่นคง #สถานการณ์ชายแดน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อ.ปานเทพ” เชิญชวนประชาชนร่วมกันใช้แพลตฟอร์ม phitakthai.com หรือ “พิทักษ์ไทย ดอท คอม” เพื่อแจ้งเบาะแสด้านความมั่นคงจากภาคประชาชน
    .
    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ระบุว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นหูเป็นตา สนับสนุนภารกิจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและทหารไทย
    .
    ประชาชนสามารถแจ้งเหตุหรือสิ่งผิดปกติที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อประสานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ
    .
    ย้ำว่าเป็นความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วยความปรารถนาดี เพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121073
    .
    #News1live #News1 #ปานเทพ #พิทักษ์ไทย #phitakthai #ความมั่นคง #ภาคประชาชน #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    “อ.ปานเทพ” เชิญชวนประชาชนร่วมกันใช้แพลตฟอร์ม phitakthai.com หรือ “พิทักษ์ไทย ดอท คอม” เพื่อแจ้งเบาะแสด้านความมั่นคงจากภาคประชาชน . นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ระบุว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นหูเป็นตา สนับสนุนภารกิจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและทหารไทย . ประชาชนสามารถแจ้งเหตุหรือสิ่งผิดปกติที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อประสานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ . ย้ำว่าเป็นความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วยความปรารถนาดี เพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121073 . #News1live #News1 #ปานเทพ #พิทักษ์ไทย #phitakthai #ความมั่นคง #ภาคประชาชน #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • ญี่ปุ่นยังล้าหลังด้านความมั่นคงไซเบอร์: คำเตือนจากหัวหน้าฝ่ายไซเบอร์

    หัวหน้าฝ่ายไซเบอร์ของญี่ปุ่นออกมาเตือนว่า ประเทศยังคง ล้าหลังด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล แม้จะมีการลงทุนและพัฒนามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะการขาดบุคลากรที่มีทักษะและการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อน.

    ช่องว่างด้านการป้องกันและบุคลากร
    รายงานชี้ว่า ญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหา การขาดผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ และการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ทำให้การรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น ransomware และการโจมตีจากรัฐชาติ เป็นไปอย่างยากลำบาก ความล่าช้าในการปรับปรุงระบบยังทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการโจมตีที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง.

    ความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    หัวหน้าฝ่ายไซเบอร์เตือนว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ เช่น พลังงาน การเงิน และการขนส่ง ยังคงเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ หากไม่เร่งปรับปรุงมาตรการป้องกัน อาจเกิดผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนและธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาจใช้เป็นจุดอ่อน.

    ความจำเป็นในการเร่งปรับตัว
    ญี่ปุ่นถูกเรียกร้องให้ ลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากยังคงล่าช้า อาจทำให้ประเทศเสียเปรียบในเวทีโลกและเสี่ยงต่อการโจมตีที่รุนแรงขึ้น.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สถานการณ์ปัจจุบันของญี่ปุ่น
    ยังล้าหลังด้านการป้องกันภัยไซเบอร์เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล
    การลงทุนเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่เพียงพอ

    ปัญหาหลักที่พบ
    ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านไซเบอร์
    โครงสร้างพื้นฐานยังล้าสมัย
    การตอบสนองต่อภัยคุกคามซับซ้อนยังไม่ทันการณ์

    ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
    โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น พลังงาน การเงิน การขนส่ง เสี่ยงต่อการโจมตี
    อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    หากไม่เร่งปรับปรุง ญี่ปุ่นอาจเสียเปรียบในเวทีโลก
    การโจมตีไซเบอร์อาจทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบวงกว้าง
    การขาดบุคลากรและการลงทุนที่ไม่เพียงพอคือจุดอ่อนสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/japans-cyber-chief-warns-nation-still-behind-on-cybersecurity
    🛡️ ญี่ปุ่นยังล้าหลังด้านความมั่นคงไซเบอร์: คำเตือนจากหัวหน้าฝ่ายไซเบอร์ หัวหน้าฝ่ายไซเบอร์ของญี่ปุ่นออกมาเตือนว่า ประเทศยังคง ล้าหลังด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล แม้จะมีการลงทุนและพัฒนามากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะการขาดบุคลากรที่มีทักษะและการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อน. 📉 ช่องว่างด้านการป้องกันและบุคลากร รายงานชี้ว่า ญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหา การขาดผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ และการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ทำให้การรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น ransomware และการโจมตีจากรัฐชาติ เป็นไปอย่างยากลำบาก ความล่าช้าในการปรับปรุงระบบยังทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการโจมตีที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง. 🌐 ความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ หัวหน้าฝ่ายไซเบอร์เตือนว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ เช่น พลังงาน การเงิน และการขนส่ง ยังคงเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ หากไม่เร่งปรับปรุงมาตรการป้องกัน อาจเกิดผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนและธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาจใช้เป็นจุดอ่อน. ⚠️ ความจำเป็นในการเร่งปรับตัว ญี่ปุ่นถูกเรียกร้องให้ ลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากยังคงล่าช้า อาจทำให้ประเทศเสียเปรียบในเวทีโลกและเสี่ยงต่อการโจมตีที่รุนแรงขึ้น. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สถานการณ์ปัจจุบันของญี่ปุ่น ➡️ ยังล้าหลังด้านการป้องกันภัยไซเบอร์เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล ➡️ การลงทุนเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่เพียงพอ ✅ ปัญหาหลักที่พบ ➡️ ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านไซเบอร์ ➡️ โครงสร้างพื้นฐานยังล้าสมัย ➡️ การตอบสนองต่อภัยคุกคามซับซ้อนยังไม่ทันการณ์ ✅ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ➡️ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น พลังงาน การเงิน การขนส่ง เสี่ยงต่อการโจมตี ➡️ อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ หากไม่เร่งปรับปรุง ญี่ปุ่นอาจเสียเปรียบในเวทีโลก ⛔ การโจมตีไซเบอร์อาจทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบวงกว้าง ⛔ การขาดบุคลากรและการลงทุนที่ไม่เพียงพอคือจุดอ่อนสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/10/japans-cyber-chief-warns-nation-still-behind-on-cybersecurity
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan's cyber chief warns nation still behind on cybersecurity
    Japan still lags behind the US and Europe in defending against cyber threats and improvements are needed across the corporate sector, the nation's new cyber chief said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพภาคที่ 2 ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชน ใช้สื่อโซเชียลอย่างระมัดระวังในสถานการณ์อ่อนไหว ย้ำแชร์เฉพาะข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว พร้อมงดเผยแพร่ภาพ-ข้อมูลปฏิบัติการทหาร เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000118161
    .
    #News1live #News1 #ทภ2 #สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา #ใช้สื่ออย่างระมัดระวัง #งดแชร์ภาพทหาร #ความมั่นคง
    กองทัพภาคที่ 2 ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชน ใช้สื่อโซเชียลอย่างระมัดระวังในสถานการณ์อ่อนไหว ย้ำแชร์เฉพาะข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว พร้อมงดเผยแพร่ภาพ-ข้อมูลปฏิบัติการทหาร เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000118161 . #News1live #News1 #ทภ2 #สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา #ใช้สื่ออย่างระมัดระวัง #งดแชร์ภาพทหาร #ความมั่นคง
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 929 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Amazon เผชิญศึกกฎหมายในฝรั่งเศส: ใบอนุญาตดาวเทียมอินเทอร์เน็ตถูกท้าทาย”

    Amazon ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของฝรั่งเศส (Arcep) ให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับโครงการดาวเทียมอินเทอร์เน็ตเป็นเวลา 10 ปี เพื่อสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) แข่งกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง SpaceX และ OneWeb อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงาน CFE-CGC Telecoms ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของฝรั่งเศสเพื่อขอให้ยกเลิกการอนุญาตดังกล่าว

    แรงงานมองว่าการให้สิทธิ์ Amazon อาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากข้อมูลการสื่อสารอาจถูกควบคุมโดยบริษัทต่างชาติ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการอนุมัติและผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมฝรั่งเศส

    กรณีนี้ถือเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับความทะเยอทะยานของ Amazon ในการเข้าสู่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือภูมิภาคที่โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม

    แม้จะมีความท้าทายทางกฎหมาย แต่ Amazon ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการดาวเทียม Kuiper ที่ตั้งเป้าจะให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และมองว่าการแข่งขันกับ SpaceX จะเป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้ได้เร็วขึ้น

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การอนุญาตจาก Arcep
    Amazon ได้สิทธิ์ใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม 10 ปี
    โครงการ Kuiper ตั้งเป้าให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

    การฟ้องร้องโดยสหภาพแรงงานฝรั่งเศส
    ยื่นต่อศาลสูงสุดเพื่อยกเลิกใบอนุญาต
    ตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและผลกระทบต่อการแข่งขัน

    เป้าหมายของ Amazon
    แข่งขันกับ SpaceX และ OneWeb ในตลาดดาวเทียมอินเทอร์เน็ต
    เน้นพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อกังวลด้านความมั่นคงและข้อมูล
    การควบคุมข้อมูลโดยบริษัทต่างชาติอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง
    อาจกระทบต่อผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/amazon039s-satellite-internet-licence-faces-legal-challenge-in-france
    🚀 “Amazon เผชิญศึกกฎหมายในฝรั่งเศส: ใบอนุญาตดาวเทียมอินเทอร์เน็ตถูกท้าทาย” Amazon ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมของฝรั่งเศส (Arcep) ให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับโครงการดาวเทียมอินเทอร์เน็ตเป็นเวลา 10 ปี เพื่อสร้างเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) แข่งกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง SpaceX และ OneWeb อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงาน CFE-CGC Telecoms ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของฝรั่งเศสเพื่อขอให้ยกเลิกการอนุญาตดังกล่าว แรงงานมองว่าการให้สิทธิ์ Amazon อาจสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากข้อมูลการสื่อสารอาจถูกควบคุมโดยบริษัทต่างชาติ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการอนุมัติและผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมฝรั่งเศส กรณีนี้ถือเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับความทะเยอทะยานของ Amazon ในการเข้าสู่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือภูมิภาคที่โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม แม้จะมีความท้าทายทางกฎหมาย แต่ Amazon ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการดาวเทียม Kuiper ที่ตั้งเป้าจะให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และมองว่าการแข่งขันกับ SpaceX จะเป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้ได้เร็วขึ้น 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การอนุญาตจาก Arcep ➡️ Amazon ได้สิทธิ์ใช้คลื่นความถี่ดาวเทียม 10 ปี ➡️ โครงการ Kuiper ตั้งเป้าให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ✅ การฟ้องร้องโดยสหภาพแรงงานฝรั่งเศส ➡️ ยื่นต่อศาลสูงสุดเพื่อยกเลิกใบอนุญาต ➡️ ตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและผลกระทบต่อการแข่งขัน ✅ เป้าหมายของ Amazon ➡️ แข่งขันกับ SpaceX และ OneWeb ในตลาดดาวเทียมอินเทอร์เน็ต ➡️ เน้นพื้นที่ชนบทและภูมิภาคที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ข้อกังวลด้านความมั่นคงและข้อมูล ⛔ การควบคุมข้อมูลโดยบริษัทต่างชาติอาจเสี่ยงต่อความมั่นคง ⛔ อาจกระทบต่อผู้ให้บริการโทรคมนาคมท้องถิ่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/amazon039s-satellite-internet-licence-faces-legal-challenge-in-france
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's satellite internet licence faces legal challenge in France
    (Reuters) -A French union filed a legal challenge on Monday against a decision by the country's telecoms regulator to grant radio spectrum to Amazon's satellite internet service, the biggest test yet of the U.S. tech giant's broadband ambitions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้
    วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042

    #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้ วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042 #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 882 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 985 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 3

    เมื่ออเมริกา ในสายตาของ CFR มองว่า จีนกำลังท้าทายอำนาจอันใหญ่ยิ่งของอเมริกาที่แผ่ไพศาล ปกคลุมโลกใบนี้ อย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาท้าทาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถ้าอเมริกาปล่อยให้จีนยืนยืดอก ท้าวสะเอว มองอเมริกาอย่างนี้ต่อไป อเมริกาคิดว่า หน้าตัวเองคงเหลือเพียงเสี้ยวเดียว ไม่รู้เสี้ยวบน หรือเสี้ยวล่าง อเมริกา โดยคำแนะนำ (หรือควรจะเรียกว่า คำสั่ง ?!) ของสุดกร่าง CFR จำเป็นจะต้องดำเนินการต่อไปนี้:

    – ป้องกัน ยับยั้ง และลดโอกาส การข่มขู่ หรือคุกคาม การรุกรานทั้งในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ บนดินแดนของอเมริกาเอง หรือที่อเมริกามีอำนาจปกครอง ( ข้อนี้ นอกจากจะหมายถึงอาเฮียเองแล้ว สงสัย ตั้งใจส่งผ่านไปให้น้องคิมของผม ที่เกาหลีเหนือด้วย)

    – รักษาดุลยอำนาจในยุโรปและเอเซีย โดยการสนับสนุนให้มีสันติภาพ และความมั่นคงภายใต้การเป็น “ผู้นำ” ของอเมริกาและพันธมิตรของอเมริกา ( ข้อนี้ เข้าใจว่า คุณพี่ปูติน ขวัญใจสาวๆ คงต้องมาร่วมรับการด่ากระทบ พร้อมกับอาเฮีย ..แหม แต่ไอ้สุดกร่าง มันเขียนได้กร่างจริงๆ)

    – ป้องกันมิให้มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือยับยั้งการขยายตัว ของการใช้อาวุธประเภทที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูง รวมทั้งจัดการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ วัสดุ และส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้ง การแพร่ขยาย และการเป็นตัวกลาง ผู้ให้การสนับสนุนระบบนิวเคลียร์ ( ข้อนี้ เข้าใจว่า ตั้งใจส่งข้อกล่าวหาหมู่ รวมเอาคุณพี่ปูติน และเสี่ยนิวเคลียร์สองลูกของผมที่อิหร่าน เข้าไปด้วย แต่ผมว่า ผู้ที่น่าจะต้องถูกควบคุมมากที่สุดตามข้อหานี้ น่าจะเป็นพระเจ้านักล่าใบตองแห้งเองมากกว่านะ ไอ้สุดกร่าง)

    – สร้างเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นในสากลโลก ( ข้อนี้ คงอยู่ในแบบฟอร์มมาตรฐาน ถ้าไม่เอามาใส่ เป้าหมายการดำเนินการมันจะชัดจนน่าเกลียด และก็ทำให้นึกถึง พวกสมุนฝรั่งในบ้านเรา ที่ชอบท่องสูตรนี้เป็นประจำ อย่างน่าเบื่อหน่าย)
    ในการดำเนินการข้างต้น สุดกร่างบอกอเมริกาเอง ก็ต้องจัดระเบียบในบ้านตัวเองใหม่เช่นกัน ไม่ใช่ร้องเพลงเดียวกันแต่คนละโน็ต เสียงหลง จนหมาแมวข้างบ้านทนฟังไม่ไหว หอนรับกันเกรียว…. นี่ มันสมเป็นกับถังขยะความคิดสุดกร่างจริงๆ

    – อเมริกาจะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจในบ้านตัวเองใหม่ ต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้าในเอเซียให้กระชับแน่นขี้น แน่นอน ยกเว้นกับจีน ซึ่งคงจะเป็นบทกระชากมาอัดมากกว่า และสร้างนโยบายด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ (geo-economic) ขึ้นในเอเซีย ระหว่างพันธมิตรของอเมริกา ที่มีความคิดในทิศทางเดียวกัน และหากลไกที่จะควบคุมจีนเช่นเดียวกัน(กับความคิดของอเมริกา) … ข้อนี้ อ่านกันสัก 2 รอบนะครับ จะได้เข้าใจว่า เขาหมายรวม หรือไม่รวม ไทยแลนด์แดนสยาม ของสมันน้อยเข้าไปด้วย ชอบคุยกันเองดีนัก ว่าจะวางนโยบายในประเทศยังไงเพื่อไปจับมือต่อ กับใครที่ไหน ระวังจะหน้าแตกแหกเยินกลับมาไม่รู้หรือไง ว่าเขาไม่นับตัวเป็นพวกแล้วนะ ไอ้พวกบ้าอยากเป็นขี้ข้าฝรั่ง คิดเป็นแต่เรื่อง จีดีพี

