• CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้
    วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

    อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042

    #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    CAAT คุมเข้มสั่งห้ามโดรนบิน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ยกระดับความมั่นคง 16-30 พ.ย. นี้ วันนี้ (14 พ.ย.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 10 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด อ่านต่อ…https://news1live.com/detail/9680000109042 #News1 #news1live #ข่าวnews1 #ห้ามบินโดรน #โดรน #ไทยกัมพูชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 3

    เมื่ออเมริกา ในสายตาของ CFR มองว่า จีนกำลังท้าทายอำนาจอันใหญ่ยิ่งของอเมริกาที่แผ่ไพศาล ปกคลุมโลกใบนี้ อย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาท้าทาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถ้าอเมริกาปล่อยให้จีนยืนยืดอก ท้าวสะเอว มองอเมริกาอย่างนี้ต่อไป อเมริกาคิดว่า หน้าตัวเองคงเหลือเพียงเสี้ยวเดียว ไม่รู้เสี้ยวบน หรือเสี้ยวล่าง อเมริกา โดยคำแนะนำ (หรือควรจะเรียกว่า คำสั่ง ?!) ของสุดกร่าง CFR จำเป็นจะต้องดำเนินการต่อไปนี้:

    – ป้องกัน ยับยั้ง และลดโอกาส การข่มขู่ หรือคุกคาม การรุกรานทั้งในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ บนดินแดนของอเมริกาเอง หรือที่อเมริกามีอำนาจปกครอง ( ข้อนี้ นอกจากจะหมายถึงอาเฮียเองแล้ว สงสัย ตั้งใจส่งผ่านไปให้น้องคิมของผม ที่เกาหลีเหนือด้วย)

    – รักษาดุลยอำนาจในยุโรปและเอเซีย โดยการสนับสนุนให้มีสันติภาพ และความมั่นคงภายใต้การเป็น “ผู้นำ” ของอเมริกาและพันธมิตรของอเมริกา ( ข้อนี้ เข้าใจว่า คุณพี่ปูติน ขวัญใจสาวๆ คงต้องมาร่วมรับการด่ากระทบ พร้อมกับอาเฮีย ..แหม แต่ไอ้สุดกร่าง มันเขียนได้กร่างจริงๆ)

    – ป้องกันมิให้มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือยับยั้งการขยายตัว ของการใช้อาวุธประเภทที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูง รวมทั้งจัดการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ วัสดุ และส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้ง การแพร่ขยาย และการเป็นตัวกลาง ผู้ให้การสนับสนุนระบบนิวเคลียร์ ( ข้อนี้ เข้าใจว่า ตั้งใจส่งข้อกล่าวหาหมู่ รวมเอาคุณพี่ปูติน และเสี่ยนิวเคลียร์สองลูกของผมที่อิหร่าน เข้าไปด้วย แต่ผมว่า ผู้ที่น่าจะต้องถูกควบคุมมากที่สุดตามข้อหานี้ น่าจะเป็นพระเจ้านักล่าใบตองแห้งเองมากกว่านะ ไอ้สุดกร่าง)

    – สร้างเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นในสากลโลก ( ข้อนี้ คงอยู่ในแบบฟอร์มมาตรฐาน ถ้าไม่เอามาใส่ เป้าหมายการดำเนินการมันจะชัดจนน่าเกลียด และก็ทำให้นึกถึง พวกสมุนฝรั่งในบ้านเรา ที่ชอบท่องสูตรนี้เป็นประจำ อย่างน่าเบื่อหน่าย)
    ในการดำเนินการข้างต้น สุดกร่างบอกอเมริกาเอง ก็ต้องจัดระเบียบในบ้านตัวเองใหม่เช่นกัน ไม่ใช่ร้องเพลงเดียวกันแต่คนละโน็ต เสียงหลง จนหมาแมวข้างบ้านทนฟังไม่ไหว หอนรับกันเกรียว…. นี่ มันสมเป็นกับถังขยะความคิดสุดกร่างจริงๆ

    – อเมริกาจะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจในบ้านตัวเองใหม่ ต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้าในเอเซียให้กระชับแน่นขี้น แน่นอน ยกเว้นกับจีน ซึ่งคงจะเป็นบทกระชากมาอัดมากกว่า และสร้างนโยบายด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ (geo-economic) ขึ้นในเอเซีย ระหว่างพันธมิตรของอเมริกา ที่มีความคิดในทิศทางเดียวกัน และหากลไกที่จะควบคุมจีนเช่นเดียวกัน(กับความคิดของอเมริกา) … ข้อนี้ อ่านกันสัก 2 รอบนะครับ จะได้เข้าใจว่า เขาหมายรวม หรือไม่รวม ไทยแลนด์แดนสยาม ของสมันน้อยเข้าไปด้วย ชอบคุยกันเองดีนัก ว่าจะวางนโยบายในประเทศยังไงเพื่อไปจับมือต่อ กับใครที่ไหน ระวังจะหน้าแตกแหกเยินกลับมาไม่รู้หรือไง ว่าเขาไม่นับตัวเป็นพวกแล้วนะ ไอ้พวกบ้าอยากเป็นขี้ข้าฝรั่ง คิดเป็นแต่เรื่อง จีดีพี

    – อเมริกาจะต้องเพิ่มงบประมาณลงทุน ในด้านความมั่นคงของประเทศขึ้นอีก เพื่อกองทัพของอเมริกา จะได้มีความพร้อมในการเอาชนะจีน ซึ่งรวมถึงเอาชนะการร่วมมือของฝ่ายจีนในการต่อต้านอเมริกาด้วย … นี่ก็เป็นการแจกของขวัญรวมของไอ้สุดกร่างนะครับ ว่าแต่ เขาหมายรวมไปถึงใครกันบ้าง …ที่เรียกว่า ฝ่ายจีน !?

    – อเมริกา จะต้องเสริมสร้างยุทธศาสตร์ ที่แสดงถึงสัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างอเมริกากับพันธมิตรในภูมิภาค ทั่วอาณาบริเวณอินโดแปซิฟิก เป็นยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พันธมิตร ที่จะรับมือกับจีนได้อย่างอิสระ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบของอเมริกา … อืม…..สัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ….นี่มันด่าเราหรือไง จริงๆ น่าจะเป็นเราด่ามันมากกว่านะครับ

    – อเมริกา ควรจะมีการเจรจาทางการทูตระดับสูงกับจีน เพื่อพยายามลดความตึงเครียดระหว่างจีนกับอเมริกา ที่มีอยู่อย่างล้ำลึกและตลอดเวลา และเพื่อให้พันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคนี้ เข้าใจว่าอเมริกามีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจีน .. เขียนด่าเขาสาดเสียเทเสียแบบนี้เนี่ยะนะ คิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า.…แหลน่าดูเลย ไอ้กร่าง
    Grand Strategy นี้ สุดกร่างบอกว่า จะต้องดำเนินการภายใต้การนำของโอบามา และผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป แม้ว่าจะมีเรื่องความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดกับรัสเซียเกิด ขึ้นอยู่ก็ตาม แต่ผู้นำของอเมริกา จะไม่จัดการให้มี Grand Strategy กับจีนไม่ได้ เพราะ การผงาดขึ้นมาของจีน เป็นการท้าทายอเมริกาไปอีกหลายทศวรรษ ผู้นำอเมริกาจะต้องเป็นผู้ลงมือถือบังเหียน และแส้เอง และจะต้องเป็นผู้เดินสาย ไปนั่งจับเข่าพูดกับผู้นำของเอเซีย และยุโรป ด้วยตนเอง

    และสำหรับฝ่ายรัฐสภา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ Grand Strategy นี้เกิดขึ้น ก็จะต้องให้ความร่วมมือ ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต้องสนับสนุนให้อำนาจประธานาธิบดี ในการเดินหน้าเรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) การทำสัญญาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ในเอเซีย การปรับปรุงเรื่องกองทัพ และงบประมาณที่สำคัญสำหรับการคงอำนาจของอเมริกาในภูมิภาคนี้ และที่จะตอบโต้การเติบโตของจีน

    อ่านบทความนี้ ถึงตอนนี้ ผมใกล้จะเชื่อเต็มทีแล้วว่า นายโอบามา น่าจะเป็นเพียงเสมียนประจำทำเนียบขาว และ CFR น่าจะเป็นผู้นำของอเมริกาตัวจริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 3 เมื่ออเมริกา ในสายตาของ CFR มองว่า จีนกำลังท้าทายอำนาจอันใหญ่ยิ่งของอเมริกาที่แผ่ไพศาล ปกคลุมโลกใบนี้ อย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาท้าทาย ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถ้าอเมริกาปล่อยให้จีนยืนยืดอก ท้าวสะเอว มองอเมริกาอย่างนี้ต่อไป อเมริกาคิดว่า หน้าตัวเองคงเหลือเพียงเสี้ยวเดียว ไม่รู้เสี้ยวบน หรือเสี้ยวล่าง อเมริกา โดยคำแนะนำ (หรือควรจะเรียกว่า คำสั่ง ?!) ของสุดกร่าง CFR จำเป็นจะต้องดำเนินการต่อไปนี้: – ป้องกัน ยับยั้ง และลดโอกาส การข่มขู่ หรือคุกคาม การรุกรานทั้งในรูปแบบ หรือนอกรูปแบบ บนดินแดนของอเมริกาเอง หรือที่อเมริกามีอำนาจปกครอง ( ข้อนี้ นอกจากจะหมายถึงอาเฮียเองแล้ว สงสัย ตั้งใจส่งผ่านไปให้น้องคิมของผม ที่เกาหลีเหนือด้วย) – รักษาดุลยอำนาจในยุโรปและเอเซีย โดยการสนับสนุนให้มีสันติภาพ และความมั่นคงภายใต้การเป็น “ผู้นำ” ของอเมริกาและพันธมิตรของอเมริกา ( ข้อนี้ เข้าใจว่า คุณพี่ปูติน ขวัญใจสาวๆ คงต้องมาร่วมรับการด่ากระทบ พร้อมกับอาเฮีย ..แหม แต่ไอ้สุดกร่าง มันเขียนได้กร่างจริงๆ) – ป้องกันมิให้มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรือยับยั้งการขยายตัว ของการใช้อาวุธประเภทที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูง รวมทั้งจัดการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ วัสดุ และส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้ง การแพร่ขยาย และการเป็นตัวกลาง ผู้ให้การสนับสนุนระบบนิวเคลียร์ ( ข้อนี้ เข้าใจว่า ตั้งใจส่งข้อกล่าวหาหมู่ รวมเอาคุณพี่ปูติน และเสี่ยนิวเคลียร์สองลูกของผมที่อิหร่าน เข้าไปด้วย แต่ผมว่า ผู้ที่น่าจะต้องถูกควบคุมมากที่สุดตามข้อหานี้ น่าจะเป็นพระเจ้านักล่าใบตองแห้งเองมากกว่านะ ไอ้สุดกร่าง) – สร้างเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดขึ้นในสากลโลก ( ข้อนี้ คงอยู่ในแบบฟอร์มมาตรฐาน ถ้าไม่เอามาใส่ เป้าหมายการดำเนินการมันจะชัดจนน่าเกลียด และก็ทำให้นึกถึง พวกสมุนฝรั่งในบ้านเรา ที่ชอบท่องสูตรนี้เป็นประจำ อย่างน่าเบื่อหน่าย) ในการดำเนินการข้างต้น สุดกร่างบอกอเมริกาเอง ก็ต้องจัดระเบียบในบ้านตัวเองใหม่เช่นกัน ไม่ใช่ร้องเพลงเดียวกันแต่คนละโน็ต เสียงหลง จนหมาแมวข้างบ้านทนฟังไม่ไหว หอนรับกันเกรียว…. นี่ มันสมเป็นกับถังขยะความคิดสุดกร่างจริงๆ – อเมริกาจะต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจในบ้านตัวเองใหม่ ต้องสร้างสัมพันธ์ทางการค้าในเอเซียให้กระชับแน่นขี้น แน่นอน ยกเว้นกับจีน ซึ่งคงจะเป็นบทกระชากมาอัดมากกว่า และสร้างนโยบายด้านภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ (geo-economic) ขึ้นในเอเซีย ระหว่างพันธมิตรของอเมริกา ที่มีความคิดในทิศทางเดียวกัน และหากลไกที่จะควบคุมจีนเช่นเดียวกัน(กับความคิดของอเมริกา) … ข้อนี้ อ่านกันสัก 2 รอบนะครับ จะได้เข้าใจว่า เขาหมายรวม หรือไม่รวม ไทยแลนด์แดนสยาม ของสมันน้อยเข้าไปด้วย ชอบคุยกันเองดีนัก ว่าจะวางนโยบายในประเทศยังไงเพื่อไปจับมือต่อ กับใครที่ไหน ระวังจะหน้าแตกแหกเยินกลับมาไม่รู้หรือไง ว่าเขาไม่นับตัวเป็นพวกแล้วนะ ไอ้พวกบ้าอยากเป็นขี้ข้าฝรั่ง คิดเป็นแต่เรื่อง จีดีพี – อเมริกาจะต้องเพิ่มงบประมาณลงทุน ในด้านความมั่นคงของประเทศขึ้นอีก เพื่อกองทัพของอเมริกา จะได้มีความพร้อมในการเอาชนะจีน ซึ่งรวมถึงเอาชนะการร่วมมือของฝ่ายจีนในการต่อต้านอเมริกาด้วย … นี่ก็เป็นการแจกของขวัญรวมของไอ้สุดกร่างนะครับ ว่าแต่ เขาหมายรวมไปถึงใครกันบ้าง …ที่เรียกว่า ฝ่ายจีน !? – อเมริกา จะต้องเสริมสร้างยุทธศาสตร์ ที่แสดงถึงสัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างอเมริกากับพันธมิตรในภูมิภาค ทั่วอาณาบริเวณอินโดแปซิฟิก เป็นยุทธศาสตร์ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พันธมิตร ที่จะรับมือกับจีนได้อย่างอิสระ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน และการสนับสนุนอย่างเป็นระบบของอเมริกา … อืม…..สัมพันธภาพ ที่มาจากความไว้เนื้อเชื่อใจ ….นี่มันด่าเราหรือไง จริงๆ น่าจะเป็นเราด่ามันมากกว่านะครับ – อเมริกา ควรจะมีการเจรจาทางการทูตระดับสูงกับจีน เพื่อพยายามลดความตึงเครียดระหว่างจีนกับอเมริกา ที่มีอยู่อย่างล้ำลึกและตลอดเวลา และเพื่อให้พันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคนี้ เข้าใจว่าอเมริกามีวัตถุประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจีน .. เขียนด่าเขาสาดเสียเทเสียแบบนี้เนี่ยะนะ คิดหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า.…แหลน่าดูเลย ไอ้กร่าง Grand Strategy นี้ สุดกร่างบอกว่า จะต้องดำเนินการภายใต้การนำของโอบามา และผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป แม้ว่าจะมีเรื่องความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่ในตะวันออกกลาง และความตึงเครียดกับรัสเซียเกิด ขึ้นอยู่ก็ตาม แต่ผู้นำของอเมริกา จะไม่จัดการให้มี Grand Strategy กับจีนไม่ได้ เพราะ การผงาดขึ้นมาของจีน เป็นการท้าทายอเมริกาไปอีกหลายทศวรรษ ผู้นำอเมริกาจะต้องเป็นผู้ลงมือถือบังเหียน และแส้เอง และจะต้องเป็นผู้เดินสาย ไปนั่งจับเข่าพูดกับผู้นำของเอเซีย และยุโรป ด้วยตนเอง และสำหรับฝ่ายรัฐสภา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ Grand Strategy นี้เกิดขึ้น ก็จะต้องให้ความร่วมมือ ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ต้องสนับสนุนให้อำนาจประธานาธิบดี ในการเดินหน้าเรื่อง Trans-Pacific Partnership (TPP) การทำสัญญาทางการค้าที่กำลังดำเนินอยู่ในเอเซีย การปรับปรุงเรื่องกองทัพ และงบประมาณที่สำคัญสำหรับการคงอำนาจของอเมริกาในภูมิภาคนี้ และที่จะตอบโต้การเติบโตของจีน อ่านบทความนี้ ถึงตอนนี้ ผมใกล้จะเชื่อเต็มทีแล้วว่า นายโอบามา น่าจะเป็นเพียงเสมียนประจำทำเนียบขาว และ CFR น่าจะเป็นผู้นำของอเมริกาตัวจริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยไม่เสียเปรียบเขมร ยั่วยุ-รุกราน จัดเต็มแน่ : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ยืนยัน เรื่องภัยกัมพูชาเราไม่เสียเปรียบแน่ ทุกวันนี้ไม่มีการยิง ไม่มีการรุกราน ไม่มีการยั่วยุตามชายแดน เพราะข้อความไปถึงเขาว่าถ้ามาก็จัดเต็ม เขาคิดแล้วว่าอย่ามาดีกว่า แต่จะเอาสิ่งที่แพลนอยู่บอกให้เขาเตรียมตัว ไม่เคยมีในสมองของนายกฯ คนนี้ ไปเจอคนที่อยู่แนวชายแดน ถามว่าให้เปิดด่าน 100% ไหม เขาบอกว่ายอมเดือดร้อน เราฟังเขา ไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยต้องใช้วิธีสากล สถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไป เดี๋ยวจะถูกกระทืบ รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ รับรองไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติยศอธิปไตยตรงนี้เท่าไหร่ก็ต้องแลก


    โต้เฟกนิวส์ 9 ข้อกัมพูชา

    ปั่นข่าวเข้าข้างตัวเอง

    เศรษฐกิจไทย"รถติดหล่ม"

    ทางช้างเผือกกลางแสงเขียว
    ไทยไม่เสียเปรียบเขมร ยั่วยุ-รุกราน จัดเต็มแน่ : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ยืนยัน เรื่องภัยกัมพูชาเราไม่เสียเปรียบแน่ ทุกวันนี้ไม่มีการยิง ไม่มีการรุกราน ไม่มีการยั่วยุตามชายแดน เพราะข้อความไปถึงเขาว่าถ้ามาก็จัดเต็ม เขาคิดแล้วว่าอย่ามาดีกว่า แต่จะเอาสิ่งที่แพลนอยู่บอกให้เขาเตรียมตัว ไม่เคยมีในสมองของนายกฯ คนนี้ ไปเจอคนที่อยู่แนวชายแดน ถามว่าให้เปิดด่าน 100% ไหม เขาบอกว่ายอมเดือดร้อน เราฟังเขา ไม่มีเรื่องการเปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะหมดไป ถ้าอยู่ในเขตเรา เราไล่อยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในเขตที่สงสัยต้องใช้วิธีสากล สถานการณ์โควิดปลูกฝังความอดทนว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม แต่อย่าช้าเกินไป เดี๋ยวจะถูกกระทืบ รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ รับรองไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติยศอธิปไตยตรงนี้เท่าไหร่ก็ต้องแลก โต้เฟกนิวส์ 9 ข้อกัมพูชา ปั่นข่าวเข้าข้างตัวเอง เศรษฐกิจไทย"รถติดหล่ม" ทางช้างเผือกกลางแสงเขียว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2
    “รุกฆาต หรือ รุกคืบ”
    ตอนที่ 2

    คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้

    ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก

    ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ
    – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2
    – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1
    – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ
    – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม

    แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก

    นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า

    ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
    ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้

    นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้…

    The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…”

    Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม

    Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า

    “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก

    ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ”

    หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ”
    และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่

    นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ

    รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ธค. 2557
    รุกฆาต หรือ รุกคืบ ตอนที่ 2 “รุกฆาต หรือ รุกคืบ” ตอนที่ 2 คงจำกันได้ เมื่อปี ค.ศ. 2011 อเมริกามีปัญหาถังแตก กระเป๋าฉีก (เป็นบ่อยเหมือนกันนะ ไหนว่ารวยไง) จะต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นการใหญ่ ฝ่ายรัฐบาลโอบามาจะให้ตัดงบด้านความมั่นคงเป็นส่วนใหญ่และตัดงบประมาณด้านสวัสดิการประชาชนน้อยกว่า เพื่อเลี้ยงฐานเสียง แต่พรรคฝ่ายค้าน บรรดาเหยี่ยวกระหายเลือด มีความเห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมให้แตะงบด้านความมั่นคง แบบนี้จะไปมองหน้าพ่อค้าอาวุธนายทุนใหญ่ทั้งหลายได้ยังไง เลือกตั้งครั้งหน้าจะทำยังไง ทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านตกลงกันไม่ได้ ในที่สุด นายโอบามาวางสนุ้ก โดยลงนามใน Budget Control Act of 2011 ซึ่งมีผลเป็นการตัดงบประมาณทั้ง กระดานเท่ากัน ซึ่งเรียกกันว่า ” Sequestrations” ตัดอัตโนมัติ ตัดเท่ากัน ตัดเหี้ยน ไม่ว่าจะด้านความมั่นคง หรือสวัสดิการ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2013 ไปจนถึง ปี 2021 นายโอบามาหวังจะให้วุฒิสมาชิกทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ร่วมมือกันหาทางออก แต่จนถึงบัดนี้ยังหาประตูกันไม่เจอ ส่วนนายโอบามา ได้รับก้อนอิฐจากทุกสารทิศ ทั้งจากสภา และประชาชนปาใส่ยังไม่เลิก ฝ่ายความมั่นคง โดยนาย Pennetta รมว. กลาโหมขณะนั้น บอกว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่นะ ตัดงบแบบนี้ ในส่วนของกลาโหม 10 ปี คิดแล้วงบหดไป 20 % และจะทำให้กองทัพ – มีทหารราบเหลือน้อยที่สุด นับแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 – มีกองทัพเรือเล็กที่สุด นับแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 1 – มีหน่วยรบด้านกลยุทธที่เล็กที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศ – มีกำลังพล ที่เป็นพลเรือนน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของกลาโหม แต่การตัดงบประมาณ แบบตัดเหี้ยน Sequestration ก็ยังเดินหน้าต่อไป ตอนนั้นอเมริกาคงยังมองไม่เห็น แปลสัญญาณ การขยับหมากของรัสเซียและจีนไม่ออก นาง Michele Flournoy ตัวเก็งหมายเลขหนึ่ง ที่นายโอบามา ทาบทามมาให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม หลังปลดนาย Chuck Hagel เมื่อ กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการตัดงบประมาณแบบตัดเหี้ยนนี้ ซึ่ง Washington Post นำมาลงเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2014 ว่า ” ฤดูร้อนปีนี้ เราเห็นเหตุการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของ Islamic State การรุกรานUkraine ของรัสเซีย สงครามระหว่าง ฮามาส กับอิสราเอล ความตึงเครียดในน่านน้ำเกาหลี และทะเลจีน เป็นการเตือนให้รู้ว่า อเมริกาอาจจะเจอกับการท้าทาย ด้านความมั่นคง ที่ซับซ้อน ผันแปรรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เลยทีเดียว ทั้งนี้คณะทำงานของ The National Defense Panel ซึ่งตั้งโดยสภาสูง (ที่มีนาง Flournoy เป็นหนึ่งในคณะทำงาน) ได้ทำรายงาน สรุปว่า Budget Control Act of 2011 เป็นยุทธศาสตร์ที่ “ผิดพลาดอย่างรุนแรง” ถ้าไม่มีการยกเลิก หรือผ่อนปรนโดยเร็ว กองทัพของอเมริกาจะตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างสูง และจะไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจ ตามยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศได้ นาง Flournoy แจงเพิ่มเติมว่า การตัดงบตามกฏหมายดังกล่าว ทำให้การฝึกของนักบินไม่สามารถทำได้ตามจำนวนชั่วโมงที่ต้องการ เพื่อรักษาความชำนาญ และกองทัพเรือไม่สามารถไปประจำอยู่ในบริเวณที่วิกฤติได้… The National Defense Panel จึงขอให้สภาสูง พิจารณายกเลิก Budget Control Act ดังกล่าวทันที เพื่อให้กองทัพ สามารถยับยั้ง หรือหยุดความรุกรานในหลายๆที่ และรวมทั้งสามารถทำการรบ ในสงครามที่มีขนาดใหญ่ได้ (large-scale war) ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึง ขนาด และรูปแบบของกองทัพเป็นการด่วน เพื่อเราจะได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก และจัดหาวิธีการต่อสู้สงครามอย่างเหมาะสม ที่จะเป็นการรับประกันสถานะการเป็นผู้นำของอเมริกา…” Flournoy ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน อย่างไม่อ้อมค้อม Gen. Gary Cheek รองปลัดกลาโหม ด้านแผนงาน และนโยบาย ให้สัมภาษณ์ ในวันประชุมประจำปี ของ AUSA Convention เมื่อ 15 ตุลาคม 2014 ว่า “การ ยกเลิก Sequestration เท่านั้นแหละ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ขณะนี้ เราส่ง 7 กองกำลัง ไปประจำการณ์อยู่ต่างประเทศ จากจำนวน 10 กองกำลังด้านนี้ที่เรามี ถ้ามีการตัดงบประมาณต่อไป การหมุนเวียนกำลังพล ทำไม่ได้มาก กำลังพลที่ไปประจำการณ์ ต่างประเทศนานๆ ก็จะอยู่ในภาวะเครียดหนัก ตั้งแต่เริ่มรายการตัดงบเมื่อปี 2011 เป็นต้นมา กองทัพได้ยกเลิกไปแล้ว 21 แผนงาน ชลอ 125 แผนงาน และปรับปรุง 124 ที่แย่ คือ งบวิจัยและปรับปรุง ถูกตัดไปแล้ว 1 ใน 3 และหลังจากรบยาวติดต่อกันมา 12 ปี เราต้องมีการปรับปรุงอาวุธ และเครื่องมือ เครื่องใช้เรานะ” หลังจากนั้น ปลายเดือนตุลาคม 2014 ถึงคิว นาย Robert Gates อดีต รมว. กลาโหม อีกคนหนึ่ง ก็ออกมาพูดว่า ” สภาสูง ทำให้ Pentagon อยู่ในสภาพที่แย่ที่สุดในทุกทาง และเพื่อจะปกป้องพันธมิตร และผลประโยชน์ของอเมริกาในเอเซีย อเมริกาต้องมีระบบจรวดป้องกันทรัพย์สินของอเมริกาที่อยู่ในอวกาศ และเครือข่ายไซเบอร์ และต้องลงทุนในระบบการป้องกันระยะไกล อเมริกาไม่มีทางเลือก ที่จะไม่ลงทุน มันจำเป็นที่เราจะต้องรักษาขนาดของกองทัพ ความพร้อม และสมรรถนะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราทั่วโลก ” และ ล่าสุด นาย Bob Work รมช. กลาโหม ออกมาพูดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม นี้ ที่ สถาบัน Center for Strategic and International Studies ถังความคิดชื่อดังของวอชิงตันว่า การ ตัดงบแบบSequestration นี้ ทำให้ความชำนาญในการรบของกองทัพลดลง ถ้ากองทัพต้องปฏิบัติการณ์ ทำนองเดียวกับ Desert Storm สมัยขยี้ Saddam Hussien ตอนนี้บอกได้ว่าคงเหนื่อยแน่ นอกจากนี้ เขาบอกว่า สมัยช่วงก่อนปี 2001 นายทหารที่อยู่ในกองทัพมา กว่า 10 ปี จะได้เข้ารับการฝึกแบบ full spectrum combat training หลายครั้ง ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้ กลาโหมเน้นการรบเป็นรูปแบบการรับมือการก่อความไม่สงบ ถ้าจะเป็นการรบใหญ่จริงๆ เราต้องฝึกกันใหม่ และถ้ายังมีการตัดงบประมาณอย่างนี้ กว่าเริ่มฝีกใหม่ได้ ก็คงเป็นปี 2016 โน้นแน่ะ รู้สึกฝ่ายกลาโหมของอเมริกาจะโหมโรงหนังเรื่อง ตัดเหี้ยน Sequestration อย่างพร้อมเพรียง ในจังหวะน่าสนใจ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 517 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 446 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง
    -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ
    -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน
    -ร้องรื้อคดีตากใบ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยที่การกระทำความผิดทางเทคโนโลยีซับซ้อน มีรูปแบบหลากหลาย เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการฟอกเงิน การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดความเสียหายต่อประชาชน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ โดยนายกฯ เป็นประธานกรรมการ มีองค์ประกอบคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ รมว.คลัง รมว.การต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย -29 มี.ค. เหมาะเลือกตั้ง -หวังท่องเที่ยวดึงเศรษฐกิจ -งบเหลื่อมปีทุบสถิติ 3 แสนล้าน -ร้องรื้อคดีตากใบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 11

    เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย

    อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด

    ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์

    แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน

    อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ

    กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น

    สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา
    ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า

    เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา

    รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย

    ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป

    เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน…

    สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 11 เรื่องต่อมา คือเรื่องกำลังอาวุธของทั้ง 2 ฝ่าย อเมริกา ทำการบ้านมากมาย เพื่อให้รู้แน่ถึงศักยภาพของฝั่งรัสเซีย ไอ้พวกถังความคิดต่างๆ ทำงานเสียหน้ามืด แต่ขอทีเถิดนะ ที่หลังอย่าลอกการบ้านกัน หลอกเอาเงินสปอนเซอร์แบบนี้ คนอ่านแก่ๆ อย่างผม อ่านแล้วเสียอารมณ์ เห็นหน้าปกเป็นถังใหม่ ข้างในลอกกันเพียบ อย่างนี้มันน่าจะเป็นถังขยะ มากกว่าถังความคิด ต่อครับ อเมริกาคิดว่าตัวต่อตัว ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย อเมริกาล้มรัสเซียได้ แต่พรรคพวกของรัสเซียนะซิ โดยเฉพาะจีนและอิหร่าน มีของจริงมากน้อยน่ากลัวแค่ไหน อเมริกาประเมินเรื่องกำลังอาวุธของจีนต่ำตลอด ถึงขนาดในการประชุมที่ Shangrila Dialogue ที่ เน้นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่จัดเป็นประจำทุกปีที่สิงคโปร์ อเมริกาเคยปรามาสจีนอย่างไร้มรรยาท จนจีนไม่เข้าร่วมอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าอเมริการู้จริงถึงศักยภาพอาวุธของจีน เพราะจีนปิดเงียบ ไม่มีการโม้ ไม่มีการโชว์ แต่ที่อเมริกาให้เวลาในการวิเคราะห์มากมายอีกประเทศหนึ่ง คือ อิหร่าน เพราะอเมริกาคิดว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสินคือ อาวุธนิวเคลียร์ และอเมริกาคิดว่า อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มานานแล้ว อเมริกาถึงกับชักใย ให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรกับอิหร่าน อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์จริงหรือไม่ อิหร่านบอกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าเรื่องนี้กลับตาลปัตร พูดได้คำเดียวว่า “แหลก” ฝ่ายไหนแหลก ก็ลองประเมินกันเองบ้างครับ กรณีอิหร่าน ทำให้พอมองเห็นแนวคิดของอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เมื่ออเมริกาคิดว่านิวเคลียร์คืออาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด และเป็นตัวตัดสิน อเมริกาจึงเน้นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และบรรดาที่เป็น hardware เป็น ส่วนมาก เช่น เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ ล๊อกเป้า เป็นต้น สิ่งที่น่าสนใจ และอเมริกาอาจจะไม่ให้ความสนใจพอในตอนแรก คือจีน เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนาระบบไอทีอย่าง มาก อาวุธที่จีนพัฒนามาใช้ อาจไม่ใช่ในรูปแบบ hardware ทั้งหมด แต่เป็นรูปแบบไอที software ถ้าจีนพัฒนา software ที่สามารถสยบอาวุธหลากหลายของอเมริกาได้ สงครามครั้งนี้คงมีการสู้รบ รูปแบบต่างกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแน่นอน และ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าลืมว่าทางฝั่งของรัสเซีย นอกจากจีนแล้ว ยังมีอินเดียที่เป็นกูรูอีกรายในด้านไอที และถ้าฝั่งนี้เขาแชร์เทคโนโลยี่กัน คงเป็นเรื่องน่าสนใจมาก และน่าคิดและน่ากังวลมากสำหรับอเมริกา ตัวอย่างที่ทำให้น่าคิดว่า เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี software ทางฝั่งรัสเซียและจีน ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการคือ ข่าวเกี่ยวกับระบบ Sukhoi 24 หรือ Su-24 ของรัสเซียที่สยบเรือรบสัญชาติอเมริกาขื่อ USS Donald Cook เมื่อกลางปีนี้ ที่มีข่าวจาก Veterans Today เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2014 ว่า เรือรบสัญชาติอเมริกันชื่อ “USS Donald Cook” ซึ่งติดตั้งระบบ“Aegis” ที่ เป็นระบบที่ไฮเทคที่สุดของอเมริกา ที่สามารถใช้ทำการโจมตีและต่อสู้จรวดทางอากาศ ได้ไปลอยลำโชว์ตัวพร้อมจรวดโทมาฮอค เย้ยรัสเซียที่แถบทะเลดำเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา การเข้าไปในน่านน้ำของ Donald Cook เป็นการฝ่าฝืน Montreux Convention ด้านประเภทและระยะเวลา รัสเซียไม่ได้ใช้อาวุธขับไล่ Donald Cook เพียงแต่ส่งเครื่องบินรบที่ติดตั้งระบบเรียกว่า Sukhoi 24 หรือ Su-24 ไปบินวนรอบเรือรบDonald Cook ซึ่งจับสัญญาณเครื่องบินรบรัสเซียได้ เครื่องเตือนภัยของเรือรบทำการ แจ้ง แต่หลังจากนั้นแป๊บเดียว ระบบอิเลคทรอนิคทั้งปวงของ Donald Cook ก็ล่ม จอดับมืด ว่างสะอาดเกลี้ยงเกลา และไม่สามารถทำการกู้ระบบได้อีกเลย ระหว่างนั้นเครื่องบินรบที่ติดระบบ Su-24 ของรัสเซีย ก็บินวนเหนือดาดฟ้า Donald Cook 12 รอบ ก่อนบินจากไป เมื่อรู้ตัวว่าถูกลูบคมจนไม่เหลือ Donald Cook ก็รีบแล่นเข้าไปจอดเทียบท่าที่โรมาเนีย รายงานข่าวบอกว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำการ 27 คนของ Donald Cook ก็ ยื่นใบลาออก และไม่มีการแถลงข่าวใดๆจากฝั่งอเมริกา ส่วนทางรัสเซียออกข่าวเพียงว่า เรายังไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลยนะ เพียงแค่ใช้ระบบคลื่นวิทยุทำลายการทำงานของระบบอเมริกันที่ว่าเยี่ยมสุดแค่ นั้นเอง….. และระบบที่ว่านี้ของอเมริกา เขาว่ากองเรือทั้งหมดของ NATO จะติดตั้ง เพื่อใช้ในการต่อสู้กับรัสเซีย หากรัสเซียบุกยูเครน… สรุปว่า ด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์นั้น ยังตัดสินไม่ขาดว่า ฝ่ายใดจะนำหน้าใคร เพราะมีทั้งเรื่องนิวเคลียร์ hardware และ software ที่ต่างก็ซุ่มพัฒนา แต่ถ้าจีนสามารถสร้างระบบ software ที่สยบระบบที่ใช้กับอาวุธของอเมริกาได้หมด หรือเกือบหมด หนทางชนะสงครามชิงโลกของอเมริกา คงแทบไม่มีได้เห็นเลย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย
    การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก
    นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!!
    หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม
    Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้
    Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด)
    Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ
    “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก”
    ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว”
    ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้”
    นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง”
    Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda”
    นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย
    CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน
    สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2%
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55%
    เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!! หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้ Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด) Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก” ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว” ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้” นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง” Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda” นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2% สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55% เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4 ข้อ ภัยความมั่นคง ไม่ทำไม่เจรจา! : [NEWS UPDATE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ฝ่ายไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ



    ขอเก็บระเบิดในเขตไทย

    ซีลชายแดนใต้เข้มข้น

    เลิก MOU ควรถามประชาชน

    อิสราเอล-ฮามาส รับสันติภาพ
    4 ข้อ ภัยความมั่นคง ไม่ทำไม่เจรจา! : [NEWS UPDATE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ฝ่ายไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ขอเก็บระเบิดในเขตไทย ซีลชายแดนใต้เข้มข้น เลิก MOU ควรถามประชาชน อิสราเอล-ฮามาส รับสันติภาพ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ตอบ "ทรัมป์" กัมพูชาต้องทำ 4 ข้อเสนอไทย : [THE MESSAGE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงเงื่อนไข 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดการพูดคุยกับกัมพูชาต่อได้ คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ไม่มีคำว่าเดดไลน์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป ไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน เตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง ไม่สนถูกมองเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่ และจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
    ตอบ "ทรัมป์" กัมพูชาต้องทำ 4 ข้อเสนอไทย : [THE MESSAGE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึงเงื่อนไข 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดการพูดคุยกับกัมพูชาต่อได้ คือ การถอนอาวุธหนัก ถอนทุ่นระเบิด เรื่องสแกมเมอร์ การจัดการในพื้นที่ที่คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคม นี้ ไม่มีคำว่าเดดไลน์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ ส่วนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา จะทำหนังสือแจ้งกลับว่า หากกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเสนอไป ไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น เพราะ 4 ข้อนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีอันตรายต่อประชาชน เตรียมลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง ไม่สนถูกมองเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่ และจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนการตั้ง ครม.เศรษฐกิจ จะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์ เพื่อกลั่นกรองเรื่องสำคัญด้านเศรษฐกิจ ก่อนเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ”

    ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026

    ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ

    การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache

    ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026
    ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน
    ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank
    มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache
    Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments
    ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร
    บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง
    การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์
    การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด
    หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน
    การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS
    ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี
    การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    💳 “สวีเดนเตรียมเปิดใช้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ภายในปี 2026 — รับมือวิกฤตดิจิทัลด้วยความพร้อมระดับชาติ” ในประเทศที่แทบจะไร้เงินสดอย่างสวีเดน การพึ่งพาระบบดิจิทัลในการชำระเงินกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ระบบอินเทอร์เน็ตล่มหรือการโจมตีไซเบอร์ ความสามารถในการจ่ายเงินอาจกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ล่าสุดธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ได้ประกาศความร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดการชำระเงิน เพื่อผลักดันให้ระบบ “จ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์” ใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บัตรเดบิตหรือเครดิตในการซื้อสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน แม้ในกรณีที่ระบบสื่อสารข้อมูลล่ม โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความมั่นคงของระบบการเงินและความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การดำเนินงานนี้ครอบคลุมทั้งผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank โดยจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น การตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร, การใช้ PIN แบบออฟไลน์ และการตรวจสอบยอดเงินแบบ local cache ผู้ว่าการธนาคารกลาง Erik Thedéen กล่าวว่าการที่หลายฝ่ายร่วมมือกันแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับโดยตรง ถือเป็นสัญญาณบวกของความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อความมั่นคงของประเทศ และหลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ เช่น e-wallet และ mobile payments ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Riksbank ประกาศให้ระบบจ่ายเงินด้วยบัตรแบบออฟไลน์ใช้งานได้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026 ➡️ ระบบนี้ช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจำเป็นแม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ครอบคลุมสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร ยา และน้ำมัน ➡️ ผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้ออกบัตร, เครือข่ายบัตร, ผู้รับชำระเงิน, ผู้ค้าปลีก และ Riksbank ➡️ มีการปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น PIN ออฟไลน์ และ local cache ➡️ Riksbank จะขยายการรองรับไปยังช่องทางอื่นหลังปี 2026 เช่น e-wallet และ mobile payments ➡️ ผู้ว่าการธนาคารกลางชื่นชมความร่วมมือของภาคเอกชนแม้ไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบออฟไลน์สามารถใช้เทคโนโลยี EMV ที่ตั้งค่าข้อมูลล่วงหน้าในบัตร ➡️ บัตรบางประเภทสามารถเก็บยอดเงินล่วงหน้าเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ➡️ ประเทศอื่น เช่น เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์ กำลังทดลองระบบจ่ายเงินออฟไลน์ในระดับเมือง ➡️ การจ่ายเงินแบบออฟไลน์ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หรือการล่มของระบบคลาวด์ ➡️ การเตรียมความพร้อมด้านการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติในยุโรป ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ระบบออฟไลน์อาจมีข้อจำกัดด้านจำนวนธุรกรรมต่อวันหรือยอดเงินสูงสุด ⛔ หากไม่มีการอัปเดตข้อมูลบัตรอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิดปัญหาในการตรวจสอบยอดเงิน ⛔ การใช้ระบบออฟไลน์ต้องมีการฝึกอบรมพนักงานร้านค้าและการปรับระบบ POS ⛔ ความปลอดภัยของข้อมูลในระบบออฟไลน์อาจต่ำกว่าระบบออนไลน์ หากไม่มีการเข้ารหัสที่ดี ⛔ การพึ่งพาบัตรมากเกินไปอาจทำให้กลุ่มที่ไม่มีบัตรหรือไม่ใช้ดิจิทัลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง https://www.riksbank.se/en-gb/press-and-published/notices-and-press-releases/press-releases/2025/offline-card-payments-should-be-possible-no-later-than-1-july-2026/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยภายในประเทศเราเองนี้ล่ะคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราเองจริงๆ,เรามีหัวหน้าตำรวจที่เลวมากเกินไปและมีนานมากพอแล้วจริงๆ.
    ..ต้องกำจัดกันจริงๆจังๆเถอะตำรวจเลวชั่วแบบนีั.

    https://youtube.com/watch?v=mcGjCPBTPik&si=IhHX4jR858z83VQX
    ..เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยภายในประเทศเราเองนี้ล่ะคือภัยความมั่นคงของประเทศไทยเราเองจริงๆ,เรามีหัวหน้าตำรวจที่เลวมากเกินไปและมีนานมากพอแล้วจริงๆ. ..ต้องกำจัดกันจริงๆจังๆเถอะตำรวจเลวชั่วแบบนีั. https://youtube.com/watch?v=mcGjCPBTPik&si=IhHX4jR858z83VQX
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ได้โยนภาระให้ประชาชน ยกเลิก MOU43-44 : [THE MESSAGE]
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึง MOU ที่จะทำประชามติ ตอนนี้ กมธ. ศึกษาทั้ง 43 และ 44 ต้องรอผลการศึกษา หากมีความชัดเจนและรัฐบาลประเมินแล้ว อาจไม่ต้องทำประชามติ และอาจยกเลิกโดยคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม คนที่คิดไม่ดีก็บอกว่าเราโยนภาระให้ประชาชน แต่เป็นการให้เกียรติประชาชน เพราะเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างด้านความคิด เกี่ยวข้องกับอธิปไตยความมั่นคงของประเทศ เราก็อยากจะถามประชาชน ยังไม่ได้คุยทำชุมชนสระแก้วเป็นเมืองคู่แฝด บ้านหนองจาน-จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ตอนนี้เน้นรักษาอธิปไตย แจงโครงการคนละครึ่ง ไม่มีคำว่ารีบร้อน แต่การทำงาน ครม.ชุดนี้ อันไหนทำได้ก็ทำเลย มองเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน ไม่ใช่หาเสียงล่วงหน้า เพราะการอภิปรายของ สส. ในสภาก็เหมือนหาเสียงอยู่แล้ว ยืนยัน ตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีทุกคน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
    ไม่ได้โยนภาระให้ประชาชน ยกเลิก MOU43-44 : [THE MESSAGE] นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยถึง MOU ที่จะทำประชามติ ตอนนี้ กมธ. ศึกษาทั้ง 43 และ 44 ต้องรอผลการศึกษา หากมีความชัดเจนและรัฐบาลประเมินแล้ว อาจไม่ต้องทำประชามติ และอาจยกเลิกโดยคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม คนที่คิดไม่ดีก็บอกว่าเราโยนภาระให้ประชาชน แต่เป็นการให้เกียรติประชาชน เพราะเป็นเรื่องที่มีความแตกต่างด้านความคิด เกี่ยวข้องกับอธิปไตยความมั่นคงของประเทศ เราก็อยากจะถามประชาชน ยังไม่ได้คุยทำชุมชนสระแก้วเป็นเมืองคู่แฝด บ้านหนองจาน-จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ตอนนี้เน้นรักษาอธิปไตย แจงโครงการคนละครึ่ง ไม่มีคำว่ารีบร้อน แต่การทำงาน ครม.ชุดนี้ อันไหนทำได้ก็ทำเลย มองเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน ไม่ใช่หาเสียงล่วงหน้า เพราะการอภิปรายของ สส. ในสภาก็เหมือนหาเสียงอยู่แล้ว ยืนยัน ตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีทุกคน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว”
    ตอนที่ 8 “โรงเรียน”
    จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ)
    นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย
    นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ
    Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้
    อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997)
    สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน
    เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย
    ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง
    Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว
    เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว ตอนที่ 8 – โรงเรียน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว” ตอนที่ 8 “โรงเรียน” จากบันทึกความทรงจำของ Osman Nuri Gunds อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง Turkish Intelligence Service (MIT) ของตุรกี สาขา Istanbul ระบุว่า นาย Gulen ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอยู่หลายบริเวณของโลก เช่นที่ Central Asia ซึ่งทำหน้าที่เป็นฉากบังหน้า ให้แก่การปฏิบัติงานของ CIA ประมาณ 130 รายการ ที่ Uzbekistan และ Kyrgystan ครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนทำหน้าที่จารกรรมให้รัฐบาลอเมริกา ควบคู่ไปกับการสอนภาษา “Bridges of Freindship” เป็นชื่อรหัสของการปฎิบัติการเหล่านี้ เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen นี้ ได้มีการเปิดเผยอีกมากมาย โดย Cibel Edmonds ซึ่งเขียนไว้ในบันทึกความทรงจำ ของเธอ ชื่อ Classified Woman : Sibel Edmonds Story (หมายเหตุ : ไปหามาอ่านกันนะครับ น่าสนใจมาก) Edmonds เป็นอดีต FBI ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญด้านการแปล และต่อมาเป็นผู้ที่มีชื่อโด่งดังมาก รู้จักกันในนาม American Whistle blowers (อเมริกันผู้เป่านักหวีด) ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ Edmond เล่าว่า กุญแจสำคัญที่โยง Gulen กับ CIA คือ นาย Graham Fuller CIA ตัวใหญ่เป้ง ตำแหน่งนักวิเคราะห์ ข่าวกรอง ประจำ Rand Corporation (หวังว่าท่านผู้อ่าน คงจะจำได้ ผมได้เล่าเรื่อง Rand Corporation นี่ไว้ในนิทานหลายเรื่อง ทบทวนสั้นๆว่า เป็นหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกัน ที่มีหน้าที่ ดูแลด้านความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ วิเคราะห์วางแผน ไปจนถึงปฏิบัติการ รวมทั้งเก็บกวาดในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากทำลาย หรือไปทำรกในบ้านคนอื่น ที่อเมริกาอยากให้บ้านนั้นเละครับ) นาย Fuller นั้น เป็นอดีตหัวหน้า CIA ในกรุง Kabul และเป็นรองประธานของ National Intelligence Council นี่มันเหยี่ยวตัวใหญ่เลยน่ะนี่ และไม่ใช่เหยี่ยวตัวใหญ่ธรรมดา แต่เป็นเหยี่ยวกรงเล็บติดจรวดพิฆาตด้วย นาย Fuller อยู่ฝ่ายปฎิบัติการนานกว่า 20 ปี ในตุรกี เลบาบอน ซาอุดิอารเบีย เยเมน อาฟกานิสถาน และฮ่องกง ในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านข่าวกรองของ CIA ในแถบ Near East และ South Asia และในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาล Reagan ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองประธาน Nation Intelligence Council ซึ่งรับผิดชอบการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ. 2013 นี้เอง เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Boston Marathon bombs ในการวิ่งมาราธอนที่ Boston และมีการวางระเบิดที่เส้นชัย มีเด็กตาย 1 คน และคนเจ็บประมาณ 140 กว่าคน FBI จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ชื่อ Rushan Tsarnacv ซึ่งมีลุงช่างพูดออกมาให้ข่าวต่าง ๆ ว่าหลานฉันไม่เกี่ยว คงจะพอจำลุงช่างพูดนั้นกันได้ ลุงคนนั้นบังเอิญแต่งงานกับ Samantha ซึ่งเป็นลูกสาวของนาย Graham Fuller ครับ Edmonds ระบุไว้ในบทความของเธอว่า เมื่อนาย Gulen ยื่นคำขอเข้ามาอยู่ในอเมริกา ผู้ให้คำรับรอง นาย Gulen กับทางการอเมริกา คือ นาย Graham Fuller โดยนาย Fuller เขียนจดหมายไปถึง FBI และ US Dept of Homeland Security รับรองว่า Gulen ไม่มีการกระทำที่เป็นภัยต่ออเมริกา ด้วยคำรับรองนี้ Gulen จึงอยู่ในอเมริกาได้จนทุกวันนี้ อีกคนหนึ่งที่ให้คำรับรอง นาย Gulen คือ นาย Morton Abramowitz จำชื่อนี้กันได้ไหมครับ เขาเป็นอดีต CIA ฝ่ายปฎิบัติการประจำตุรกีและต่อมาได้เป็นฑูตที่ตุรกี ช่วงปี ค.ศ.1989 – 1991 ก่อนหน้านั้น เคยเป็นฑูตประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงปี ค.ศ. 1978 – 1981 ตำแหน่งหลังการเกษียณจากกระทรวงต่างประเทศอเมริกา คือ เป็นประธานของ Carnegie Endowment for International Peace (1991 – 1997) สถาบันนี้ทำอะไร เคยเล่าแล้ว เขียนซ้ำเดี๋ยวโดยท่านผู้อ่าน Inbox เข้ามาต่อว่าอีกว่า ทำไมเขียนซ้ำ ไม่ชอบอ่านซ้ำ แหม ! ก็อ่านข้ามไม่ได้หรือครับ คนที่เขาจำไม่ได้อยากอ่านซ้ำก็มีนะครับ อยากอ่านเรื่องความเลวของนาย Abramowitz ยาวกว่านี้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน สิงห์โตหอน นะครับ แถมให้ว่าเขาเป็นนัก lobblyist ตัวสำคัญ ให้ไอ้หมาในโจรร้าย ส่วนไอ้ Robert Amsterdam มันแค่ระดับกระจอก ไม่ใช่ตัวใหญ่ ตัวสำคัญอะไร เอาไว้ออกแขกล่อให้สื่อไทยกับคนไทยด่าเล่น ผิดเป้าเท่านั้นเอง โยงกันมาให้เห็นถึงขนาดนี้ หวังว่าคงมองเห็นความเลวร้ายของอเมริกา ไอ้หมาใน และความสัมพันธ์ ของพวกมัน เรื่องโรงเรียนของนาย Gulen ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีโรงเรียนของ Gulen ที่รัสเซีย Chechnya และแถบ Dagestam เพื่อเป็นฉากหน้าให้แก่กลุ่ม Jihadist ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ต่อมาถูกคุณพี่ปูตินกวาดล้างเรียบ ไล่กระเด็นออกไปหมด รัฐบาลรัสเซียสั่งปิดโรงเรียนของ Gulun และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในรัสเซีย แถมขับไล่ชาวตุรกีประมาณ 20 คน ที่เป็นสาวกของ Gulen ออกไปจากประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2004 อีกด้วย ปี ค.ศ. 1999 Uzbekistan ปิดโรงเรียน Gulen ที่ Madreasas และจับสื่อ 8 คน ที่จบจากโรงเรียน Gulen ข้อหา จัดตั้งองค์การสอนศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง และมีกิจกรรมส่อไปในทางสร้างความรุนแรง Edmaonds ได้เล่าถึงการปฎิบัติการของอเมริกาในเอเซียกลาง ว่ามันเริ่มมาหลายสิบปีแล้วอย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปให้ถึงแหล่งน้ำมันและกองทัพในเอเซียกลาง โดยใช้ การปฎิบัติการของตุรกีร่วมมือกับพวกซาอุและปากีสถาน ใช้วัตถุประสงค์เรื่องศาสนาอิสลามบังหน้า และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของฉากและโรงแสดง ก็คือ โรงเรียนของ Gulen นั่นเอง ซึ่งขยายไปจากตุรกีเข้าไปในเอเซียกลาง จนถึงรัสเซียและจีนเรียบร้อยแล้ว เรื่องนาย Gulen/ Fuller/ Abramowitz นี้ จึงเป็นเรื่องที่นาย Erdogan คงจะมองผ่าน ๆ ไม่ได้ เขาน่าจะเจอของแข็งจริงจากอเมริกา ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 กค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 11
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11
    ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ)
    เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ
    นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย
    ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน
    คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน
    ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?!

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 11 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 11 ค.ศ. 1953 นาย Donovan ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชฑูตอเมริกาประจำเมืองไทย นาย Kenneth บอกว่าที่นาย Donovan ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทย มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่นาย Donovan ไม่พอใจนัก เนื่องมาจากเมื่อสงครามโลกครั้ง ที่ 2 สิ้นสุด ประธานาธิบดี Truman ก็สั่งยกเลิกหน่วยงาน OSS ของนาย Donovan เมื่อนาย Eisenhower ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาสั่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองรูปแบบใหม่ คือ Central Intelligence Agency (CIA) หน่วยงานนี้ให้ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี นาย Donovan ก็ดำเนินการตามสั่งจนเสร็จ และคิดว่าตนจะได้เป็นหัวหน้า CIA คนแรก แต่พอตั้งเสร็จ ประธานาธิบดี Eisenhower ซึ่งเลือกนาย John Foster Dulles มาเป็น รมว.ต่างประเทศ นาย John บอกว่าถ้าจะให้ดี ทำงานเข้าขากัน เขาแนะนำให้ประธานาธิบดีตั้งนาย Allen น้องชายเขามาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน CIA จะดีกว่า ประธานาธิบดีก็ยอม และเพื่อไม่ให้นาย Donovan กินแห้ว เลยส่งมาเป็นฑูตที่เมืองไทย ซึ่งนาย Kenneth ว่า ก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าเป็นหัวหน้า CIA หรอกนะ และตอนนั้นนาย Donovan ก็อายุ 70 ปีแล้ว (หมายเหตุคนเล่านิทาน : นาย Kenneth น่าจะวิเคราะห์เรื่องนาย Donovan ไม่พอใจที่ต้องมาเป็นฑูตที่เมืองไทยไม่ถูกต้อง มันน่าจะตรงกันข้าม นาย Donovan น่าจะถูกเลือกมาโดยเฉพาะให้มาเป็นฑูตในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่อเมริกากำลังจะเริ่มรบกับเวียตนาม จำเป็นต้องทำการเข้าใจทั้งการรบ และเข้าใจทั้งเมืองไทยและอินโดจีนอย่างดี และอาจจะมีภาระกิจอื่นแถม! นาย Donovan รู้จักคนไทยสำคัญๆหลายคน สมัยทำงาน OSS น่าจะได้รับความร่วมมือมากกว่า จะเอาหน้าใหม่มา หมายเหตุเพิ่มเติม ทั้งประธานาธิบดี Eisenhower นาย John Foster Dulles และนาย Donovan ล้วนเกี่ยวกับ CFR ทั้งสิ้นครับ) เมื่อนาย Donovan ได้เป็นฑูตประจำไทย นาย Kenneth เป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศ ไทย ทั้ง 2 คน จึงได้กลับมาร่วมงานกันอีก นาย Kenneth ถือโอกาสติดตามนาย Donovan มาเมืองไทย อ้างว่าจะมาติวเข้มให้ ว่าใครเป็นใครในเมืองไทย เรื่องนี้ ต้องยอมรับว่านาย Kenneth “รู้งาน” เพราะสมัยนายDonovan คุมหน่วย OSS ตอนสงครามโลก แม้เขาจะรู้จักกับคนไทยที่ร่วมงาน OSS เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งตอนหลังหมดอำนาจ แถม ยืนอยู่คนละค่ายกับ จอมพล ป ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้นอีกด้วย การเมืองไทยซึ่งช่วงน้ันแบ่งเป็นหลายก๊ก หลายแก๊งค์ ถ้าไม่ติวกันให้ดี อาจจะมีการเหยียบตาปลาเสียเรื่องกันซะเปล่าๆ นาย Kenneth โม้ต่อไปว่า เดิมอเมริกาให้การสนับสนุนแก่เผ่า (อตร.สมัยนั้น โดยเฉพาะด้านตำรวจตระเวนชายแดน) แต่เป็นเพราะฝีมือเขานะ ที่หว่านล้อมให้นาย Donovan ทำเรื่องไปทางวอชิงตันว่าควรสนับสนุนสฤษดิ์ด้วย เพราะสฤษดิ์น่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าเผ่า วอชิงตันเห็นด้วย และเริ่มให้การสนับสนุนทางการทหารและการเงินแก่กองทัพไทย และด้วยเงินสนับสนุนของอเมริกานี้ ทำให้สฤษดิ์เริ่มมีรัศมีอำนาจฉายแสงสู้กับเผ่าได้ ทั้ง 2 คน แข่งกันสร้างอำนาจและสร้างพรรคพวก อย่างสูสีกัน ถ้าเป็นม้าแข่งก็ต้องตัดสินด้วยรูปถ่าย ยังไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน สฤษดิ์ก็ดันล้มป่วย อเมริการีบประคองส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล Water Reed (แสดงว่าคุณป๋าถ้าจะเข้าวิน) แน่นอนคนที่ไปนั่งกุมมือคุณป๋ายามป่วย นอกจากนายพล Erskine (ที่ประจำอยู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของ Pentagon ที่รัฐบาลอเมริกาส่งมาประกบสฤษดิ์เป็นพิเศษ และภายหลัง กลายเป็นเพื่อนซี้ ขนาดคุณป๋ายกลูกชายคนโต ให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านนายพล) แน่นอนย่อมต้องมีนาย Kenneth นี่อีกคน ที่ไปนั่งคุยเป็นภาษาไทย ไม่ให้คุณป๋าเหงาหู อย่าลืมคุณป๋าไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษ เมื่อไปนอนอยู่ต่างบ้านต่างเมือง มีตลกหัวทองมานั่งพูดไทยด้วย มันก็หายเมื่อยมือเวลาพูดไปแยะ บางวันคุณป๋าก็ออกไปนั่งเล่น กินข้าวอยู่ที่บ้านนาย Kenneth ซึ่งถือโอกาสผูกมิตรชิดใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันก็น่าจะสร้างความอบอุ่นหัวใจของคุณป๋าไม่น้อย เป็นธรรมดาของคนอยู่ไกลบ้าน คุณป๋าสฤษดิ์หายป่วยกลับมาเมืองไทยไม่นาน คุณป๋าก็ทำการรัฐประหารดีดจอมพล ป. ออกไปนุ่งกิโมโนอยู่ญี่ปุ่น ส่วนนายเผ่า Sea Supply คู่ปรับเก่าก็ถูกส่งตัวไปนั่งนับเนยแข็งอยู่ที่สวิส หลังจากตั้งหุ่นชื่อ พจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพอยู่แป๊บ หนึ่ง คุณป๋าก็รัฐประหารใหม่ คราวนี้เลิกเหนียม ตัดใจเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ระหว่างคุณป๋าเป็นนายกฯ ก็ทำงานใกล้ชิดกับอเมริกา คุณป๋าทหารหาญคิดว่าอเมริกานักล่า เป็นเพื่อนรักยามยาก มาช่วยเหลือไม่ให้คอมมี่บุกไทยแลนด์ อยากได้อะไร เปรยปั๊บ ได้ปุ๊บ คุณป๋าก็เลยทั้งทุ่มทั้งเทตอบ ใครจะนึกว่าเพื่อนรักแอบเล่นบ ทตามสุภาษิต ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า มิตรรัก จดจำกันไว้ อย่าได้เชื่อจนหมดใจ เหลือที่ไว้ เผื่อขาด เผื่อเหลือบ้าง จะได้ไม่ต้องนั่งชีช้ำ นึกถึงประเทศอิหร่าน ฟิลิปปินส์ ลิเบีย อียิปต์ อาฟกานิสถาน อิรัก ฯลฯ ไว้บ้างก็แล้วกัน ส่วนนาย Kenneth เอง น่าจะได้ความดีความชอบไม่น้อย จากการแทงม้าถูกตัว เมื่อคุณป๋าเป็นนายกไทยแลนด์ สัมพันธ์ไทยอเมริกาลื่นเหมือนทาด้วยน้ำมันของ Standard Oil นาย Kenneth จึงได้ย้ายไปนั่งคอยืดอยู่สภาความมั่นคงของอเมริกา National Security Council (NSC) เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ “วงในสุด” ของอเมริกา เขาอยู่หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนเกี่ยวกับ ความมั่นคงของประเทศ และติดตามผลงาน แม่เจ้าโว้ย ! มันใหญ่จริงๆ สำหรับอดีตมิชชั่นนารีจากเมืองตรัง เขาทำงานกับหน่วยงานและบุคคลระดับใหญ่ และลับเฉพาะสูงสุดของประเทศ เช่น รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หัวหน้างานข่าวกรอง (CIA) อะไรทำนองนั้น หน้าที่ของเขาคือร่างแผนปฏิบัติการณ์ในภูมิภาคเอเซียใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขาทำงานนี้จนถึงสมัยรัฐบาล Kennedy เป็นมิชชั่นนารี พันธ์พิเศษจริงๆ เก่งขนาดร่างแผนการล่าได้ หรือว่าเป็นภาระกิจถนัดของมิชชั่นนารีพันธ์พิเศษ ?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2)
    ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน
    อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล
    NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด
    แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น
    ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง
    แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้
    สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่
    ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู
    เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน นักมายากลชั้นเซียน (2) นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2) ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่ ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
    Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้
    ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์”
    พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ
    – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย
    – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง
    – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร
    ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
    นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง
    อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง
    ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller
    เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า
    แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
    เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? !

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย นิทานเรื่ิองจริง เรื่อง” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้ ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์” พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ – กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย – เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง – การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร
    นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา
    ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก
    เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น
    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ
    แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี
    แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี
    แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน?

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง ” เรื่องมายากลยุทธ ” ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2)
    เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ
    ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม
    – กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ
    – กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา
    – กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา
    ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว
    ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร
    นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง
    ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2) เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม – กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ – กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา – กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts