• นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 4
    สำหรับเหตุการณ์ขับไล่รัฐบาลโจรร้าย ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2556 ถึงปัจจุบัน ICG มีรายงานออกมา 3 ครั้ง
    – ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เป็นการรายงานความเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ออกมาประท้วงรัฐบาล ใส่ข้อมูลแนวเดียวกับสื่อหัวสี ข้อมูลฟอกย้อมจนขี้เกียจเขียนถึง แค่อ่านก็ออกอาการตึงมือขึ้นมาแล้ว แต่ ICG ยังไม่มีคำวิจารณ์หรือความเห็นเสนอ
    – ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานระบุว่าวิกฤติทางการเมืองเข้มข้นขึ้น เมื่อฝ่ายประท้วงเรื่องไม่รับกม.นิรโทษกรรม เปลี่ยนเป็นเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และขู่ว่าจะล้มการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ และมีแผนจะยึดกรุงเทพฯ และขับไล่ระบอบทักษิณแบบขุดรากถอนโคน
    และตั้งสภาประชาชน 400 คน นายสุเทพอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์แกนนำขู่ว่าจะ shut down กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2014
    ฝ่ายกองทัพไม่ปฏิเสธว่าจะไม่มีการปฏิวัติ แต่ ICG ยังคงไม่มีความเห็นเสนอ
    – ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2014 ใช้หัวข้อการรายงานว่า Conflict Alert รายงานว่า การประท้วงทำท่าจะก่อให้เกิดความรุนแรง และโอกาสที่จะมีการเจรจาอย่างสันติแทบจะไม่มีเลย และผู้ประท้วงมีแนวโน้ม จะสนับสนุนให้มีการรัฐประหารโดยกองทัพ การประท้วงัไม่ให้มีการเลือกตั้ง ทำให้เห็นชัดถึงทิศทางการเมืองของประเทศไทยว่า จะเป็นแบบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบ หรือเป็นการบริหารโดยสถาบันที่มีอำนาจอย่างเคย ๆ เช่น สถาบันกษัตริย์ และกองทัพ
    รายงานส่วนอื่น ถ้าไม่บอกว่าเป็นรายงานของ ICG ก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่า อ่านรายงานของสำนักนายกฯ (เอ้ะ ชักสงสัยใครมันเขียนให้ใครกันแน่ ! ?)
    ที่น่าสนใจเป้าหมายของรายงาน ไม่ได้พุ่งไปที่ฝ่ายประท้วงรัฐบาลอย่างเดียว แต่พ่วงเอากองทัพเข้าไปด้วยว่า ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น เหมือนเป็นการออกแบบให้เกิดการรัฐประหาร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่มี กองทัพได้ทำการรัฐประหารมาแล้ว 18 ครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ และใช้กำลังอาวุธกับกลุ่มที่ออกมาแสดงความนิยมประชาธิปไตย เมื่อ ค.ศ. 1973, 1992 และ 2010 แต่ไม่เคยสักครั้งเดียว ที่จะออกมาแทรกแซงเพื่อช่วยรัฐบาลของทักษิณ!
    ICG ตบท้ายรายงานว่า ไม่มีหนทางใดที่จะนำไปสู่ความสันติ ถ้าเส้นทางนั้นไม่เคารพเสียข้างมากของผู้ลงคะแนน พร้อมกับให้คำแนะนำว่า
    – ประชาธิปัตย์ ควรจะกลับไปร่วมในขบวนการเลือกตั้ง
    – กองทัพ ต้องพยายามดูแลเหตุการณ์ความไม่สงบนี้ ตามวิถีประชาธิปไตย และสนับสนุนให้มีการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง ทั้ง 2
    – ประเทศไทย จะต้องถึงจุดที่พิจารณาให้ชัดเจนว่า จะบริหารประเทศอย่างไร ซึ่งจำเป็นต้องมีการหารือในระดับชาติ ไม่ใช่เป็นความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง
    (ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าระหว่างรัฐบาลกับ ICG ใครมันสอนให้ใครพูดข้อความข้างต้นเพราะมันเหมือนกันจัง)
    ICG ยังสำทับอีกว่า ถ้าทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรง การหารือกันในระดับชาติถึงทางออกจากข้อขัดแย้ง ก็พอมีให้เห็นอย่างจาง ๆ แต่ว่าสำหรับกรุงเทพ ทางเลือกอื่นไม่ได้มีมากนัก ! (เขียนแบบนี้มันมีความหมายพิลึกนะ)
    ขณะนี้เขียนบทความนี้ ยังไม่รู้ว่า ICG จะทำงานได้ตามราคาคุยของนาย Evans แค่ไหน แต่อย่างน้อย พอมองเห็นว่า การทำงานของ ICG แผนก R&D ของนักล่า ได้ผลระดับหนึ่ง ในเรื่องต่อไปนี้
    – รัฐบาลภายใต้การนำของโจรร้าย และน้องสาวแสนโง่ เดินตามคำแนะนำของแผนก R&D ของนักล่า อย่างเคร่งครัด แต่ผลสำเร็จเกิดแค่ไหน คงต้องดูกันต่อไป
    – การพยายามให้โลกเข้าข้างฝ่ายที่ ICG กำลังสนับสนุนอยู่ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเลวร้าย ไม่เป็นประชาธิปไตย ฯลฯ ขนาดไหน ได้ผลสูงและทำให้โลกตำหนิติเตียน ตั้งข้อสังเกต กับฝ่ายที่ไม่ได้เป็นตัวเล่นของ ICG จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน งงงวย กับบทบาทและเป้าหมายของตนเองกันเป็นแถว ๆ ก็นับว่าได้ผลไม่น้อยทีเดียว

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 4 สำหรับเหตุการณ์ขับไล่รัฐบาลโจรร้าย ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2556 ถึงปัจจุบัน ICG มีรายงานออกมา 3 ครั้ง – ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เป็นการรายงานความเคลื่อนไหวของฝ่ายที่ออกมาประท้วงรัฐบาล ใส่ข้อมูลแนวเดียวกับสื่อหัวสี ข้อมูลฟอกย้อมจนขี้เกียจเขียนถึง แค่อ่านก็ออกอาการตึงมือขึ้นมาแล้ว แต่ ICG ยังไม่มีคำวิจารณ์หรือความเห็นเสนอ – ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานระบุว่าวิกฤติทางการเมืองเข้มข้นขึ้น เมื่อฝ่ายประท้วงเรื่องไม่รับกม.นิรโทษกรรม เปลี่ยนเป็นเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และขู่ว่าจะล้มการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ และมีแผนจะยึดกรุงเทพฯ และขับไล่ระบอบทักษิณแบบขุดรากถอนโคน และตั้งสภาประชาชน 400 คน นายสุเทพอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์แกนนำขู่ว่าจะ shut down กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2014 ฝ่ายกองทัพไม่ปฏิเสธว่าจะไม่มีการปฏิวัติ แต่ ICG ยังคงไม่มีความเห็นเสนอ – ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2014 ใช้หัวข้อการรายงานว่า Conflict Alert รายงานว่า การประท้วงทำท่าจะก่อให้เกิดความรุนแรง และโอกาสที่จะมีการเจรจาอย่างสันติแทบจะไม่มีเลย และผู้ประท้วงมีแนวโน้ม จะสนับสนุนให้มีการรัฐประหารโดยกองทัพ การประท้วงัไม่ให้มีการเลือกตั้ง ทำให้เห็นชัดถึงทิศทางการเมืองของประเทศไทยว่า จะเป็นแบบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบ หรือเป็นการบริหารโดยสถาบันที่มีอำนาจอย่างเคย ๆ เช่น สถาบันกษัตริย์ และกองทัพ รายงานส่วนอื่น ถ้าไม่บอกว่าเป็นรายงานของ ICG ก็อาจจะเข้าใจผิดได้ว่า อ่านรายงานของสำนักนายกฯ (เอ้ะ ชักสงสัยใครมันเขียนให้ใครกันแน่ ! ?) ที่น่าสนใจเป้าหมายของรายงาน ไม่ได้พุ่งไปที่ฝ่ายประท้วงรัฐบาลอย่างเดียว แต่พ่วงเอากองทัพเข้าไปด้วยว่า ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น เหมือนเป็นการออกแบบให้เกิดการรัฐประหาร ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่มี กองทัพได้ทำการรัฐประหารมาแล้ว 18 ครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ และใช้กำลังอาวุธกับกลุ่มที่ออกมาแสดงความนิยมประชาธิปไตย เมื่อ ค.ศ. 1973, 1992 และ 2010 แต่ไม่เคยสักครั้งเดียว ที่จะออกมาแทรกแซงเพื่อช่วยรัฐบาลของทักษิณ! ICG ตบท้ายรายงานว่า ไม่มีหนทางใดที่จะนำไปสู่ความสันติ ถ้าเส้นทางนั้นไม่เคารพเสียข้างมากของผู้ลงคะแนน พร้อมกับให้คำแนะนำว่า – ประชาธิปัตย์ ควรจะกลับไปร่วมในขบวนการเลือกตั้ง – กองทัพ ต้องพยายามดูแลเหตุการณ์ความไม่สงบนี้ ตามวิถีประชาธิปไตย และสนับสนุนให้มีการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง ทั้ง 2 – ประเทศไทย จะต้องถึงจุดที่พิจารณาให้ชัดเจนว่า จะบริหารประเทศอย่างไร ซึ่งจำเป็นต้องมีการหารือในระดับชาติ ไม่ใช่เป็นความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง (ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าระหว่างรัฐบาลกับ ICG ใครมันสอนให้ใครพูดข้อความข้างต้นเพราะมันเหมือนกันจัง) ICG ยังสำทับอีกว่า ถ้าทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรง การหารือกันในระดับชาติถึงทางออกจากข้อขัดแย้ง ก็พอมีให้เห็นอย่างจาง ๆ แต่ว่าสำหรับกรุงเทพ ทางเลือกอื่นไม่ได้มีมากนัก ! (เขียนแบบนี้มันมีความหมายพิลึกนะ) ขณะนี้เขียนบทความนี้ ยังไม่รู้ว่า ICG จะทำงานได้ตามราคาคุยของนาย Evans แค่ไหน แต่อย่างน้อย พอมองเห็นว่า การทำงานของ ICG แผนก R&D ของนักล่า ได้ผลระดับหนึ่ง ในเรื่องต่อไปนี้ – รัฐบาลภายใต้การนำของโจรร้าย และน้องสาวแสนโง่ เดินตามคำแนะนำของแผนก R&D ของนักล่า อย่างเคร่งครัด แต่ผลสำเร็จเกิดแค่ไหน คงต้องดูกันต่อไป – การพยายามให้โลกเข้าข้างฝ่ายที่ ICG กำลังสนับสนุนอยู่ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเลวร้าย ไม่เป็นประชาธิปไตย ฯลฯ ขนาดไหน ได้ผลสูงและทำให้โลกตำหนิติเตียน ตั้งข้อสังเกต กับฝ่ายที่ไม่ได้เป็นตัวเล่นของ ICG จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด สับสน งงงวย กับบทบาทและเป้าหมายของตนเองกันเป็นแถว ๆ ก็นับว่าได้ผลไม่น้อยทีเดียว คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ขุดรากถอนโคน ระบอบทักษิณ#รวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย#อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    #ขุดรากถอนโคน ระบอบทักษิณ#รวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย#อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 928 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอกนัฏ" จับมือท้องถิ่นดัน "สมุทรสาครโมเดล" ชงเคส รง.ไฟไหม้ สมุทรสาคร ให้ DSI รับช่วงขุดรากถอนโคนขนขยะอันตรายเข้าประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/17365/
    "เอกนัฏ" จับมือท้องถิ่นดัน "สมุทรสาครโมเดล" ชงเคส รง.ไฟไหม้ สมุทรสาคร ให้ DSI รับช่วงขุดรากถอนโคนขนขยะอันตรายเข้าประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/17365/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเฟียจีน กับ ลูกกระจ๊อกตร.ไทย ความบรรลัยที่ไม่จบสิ้น
    การจับมือกันระหว่างผู้กว้างขวางไทยชื่อเสี่ยออพัทยา กับมาเฟียจีนเทาจากแผ่นดินใหญ่ชื่อว่าบ๊อบบี้
    เมื่อเดือนกันยายน 2567 เกิดเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์บุกอุ้มตัวนักธุรกิจชาวจีน ชื่อนายเฉินจิง บริเวณหน้าสถานบันเทิงเวิลด์เฮ้าส์คลับ พัทยา กลุ่มคนร้ายพยายามกระชากลากตัวนายเฉินจิงไปขึ้นรถตู้อัลพาร์ดสีขาว แต่นายเฉินจิงขัดขืนต่อสู้สุดชีวิตเลยดิ้นหลุดออกจากรถตู้มาได้ แต่ไม่รอดจากการถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาแถมยังถูกชิงสร้อยคอทองคํา ราคา 2.5ล้านบาทไปด้วย
    หลังแจ้งความและตรวจร่างกายเรียบร้อย นายเฉินจิงก็รีบบินหนีอิทธิพลมืดจากจีนในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปรากฏว่าตํารวจเมืองพัทยาออกอาการไม่อยากทําคดี ผ่านไปนาน 5 เดือนคดีไม่มีความคืบหน้า พร้อมท้าทายว่าคดีนี้ไม่มีใครจะทําอะไรพวกกูได้เพราะกูมีลูกพี่ใหญ่คนไทย ให้การคุ้มครอง
    นายเฉินจิง แม้จะเกรงกลัวจนไม่กล้ามาไทยแต่ก็ได้มอบหมาย คนส่งเอกสารและตามคดีกับทางพนักงานสอบสวนสภ. เมืองพัทยา ยืนยันขอดําเนินการกับผู้ต้องหาจนถึงที่สุดแต่ก็ถูกเตะถ่วงอยู่ดี
    จนเมื่อต้นปี2567 มีชายต่างชาติพาสิงโตนั่งรถเบนรี่ เปิดประทุนพาเที่ยวชมเมืองพัทยา จนผู้คนแตกตื่นแท้จริงแล้วสิงโตนั้นเป็นสัตว์เสริมบารมีของบ๊อบบี้มาเฟียจีนเทาคนนี้
    ในที่สุดตํารวจพัทยา สุดจะเตะถ่วงได้อีกต่อไปจึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา8 ราย เป็นจีน 5 ไทย 3แต่คนร้ายบางคนมีพรายกระซิบ ชิงบินหนีไปกัมพูชาก่อนมีหมายจับอย่างเฉียดฉิวแต่บ๊อบบี้ไม่ได้บินหนีไปด้วยยังคงกบดานอยู่ในไทย
    แถมยังติดต่อกลับไปยังนายเฉินจิงผู้เสียหายว่าให้ถอนแจ้งความเสียจะยอมจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้รวมทั้งคืนสร้อยคอ 2.5 ล้านให้ด้วย
    ต้องดูน้ํายาตํารวจไทยต่อไปจะปล่อยให้แก๊งมาเฟียจีนเทาพัทยาเหยียบย่ํากฎหมายไทยต่อไปหรือจะขุดรากถอนโคนกันไปเลย
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    มาเฟียจีน กับ ลูกกระจ๊อกตร.ไทย ความบรรลัยที่ไม่จบสิ้น การจับมือกันระหว่างผู้กว้างขวางไทยชื่อเสี่ยออพัทยา กับมาเฟียจีนเทาจากแผ่นดินใหญ่ชื่อว่าบ๊อบบี้ เมื่อเดือนกันยายน 2567 เกิดเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์บุกอุ้มตัวนักธุรกิจชาวจีน ชื่อนายเฉินจิง บริเวณหน้าสถานบันเทิงเวิลด์เฮ้าส์คลับ พัทยา กลุ่มคนร้ายพยายามกระชากลากตัวนายเฉินจิงไปขึ้นรถตู้อัลพาร์ดสีขาว แต่นายเฉินจิงขัดขืนต่อสู้สุดชีวิตเลยดิ้นหลุดออกจากรถตู้มาได้ แต่ไม่รอดจากการถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาแถมยังถูกชิงสร้อยคอทองคํา ราคา 2.5ล้านบาทไปด้วย หลังแจ้งความและตรวจร่างกายเรียบร้อย นายเฉินจิงก็รีบบินหนีอิทธิพลมืดจากจีนในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปรากฏว่าตํารวจเมืองพัทยาออกอาการไม่อยากทําคดี ผ่านไปนาน 5 เดือนคดีไม่มีความคืบหน้า พร้อมท้าทายว่าคดีนี้ไม่มีใครจะทําอะไรพวกกูได้เพราะกูมีลูกพี่ใหญ่คนไทย ให้การคุ้มครอง นายเฉินจิง แม้จะเกรงกลัวจนไม่กล้ามาไทยแต่ก็ได้มอบหมาย คนส่งเอกสารและตามคดีกับทางพนักงานสอบสวนสภ. เมืองพัทยา ยืนยันขอดําเนินการกับผู้ต้องหาจนถึงที่สุดแต่ก็ถูกเตะถ่วงอยู่ดี จนเมื่อต้นปี2567 มีชายต่างชาติพาสิงโตนั่งรถเบนรี่ เปิดประทุนพาเที่ยวชมเมืองพัทยา จนผู้คนแตกตื่นแท้จริงแล้วสิงโตนั้นเป็นสัตว์เสริมบารมีของบ๊อบบี้มาเฟียจีนเทาคนนี้ ในที่สุดตํารวจพัทยา สุดจะเตะถ่วงได้อีกต่อไปจึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา8 ราย เป็นจีน 5 ไทย 3แต่คนร้ายบางคนมีพรายกระซิบ ชิงบินหนีไปกัมพูชาก่อนมีหมายจับอย่างเฉียดฉิวแต่บ๊อบบี้ไม่ได้บินหนีไปด้วยยังคงกบดานอยู่ในไทย แถมยังติดต่อกลับไปยังนายเฉินจิงผู้เสียหายว่าให้ถอนแจ้งความเสียจะยอมจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้รวมทั้งคืนสร้อยคอ 2.5 ล้านให้ด้วย ต้องดูน้ํายาตํารวจไทยต่อไปจะปล่อยให้แก๊งมาเฟียจีนเทาพัทยาเหยียบย่ํากฎหมายไทยต่อไปหรือจะขุดรากถอนโคนกันไปเลย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1084 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทยนับวันจะถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆคาดหวังอะไรไม่ได้เลย บอกตรงๆบางทีท้อนะชาติบ้านเมืองไม่ไปไหนเลยวนลูปอยู่ที่เดิมตระกูลเดิม รัฐประหารหลายครั้งมันสูญเปล่าประชาชนจะพึ่งใครได้ ทำถ้าจะเสียดินแดนอีกบรรพบุรุษอุตส่าห์แลกมาด้วยชีวิตลูกหลานจัญไรจะขายกิน #อ.สนธิ,อ.ปานเทพ และอีกหลายๆท่านฯลฯต้องมาสู้เราจะสู้กันไปจนตายเลยใช่ไหมเมื่อไหร่จะขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากสักทีทำแบบจีนเลยต้องประหารขังคุกจริงๆแบบเกาหลี
    🇹🇭 ประเทศไทยนับวันจะถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆคาดหวังอะไรไม่ได้เลย บอกตรงๆบางทีท้อนะชาติบ้านเมืองไม่ไปไหนเลยวนลูปอยู่ที่เดิมตระกูลเดิม รัฐประหารหลายครั้งมันสูญเปล่าประชาชนจะพึ่งใครได้ ทำถ้าจะเสียดินแดนอีกบรรพบุรุษอุตส่าห์แลกมาด้วยชีวิตลูกหลานจัญไรจะขายกิน #อ.สนธิ,อ.ปานเทพ และอีกหลายๆท่านฯลฯต้องมาสู้เราจะสู้กันไปจนตายเลยใช่ไหมเมื่อไหร่จะขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากสักทีทำแบบจีนเลยต้องประหารขังคุกจริงๆแบบเกาหลี🤝❤🇹🇭❤🤝🔊📣📣📣
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศว่าจะต่อสู้เพื่ออนาคตทางการเมือง หลังเขาถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง ในการโหวตครั้งที่ 2 ของรัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้าน ต่อการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับในช่วงสั้นๆ ความเคลื่อนไหวที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศ
    .
    ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากเก้าอี้หรือไม่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน 6 เดือนข้างหน้า และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเห็นชอบมติถอดถอน เมื่อนั้นก็จะมีการเลือกตั้งใหม่
    .
    นายกรัฐมนตรีนายฮัน ด็อก-ซู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากยุน ก้าวมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ในระหว่างที่ ยุน ยังคงอยู่ในตำแหน่ง แต่อำนาจประธานาธิบดีของเขาถูกพักเอาไว้ ในขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาเพิ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งทาง
    .
    "ผมจะใช้ทุกความเข้มแข็งที่ผมมีและทุกความพยายามในการรักษาเสถียรภาพแก่รัฐบาล" ฮันบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการโหวต
    .
    วิกฤตการเมืองครั้งนี้ อันนำมาซึ่งการลาออกและการจับกุมเจ้าหน้าที่กลาโหมและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายรายก่อความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของเกาหลีใต้ในการป้องปรามเกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงเวลาที่ เปียงยาง กำลังยกระดับคลังแสงและกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นกับรัสเซีย
    .
    ยุน ถือเป็นประธานาธิบดีอนุรักษนิยมคนที่ 2 ติดต่อกันที่ถูกถอดถอนในเกาหลีใต้ หลังจากพัค กึน-ฮเย ถูกเขี่ยพ้นจากตำแหน่งในปี 2017 ทั้งนี้ ยุน ถูกยื่นถอดถอนครั้งแรกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว แต่รอดพ้นมาได้สืบเนื่องจากสมาชิกพรรคของเขาส่วนใหญ่บอตคอตการลงมติ ส่งผลให้องค์ประชุมไม่ครบ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ก็เขาถูกถอดถอนในการลงมติรอบ 2
    .
    "แม้ว่าผมจะหยุดแล้วในตอนนี้ แต่การเดินทางเคียงข้างประชาชนของผมในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ในการมุ่งหน้าสู่อนาคต จะไม่มีวันหยุดลง ผมจะไม่มีวันยอมแพ้" ยุนกล่าว
    .
    บรรดาผู้ประท้วงใกล้อาคารรัฐสภาที่สนับสนุนการถอดถอนยุน ส่งเสียงยินดีอย่างกึกก้องขานรับข่าวการลงมติถอดถอน สวนทางกับบรรยากาศของที่ชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนยุน
    .
    ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีครั้งนี้มี ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันโหวตเห็นชอบ 204 เสียง คัดค้าน 85 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และมีคะแนนโหวตที่เป็นโมฆะ (nullified) อีก 8 เสียง
    .
    ส.ส.พรรคพลังประชาชน (PPP) ที่เป็นฝั่งรัฐบาลประกาศไม่บอยคอตการโหวตเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมี ส.ส.อย่างน้อย 12 คนที่ช่วยโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนของฝ่ายค้าน เปิดทางสำหรับการได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ที่จำเป็นสำหรับการถอดถอน ในสมัชชาที่มีทั้งหมด 300 ที่นั่ง และมีพรรค PPP ครองเสียงข้างมากด้วยจำนวน 192 เสียง
    .
    ยุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เมื่อเขาประกาศกฎอัยการศึก ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในการขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และพิชิตการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
    .
    อย่างไรก็ตาม เขายกเลิกประกาศดังกล่าวเพียงแค่อีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาขัดขืนทหารและตำรวจ ลงมติคัดค้านอัยการศึก แต่มันฉุดให้ประเทศแห่งนี้ดำดิ่งสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญและโหมกระพือเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ในเหตุผลที่ว่าเขาละเมิดกฎหมาย
    .
    ต่อมา ยุน ออกมาขอโทษ แต่ปกป้องการตัดสินใจของตนเอง แต่เมินเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง กระตุ้นให้บรรดาพรรคฝ่ายค้ายยื่นถอดถอน ภายใต้การสนับสนุนของผู้ชุมนุมจำนวนมาก
    .
    นอกจากนี้ ยุน ยังอยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามคำกล่าวหาก่อกบฏจากการประกาศอัยการศึก และเจ้าหน้าที่สั่งห้ามเขาเดินทางออกนอกประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120164
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ ประกาศว่าจะต่อสู้เพื่ออนาคตทางการเมือง หลังเขาถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่ง ในการโหวตครั้งที่ 2 ของรัฐสภาที่นำโดยฝ่ายค้าน ต่อการประกาศกฎอัยการศึกที่มีผลบังคับในช่วงสั้นๆ ความเคลื่อนไหวที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศ . ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าจะรับรองการถอดถอนยุนพ้นจากเก้าอี้หรือไม่ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใน 6 เดือนข้างหน้า และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเห็นชอบมติถอดถอน เมื่อนั้นก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ . นายกรัฐมนตรีนายฮัน ด็อก-ซู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากยุน ก้าวมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ในระหว่างที่ ยุน ยังคงอยู่ในตำแหน่ง แต่อำนาจประธานาธิบดีของเขาถูกพักเอาไว้ ในขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาเพิ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งทาง . "ผมจะใช้ทุกความเข้มแข็งที่ผมมีและทุกความพยายามในการรักษาเสถียรภาพแก่รัฐบาล" ฮันบอกกับผู้สื่อข่าวหลังการโหวต . วิกฤตการเมืองครั้งนี้ อันนำมาซึ่งการลาออกและการจับกุมเจ้าหน้าที่กลาโหมและเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายรายก่อความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของเกาหลีใต้ในการป้องปรามเกาหลีเหนือ ชาติติดอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงเวลาที่ เปียงยาง กำลังยกระดับคลังแสงและกระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นกับรัสเซีย . ยุน ถือเป็นประธานาธิบดีอนุรักษนิยมคนที่ 2 ติดต่อกันที่ถูกถอดถอนในเกาหลีใต้ หลังจากพัค กึน-ฮเย ถูกเขี่ยพ้นจากตำแหน่งในปี 2017 ทั้งนี้ ยุน ถูกยื่นถอดถอนครั้งแรกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว แต่รอดพ้นมาได้สืบเนื่องจากสมาชิกพรรคของเขาส่วนใหญ่บอตคอตการลงมติ ส่งผลให้องค์ประชุมไม่ครบ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ก็เขาถูกถอดถอนในการลงมติรอบ 2 . "แม้ว่าผมจะหยุดแล้วในตอนนี้ แต่การเดินทางเคียงข้างประชาชนของผมในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ในการมุ่งหน้าสู่อนาคต จะไม่มีวันหยุดลง ผมจะไม่มีวันยอมแพ้" ยุนกล่าว . บรรดาผู้ประท้วงใกล้อาคารรัฐสภาที่สนับสนุนการถอดถอนยุน ส่งเสียงยินดีอย่างกึกก้องขานรับข่าวการลงมติถอดถอน สวนทางกับบรรยากาศของที่ชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนยุน . ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีครั้งนี้มี ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันโหวตเห็นชอบ 204 เสียง คัดค้าน 85 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และมีคะแนนโหวตที่เป็นโมฆะ (nullified) อีก 8 เสียง . ส.ส.พรรคพลังประชาชน (PPP) ที่เป็นฝั่งรัฐบาลประกาศไม่บอยคอตการโหวตเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมี ส.ส.อย่างน้อย 12 คนที่ช่วยโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนของฝ่ายค้าน เปิดทางสำหรับการได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ที่จำเป็นสำหรับการถอดถอน ในสมัชชาที่มีทั้งหมด 300 ที่นั่ง และมีพรรค PPP ครองเสียงข้างมากด้วยจำนวน 192 เสียง . ยุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เมื่อเขาประกาศกฎอัยการศึก ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในการขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และพิชิตการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง . อย่างไรก็ตาม เขายกเลิกประกาศดังกล่าวเพียงแค่อีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาขัดขืนทหารและตำรวจ ลงมติคัดค้านอัยการศึก แต่มันฉุดให้ประเทศแห่งนี้ดำดิ่งสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญและโหมกระพือเสียงเรียกร้องอย่างกว้างขวางให้เขาลาออกจากตำแหน่ง ในเหตุผลที่ว่าเขาละเมิดกฎหมาย . ต่อมา ยุน ออกมาขอโทษ แต่ปกป้องการตัดสินใจของตนเอง แต่เมินเสียงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง กระตุ้นให้บรรดาพรรคฝ่ายค้ายยื่นถอดถอน ภายใต้การสนับสนุนของผู้ชุมนุมจำนวนมาก . นอกจากนี้ ยุน ยังอยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามคำกล่าวหาก่อกบฏจากการประกาศอัยการศึก และเจ้าหน้าที่สั่งห้ามเขาเดินทางออกนอกประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000120164 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1288 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุน ซ็อกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ต่อกรณีพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกแต่ล้มเหลว จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมรายหนึ่งในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังขึ้นขอให้ถอดถอนเขาหรือไม่ก็ลาออกจากตำแหน่ง และวิกฤตความเป็นผู้นำที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
    .
    ประธานาธิบดียุน ออกมาขอโทษต่อความพยายามดังกล่าวและบอกว่าจะปล่อยให้ชะตากรรมทางการเมืองและทางกฎหมายของตนเอง ขึ้นอยู่กับพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) พรรคการเมืองของเขา แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ในขณะที่เวลานี้ผู้นำรายนี้อยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น
    .
    ในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) กระทรวงกลาโหมระบุว่า ยุน ยังคงผู้บัญชาการสูงสุดตามกฎหมาย แต่ด้วยมีความเห็นไม่ลงรอยมากขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงเกี่ยวกับตัวประธานาธิบดี มันจึงก่อคำถามเกี่ยวกับอำนาจที่อยู่ในมือของผู้นำรายนี้
    .
    โอ ดอง-วูน หัวหน้าสำนักงานสืบสวนคอร์รัปชัน สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง เปิดเผยว่าเขาห้าม ยุน เดินทางออกไปยังต่างแดน ครั้งที่เข้าให้ปากคำกับรัฐสภา ว่าจะใช้มาตรการใดบ้างกับประธานาธิบดี
    .
    เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมรายหนึ่ง บอกกับคณะกรรมาธิการเช่นกัน ว่าได้ดำเนินการตามคำสั่งห้ามเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    คณะกรรมาธิการชุดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2021 เพื่อสืบสวนเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในนั้นรวมถึงประธานาธิบดี และสมาชิกในครอบครัว แต่ไม่มีอำนาจในการดำเนินคดีกับประธานาธิดี โดยกฎหมายบังคับให้ทางคณะกรรมาธิการส่งต่อเรื่องดังกล่าวต่อไปยังสำนักงานอัยการ
    .
    แม้ ยุน รอดพ้นจากการลงมติถอดถอนในรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ (7 ธ.ค.) แต่การที่พรรคของเขาตัดสินใจถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีไปยังนายกรัฐมนตรี ได้ผลักให้พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ แห่งนี้เข้าสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญ
    .
    ยุน ปฏิเสธเสียงเรียกร้อง ในนั้นบางส่วนมาจากผู้คนภายในพรรคของเขาเอง ที่ขอให้ลาออกจากตำแหน่ง แต่อนาคตของเขาดูเหมือนจะไม่แน่นอนยิ่งขึ้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อสำนักข่าวยอนฮับ รายงานว่าเขาถูกสืบสวนทางอาญาสำหรับคำกล่าวหาก่อกบฏ
    .
    ในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) อัยการได้จับกุม คิม ยอง-ฮยุน อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ตามคำกล่าวหาเกี่ยวกับบทบาทของเขาในการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม
    .
    ประธานาธิบดียุน มอบอำนาจอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในวันที่ 3 ธันวาคม อ้างว่าเพื่อขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงาน โดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง" แต่เขากลับลำถอนคำสั่งดังกล่าวในอีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาลงมติคัดค้าน
    .
    ท่ามกลางกระแสตีกลับ พวกเจ้าหน้าที่ทหารหลายคน ในนั้นรวมถึงรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม บอกว่พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามใดๆ หากมีการออกคำสั่งบังคับใช้กฎอัยการศึกอีกรอบ
    .
    พรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านหลัก (ดีพี) เรียกร้องให้ปลดอำนาจของยุนที่มีเหนือกองทัพ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้จับกุมยุนและเจ้าหน้าที่ทหารรายใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัยการศึกที่ล้มเหลว
    .
    ในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ฮัน ดง-ฮูน หัวหน้าพรรคพีพีพี บอกว่าประธานาธิบดีจะถูกกันจากกิจการต่างประเทศและกิจการรัฐอื่นๆ โดยที่นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อค-ซู จะเข้ารับผิดชอบกิจการรัฐบาลแทน
    .
    อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้าน ที่บอกว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ พวกเขาระบุว่า ยุน ต้องโดนถอดถอนหรือไม่ก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับเผชิญกับการดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ พวกเขายังมีแผนยื่นถอดถอนผู้นำรายนี้อีกรอบในวันเสาร์ (14 ธ.ค.)
    .
    การตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกของยุน โหมกระพือการประท้วงบนท้องถนน และก่อความกังวลแก่บรรดาพันธมิตรทั้งหลายของโซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ
    .
    ความยุ่งเหยิงของโซล เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในภูมิภาค หลังมีรายงานข่าวว่าเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าไปยังรัสเซีย เพื่อช่วยมอสโกทำสงครามกับยูเครน ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ
    .
    โช แทย็อล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ แนะนำเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงของเขาว่า "เราต้องมุ่งมั่นไม่หยุดยั้งในความพยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นของบรรดาพันธมิตรของเขา และเป็นอีกครั้งที่ต้องยกระดับทำให้ได้ตามความคาดหวังของประชาคมนานาชาติที่มีต่อเกาหลีใต้"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118434
    ..............
    Sondhi X
    ยุน ซ็อกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ต่อกรณีพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกแต่ล้มเหลว จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมรายหนึ่งในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังขึ้นขอให้ถอดถอนเขาหรือไม่ก็ลาออกจากตำแหน่ง และวิกฤตความเป็นผู้นำที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ . ประธานาธิบดียุน ออกมาขอโทษต่อความพยายามดังกล่าวและบอกว่าจะปล่อยให้ชะตากรรมทางการเมืองและทางกฎหมายของตนเอง ขึ้นอยู่กับพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) พรรคการเมืองของเขา แต่ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ในขณะที่เวลานี้ผู้นำรายนี้อยู่ภายใต้การสืบสวนทางอาญา ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น . ในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) กระทรวงกลาโหมระบุว่า ยุน ยังคงผู้บัญชาการสูงสุดตามกฎหมาย แต่ด้วยมีความเห็นไม่ลงรอยมากขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงเกี่ยวกับตัวประธานาธิบดี มันจึงก่อคำถามเกี่ยวกับอำนาจที่อยู่ในมือของผู้นำรายนี้ . โอ ดอง-วูน หัวหน้าสำนักงานสืบสวนคอร์รัปชัน สำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง เปิดเผยว่าเขาห้าม ยุน เดินทางออกไปยังต่างแดน ครั้งที่เข้าให้ปากคำกับรัฐสภา ว่าจะใช้มาตรการใดบ้างกับประธานาธิบดี . เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมรายหนึ่ง บอกกับคณะกรรมาธิการเช่นกัน ว่าได้ดำเนินการตามคำสั่งห้ามเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . คณะกรรมาธิการชุดนี้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2021 เพื่อสืบสวนเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในนั้นรวมถึงประธานาธิบดี และสมาชิกในครอบครัว แต่ไม่มีอำนาจในการดำเนินคดีกับประธานาธิดี โดยกฎหมายบังคับให้ทางคณะกรรมาธิการส่งต่อเรื่องดังกล่าวต่อไปยังสำนักงานอัยการ . แม้ ยุน รอดพ้นจากการลงมติถอดถอนในรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ (7 ธ.ค.) แต่การที่พรรคของเขาตัดสินใจถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีไปยังนายกรัฐมนตรี ได้ผลักให้พันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ แห่งนี้เข้าสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญ . ยุน ปฏิเสธเสียงเรียกร้อง ในนั้นบางส่วนมาจากผู้คนภายในพรรคของเขาเอง ที่ขอให้ลาออกจากตำแหน่ง แต่อนาคตของเขาดูเหมือนจะไม่แน่นอนยิ่งขึ้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อสำนักข่าวยอนฮับ รายงานว่าเขาถูกสืบสวนทางอาญาสำหรับคำกล่าวหาก่อกบฏ . ในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) อัยการได้จับกุม คิม ยอง-ฮยุน อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ตามคำกล่าวหาเกี่ยวกับบทบาทของเขาในการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม . ประธานาธิบดียุน มอบอำนาจอย่างกว้างขวางแก่กองทัพในวันที่ 3 ธันวาคม อ้างว่าเพื่อขุดรากถอนโคนในสิ่งที่เขาเรียกว่า "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงาน โดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง" แต่เขากลับลำถอนคำสั่งดังกล่าวในอีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังจากรัฐสภาลงมติคัดค้าน . ท่ามกลางกระแสตีกลับ พวกเจ้าหน้าที่ทหารหลายคน ในนั้นรวมถึงรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม บอกว่พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามใดๆ หากมีการออกคำสั่งบังคับใช้กฎอัยการศึกอีกรอบ . พรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านหลัก (ดีพี) เรียกร้องให้ปลดอำนาจของยุนที่มีเหนือกองทัพ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้จับกุมยุนและเจ้าหน้าที่ทหารรายใดก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัยการศึกที่ล้มเหลว . ในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ฮัน ดง-ฮูน หัวหน้าพรรคพีพีพี บอกว่าประธานาธิบดีจะถูกกันจากกิจการต่างประเทศและกิจการรัฐอื่นๆ โดยที่นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อค-ซู จะเข้ารับผิดชอบกิจการรัฐบาลแทน . อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้าน ที่บอกว่ามันไม่ชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ พวกเขาระบุว่า ยุน ต้องโดนถอดถอนหรือไม่ก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับเผชิญกับการดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ พวกเขายังมีแผนยื่นถอดถอนผู้นำรายนี้อีกรอบในวันเสาร์ (14 ธ.ค.) . การตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกของยุน โหมกระพือการประท้วงบนท้องถนน และก่อความกังวลแก่บรรดาพันธมิตรทั้งหลายของโซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ . ความยุ่งเหยิงของโซล เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในภูมิภาค หลังมีรายงานข่าวว่าเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าไปยังรัสเซีย เพื่อช่วยมอสโกทำสงครามกับยูเครน ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือ . โช แทย็อล รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ แนะนำเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงของเขาว่า "เราต้องมุ่งมั่นไม่หยุดยั้งในความพยายามฟื้นฟูความเชื่อมั่นของบรรดาพันธมิตรของเขา และเป็นอีกครั้งที่ต้องยกระดับทำให้ได้ตามความคาดหวังของประชาคมนานาชาติที่มีต่อเกาหลีใต้" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118434 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1106 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดี ยุน ซ็อกยอล รอดพ้นจากลงมติถอดถอนในรัฐสภาในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) จากกรณีที่เขาพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ แต่ผู้นำพรรคของเขาเอง ยังเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วประธานาธิบดีรายนี้จะลาออกจากตำแหน่งเอง
    .
    พรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ของยุน บอยคอตต์การลงมติถอดถอน ที่ผลักดันโดยพรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านหลัก แต่ญัตติถูกคว่ำหลังจากมีสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมไม่มากพอ
    .
    อย่างไรก็ตาม หลังจากการโหวต ฮาน ดองฮูน ผู้นำพรรคพีพีพี บอกว่าพรรคตัดสินใจแล้วว่า ยูน จะลาออกจากตำแหน่ง "การประกาศกฎอัยการศึกเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจนและร้ายแรง" ฮาน บอกกับผู้สื่อข่าว
    .
    กระนั้นก็ตาม ฮาน เคยมีประวัติกระทบกระทั่งกับยุน และไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้พูดคุยกับสมาชิกพรรคพีพีพีทั้งหมดแล้วหรือไม่ ขณะเดียวกัน ยุน ก็ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับคำพูดของ ฮาน
    .
    ประธานาธิบดียุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (3 ธ.ค.) ด้วยการประกาศกฎอัยการศึก มอบอำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่ทหาร ในการขุดรากถอนโคนสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และกำราบการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
    .
    อย่างไรก็ตาม เขาถอนกฎอัยการศึกในอีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังรัฐสภาที่ขัดขืนการปิดล้อมของทหารและตำรวจ ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์คัดค้านประกาศดังกล่าว
    .
    อย่างไรก็ตาม การประกากฎอัยการศึกของยุน ได้ฉุดเกาหลีใต้ ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเอเชีย และพันธมิตรทางทหารสำคัญของสหรัฐฯ เข้าสู่วิกฤตทางการเมืองใหญ่หลวงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ คุกคามทำลายชื่อเสียงของประเทศ ในเรื่องราวแห่งความสำเร็จในด้านประชาธิปไตย
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) ยุน ปราศรัยถึงประชาชนทั่วไปประเทศ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ ขอโทษต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว และบอกว่าเขาจะเผชิญหน้าไม่ว่าผลสนองจะตามมาเช่นไร อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เสนอตัวขอลาออกแต่อย่างใด
    .
    ยุน บอกว่าเขาวางชะตากรรมไว้ในมือของพรรคพีพีพี ซึ่ง ฮาน กล่าวในเวลาต่อมาว่ามันเท่ากับเป็นการสัญญาว่าผู้นำรายนี้จะลาออกจากตำแหน่งก่อนกำหนด
    .
    "พรรคพลังประชาชนจะหาทางให้ประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่งด้วยความเป็นระบบระเบียบ เพื่อลดความสับสนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด" ฮานกล่าว พร้อมบอกว่าจนกว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่ง ผู้นำรายนี้จะถูกกันจากการทำหน้าที่ และนายกรัฐมนตรีจะปรึกษาหารือกับทางพรรคในการบริการจัดการกิจการต่างๆ ของรัฐ
    .
    พรรคดีพี พรรคฝ่ายค้าน หัวเราะเยาะแนวคิดดังกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่ชอบด้วยกฎหมาย "ทั้งประชาชนและกฎหมาย ไม่มีใครให้อำนาจ ฮาน เขี่ย ยุน พ้นจากเก้าอี้" พรรคดีพีพีระบุในถ้อยแถลง พร้อมบอกว่าการถอดถอนเป็นเพียงหนทางเดียว
    .
    การลงมติครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่พวกผู้ประท้วงหลายหมื่นคนชูเทียนและหลอดไฟ ไหลบ่าลงท้อถนนบริเวณด้านนอกอาคารรัฐสภาในคืนวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และวันเสาร์ (7 ธ.ค.) เรียกร้องให้ถอดถอน ยุน พ้นจากตำแหน่ง
    .
    อ้างอิงผลสำรวจความคิดห็นที่จัดทำโดยสำนักโพล Real Meter ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (5 ธ.ค.) พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 73.6% อยากให้ถอดถอน ยุน ส่วนที่คัดค้านมีอยู่ 24%
    .
    ชอย ยองโฮ ผู้ประท้วงรายหนึ่งวัย 60 ปี แสดงความเดือดดาลต่อแนวโน้มที่การยื่นถอนถอนจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ประกาศจะเดินหน้าเข้าร่วมต่อการประท้วงใดๆ ในอนาคต "เราจะส่งเสียงจนกว่าพวกเขาจะได้ยิน" เขากล่าว
    .
    การปราศรัยต่อสถานีโทรทัศน์ในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) ถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกของยุน นับตั้งแต่เขายกเลิกประกาศอัยการศึก "ผมปล่อยให้ทางพรรคของผมใช้มาตรการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพแก่สถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต ในนั้นรวมถึงประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของผม" เขากล่าว พร้อมให้สัญญาจะไม่มีความพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งที่ 2
    .
    ในเวลาต่อมา ฮาน บอกว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป และเวลานี้การลาออกของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) ฮาน เคยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว่า ยุน เป็นอันตรายต่อประเทศ และจำเป็นต้องถูกถอดพ้นจากอำนาจ ความเคลื่อนไหวที่เพิ่มแรงกดดันให้ ยุน ลาออกจากตำแหน่ง
    .
    อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว สมาชิกพรรคพีพีพีเกือบทั้งหมดบอยคอตต์การลงมติ และหนึ่งในสมาชิกที่เข้าร่วมการโหวตเผยว่าตนเองลงมติคัดค้านการถอดถอน แม้เชื่อว่า ยุน ไม่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งอีกต่อไป
    .
    ถ้า ยุน ออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ 5 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2027 รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้กำหนดไว้ว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ที่เขาพ้นจากเก้าอี้
    .
    เคยมีการประกาศกฎอัยการศึกมาแล้วหลายสิบครั้ง นับตั้งแต่มีการสถาปนาเกาหลีใต้ในฐานะสาธารณรัฐ ในปี 1948 โดยหนสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1980
    .
    ในการประกาศอัยการศึกเมื่อวันอังคาร (3 ธ.ค.) ยุน ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพ ในการจัดการกับภัยคุกคามอย่างไม่เจาะจงจาก "กองกำลังคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ" และ "เพื่อกำจัดกองกำลังต่อต้านรัฐที่ฝักใฝ่เกาหลีเหนือ"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000117845
    ..................
    Sondhi X
    ประธานาธิบดี ยุน ซ็อกยอล รอดพ้นจากลงมติถอดถอนในรัฐสภาในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) จากกรณีที่เขาพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกช่วงสั้นๆ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ แต่ผู้นำพรรคของเขาเอง ยังเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วประธานาธิบดีรายนี้จะลาออกจากตำแหน่งเอง . พรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ของยุน บอยคอตต์การลงมติถอดถอน ที่ผลักดันโดยพรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านหลัก แต่ญัตติถูกคว่ำหลังจากมีสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมไม่มากพอ . อย่างไรก็ตาม หลังจากการโหวต ฮาน ดองฮูน ผู้นำพรรคพีพีพี บอกว่าพรรคตัดสินใจแล้วว่า ยูน จะลาออกจากตำแหน่ง "การประกาศกฎอัยการศึกเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจนและร้ายแรง" ฮาน บอกกับผู้สื่อข่าว . กระนั้นก็ตาม ฮาน เคยมีประวัติกระทบกระทั่งกับยุน และไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเขาได้พูดคุยกับสมาชิกพรรคพีพีพีทั้งหมดแล้วหรือไม่ ขณะเดียวกัน ยุน ก็ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับคำพูดของ ฮาน . ประธานาธิบดียุน สร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศเมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (3 ธ.ค.) ด้วยการประกาศกฎอัยการศึก มอบอำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่ทหาร ในการขุดรากถอนโคนสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็น "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และกำราบการทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง . อย่างไรก็ตาม เขาถอนกฎอัยการศึกในอีก 6 ชั่วโมงต่อมา หลังรัฐสภาที่ขัดขืนการปิดล้อมของทหารและตำรวจ ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์คัดค้านประกาศดังกล่าว . อย่างไรก็ตาม การประกากฎอัยการศึกของยุน ได้ฉุดเกาหลีใต้ ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเอเชีย และพันธมิตรทางทหารสำคัญของสหรัฐฯ เข้าสู่วิกฤตทางการเมืองใหญ่หลวงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ คุกคามทำลายชื่อเสียงของประเทศ ในเรื่องราวแห่งความสำเร็จในด้านประชาธิปไตย . ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) ยุน ปราศรัยถึงประชาชนทั่วไปประเทศ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ ขอโทษต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าว และบอกว่าเขาจะเผชิญหน้าไม่ว่าผลสนองจะตามมาเช่นไร อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เสนอตัวขอลาออกแต่อย่างใด . ยุน บอกว่าเขาวางชะตากรรมไว้ในมือของพรรคพีพีพี ซึ่ง ฮาน กล่าวในเวลาต่อมาว่ามันเท่ากับเป็นการสัญญาว่าผู้นำรายนี้จะลาออกจากตำแหน่งก่อนกำหนด . "พรรคพลังประชาชนจะหาทางให้ประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่งด้วยความเป็นระบบระเบียบ เพื่อลดความสับสนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด" ฮานกล่าว พร้อมบอกว่าจนกว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่ง ผู้นำรายนี้จะถูกกันจากการทำหน้าที่ และนายกรัฐมนตรีจะปรึกษาหารือกับทางพรรคในการบริการจัดการกิจการต่างๆ ของรัฐ . พรรคดีพี พรรคฝ่ายค้าน หัวเราะเยาะแนวคิดดังกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่ชอบด้วยกฎหมาย "ทั้งประชาชนและกฎหมาย ไม่มีใครให้อำนาจ ฮาน เขี่ย ยุน พ้นจากเก้าอี้" พรรคดีพีพีระบุในถ้อยแถลง พร้อมบอกว่าการถอดถอนเป็นเพียงหนทางเดียว . การลงมติครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่พวกผู้ประท้วงหลายหมื่นคนชูเทียนและหลอดไฟ ไหลบ่าลงท้อถนนบริเวณด้านนอกอาคารรัฐสภาในคืนวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และวันเสาร์ (7 ธ.ค.) เรียกร้องให้ถอดถอน ยุน พ้นจากตำแหน่ง . อ้างอิงผลสำรวจความคิดห็นที่จัดทำโดยสำนักโพล Real Meter ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (5 ธ.ค.) พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 73.6% อยากให้ถอดถอน ยุน ส่วนที่คัดค้านมีอยู่ 24% . ชอย ยองโฮ ผู้ประท้วงรายหนึ่งวัย 60 ปี แสดงความเดือดดาลต่อแนวโน้มที่การยื่นถอนถอนจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ประกาศจะเดินหน้าเข้าร่วมต่อการประท้วงใดๆ ในอนาคต "เราจะส่งเสียงจนกว่าพวกเขาจะได้ยิน" เขากล่าว . การปราศรัยต่อสถานีโทรทัศน์ในวันเสาร์ (7 ธ.ค.) ถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกของยุน นับตั้งแต่เขายกเลิกประกาศอัยการศึก "ผมปล่อยให้ทางพรรคของผมใช้มาตรการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพแก่สถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต ในนั้นรวมถึงประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของผม" เขากล่าว พร้อมให้สัญญาจะไม่มีความพยายามบังคับใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งที่ 2 . ในเวลาต่อมา ฮาน บอกว่าประธานาธิบดีไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป และเวลานี้การลาออกของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) ฮาน เคยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว่า ยุน เป็นอันตรายต่อประเทศ และจำเป็นต้องถูกถอดพ้นจากอำนาจ ความเคลื่อนไหวที่เพิ่มแรงกดดันให้ ยุน ลาออกจากตำแหน่ง . อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว สมาชิกพรรคพีพีพีเกือบทั้งหมดบอยคอตต์การลงมติ และหนึ่งในสมาชิกที่เข้าร่วมการโหวตเผยว่าตนเองลงมติคัดค้านการถอดถอน แม้เชื่อว่า ยุน ไม่เหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งอีกต่อไป . ถ้า ยุน ออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ 5 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2027 รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้กำหนดไว้ว่าจะต้องจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ที่เขาพ้นจากเก้าอี้ . เคยมีการประกาศกฎอัยการศึกมาแล้วหลายสิบครั้ง นับตั้งแต่มีการสถาปนาเกาหลีใต้ในฐานะสาธารณรัฐ ในปี 1948 โดยหนสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1980 . ในการประกาศอัยการศึกเมื่อวันอังคาร (3 ธ.ค.) ยุน ให้อำนาจฉุกเฉินอย่างกว้างขวางแก่กองทัพ ในการจัดการกับภัยคุกคามอย่างไม่เจาะจงจาก "กองกำลังคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ" และ "เพื่อกำจัดกองกำลังต่อต้านรัฐที่ฝักใฝ่เกาหลีเหนือ" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000117845 .................. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 924 มุมมอง 0 รีวิว
  • ((( รู้มั้ย? กูเบื่อคนไทยตรงไหน? )))ไม่เรียนรู้ ไม่จดจำ นิ่งไม่เป็น ความจำสั้นกูรู้ หลังศาลท่านไม่รับฟ้องอีเหลี่ยม กูก็เดาทางไว้ก่อนแล้ว ว่า "หาก"ก่อนจะเข้าประเด็นหลัก ที่มรึงอยากรู้ กูขอเตือนความจำมรึงหน่อยน่ะเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ..อีเหลี่ยมได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ พวกมรึงก็ดิ้นยิ่งกว่านักโทษซะอีกแล้วเป็นไง? เงื่อนไขอภัยลดโทษ ว่ายังไง? ทูลเกล้าเท็จ ตามมา เพราะเค้าอ่านขาดตั้งแต่เริ่มแล้วว่า มันจะจบตรงไหน อีเหลี่ยม ไม่ได้อภัยโทษไม่พอ ยังจะลากไส้เน่า ทั้งกรมคุก สภาแพทย์ อัยกวย กรมกากี ตายห่ายกชั้น 14 ไปด้วย มรึงเข้าใจยัง? ว่าอภัยลดโทษ มันคือ "กับดัก" หมาที่ไหนก็รู้ ว่ามันป่วยซะที่ไหน? โซเชี่ยลฆ่ามันเองทุกดอก หลักฐานคาจอ เค้าวางหมากไว้รอแล้ว โทษที่มันต้องเจอคือ มอ.112 คดีอื่นอีกเพี๊ยบไม่นับ แต่ดอกนี้ ถึงตายคาคุก และมีจารึกในประวัติศาสตร์ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรระบุในพระราชกิจจานุเบกษา มันคือหน้าประวัติศาสตร์ไงล่ะ? เดี๋ยวยังจะมีอีก อีเหลี่ยมรอด อีเหลี่ยมไม่โดนฟ้อง อีเหลี่ยมพ้นโทษอื่น แล้วมรึงก็จะดิ้นไปมาไม่เลิก แค้นมันมากสิน่ะ อยากฆ่ามันเองกับมือสิน่ะ อย่าให้เปลืองแรง เดี๋ยวเสนียดจะติดมือมรึงไปด้วย โทษของตระกูลไอ้อีเหี้ยส่องหล้านั้น ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จัดการไม่ยาก แต่จะขุดรากถอนโคน และปลุกไอ้ควายไทยบัดซบให้ตื่นเนี่ย มรึงว่าง่ายเหรอ? หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง หากไม่ฉิบหายคาตา ระบบพ่อปกครองลูกจะได้กลับมามุย? อย่าดูแค่เปลือก ให้ไปดูแก่นของเรื่องนี้เข้าประเด็นกันเลย1.อีเหลี่ยมถูกฟ้องกี่คดีรู้มั้ย? มากกว่า 40 คดี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มรึงรู้มั้ยว่า บางคดีไม่มีอายุความ บางคดีรื้อใหม่ได้ หากมีหลักฐานเพิ่ม รวมทั้งคดีตากใบ ที่ยื่นคนละประเด็นฟ้องเบื้องต้น ทุกอย่างเค้าสะสมไว้หมดแล้ว ดังนั้น ไอ้คดีเป็นภัยต่อความมั่นคง และเป็นภัยต่อระบบการปกครองเนี่ย โจทย์มันกว้างเป็นแม่น้ำ กว่าจะไล่เรียง สอบพยาน สอบหลักฐาน มรึงรู้มั้ยว่า ใช้เวลากี่ปี? เข้าใจยัง? มันตายห่าไปแล้วคดียังไม่เสร็จเลย มรึงเชื่อมั้ย? แล้วจะรับฟ้องไปเพื่อ?2.จะฆ่าเหี้ยเนี่ย มรึงต้องเอาให้คาหนังคาเขา สิ่งที่มันพลาดเพราะความกร่าง นั่นคือ "วาจา" การให้สัมภาษณ์ และพยานสิ่งแวดล้อม พยานหลักฐานในโซเชี่ยล ภาพนิ่ง VDO และเอกสารยืนยันปลอมทั้งหลาย พวกนี้ต่างหาก ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน ใช้เวลาไม่นาน และมัดตาสังข์ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเรื่อง มอ.112 เรื่องที่ดิน เรื่องออกคำสั่งผิดกฎหมาย(ตอนอยู่ในอำนาจ เอื้อประโยชน์ชาติอื่น โดยเอาความมั่นคงไปเสี่ยง และอีกมากมาย ที่มีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลของการกระทำเกิดขึ้นจริงแล้ว) สรุปคือล่อมันตายคาคุก ต้องล่อคดีแห่งวาระตนเองทำ ไม่ต้องมีบุคคลที่สามเอี่ยว ถึงจะเร็วและเด็ดหัวได้จริง อย่าว่าโทษ 10 ปี 20 ปี เลย แค่วันเดียวมันก็ไม่ยอมจะอยู่ เผ่นชัวร์ นั่นแหละที่เค้ารอให้มันทำ ไปเอง แล้วคืนสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ที่เอาไปฝากญาติคืนแผ่นดินมาให้หมด เค้าเช็ครู้หมด มรึงเอาไปฝากใครบ้าง?3.ไอ้ที่รอเนี่ย ไม่ได้กลัวอีเหลี่ยมกระจอกดอกน่ะ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังมันต่างหากล่ะ ที่กำลังจะถูกลากไส้เข้ามาโผล่ให้เห็น ว่าอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล มีส่วนในการแทรกแซงการปกครองไทย แค่อีเหลี่ยม กระสุนนัดเดียวจบไปนานแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่เหี้ย CIA รออยู่เช่นกัน มรึงคิดว่ามีขี้ข้าหมารับใช้อีวอชิงตันอยู่ในเมืองไทยเท่าไหร่ เฉพาะสายลับ หน่วยสืบราชการลับเหี้ย ก็หลายแสนแล้ว ชาวบ้านที่ถูกล้างสมองอีกเป็นล้าน หมู่บ้านชาวตะวันตกในอีสานมีไปทำไม? นั่นแหละดง CIA เลยมรึง! ไอ้พวกนี้ รอแค่ไฟเขียวก่อจราจล ที่มาว่าทำไม เราต้องเอารัสเซีย จีน เข้ามาปัดกวาดสิ่งสกปรกพวกนี้ โดยเราจัดการคนในเรากันเองพอ ส่วนไอ้อีต่างชาติ ปล่อยรัสเซีย จีน เค้าเก็บกวาดให้เอง ทำไมมันซับซ้อนเยอะจัง? มรึงรู้มั้ยว่า กว่าวังจะรอดมาถึงวันนี้ได้ ต้องแลกกับอะไรบ้าง? หากพ่อท่านร.9 ไม่สร้างฐาน ฉีดวัคซีนให้คนไทยไว้พึ่งพิงตัวเองก่อนนี้ ป่านนี้ ถูกมันซื้อตัวไปหมดประเทศแล้ว เพราะมีเหี้ยอะไรก็แบมือขอรัฐท่าเดียว ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กกันแล้ว อานิสงค์พ่อท่าน ถึงรอด?สรุปคือ คดีกว้างไป โจทย์กว้างไป ตัดได้ เก็บคดีหนัก คดีใหญ่ ที่มีมัดตราสังข์รออยู่ อย่าเพิ่งรีบลงดาบ ในขณะที่คนไทยทั้งหมด ยังไม่เห็นธาตุแท้เหี้ยเด่นชัด จนกว่าคนไทยจะเข้าใจว่า ปชต.ไม่มีอยู่จริงในโลก แค่สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา ที่สำคัญคือ ไทยเราจะกลายเป็นโมเดล "พ่อปกครองลูก" ที่ทั่วโลกจะนำไปใช้ในอนาคต อย่าโฟกัสแค่อีเหลี่ยมมากจนเกินไป จนลืมไปว่า ประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องดิ้นรน และฟันฝ่าอีกเยอะ อีเหลี่ยมตายวันนี้ มรึงสะใจ มรึงคิดว่าชนะแล้วเหรอ? หัวหน้ามันยังอยู่ทั้งตัว หมดอีเหลี่ยมไป คนต่อไป อีกลมก็เข้ามาแทน มรึงอ่านเกมส์กันเป็นมั้ย? อีเหลี่ยมแค่หุ่นเชิด วังสู้อยู่กับ DEEP STATE/ ZIONIST/ FREEMASON ระดับโลก เค้ามีอะไรซ่อนอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบเปิดไพ่ตายโชว์ หากมรึงยังไม่ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กูรำคาญ ถึงต้องมาโพส เพื่อให้สติ อีเหลี่ยมตัวเดียว มันไม่มีค่าพอจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ดอก โน้น ศัตรูตัวจริงมรึงคือ "เยรูซาเล็ม" กูถึงได้บอกไงล่ะว่า เกมส์โลก เกมส์ไทย คือเรื่องเดียวกันทั้งหมดไทยไป อาเซียนก็ไปด้วย แล้วอย่างงี้ มรึงพร้อมจะทุ่มสุดตัวกับปูติน สีจิ้นผิงให้เปลี่ยนโลกได้รึยังล่ะ? เย็นไม่เป็นก็เหนื่อย แค่นิ่ง สงบ เฝ้าดู พอแล้ว เพราะจุดจบของทุกไอ้อี ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มรึงไม่ต้องห่วงดอก ก็แค่ "ไม่ทันใจมรึง ไม่ได้ดั่งใจมรึง" เหมือนเด็กร้องจะเอาของเล่น โตได้แล้ว จิตวิญญานมรึงต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพื่อไปสู่โลกอีกภพภูมิที่สูงกว่า อย่าหลงทาง อย่ายึดติด กับอดีตมากจนเกินไป เดินหน้าประเทศไทย อย่ามาเสียเวลากับเสนียดจัญไรเพียงไม่กี่ตัว? กูโปรดสัดให้แล้วน่ะ ใครไม่เข้าใจ มรึงกลับไปอ่านใหม่อีก 3 รอบ ช้าๆ แล้วใช้สติ คิดตาม มรึงจะดวงตาเห็นธรรมเองหมี CNN(จะอะไรกันนักหนา ยังไง อีเหลี่ยมต้องตายคาที่ ตายโหง ตายแบบน่าสังเวชที่สุดในโลกชัวร์ มรึงอยากจะดูภาพนั้นชิมิ? งั้นมรึงคงตามมันไปดูเองถึง นรกอเวจี ชั้นที่ 99 ทำชั่วไม่ได้เท่ามัน มรึงคงลงไปไม่ถึงแน่ มรึงจะสนอะไร ประเทศรอด แผ่นดินสูงขึ้น ไทยชนะ ไม่ใช่สิ่งที่มรึงต้องการเหรอ วังเค้าทำอยู่ ทหารทำอยู่ เกจิ ครูบา อาจารย์ท่าน ทำอยู่ ขอพูดแทนผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่านที่ปิดทองหลังพระว่า "หัดนิ่งซะบ้างน่ะ พวกมรึง ไอ้สัส" รู้ตัวกันบ้างมั้ยว่า "มรึงอยู่ในกลียุค" น่ะเฟ้ยเห้ย กลียุคคือผิดปกติ)22 พฤศจิกายน 6721.20 น.
    ((( รู้มั้ย? กูเบื่อคนไทยตรงไหน? )))ไม่เรียนรู้ ไม่จดจำ นิ่งไม่เป็น ความจำสั้นกูรู้ หลังศาลท่านไม่รับฟ้องอีเหลี่ยม กูก็เดาทางไว้ก่อนแล้ว ว่า "หาก"ก่อนจะเข้าประเด็นหลัก ที่มรึงอยากรู้ กูขอเตือนความจำมรึงหน่อยน่ะเพิ่งผ่านมาหมาดๆ ..อีเหลี่ยมได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ พวกมรึงก็ดิ้นยิ่งกว่านักโทษซะอีกแล้วเป็นไง? เงื่อนไขอภัยลดโทษ ว่ายังไง? ทูลเกล้าเท็จ ตามมา เพราะเค้าอ่านขาดตั้งแต่เริ่มแล้วว่า มันจะจบตรงไหน อีเหลี่ยม ไม่ได้อภัยโทษไม่พอ ยังจะลากไส้เน่า ทั้งกรมคุก สภาแพทย์ อัยกวย กรมกากี ตายห่ายกชั้น 14 ไปด้วย มรึงเข้าใจยัง? ว่าอภัยลดโทษ มันคือ "กับดัก" หมาที่ไหนก็รู้ ว่ามันป่วยซะที่ไหน? โซเชี่ยลฆ่ามันเองทุกดอก หลักฐานคาจอ เค้าวางหมากไว้รอแล้ว โทษที่มันต้องเจอคือ มอ.112 คดีอื่นอีกเพี๊ยบไม่นับ แต่ดอกนี้ ถึงตายคาคุก และมีจารึกในประวัติศาสตร์ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อะไรระบุในพระราชกิจจานุเบกษา มันคือหน้าประวัติศาสตร์ไงล่ะ? เดี๋ยวยังจะมีอีก อีเหลี่ยมรอด อีเหลี่ยมไม่โดนฟ้อง อีเหลี่ยมพ้นโทษอื่น แล้วมรึงก็จะดิ้นไปมาไม่เลิก แค้นมันมากสิน่ะ อยากฆ่ามันเองกับมือสิน่ะ อย่าให้เปลืองแรง เดี๋ยวเสนียดจะติดมือมรึงไปด้วย โทษของตระกูลไอ้อีเหี้ยส่องหล้านั้น ถูกกำหนดไว้นานแล้ว จัดการไม่ยาก แต่จะขุดรากถอนโคน และปลุกไอ้ควายไทยบัดซบให้ตื่นเนี่ย มรึงว่าง่ายเหรอ? หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง หากไม่ฉิบหายคาตา ระบบพ่อปกครองลูกจะได้กลับมามุย? อย่าดูแค่เปลือก ให้ไปดูแก่นของเรื่องนี้เข้าประเด็นกันเลย1.อีเหลี่ยมถูกฟ้องกี่คดีรู้มั้ย? มากกว่า 40 คดี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มรึงรู้มั้ยว่า บางคดีไม่มีอายุความ บางคดีรื้อใหม่ได้ หากมีหลักฐานเพิ่ม รวมทั้งคดีตากใบ ที่ยื่นคนละประเด็นฟ้องเบื้องต้น ทุกอย่างเค้าสะสมไว้หมดแล้ว ดังนั้น ไอ้คดีเป็นภัยต่อความมั่นคง และเป็นภัยต่อระบบการปกครองเนี่ย โจทย์มันกว้างเป็นแม่น้ำ กว่าจะไล่เรียง สอบพยาน สอบหลักฐาน มรึงรู้มั้ยว่า ใช้เวลากี่ปี? เข้าใจยัง? มันตายห่าไปแล้วคดียังไม่เสร็จเลย มรึงเชื่อมั้ย? แล้วจะรับฟ้องไปเพื่อ?2.จะฆ่าเหี้ยเนี่ย มรึงต้องเอาให้คาหนังคาเขา สิ่งที่มันพลาดเพราะความกร่าง นั่นคือ "วาจา" การให้สัมภาษณ์ และพยานสิ่งแวดล้อม พยานหลักฐานในโซเชี่ยล ภาพนิ่ง VDO และเอกสารยืนยันปลอมทั้งหลาย พวกนี้ต่างหาก ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน ใช้เวลาไม่นาน และมัดตาสังข์ชัดเจนกว่า โดยเฉพาะเรื่อง มอ.112 เรื่องที่ดิน เรื่องออกคำสั่งผิดกฎหมาย(ตอนอยู่ในอำนาจ เอื้อประโยชน์ชาติอื่น โดยเอาความมั่นคงไปเสี่ยง และอีกมากมาย ที่มีหลักฐานใหม่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลของการกระทำเกิดขึ้นจริงแล้ว) สรุปคือล่อมันตายคาคุก ต้องล่อคดีแห่งวาระตนเองทำ ไม่ต้องมีบุคคลที่สามเอี่ยว ถึงจะเร็วและเด็ดหัวได้จริง อย่าว่าโทษ 10 ปี 20 ปี เลย แค่วันเดียวมันก็ไม่ยอมจะอยู่ เผ่นชัวร์ นั่นแหละที่เค้ารอให้มันทำ ไปเอง แล้วคืนสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ที่เอาไปฝากญาติคืนแผ่นดินมาให้หมด เค้าเช็ครู้หมด มรึงเอาไปฝากใครบ้าง?3.ไอ้ที่รอเนี่ย ไม่ได้กลัวอีเหลี่ยมกระจอกดอกน่ะ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังมันต่างหากล่ะ ที่กำลังจะถูกลากไส้เข้ามาโผล่ให้เห็น ว่าอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล มีส่วนในการแทรกแซงการปกครองไทย แค่อีเหลี่ยม กระสุนนัดเดียวจบไปนานแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่เหี้ย CIA รออยู่เช่นกัน มรึงคิดว่ามีขี้ข้าหมารับใช้อีวอชิงตันอยู่ในเมืองไทยเท่าไหร่ เฉพาะสายลับ หน่วยสืบราชการลับเหี้ย ก็หลายแสนแล้ว ชาวบ้านที่ถูกล้างสมองอีกเป็นล้าน หมู่บ้านชาวตะวันตกในอีสานมีไปทำไม? นั่นแหละดง CIA เลยมรึง! ไอ้พวกนี้ รอแค่ไฟเขียวก่อจราจล ที่มาว่าทำไม เราต้องเอารัสเซีย จีน เข้ามาปัดกวาดสิ่งสกปรกพวกนี้ โดยเราจัดการคนในเรากันเองพอ ส่วนไอ้อีต่างชาติ ปล่อยรัสเซีย จีน เค้าเก็บกวาดให้เอง ทำไมมันซับซ้อนเยอะจัง? มรึงรู้มั้ยว่า กว่าวังจะรอดมาถึงวันนี้ได้ ต้องแลกกับอะไรบ้าง? หากพ่อท่านร.9 ไม่สร้างฐาน ฉีดวัคซีนให้คนไทยไว้พึ่งพิงตัวเองก่อนนี้ ป่านนี้ ถูกมันซื้อตัวไปหมดประเทศแล้ว เพราะมีเหี้ยอะไรก็แบมือขอรัฐท่าเดียว ไม่ต้องทำมาหาแดร๊กกันแล้ว อานิสงค์พ่อท่าน ถึงรอด?สรุปคือ คดีกว้างไป โจทย์กว้างไป ตัดได้ เก็บคดีหนัก คดีใหญ่ ที่มีมัดตราสังข์รออยู่ อย่าเพิ่งรีบลงดาบ ในขณะที่คนไทยทั้งหมด ยังไม่เห็นธาตุแท้เหี้ยเด่นชัด จนกว่าคนไทยจะเข้าใจว่า ปชต.ไม่มีอยู่จริงในโลก แค่สมบัติผลัดกันชม เหี้ยไป จัญไรมา ที่สำคัญคือ ไทยเราจะกลายเป็นโมเดล "พ่อปกครองลูก" ที่ทั่วโลกจะนำไปใช้ในอนาคต อย่าโฟกัสแค่อีเหลี่ยมมากจนเกินไป จนลืมไปว่า ประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องดิ้นรน และฟันฝ่าอีกเยอะ อีเหลี่ยมตายวันนี้ มรึงสะใจ มรึงคิดว่าชนะแล้วเหรอ? หัวหน้ามันยังอยู่ทั้งตัว หมดอีเหลี่ยมไป คนต่อไป อีกลมก็เข้ามาแทน มรึงอ่านเกมส์กันเป็นมั้ย? อีเหลี่ยมแค่หุ่นเชิด วังสู้อยู่กับ DEEP STATE/ ZIONIST/ FREEMASON ระดับโลก เค้ามีอะไรซ่อนอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบเปิดไพ่ตายโชว์ หากมรึงยังไม่ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กูรำคาญ ถึงต้องมาโพส เพื่อให้สติ อีเหลี่ยมตัวเดียว มันไม่มีค่าพอจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ดอก โน้น ศัตรูตัวจริงมรึงคือ "เยรูซาเล็ม" กูถึงได้บอกไงล่ะว่า เกมส์โลก เกมส์ไทย คือเรื่องเดียวกันทั้งหมดไทยไป อาเซียนก็ไปด้วย แล้วอย่างงี้ มรึงพร้อมจะทุ่มสุดตัวกับปูติน สีจิ้นผิงให้เปลี่ยนโลกได้รึยังล่ะ? เย็นไม่เป็นก็เหนื่อย แค่นิ่ง สงบ เฝ้าดู พอแล้ว เพราะจุดจบของทุกไอ้อี ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มรึงไม่ต้องห่วงดอก ก็แค่ "ไม่ทันใจมรึง ไม่ได้ดั่งใจมรึง" เหมือนเด็กร้องจะเอาของเล่น โตได้แล้ว จิตวิญญานมรึงต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เพื่อไปสู่โลกอีกภพภูมิที่สูงกว่า อย่าหลงทาง อย่ายึดติด กับอดีตมากจนเกินไป เดินหน้าประเทศไทย อย่ามาเสียเวลากับเสนียดจัญไรเพียงไม่กี่ตัว? กูโปรดสัดให้แล้วน่ะ ใครไม่เข้าใจ มรึงกลับไปอ่านใหม่อีก 3 รอบ ช้าๆ แล้วใช้สติ คิดตาม มรึงจะดวงตาเห็นธรรมเองหมี CNN(จะอะไรกันนักหนา ยังไง อีเหลี่ยมต้องตายคาที่ ตายโหง ตายแบบน่าสังเวชที่สุดในโลกชัวร์ มรึงอยากจะดูภาพนั้นชิมิ? งั้นมรึงคงตามมันไปดูเองถึง นรกอเวจี ชั้นที่ 99 ทำชั่วไม่ได้เท่ามัน มรึงคงลงไปไม่ถึงแน่ มรึงจะสนอะไร ประเทศรอด แผ่นดินสูงขึ้น ไทยชนะ ไม่ใช่สิ่งที่มรึงต้องการเหรอ วังเค้าทำอยู่ ทหารทำอยู่ เกจิ ครูบา อาจารย์ท่าน ทำอยู่ ขอพูดแทนผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่านที่ปิดทองหลังพระว่า "หัดนิ่งซะบ้างน่ะ พวกมรึง ไอ้สัส" รู้ตัวกันบ้างมั้ยว่า "มรึงอยู่ในกลียุค" น่ะเฟ้ยเห้ย กลียุคคือผิดปกติ)22 พฤศจิกายน 6721.20 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1467 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ตกรางวัล อีลอน มัสก์ แต่งตั้งคุมกระทรวงใหม่ที่รับผิดชอบการปฏิรูปรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของทีวีฟ็อกซ์ นิวส์และอดีตทหารผ่านศึก เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ดันแผนล้างบางนายพลสายก้าวหน้าและ “ผู้ทรยศ” ในเพนตากอน
    .
    มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครเพื่อเป็นตัวแทนรีพับลิกันลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ภายหลังถอนตัวและหันมาสนับสนุนทรัมป์ จะร่วมกันคุมกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลแห่งนี้ โดยมุ่งตัดขั้นตอนระเบียบราชการตลอดจนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตลอดจนลดเลิกการใช้จ่ายที่สูญเปล่า และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
    .
    ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ประกาศเมื่อวันอังคาร (12 พ.ย) ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะทำให้ฝันของพรรครีพับลิกันเป็นจริง รวมทั้งจะเสนอคำแนะนำและแนวทางจากภายนอกรัฐบาล เป็นการส่งสัญญาณว่า บทบาทของมัสก์และรามาสวามีจะอยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาเสียก่อน นอกจากนั้นมัสก์ยังสามารถเป็นซีอีโอเทสลา, เอ็กซ์ และสเปซเอ็กซ์ ต่อไปตามปกติ
    .
    กระทรวงใหม่นี้จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักบริหารงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างและสร้างแนวทางแบบผู้ประกอบการเพื่อทำให้เกิดรัฐบาลแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน โดยที่ภารกิจนี้จะต้องลุล่วงภายในวันที่ 4 ก.ค. 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีการลงนามคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา
    .
    คาดกันว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะส่งให้ธุรกิจของมัสก์ที่นิตยสารฟอร์บส์ยกให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกและได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษจากรัฐบาล รวมทั้งจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลดีต่อพวกธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และคริปโต
    .
    ในการรณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์รอบนี้ มีรายงานว่ามัสก์ทุ่มเงินสนับสนุนรวมแล้วเกินหลัก 100 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นเขายังตระเวนช่วยทรัมป์ปราศรัยหาเสียงอีกด้วย
    .
    สำหรับภารกิจใหม่ที่ทรัมป์อวดอ้างว่า จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่า “แมนฮัตตันโปรเจ็กต์” ซึ่งก็คือโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มัสก์สัญญาจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสที่สุด โดยจะรายงานการดำเนินการทั้งหมดทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมให้ข้อเสนอแนะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์
    .
    ระหว่างปราศรัยช่วยทรัมป์หาเสียงที่ เมดิสันสแควร์การ์เด้น นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ระบุว่า งบประมาณของรัฐบาลกลางควรต้องลดลงอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักงบประมาณรัฐสภาประเมินว่า เฉพาะปีงบประมาณปัจจุบันรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายทางทหาร รวม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลกลาง 6.75 ล้านล้านดอลลาร์
    .
    นอกจากนั้นชื่อย่อของกระทรวงใหม่คือ DOGE ยังพาดพิงถึงชื่อโดชคอยน์ ซึ่งเป็นคริปโตที่มัสก์สนับสนุน และราคาของมันก็ทะยานขึ้นเกินเท่าตัวนับจากวันเลือกตั้งตามกระแสการคาดหวังในตลาดคริปโตว่า คณะบริหารของทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมนี้
    .
    สำหรับรามาสวามี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา และปี 2021 เคยออกหนังสือ “โวค อิงก์” ติเตียนการตัดสินใจของบริษัทใหญ่บางแห่งที่กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจโดยอิงกับข้อกังวลเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    .
    นอกจากมัสก์และรามาสวามีแล้ว เมื่อคืนวันอังคารทรัมป์ยังเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของ ฟ็อกซ์ นิวส์ เครือข่ายทีวีอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) , จอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ), คริสตี โนเอ็ม ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ดาโกตา เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้เขียนนโยบายผู้อพยพที่มุ่งแบนมุสลิมของทรัมป์ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่ทำงานทำเนียบขาว และไมค์ ฮักคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำอิสราเอล
    .
    อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ ดูจะเป็นตัวเลือกที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในบรรดาสมาชิกคณะบริหารที่ทรัมป์ประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ รวมทั้งยังเรียกเสียงประณามจากฝ่ายตรงข้ามบางคน เช่น อดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต ที่วิจารณ์ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่งานสำหรับพวกมือใหม่
    .
    ทว่า ทรัมป์ยกย่องเฮกเซธ วัย 44 ปี อดีตทหารผ่านศึกสังกัดกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนลการ์ด) ที่เคยไปประจำการในอัฟกานิสถาน อิรัก และกวนตานาโม ว่า เป็นคนทรหด ฉลาด และเชื่อมั่นในนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนอย่างแท้จริง และสำทับว่า เฮกเซธจะทำให้กองทัพอเมริกันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
    .
    คาดหมายกันว่า หากได้รับการรับรองจากวุฒิสมาชิก เฮกเซธจะเป็นอาวุธชั้นดีในการกำจัดบรรดานายพลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ปฏิบัติตามนโยบายเชิงก้าวหน้าด้านความหลากหลายในกองทัพ เป็นต้นว่า การยอมรับชาวเกย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษนิยมคัดค้าน รวมทั้งยังอาจปะทะกับพลอากาศเอกซี.คิว. บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯคนปัจจุบัน ที่เฮกเซธกล่าวหาว่า รับนโยบายมาจากนักการเมืองฝ่ายซ้าย
    .
    ทั้งนี้ ภายในเพนตากอนกำลังกังวลว่า ทรัมป์ต้องการขุดรากถอนโคนนายทหารและข้าราชการพลเรือนที่เขามองว่าทรยศต่อตัวเขา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน เขาให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์นิวส์ว่า จะไล่นายพลที่ “ตื่นรู้” ซึ่งหมายถึงผู้ที่พุ่งความสนใจที่ความยุติธรรมด้านเชื้อชาติและสังคม ทว่า คำนี้ถูกพวกอนุรักษนิยมนำมาใช้เพื่อใส่ร้ายนโยบายเชิงก้าวหน้า
    .
    นอกจากนั้นเฮกเซธยังโจมตีชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ว่าอ่อนแอ รวมทั้งชี้ว่า จีนกำลังจะครอบงำประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109487
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ตกรางวัล อีลอน มัสก์ แต่งตั้งคุมกระทรวงใหม่ที่รับผิดชอบการปฏิรูปรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของทีวีฟ็อกซ์ นิวส์และอดีตทหารผ่านศึก เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ดันแผนล้างบางนายพลสายก้าวหน้าและ “ผู้ทรยศ” ในเพนตากอน . มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี อดีตผู้สมัครเพื่อเป็นตัวแทนรีพับลิกันลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ภายหลังถอนตัวและหันมาสนับสนุนทรัมป์ จะร่วมกันคุมกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลแห่งนี้ โดยมุ่งตัดขั้นตอนระเบียบราชการตลอดจนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตลอดจนลดเลิกการใช้จ่ายที่สูญเปล่า และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง . ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา ประกาศเมื่อวันอังคาร (12 พ.ย) ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะทำให้ฝันของพรรครีพับลิกันเป็นจริง รวมทั้งจะเสนอคำแนะนำและแนวทางจากภายนอกรัฐบาล เป็นการส่งสัญญาณว่า บทบาทของมัสก์และรามาสวามีจะอยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาเสียก่อน นอกจากนั้นมัสก์ยังสามารถเป็นซีอีโอเทสลา, เอ็กซ์ และสเปซเอ็กซ์ ต่อไปตามปกติ . กระทรวงใหม่นี้จะทำงานร่วมกับทำเนียบขาวและสำนักบริหารงบประมาณ เพื่อขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างและสร้างแนวทางแบบผู้ประกอบการเพื่อทำให้เกิดรัฐบาลแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน โดยที่ภารกิจนี้จะต้องลุล่วงภายในวันที่ 4 ก.ค. 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีการลงนามคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา . คาดกันว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะส่งให้ธุรกิจของมัสก์ที่นิตยสารฟอร์บส์ยกให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกและได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษจากรัฐบาล รวมทั้งจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลดีต่อพวกธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และคริปโต . ในการรณรงค์หาเสียงเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์รอบนี้ มีรายงานว่ามัสก์ทุ่มเงินสนับสนุนรวมแล้วเกินหลัก 100 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นเขายังตระเวนช่วยทรัมป์ปราศรัยหาเสียงอีกด้วย . สำหรับภารกิจใหม่ที่ทรัมป์อวดอ้างว่า จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่า “แมนฮัตตันโปรเจ็กต์” ซึ่งก็คือโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มัสก์สัญญาจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสที่สุด โดยจะรายงานการดำเนินการทั้งหมดทางออนไลน์ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมให้ข้อเสนอแนะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ . ระหว่างปราศรัยช่วยทรัมป์หาเสียงที่ เมดิสันสแควร์การ์เด้น นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนที่แล้ว มัสก์ระบุว่า งบประมาณของรัฐบาลกลางควรต้องลดลงอย่างน้อย 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักงบประมาณรัฐสภาประเมินว่า เฉพาะปีงบประมาณปัจจุบันรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายทางทหาร รวม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์จากค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลกลาง 6.75 ล้านล้านดอลลาร์ . นอกจากนั้นชื่อย่อของกระทรวงใหม่คือ DOGE ยังพาดพิงถึงชื่อโดชคอยน์ ซึ่งเป็นคริปโตที่มัสก์สนับสนุน และราคาของมันก็ทะยานขึ้นเกินเท่าตัวนับจากวันเลือกตั้งตามกระแสการคาดหวังในตลาดคริปโตว่า คณะบริหารของทรัมป์จะผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมนี้ . สำหรับรามาสวามี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยา และปี 2021 เคยออกหนังสือ “โวค อิงก์” ติเตียนการตัดสินใจของบริษัทใหญ่บางแห่งที่กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจโดยอิงกับข้อกังวลเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ . นอกจากมัสก์และรามาสวามีแล้ว เมื่อคืนวันอังคารทรัมป์ยังเสนอชื่อ พีท เฮกเซธ ผู้ดำเนินรายการของ ฟ็อกซ์ นิวส์ เครือข่ายทีวีอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) , จอห์น แรตคลิฟฟ์ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ), คริสตี โนเอ็ม ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ดาโกตา เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, สตีเฟน มิลเลอร์ ผู้เขียนนโยบายผู้อพยพที่มุ่งแบนมุสลิมของทรัมป์ เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่ทำงานทำเนียบขาว และไมค์ ฮักคาบี อดีตผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำอิสราเอล . อย่างไรก็ตาม เฮกเซธ ดูจะเป็นตัวเลือกที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในบรรดาสมาชิกคณะบริหารที่ทรัมป์ประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ รวมทั้งยังเรียกเสียงประณามจากฝ่ายตรงข้ามบางคน เช่น อดัม สมิธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต ที่วิจารณ์ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่งานสำหรับพวกมือใหม่ . ทว่า ทรัมป์ยกย่องเฮกเซธ วัย 44 ปี อดีตทหารผ่านศึกสังกัดกองทหารรักษาดินแดน (เนชั่นแนลการ์ด) ที่เคยไปประจำการในอัฟกานิสถาน อิรัก และกวนตานาโม ว่า เป็นคนทรหด ฉลาด และเชื่อมั่นในนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนอย่างแท้จริง และสำทับว่า เฮกเซธจะทำให้กองทัพอเมริกันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง . คาดหมายกันว่า หากได้รับการรับรองจากวุฒิสมาชิก เฮกเซธจะเป็นอาวุธชั้นดีในการกำจัดบรรดานายพลที่ทรัมป์กล่าวหาว่า ปฏิบัติตามนโยบายเชิงก้าวหน้าด้านความหลากหลายในกองทัพ เป็นต้นว่า การยอมรับชาวเกย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกอนุรักษนิยมคัดค้าน รวมทั้งยังอาจปะทะกับพลอากาศเอกซี.คิว. บราวน์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯคนปัจจุบัน ที่เฮกเซธกล่าวหาว่า รับนโยบายมาจากนักการเมืองฝ่ายซ้าย . ทั้งนี้ ภายในเพนตากอนกำลังกังวลว่า ทรัมป์ต้องการขุดรากถอนโคนนายทหารและข้าราชการพลเรือนที่เขามองว่าทรยศต่อตัวเขา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน เขาให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์นิวส์ว่า จะไล่นายพลที่ “ตื่นรู้” ซึ่งหมายถึงผู้ที่พุ่งความสนใจที่ความยุติธรรมด้านเชื้อชาติและสังคม ทว่า คำนี้ถูกพวกอนุรักษนิยมนำมาใช้เพื่อใส่ร้ายนโยบายเชิงก้าวหน้า . นอกจากนั้นเฮกเซธยังโจมตีชาติพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ว่าอ่อนแอ รวมทั้งชี้ว่า จีนกำลังจะครอบงำประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000109487 .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2096 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุ๊กกรู!!เอาไงดีลูกเพ่

    ปาปารัชชี่ไม่ได้รับเชิญแอบเห็นอดีตตำรวจใหญ่"โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ก็อดใจไม่ไหวแชะรูปมาฝาก"คิงส์" กะว่าจะเซอร์ไพร้สส่งมาอวดเพราะมากินข้าวร้านเดียวกันกับคนดัง

    ชะอุ๊ย!พอจะซูมดูหน้าตาสง่าราศีตำรวจคนดีย์ ยังดีอยู่ไหมเห็นหมองๆไปตั้งแต่ต้องคดีพัวพันเว็บพนันออนไลน์ถูกให้ออกจากราชการกลับไปสะดุดตากับคนข้างที่นั่งหน้าเป็นตูดพอๆกับโจ๊ก

    หน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้วคงจะพูดคุยกันด้วยเรื่องเครียด หน้ายิ่งดำกันไปใหญ่ ดีที่คิงส์ปรับแสงจากมือถือช่วย จึงรู้ว่า คนที่ร่วมวงกินข้าว คุยกันซีเรียสหาใช่คนโนเนม

    เพราะทั่นคือ "บิ๊กเม่น" พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.

    อย่าเพิ่งเกาหัวถ้าดูจากชื่อตำแหน่งแล้วนึกไม่ออก ลองเสิร์ชชื่อคำนำหน้าเป็นราษฎรอย่างเราๆว่า "นายพันธนะ นุชนารถ"อากู๋จะบอกเลย นี่คือหุ้นส่วนใหญ่ผับหรูหราหมาเห่าชื่อดัง"คริสตัลคลับ" ทองหล่อ 25 ซึ่งเป็นจุดแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตำนาน

    พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ เป็นนายตำรวจหนุ่มที่เติบโตพรวดพราดปานจรวดในสตม.เพราะมีลูกพี่โจ๊ก สมัยยังหญ่ายคับสตช.หนุนหลัง

    ระหว่างโจ๊กกับเม่น ไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะใครๆก็รู้ว่าโจ๊กคุมสตม.มานานปี วางรากฐานไว้ที่สตม.ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ สืบทอดอำนาจมารุ่นสู่รุ่น ไม่ยอมปล่อยมือจากสตม.สักที

    ตอนนี้ลมเปลี่ยนทิศ แว่วว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องการกู้วิกฤติศรัทธาสตช. หน่วยไหนที่เคยเป็นแหล่งผลประโยชน์ที่ทำมาหากินของตำรวจคนดีย์ เป็น"มะเร็ง"ร้ายที่ทำร้ายทำลายองค์กรมานานจะขุดรากถอนโคนผ่าตัดเก็บกวาดให้หมด

    นี่อ่ะเปล่าที่ทำให้ทั้งสองต้องนัดกินข้าวกันถี่ๆคุยเรื่องซีเรียสหน้าดำแล้วดำอีก!

    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    จุ๊กกรู!!เอาไงดีลูกเพ่ ปาปารัชชี่ไม่ได้รับเชิญแอบเห็นอดีตตำรวจใหญ่"โจ๊กสายมู" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ก็อดใจไม่ไหวแชะรูปมาฝาก"คิงส์" กะว่าจะเซอร์ไพร้สส่งมาอวดเพราะมากินข้าวร้านเดียวกันกับคนดัง ชะอุ๊ย!พอจะซูมดูหน้าตาสง่าราศีตำรวจคนดีย์ ยังดีอยู่ไหมเห็นหมองๆไปตั้งแต่ต้องคดีพัวพันเว็บพนันออนไลน์ถูกให้ออกจากราชการกลับไปสะดุดตากับคนข้างที่นั่งหน้าเป็นตูดพอๆกับโจ๊ก หน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้วคงจะพูดคุยกันด้วยเรื่องเครียด หน้ายิ่งดำกันไปใหญ่ ดีที่คิงส์ปรับแสงจากมือถือช่วย จึงรู้ว่า คนที่ร่วมวงกินข้าว คุยกันซีเรียสหาใช่คนโนเนม เพราะทั่นคือ "บิ๊กเม่น" พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. อย่าเพิ่งเกาหัวถ้าดูจากชื่อตำแหน่งแล้วนึกไม่ออก ลองเสิร์ชชื่อคำนำหน้าเป็นราษฎรอย่างเราๆว่า "นายพันธนะ นุชนารถ"อากู๋จะบอกเลย นี่คือหุ้นส่วนใหญ่ผับหรูหราหมาเห่าชื่อดัง"คริสตัลคลับ" ทองหล่อ 25 ซึ่งเป็นจุดแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในตำนาน พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ เป็นนายตำรวจหนุ่มที่เติบโตพรวดพราดปานจรวดในสตม.เพราะมีลูกพี่โจ๊ก สมัยยังหญ่ายคับสตช.หนุนหลัง ระหว่างโจ๊กกับเม่น ไปมาหาสู่ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะใครๆก็รู้ว่าโจ๊กคุมสตม.มานานปี วางรากฐานไว้ที่สตม.ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ สืบทอดอำนาจมารุ่นสู่รุ่น ไม่ยอมปล่อยมือจากสตม.สักที ตอนนี้ลมเปลี่ยนทิศ แว่วว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.คนใหม่ ต้องการกู้วิกฤติศรัทธาสตช. หน่วยไหนที่เคยเป็นแหล่งผลประโยชน์ที่ทำมาหากินของตำรวจคนดีย์ เป็น"มะเร็ง"ร้ายที่ทำร้ายทำลายองค์กรมานานจะขุดรากถอนโคนผ่าตัดเก็บกวาดให้หมด นี่อ่ะเปล่าที่ทำให้ทั้งสองต้องนัดกินข้าวกันถี่ๆคุยเรื่องซีเรียสหน้าดำแล้วดำอีก! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1184 มุมมอง 0 รีวิว