    – อเมริกาจะต้องเพิ่มงบประมาณลงทุน ในด้านความมั่นคงของประเทศขึ้นอีก เพื่อกองทัพของอเมริกา จะได้มีความพร้อมในการเอาชนะจีน ซึ่งรวมถึงเอาชนะการร่วมมือของฝ่ายจีนในการต่อต้านอเมริกาด้วย … นี่ก็เป็นการแจกของขวัญรวมของไอ้สุดกร่างนะครับ ว่าแต่ เขาหมายรวมไปถึงใครกันบ้าง …ที่เรียกว่า ฝ่ายจีน !?

    – อเมริกา จะต้องเสริมสร้างยุทธศาสตร์ ที่แสดงถึงสัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างอเมริกากับพันธมิตรในภูมิภาค ทั่วอาณาบริเวณอินโดแปซิฟิก เป็นยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พันธมิตร ที่จะรับมือกับจีนได้อย่างอิสระ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบของอเมริกา … อืม…..สัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ….นี่มันด่าเราหรือไง จริงๆ น่าจะเป็นเราด่ามันมากกว่านะครับ

    – อเมริกา ควรจะมีการเจรจาทางการทูตระดับสูงกับจีน เพื่อพยายามลดความตึงเครียดระหว่างจีนกับอเมริกา ที่มีอยู่อย่างล้ำลึกและตลอดเวลา และเพื่อให้พันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคนี้ เข้าใจว่าอเมริกามีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจีน .. เขียนด่าเขาสาดเสียเทเสียแบบนี้เนี่ยะนะ คิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า.…แหลน่าดูเลย ไอ้กร่าง
    Grand Strategy นี้ สุดกร่างบอกว่า จะต้องดำเนินการภายใต้การนำของโอบามา และผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป แม้ว่าจะมีเรื่องความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดกับรัสเซียเกิด ขึ้นอยู่ก็ตาม แต่ผู้นำของอเมริกา จะไม่จัดการให้มี Grand Strategy กับจีนไม่ได้ เพราะ การผงาดขึ้นมาของจีน เป็นการท้าทายอเมริกาไปอีกหลายทศวรรษ ผู้นำอเมริกาจะต้องเป็นผู้ลงมือถือบังเหียน และแส้เอง และจะต้องเป็นผู้เดินสาย ไปนั่งจับเข่าพูดกับผู้นำของเอเซีย และยุโรป ด้วยตนเอง

    และสำหรับฝ่ายรัฐสภา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ Grand Strategy นี้เกิดขึ้น ก็จะต้องให้ความร่วมมือ ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต้องสนับสนุนให้อำนาจประธานาธิบดี ในการเดินหน้าเรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) การทำสัญญาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ในเอเซีย การปรับปรุงเรื่องกองทัพ และงบประมาณที่สำคัญสำหรับการคงอำนาจของอเมริกาในภูมิภาคนี้ และที่จะตอบโต้การเติบโตของจีน

    อ่านบทความนี้ ถึงตอนนี้ ผมใกล้จะเชื่อเต็มทีแล้วว่า นายโอบามา น่าจะเป็นเพียงเสมียนประจำทำเนียบขาว และ CFR น่าจะเป็นผู้นำของอเมริกาตัวจริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 3 เมื่ออเมริกา ในสายตาของ CFR มองว่า จีนกำลังท้าทายอำนาจอันใหญ่ยิ่งของอเมริกาที่แผ่ไพศาล ปกคลุมโลกใบนี้ อย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาท้าทาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถ้าอเมริกาปล่อยให้จีนยืนยืดอก ท้าวสะเอว มองอเมริกาอย่างนี้ต่อไป อเมริกาคิดว่า หน้าตัวเองคงเหลือเพียงเสี้ยวเดียว ไม่รู้เสี้ยวบน หรือเสี้ยวล่าง อเมริกา โดยคำแนะนำ (หรือควรจะเรียกว่า คำสั่ง ?!) ของสุดกร่าง CFR จำเป็นจะต้องดำเนินการต่อไปนี้: – ป้องกัน ยับยั้ง และลดโอกาส การข่มขู่ หรือคุกคาม การรุกรานทั้งในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ บนดินแดนของอเมริกาเอง หรือที่อเมริกามีอำนาจปกครอง ( ข้อนี้ นอกจากจะหมายถึงอาเฮียเองแล้ว สงสัย ตั้งใจส่งผ่านไปให้น้องคิมของผม ที่เกาหลีเหนือด้วย) – รักษาดุลยอำนาจในยุโรปและเอเซีย โดยการสนับสนุนให้มีสันติภาพ และความมั่นคงภายใต้การเป็น “ผู้นำ” ของอเมริกาและพันธมิตรของอเมริกา ( ข้อนี้ เข้าใจว่า คุณพี่ปูติน ขวัญใจสาวๆ คงต้องมาร่วมรับการด่ากระทบ พร้อมกับอาเฮีย ..แหม แต่ไอ้สุดกร่าง มันเขียนได้กร่างจริงๆ) – ป้องกันมิให้มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือยับยั้งการขยายตัว ของการใช้อาวุธประเภทที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูง รวมทั้งจัดการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ วัสดุ และส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้ง การแพร่ขยาย และการเป็นตัวกลาง ผู้ให้การสนับสนุนระบบนิวเคลียร์ ( ข้อนี้ เข้าใจว่า ตั้งใจส่งข้อกล่าวหาหมู่ รวมเอาคุณพี่ปูติน และเสี่ยนิวเคลียร์สองลูกของผมที่อิหร่าน เข้าไปด้วย แต่ผมว่า ผู้ที่น่าจะต้องถูกควบคุมมากที่สุดตามข้อหานี้ น่าจะเป็นพระเจ้านักล่าใบตองแห้งเองมากกว่านะ ไอ้สุดกร่าง) – สร้างเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นในสากลโลก ( ข้อนี้ คงอยู่ในแบบฟอร์มมาตรฐาน ถ้าไม่เอามาใส่ เป้าหมายการดำเนินการมันจะชัดจนน่าเกลียด และก็ทำให้นึกถึง พวกสมุนฝรั่งในบ้านเรา ที่ชอบท่องสูตรนี้เป็นประจำ อย่างน่าเบื่อหน่าย) ในการดำเนินการข้างต้น สุดกร่างบอกอเมริกาเอง ก็ต้องจัดระเบียบในบ้านตัวเองใหม่เช่นกัน ไม่ใช่ร้องเพลงเดียวกันแต่คนละโน็ต เสียงหลง จนหมาแมวข้างบ้านทนฟังไม่ไหว หอนรับกันเกรียว…. นี่ มันสมเป็นกับถังขยะความคิดสุดกร่างจริงๆ – อเมริกาจะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจในบ้านตัวเองใหม่ ต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้าในเอเซียให้กระชับแน่นขี้น แน่นอน ยกเว้นกับจีน ซึ่งคงจะเป็นบทกระชากมาอัดมากกว่า และสร้างนโยบายด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ (geo-economic) ขึ้นในเอเซีย ระหว่างพันธมิตรของอเมริกา ที่มีความคิดในทิศทางเดียวกัน และหากลไกที่จะควบคุมจีนเช่นเดียวกัน(กับความคิดของอเมริกา) … ข้อนี้ อ่านกันสัก 2 รอบนะครับ จะได้เข้าใจว่า เขาหมายรวม หรือไม่รวม ไทยแลนด์แดนสยาม ของสมันน้อยเข้าไปด้วย ชอบคุยกันเองดีนัก ว่าจะวางนโยบายในประเทศยังไงเพื่อไปจับมือต่อ กับใครที่ไหน ระวังจะหน้าแตกแหกเยินกลับมาไม่รู้หรือไง ว่าเขาไม่นับตัวเป็นพวกแล้วนะ ไอ้พวกบ้าอยากเป็นขี้ข้าฝรั่ง คิดเป็นแต่เรื่อง จีดีพี – อเมริกาจะต้องเพิ่มงบประมาณลงทุน ในด้านความมั่นคงของประเทศขึ้นอีก เพื่อกองทัพของอเมริกา จะได้มีความพร้อมในการเอาชนะจีน ซึ่งรวมถึงเอาชนะการร่วมมือของฝ่ายจีนในการต่อต้านอเมริกาด้วย … นี่ก็เป็นการแจกของขวัญรวมของไอ้สุดกร่างนะครับ ว่าแต่ เขาหมายรวมไปถึงใครกันบ้าง …ที่เรียกว่า ฝ่ายจีน !? – อเมริกา จะต้องเสริมสร้างยุทธศาสตร์ ที่แสดงถึงสัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างอเมริกากับพันธมิตรในภูมิภาค ทั่วอาณาบริเวณอินโดแปซิฟิก เป็นยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พันธมิตร ที่จะรับมือกับจีนได้อย่างอิสระ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบของอเมริกา … อืม…..สัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ….นี่มันด่าเราหรือไง จริงๆ น่าจะเป็นเราด่ามันมากกว่านะครับ – อเมริกา ควรจะมีการเจรจาทางการทูตระดับสูงกับจีน เพื่อพยายามลดความตึงเครียดระหว่างจีนกับอเมริกา ที่มีอยู่อย่างล้ำลึกและตลอดเวลา และเพื่อให้พันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคนี้ เข้าใจว่าอเมริกามีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจีน .. เขียนด่าเขาสาดเสียเทเสียแบบนี้เนี่ยะนะ คิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า.…แหลน่าดูเลย ไอ้กร่าง Grand Strategy นี้ สุดกร่างบอกว่า จะต้องดำเนินการภายใต้การนำของโอบามา และผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป แม้ว่าจะมีเรื่องความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดกับรัสเซียเกิด ขึ้นอยู่ก็ตาม แต่ผู้นำของอเมริกา จะไม่จัดการให้มี Grand Strategy กับจีนไม่ได้ เพราะ การผงาดขึ้นมาของจีน เป็นการท้าทายอเมริกาไปอีกหลายทศวรรษ ผู้นำอเมริกาจะต้องเป็นผู้ลงมือถือบังเหียน และแส้เอง และจะต้องเป็นผู้เดินสาย ไปนั่งจับเข่าพูดกับผู้นำของเอเซีย และยุโรป ด้วยตนเอง และสำหรับฝ่ายรัฐสภา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ Grand Strategy นี้เกิดขึ้น ก็จะต้องให้ความร่วมมือ ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต้องสนับสนุนให้อำนาจประธานาธิบดี ในการเดินหน้าเรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) การทำสัญญาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ในเอเซีย การปรับปรุงเรื่องกองทัพ และงบประมาณที่สำคัญสำหรับการคงอำนาจของอเมริกาในภูมิภาคนี้ และที่จะตอบโต้การเติบโตของจีน อ่านบทความนี้ ถึงตอนนี้ ผมใกล้จะเชื่อเต็มทีแล้วว่า นายโอบามา น่าจะเป็นเพียงเสมียนประจำทำเนียบขาว และ CFR น่าจะเป็นผู้นำของอเมริกาตัวจริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 793 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1249 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยไม่เสียเปรียบเขมร ยั่วยุ-รุกราน จัดเต็มแน่ : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ยืนยัน เรื่องภัยกัมพูชาเราไม่เสียเปรียบแน่ ทุกวันนี้ไม่มีการยิง ไม่มีการรุกราน ไม่มีการยั่วยุตามชายแดน เพราะข้อความไปถึงเขาว่าถ้ามาก็จัดเต็ม เขาคิดแล้วว่าอย่ามาดีกว่า แต่จะเอาสิ่งที่แพลนอยู่บอกให้เขาเตรียมตัว ไม่เคยมีในสมองของนายกฯ คนนี้ ไปเจอคนที่อยู่แนวชายแดน ถามว่าให้เปิดด่าน 100% ไหม เขาบอกว่ายอมเดือดร้อน เราฟังเขา ไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยต้องใช้วิธีสากล สถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไป เดี๋ยวจะถูกกระทืบ รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ รับรองไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติยศอธิปไตยตรงนี้เท่าไหร่ก็ต้องแลก


    โต้เฟกนิวส์ 9 ข้อกัมพูชา

    ปั่นข่าวเข้าข้างตัวเอง

    เศรษฐกิจไทย"รถติดหล่ม"

    ทางช้างเผือกกลางแสงเขียว
    ไทยไม่เสียเปรียบเขมร ยั่วยุ-รุกราน จัดเต็มแน่ : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ยืนยัน เรื่องภัยกัมพูชาเราไม่เสียเปรียบแน่ ทุกวันนี้ไม่มีการยิง ไม่มีการรุกราน ไม่มีการยั่วยุตามชายแดน เพราะข้อความไปถึงเขาว่าถ้ามาก็จัดเต็ม เขาคิดแล้วว่าอย่ามาดีกว่า แต่จะเอาสิ่งที่แพลนอยู่บอกให้เขาเตรียมตัว ไม่เคยมีในสมองของนายกฯ คนนี้ ไปเจอคนที่อยู่แนวชายแดน ถามว่าให้เปิดด่าน 100% ไหม เขาบอกว่ายอมเดือดร้อน เราฟังเขา ไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยต้องใช้วิธีสากล สถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไป เดี๋ยวจะถูกกระทืบ รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ รับรองไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติยศอธิปไตยตรงนี้เท่าไหร่ก็ต้องแลก โต้เฟกนิวส์ 9 ข้อกัมพูชา ปั่นข่าวเข้าข้างตัวเอง เศรษฐกิจไทย"รถติดหล่ม" ทางช้างเผือกกลางแสงเขียว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1038 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 2

    คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้

    ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก

    ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ
    – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2
    – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1
    – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ
    – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม

    แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก

    นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า

    ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
    ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้

    นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้…

    The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…”

    Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม

    Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า

    “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก

    ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ”

    หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ”
    และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่

    นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ

    รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 2 คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้ ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้ นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้… The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…” Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ” หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ” และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่ นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 815 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 631 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 11

    เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย

    อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด

    ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์

    แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน

    อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ

    กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น

    สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา
    ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า

    เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา

    รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย

    ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป

    เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน…

    สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 11 เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์ แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน… สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 577 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย
    การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก
    นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!!
    หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม
    Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้
    Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด)
    Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ
    “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก”
    ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว”
    ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้”
    นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง”
    Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda”
    นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย
    CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน
    สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2%
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55%
    เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!! หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้ Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด) Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก” ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว” ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้” นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง” Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda” นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2% สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55% เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 651 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4 ข้อ ภัยความมั่นคง ไม่ทำไม่เจรจา! : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ฝ่ายไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ



    ขอเก็บระเบิดในเขตไทย

    ซีลชายแดนใต้เข้มข้น

    เลิก MOU ควรถามประชาชน

    อิสราเอล-ฮามาส รับสันติภาพ
    4 ข้อ ภัยความมั่นคง ไม่ทำไม่เจรจา! : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ฝ่ายไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ขอเก็บระเบิดในเขตไทย ซีลชายแดนใต้เข้มข้น เลิก MOU ควรถามประชาชน อิสราเอล-ฮามาส รับสันติภาพ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 583 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ตอบ "ทรัมป์" กัมพูชาต้องทำ 4 ข้อเสนอไทย : [THE MESSAGE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงเงื่อนไข 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดการพูดคุยกับกัมพูชาต่อได้ คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ไม่มีคำว่าเดดไลน์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป ไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน เตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง ไม่สนถูกมองเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่ และจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
    ตอบ "ทรัมป์" กัมพูชาต้องทำ 4 ข้อเสนอไทย : [THE MESSAGE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงเงื่อนไข 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดการพูดคุยกับกัมพูชาต่อได้ คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ไม่มีคำว่าเดดไลน์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป ไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน เตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง ไม่สนถูกมองเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่ และจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 664 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ”

    ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026

    ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ

    การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache

    ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026
    ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน
    ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank
    มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache
    Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments
    ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร
    บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง
    การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์
    การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด
    หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน
    การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS
    ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี
    การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    💳 “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ” ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ➡️ ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน ➡️ ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank ➡️ มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache ➡️ Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments ➡️ ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร ➡️ บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ➡️ ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง ➡️ การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์ ➡️ การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด ⛔ หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน ⛔ การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS ⛔ ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี ⛔ การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts