• ในระหว่างการพบปะกันของตัวแทนฝ่ายรัสเซียกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา (โมฮัมเหม็ด จูลานี) เรียกร้องให้รัสเซียส่งตัว บาชาร์ อัสซาด อดีตผู้นำซีเรียที่ลี้ภัยอยู่ในรัสเซีย

    นอกจากนี้ ผู้นำซีเรียยังต้องการให้รัสเซียชดใช้ค่าเสียหายให้กับซีเรียในช่วงสงครามกลางเมือง

    ทางรัสเซียยืนยันว่ายังไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าว และการเจรจาจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็พร้อมช่วยฟื้นฟูประเทศซีเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องหาข้อสรุปกันต่อไป
    ในระหว่างการพบปะกันของตัวแทนฝ่ายรัสเซียกับผู้นำซีเรีย อาห์เหม็ด อัล-ชารา (โมฮัมเหม็ด จูลานี) เรียกร้องให้รัสเซียส่งตัว บาชาร์ อัสซาด อดีตผู้นำซีเรียที่ลี้ภัยอยู่ในรัสเซีย นอกจากนี้ ผู้นำซีเรียยังต้องการให้รัสเซียชดใช้ค่าเสียหายให้กับซีเรียในช่วงสงครามกลางเมือง ทางรัสเซียยืนยันว่ายังไม่ยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าว และการเจรจาจะยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็พร้อมช่วยฟื้นฟูประเทศซีเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องหาข้อสรุปกันต่อไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำความรู้จักกับตัวละครใน
    The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

    🎞ไมเคิล ฮุย รับบทเป็น ซินแสหมั่น

    ซินแสหมั่นผู้เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมและอุทิศชีวิตให้การทำพิธีศพแบบลัทธิเต๋า และไม่เชื่อมั่นในตัวของ โต่วซัง เพราะคิดว่ามือใหม่ไม่เคร่งในพิธีกรรมเท่ากับมืออาชีพที่ทำงานนี้มาอย่างช้านาน

    🎞ดาโย หว่อง รับบทเป็น โต่วซัง

    จากนักจัดงานแต่งตัวท็อป สู่นักจัดงานศพผู้ทำหน้าที่ส่งคนตาย เพื่อให้คนเป็นไว้อาลัย ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

    🎬มิเชล ไหว่ รับบทเป็น หมั่นหยู

    หนึ่งในลูกสาวของ ซินแสหมั่น เธอเชื่อมั่นและชื่นชมในอาชีพของพ่อมาโดยตลอด แต่ด้วยความเชื่อของบรรพบุรุษ ที่สั่งสอนกันต่อมาชั่วลูกชั่วหลานว่า ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับมลทินที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมได้ และจะทำให้พิธีกรรไม่ศักสิทธิ์ แต่เธอก็ยังแสดงเจตจำนงอยากสืบทอดหน้าที่ต่อจากพ่อมาโดยตลอด

    🎞ทอมมี จู รับบทเป็น หมั่นปิน

    หมั่นปิน ลูกชายเพียงคนเดียวของ ซินแสหมั่น ผู้ได้รับการไว้วางใจและถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดการทำพิธีส่งวิญญาณในงานศพต่อจาก ซินแสหมั่น แต่เขาไม่ได้อยากทำเพราะเขาอยากทุ่มเทเวาทังหมดให้กับครอบครัวของเขามากกว่า

    🎞แคทเธอรีน เชา รับบท เจด

    เจด เป็นคนรักของ โต่วซัง ที่เข้าใจความต้องการ โตว่ซัง และยังช่วยบอกปัดความต้องการของพ่อแม่เธอที่เร่งให้ทั้งสองแต่งงานกัน พวกเขาเป็นคู่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี

    📽The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์
    เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์

    ชมตัวอย่าง | https://www.youtube.com/watch?v=9KA870tDFMA
    #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    ทำความรู้จักกับตัวละครใน The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ 🎞ไมเคิล ฮุย รับบทเป็น ซินแสหมั่น ซินแสหมั่นผู้เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมและอุทิศชีวิตให้การทำพิธีศพแบบลัทธิเต๋า และไม่เชื่อมั่นในตัวของ โต่วซัง เพราะคิดว่ามือใหม่ไม่เคร่งในพิธีกรรมเท่ากับมืออาชีพที่ทำงานนี้มาอย่างช้านาน 🎞ดาโย หว่อง รับบทเป็น โต่วซัง จากนักจัดงานแต่งตัวท็อป สู่นักจัดงานศพผู้ทำหน้าที่ส่งคนตาย เพื่อให้คนเป็นไว้อาลัย ทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง 🎬มิเชล ไหว่ รับบทเป็น หมั่นหยู หนึ่งในลูกสาวของ ซินแสหมั่น เธอเชื่อมั่นและชื่นชมในอาชีพของพ่อมาโดยตลอด แต่ด้วยความเชื่อของบรรพบุรุษ ที่สั่งสอนกันต่อมาชั่วลูกชั่วหลานว่า ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับมลทินที่เรียกว่าประจำเดือน ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมได้ และจะทำให้พิธีกรรไม่ศักสิทธิ์ แต่เธอก็ยังแสดงเจตจำนงอยากสืบทอดหน้าที่ต่อจากพ่อมาโดยตลอด 🎞ทอมมี จู รับบทเป็น หมั่นปิน หมั่นปิน ลูกชายเพียงคนเดียวของ ซินแสหมั่น ผู้ได้รับการไว้วางใจและถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดการทำพิธีส่งวิญญาณในงานศพต่อจาก ซินแสหมั่น แต่เขาไม่ได้อยากทำเพราะเขาอยากทุ่มเทเวาทังหมดให้กับครอบครัวของเขามากกว่า 🎞แคทเธอรีน เชา รับบท เจด เจด เป็นคนรักของ โต่วซัง ที่เข้าใจความต้องการ โตว่ซัง และยังช่วยบอกปัดความต้องการของพ่อแม่เธอที่เร่งให้ทั้งสองแต่งงานกัน พวกเขาเป็นคู่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี 📽The Last Dance - เดอะ ลาสต์ แดนซ์ เข้าฉาย 6 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง | https://www.youtube.com/watch?v=9KA870tDFMA #TheLastDance #เดอะลาสต์แดนซ์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน "กันต์ กันตถาวร" ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน ไม่ได้เสียชีวิตในเรือนจำฯ มีสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ญาติ-ทนายเข้าเยี่ยมตลอด

    วันนี้ (28 ม.ค.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีกระแสข่าว นายกันต์ กันตถาวร ผู้ต้องหาคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" ผูกคอเสียชีวิตในเรือนจำ ว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า นายกันต์ ยังอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามปกติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดแสดงให้เห็นออกมา ซึ่งมีญาติและทนายมาเยี่ยมตลอด ยืนยันการเสียชีวิตดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    นางกนกวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า นายกันต์ รับไม่ได้เหมือน "มิน-พีชญา" และ "แซม-ยุรนันท์" 2 บอสดิไอคอน ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น ไม่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มีการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง ตามมาตรฐานอย่างเท่าเทียมและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

    #MGROnline #บอสดารา #กันต์กันตถาวร #บอสกันต์ #ดิไอคอน
    รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน "กันต์ กันตถาวร" ผู้ต้องหาคดีดิไอคอน ไม่ได้เสียชีวิตในเรือนจำฯ มีสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ญาติ-ทนายเข้าเยี่ยมตลอด • วันนี้ (28 ม.ค.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยกรณีกระแสข่าว นายกันต์ กันตถาวร ผู้ต้องหาคดี "ดิไอคอน กรุ๊ป" ผูกคอเสียชีวิตในเรือนจำ ว่า ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครว่า นายกันต์ ยังอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามปกติ รวมทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจปกติ ไม่ได้มีอาการเครียดแสดงให้เห็นออกมา ซึ่งมีญาติและทนายมาเยี่ยมตลอด ยืนยันการเสียชีวิตดังกล่าวไม่เป็นความจริง • นางกนกวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่า นายกันต์ รับไม่ได้เหมือน "มิน-พีชญา" และ "แซม-ยุรนันท์" 2 บอสดิไอคอน ที่ได้รับการปล่อยตัวนั้น ไม่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มีการควบคุมดูแลผู้ต้องขัง ตามมาตรฐานอย่างเท่าเทียมและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง • #MGROnline #บอสดารา #กันต์กันตถาวร #บอสกันต์ #ดิไอคอน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรมราชทัณฑ์ โต้ข่าวลือเกี่ยวกับ “บอสกันต์ กันตถาวร” หนึ่งในจำเลยคดีดิไอคอน ได้จบชีวิตตัวเองในเรือนจำ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008856

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กรมราชทัณฑ์ โต้ข่าวลือเกี่ยวกับ “บอสกันต์ กันตถาวร” หนึ่งในจำเลยคดีดิไอคอน ได้จบชีวิตตัวเองในเรือนจำ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008856 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอสกันต์ ดิไอค่อน ยังมิได้ตุยตูนีเย่ ข่าวปล่อยเป็นข่าวเท๊จ ยังต้องใช้กรรมอีกยาว สบายใจได้ฮ๊าฟ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    บอสกันต์ ดิไอค่อน ยังมิได้ตุยตูนีเย่ ข่าวปล่อยเป็นข่าวเท๊จ ยังต้องใช้กรรมอีกยาว สบายใจได้ฮ๊าฟ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขาใหญ่ในเรือนจำ ยืนยันกับกรมกุ๊กเอง ว่ากันสบายดี แฮปปี้ทุกคืน ไม่ได้เสียชีวิตตามข่าวลือ แค่เสียความเป็นชาย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #กันต์กันตถาวร
    #บอสกันต์
    ขาใหญ่ในเรือนจำ ยืนยันกับกรมกุ๊กเอง ว่ากันสบายดี แฮปปี้ทุกคืน ไม่ได้เสียชีวิตตามข่าวลือ แค่เสียความเป็นชาย #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3 #กันต์กันตถาวร #บอสกันต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคนชอบ comment ว่าทำไม ค่ายยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ไม่ลงมาเล่น มาลุย มาแข่งขัน ในตลาดรถไฟฟ้า...ปล่อยให้จีน โกยเอาๆ....ตอบจากผู้เขียนอยู่วงการรถมาเกินกว่า 30 ปี....ตอบว่า... ทำทันที...ไม่ได้...อธิบายให้เห็นภาพ รถสันดาบเดิม..อุปกรณ์รวม 2 พันกว่าชิ้นส่วน...นั่นหมายถึง supply แต่ละราย ที่ผูกพันธ์เป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนาน..มีกี่เจ้า....เช่น abs จาก bosch ไฟจาก phillips ผ้าเบรคจาก ferrado ..อะไรประมาณนี้...บริษัทเจ้าของแบรนด์ ไม่ได้ผลิตสารพัดอะไหล่..เพียงแต่สั่งและนำมาประกอบ.....ถ้าทำทุกอย่างเอง..ทีมงาน วิจัย ออกแบบ พัฒนาเทคโนโลยี ผลิต ..มีสัก หมื่นคน..ก็ไม่น่าจะพอ..ถ้าทำเอง..ทั้งหมด
    ..แต่พอเป็นรถไฟฟ้า..อุปกรณ์ลงมาเหลือไม่กี่ร้อยชิ้น....จีน..จึงเริ่มได้เลย เพราะเขานับจาก 1 ..ไม่ได้มีคู่ค้าเก่าแก่แบบค่ายญี่ปุ่น...ไม่ต้องทิ้งใคร....ซึ่งเคยเป็นคู่ค้ากันมา..ซึ่งมันง่ายกว่ามาก.
    ...ค่ายญี่ปุ่น จึงยืนยัน ว่า จะทำแค่ hybrid..รถไฟฟ้า pure ..ยังไม่มี plan เนื่องจาก เหตุผล เรื่อง คู่ค้าข้างต้น..ต้องค่อยๆ และใช้เวลา....เราจะเห็นผู้บริหาร toyota มาด้อยค่ารถไฟฟ้าบ่อยครั้ง...เพราะเขาไม่คิดจะสู้ในสงครามนี้....
    ..แต่ trend ของโลกมันมาทางนี้...ก็ต้องดูกันต่อไป..
    ..แต่่ที่แน่ๆ จนถึงตอนนี้ สถาบันการเงิน ยังไม่กล้ารับจัด F/n รถไฟฟ้าจีน.มือสอง..เพราะประเมินราคาไม่ถูก ..เกิดให้ยอดจัดสูงไป..ผู้กู้ทิ้งรถ เนื่องจากปัญหาใดก็ตาม..หนึ้เสียก็จะกลับมาที่สถาบันการเงิน....
    .
    มีคนชอบ comment ว่าทำไม ค่ายยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ไม่ลงมาเล่น มาลุย มาแข่งขัน ในตลาดรถไฟฟ้า...ปล่อยให้จีน โกยเอาๆ....ตอบจากผู้เขียนอยู่วงการรถมาเกินกว่า 30 ปี....ตอบว่า... ทำทันที...ไม่ได้...อธิบายให้เห็นภาพ รถสันดาบเดิม..อุปกรณ์รวม 2 พันกว่าชิ้นส่วน...นั่นหมายถึง supply แต่ละราย ที่ผูกพันธ์เป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนาน..มีกี่เจ้า....เช่น abs จาก bosch ไฟจาก phillips ผ้าเบรคจาก ferrado ..อะไรประมาณนี้...บริษัทเจ้าของแบรนด์ ไม่ได้ผลิตสารพัดอะไหล่..เพียงแต่สั่งและนำมาประกอบ.....ถ้าทำทุกอย่างเอง..ทีมงาน วิจัย ออกแบบ พัฒนาเทคโนโลยี ผลิต ..มีสัก หมื่นคน..ก็ไม่น่าจะพอ..ถ้าทำเอง..ทั้งหมด ..แต่พอเป็นรถไฟฟ้า..อุปกรณ์ลงมาเหลือไม่กี่ร้อยชิ้น....จีน..จึงเริ่มได้เลย เพราะเขานับจาก 1 ..ไม่ได้มีคู่ค้าเก่าแก่แบบค่ายญี่ปุ่น...ไม่ต้องทิ้งใคร....ซึ่งเคยเป็นคู่ค้ากันมา..ซึ่งมันง่ายกว่ามาก. ...ค่ายญี่ปุ่น จึงยืนยัน ว่า จะทำแค่ hybrid..รถไฟฟ้า pure ..ยังไม่มี plan เนื่องจาก เหตุผล เรื่อง คู่ค้าข้างต้น..ต้องค่อยๆ และใช้เวลา....เราจะเห็นผู้บริหาร toyota มาด้อยค่ารถไฟฟ้าบ่อยครั้ง...เพราะเขาไม่คิดจะสู้ในสงครามนี้.... ..แต่ trend ของโลกมันมาทางนี้...ก็ต้องดูกันต่อไป.. ..แต่่ที่แน่ๆ จนถึงตอนนี้ สถาบันการเงิน ยังไม่กล้ารับจัด F/n รถไฟฟ้าจีน.มือสอง..เพราะประเมินราคาไม่ถูก ..เกิดให้ยอดจัดสูงไป..ผู้กู้ทิ้งรถ เนื่องจากปัญหาใดก็ตาม..หนึ้เสียก็จะกลับมาที่สถาบันการเงิน.... .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า

    "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง"

    #silenttokyoandsothisisxmas
    สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก)
    ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน
    เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล
    248 หน้า 280 บาท
    พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564

    คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง?

    เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม!

    🧨

    จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด

    🧨

    ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น

    🧨

    ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย

    🧨

    ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด

    🧨

    ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น

    🧨

    มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้

    🧨

    ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน

    สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว

    🧨

    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป..

    ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม ..

    สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป..

    หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่..

    ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่..

    หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป..

    หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ...

    ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ

    .......

    ภาควิเคราะห์✒️

    ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย

    ✒️

    ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย

    ✒️

    อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ✒️

    อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ

    แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่

    ✒️

    พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว

    หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย

    ✒️

    กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า

    "อยากตายนักหรือไง"

    เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว

    ✒️

    ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า

    อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย

    พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ

    ✒️

    เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ)

    ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร

    ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่

    ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน

    คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต

    ✒️

    มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่

    ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี

    แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด

    ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา

    สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด

    ..........

    อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย

    แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี

    ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ

    สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King

    "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น"

    #หนังญี่ปุ่น
    #หนังน่าดู
    #หนังสือน่าอ่าน
    #บทความ
    #รีววิหนังสือ
    #thaitimes
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #ระเบิดกลางกรุง
    #โตเกียว
    #สงคราม
    #แง่คิด
    #ระทึกขวัญ
    #สืบสวน
    #ก่อการร้าย
    ช่วงนี้อ่านเล่มไหนก็รู้สึกชอบและสนุกไปหมดเลยครับ อาจเพราะเป็นคนเลือกที่อยากอ่านเองจริง ๆ และก็มักไม่พบความผิดหวังกับเล่มที่เลือกนั้น ล่าสุดก็เรื่องนี้ที่สะดุดตาตั้งแต่ปกหน้า พอเจอในแอป hibrary ที่คนจองคิวไม่มาก และระบุว่าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญกลางกรุงโตเกียว คิดว่าน่าสนใจจึงต่อคิวจอง และเมื่อวันก่อนครบกำหนดต้องคืน จึงรีบอ่านแบบติดเทอร์โบรวดเดียวจนจบทันก่อนเวลาเส้นตายแบบเฉียดฉิว เมื่ออ่านจบก็พบว่า "ดีจริงที่ตัดสินใจที่จะลองอ่าน ถ้าไม่งั้นคงน่าเสียดายยิ่ง" #silenttokyoandsothisisxmas สนพ.ไดฟุกุ (อ่านหนังสือของไดฟุกุติดกันหลายเล่ม เป็นสนพ.หนึ่งที่ผลิตหนังสือค่อนข้างคุณภาพทีเดียว แต่ผมอ่านแบบอีบุ๊ก) ฮาตะ ทาเคฮิโตะ เขียน เกวลิน ลิขิตวิทยาวุฒิ แปล 248 หน้า 280 บาท พิมพ์ในญี่ปุ่นครั้งแรก 2559 ในไทยพิมพ์ครั้งแรกปี 2564 คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าเมืองที่ตนอาศัยอยู่กำลังจะเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ใจกลางกรุง? เริ่มเรื่องก็ระทึกขวัญแต่ต้น ด้วยการที่แม่บ้านวัยสี่สิบกว่ารายหนึ่งตั้งใจจะออกไปซื้อของขวัญให้สามี เพราะใกล้จะถึงคริสต์มาส เธอจึงออกจากบ้านไปยังย่านกลางเมือง หลังซื้อของแล้วจึงมานั่งรับแดดกะจะกินแซนด์วิช บนม้านั่งตัวหนึ่งที่ลานสาธารณะหน้าสถานีรถไฟเอบิสุ ครู่หนึ่งชายที่ไหนไม่รู้ เข้ามาคุยกับเธอพูดจาแปลก ๆ บอกว่าใต้ม้านั่งมีระเบิด ห้ามเธอลุกขึ้นไม่งั้นระเบิดจะทำงาน เพราะเมื่อมีน้ำหนักมากกว่า30กิโลกรัมกดทับ วงจรจะเริ่มเตรียมพร้อม ทางเดียวที่จะรอด เธอต้องนั่งรอจนกว่าจะมีคนจากสถานทีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาที่นี่ แล้วให้เขานั่งลงข้าง ๆ จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นได้ แต่ให้บอกสิ่งที่เธอได้ยินนี้กับเขาด้วยเพื่อจะได้ไม่ตายเพราะระเบิด และสุดท้ายให้บอกเขาว่า นี่คือสงคราม! 🧨 จากจุดเริ่มนั้นเอง ที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น มีสายโทรแจ้งว่าจะมีการระเบิดขึ้นที่...หนุ่มทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีที่ได้รับงานเป็นเบ๊ทั่วไป ถูกสั่งให้ไปยังจุดดังกล่าวพร้อมจนท.อีกคนที่ติดอุปกรณ์การถ่ายทำไปด้วย ทั้งสองจำใจไปแต่เชื่อว่าคงเป็นการล้อกันเล่น เมื่อไปถึงพบหญิงที่นั่งอยู่ข้างม้านั่งที่คนในสายแจ้ง ทั้งสองเข้าไปใกล้กะจะไปนั่งม้านั่งใกล้กันเพื่อสังเกต แต่เธอกลับเรียกให้ชายที่ถือกล้องนั่งลงถามว่ามาจากสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม เขาแปลกใจจึงนั่งลงจะสอบถาม เธอรีบกระโดดขึ้นทันทีพลางบอกรายละเอียดทั้งหมด 🧨 ชายที่นั่งไม่เชื่อจะลุก เธอรีบกดไหล่และหว่านล้อมว่าวิธีเดียวที่จะรอดคือต้องทำตามคำบอกของชายคนที่แจ้งรายละเอียดกับเธอไว้ในตอนแรก นั่นคือให้เขาใช้กล้องบันทึกสิ่งที่ตัวเองประสบแล้วเผยแพร่ออกไป จากนั้นเธอเอาของที่คล้ายนาฬิกาข้อมือดิจิทัลมาคล้องกับข้อมือของหนุ่มพาร์ตไทม์โดยเขาไม่ทันตั้งตัว พลางเธอชูให้ดูว่าที่ข้อมือตัวเองก็มี บอกว่านี่เป็นระเบิดด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของชายแปลกหน้าที่เข้ามาคุยกับเธอ เขาจะสั่งงานระยะไกลให้นาฬิการะเบิด แล้วรีบบอกกับเด็กหนุ่มว่าต้องไปต่อที่แห่งหนึ่งตามคำสั่ง จากนั้นทิ้งชายที่น่าสงสารไว้ตามลำพัง ซึ่งเขาก็กลัวมากจึงรีบทำตามที่เธอบอก ในที่สุดเรื่องก็ทราบถึงตำรวจ จนแห่กันมากู้ระเบิดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลวกะให้หยุดการทำงานของระบบ ปรากฏว่าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น 🧨 ที่แท้เป็นการข่มขู่ แค่ระเบิดเสียงแต่ยังไม่มีอำนาจทำลายล้าง ทว่าด้วยเหตุนี้ทางตำรวจสืบสวนกลางจึงตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลและสืบเรื่องนี้ขึ้น จากการวิเคราะห์ทำให้ตำรวจทราบว่า ระเบิดนั้นถูกติดตั้งตัวจับอุณหภูมิไว้ด้วย แสดงว่าคนที่ประกอบระเบิดเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ด้านนี้และคาดเดาได้ว่าตำรวจจะใช้ไนโตรเจนเหลว จึงดักทางด้วยการติดตั้งระบบให้ไม่อาจกู้ด้วยวิธีที่ตำรวจใช้ ในทีมสืบสวน มีการจับคู่ของนายตำรวจมากประสบการณ์วัยสี่สิบกว่ากับตำรวจหนุ่มไฟแรงคู่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาทในการตามสืบข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดครั้งนี้อย่างกัดติด ด้วยตำรวจวัยกลางคนนั้นเคยแต่งงานกับลูกสาวของระดับสูงของหัวหน้าที่ตั้งทีมครั้งนี้ ทว่ามีเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ต้องหย่ากันไป อย่างไรเขาคือผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเกี่ยวกับสถานการณ์อันตราย 🧨 ด้านหญิงกลางคนกับหนุ่มพาร์ตไทม์ เดินทางไปยังอาคารหลังหนึ่งเป็นห้องเช่า ที่ภายในมีทีวีและอุปกรณ์กล้อง พร้อมซองสีขาวที่เขียนรายละเอียดบอกไว้ให้เด็กหนุ่มต้องอ่านข้อความตามที่มีบทพูดไว้ให้ โดยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนทำหน้าที่บันทึกภาพ จากนั้นให้นำโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นในยูทูปเห็น เนื้อหาสรุปคือให้บอกว่าผมคือผู้ที่วางระเบิดนั้นเอง และยื่นข้อเสนอขอคุยกับนายกถ่ายทอดออกทางสถานีโทรทัศน์ ถ้าไม่ทำตาม จะมีการวางระเบิดในย่านใจกลางชิบูย่า หน้ารูปปั้นหมาฮาจิโกะ เส้นตายคือ18.30น. ปรากฏว่านายกฯออกข่าวตอบโต้ว่าไม่ต้องการเจรจาใดกับผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น และจะทำสงครามกับคนไม่หวังดีอย่างถึงที่สุด 🧨 ด้านหนุ่มพาร์ตไทม์ได้รับคำสั่งต่อไปให้ไปทำคนเดียว จึงต้องแยกกับหญิงกลางคนที่ถูกให้เฝ้ารอคำสั่งอยู่ในห้องแห่งนั้น ส่วนตำรวจก็วิ่งขาขวิด ล้อมรั้วด้วยแถบเหลืองรอบรูปปั้นฮาจิโกะด้วยรัศมีประมาณหนึ่ง และให้หน่วยกอบกู้ระเบิดพยายามเร่งค้นหาวัตถุระเบิดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ แต่คนโตเกียวและชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เข้าใจว่าคลิปที่เผยแพร่ น่าจะเป็นการหลอกลวงเหมือนเช่นระเบิดก่อนหน้าที่สถานีเอบิสุ จึงไม่รู้สึกกลัวแถมยังแห่มายังบริเวณลานอันเป็นสถานที่ถูกระบุ ด้วยต้องการมาเซลฟี่ตนเอง บ้างมาเป็นกลุ่ม เพื่ออัปโหลดเผยแพร่ให้คนอื่นเห็น 🧨 มีหญิงสาวพนักงานบริษัทธรรมดาสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน คนหนึ่งเป็นชู้กับสามีของคนอื่นและคะยั้นคะยอชวนเพื่อนไปนัดบอดก่อนหน้านี้ ซึ่งเพื่อนของเธอเพิ่งอกหักจากแฟนที่รักกันมากว่าสิบปี แล้วทิ้งไปอยู่กับกิ๊กที่ตั้งท้องไม่กี่เดือน เพื่อนสาวคนนี้กำลังคิดจะเริ่มต้นใหม่และรู้สึกดีกับหนุ่มคนหนึ่งในงานนัดบอด โดยเขาคนนั้นเป็นเจ้าของบริษัทที่สร้างแอปพลิเคชันที่เปิดตัวดีและมีคนใช้เยอะ ธุรกิจไปได้สวยทั้งที่ยังอายุไม่มาก แต่ค่อนข้างเย็นชาไม่สนใจคนรอบข้าง สองสาวตั้งใจจะมากินอาหารฉลองก่อนคริสต์มาส แล้วเห็นหนุ่มคนที่ตนสนใจเข้าพอดีในสถานที่ใกล้รูปปั้นฮาจิโกะ เพื่อนคนที่ใจกล้าจึงชวนอีกคนว่าให้ลองตามไปดูเขาว่าทำไมถึงมาอยู่แถวชิบูย่า ทั้งที่ก่อนหน้าตอนเธอชวนมากินข้าวด้วยกัน ปฏิเสธว่ามีนัดสำคัญที่อื่น เธอไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนลากไปจนได้ 🧨 ด้านตำรวจยังคงพยายามตามหาว่าระเบิดถูกซ่อนตรงไหน เวลากระชั้นสั้นเข้าใกล้ถึงกำหนดที่ถูกประกาศว่าจะมีการระเบิด แต่ผู้คนยิ่งมาออกันอย่างเนืองแน่นด้วยความสนุกสนาน สุดท้ายจึงเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ เพราะมีการระเบิดขึ้นจริง ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่เรื่องราวไม่จบเท่านี้ เพราะหลังเหตุร้ายแรง นายกฯยังคงยืนยันคำพูดแข็งกร้าวเช่นเดิม ดังนั้นจึงมีข้อความต่อมาของคนร้ายที่แจ้งให้ทราบว่า ถ้านายกยังไม่ทำตามข้อเสนอ ระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสอีฟ คราวนี้บอกแค่เวลา แต่ไม่ระบุจุดที่จะระเบิด บอกเพียงว่าในกรุงโตเกียว 🧨 เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป.. ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอไหม .. สถานที่ใดจะเกิดระเบิดครั้งต่อไป.. หญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงบริเวณย่านชิบูย่าตายหรือไม่.. ชายคนที่หญิงสาวรู้สึกสนใจ ทำไมโกหกเธอ แล้วเขามาทำอะไร รอดตายหรือไม่.. หญิงวัยกลางคนที่ประสบเหตุคนแรกเล่า ที่ข้อมือยังมีนาฬิกาที่พร้อมระเบิดถ้าขัดคำสั่งคนร้าย เธอถูกให้ทำเรื่องใดต่อไป.. หนุ่มพาร์ตไทม์ที่ได้รับมอบหมายงานไปทำตามลำพัง จะรอดหรือไม่ ใคร ๆ ต่างเข้าใจว่าเขาคือคนร้ายไปหมดแล้ว ... ยังมีอีกหลายตัวละครที่มีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง ที่ผมเล่าได้ไม่หมด ต้องไปหาอ่านกันต่อแล้วล่ะ ....... ภาควิเคราะห์✒️ ตัวละครเยอะ และโผล่มาเรื่อย ๆ เฉพาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักก็เกือบสิบคน ยังมีประเภทโผล่มาประปรายเพราะมีความสัมพันธ์กับตัวละครที่เกี่ยวข้องอีกพอสมควร แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดที่ต้องอ่านให้จบทันก่อนหนังสือจะคืนเข้าระบบตามกำหนด จึงไม่สามารถค่อย ๆ เสพอ่านอย่างละเมียดบรรจง แต่ใช้วิธีอ่านแบบกวาดตาโดยไว ซึ่งปกติจะไม่อยากอ่านแบบนี้ถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากจะจดจำชื่อตัวละคร หรือดื่มด่ำกับสำนวนและการบรรยายของผู้เขียนได้น้อย ✒️ ดีที่เล่มนี้ไม่เน้นการบรรยายเยอะ แต่สนทนามากกว่า มีบรรยายบ้างแต่ไม่ยาวเป็นหน้า ค่อนข้างเดินเรื่องกระชับฉับไว ให้รายละเอียดเท่าที่จำเป็น ตัวละครคุยกันเยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังครับ ยิ่งอ่านประวัติคนเขียนด้วยจึงเข้าใจ เพราะเป็นทั้งนักเขียนหนังสือ นักเขียนบท โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ มิน่าล่ะจึงสะท้อนความเชี่ยวชาญและแนวคิดการทำงานในการผลิตหนัง มาใช้ในงานเขียนด้วย ✒️ อ่านแล้วนึกถึงหนังเรื่อง pulp fiction เมื่อปี 2537 ครับ ลักษณะการเล่ามีความเดินเรื่องคล้ายอย่างในหนัง คือไม่ได้เล่าไปทีละลำดับ แต่สลับระหว่างตัวละครหลักกลับไปกลับมา ฉากโน้นฉากนี้ แล้วพอตัวละครเยอะ ก็จะเข้าใจยากหน่อย แต่พอนำมาร้อยเรียงกันเองในหัวแล้วจะเริ่มมองภาพใหญ่ออก เพียงแค่ผู้เขียนเลือกหยิบเล่าในบริเวณจำกัดของ jigsaw บางส่วนในภาพทั้งหมด แล้วกระโดดไปเล่ามุมอื่นของชีวิตตัวละครตัวอื่น วนไปวนมาแบบนี้ จนค่อย ๆ กลายเป็นภาพที่ต่อสำเร็จเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ✒️ อ่านไปเหมือนจะงง แล้วพาลทำให้ไม่เข้าใจและไม่ชอบ หมดสนุกได้หากเราไม่คุ้นเคยกับการเล่าแบบนี้ ผมนึกถึงตัวเองตอนได้ดู pulp fiction ในโรงหนังลิโด้ครั้งแรกสมัยก่อน ถึงกับอุทานในใจ แหม..หนังอะไรวะเนี่ย ดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลย ตัวละครต่าง ๆ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีต้น ไม่มีปลาย มาทำบ้าอะไรของมันเดี๋ยวเดียวก็ตัดไป กลายเป็นตัวอื่นโผล่มาแล้วก็ลักษณะเดียวกันคือไม่มีรายละเอียดให้รู้ งงไปจนแทบเลยกลางเรื่องไปพอสมควรแล้วนั่นแหละ แบบดูไปด่าไปในใจ แต่ก็ทนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่าตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ ✒️ พอดูจบถึงกับแทบโห่ร้องออกมาแบบไม่มีเสียง นี่มันหนังโคตรดี สุดยอดอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน คิดได้ยังไง ถ้าดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาก่อนหลังที่ควรจะเป็น เราก็เข้าใจง่ายตั้งแต่ต้นละ แต่นี่ดันตัดเอาแค่บางช่วงสลับไปมาจนงงไปหมด ให้ไปต่อเอาเองในหัว หนังสือเล่มนี้ก็มีความคล้ายในการเล่าแบบหนังเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้มากเท่าและไม่ได้ชัดเจนเท่า ยังมีความเล่าตามลำดับในโครงสร้างใหญ่ไปตามวันที่เริ่มตั้งแต่ 22 ธันวาคม จนถึงก่อนวันคริสต์มาส แต่ทว่าจะมีช่วงที่เล่าให้ทราบถึงความเป็นไปในตัวละครบางตัวในอดีต เป็นเชิงภาคขยายจากในคราวแรกที่ไม่ได้ให้รายละเอียดตัวละครอะไรมากมาย ✒️ กลางเล่มไปแล้วที่หลังเกิดเหตุระเบิดใหญ่อันน่าตกใจและมีการสูญเสียทำได้ดีทีเดียว ฉากกลางย่านชิบูย่าในภาพก่อนหน้าที่กำลังวุ่นวายและเต็มไปด้วยความเอะอะของเหล่าผู้คน ที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายใดแล้วไม่สนใจคำเตือนตำรวจ กับภายหลังเหตุระเบิด รวมถึงความไต่ระดับของการเดินเรื่องที่บางตัวละครพยายามตามหาความจริง จิกกัดไม่ปล่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่ตำรวจและยังเป็นผู้หญิง มีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วอดนึกไม่ได้ว่า "อยากตายนักหรือไง" เพราะเธอไปจี้ถาม คุ้ยแคะแกะแผลจะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่น่าสงสัยให้ได้ ช่วงบทสนทนาตอนนั้นคือลุ้นมาก นางปากดีคนนี้จะถูกหมกตายไหมเนี่ย ช่างปากกล้า ปากเก่งในเวลาที่ไม่ควรจริง ๆ แล้วเหตุการณ์ต่อจากฉากนั้น ก็ทำเอาแทบกลั้นลมหายใจอ่านทีเดียว ✒️ ผู้เขียนฉลาดในการหลอกล่อคนอ่านมาตั้งแต่ต้นเริ่มเรื่องทีเดียว เรียกว่าเอาอยู่ หัวปั่นเพราะเบาะแสที่ให้มาทีละนิด เราก็คิดว่าเออ คนนี้หรือคนนั้นมีแววนะว่าอาจจะใช่คนร้ายที่เจ้าแผนการทั้งหมด เพียงเพื่อสุดท้ายจะพบกับความพลิกเหมือนลูกรูบิกที่บิดที สีที่เหมือนจะเรียงกันได้ครบ แต่ทำเอาแทบสลบเพราะนอกจากไม่เรียงสำเร็จทุกสี ยังเหมือนวิ่งหนีออกไปไกลกว่าเก่า อ้าว..ที่แท้คนนี้เองเหรอ..เราหมุนไปผิดทางตั้งแต่แรกเลยเหรอเนี่ย พอย้อนไปเก็บรายละเอียดหลังอ่านจบ โดยทวนเนื้อหาใหม่ในบางช่วงบางบทสนทนา การบรรยายรายละเอียดที่ผู้เขียนใส่ไว้ใหม่ จึงเกิดความรู้สึกเหมือน อะไรที่มันขัดกันในหัว หมุนเคลื่อนตัวลงล็อกดัง "กริ๊ก" ในตำแหน่งที่ถูกต้องเป๊ะ ✒️ เราอ่านไม่ดีเองตั้งแต่แรก ละเลยส่วนสำคัญไปเพราะไม่ละเอียดและไม่คิดตามมากพอ แท้จริงร่องรอยของความจริงได้วางไว้ให้เห็นอยู่แล้ว ช่างสุดยอดจริง ๆ สมกับที่เล่มนี้ขายดีในญี่ปุ่น รวมถึงตอนสร้างเป็นหนังก็มีผลตอบรับดีด้วย (ตามที่ในหนังสือระบุไว้ในช่วงคำนำสำนักพิมพ์ หรือความในใจของผู้แปลก็ไม่แน่ใจ) ชอบที่ตอนจบ บทสรุปที่ให้คนอ่านได้เก็บไปคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนเขียนต้องการสื่อไปถึงชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศ หรือที่จริงชาวโลกก็ว่าได้ เกี่ยวกับสงครามว่าคือสิ่งที่นักการเมือง ผู้มีอำนาจ และพลเมืองที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ ควรจะปฏิบัติเช่นไร หรือไม่ควรปฏิบัติเช่นไร ✒️บทสรุปของคนร้ายจะตายหรือไม่ ตอนที่เรื่องเฉลยโดยให้คนร้ายบอกเล่าความจริงในใจกับใครคนหนึ่งนั้น รู้สึกชอบวิธีเฉลยที่ผู้เขียนเลือกใช้ครับ รูปแบบเรียบง่ายแต่เข้ากับนิสัยของตัวละครตัวนี้ดี บ่งบอกตัวตนของคนคนนี้ได้ค่อนข้างชัดเจน คนอ่านหลายคนอาจไม่ชอบเหตุผลและแรงจูงใจของคนร้าย และไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ แต่ผมคิดว่าพอจะเข้าใจนะ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนร้ายเลือกกระทำ คนเราเมื่อยึดติดในสิ่งใด สัตว์ใด คนใด ความเชื่อใดมากจนฝังแน่นไปถึงจิต ✒️ มันยากเหลือเกินที่จะลบล้างเอาเจ้าความคิดนั้นให้หลุดออกไปได้ ในแง่นี้ผมจึงคิดว่าเข้าใจและเห็นใจสงสารคนร้ายพอสมควร ส่วนประชาชนคนที่ตายไปมากมายนั้น หากพูดกันอย่างไม่อคติ จะไปโทษคนร้ายทั้งหมดก็ไม่ได้ แท้จริงเหล่าคนที่ตายไป จะมากน้อยเพราะเขาทำตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย ทั้งที่ทางตำรวจก็แจ้งเตือน ห้ามปราม แต่ก็ไม่สนใจ รวมถึงพวกสื่อต่าง ๆ ที่เอาแต่อยากทำข่าวโดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ทำนั้นจะส่งผลให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมหรือเป็นอันตรายต่อสังคม ประชาชนและประเทศชาติหรือไม่ ผมว่าเล่มนี้สะท้อนมุมมองเรื่องเหล่านี้ได้ดี แต่เหนืออื่นใดคือฉากจบที่ตัวละครหนึ่งที่น่าสงสารและน่าเห็นใจมาก แต่กลับเป็นฝ่ายพูดและให้กำลังใจกับตัวละครอีกตัวที่บาดเจ็บทางใจอย่างร้ายแรงได้อย่างเข้าถึงจิตใจภายใน ราวกับคำพูดนั้นไปสัมผัสและลูบไล้ที่หัวใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด ช่างอบอุ่นหัวใจดีเหลือเกิน หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบมา สำนวนแปลอ่านได้อย่างไม่รู้สึกสะดุด .......... อ่านจบ ไปลองค้นข้อมูลที่มีการสร้างเป็นหนังต่อ พอเห็นภาพโปสเตอร์ยิ่งอยากดูมาก เพราะมีนักแสดงคนโปรดเล่นด้วยนั่นคือ อิชิดะ ยูริโกะ และคนอื่น ๆ ก็ต่างเป็นนักแสดงคุณภาพทั้งนั้น สุดท้ายเจอที่มีคนทำซับบรรยายไทย จึงโหลดมาชม แต่ดูจบแล้วพบว่า ฉบับหนังสือดีกว่าพอสมควร คือหนังสร้างออกมาได้โอเคอยู่ นักแสดงก็ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดี แต่มันมีอยู่หลายช่วงที่รู้สึกว่าน่าจะเล่าได้ดีกว่านี้ อาจเพราะเวลาจำกัด รายละเอียดมากมายจึงใส่มาได้ไม่หมด จึงทำให้ลดความสนุกลงไปจากฉบับหนังสือเยอะเลย แต่ฉากสำคัญที่เกิดระเบิดกลางย่านชิบูย่าทำออกมาได้ดี ใครสนใจลองไปหาชมดูครับ สุดท้ายขอจบด้วยประโยคที่ตัวละครสองตัวในเรื่องเอ่ยไว้ได้อย่างน่าประทับใจ โดยระบุว่าเป็นคำกล่าวของนักเขียนนิยายที่มีชื่อว่า Stephen King "ผู้ชนะในการแข่งขันปาขี้คือคนที่มือเปื้อนน้อยที่สุด คนมีคุณภาพคือคนที่ไม่ทำให้มือตัวเองเปื้อนจากอะไรไร้สาระอย่างการขว้างปาเจตนาร้ายใส่คนอื่น" #หนังญี่ปุ่น #หนังน่าดู #หนังสือน่าอ่าน #บทความ #รีววิหนังสือ #thaitimes #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #ระเบิดกลางกรุง #โตเกียว #สงคราม #แง่คิด #ระทึกขวัญ #สืบสวน #ก่อการร้าย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน

    #กระบี่อมตะ
    โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล
    สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์
    นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน
    เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า

    นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย

    วกมาสู่เล่มนี้

    เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ

    เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน

    มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา

    ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก

    คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ

    แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง

    ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่

    ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด

    สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร

    ไปลองอ่านดูนะครับ

    #โก้วเล้ง
    #วณเมืองลุง
    #นิบายจีน
    #นิยายแปล
    #รีวิวหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes]

    ยิ้มเปลี่ยนชีวิตได้ ในบางครั้งยังอาจสามารถเปลี่ยนโลก นี่ไม่ต้องลำบากเสาะหาจากที่ไหนให้วุ่นวาย เพราะมีอยู่ในกายทุกผู้คน #กระบี่อมตะ โก้วเล้ง เขียน / ว.ณ เมืองลุง แปล สนพ.สร้างสรรค์บุ๊กส์ นวนิยายสั้นเล่มเดียวจบ หมวดกำลังภายใน เป็นเล่มแรกที่ถูกจัดเข้าในชุดอาวุธของโก้วเล้ง ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้ว ผลงานในชุดนี้มีทั้งหมดกี่เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 7 เล่ม บางแหล่งระบุว่ามี 8 เล่ม ซึ่งตามความจริง ล้วนเป็นเหล่า สนพ.ต่าง ๆ จากต้นทาง ที่รวบรวมจัดเข้าชุดกันเองเพื่อหวังในยอดขายเพิ่มขึ้น หาใช่สิ่งที่โก้วเล้งเป็นคนตั้งใจหรือวางแผนไว้แต่แรก มีบางข้อมูลถึงกับระบุว่า เล่มที่โก้วเล้งเป็นคนเขียนเองมีเพียง 2 เรื่องแรกเท่านั้น คือกระบี่อมตะ และเดชขนนกยูง หากข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง แล้วเล่มอื่นในชุดใครที่เป็นมือปืนรับจ้างเขียนแทนโดยใช้ชื่อโก้วเล้งเล่า นี่คืออีกหนึ่งปริศนาในงานเขียนของปีศาจสุรา ที่ช่วงหลังก่อนเสียชีวิต แต่งเรื่องไว้หลายเรื่องแต่แต่งไม่จบ นับเป็นรอยด่างหรือความมัวหมองในชีวิตงานเขียนประการหนึ่งซึ่งน่าเสียดาย วกมาสู่เล่มนี้ เพิ่งจบเมื่อเช้า ก่อนหน้าไม่เคยอ่านในชุดอาวุธมาเลยสักเล่มเดียว ผ่านตาพบเห็นมาหลายปกตั้งแต่เด็ก แต่ก็นิยมไปอ่านเรื่องยาว หรือเรื่องชุดอื่น ๆ ซะ บัดนี้ตั้งใจว่าจะลองมาลิ้มรสเล่มที่พลาดไป เริ่มต้นด้วยเล่มนี้เป็นเล่มแรกครับ เนื้อหากล่าวถึง กลุ่มชายฉกรรจ์ขบวนใหญ่ ต่างที่มาแต่มารวมตัวกันเฉพาะกิจ ด้วยเหตุผลคือตามล่าคนคนหนึ่งซึ่งมีสิ่งของที่ทั้งหมดต้องการแอบซ่อนไว้ เปิดเรื่องที่โรงเตี๊ยมในเมืองซึ่งมีตัวเอกของเรื่อง นามแปะเง็กเกียเดินทางผ่านมาแวะพักค้างอ้างแรม ในมือของมันผู้นี้มีศาสตราวุธสุดยอดเป็นกระบี่ดำเล่มหนึ่ง กระบี่โบราณดูไปไม่มีใดน่าสนใจ ทว่าผู้กล้าและชาวยุทธ์ทั่วหล้าต่างพากันทราบดี ถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิที่ได้รับการกล่าวขานถึง นั่นเรียกว่ากระบี่อมตะ ผู้มาที่ไม่ทราบสำนักสังกัดชัด ต่างล้วนทราบดีแก่ใจว่าบุรุษเจ้าของกระบี่เล่มนี้ยากตอแย และมีฝีมือมิใช่ชั่ว ต่างคุมเชิงกันและกันไม่ว่าใครไม่กล้าลงไม้ลงมือก่อน มิคาดนอกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีบุรุษหน้าตาเข้าทีฝีมือรวบรัดมาเยี่ยมเยือนและอุดหนุนแล้ว ยังมีวาสนาได้รับการต้อนรับโกวเนี้ยเยาว์วัยนางหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกที่เรียบร้อยราวคุณหนู และรูปโฉมโนมพรรณที่สามารถสร้างความลุ่มหลงแก่เหล่าบุรุษได้ นางมีชื่อว่าอ้วงจีเยี้ย ไม่แน่ใจเป็นนางที่ไล่ตามแปะเง็กเกียหรือไม่ เพราะเขาจำได้ว่าเคยพบหน้านางมาก่อนแล้วถึงสองครั้งที่โรงเตี๊ยมแห่งอื่น นี่ไม่อาจโทษว่าเขาเป็นชายเจ้าชู้ อย่างไรชายงามย่อมพึงตาต้องใจในสตรีสาวและยังสวยเป็นธรรมดา ที่สำคัญกลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าหา เจรจาพาทีกับเขาก่อนด้วย เป็นเรื่องที่เขาเองก็คาดไม่ถึง อย่างน้อยทุกครั้งที่พบหน้า นางส่งรอยยิ้มที่พิมพ์ใจกระไรปานนั้นให้กับเขา ทว่าเรื่องราวกับซับซ้อนยอกย้อนยิ่ง ในขณะที่แปะเง็กเกียเข้าใจว่ากลุ่มชายแปลกหน้าท่าทางประหลาดทั้งหลาย ล้วนมีเป้าประสงค์ที่จะมาหาเรื่องกับตน พลันเกิดเหตุลอบฆ่าฟันกันขึ้น มีคนตายและอาวุธที่เข่นฆ่าก็แปลกประหลาด ขณะที่บรรยากาศโดยรอบภายในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความตึงเครียด อ้วงจีเยี้ยพลันเอ่ยขอร้องแปะเง็กเกียให้ค้างอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง ให้เหตุผลว่าบัดนี้นางกลัวยิ่ง เช่นนี้ไยมิใช่การบอกใบ้ว่านางยินดีให้แปะเง็กเกีย ไม่ต้องทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ กับนางระหว่างคืนใช่หรือไม่ แต่แปะเง็กเกียกลับเรียบร้อยขึ้นมาจริง ๆ มันพานขึ้นไปนอนบนเตียงเรียงคู่กับนาง ทว่าเพียงแค่อ้าปากกล่าววาจาด้วยท่าทีสงวนคำพูดยิ่งนัก คืนนั้นเอง อ้วงจี่เยี้ยพลันกล้าเผยความในใจ ปรารถนาให้เมื่ออรุณขึ้น เขาพานางติดตามไปด้วยในทุกที่ หลีกลี้หนีจากวังวนความวุ่นวายทั้งหลาย แปะเง็กเกียกลับรับปากง่ายดาย ก่อนรุ่งสางได้สกัดจุดหลับนางแล้วออกจากห้อง ตั้งใจจะไปตกลงเจรจากับพวกคนเหล่านั้นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานางที่ตนชมชอบปลีกกายจากไป ไหนเลยมีเรื่องง่ายดายปานนั้น หลังเอ่ยวาจาอ้อมค้อมลดเลี้ยวอยู่เนิ่นนาน แปะเง็กเกียที่เตรียมจะยกถุงผ้าที่บรรจุวัตถุหายากที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งหมดให้กับคนประหลาดที่เหลือ หาคาดไม่ที่พวกมันกังวลสนใจกลับเป็นตัวของอ้วงจีเยี้ยเอง แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นสิ่งของใดในตัวนางที่พวกมันกล่าวหาว่าถูกขโมยมา เมื่อการค้าตกลงไม่สำเร็จแปะเง็กเกียจึงลุกเดินกลับห้อง แต่กลับพบเห็นมีเงาชายคนหนึ่งอยู่ในห้องคล้ายเจรจาบางอย่างกับหญิงที่ตนชอบ ด้วยความเสียใจ ขณะจะผละจากไปปรากฏเสียงร้องของนางดังขึ้นด้วยความตกใจ แปะเง็กเกียรีบพุ่งปราดเข้าไปจึงพบว่า เป็นคนร้ายที่เป็นตัวประหลาดคนหนึ่ง ทั้งสองต่อสู้กันชั่วครู่ก่อนที่มันจะชิงจังหวะโดดหลบหนีไป พอดีกับที่สหายคนหนึ่งของแปะเง็กเกียเข้าประตูมาเพราะได้ยินเสียง แปะเง็กเกียจึงขอร้องให้มันช่วยดูแลอ้วงจีเยี้ยแทน ก่อนจะโผออกจากห้อง พุ่งทะยานขึ้นหลังคาตามไป เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ให้เพื่อน ๆ ไปหาอ่านกันต่อ ขอบอกเพียงว่า เป็นนิยายกำลังภายในขนาดสั้นที่เขียนได้ดีมากเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ที่มีความเป็นงานแนวสืบสวนสอบสวน มีการพลิกไปพลิกมาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัว ที่มีเบื้องหลังคือของมีค่าอันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งวัตถุชิ้นนี้กล่าวโยงไปถึงของสำคัญอันจะมีส่วนสำคัญต่อไปในเล่มที่สองของชุดอาวุธของโก้วเล้ง ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งเรื่องไปแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมของเหล่าบรรดาโจรทั้งหลายที่ต่างหมายของสิ่งเดียวกัน ใครเป็นมิตรกับใคร ใครแฝงตัวหลอกล่อ เป้าจริงคือใคร เป้าลวงไฉนเยอะปานนั้น จะเชื่อใจใครได้บ้าง ศัตรูกลับกลายเป็นมิตร หรือสหายกลับทรยศ หญิงงามความจริงคือผู้ถูกกระทำ หรือคือต้นตอของเหตุเภทภัยทั้งหมดกันแน่ แต่ละบทที่ผ่านไปมีแต่ศพ ที่เพิ่มมากขึ้น คนมีชีวิตกลับยิ่งมายิ่งลดน้อยลง แปะเง็กเกียที่ถูกม้วนเข้าไปในวังวนของแหใหญ่ปากนี้ จะสามารถพาตัวรอดพ้นจากหายนะได้หรือไม่ ฤาต้องจบชีวิตไปอย่างเลอะเลือนงมงาย ไม่ทราบกระทั่งความจริงว่าตนต้องตายด้วยสาเหตุใด สุดท้ายที่นึกว่าจะจบลงแล้ว กลับมีพลิกในพลิกอีกที... นี่มันอะไร ไปลองอ่านดูนะครับ #โก้วเล้ง #วณเมืองลุง #นิบายจีน #นิยายแปล #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes]
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!"

    ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้

    คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

    เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล

    ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย

    เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง:
    1. เคารพในอำนาจอธิปไตย
    2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ
    3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต
    4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย

    หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล

    (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล)
    บางส่วนในการสัมภาษณ์:
    🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก
    🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย”
    🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี”
    🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    2/ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!" ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้ คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง: 1. เคารพในอำนาจอธิปไตย 2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ 3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต 4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล) บางส่วนในการสัมภาษณ์: 🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก 🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย” 🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี” 🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • 1/
    มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!"

    ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้

    คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

    เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล

    ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย

    เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง:
    1. เคารพในอำนาจอธิปไตย
    2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ
    3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต
    4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย

    หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล

    (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล)
    บางส่วนในการสัมภาษณ์:
    🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก
    🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย”
    🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี”
    🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    1/ มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์ มอบหมายให้ "สตีฟ วิทคอฟฟ์" (Steve Witkoff) ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของเขา เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อเจรจาด้านการทูตกับอิหร่าน "เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่ออิสราเอล!" ตำแหน่งผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของ สตีฟ วิทคอฟฟ์ นับว่าสำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นผู้กำหนดและดำเนินการตามนโยบายของทรัมป์ในภูมิภาคนี้ คาดว่าทรัมป์จะมอบความรับผิดชอบให้กับสตีฟ วิทคอฟฟ์ในการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เป็นที่ทราบกันดีว่าวิทคอฟฟ์ เน้นเรื่องการเจรจาทางการทูต มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร นี่จึงเป็นสาเหตุที่อิสราเอลไม่พอใจ เพราะหากไม่มีความขัดแย้ง เป้าหมายของแอสราเอลจะไม่มีทางบรรลุผล ที่ผ่านมาวิทคอฟฟ์เป็นตัวแทนของทรัมป์เข้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาจาข้อตกลงหยุดยิงในกาซา รวมทั้งติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้อิสราเอลทำตามอย่างแข็งขันอีกด้วย เขาเป็นคนเดียวที่คัดค้านนโยบายการแทรกแซงอิหร่านเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (วิดีโอ1) สตีฟ วิทคอฟฟ์ เคยพูดถึงหลักการ 4 ประการเพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลของทรัมป์ปฏิบัติต่อตะวันออกกลาง: 1. เคารพในอำนาจอธิปไตย 2. ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นสะพานเชื่อมสู่เสถียรภาพ 3. เน้นดำเนินโยบายทางด้านการทูต 4. “การตอบสนองและความรับผิดชอบ” สหรัฐอเมริกาต้องการเห็นการตอบสนองจากพันธมิตร หลังจากแสวงหาผลประโยชน์จากสหรัฐมาอย่างยาวนาน ยุคของเช็คเปล่าสิ้นสุดลงแล้ว ความร่วมมือต้องยุติธรรม และการสนับสนุนต้องสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันต่อเป้าหมายของทุกฝ่าย หลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งที่วิทคอฟฟ์พูดนี้ เป็นการส่งข้อความถึงอิสราเอล (วิดีโอ2) ล่าสุด สตีฟ วิทคอฟฟ์ เพิ่งให้สัมภาษณกับ Fox News เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระยะที่สองในกาซา และเปิดกว้างในการบรรลุ "ความเข้าใจในทุกเรื่อง" กับกลุ่มฮามาส (แน่นอนว่าเพิ่มความไม่พอใจให้กับอิสราเอล) บางส่วนในการสัมภาษณ์: 🔸 “เราต้องแน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงดำเนินการไปด้วยดี เพราะมันจะทำให้เราจะเข้าสู่ระยะที่สอง ซึ่งมันจะช่วยรักษาชีวิตผู้คนอีกมาก 🔸 “ผมกำลังจะไปอิสราเอล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของทีมตรวจสอบทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim corridor) และที่ทางเดินฟิลาเดลเฟีย (Philadelphi corridor) ด้วย” 🔸 มูซา อาบู มาร์ซุก เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มฮามาส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์เมื่อไม่นานนี้ว่า กลุ่มฮามาสพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ถือเป็นเรื่อง “ดี” 🔸 วิตคอฟฟ์เชื่อว่าทุกประเทศในภูมิภาคนี้สามารถตกลงเจรจาพูดคุยกันได้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • การันตี 'ดิว' ไม่เอี่ยวเงินพนัน เงิน 88 เป็นบริษัทความงาม รอดาราดังชี้แจงปมเงินกู้
    .
    ช่วงนี้คนในวงการบันเทิงมีดราม่าแทบไม่ได้พัก โดยก่อนหน้านี้เรื่องของนักร้องโลกสองใบยังไม่ทันจางหาย ปรากฎว่ามีเรื่องใหม่ให้เหล่าชาวโลกมาติดตามกันต่อ ซึ่งเป็นกรณีที่มีเพจดังออกมาปล่อยข้อมูลว่า ดาราดัง 'ดิว' นางสาวอริสรา ทองบริสุทธิ์ ถูกทวงเงิน เกือบ 9 ล้าน พร้อมกับมีการอ้างชื่อนักการเมืองด้วย จึงเป็นเรื่องที่ร้อนขึ้นมาทันที
    .
    นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคกล้าธรรม เปิดเผยว่า ขอยืนยันว่าส่วนตัวและร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคกล้าธรรม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่เคยยุ่ง ทั้งในมุมที่ยืมเงิน และเอาเงินไปปล่อยกู้ต่อ เราเป็นส.ส. ได้รับการร้องเรียนเรื่องการกู้เงินนอกระบบพวกนี้อยู่แล้ว จึงไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ ภายหลังจากที่มีข่าว ได้มีการคุยกันนิดหน่อย ทราบประมาณหนึ่ง
    .
    "ไม่มี เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัสก็พูดว่าเป็นห่วง เรื่องกระแสข่าว แต่คิดว่าไม่มี คนที่เอาหลักฐานออกมา ก็ไม่ปล่อยหลักฐานออกมาให้หมด จึงไม่รู้ว่า เกี่ยวข้องกันอย่างไร ยังไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่า เนื้อความที่เขาพูดคืออะไร เขาอ้างอะไรแบบไหน แล้วผมกับดิวก็ยังไม่ได้มีการถามกันถึงขนาดนั้น ซึ่งก็เป็นวันแรกที่เกิดเรื่อง ตอนนี้มีข้อมูลออกมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้คุยกัน ก็ต้องรอดูว่าจะได้มีการคุยกันเมื่อไหร่” นายไผ่กล่าว
    .
    นายไผ่ กล่าวถึงประเด็นที่ดาราดังอ้างถึงเงินจากธุรกิจ 88 ว่า สำหรับ ประเด็นเกี่ยวกับ 88 ที่ปรากฏอยู่บนแชทสทนาระหว่างดิวและคู่รณี ที่ดิวบอกว่า ถ้าได้เงิน 88 คำว่า 88 นั้นไม่ใช่เว็บพนัน คือชื่อบริษัทธุรกิจเครื่องสำอาง ชื่อ 88 beauty ไม่ใช่ มาเก๊า 888
    ...........
    Sondhi X
    การันตี 'ดิว' ไม่เอี่ยวเงินพนัน เงิน 88 เป็นบริษัทความงาม รอดาราดังชี้แจงปมเงินกู้ . ช่วงนี้คนในวงการบันเทิงมีดราม่าแทบไม่ได้พัก โดยก่อนหน้านี้เรื่องของนักร้องโลกสองใบยังไม่ทันจางหาย ปรากฎว่ามีเรื่องใหม่ให้เหล่าชาวโลกมาติดตามกันต่อ ซึ่งเป็นกรณีที่มีเพจดังออกมาปล่อยข้อมูลว่า ดาราดัง 'ดิว' นางสาวอริสรา ทองบริสุทธิ์ ถูกทวงเงิน เกือบ 9 ล้าน พร้อมกับมีการอ้างชื่อนักการเมืองด้วย จึงเป็นเรื่องที่ร้อนขึ้นมาทันที . นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคกล้าธรรม เปิดเผยว่า ขอยืนยันว่าส่วนตัวและร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคกล้าธรรม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่เคยยุ่ง ทั้งในมุมที่ยืมเงิน และเอาเงินไปปล่อยกู้ต่อ เราเป็นส.ส. ได้รับการร้องเรียนเรื่องการกู้เงินนอกระบบพวกนี้อยู่แล้ว จึงไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ ภายหลังจากที่มีข่าว ได้มีการคุยกันนิดหน่อย ทราบประมาณหนึ่ง . "ไม่มี เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัสก็พูดว่าเป็นห่วง เรื่องกระแสข่าว แต่คิดว่าไม่มี คนที่เอาหลักฐานออกมา ก็ไม่ปล่อยหลักฐานออกมาให้หมด จึงไม่รู้ว่า เกี่ยวข้องกันอย่างไร ยังไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่า เนื้อความที่เขาพูดคืออะไร เขาอ้างอะไรแบบไหน แล้วผมกับดิวก็ยังไม่ได้มีการถามกันถึงขนาดนั้น ซึ่งก็เป็นวันแรกที่เกิดเรื่อง ตอนนี้มีข้อมูลออกมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้คุยกัน ก็ต้องรอดูว่าจะได้มีการคุยกันเมื่อไหร่” นายไผ่กล่าว . นายไผ่ กล่าวถึงประเด็นที่ดาราดังอ้างถึงเงินจากธุรกิจ 88 ว่า สำหรับ ประเด็นเกี่ยวกับ 88 ที่ปรากฏอยู่บนแชทสทนาระหว่างดิวและคู่รณี ที่ดิวบอกว่า ถ้าได้เงิน 88 คำว่า 88 นั้นไม่ใช่เว็บพนัน คือชื่อบริษัทธุรกิจเครื่องสำอาง ชื่อ 88 beauty ไม่ใช่ มาเก๊า 888 ........... Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1454 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ)
    ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ
    ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน)
    ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป
    ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่
    ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
    ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม
    ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
    ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ
    ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที
    "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน"
    พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ
    สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล...

    คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง
    แดนเจอร์
    บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ) ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน) ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่ ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน" พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล... คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง แดนเจอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตมารสังหาร
    การที่จะมีจิตมารสังหารนั้นไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้มาโดยง่ายนัก
    คนที่มีจิตมารสังหารนั้นมีอยู่สองประเภท คือ
    1.ผู้ที่ผ่านพ้นความทุกข์ทรมานมาอย่างแสนสาหัส โดยจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทำร้าย ทั้งทางกาย,วาจา และใจมาเนิ่นนานหลายวัน เดือน ปีก็ตาม
    2.ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนที่แสนสาหัสยิ่งยวดโดยให้เป็นผู้ที่ฆ่า ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ ของรักของตนเองหรือของคนอื่นก็ตาม
    ทั้งสองประเภทนั้นถูกเรียกชื่อกันต่างๆนาๆทั่วไป เช่น เรียกว่า นักฆ่า,มือสังหาร,เพชฌฆาต เป็นต้น
    โดยจิตมารสังหารถือว่าเป็นขั้นที่สองจากจิตสังหารนั่นเอง มีทั้งคุณและโทษ แต่จะใช้งานเพื่อปกป้อง หรือ ทำลาย เท่านั้นเอง
    จิตมารสังหาร การที่จะมีจิตมารสังหารนั้นไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้มาโดยง่ายนัก คนที่มีจิตมารสังหารนั้นมีอยู่สองประเภท คือ 1.ผู้ที่ผ่านพ้นความทุกข์ทรมานมาอย่างแสนสาหัส โดยจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทำร้าย ทั้งทางกาย,วาจา และใจมาเนิ่นนานหลายวัน เดือน ปีก็ตาม 2.ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนที่แสนสาหัสยิ่งยวดโดยให้เป็นผู้ที่ฆ่า ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ ของรักของตนเองหรือของคนอื่นก็ตาม ทั้งสองประเภทนั้นถูกเรียกชื่อกันต่างๆนาๆทั่วไป เช่น เรียกว่า นักฆ่า,มือสังหาร,เพชฌฆาต เป็นต้น โดยจิตมารสังหารถือว่าเป็นขั้นที่สองจากจิตสังหารนั่นเอง มีทั้งคุณและโทษ แต่จะใช้งานเพื่อปกป้อง หรือ ทำลาย เท่านั้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อดี-ข้อเสีย ของประกันสุขภาพที่มีการจ่ายแบบ copayment
    .
    ประกันสุขภาพแบบ Co-Payment คือรูปแบบที่ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วนในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ โดยมีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

    ข้อดี

    1. เบี้ยประกันถูกลง
    เนื่องจากผู้เอาประกันต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน ทำให้บริษัทประกันลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าประกันสุขภาพแบบทั่วไปที่ไม่ต้องร่วมจ่าย

    2. ลดการใช้งานเกินความจำเป็น
    การต้องร่วมจ่ายทำให้ผู้เอาประกันตัดสินใจใช้บริการเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริง ลดการเข้ารับการรักษาโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและระบบประกัน

    3. ช่วยกระจายภาระค่าใช้จ่าย
    ระบบ Co-Payment ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน ทำให้สามารถให้บริการครอบคลุมคนจำนวนมากขึ้นได้

    ---

    ข้อเสีย

    1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในแต่ละครั้ง
    แม้จะจ่ายเบี้ยประกันต่ำ แต่ในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ ผู้เอาประกันต้องเตรียมเงินสำรองเพื่อร่วมจ่าย อาจกลายเป็นภาระสำหรับบางคน

    2. อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้บริการบ่อย
    สำหรับคนที่ต้องเข้ารับการรักษาหรือพบแพทย์บ่อย ค่าใช้จ่าย Co-Payment รวมกันอาจสูงกว่าการจ่ายเบี้ยประกันแบบเต็มที่ครอบคลุมทุกกรณี

    3. ความยุ่งยากในการคำนวณค่าใช้จ่าย
    ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขการร่วมจ่าย เช่น สัดส่วนหรือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง อาจทำให้เกิดความสับสนได้

    4. ไม่คุ้มค่าในกรณีเจ็บป่วยรุนแรง
    หากเกิดอาการป่วยหนักหรือโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ค่า Co-Payment อาจสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ---

    เหมาะกับใคร?

    ผู้ที่มีสุขภาพดีและเข้ารับการรักษาไม่บ่อย

    ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน

    ผู้ที่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนที่ต้องร่วมจ่ายได้

    การเลือกประกันสุขภาพแบบ Co-Payment ควรพิจารณารูปแบบการใช้บริการสุขภาพของตัวเอง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ

    #PlanWise
    ข้อดี-ข้อเสีย ของประกันสุขภาพที่มีการจ่ายแบบ copayment . ประกันสุขภาพแบบ Co-Payment คือรูปแบบที่ผู้เอาประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบางส่วนในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ โดยมีข้อดีและข้อเสียดังนี้: ข้อดี 1. เบี้ยประกันถูกลง เนื่องจากผู้เอาประกันต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วน ทำให้บริษัทประกันลดความเสี่ยงลง ส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าประกันสุขภาพแบบทั่วไปที่ไม่ต้องร่วมจ่าย 2. ลดการใช้งานเกินความจำเป็น การต้องร่วมจ่ายทำให้ผู้เอาประกันตัดสินใจใช้บริการเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริง ลดการเข้ารับการรักษาโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งส่วนตัวและระบบประกัน 3. ช่วยกระจายภาระค่าใช้จ่าย ระบบ Co-Payment ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน ทำให้สามารถให้บริการครอบคลุมคนจำนวนมากขึ้นได้ --- ข้อเสีย 1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในแต่ละครั้ง แม้จะจ่ายเบี้ยประกันต่ำ แต่ในแต่ละครั้งที่ใช้บริการ ผู้เอาประกันต้องเตรียมเงินสำรองเพื่อร่วมจ่าย อาจกลายเป็นภาระสำหรับบางคน 2. อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ใช้บริการบ่อย สำหรับคนที่ต้องเข้ารับการรักษาหรือพบแพทย์บ่อย ค่าใช้จ่าย Co-Payment รวมกันอาจสูงกว่าการจ่ายเบี้ยประกันแบบเต็มที่ครอบคลุมทุกกรณี 3. ความยุ่งยากในการคำนวณค่าใช้จ่าย ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขการร่วมจ่าย เช่น สัดส่วนหรือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง อาจทำให้เกิดความสับสนได้ 4. ไม่คุ้มค่าในกรณีเจ็บป่วยรุนแรง หากเกิดอาการป่วยหนักหรือโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ค่า Co-Payment อาจสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ --- เหมาะกับใคร? ผู้ที่มีสุขภาพดีและเข้ารับการรักษาไม่บ่อย ผู้ที่ต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน ผู้ที่สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนที่ต้องร่วมจ่ายได้ การเลือกประกันสุขภาพแบบ Co-Payment ควรพิจารณารูปแบบการใช้บริการสุขภาพของตัวเอง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดครับ #PlanWise
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้กฎหมายแบน ติ๊กต็อก (TikTok) ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากอพยพเข้าสู่แพลตฟอร์มจีน "เสี่ยวหงซู" (Xiaohongshu) ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของจีนสำหรับการแชร์ไลฟ์สไตล์และรีวิวสินค้า การหลั่งไหลเข้ามาของชาวเน็ตอเมริกันกลับ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสองประเทศแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เป็น "ตัวกลาง" ในการนำเสนอข้อมูลอีกต่อไป ชาวอเมริกันและชาวจีนจึงสามารถพูดคุยกันโดยตรง ในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ "คุณหาเงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร? คุณใช้ชีวิตยังไง?"

    ผลลัพธ์ของการ "เปิดบัญชีเทียบกัน" นี้ทำให้ชาวอเมริกันต้องตกตะลึง "ข้อมูลที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับจีนมันผิดไปหมด!"

    หลายปีที่ผ่านมา สื่อสหรัฐฯ มักวาดภาพว่าคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจีน และนำเสนอว่า "แม้อเมริกันจะลำบาก แต่ชาวจีนลำบากกว่า!" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวอเมริกันและชาวจีนเริ่มเทียบข้อมูลกันจริงๆ บนเสี่ยวหงซู ฟองสบู่ข้อมูลผิดๆ ก็แตกกระจาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000004966

    #MGROnline #เสี่ยวหงซู #Xiaohongshu #ติ๊กต็อก #TikTok
    หลังจากสหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้กฎหมายแบน ติ๊กต็อก (TikTok) ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากอพยพเข้าสู่แพลตฟอร์มจีน "เสี่ยวหงซู" (Xiaohongshu) ซึ่งเดิมทีเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของจีนสำหรับการแชร์ไลฟ์สไตล์และรีวิวสินค้า การหลั่งไหลเข้ามาของชาวเน็ตอเมริกันกลับ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสองประเทศแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน • เมื่อไม่มีสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ เป็น "ตัวกลาง" ในการนำเสนอข้อมูลอีกต่อไป ชาวอเมริกันและชาวจีนจึงสามารถพูดคุยกันโดยตรง ในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ "คุณหาเงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร? คุณใช้ชีวิตยังไง?" • ผลลัพธ์ของการ "เปิดบัญชีเทียบกัน" นี้ทำให้ชาวอเมริกันต้องตกตะลึง "ข้อมูลที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับจีนมันผิดไปหมด!" • หลายปีที่ผ่านมา สื่อสหรัฐฯ มักวาดภาพว่าคนอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนจีน และนำเสนอว่า "แม้อเมริกันจะลำบาก แต่ชาวจีนลำบากกว่า!" อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ชาวอเมริกันและชาวจีนเริ่มเทียบข้อมูลกันจริงๆ บนเสี่ยวหงซู ฟองสบู่ข้อมูลผิดๆ ก็แตกกระจาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000004966 • #MGROnline #เสี่ยวหงซู #Xiaohongshu #ติ๊กต็อก #TikTok
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระฆังจิ่งหยางจง

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เกี่ยวกับเกร็ดเล็กน้อยจากเรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก>

    ในซีรีส์นี้มีเหตุการณ์สำคัญที่มีการตีระฆังเรียกให้เหล่าขุนนางมาชุมนุมกัน ครั้งแรกที่แคว้นอู๋ตอนที่ประกาศเรื่องฮ่องเต้ถูกแคว้นอันจับตัวไป เหล่าขุนนางเรียกระฆังนี้ว่า ‘จิ่งหยางจง’ และอีกเหตุการณ์หนึ่งคือที่หรูอี้ให้ตีระฆังเพื่อประกาศโทษของฮ่องเต้แคว้นอันต่อหน้าเหล่าขุนนาง ระฆังนี้มีชื่อว่า ‘อันหยางจง’

    ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติและดินแดนสมมุติ แต่ ‘จิ่งหยางจง’ (景阳钟) มีจริงในประวัติศาสตร์ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลที่กล่าวถึง ‘อันหยางจง’ จึงสันนิษฐานว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับแคว้นอันในเรื่องนี้

    ข้อมูลเกี่ยวกับระฆังจิ่งหยางจงมีไม่มาก เพียงกล่าวไว้ว่ามีที่มาแต่สมัยราชวงศ์ฉีใต้ในรัชสมัยฮ่องเต้ฉีอู่ตี้ (ค.ศ. 440–493) ในตำราประวัติศาสตร์ฉีใต้ ‘หนานฉีซู’ บรรพที่ยี่สิบบันทึกไว้ว่า “เนื่องด้วยในพระราชฐานชั้นในไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากประตูตวนเหมิน จึงทรงให้จัดวางระฆังไว้บนหอจิ่งหยาง ข้าราชสำนักเมื่อได้ยินเสียงระฆังแต่เช้าก็ให้ตื่นขึ้นแต่งตัว... ระฆังดังเมื่อห้ากู่และสามกู่”

    อนึ่ง ประตูตวนเหมินเป็นชื่อประตูพระราชวังประตูบานหลักหน้าพระราชวัง (คือด้านทิศใต้) เป็นชื่อที่ถูกใช้มาหลายยุคสมัยหลายพระราชวังรวมถึงในสมัยราชวงศ์ฉีใต้ และในหลายยุคสมัยมีการจัดวางหอกลองหรือหอระฆังไว้ตีบอกเวลาหน้าประตูพระราชวัง ส่วนหอจิ่งหยางนั้น เป็นหอสูงในเขตพระราชวัง ณ เมืองเจี้ยนคัง (คือนานกิงปัจจุบัน)

    ในยุคสมัยต่อมามีการตั้งวางหอระฆังในพระราชวังเพื่อบอกเวลาเช่นกัน และมีการเรียกขานระฆังนี้กันต่อมาว่า ‘จิ่งหยางจง’ ลักษณะหน้าตาของจิ่งหยางจงนี้เป็นอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐาน ทราบแต่เพียงว่าเป็นระฆังยักษ์ และการบอกเวลาโดยการตีระฆังจิ่งหยางจงนี้ถูกใช้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายรัชสมัย จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงยังคงมีการเอ่ยถึงชื่อ ‘จิ่งหยางจง’ นี้ในหลายบทกวีที่กล่าวถึงเวลารุ่งสางหรือเวลาที่ขุนนางต้องตื่นขึ้นมาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเมื่อได้ยินเสียงระฆังนี้ ซึ่งก็สอดคล้องตามวัตถุประสงค์เดิมที่มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฉีใต้

    ส่วนเวลาที่ตีระฆังนั้น เดิมระบุว่าคือห้ากู่และสามกู่ ซึ่งในสมัยโบราณแบ่งช่วงเวลากลางคืนออกเป็นห้าช่วงเวลาเรียกว่า ‘กู่’ หรือ ‘เกิง’ เวลาห้ากู่ก็คือช่วงเวลาประมาณตีสามถึงตีห้า (ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่ขุนนางต้องตื่นมาเตรียมประชุมท้องพระโรงดังที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว) และเวลาสามกู่คือช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง ซึ่งเป็นการเตือนว่าได้เวลาเข้านอนแล้ว

    ดังที่กล่าวไปข้างต้น ระฆังจิ่งหยางจงมีไว้บอกเวลายามเช้าและกลางคืน แต่ในซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> มีการกล่าวไว้ว่าเมื่อได้ยินเสียงของระฆังนี้ ให้เหล่าขุนนางมารวมตัวกัน Storyฯ ก็หาไม่พบข้อมูลว่านอกเหนือจากเวลาห้ากู่และสามกู่แล้ว ได้เคยปรากฏเหตุการณ์พิเศษที่ต้องมีตีระฆังจิ่งหยางจงนี้เพื่อเรียกชุมนุมเหล่าขุนนางหรือไม่

    นอกเหนือจากหอระฆังในพระราชวังแล้ว ยังมีหอระฆังในเมืองสำหรับบอกเวลาชาวบ้าน และมีหอระฆังตามวัดที่นอกจากจะใช้บอกเวลาแล้ว ยังใช้บอกเวลามีคนตายในละแวกนั้น ทั้งนี้แล้วแต่หลักปฏิบัติของแต่ละวัด

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/642825978
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=262732&remap=gb
    https://www.arsomsiam.com/หน่วยเวลาและนาฬิกาจีน/
    https://baike.baidu.com/item/景阳钟
    https://www.zdic.net/hans/景阳钟

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #จิ่งหยางจง #หอระฆังพระราชวัง #ประชุมท้องพระโรง #ราชวงศ์ฉีใต้
    ระฆังจิ่งหยางจง สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันสั้นๆ เกี่ยวกับเกร็ดเล็กน้อยจากเรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> ในซีรีส์นี้มีเหตุการณ์สำคัญที่มีการตีระฆังเรียกให้เหล่าขุนนางมาชุมนุมกัน ครั้งแรกที่แคว้นอู๋ตอนที่ประกาศเรื่องฮ่องเต้ถูกแคว้นอันจับตัวไป เหล่าขุนนางเรียกระฆังนี้ว่า ‘จิ่งหยางจง’ และอีกเหตุการณ์หนึ่งคือที่หรูอี้ให้ตีระฆังเพื่อประกาศโทษของฮ่องเต้แคว้นอันต่อหน้าเหล่าขุนนาง ระฆังนี้มีชื่อว่า ‘อันหยางจง’ ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวในรัชสมัยสมมุติและดินแดนสมมุติ แต่ ‘จิ่งหยางจง’ (景阳钟) มีจริงในประวัติศาสตร์ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลที่กล่าวถึง ‘อันหยางจง’ จึงสันนิษฐานว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับแคว้นอันในเรื่องนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับระฆังจิ่งหยางจงมีไม่มาก เพียงกล่าวไว้ว่ามีที่มาแต่สมัยราชวงศ์ฉีใต้ในรัชสมัยฮ่องเต้ฉีอู่ตี้ (ค.ศ. 440–493) ในตำราประวัติศาสตร์ฉีใต้ ‘หนานฉีซู’ บรรพที่ยี่สิบบันทึกไว้ว่า “เนื่องด้วยในพระราชฐานชั้นในไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากประตูตวนเหมิน จึงทรงให้จัดวางระฆังไว้บนหอจิ่งหยาง ข้าราชสำนักเมื่อได้ยินเสียงระฆังแต่เช้าก็ให้ตื่นขึ้นแต่งตัว... ระฆังดังเมื่อห้ากู่และสามกู่” อนึ่ง ประตูตวนเหมินเป็นชื่อประตูพระราชวังประตูบานหลักหน้าพระราชวัง (คือด้านทิศใต้) เป็นชื่อที่ถูกใช้มาหลายยุคสมัยหลายพระราชวังรวมถึงในสมัยราชวงศ์ฉีใต้ และในหลายยุคสมัยมีการจัดวางหอกลองหรือหอระฆังไว้ตีบอกเวลาหน้าประตูพระราชวัง ส่วนหอจิ่งหยางนั้น เป็นหอสูงในเขตพระราชวัง ณ เมืองเจี้ยนคัง (คือนานกิงปัจจุบัน) ในยุคสมัยต่อมามีการตั้งวางหอระฆังในพระราชวังเพื่อบอกเวลาเช่นกัน และมีการเรียกขานระฆังนี้กันต่อมาว่า ‘จิ่งหยางจง’ ลักษณะหน้าตาของจิ่งหยางจงนี้เป็นอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐาน ทราบแต่เพียงว่าเป็นระฆังยักษ์ และการบอกเวลาโดยการตีระฆังจิ่งหยางจงนี้ถูกใช้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายรัชสมัย จวบจนสมัยราชวงศ์ชิงยังคงมีการเอ่ยถึงชื่อ ‘จิ่งหยางจง’ นี้ในหลายบทกวีที่กล่าวถึงเวลารุ่งสางหรือเวลาที่ขุนนางต้องตื่นขึ้นมาเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเมื่อได้ยินเสียงระฆังนี้ ซึ่งก็สอดคล้องตามวัตถุประสงค์เดิมที่มีมาแต่สมัยราชวงศ์ฉีใต้ ส่วนเวลาที่ตีระฆังนั้น เดิมระบุว่าคือห้ากู่และสามกู่ ซึ่งในสมัยโบราณแบ่งช่วงเวลากลางคืนออกเป็นห้าช่วงเวลาเรียกว่า ‘กู่’ หรือ ‘เกิง’ เวลาห้ากู่ก็คือช่วงเวลาประมาณตีสามถึงตีห้า (ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่ขุนนางต้องตื่นมาเตรียมประชุมท้องพระโรงดังที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว) และเวลาสามกู่คือช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง ซึ่งเป็นการเตือนว่าได้เวลาเข้านอนแล้ว ดังที่กล่าวไปข้างต้น ระฆังจิ่งหยางจงมีไว้บอกเวลายามเช้าและกลางคืน แต่ในซีรีส์ <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> มีการกล่าวไว้ว่าเมื่อได้ยินเสียงของระฆังนี้ ให้เหล่าขุนนางมารวมตัวกัน Storyฯ ก็หาไม่พบข้อมูลว่านอกเหนือจากเวลาห้ากู่และสามกู่แล้ว ได้เคยปรากฏเหตุการณ์พิเศษที่ต้องมีตีระฆังจิ่งหยางจงนี้เพื่อเรียกชุมนุมเหล่าขุนนางหรือไม่ นอกเหนือจากหอระฆังในพระราชวังแล้ว ยังมีหอระฆังในเมืองสำหรับบอกเวลาชาวบ้าน และมีหอระฆังตามวัดที่นอกจากจะใช้บอกเวลาแล้ว ยังใช้บอกเวลามีคนตายในละแวกนั้น ทั้งนี้แล้วแต่หลักปฏิบัติของแต่ละวัด (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/642825978 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=262732&remap=gb https://www.arsomsiam.com/หน่วยเวลาและนาฬิกาจีน/ https://baike.baidu.com/item/景阳钟 https://www.zdic.net/hans/景阳钟 #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #จิ่งหยางจง #หอระฆังพระราชวัง #ประชุมท้องพระโรง #ราชวงศ์ฉีใต้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระหน่ำกันต่อเลยทีเดียว สำหรับกรณี “แสตมป์” อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ออกมาโพสต์ว่าภรรยาโดนซาแซง "สาวคู่กรณี" ซึ่งเป็นแฟนซาวด์ เอ็นจิเนียร์ ทำงานให้วง “Tilly Birds” คุกคาม ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นเรื่องชู้สาว เมื่อคนที่ชื่อว่า “ป้อง” อ้างว่าเป็นเพื่อนกับแสตมป์ ออกมาแฉว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดนั้นเกิดจากแสตมป์นอกใจภรรยาไปยุ่งกับสาวคู่กรณี ล่าสุดก็ยังเปิดเผยแชตที่คุยกับแสตมป์อีก

    โดยในแชตนั้นแสตมป์มาปรับทุกข์ และเรียก แจม(คู่กรณีสาว) ว่า ผัก ได้พูดคุยในแชตว่า ภรรยาไม่ให้เล่นโซเชียล ยึดมือถือ อยากหนีไปไกลๆ โดนภรรยาคุม และฝากข้อความให้บอกสาวคู่กรณีว่า ติดต่อใครไม่ได้เลย คิดถึงมาก ทรมากมาก ภรรยาขู่จะไปฟ้องศาลหากออกไป สงสารภรรยาไม่อยากสูญเสียตนเองไป แต่ก็ทรมานมากเลย นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการโพสต์ข้อความเล่าว่า อยากจะหย่ากับภรรยา แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000005730

    #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    กระหน่ำกันต่อเลยทีเดียว สำหรับกรณี “แสตมป์” อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ออกมาโพสต์ว่าภรรยาโดนซาแซง "สาวคู่กรณี" ซึ่งเป็นแฟนซาวด์ เอ็นจิเนียร์ ทำงานให้วง “Tilly Birds” คุกคาม ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นเรื่องชู้สาว เมื่อคนที่ชื่อว่า “ป้อง” อ้างว่าเป็นเพื่อนกับแสตมป์ ออกมาแฉว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดนั้นเกิดจากแสตมป์นอกใจภรรยาไปยุ่งกับสาวคู่กรณี ล่าสุดก็ยังเปิดเผยแชตที่คุยกับแสตมป์อีก • โดยในแชตนั้นแสตมป์มาปรับทุกข์ และเรียก แจม(คู่กรณีสาว) ว่า ผัก ได้พูดคุยในแชตว่า ภรรยาไม่ให้เล่นโซเชียล ยึดมือถือ อยากหนีไปไกลๆ โดนภรรยาคุม และฝากข้อความให้บอกสาวคู่กรณีว่า ติดต่อใครไม่ได้เลย คิดถึงมาก ทรมากมาก ภรรยาขู่จะไปฟ้องศาลหากออกไป สงสารภรรยาไม่อยากสูญเสียตนเองไป แต่ก็ทรมานมากเลย นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการโพสต์ข้อความเล่าว่า อยากจะหย่ากับภรรยา แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000005730 • #MGROnline #แสตมป์อภิวัชร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์

    สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น


    ---

    1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ

    ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล

    ผลลัพธ์:

    รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล

    น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน

    พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์




    ---

    2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง

    ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน

    ผลลัพธ์:

    เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน

    แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้

    ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ




    ---

    3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง

    ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส

    ผลลัพธ์:

    เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ

    ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน

    สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน




    ---

    4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด

    สายใยสว่าง (กุศล):

    พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน


    สายใยมืด (อกุศล):

    พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ




    ---

    บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ

    การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน

    หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ

    หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย


    เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.

    การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์ สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น --- 1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล ผลลัพธ์: รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ --- 2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน ผลลัพธ์: เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้ ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ --- 3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส ผลลัพธ์: เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน --- 4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด สายใยสว่าง (กุศล): พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน สายใยมืด (อกุศล): พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ --- บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต

    1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า

    การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน

    แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น

    ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน


    2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์

    ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม

    หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม



    ---

    การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร

    3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย

    “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง

    “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น

    “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น


    4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร?

    ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ

    ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ



    ---

    5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ

    กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส

    วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี

    การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้


    6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต

    ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี

    ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา

    การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.


    ฐานะทางการเงินและบารมีในชีวิต 1. ทานและศีล: กำลังหนุนจากกรรมเก่า การทำทานและรักษาศีลในอดีตชาติ เป็น “หัวรถจักร” ที่ส่งผลต่อพื้นฐานของชีวิตในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบัน ทานที่ทำใหม่มักมาในรูปแบบ “กำลังหนุน” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทันตาเห็น ดังนั้น การทำบุญในชาตินี้คือการสะสมบารมีเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันต้องพึ่งพากรรมดีในอดีตและความพยายามในปัจจุบัน 2. ความฉลาดในปัจจุบัน: ตัวพลิกสถานการณ์ ผลของกรรมเก่าให้ “ความน่าจะเป็น” หรือโอกาส แต่การใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาและความพยายาม หากกรรมเก่าไม่สนับสนุน ต้องเริ่มสร้างหัวรถจักรใหม่ด้วยการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะและมุมมองที่เหมาะสม --- การสร้างบารมีของเจ้านาย: ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากความเพียร 3. คุณสมบัติของผู้ที่เตรียมตัวเป็นเจ้านาย “เต็มใจ” ทำงานหนัก: ไม่มองงานเป็นภาระ แต่มองเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพิสูจน์ตนเอง “มีหัวคิด” ก้าวหน้า: คิดหาทางปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น “ไม่ยอมอยู่ที่เดิม”: มีแรงขับในตัวเองที่จะพัฒนาไปสู่บทบาทที่สูงขึ้น 4. ความเป็นเจ้านายเกิดจากอะไร? ความเป็นเจ้านายไม่ได้มาจากการบังคับบัญชา แต่เกิดจากความสามารถในการนำและการเสียสละ ผู้ที่เคยเป็นลูกจ้างที่ดี ย่อมเข้าใจความลำบากของลูกจ้าง และใช้ความเข้าใจนี้สร้างบารมีในการเป็นผู้นำ --- 5. การใช้ชีวิตในปัจจุบัน: กุญแจสำคัญในการสร้างฐานะ กรรมเก่า: เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการกำหนดโอกาส วิธีใช้ชีวิตในปัจจุบัน: เป็นตัวกำหนดว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไรให้เกิดผลดี การขยันอดทน มีวินัย ใช้ทรัพยากรและโอกาสที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ 6. สรุป: กรรมใหม่สร้างอนาคต ถ้าพื้นฐานชีวิตปัจจุบันยังไม่ดีพอ ให้เริ่มสร้างบารมีใหม่ด้วยความตั้งใจดี ไม่มีใครถูกกำหนดให้ติดอยู่ในฐานะเดิม หากลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยความเพียรและปัญญา การเปลี่ยนฐานะและบารมี เริ่มต้นจากความคิดและการกระทำในวันนี้เอง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย TikTok ที่ให้บริการผู้ใช้ชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านบัญชี อาจต้องยุติการดำเนินงานในสหรัฐตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. นี้ ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งห้ามของรัฐบาลกลางมีผลบังคับใช้

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมกฎหมายของ TikTok ได้ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาเกี่ยวกับกฎหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามเมื่อเดือนเมษายนนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

    กฎหมายของไบเดนกำหนดให้ TikTok ต้องถอนการลงทุนจากบริษัทแม่ในจีนอย่าง ByteDance และขายให้กับนิติบุคคลในสหรัฐเท่านั้น และหากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ TikTok จะต้องยุติให้บริการในวันที่ 19 มกราคม หนึ่งวันก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง

    หากการตัดสินของศาลเป็นผลดีต่อ TikTok จะทำให้แพลตฟอร์มนี้สามารถกลับมาให้บริการชาวอเมริกันต่อไปได้

    มีการคาดเดากันว่า การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของ TikTok ดีขึ้น เนื่องจากคำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่จะใช้จุดยืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกับปักกิ่งนั่นเอง

    ขณะเดียวกัน ในบันทึกภายในขององค์กร มีการแจ้งพนักงานกว่า 7,000 คนในสหรัฐว่าความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาคือ "สิ่งสำคัญที่สุด" และจะยังคงจ่ายเงินให้พวกเขาต่อไป

    "เราขอย้ำว่า ความเป็นอยู่ของพนักงานคือสิ่งสำคัญที่สุด การจ้างงาน เงินเดือน และสวัสดิการของคุณยังมีความปลอดภัย และสำนักงานของเราจะยังคงเปิดทำการ แม้ว่าสถานการณ์นี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 19 มกราคมก็ตาม" บางส่วนของบันทึกที่ส่งถึงพนักงาน TikTok

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ TikTok ต้องปิดตัวลงทันที เมื่อมีผลบังคับใช้วันที่ 19 มกราคมนี้ เพียงแต่ห้ามการติดตั้ง TikTok ใหม่ และถอดแอปออกจาก App Store ของ Apple หรือ Google เท่านั้น

    ผู้ใช้ปัจจุบันยังคงใช้แอปได้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่การถอดออกจาก App Store จะทำให้แอปไม่ได้รับการอัปเดตเกี่ยวกับจุดบกพร่องหรือข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยอีกต่อไป

    TikTok ยังระบุถึงการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขาย TikTok ให้กับ Elon Musk ว่าเป็น "เรื่องแต่งล้วนๆ"

    นอกจากนี้ ความโกรธแค้นของชาวอเมริกันที่มีต่อรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ ผู้ใช้ TikTok หันไปใช้แอปจีนอื่นๆ และขณะนี้มากกว่าครึ่งล้านคนหันมาใช้แอป RedNote ของจีน

    บน RedNote ซึ่งในจีนเรียกว่า Xiaohongshu มีผู้ใช้ชาวอเมริกันและจีนเข้าร่วมห้องที่ชื่อว่า "ผู้ลี้ภัย TikTok" (TikTok Refugees) เฉพาะห้องนี้ห้องเดียวมีมากกว่า 50,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

    Lemon8 แอปโซเชียลมีเดียอีกแอปหนึ่งที่ ByteDance เป็นเจ้าของ ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในรายชื่อ App Store ของ Apple เมื่อวันอังคาร โดยพบการเพิ่มขึ้นที่คล้ายคลึงกันในเดือนที่แล้ว โดยมียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 190% ในเดือนธันวาคม เป็นประมาณ 3.4 ล้านครั้ง
    แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย TikTok ที่ให้บริการผู้ใช้ชาวอเมริกันมากกว่า 170 ล้านบัญชี อาจต้องยุติการดำเนินงานในสหรัฐตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. นี้ ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งห้ามของรัฐบาลกลางมีผลบังคับใช้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมกฎหมายของ TikTok ได้ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาเกี่ยวกับกฎหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามเมื่อเดือนเมษายนนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ กฎหมายของไบเดนกำหนดให้ TikTok ต้องถอนการลงทุนจากบริษัทแม่ในจีนอย่าง ByteDance และขายให้กับนิติบุคคลในสหรัฐเท่านั้น และหากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ TikTok จะต้องยุติให้บริการในวันที่ 19 มกราคม หนึ่งวันก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง หากการตัดสินของศาลเป็นผลดีต่อ TikTok จะทำให้แพลตฟอร์มนี้สามารถกลับมาให้บริการชาวอเมริกันต่อไปได้ มีการคาดเดากันว่า การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของ TikTok ดีขึ้น เนื่องจากคำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่จะใช้จุดยืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกับปักกิ่งนั่นเอง ขณะเดียวกัน ในบันทึกภายในขององค์กร มีการแจ้งพนักงานกว่า 7,000 คนในสหรัฐว่าความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาคือ "สิ่งสำคัญที่สุด" และจะยังคงจ่ายเงินให้พวกเขาต่อไป "เราขอย้ำว่า ความเป็นอยู่ของพนักงานคือสิ่งสำคัญที่สุด การจ้างงาน เงินเดือน และสวัสดิการของคุณยังมีความปลอดภัย และสำนักงานของเราจะยังคงเปิดทำการ แม้ว่าสถานการณ์นี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 19 มกราคมก็ตาม" บางส่วนของบันทึกที่ส่งถึงพนักงาน TikTok อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ TikTok ต้องปิดตัวลงทันที เมื่อมีผลบังคับใช้วันที่ 19 มกราคมนี้ เพียงแต่ห้ามการติดตั้ง TikTok ใหม่ และถอดแอปออกจาก App Store ของ Apple หรือ Google เท่านั้น ผู้ใช้ปัจจุบันยังคงใช้แอปได้ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่การถอดออกจาก App Store จะทำให้แอปไม่ได้รับการอัปเดตเกี่ยวกับจุดบกพร่องหรือข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยอีกต่อไป TikTok ยังระบุถึงการรายงานข่าวเกี่ยวกับการขาย TikTok ให้กับ Elon Musk ว่าเป็น "เรื่องแต่งล้วนๆ" นอกจากนี้ ความโกรธแค้นของชาวอเมริกันที่มีต่อรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ ผู้ใช้ TikTok หันไปใช้แอปจีนอื่นๆ และขณะนี้มากกว่าครึ่งล้านคนหันมาใช้แอป RedNote ของจีน บน RedNote ซึ่งในจีนเรียกว่า Xiaohongshu มีผู้ใช้ชาวอเมริกันและจีนเข้าร่วมห้องที่ชื่อว่า "ผู้ลี้ภัย TikTok" (TikTok Refugees) เฉพาะห้องนี้ห้องเดียวมีมากกว่า 50,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา Lemon8 แอปโซเชียลมีเดียอีกแอปหนึ่งที่ ByteDance เป็นเจ้าของ ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในรายชื่อ App Store ของ Apple เมื่อวันอังคาร โดยพบการเพิ่มขึ้นที่คล้ายคลึงกันในเดือนที่แล้ว โดยมียอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 190% ในเดือนธันวาคม เป็นประมาณ 3.4 ล้านครั้ง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 638 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3)

    มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ...
    Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine
    กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ
    ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้
    นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!!
    ...!! ย้ำอีกครั้ง...!!
    จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน
    ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้
    จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน
    จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!!
    ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อนนำไปสู่โรคที่คาดไม่ถึงได้อย่างไร (สิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (3) มาใช้จินตนาการกันต่อ...เมื่อคุณไม่สามารถย่อยโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการตัวต่อไปที่จะสร้างปัญหาให้กับชีวิตของคุณและส่งผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ก็คือ... Tyrosineหรือ 4-hydroxyphenylalanine กรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายต้องมีเพื่อต่อต้านฮอร์โมนแห่งความเครียด เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท มีหน้าที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทกับสมอง ร่างกายจะได้รับฟีนิลอะลานีนจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ เนื้อ ถั่งลิสง อะโวคาโดเป็นต้น หลังจากรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ร่างกายจะนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) -> โดปา (Dopa) -> โดปามีน (Dopamine) -> นอร์อะดรีนาลิน (Noradrenaline) -> อะดรีนาลิน (adrenaline) ตามลำดับ ฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออาจเรียกว่าเอพิเนฟรีน (Epinephrine) ช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ช่วยสร้างเสริมความตื่นตัวและความกระฉับกระเฉง เพิ่มความจำ ช่วยให้รู้สึกมีความสุข การรับรู้ ความจำและการเรียนรู้ นอกจากร่างกายจะใช้ไทโรซีนเพื่อการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดแล้วพวกมันยังถูกใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนอีกด้วย..นั่นอาจหมายถึงผู้ที่มีปัญหาของต่อมไทรอยด์..คุณอาจมีปัญหาในการย่อยโปรตีนด้วย...ใช่หรือไม่..!! ...!! ย้ำอีกครั้ง...!! จะเห็นได้ว่าทุกเรื่องราวมีลำดับ..เป็นขั้นเป็นตอน ฟีนิลอะลานีนต้องถูกเปลี่ยนเป็นไทโรซีนก่อนจึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากไม่มีการเปลี่ยนเป็นไทโรซีน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขาดเอนไซม์หรือเพราะร่างกายส่วนอื่นต้องการใช้ฟีนิลอะลานีนก็ตาม จะทำให้สมองสร้างสารที่ชื่อว่า นอร์เอพิเนฟวินน้อยลงซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า..ไทโรซีนส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมองและต่อมไทรอยด์รวมถึงยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า ช่วยคลายเครียด ช่วยฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับทางเพศและการสร้างของนอร์เอพิเนฟวิน จากจุดเริ่มต้นที่ใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันเริ่มจะไม่เล็กอย่างที่คิดแล้วใช่ไหม..!! ดังนั้นถ้าคุณมีปัญหาที่ถูกวินิจฉัยว่าเกิดจากสมองของคุณ...ให้พิจารณาการย่อยของคุณเป็นลำดับแรก....ก่อนใช้ยาที่รักษาด้านสมองของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี อ้างอิง : Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • "การลงทุนที่คุ้มค่าของทรัมป์"

    ไม่ว่าอเมริกาต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ในการได้เกาะกรีนแลนด์ที่มีประชากรเพียง 57,000 คนมาครอบครอง แต่คงไม่มากไปกว่างบประมาณด้านกองทัพที่อเมริกาต้องจ่ายอยู่ทุกวันนี้

    แลกกับจุดยุทธศาสตร์ ทรัพยากร และเส้นทางเดินเรือในอาร์กติกที่สหรัฐฯ จะได้รับแล้ว ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก

    นอกจากนี้ จำนวนเงินที่ใส่ลงไป คนที่รับเงินก็คือชาวกรีนแลนด์ที่อาจได้สัญชาติอเมริกันต่ออีกด้วย และเงินเหล่านี้จะยังอยู่ในวงจรเศรษฐกิจของอเมริกาต่อไป
    "การลงทุนที่คุ้มค่าของทรัมป์" ไม่ว่าอเมริกาต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ในการได้เกาะกรีนแลนด์ที่มีประชากรเพียง 57,000 คนมาครอบครอง แต่คงไม่มากไปกว่างบประมาณด้านกองทัพที่อเมริกาต้องจ่ายอยู่ทุกวันนี้ แลกกับจุดยุทธศาสตร์ ทรัพยากร และเส้นทางเดินเรือในอาร์กติกที่สหรัฐฯ จะได้รับแล้ว ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก นอกจากนี้ จำนวนเงินที่ใส่ลงไป คนที่รับเงินก็คือชาวกรีนแลนด์ที่อาจได้สัญชาติอเมริกันต่ออีกด้วย และเงินเหล่านี้จะยังอยู่ในวงจรเศรษฐกิจของอเมริกาต่อไป
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นอีกอีพีที่หลายคนชื่นชอบ กับรายการอปป้าพาฟิน ทางช่องยูทิวบ์ mawin finferrr ของอินฟูลฯนักชิม “มาวิน ทวีผล” ที่ครั้งนี้ได้แขกรับเชิญพิเศษ “แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล”มาร่วมตามรอย ขอกินแบบมาวินทุกอย่าง โดยครั้งนี้ มาวินพาแบมแบม มาชิม 5 ร้านเด็ด จ. เชียงใหม่

    ร้านแรก เป็น ข้าวซอย และ น้ำเงี้ยว เป็นร้านที่แบมแบมยกให้เป็นนัมเบอร์วันของวันนี้ ระหว่างกินแบมแบมได้ขอให้มาวินสอนการซู้ดเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมาวิน ก็ได้เผยเคล็ดลับการซู้ดเส้นไว้ว่า…

    “ให้ทำเหมือนเราดูดน้ำจากหลอด แล้วอมไว้ในกระพุ้งแก้ม ยังไม่กลืน ถ้าลงคอเลยจะสำลัก ซู้ดเส้นก็เหมือนกัน ต้องอมไว้ก่อนค่อยกลืน ถ้าเราเก็บลมดีๆ ห่อปากดีๆ มันจะซู้ดได้ยาวมาก” ทำเอาแบมแบมซู้ดเส้นจนน้ำซุปข้าวซอยเข้ารูจมูก

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000003819

    #MGROnline #mawinfinferrr #มาวินทวีผล #แบมแบมกันต์พิมุกต์ #แบมแบม #BamBamxMawinfinferrr
    #AmazingThailand #TAT
    #BamBam #뱀뱀 @BamBam1A
    เป็นอีกอีพีที่หลายคนชื่นชอบ กับรายการอปป้าพาฟิน ทางช่องยูทิวบ์ mawin finferrr ของอินฟูลฯนักชิม “มาวิน ทวีผล” ที่ครั้งนี้ได้แขกรับเชิญพิเศษ “แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล”มาร่วมตามรอย ขอกินแบบมาวินทุกอย่าง โดยครั้งนี้ มาวินพาแบมแบม มาชิม 5 ร้านเด็ด จ. เชียงใหม่ • ร้านแรก เป็น ข้าวซอย และ น้ำเงี้ยว เป็นร้านที่แบมแบมยกให้เป็นนัมเบอร์วันของวันนี้ ระหว่างกินแบมแบมได้ขอให้มาวินสอนการซู้ดเส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งมาวิน ก็ได้เผยเคล็ดลับการซู้ดเส้นไว้ว่า… • “ให้ทำเหมือนเราดูดน้ำจากหลอด แล้วอมไว้ในกระพุ้งแก้ม ยังไม่กลืน ถ้าลงคอเลยจะสำลัก ซู้ดเส้นก็เหมือนกัน ต้องอมไว้ก่อนค่อยกลืน ถ้าเราเก็บลมดีๆ ห่อปากดีๆ มันจะซู้ดได้ยาวมาก” ทำเอาแบมแบมซู้ดเส้นจนน้ำซุปข้าวซอยเข้ารูจมูก • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000003819 • #MGROnline #mawinfinferrr #มาวินทวีผล #แบมแบมกันต์พิมุกต์ #แบมแบม #BamBamxMawinfinferrr #AmazingThailand #TAT #BamBam #뱀뱀 @BamBam1A
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts