• “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR”

    Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน

    เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ

    XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ

    Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG)
    MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง)
    ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network
    รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต
    XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake
    Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50%
    Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง
    Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI
    XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026
    Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ
    Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก
    XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล

    https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    🚀 “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR” Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ➡️ MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง) ➡️ ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต ➡️ XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake ➡️ Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% ➡️ Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง ➡️ Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI ➡️ XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026 ➡️ Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ ➡️ Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก ➡️ XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า”

    AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล

    MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD)

    ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC
    ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ
    ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15%
    Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s
    Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า
    OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026
    ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น
    การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก
    GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป
    HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC
    FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่
    การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว

    คำเตือนและข้อจำกัด
    MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน
    การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450
    การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline
    การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ
    การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    ⚙️ “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า” AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD) ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ ➡️ ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15% ➡️ Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s ➡️ Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า ➡️ OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น ➡️ การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก ➡️ GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป ➡️ HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC ➡️ FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่ ➡️ การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน ⛔ การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450 ⛔ การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline ⛔ การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ ⛔ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • “Pixel 10 Pro Fold — พับได้ ทนได้ แบตอึด แต่กล้องยังไม่สุด”

    Google เปิดตัว Pixel 10 Pro Fold สมาร์ตโฟนพับได้รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมความทนทานระดับ IP68 และแบตเตอรี่สุดอึด พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง Pixelsnap ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์เสริมแบบแม่เหล็กคล้าย MagSafe ของ Apple แม้จะยังมีข้อจำกัดเรื่องกล้องและความหนา แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Google ในตลาดมือถือพับได้

    Pixel 10 Pro Fold ใช้ชิป Tensor G5 แบบ 3nm ที่เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าความเร็วแรง พร้อม RAM 16GB และตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 1TB หน้าจอด้านนอกขนาด 6.4 นิ้ว และด้านในขนาด 8 นิ้ว รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz และความสว่างสูงถึง 3000 nits

    จุดเด่นคือความทนทาน — Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับได้เครื่องแรกที่ได้มาตรฐาน IP68 กันน้ำกันฝุ่น และใช้บานพับแบบใหม่ที่ไม่มีเฟือง ทำให้เปิด–ปิดได้ลื่นไหลและลดความเปราะบางของตัวเครื่อง

    ฟีเจอร์ Pixelsnap เป็นแม่เหล็กฝังในตัวเครื่องที่รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น แหวนจับ เคส และแท่นชาร์จไร้สายแบบ Qi2 ซึ่งช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการชาร์จหรือถือเครื่องนาน ๆ

    ด้านกล้อง Pixel 10 Pro Fold มาพร้อมกล้องหลัก 48MP, เทเลโฟโต้ 10.8MP (ซูม 5x) และอัลตร้าไวด์ 10.5MP แม้จะถ่ายภาพกลางวันได้ดี แต่เมื่อแสงน้อยหรือซูมเกิน 5x ภาพจะเริ่มสูญเสียรายละเอียดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโหมดวิดีโอที่ยังมีปัญหาเรื่องความคมชัดและการประมวลผลที่ล่าช้า

    แบตเตอรี่ขนาด 5015mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 15W ผ่าน Pixelsnap ในการใช้งานจริงสามารถใช้งานหนักได้ตลอดวันโดยยังเหลือแบตอยู่ ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของรุ่นนี้

    Pixel 10 Pro Fold วางจำหน่ายแล้วในราคา $1,799 โดยมีสีให้เลือกคือ Jade และ Moonstone พร้อมรับการอัปเดตซอฟต์แวร์นานถึง 7 ปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับได้รุ่นใหม่จาก Google
    ใช้ชิป Tensor G5 แบบ 3nm เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงาน
    RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB
    หน้าจอด้านนอก 6.4 นิ้ว ด้านใน 8 นิ้ว รีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz
    ความสว่างหน้าจอสูงสุด 3000 nits
    ได้มาตรฐาน IP68 กันน้ำกันฝุ่น
    ใช้บานพับแบบไม่มีเฟือง เพิ่มความทนทาน
    Pixelsnap รองรับอุปกรณ์เสริมแม่เหล็ก เช่น เคสและแท่นชาร์จ
    กล้องหลัก 48MP, เทเลโฟโต้ 10.8MP, อัลตร้าไวด์ 10.5MP
    แบตเตอรี่ 5015mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W และไร้สาย 15W
    วางจำหน่ายแล้วในราคา $1,799 พร้อมอัปเดตซอฟต์แวร์ 7 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pixelsnap ใช้มาตรฐาน Qi2 เหมือน MagSafe ของ Apple
    Tensor G5 มีประสิทธิภาพด้าน AI สูงขึ้น 2.6 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
    Pixel 10 Pro Fold เป็นรุ่นเดียวในกลุ่ม Pixel 10 ที่มีหน้าจอพับได้
    Galaxy Z Fold 7 และ Honor Magic V5 เป็นคู่แข่งหลักในตลาดพับได้
    Pixel 10 Pro Fold มีจุดเด่นเรื่องความทนทานมากกว่าความบาง

    https://www.slashgear.com/1990224/google-pixel-10-pro-fold-review/
    📱 “Pixel 10 Pro Fold — พับได้ ทนได้ แบตอึด แต่กล้องยังไม่สุด” Google เปิดตัว Pixel 10 Pro Fold สมาร์ตโฟนพับได้รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมความทนทานระดับ IP68 และแบตเตอรี่สุดอึด พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง Pixelsnap ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์เสริมแบบแม่เหล็กคล้าย MagSafe ของ Apple แม้จะยังมีข้อจำกัดเรื่องกล้องและความหนา แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Google ในตลาดมือถือพับได้ Pixel 10 Pro Fold ใช้ชิป Tensor G5 แบบ 3nm ที่เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าความเร็วแรง พร้อม RAM 16GB และตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 1TB หน้าจอด้านนอกขนาด 6.4 นิ้ว และด้านในขนาด 8 นิ้ว รองรับรีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz และความสว่างสูงถึง 3000 nits จุดเด่นคือความทนทาน — Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับได้เครื่องแรกที่ได้มาตรฐาน IP68 กันน้ำกันฝุ่น และใช้บานพับแบบใหม่ที่ไม่มีเฟือง ทำให้เปิด–ปิดได้ลื่นไหลและลดความเปราะบางของตัวเครื่อง ฟีเจอร์ Pixelsnap เป็นแม่เหล็กฝังในตัวเครื่องที่รองรับอุปกรณ์เสริม เช่น แหวนจับ เคส และแท่นชาร์จไร้สายแบบ Qi2 ซึ่งช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้นมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการชาร์จหรือถือเครื่องนาน ๆ ด้านกล้อง Pixel 10 Pro Fold มาพร้อมกล้องหลัก 48MP, เทเลโฟโต้ 10.8MP (ซูม 5x) และอัลตร้าไวด์ 10.5MP แม้จะถ่ายภาพกลางวันได้ดี แต่เมื่อแสงน้อยหรือซูมเกิน 5x ภาพจะเริ่มสูญเสียรายละเอียดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโหมดวิดีโอที่ยังมีปัญหาเรื่องความคมชัดและการประมวลผลที่ล่าช้า แบตเตอรี่ขนาด 5015mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W และชาร์จไร้สาย 15W ผ่าน Pixelsnap ในการใช้งานจริงสามารถใช้งานหนักได้ตลอดวันโดยยังเหลือแบตอยู่ ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของรุ่นนี้ Pixel 10 Pro Fold วางจำหน่ายแล้วในราคา $1,799 โดยมีสีให้เลือกคือ Jade และ Moonstone พร้อมรับการอัปเดตซอฟต์แวร์นานถึง 7 ปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Pixel 10 Pro Fold เป็นมือถือพับได้รุ่นใหม่จาก Google ➡️ ใช้ชิป Tensor G5 แบบ 3nm เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงาน ➡️ RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB ➡️ หน้าจอด้านนอก 6.4 นิ้ว ด้านใน 8 นิ้ว รีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz ➡️ ความสว่างหน้าจอสูงสุด 3000 nits ➡️ ได้มาตรฐาน IP68 กันน้ำกันฝุ่น ➡️ ใช้บานพับแบบไม่มีเฟือง เพิ่มความทนทาน ➡️ Pixelsnap รองรับอุปกรณ์เสริมแม่เหล็ก เช่น เคสและแท่นชาร์จ ➡️ กล้องหลัก 48MP, เทเลโฟโต้ 10.8MP, อัลตร้าไวด์ 10.5MP ➡️ แบตเตอรี่ 5015mAh รองรับชาร์จเร็ว 30W และไร้สาย 15W ➡️ วางจำหน่ายแล้วในราคา $1,799 พร้อมอัปเดตซอฟต์แวร์ 7 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pixelsnap ใช้มาตรฐาน Qi2 เหมือน MagSafe ของ Apple ➡️ Tensor G5 มีประสิทธิภาพด้าน AI สูงขึ้น 2.6 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ➡️ Pixel 10 Pro Fold เป็นรุ่นเดียวในกลุ่ม Pixel 10 ที่มีหน้าจอพับได้ ➡️ Galaxy Z Fold 7 และ Honor Magic V5 เป็นคู่แข่งหลักในตลาดพับได้ ➡️ Pixel 10 Pro Fold มีจุดเด่นเรื่องความทนทานมากกว่าความบาง https://www.slashgear.com/1990224/google-pixel-10-pro-fold-review/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Pixel 10 Pro Fold Review: The Features You Can't See Give It Its Edge - SlashGear
    The Google Pixel 10 Pro Fold is a game of gives and takes. Most of the gives are hidden, and the takes may surprise you.
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : September 2025

    acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc.

    From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties.

    adamant
    adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc.

    From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors.

    aerial
    adjective: existing, living, growing, or operating in the air

    From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure.

    autonomous
    adjective: existing as an independent entity

    From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round.

    bioluminescent
    adjective: pertaining to the production of light by living organisms

    From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn.

    bodega
    noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment

    From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars.

    contretemps
    noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance

    From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!”

    decorum
    noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc.

    From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy.

    driftwood
    noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore

    From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs.

    eavesdrop
    verb: to listen secretly to a private conversation

    From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed.

    emulate
    verb: to imitate with effort to equal or surpass

    From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again.

    estuary
    noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide

    From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it.

    Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary.

    gentrification
    noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses

    From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents.

    hedonism
    noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good

    From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.”

    kayak
    verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this

    From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle.

    larceny
    noun: the wrongful taking of someone’s property or goods

    From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour.

    linchpin
    noun: something that holds the various elements of a complicated structure together

    From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate.

    matcha
    noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it

    From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand.

    meteorite
    noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space

    From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space.

    monastery
    noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows

    From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude.

    nuptials
    noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one

    From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility.

    offering
    noun: something presented to a deity as a symbol of devotion

    From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings.

    parody
    noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art

    From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.”

    perennial
    adjective: arising repeatedly or always existing

    From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021.

    philanthropist
    noun: someone who makes charitable donations

    From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically.

    plunder
    verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud

    From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition.

    risotto
    noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients

    From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops.

    skittish
    adjective: easily frightened or extremely cautious

    From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more.

    synthetic
    adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin

    From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027.

    tandem
    adverb: one following or behind the other

    From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : September 2025 acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc. From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties. adamant adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc. From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors. aerial adjective: existing, living, growing, or operating in the air From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure. autonomous adjective: existing as an independent entity From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round. bioluminescent adjective: pertaining to the production of light by living organisms From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn. bodega noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars. contretemps noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!” decorum noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc. From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy. driftwood noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs. eavesdrop verb: to listen secretly to a private conversation From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed. emulate verb: to imitate with effort to equal or surpass From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again. estuary noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it. Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary. gentrification noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents. hedonism noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.” kayak verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle. larceny noun: the wrongful taking of someone’s property or goods From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour. linchpin noun: something that holds the various elements of a complicated structure together From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate. matcha noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand. meteorite noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space. monastery noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude. nuptials noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility. offering noun: something presented to a deity as a symbol of devotion From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings. parody noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.” perennial adjective: arising repeatedly or always existing From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021. philanthropist noun: someone who makes charitable donations From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically. plunder verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition. risotto noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops. skittish adjective: easily frightened or extremely cautious From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more. synthetic adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027. tandem adverb: one following or behind the other From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 527 Views 0 Reviews
  • “AMD Fluid Motion Frames 3 โผล่ในไดรเวอร์ใหม่ — เตรียมใช้ AI จาก FSR 4 ยกระดับการสร้างเฟรมแบบไดรเวอร์”

    AMD กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Fluid Motion Frames รุ่นที่ 3 (AFMF 3) ซึ่งถูกค้นพบในไดรเวอร์เวอร์ชันพรีวิวของ Adrenalin 25.20 โดยผู้ใช้งานในฟอรัม Guru3D ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกมจาก AMD GPU Profile Manager แม้ในหน้าควบคุมของไดรเวอร์จะยังไม่แสดงฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ

    AFMF คือเทคโนโลยีการสร้างเฟรมที่ทำงานในระดับไดรเวอร์ โดยออกแบบมาเพื่อเพิ่มเฟรมเรตในเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation โดยตรง ซึ่งในเวอร์ชันใหม่ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 ที่มีคุณภาพสูงกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าอย่าง AFMF 2.1 ที่ยังใช้การปรับแต่งแบบเก่า

    ไดรเวอร์ใหม่นี้ยังมาพร้อมการอัปเดตด้าน AI จำนวนมาก เช่น รองรับ Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview เพื่อเสริมการทำงานของ LLM บน GPU ตระกูล RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11

    แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ 25.20 หรือเวอร์ชันถัดไป แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่รวมการสร้างเฟรมด้วย ML และการเรนเดอร์ ray tracing สำหรับสถาปัตยกรรม RDNA 4

    อย่างไรก็ตาม FSR 4 และ AFMF 3 อาจรองรับเฉพาะ GPU รุ่น RX 9000 เท่านั้น เนื่องจากโมเดล ML ที่ใช้ต้องการความสามารถเฉพาะของ RDNA 4 แม้จะมีหลักฐานว่ามีการปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้ แต่ AMD ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AFMF 3 ถูกค้นพบในไดรเวอร์พรีวิว Adrenalin 25.20 ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกม
    AFMF เป็นเทคโนโลยีสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์สำหรับเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation
    AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 เพื่อเพิ่มคุณภาพการสร้างเฟรม
    ไดรเวอร์ใหม่มีการอัปเดตด้าน AI เช่น Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview
    รองรับ GPU RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11
    FSR Redstone จะรวมการสร้างเฟรมด้วย ML และ ray tracing สำหรับ RDNA 4
    มีความเป็นไปได้ว่า AFMF 3 จะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ในไดรเวอร์เวอร์ชันถัดไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AFMF 2.1 ใช้ AI-optimized enhancements แต่ยังด้อยกว่าคุณภาพของ FSR 4
    Nvidia เปิดตัว Smooth Motion บน RTX 40 series กดดันให้ AMD พัฒนา AFMF
    FSR 4 ถูกปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้โดยชุมชน modder แต่ยังไม่มีการประกาศจาก AMD
    DLSS 4 ของ Nvidia ยังเหนือกว่า FSR 4 ในด้านคุณภาพภาพและการสร้างเฟรม
    AMD HYPR-RX เป็นระบบเปิดใช้งานฟีเจอร์รวม เช่น AFMF, Radeon Chill และอื่น ๆ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/amd-fluid-motion-frames-3-spotted-in-the-upcoming-amd-adrenalin-25-20-driver-branch-could-lean-on-ai-model-used-in-fsr-4
    🖥️ “AMD Fluid Motion Frames 3 โผล่ในไดรเวอร์ใหม่ — เตรียมใช้ AI จาก FSR 4 ยกระดับการสร้างเฟรมแบบไดรเวอร์” AMD กำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยี Fluid Motion Frames รุ่นที่ 3 (AFMF 3) ซึ่งถูกค้นพบในไดรเวอร์เวอร์ชันพรีวิวของ Adrenalin 25.20 โดยผู้ใช้งานในฟอรัม Guru3D ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกมจาก AMD GPU Profile Manager แม้ในหน้าควบคุมของไดรเวอร์จะยังไม่แสดงฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการ AFMF คือเทคโนโลยีการสร้างเฟรมที่ทำงานในระดับไดรเวอร์ โดยออกแบบมาเพื่อเพิ่มเฟรมเรตในเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation โดยตรง ซึ่งในเวอร์ชันใหม่ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 ที่มีคุณภาพสูงกว่าเวอร์ชันก่อนหน้าอย่าง AFMF 2.1 ที่ยังใช้การปรับแต่งแบบเก่า ไดรเวอร์ใหม่นี้ยังมาพร้อมการอัปเดตด้าน AI จำนวนมาก เช่น รองรับ Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview เพื่อเสริมการทำงานของ LLM บน GPU ตระกูล RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11 แม้ยังไม่มีการยืนยันว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ 25.20 หรือเวอร์ชันถัดไป แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่รวมการสร้างเฟรมด้วย ML และการเรนเดอร์ ray tracing สำหรับสถาปัตยกรรม RDNA 4 อย่างไรก็ตาม FSR 4 และ AFMF 3 อาจรองรับเฉพาะ GPU รุ่น RX 9000 เท่านั้น เนื่องจากโมเดล ML ที่ใช้ต้องการความสามารถเฉพาะของ RDNA 4 แม้จะมีหลักฐานว่ามีการปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้ แต่ AMD ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AFMF 3 ถูกค้นพบในไดรเวอร์พรีวิว Adrenalin 25.20 ผ่านการส่งออกโปรไฟล์เกม ➡️ AFMF เป็นเทคโนโลยีสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์สำหรับเกมที่ไม่รองรับ FSR frame generation ➡️ AFMF 3 คาดว่าจะใช้โมเดล AI เดียวกับ FSR 4 เพื่อเพิ่มคุณภาพการสร้างเฟรม ➡️ ไดรเวอร์ใหม่มีการอัปเดตด้าน AI เช่น Python 3.12 และ PyTorch บน Windows Preview ➡️ รองรับ GPU RX 9000, RX 7000 และ Ryzen AI 9/Max APU บน Windows 11 ➡️ FSR Redstone จะรวมการสร้างเฟรมด้วย ML และ ray tracing สำหรับ RDNA 4 ➡️ มีความเป็นไปได้ว่า AFMF 3 จะเปิดตัวพร้อมกับ FSR Redstone ในไดรเวอร์เวอร์ชันถัดไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AFMF 2.1 ใช้ AI-optimized enhancements แต่ยังด้อยกว่าคุณภาพของ FSR 4 ➡️ Nvidia เปิดตัว Smooth Motion บน RTX 40 series กดดันให้ AMD พัฒนา AFMF ➡️ FSR 4 ถูกปรับแต่งให้ใช้กับ RDNA 3 ได้โดยชุมชน modder แต่ยังไม่มีการประกาศจาก AMD ➡️ DLSS 4 ของ Nvidia ยังเหนือกว่า FSR 4 ในด้านคุณภาพภาพและการสร้างเฟรม ➡️ AMD HYPR-RX เป็นระบบเปิดใช้งานฟีเจอร์รวม เช่น AFMF, Radeon Chill และอื่น ๆ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/amd-fluid-motion-frames-3-spotted-in-the-upcoming-amd-adrenalin-25-20-driver-branch-could-lean-on-ai-model-used-in-fsr-4
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • “AMD Redstone มาแน่ — FSR 4 และ AFMF 3 เตรียมพลิกเกมกราฟิก พร้อมขยายสู่การ์ดรุ่นเก่า”

    AMD กำลังเตรียมปล่อยอัปเดตใหญ่ในชื่อ “Redstone” ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI สำหรับการอัปสเกลภาพและสร้างเฟรมแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับประสบการณ์เกมบน Radeon RX 9000 และอาจรวมถึงการ์ดรุ่นเก่าอย่าง RDNA 3.5 ด้วย

    จุดเด่นของ Redstone คือการรวมเทคโนโลยี FSR 4 (FidelityFX Super Resolution) รุ่นล่าสุด ที่ปรับปรุงคุณภาพภาพขณะอัปสเกลให้ดีขึ้น โดยยังคงเฟรมเรตสูง และที่น่าจับตาคือการมาของ AFMF 3 (AMD Fluid Motion Frames) ซึ่งเป็นระบบสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์ ที่ช่วยลด ghosting และ input lag ได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า

    ข้อมูลจากไฟล์ไดรเวอร์ล่าสุดของ AMD ระบุว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ Adrenalin 25.20 ซึ่งคาดว่าจะเป็นแพ็กเกจเดียวกับ Redstone และอาจมีการ backport FSR 4 ไปยังการ์ด RDNA 3.5 ด้วย โดยก่อนหน้านี้มีการเปิด FSR 4 แบบ open-source ชั่วคราว ทำให้ modder นำไปใช้กับการ์ดรุ่นเก่าได้สำเร็จ

    Redstone ยังเน้นการปรับปรุง ray tracing และการสร้างเฟรมด้วย machine learning ซึ่งจะช่วยให้เกมที่ไม่มีระบบ frame generation ในตัวสามารถลื่นไหลขึ้นได้ โดยเฉพาะบนอุปกรณ์พกพาอย่าง Lenovo Legion Go และ Asus ROG Ally ที่ใช้ชิป AMD Z1 Extreme

    แม้จะยังไม่สามารถเทียบกับ DLSS 4 ของ NVIDIA ได้ในแง่คุณภาพภาพและการรองรับหลายเฟรมพร้อมกัน แต่ Redstone คือก้าวสำคัญของ AMD ในการลดช่องว่างระหว่างสองค่าย และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้การ์ด AMD ได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เตรียมปล่อยอัปเดต Redstone ที่รวม FSR 4 และ AFMF 3
    AFMF 3 เป็นระบบสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์ที่ลด ghosting และ input lag
    ไดรเวอร์ Adrenalin 25.20 จะเป็นแพ็กเกจที่รวม Redstone และ AFMF 3
    FSR 4 ปรับปรุงคุณภาพภาพขณะอัปสเกล โดยยังคงเฟรมเรตสูง
    มีแนวโน้มว่า FSR 4 จะถูก backport ไปยังการ์ด RDNA 3.5
    Redstone เน้นการสร้างเฟรมด้วย machine learning และปรับปรุง ray tracing
    อุปกรณ์พกพาอย่าง ROG Ally และ Legion Go จะได้ประโยชน์จาก Redstone
    การเปิด FSR 4 แบบ open-source ชั่วคราวทำให้ modder นำไปใช้กับการ์ดรุ่นเก่าได้
    Redstone เป็นความพยายามของ AMD ในการลดช่องว่างกับ DLSS 4 ของ NVIDIA

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AFMF 1 เปิดตัวในปี 2023 สำหรับ emulator และเกมที่ไม่มี frame-gen
    AFMF 2.1 เพิ่มการติดตามภาพแบบ temporal และลด ghosting
    DLSS 4 รองรับ Multi Frame Generation และมีคุณภาพภาพสูงกว่า
    FSR 4 ยังสามารถใช้งานบนการ์ดรุ่นเก่าผ่าน OptiScaler แต่ไม่เป็นทางการ
    การ์ด RDNA 3.5 เช่น Radeon 780M iGPU มีฐานผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดตนี้

    https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-next-gen-redstone-ai-upscaling-tech-looks-imminent-and-a-big-clue-has-been-spotted-in-the-latest-drivers
    🧠 “AMD Redstone มาแน่ — FSR 4 และ AFMF 3 เตรียมพลิกเกมกราฟิก พร้อมขยายสู่การ์ดรุ่นเก่า” AMD กำลังเตรียมปล่อยอัปเดตใหญ่ในชื่อ “Redstone” ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI สำหรับการอัปสเกลภาพและสร้างเฟรมแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับประสบการณ์เกมบน Radeon RX 9000 และอาจรวมถึงการ์ดรุ่นเก่าอย่าง RDNA 3.5 ด้วย จุดเด่นของ Redstone คือการรวมเทคโนโลยี FSR 4 (FidelityFX Super Resolution) รุ่นล่าสุด ที่ปรับปรุงคุณภาพภาพขณะอัปสเกลให้ดีขึ้น โดยยังคงเฟรมเรตสูง และที่น่าจับตาคือการมาของ AFMF 3 (AMD Fluid Motion Frames) ซึ่งเป็นระบบสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์ ที่ช่วยลด ghosting และ input lag ได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า ข้อมูลจากไฟล์ไดรเวอร์ล่าสุดของ AMD ระบุว่า AFMF 3 จะมาพร้อมกับไดรเวอร์ Adrenalin 25.20 ซึ่งคาดว่าจะเป็นแพ็กเกจเดียวกับ Redstone และอาจมีการ backport FSR 4 ไปยังการ์ด RDNA 3.5 ด้วย โดยก่อนหน้านี้มีการเปิด FSR 4 แบบ open-source ชั่วคราว ทำให้ modder นำไปใช้กับการ์ดรุ่นเก่าได้สำเร็จ Redstone ยังเน้นการปรับปรุง ray tracing และการสร้างเฟรมด้วย machine learning ซึ่งจะช่วยให้เกมที่ไม่มีระบบ frame generation ในตัวสามารถลื่นไหลขึ้นได้ โดยเฉพาะบนอุปกรณ์พกพาอย่าง Lenovo Legion Go และ Asus ROG Ally ที่ใช้ชิป AMD Z1 Extreme แม้จะยังไม่สามารถเทียบกับ DLSS 4 ของ NVIDIA ได้ในแง่คุณภาพภาพและการรองรับหลายเฟรมพร้อมกัน แต่ Redstone คือก้าวสำคัญของ AMD ในการลดช่องว่างระหว่างสองค่าย และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้การ์ด AMD ได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เตรียมปล่อยอัปเดต Redstone ที่รวม FSR 4 และ AFMF 3 ➡️ AFMF 3 เป็นระบบสร้างเฟรมระดับไดรเวอร์ที่ลด ghosting และ input lag ➡️ ไดรเวอร์ Adrenalin 25.20 จะเป็นแพ็กเกจที่รวม Redstone และ AFMF 3 ➡️ FSR 4 ปรับปรุงคุณภาพภาพขณะอัปสเกล โดยยังคงเฟรมเรตสูง ➡️ มีแนวโน้มว่า FSR 4 จะถูก backport ไปยังการ์ด RDNA 3.5 ➡️ Redstone เน้นการสร้างเฟรมด้วย machine learning และปรับปรุง ray tracing ➡️ อุปกรณ์พกพาอย่าง ROG Ally และ Legion Go จะได้ประโยชน์จาก Redstone ➡️ การเปิด FSR 4 แบบ open-source ชั่วคราวทำให้ modder นำไปใช้กับการ์ดรุ่นเก่าได้ ➡️ Redstone เป็นความพยายามของ AMD ในการลดช่องว่างกับ DLSS 4 ของ NVIDIA ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AFMF 1 เปิดตัวในปี 2023 สำหรับ emulator และเกมที่ไม่มี frame-gen ➡️ AFMF 2.1 เพิ่มการติดตามภาพแบบ temporal และลด ghosting ➡️ DLSS 4 รองรับ Multi Frame Generation และมีคุณภาพภาพสูงกว่า ➡️ FSR 4 ยังสามารถใช้งานบนการ์ดรุ่นเก่าผ่าน OptiScaler แต่ไม่เป็นทางการ ➡️ การ์ด RDNA 3.5 เช่น Radeon 780M iGPU มีฐานผู้ใช้จำนวนมากที่รออัปเดตนี้ https://www.techradar.com/computing/gpu/amds-next-gen-redstone-ai-upscaling-tech-looks-imminent-and-a-big-clue-has-been-spotted-in-the-latest-drivers
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles

    ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป

    แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย

    เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า

    เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ”

    ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles

    เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง

    หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย

    Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019)

    ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่

    วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่

    ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs

    นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา

    “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    🎶 บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles ✨ ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey 💿 ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป ❤️ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย 👤 เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า 🎤 เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ” 🎸 ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles 💔 เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง 📀 หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย 🏆 Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019) 🎵 ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 🎤 วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่ 🎧 🎤 ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs 🤠 🎤 นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา 🎹 ⌛ 🌟 “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 🌈 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    0 Comments 0 Shares 329 Views 0 Reviews
  • “IonQ ทำลายสถิติวงการควอนตัมด้วย #AQ 64 — คำนวณได้เทียบเท่า 1 พันล้าน GPU ในพื้นที่เท่าโต๊ะทำงาน”

    IonQ บริษัทผู้นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพัฒนาเครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ “IonQ Tempo” ซึ่งสามารถทำคะแนน Algorithmic Qubit (#AQ) ได้ถึงระดับ 64 — เป็นครั้งแรกในโลกที่มีระบบควอนตัมแตะระดับนี้ได้สำเร็จ และเร็วกว่ากำหนดถึง 3 เดือน

    คะแนน #AQ คือมาตรวัดความสามารถของระบบควอนตัมในการรันอัลกอริธึมที่ซับซ้อน โดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ยิ่ง #AQ สูงเท่าไร พื้นที่การคำนวณที่ระบบสามารถเข้าถึงได้ก็ยิ่งขยายตัวแบบทวีคูณ เช่น #AQ 64 เท่ากับการพิจารณาความเป็นไปได้ได้มากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ซึ่งมากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า

    IonQ Tempo ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นที่ 5 ของบริษัท ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุมอะตอมด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถควบคุม qubit ได้อย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าระบบ superconducting ที่คู่แข่งใช้อยู่

    ความสามารถของ Tempo ทำให้สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัวได้ในเครื่องเดียว โดยใช้พลังงานน้อยกว่ามาก และกินพื้นที่เพียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การค้นคว้ายา, การจำลองวิศวกรรม, การวิเคราะห์ความผิดปกติทางการเงิน และการจัดการโครงข่ายพลังงาน

    นอกจาก #AQ แล้ว IonQ ยังเตรียมรายงานค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น logical qubits, error rate และ benchmark ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าระบบของ IonQ สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IonQ ทำคะแนน #AQ ได้ถึง 64 เป็นครั้งแรกในโลก
    ใช้เครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ IonQ Tempo ซึ่งเป็นรุ่นที่ 5 ของบริษัท
    #AQ 64 เท่ากับพื้นที่การคำนวณมากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64
    มากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า ซึ่งเคยทำได้ในต้นปี 2024
    Tempo ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุม qubit ได้แม่นยำ
    สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัว
    เหมาะกับงานด้านพลังงาน, ยา, วิศวกรรม, การเงิน และ AI
    เตรียมรายงาน logical qubits, error rate และ benchmark เชิงอุตสาหกรรม
    IonQ Aria และ Forte เคย outperform IBM ได้ถึง 182% ในบางอัลกอริธึม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    #AQ เป็นการวัด “คุณภาพ” ของ qubit ไม่ใช่แค่จำนวน
    Trapped-ion มีความเสถียรสูงและลดข้อผิดพลาดได้ดีกว่า superconducting qubit
    Quantum computing กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในงาน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
    IonQ มีแผนพัฒนา #AQ 256 ภายในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถอีกหลายล้านเท่า
    บริษัทมีพันธมิตรกับ Amazon, Microsoft และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    https://www.techpowerup.com/341357/ionq-achieves-record-breaking-quantum-performance-milestone-of-aq-64
    🧮 “IonQ ทำลายสถิติวงการควอนตัมด้วย #AQ 64 — คำนวณได้เทียบเท่า 1 พันล้าน GPU ในพื้นที่เท่าโต๊ะทำงาน” IonQ บริษัทผู้นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพัฒนาเครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ “IonQ Tempo” ซึ่งสามารถทำคะแนน Algorithmic Qubit (#AQ) ได้ถึงระดับ 64 — เป็นครั้งแรกในโลกที่มีระบบควอนตัมแตะระดับนี้ได้สำเร็จ และเร็วกว่ากำหนดถึง 3 เดือน คะแนน #AQ คือมาตรวัดความสามารถของระบบควอนตัมในการรันอัลกอริธึมที่ซับซ้อน โดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ยิ่ง #AQ สูงเท่าไร พื้นที่การคำนวณที่ระบบสามารถเข้าถึงได้ก็ยิ่งขยายตัวแบบทวีคูณ เช่น #AQ 64 เท่ากับการพิจารณาความเป็นไปได้ได้มากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ซึ่งมากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า IonQ Tempo ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นที่ 5 ของบริษัท ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุมอะตอมด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถควบคุม qubit ได้อย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าระบบ superconducting ที่คู่แข่งใช้อยู่ ความสามารถของ Tempo ทำให้สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัวได้ในเครื่องเดียว โดยใช้พลังงานน้อยกว่ามาก และกินพื้นที่เพียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การค้นคว้ายา, การจำลองวิศวกรรม, การวิเคราะห์ความผิดปกติทางการเงิน และการจัดการโครงข่ายพลังงาน นอกจาก #AQ แล้ว IonQ ยังเตรียมรายงานค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น logical qubits, error rate และ benchmark ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าระบบของ IonQ สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IonQ ทำคะแนน #AQ ได้ถึง 64 เป็นครั้งแรกในโลก ➡️ ใช้เครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ IonQ Tempo ซึ่งเป็นรุ่นที่ 5 ของบริษัท ➡️ #AQ 64 เท่ากับพื้นที่การคำนวณมากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ➡️ มากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า ซึ่งเคยทำได้ในต้นปี 2024 ➡️ Tempo ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุม qubit ได้แม่นยำ ➡️ สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัว ➡️ เหมาะกับงานด้านพลังงาน, ยา, วิศวกรรม, การเงิน และ AI ➡️ เตรียมรายงาน logical qubits, error rate และ benchmark เชิงอุตสาหกรรม ➡️ IonQ Aria และ Forte เคย outperform IBM ได้ถึง 182% ในบางอัลกอริธึม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ #AQ เป็นการวัด “คุณภาพ” ของ qubit ไม่ใช่แค่จำนวน ➡️ Trapped-ion มีความเสถียรสูงและลดข้อผิดพลาดได้ดีกว่า superconducting qubit ➡️ Quantum computing กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในงาน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ IonQ มีแผนพัฒนา #AQ 256 ภายในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถอีกหลายล้านเท่า ➡️ บริษัทมีพันธมิตรกับ Amazon, Microsoft และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ https://www.techpowerup.com/341357/ionq-achieves-record-breaking-quantum-performance-milestone-of-aq-64
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    IonQ Achieves Record Breaking Quantum Performance Milestone of #AQ 64
    IonQ, the leader in the quantum computing and networking industries, today announced it has achieved a record algorithmic qubit score of #AQ 64. This milestone was achieved on an IonQ Tempo system, three months ahead of schedule, establishing IonQ as the only company to reach #AQ 64 setting a new st...
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก TS434U: เมื่อกล่องเก็บข้อมูลกลายเป็นอุปกรณ์ที่ “คิดเผื่อ” ให้คุณแล้ว

    SilverStone เปิดตัว TS434U ซึ่งเป็นกล่องเก็บข้อมูลแบบ external ขนาด 4-bay ที่รองรับทั้ง HDD และ SSD ขนาด 3.5 นิ้วและ 2.5 นิ้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps พร้อมระบบ hot-swap ที่ให้คุณเปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    ภายในตัวกล่องใช้ชิปควบคุมจาก ASMedia ได้แก่ ASM2074 และ ASM235CM จำนวน 4 ตัว เพื่อจัดการการเชื่อมต่อของแต่ละไดรฟ์อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพัดลมขนาด 120 มม. ที่ติดตั้งด้านล่างเพื่อระบายความร้อน พร้อมระบบป้องกันความร้อนเกินแบบ built-in

    ดีไซน์ด้านหน้ามีฝาแม่เหล็กที่สามารถถอดออกและติดไว้ด้านข้างได้ เพื่อให้เข้าถึงไดรฟ์ได้ง่าย และยังช่วยซ่อนไฟ LED ที่แสดงสถานะของพลังงาน พัดลม และการทำงานของแต่ละไดรฟ์ด้วยสีที่แตกต่างกัน

    TS434U ไม่รองรับ hardware RAID แต่สามารถตั้งค่า software RAID ผ่านระบบปฏิบัติการ เช่น macOS Disk Utility หรือ Windows Storage Spaces ได้ตามต้องการ

    คุณสมบัติหลักของ SilverStone TS434U
    รองรับ 4 × 3.5" HDD หรือ 2.5" SSD ด้วย SATA I/II/III
    เชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ความเร็วสูงสุด 10Gbps
    รองรับ hot-swap เปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    ระบบภายในและการควบคุม
    ใช้ชิป ASMedia ASM2074 และ ASM235CM × 4
    พัดลม 120 มม. แบบ dual-ball bearing ติดตั้งด้านล่าง
    มีระบบป้องกันความร้อนเกินและ sleep mode ประหยัดพลังงาน

    ดีไซน์และการใช้งาน
    ฝาแม่เหล็กด้านหน้า ถอดและติดด้านข้างได้
    LED แสดงสถานะพลังงาน พัดลม และ HDD แต่ละตัว
    ติดตั้งไดรฟ์แบบ tool-free สำหรับ 3.5" HDD

    การตั้งค่า RAID และการใช้งานร่วมกับระบบ
    ไม่รองรับ hardware RAID ต้องใช้ software RAID ผ่าน OS
    รองรับ macOS, Windows, Linux และระบบอื่น ๆ
    เหมาะกับงานสำรองข้อมูล, สื่อมัลติมีเดีย, และการใช้งานระดับมืออาชีพ

    https://www.techpowerup.com/340672/silverstone-launches-ts434u-external-4-bay-10gbps-sata-hot-swap-hard-drive-enclosure
    🎙️ เรื่องเล่าจาก TS434U: เมื่อกล่องเก็บข้อมูลกลายเป็นอุปกรณ์ที่ “คิดเผื่อ” ให้คุณแล้ว SilverStone เปิดตัว TS434U ซึ่งเป็นกล่องเก็บข้อมูลแบบ external ขนาด 4-bay ที่รองรับทั้ง HDD และ SSD ขนาด 3.5 นิ้วและ 2.5 นิ้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ที่ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10Gbps พร้อมระบบ hot-swap ที่ให้คุณเปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง ภายในตัวกล่องใช้ชิปควบคุมจาก ASMedia ได้แก่ ASM2074 และ ASM235CM จำนวน 4 ตัว เพื่อจัดการการเชื่อมต่อของแต่ละไดรฟ์อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีพัดลมขนาด 120 มม. ที่ติดตั้งด้านล่างเพื่อระบายความร้อน พร้อมระบบป้องกันความร้อนเกินแบบ built-in ดีไซน์ด้านหน้ามีฝาแม่เหล็กที่สามารถถอดออกและติดไว้ด้านข้างได้ เพื่อให้เข้าถึงไดรฟ์ได้ง่าย และยังช่วยซ่อนไฟ LED ที่แสดงสถานะของพลังงาน พัดลม และการทำงานของแต่ละไดรฟ์ด้วยสีที่แตกต่างกัน TS434U ไม่รองรับ hardware RAID แต่สามารถตั้งค่า software RAID ผ่านระบบปฏิบัติการ เช่น macOS Disk Utility หรือ Windows Storage Spaces ได้ตามต้องการ ✅ คุณสมบัติหลักของ SilverStone TS434U ➡️ รองรับ 4 × 3.5" HDD หรือ 2.5" SSD ด้วย SATA I/II/III ➡️ เชื่อมต่อผ่าน USB 3.2 Gen 2 Type-C ความเร็วสูงสุด 10Gbps ➡️ รองรับ hot-swap เปลี่ยนไดรฟ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง ✅ ระบบภายในและการควบคุม ➡️ ใช้ชิป ASMedia ASM2074 และ ASM235CM × 4 ➡️ พัดลม 120 มม. แบบ dual-ball bearing ติดตั้งด้านล่าง ➡️ มีระบบป้องกันความร้อนเกินและ sleep mode ประหยัดพลังงาน ✅ ดีไซน์และการใช้งาน ➡️ ฝาแม่เหล็กด้านหน้า ถอดและติดด้านข้างได้ ➡️ LED แสดงสถานะพลังงาน พัดลม และ HDD แต่ละตัว ➡️ ติดตั้งไดรฟ์แบบ tool-free สำหรับ 3.5" HDD ✅ การตั้งค่า RAID และการใช้งานร่วมกับระบบ ➡️ ไม่รองรับ hardware RAID ต้องใช้ software RAID ผ่าน OS ➡️ รองรับ macOS, Windows, Linux และระบบอื่น ๆ ➡️ เหมาะกับงานสำรองข้อมูล, สื่อมัลติมีเดีย, และการใช้งานระดับมืออาชีพ https://www.techpowerup.com/340672/silverstone-launches-ts434u-external-4-bay-10gbps-sata-hot-swap-hard-drive-enclosure
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SilverStone Launches TS434U External 4-Bay 10Gbps SATA Hot-Swap Hard Drive Enclosure
    SilverStone has launched the TS434U, a compact external hard drive enclosure designed for users who need high-capacity storage with modern connectivity. Measuring 158 mm × 173 mm × 210 mm, it holds up to four 3.5-inch HDDs or 2.5-inch SSDs using regular SATA I/II/III connections with full hot-swap f...
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เกมดีไม่ใช่แค่ไอเดียเจ๋ง แต่ต้องมี “กระบวนการที่ไม่ทำให้ทีมพัง”

    ในโลกของการพัฒนาเกม ความคิดสร้างสรรค์คือเชื้อเพลิง แต่ “กระบวนการ” คือเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดี ต่อให้เติมเชื้อเพลิงเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย

    บทความนี้เล่าถึง 4 วิธีที่สตูดิโอเกมระดับโลกใช้เพื่อเปลี่ยนจากความวุ่นวายเป็นความลื่นไหล ตั้งแต่การจ้างทีมภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ ไปจนถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและคลาวด์เพื่อให้ทีมทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละซีกโลก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “การทำงานให้เร็วขึ้น” ไม่ได้หมายถึง “ทำงานหนักขึ้น” แต่คือการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรทำเอง อะไรควรให้คนอื่นทำ และอะไรควรให้เครื่องทำแทน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    การพัฒนาเกมที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการจัดการทรัพยากรและกระบวนการที่ดี ไม่ใช่แค่ความสามารถของทีม
    การจ้างทีมภายนอก (outsourcing) ช่วยลดภาระในงานเฉพาะทาง เช่น 3D modeling, localization, QA และ audio
    การใช้ Agile แบบปรับแต่งสำหรับเกม เช่น milestone-based sprint และ playable build ทุกรอบ ช่วยให้ทีมปรับตัวได้เร็ว
    การใช้ automation เช่น CI/CD, asset optimization และ scripted QA ช่วยลดงานซ้ำซ้อนและเพิ่มเวลาให้ทีมโฟกัสกับ gameplay
    การทำงานร่วมกันผ่านระบบคลาวด์ช่วยให้ทีมกระจายตัวทำงานได้โดยไม่ชนกัน เช่น asset library, version control และ real-time sync
    การตั้งมาตรฐานการสื่อสารและโครงสร้างไฟล์ช่วยลดความสับสนในการทำงานข้ามทีม
    การใช้ asynchronous workflow ช่วยให้ทีมในต่างเขตเวลาทำงานต่อกันได้โดยไม่ต้องรอ
    การจัดการสิทธิ์และการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์ช่วยป้องกันการสูญเสียข้อมูลสำคัญของเกม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Unity และ Unreal Engine มีระบบ CI/CD plugin ที่ช่วย build และ deploy อัตโนมัติ
    นักพัฒนาอิสระนิยมใช้ GitHub Actions และ Firebase Hosting เพื่อจัดการ release แบบ lean
    การใช้ Trello หรือ Notion ร่วมกับ cloud asset library ช่วยให้ทีมติดตามงานได้แม้ไม่มี PM เต็มเวลา
    การจ้างทีมภายนอกแบบ “creative partner” ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการจ้างแบบ “task executor”
    หลายสตูดิโอใช้ AI เพื่อช่วย QA เช่นการตรวจจับบั๊กจาก log หรือการทดสอบ UI อัตโนมัติ

    https://hackread.com/streamline-game-development-process-smart-solutions/
    🎙️ เกมดีไม่ใช่แค่ไอเดียเจ๋ง แต่ต้องมี “กระบวนการที่ไม่ทำให้ทีมพัง” ในโลกของการพัฒนาเกม ความคิดสร้างสรรค์คือเชื้อเพลิง แต่ “กระบวนการ” คือเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดี ต่อให้เติมเชื้อเพลิงเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย บทความนี้เล่าถึง 4 วิธีที่สตูดิโอเกมระดับโลกใช้เพื่อเปลี่ยนจากความวุ่นวายเป็นความลื่นไหล ตั้งแต่การจ้างทีมภายนอกอย่างมีกลยุทธ์ ไปจนถึงการใช้ระบบอัตโนมัติและคลาวด์เพื่อให้ทีมทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละซีกโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ “การทำงานให้เร็วขึ้น” ไม่ได้หมายถึง “ทำงานหนักขึ้น” แต่คือการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าอะไรควรทำเอง อะไรควรให้คนอื่นทำ และอะไรควรให้เครื่องทำแทน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ การพัฒนาเกมที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการจัดการทรัพยากรและกระบวนการที่ดี ไม่ใช่แค่ความสามารถของทีม ➡️ การจ้างทีมภายนอก (outsourcing) ช่วยลดภาระในงานเฉพาะทาง เช่น 3D modeling, localization, QA และ audio ➡️ การใช้ Agile แบบปรับแต่งสำหรับเกม เช่น milestone-based sprint และ playable build ทุกรอบ ช่วยให้ทีมปรับตัวได้เร็ว ➡️ การใช้ automation เช่น CI/CD, asset optimization และ scripted QA ช่วยลดงานซ้ำซ้อนและเพิ่มเวลาให้ทีมโฟกัสกับ gameplay ➡️ การทำงานร่วมกันผ่านระบบคลาวด์ช่วยให้ทีมกระจายตัวทำงานได้โดยไม่ชนกัน เช่น asset library, version control และ real-time sync ➡️ การตั้งมาตรฐานการสื่อสารและโครงสร้างไฟล์ช่วยลดความสับสนในการทำงานข้ามทีม ➡️ การใช้ asynchronous workflow ช่วยให้ทีมในต่างเขตเวลาทำงานต่อกันได้โดยไม่ต้องรอ ➡️ การจัดการสิทธิ์และการสำรองข้อมูลในระบบคลาวด์ช่วยป้องกันการสูญเสียข้อมูลสำคัญของเกม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Unity และ Unreal Engine มีระบบ CI/CD plugin ที่ช่วย build และ deploy อัตโนมัติ ➡️ นักพัฒนาอิสระนิยมใช้ GitHub Actions และ Firebase Hosting เพื่อจัดการ release แบบ lean ➡️ การใช้ Trello หรือ Notion ร่วมกับ cloud asset library ช่วยให้ทีมติดตามงานได้แม้ไม่มี PM เต็มเวลา ➡️ การจ้างทีมภายนอกแบบ “creative partner” ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการจ้างแบบ “task executor” ➡️ หลายสตูดิโอใช้ AI เพื่อช่วย QA เช่นการตรวจจับบั๊กจาก log หรือการทดสอบ UI อัตโนมัติ https://hackread.com/streamline-game-development-process-smart-solutions/
    HACKREAD.COM
    How to Streamline Your Game Development Process: 4 Smart Solutions
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • Windows 95 – เมื่อระบบปฏิบัติการกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งยุค

    ย้อนกลับไปในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 โลกไอทีได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน — การเปิดตัวระบบปฏิบัติการที่กลายเป็น “งานอีเวนต์ระดับชาติ” ผู้คนต่อแถวหน้าร้านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อรอซื้อ Windows 95 เหมือนกับรอคอนเสิร์ตหรือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

    Microsoft ทุ่มงบประมาณกว่า $300 ล้านในการโปรโมต พร้อมแคมเปญ “Start Me Up” ที่ใช้เพลงของ Rolling Stones และการแสดงแสงสีที่ Empire State Building และ CN Tower เพื่อสร้างกระแสให้กับ “ปุ่ม Start” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Windows ไปตลอดกาล

    Windows 95 ไม่ใช่แค่การอัปเกรดจาก Windows 3.1 แต่เป็นการรวม DOS และ Windows เข้าด้วยกัน พร้อม UI ใหม่ที่มี taskbar, plug and play, การรองรับชื่อไฟล์ยาว และระบบ multitasking แบบ 32-bit ที่เปลี่ยนวิธีใช้งานคอมพิวเตอร์ไปโดยสิ้นเชิง

    แม้จะต้องใช้แผ่น floppy ถึง 13–15 แผ่นในการติดตั้ง และมีราคาสูงถึง $209 (เทียบเท่าเกือบ $400 ในปี 2025) แต่ยอดขายก็พุ่งถึง $720 ล้านในวันแรก และทะลุ 40 ล้านชุดภายในปีเดียว

    Windows 95 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง ด้วยการรวม MSN และรองรับเบราว์เซอร์ Netscape และ Internet Explorer รุ่นแรก ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-windows-95-release-was-30-years-ago-today-the-first-time-software-was-a-pop-culture-smash
    🎙️ Windows 95 – เมื่อระบบปฏิบัติการกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งยุค ย้อนกลับไปในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 โลกไอทีได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน — การเปิดตัวระบบปฏิบัติการที่กลายเป็น “งานอีเวนต์ระดับชาติ” ผู้คนต่อแถวหน้าร้านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อรอซื้อ Windows 95 เหมือนกับรอคอนเสิร์ตหรือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Microsoft ทุ่มงบประมาณกว่า $300 ล้านในการโปรโมต พร้อมแคมเปญ “Start Me Up” ที่ใช้เพลงของ Rolling Stones และการแสดงแสงสีที่ Empire State Building และ CN Tower เพื่อสร้างกระแสให้กับ “ปุ่ม Start” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Windows ไปตลอดกาล Windows 95 ไม่ใช่แค่การอัปเกรดจาก Windows 3.1 แต่เป็นการรวม DOS และ Windows เข้าด้วยกัน พร้อม UI ใหม่ที่มี taskbar, plug and play, การรองรับชื่อไฟล์ยาว และระบบ multitasking แบบ 32-bit ที่เปลี่ยนวิธีใช้งานคอมพิวเตอร์ไปโดยสิ้นเชิง แม้จะต้องใช้แผ่น floppy ถึง 13–15 แผ่นในการติดตั้ง และมีราคาสูงถึง $209 (เทียบเท่าเกือบ $400 ในปี 2025) แต่ยอดขายก็พุ่งถึง $720 ล้านในวันแรก และทะลุ 40 ล้านชุดภายในปีเดียว Windows 95 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง ด้วยการรวม MSN และรองรับเบราว์เซอร์ Netscape และ Internet Explorer รุ่นแรก ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-windows-95-release-was-30-years-ago-today-the-first-time-software-was-a-pop-culture-smash
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • Yesterday Once More: เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา

    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข

    วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane

    จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

    แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี

    ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต

    แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา

    ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    Yesterday Once More: 🎵 เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา ⌛ 🎵 ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข 📻 วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ 🎹🥁 พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus 🌟 ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม 🎸 เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ 📈 มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น 💔 หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More 🌹 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    0 Comments 0 Shares 590 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด

    ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator

    แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์

    อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว
    โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า
    FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator
    การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000
    SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม
    AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์
    มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK
    นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า
    Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX
    มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC
    การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา
    การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    🎙️ เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์ อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว ➡️ โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า ➡️ FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator ➡️ การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000 ➡️ SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม ➡️ AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์ ➡️ มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4 ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK ➡️ นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า ➡️ Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX ➡️ มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา ➡️ การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ

    ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ

    โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก

    การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส

    นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

    การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก

    ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ
    เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ
    โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน
    ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC
    ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก
    ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน
    ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป
    สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco
    มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5%
    เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี
    เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด
    ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา
    GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้

    https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    🏭 จากนำเข้า สู่ผลิตเอง: สหรัฐฯ เริ่มผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนในประเทศ ในอดีต สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแผ่นเวเฟอร์ซิลิกอนจากบริษัทในญี่ปุ่นและไต้หวัน เช่น Shin-Etsu และ Sumco เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตชิป แต่ในปี 2025 GlobalWafers ได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในประเทศ โรงงานนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า $3.5 พันล้าน และได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act รวมถึงเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC โดยมีเป้าหมายผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก การผลิตในประเทศจะช่วยลดเวลาการขนส่ง เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments, NVIDIA และ Samsung ที่มีโรงงานในเท็กซัส นอกจากนี้ GlobalWafers ยังมีแผนผลิตเวเฟอร์ชนิดพิเศษ เช่น SOI (Silicon-on-Insulator) สำหรับงานด้านอวกาศและกลาโหม และ SiC (Silicon Carbide) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด การเปิดโรงงานนี้ยังสร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่ง และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาเอเชีย สู่การสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งในฝั่งตะวันตก ✅ ความสำเร็จของ GlobalWafers ในสหรัฐฯ ➡️ เป็นบริษัทแรกที่ผลิตเวเฟอร์ซิลิกอนขนาด 300 มม. ภายในสหรัฐฯ ➡️ โรงงานตั้งอยู่ในเมือง Sherman รัฐเท็กซัส มูลค่าการลงทุน $3.5 พันล้าน ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก CHIPS Act และเงินลงทุนจาก Apple และ TSMC ➡️ ผลิตเวเฟอร์เดือนละ 300,000 แผ่นในเฟสแรก ➡️ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากญี่ปุ่นและไต้หวัน ➡️ ช่วยเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมชิป ➡️ สร้างงานกว่า 2,500 ตำแหน่งในเท็กซัสและมิสซูรี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GlobalWafers เป็นหนึ่งใน 5 ผู้นำตลาดเวเฟอร์โลก ร่วมกับ Shin-Etsu และ Sumco ➡️ มีโรงงานในยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ทำให้ลดต้นทุนขนส่งได้ถึง 5% ➡️ เวเฟอร์ SOI ใช้ในงานอวกาศ กลาโหม และ HPC ด้วยคุณสมบัติกันรังสี ➡️ เวเฟอร์ SiC ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด ➡️ ตลาดเวเฟอร์คาดว่าจะเติบโต 5.5% ต่อปีในด้านพื้นที่ และ 2% ในด้านราคา ➡️ GlobalWafers มีข้อตกลงระยะยาวกับลูกค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพรายได้ https://wccftech.com/u-s-chip-industry-reaches-another-milestone-as-globalwafers-becomes-the-first-firm-to-produce-silicon-wafers-domestically/
    WCCFTECH.COM
    U.S. Chip Industry Reaches Another Massive Milestone as GlobalWafers Becomes the First Firm to Produce Silicon Wafers Domestically, Backed By Investments from Apple & TSMC
    America's chip industry is heading towards complete self-reliance, as GlobalWafers has announced plans to develop silicon wafers in Texas.
    0 Comments 0 Shares 425 Views 0 Reviews
  • GNU Hurd 2025: ก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการเสรีที่หลายคนลืมไป

    ในโลกที่ Linux ครองตลาดระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สมานานหลายสิบปี มีอีกหนึ่งโครงการที่ยังคงเดินหน้าด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า นั่นคือ GNU Hurd ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย Free Software Foundation (FSF) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่ “เสรีอย่างแท้จริง” ทั้งในด้านซอร์สโค้ดและสิทธิของผู้ใช้

    ล่าสุดในปี 2025 โครงการนี้ได้ออกเวอร์ชันใหม่ในชื่อ Debian GNU/Hurd 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะมีการปรับปรุงหลายด้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น รองรับสถาปัตยกรรม 64-bit อย่างเต็มรูปแบบ, เพิ่มการสนับสนุนภาษา Rust, รองรับ SMP (การใช้หลายคอร์พร้อมกัน), และระบบ ACPI สำหรับจัดการพลังงาน

    GNU Hurd แตกต่างจาก Linux ตรงที่ใช้ “microkernel” แทน “monolithic kernel” โดยแบ่งการทำงานของระบบออกเป็นเซิร์ฟเวอร์ย่อย ๆ ที่ทำงานแยกกัน เช่น การจัดการไฟล์, เครือข่าย, และสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น เพราะแต่ละส่วนสามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ต้องรีบูตทั้งเครื่อง

    แม้จะยังไม่เหมาะกับการใช้งานในระดับ production แต่ GNU/Hurd ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจด้านระบบปฏิบัติการ เพราะเปิดโอกาสให้เรียนรู้โครงสร้างภายในได้อย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการ “4 เสรีภาพ” ของซอฟต์แวร์เสรี

    https://linuxconfig.org/gnu-hurd-2025-release-marks-milestone-for-free-software-foundation
    🧠 GNU Hurd 2025: ก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการเสรีที่หลายคนลืมไป ในโลกที่ Linux ครองตลาดระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สมานานหลายสิบปี มีอีกหนึ่งโครงการที่ยังคงเดินหน้าด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า นั่นคือ GNU Hurd ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย Free Software Foundation (FSF) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบที่ “เสรีอย่างแท้จริง” ทั้งในด้านซอร์สโค้ดและสิทธิของผู้ใช้ ล่าสุดในปี 2025 โครงการนี้ได้ออกเวอร์ชันใหม่ในชื่อ Debian GNU/Hurd 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะมีการปรับปรุงหลายด้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น รองรับสถาปัตยกรรม 64-bit อย่างเต็มรูปแบบ, เพิ่มการสนับสนุนภาษา Rust, รองรับ SMP (การใช้หลายคอร์พร้อมกัน), และระบบ ACPI สำหรับจัดการพลังงาน GNU Hurd แตกต่างจาก Linux ตรงที่ใช้ “microkernel” แทน “monolithic kernel” โดยแบ่งการทำงานของระบบออกเป็นเซิร์ฟเวอร์ย่อย ๆ ที่ทำงานแยกกัน เช่น การจัดการไฟล์, เครือข่าย, และสิทธิ์การเข้าถึง ซึ่งช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น เพราะแต่ละส่วนสามารถรีสตาร์ทได้โดยไม่ต้องรีบูตทั้งเครื่อง แม้จะยังไม่เหมาะกับการใช้งานในระดับ production แต่ GNU/Hurd ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจด้านระบบปฏิบัติการ เพราะเปิดโอกาสให้เรียนรู้โครงสร้างภายในได้อย่างโปร่งใส และสอดคล้องกับหลักการ “4 เสรีภาพ” ของซอฟต์แวร์เสรี https://linuxconfig.org/gnu-hurd-2025-release-marks-milestone-for-free-software-foundation
    LINUXCONFIG.ORG
    GNU Hurd 2025 Release Marks Milestone for Free Software Foundation
    The Debian GNU/Hurd 2025 release represents a major advancement in free software, supporting modern hardware with enhanced features, prioritizing user freedom and software transparency. Discover what this means for users and the future of the GNU/Hurd project.
    0 Comments 0 Shares 278 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากนาฬิกาข้อมือ: เมื่อสมาร์ตวอทช์กลายเป็นเบาะแสสำคัญในการค้นหาผู้สูญหาย

    เครื่องบินที่ตกคือ Piper PA-28 แบบเครื่องยนต์เดียว ออกบินจากสนามบิน West Yellowstone ก่อนเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี แต่ไม่สามารถติดต่อได้หลังจากนั้น

    เมื่อ FAA ไม่สามารถระบุตำแหน่งเครื่องบินได้:
    - ทีมค้นหาใช้ตำแหน่งสุดท้ายจากสมาร์ตวอทช์ของหนึ่งในผู้เสียชีวิต
    - ส่งเครื่องบินค้นหา 2 ลำไปยังจุดที่นาฬิการะบุ
    - พบซากเครื่องบินในป่าทึบทางใต้ของเมือง West Yellowstone ภายในครึ่งชั่วโมง

    ผู้เสียชีวิตคือ:
    - Robert Conover, 60 ปี จากรัฐเทนเนสซี
    - Madison Conover, 23 ปี จากรัฐเทนเนสซี
    - Kurt Enoch Robey, 55 ปี จากรัฐยูทาห์

    ขณะนี้ FAA และ NTSB กำลังสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ

    เครื่องบิน Piper PA-28 ตกใกล้ Yellowstone และคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งสาม
    ออกบินจากสนามบิน West Yellowstone ก่อนเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี

    ทีมค้นหาใช้ตำแหน่งสุดท้ายจากสมาร์ตวอทช์ของหนึ่งในผู้เสียชีวิต
    ส่งเครื่องบินค้นหาไปยังจุดนั้นและพบซากเครื่องบินภายใน 30 นาที

    ผู้เสียชีวิตคือ Robert และ Madison Conover จากเทนเนสซี และ Kurt Robey จากยูทาห์
    ทั้งหมดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

    FAA และ NTSB กำลังสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ
    ยังไม่มีข้อมูลเบื้องต้นว่าเกิดจากอะไร

    สมาร์ตวอทช์สามารถบันทึกตำแหน่งสุดท้ายแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
    ใช้ GPS และการซิงก์ข้อมูลกับคลาวด์เมื่อมีโอกาส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/22/the-wreckage-of-a-montana-plane-crash-is-found-using-a-victim039s-smart-watch-location
    🎙️ เรื่องเล่าจากนาฬิกาข้อมือ: เมื่อสมาร์ตวอทช์กลายเป็นเบาะแสสำคัญในการค้นหาผู้สูญหาย เครื่องบินที่ตกคือ Piper PA-28 แบบเครื่องยนต์เดียว ออกบินจากสนามบิน West Yellowstone ก่อนเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี แต่ไม่สามารถติดต่อได้หลังจากนั้น เมื่อ FAA ไม่สามารถระบุตำแหน่งเครื่องบินได้: - ทีมค้นหาใช้ตำแหน่งสุดท้ายจากสมาร์ตวอทช์ของหนึ่งในผู้เสียชีวิต - ส่งเครื่องบินค้นหา 2 ลำไปยังจุดที่นาฬิการะบุ - พบซากเครื่องบินในป่าทึบทางใต้ของเมือง West Yellowstone ภายในครึ่งชั่วโมง ผู้เสียชีวิตคือ: - Robert Conover, 60 ปี จากรัฐเทนเนสซี - Madison Conover, 23 ปี จากรัฐเทนเนสซี - Kurt Enoch Robey, 55 ปี จากรัฐยูทาห์ ขณะนี้ FAA และ NTSB กำลังสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ ✅ เครื่องบิน Piper PA-28 ตกใกล้ Yellowstone และคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งสาม ➡️ ออกบินจากสนามบิน West Yellowstone ก่อนเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี ✅ ทีมค้นหาใช้ตำแหน่งสุดท้ายจากสมาร์ตวอทช์ของหนึ่งในผู้เสียชีวิต ➡️ ส่งเครื่องบินค้นหาไปยังจุดนั้นและพบซากเครื่องบินภายใน 30 นาที ✅ ผู้เสียชีวิตคือ Robert และ Madison Conover จากเทนเนสซี และ Kurt Robey จากยูทาห์ ➡️ ทั้งหมดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ✅ FAA และ NTSB กำลังสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ ➡️ ยังไม่มีข้อมูลเบื้องต้นว่าเกิดจากอะไร ✅ สมาร์ตวอทช์สามารถบันทึกตำแหน่งสุดท้ายแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ➡️ ใช้ GPS และการซิงก์ข้อมูลกับคลาวด์เมื่อมีโอกาส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/22/the-wreckage-of-a-montana-plane-crash-is-found-using-a-victim039s-smart-watch-location
    WWW.THESTAR.COM.MY
    The wreckage of a Montana plane crash is found using a victim's smart watch location
    Search teams located the site of an airplane crash that killed three people near Yellowstone National Park using the last known location of the smartwatch from one of the victims, authorities said July 21.
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • SilverStone Seta H2 – เคสยักษ์สำหรับคนรักข้อมูล

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า SilverStone เปิดตัวเคสรุ่น Seta H2 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานระดับเวิร์กสเตชันหรือเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก จุดเด่นที่สุดคือความสามารถในการติดตั้งฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ได้มากถึง 15 ลูก! ถ้าใช้ HDD ขนาด 24TB เต็มทุกช่อง ก็สามารถสร้างระบบที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า 300TB ได้เลย

    Seta H2 รองรับเมนบอร์ดตั้งแต่ ATX ไปจนถึง SSI-EEB และสามารถติดตั้งการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 428.9 มม. (เมื่อใช้พัดลมหน้าแบบ 25 มม.) รองรับระบบระบายความร้อนทั้งแบบลมและน้ำ รวมถึงติดตั้งหม้อน้ำหลายจุดได้

    ตัวเคสทำจากเหล็ก มีขนาด 244.9 x 528.3 x 543.2 มม. และหนักถึง 15.2 กก. เมื่อยังไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ติดตั้ง—เรียกได้ว่าไม่เหมาะกับการพกไปงาน LAN party แน่นอน

    ดีไซน์ของเคสเน้นความเรียบง่ายแบบคลาสสิก ไม่มีไฟ RGB หรือหน้าต่างใสเหมือนเคสเกมมิ่งทั่วไป แต่มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB-C, USB 3.0 และช่องเสียงแบบ combo jack พร้อมแผงกรองฝุ่นและระบบจัดการสายไฟ

    ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $209.99 บน Amazon และยังมีรุ่นเล็กชื่อ Seta H2M ที่รองรับ SSD ได้ 8 ลูก ราคาเพียง $119.99

    ข้อมูลจากข่าว
    - SilverStone เปิดตัวเคส Seta H2 รองรับฮาร์ดดิสก์/SSD ได้สูงสุด 15 ลูก
    - รองรับเมนบอร์ดตั้งแต่ ATX ถึง SSI-EEB และการ์ดจอยาวถึง 428.9 มม.
    - รองรับระบบระบายความร้อนทั้งแบบลมและน้ำ รวมถึงหม้อน้ำหลายจุด
    - ตัวเคสทำจากเหล็ก ขนาดใหญ่และหนักถึง 15.2 กก. (ยังไม่รวมอุปกรณ์)
    - ดีไซน์เรียบง่าย ไม่มีไฟ RGB หรือหน้าต่างใส
    - มีพอร์ต USB-C, USB 3.0 และช่องเสียงแบบ combo jack
    - ราคา $209.99 บน Amazon และมีรุ่นเล็ก Seta H2M ราคา $119.99

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - น้ำหนักของเคสเมื่อใส่อุปกรณ์ครบอาจเกิน 25–30 กก. ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายบ่อย
    - ไม่มีระบบระบายความร้อนแบบ active สำหรับฮาร์ดดิสก์จำนวนมาก อาจต้องติดตั้งเพิ่มเอง
    - ดีไซน์เรียบอาจไม่ถูกใจผู้ใช้ที่ชอบเคสสไตล์เกมมิ่งหรือโชว์อุปกรณ์ภายใน
    - การติดตั้งฮาร์ดดิสก์จำนวนมากต้องใช้พาวเวอร์ซัพพลายที่มีกำลังเพียงพอและระบบสายไฟที่ดี
    - ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลระดับหลายร้อย TB

    https://www.techspot.com/news/108628-silverstone-seta-h2-monster-pc-case-room-15.html
    SilverStone Seta H2 – เคสยักษ์สำหรับคนรักข้อมูล ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่า SilverStone เปิดตัวเคสรุ่น Seta H2 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานระดับเวิร์กสเตชันหรือเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก จุดเด่นที่สุดคือความสามารถในการติดตั้งฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ได้มากถึง 15 ลูก! ถ้าใช้ HDD ขนาด 24TB เต็มทุกช่อง ก็สามารถสร้างระบบที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า 300TB ได้เลย Seta H2 รองรับเมนบอร์ดตั้งแต่ ATX ไปจนถึง SSI-EEB และสามารถติดตั้งการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 428.9 มม. (เมื่อใช้พัดลมหน้าแบบ 25 มม.) รองรับระบบระบายความร้อนทั้งแบบลมและน้ำ รวมถึงติดตั้งหม้อน้ำหลายจุดได้ ตัวเคสทำจากเหล็ก มีขนาด 244.9 x 528.3 x 543.2 มม. และหนักถึง 15.2 กก. เมื่อยังไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ติดตั้ง—เรียกได้ว่าไม่เหมาะกับการพกไปงาน LAN party แน่นอน 😅 ดีไซน์ของเคสเน้นความเรียบง่ายแบบคลาสสิก ไม่มีไฟ RGB หรือหน้าต่างใสเหมือนเคสเกมมิ่งทั่วไป แต่มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB-C, USB 3.0 และช่องเสียงแบบ combo jack พร้อมแผงกรองฝุ่นและระบบจัดการสายไฟ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ $209.99 บน Amazon และยังมีรุ่นเล็กชื่อ Seta H2M ที่รองรับ SSD ได้ 8 ลูก ราคาเพียง $119.99 ✅ ข้อมูลจากข่าว - SilverStone เปิดตัวเคส Seta H2 รองรับฮาร์ดดิสก์/SSD ได้สูงสุด 15 ลูก - รองรับเมนบอร์ดตั้งแต่ ATX ถึง SSI-EEB และการ์ดจอยาวถึง 428.9 มม. - รองรับระบบระบายความร้อนทั้งแบบลมและน้ำ รวมถึงหม้อน้ำหลายจุด - ตัวเคสทำจากเหล็ก ขนาดใหญ่และหนักถึง 15.2 กก. (ยังไม่รวมอุปกรณ์) - ดีไซน์เรียบง่าย ไม่มีไฟ RGB หรือหน้าต่างใส - มีพอร์ต USB-C, USB 3.0 และช่องเสียงแบบ combo jack - ราคา $209.99 บน Amazon และมีรุ่นเล็ก Seta H2M ราคา $119.99 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - น้ำหนักของเคสเมื่อใส่อุปกรณ์ครบอาจเกิน 25–30 กก. ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายบ่อย - ไม่มีระบบระบายความร้อนแบบ active สำหรับฮาร์ดดิสก์จำนวนมาก อาจต้องติดตั้งเพิ่มเอง - ดีไซน์เรียบอาจไม่ถูกใจผู้ใช้ที่ชอบเคสสไตล์เกมมิ่งหรือโชว์อุปกรณ์ภายใน - การติดตั้งฮาร์ดดิสก์จำนวนมากต้องใช้พาวเวอร์ซัพพลายที่มีกำลังเพียงพอและระบบสายไฟที่ดี - ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลระดับหลายร้อย TB https://www.techspot.com/news/108628-silverstone-seta-h2-monster-pc-case-room-15.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    SilverStone's Seta H2 is a monster PC case with room for 15 drives
    The case accepts a standard ATX power supply measuring up to 220mm in length, but storage capacity is the major selling point here.
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล

    แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ

    พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ”

    ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้

    นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)  
    • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb  
    • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง

    ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง  
    • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality  
    • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน

    ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots  
    • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี  
    • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe

    ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)  
    • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม

    สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible  
    • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ

    https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    ลองนึกภาพว่า SSD หรือ RAM ในอนาคตจะไม่เพียงแค่เร็วจัด แต่ยัง ไม่ต้องจ่ายไฟตลอดเวลาเพื่อเก็บข้อมูล, ไม่ต้องกลัวข้อมูลหายตอนปิดเครื่อง และยังใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย → เทคโนโลยีแบบนั้นเรียกว่า “Spintronics” หรืออุปกรณ์ที่ใช้อิเล็กตรอนทั้ง “ประจุ” และ “สปินแม่เหล็ก” ในการประมวลผล แต่ปัญหาหลักคือ วัสดุ ferromagnetic semiconductor (FMS) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์เหล่านี้มักจะใช้งานได้แค่ที่อุณหภูมิต่ำ (ต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง) → ทำให้ยังไม่สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์จริงได้ ล่าสุดทีมนักวิจัยจากโตเกียว นำโดย ศ. Pham Nam Hai แก้ปัญหานี้ได้ → พวกเขาสร้างวัสดุ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb ที่มี Curie Temperature สูงถึง 530 เคลวิน (≒ 256°C) → สูงกว่าสถิติก่อนหน้า (420 K) และสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมปกติสบาย ๆ พวกเขาใช้เทคนิค "step-flow growth" บนแผ่นเวเฟอร์ GaAs ที่เอียงเล็กน้อย → ทำให้สามารถเติมเหล็ก (Fe) ได้ถึง 24% โดยไม่ทำลายโครงสร้างผลึก → ส่งผลให้ตัวอย่างบางเพียง 9.8 นาโนเมตรสามารถ “คงคุณสมบัติแม่เหล็กไว้ได้นานกว่า 1.5 ปีแม้เปิดทิ้งในอากาศ” ทั้งหมดนี้อาจปูทางสู่การผลิตหน่วยความจำ MRAM หรือหน่วยประมวลผล Spintronic ที่ใช้ได้จริงแบบ mass production ในอนาคตอันใกล้ ✅ นักวิจัยจาก Institute of Science Tokyo พัฒนา FMS ที่ทำงานได้ที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่มีการรายงาน (530 K / ~256°C)   • วัสดุที่ใช้คือ (Ga₀.₇₆Fe₀.₂₄)Sb   • สูงกว่าอุณหภูมิห้องมาก → เหมาะกับการใช้งานจริง ✅ ใช้เทคนิค step-flow growth บนแผ่น GaAs ที่เอียง 10 องศา เพื่อควบคุมโครงสร้าง   • เติม Fe ได้มากโดยไม่เสีย crystalline quality   • ได้ผลึกคุณภาพสูงที่ยังมีคุณสมบัติแม่เหล็กครบถ้วน ✅ ยืนยันคุณสมบัติด้วย Magnetic Circular Dichroism และ Arrott plots   • ค่าพลังแม่เหล็กต่ออะตอม Fe = 4.5 µB ใกล้เคียงทฤษฎี   • ดีกว่าแม่เหล็กโลหะทั่วไปอย่าง α-Fe ✅ ทดสอบเก็บตัวอย่างในอากาศ 1.5 ปี พบว่ายังรักษาคุณสมบัติได้ดี (TC เหลือ ~470 K)   • บ่งชี้ถึงความเสถียรสูง เหมาะกับการใช้งานในเชิงอุตสาหกรรม ✅ สามารถนำไปใช้พัฒนาอุปกรณ์ Spintronic เช่น MRAM ได้ในระดับ CMOS-compatible   • ลด leakage, เพิ่ม endurance, ไม่ volatile, เร็วระดับ SSD, ใช้ไฟต่ำ https://www.neowin.net/news/extraordinary-next-gen-ssd--ram-could-be-awaiting-as-scientists-hit-a-milestone-temperature/
    WWW.NEOWIN.NET
    Extraordinary next-gen SSD & RAM could be awaiting as scientists hit a milestone temperature
    Scientists have managed to hit a major milestone in terms of temperature, thus making them excited about the possibility of some amazing future SSD and RAM innovations.
    0 Comments 0 Shares 319 Views 0 Reviews
  • จากเดิมหุ่นยนต์ Amazon แค่ย้ายชั้นวางของ วันนี้มันเหมือน “รถยนต์ในเมืองที่มีระบบจัดการจราจร AI” เลยครับ

    Amazon ประกาศว่าเพิ่งติดตั้ง “หุ่นยนต์ตัวที่ 1 ล้าน” ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น และกำลังจะมีหุ่นยนต์มากกว่าพนักงานมนุษย์ในคลังสินค้าอีกด้วย! ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า Amazon มีพนักงานกว่า 1.56 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายคลังสินค้า — ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่ milestone ธรรมดา

    เบื้องหลังทั้งหมดคือ AI ชื่อ DeepFleet ที่ทำหน้าที่เหมือน “ระบบจัดการจราจรในเมืองที่รถทุกคันคือหุ่นยนต์” → มันสามารถลดระยะทาง + เวลาที่หุ่นยนต์ต้องเดินทางได้ 10% → ซึ่งเมื่อเอาไปคูณกับภารกิจระดับล้านคำสั่งต่อวัน ผลกระทบคือระดับพันล้านดอลลาร์ได้เลยครับ

    Amazon มีหุ่นยนต์หลายประเภท เช่น:
    - Hercules: ยกของหนักได้ 1,250 ปอนด์
    - Pegasus: ใช้สายพานจัดการพัสดุเล็ก
    - Proteus: หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติแบบ fully autonomous ที่เดินผ่านพนักงานได้

    บริษัทกำลังทดสอบการให้หุ่นยนต์รับคำสั่งเสียงจากพนักงาน และ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์แบบมีแขน–ขา–หัว” ก็อยู่ในสายงานวิจัยแล้ว!

    Amazon ยืนยันว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่ตัวแย่งงาน แต่ช่วยเปลี่ยนแรงงานเป็นงานที่ใช้ทักษะมากขึ้น — ปัจจุบันมีพนักงาน 700,000 คนที่ถูกอัปสกิลไปทำงานร่วมกับเทคโนโลยี หรืองานที่จ่ายสูงกว่าเดิม

    Amazon เพิ่งติดตั้งหุ่นยนต์ตัวที่ 1,000,000 ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น  
    • เป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้ automation ในคลังสินค้า  
    • หุ่นยนต์เริ่มมีจำนวนใกล้เคียงหรือมากกว่าคนในคลังแล้ว

    AI ชื่อ DeepFleet ช่วยจัดเส้นทางและเวลาเดินของหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น 10%  
    • เทียบได้กับระบบจัดการจราจรในเมืองสำหรับหุ่นยนต์  
    • ช่วยลดเวลาจัดของและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลงได้มาก

    Amazon มีหุ่นยนต์หลายรุ่นที่ทำงานต่างกัน:  
    • Hercules (ยกของหนัก)  
    • Pegasus (คัดแยกพัสดุ)  
    • Proteus (เคลื่อนที่อิสระได้ในคลัง)

    Amazon ฝึกอบรมพนักงานกว่า 700,000 คนให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี  
    • เช่น ฝึกซ่อมหุ่นยนต์, ตรวจระบบ, เขียนคำสั่ง  
    • สร้างงานใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม

    บริษัทอยู่ระหว่างทดสอบหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถเดิน–ยกของ–ตอบโต้พนักงานได้

    การเติบโตของหุ่นยนต์แบบก้าวกระโดด อาจทำให้แรงงานที่ไม่ได้ reskill หลุดออกจากระบบงานในอนาคต  
    • โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานซ้ำ ๆ แต่ไม่ปรับตัว

    AI ที่ควบคุมหุ่นยนต์ เช่น DeepFleet ยังไม่มีรายงานด้านการ audit ความโปร่งใสหรือ bias  
    • ความผิดพลาดอาจกระทบระบบโลจิสติกส์ทั้งสายงาน

    การจัดการจราจรของหุ่นยนต์ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ ต้องการความปลอดภัยสูงมาก  
    • ถ้า AI คำนวณพลาด หุ่นยนต์ชนคนหรือข้าวของมีผลทันที

    แพลตฟอร์มอย่าง Amazon ที่ควบคุมทั้งแรงงานมนุษย์และหุ่นยนต์ใน ecosystem เดียว อาจเกิด “อำนาจต่อรองไม่สมดุล”  
    • โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีนโยบายด้าน AI Labor & Automation

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amazon-just-deployed-its-one-millionth-robot-in-its-warehouses-and-theyll-soon-outnumber-humans-generative-ai-to-help-cut-robot-fleet-travel-time-by-10-percent
    จากเดิมหุ่นยนต์ Amazon แค่ย้ายชั้นวางของ วันนี้มันเหมือน “รถยนต์ในเมืองที่มีระบบจัดการจราจร AI” เลยครับ Amazon ประกาศว่าเพิ่งติดตั้ง “หุ่นยนต์ตัวที่ 1 ล้าน” ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น และกำลังจะมีหุ่นยนต์มากกว่าพนักงานมนุษย์ในคลังสินค้าอีกด้วย! ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า Amazon มีพนักงานกว่า 1.56 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่อยู่ในฝ่ายคลังสินค้า — ดังนั้นนี่ไม่ใช่แค่ milestone ธรรมดา เบื้องหลังทั้งหมดคือ AI ชื่อ DeepFleet ที่ทำหน้าที่เหมือน “ระบบจัดการจราจรในเมืองที่รถทุกคันคือหุ่นยนต์” → มันสามารถลดระยะทาง + เวลาที่หุ่นยนต์ต้องเดินทางได้ 10% → ซึ่งเมื่อเอาไปคูณกับภารกิจระดับล้านคำสั่งต่อวัน ผลกระทบคือระดับพันล้านดอลลาร์ได้เลยครับ Amazon มีหุ่นยนต์หลายประเภท เช่น: - Hercules: ยกของหนักได้ 1,250 ปอนด์ - Pegasus: ใช้สายพานจัดการพัสดุเล็ก - Proteus: หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติแบบ fully autonomous ที่เดินผ่านพนักงานได้ บริษัทกำลังทดสอบการให้หุ่นยนต์รับคำสั่งเสียงจากพนักงาน และ “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์แบบมีแขน–ขา–หัว” ก็อยู่ในสายงานวิจัยแล้ว! Amazon ยืนยันว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่ตัวแย่งงาน แต่ช่วยเปลี่ยนแรงงานเป็นงานที่ใช้ทักษะมากขึ้น — ปัจจุบันมีพนักงาน 700,000 คนที่ถูกอัปสกิลไปทำงานร่วมกับเทคโนโลยี หรืองานที่จ่ายสูงกว่าเดิม ✅ Amazon เพิ่งติดตั้งหุ่นยนต์ตัวที่ 1,000,000 ที่ศูนย์กระจายสินค้าในญี่ปุ่น   • เป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้ automation ในคลังสินค้า   • หุ่นยนต์เริ่มมีจำนวนใกล้เคียงหรือมากกว่าคนในคลังแล้ว ✅ AI ชื่อ DeepFleet ช่วยจัดเส้นทางและเวลาเดินของหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น 10%   • เทียบได้กับระบบจัดการจราจรในเมืองสำหรับหุ่นยนต์   • ช่วยลดเวลาจัดของและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลงได้มาก ✅ Amazon มีหุ่นยนต์หลายรุ่นที่ทำงานต่างกัน:   • Hercules (ยกของหนัก)   • Pegasus (คัดแยกพัสดุ)   • Proteus (เคลื่อนที่อิสระได้ในคลัง) ✅ Amazon ฝึกอบรมพนักงานกว่า 700,000 คนให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี   • เช่น ฝึกซ่อมหุ่นยนต์, ตรวจระบบ, เขียนคำสั่ง   • สร้างงานใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม ✅ บริษัทอยู่ระหว่างทดสอบหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่สามารถเดิน–ยกของ–ตอบโต้พนักงานได้ ‼️ การเติบโตของหุ่นยนต์แบบก้าวกระโดด อาจทำให้แรงงานที่ไม่ได้ reskill หลุดออกจากระบบงานในอนาคต   • โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานซ้ำ ๆ แต่ไม่ปรับตัว ‼️ AI ที่ควบคุมหุ่นยนต์ เช่น DeepFleet ยังไม่มีรายงานด้านการ audit ความโปร่งใสหรือ bias   • ความผิดพลาดอาจกระทบระบบโลจิสติกส์ทั้งสายงาน ‼️ การจัดการจราจรของหุ่นยนต์ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ ต้องการความปลอดภัยสูงมาก   • ถ้า AI คำนวณพลาด หุ่นยนต์ชนคนหรือข้าวของมีผลทันที ‼️ แพลตฟอร์มอย่าง Amazon ที่ควบคุมทั้งแรงงานมนุษย์และหุ่นยนต์ใน ecosystem เดียว อาจเกิด “อำนาจต่อรองไม่สมดุล”   • โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีนโยบายด้าน AI Labor & Automation https://www.tomshardware.com/tech-industry/amazon-just-deployed-its-one-millionth-robot-in-its-warehouses-and-theyll-soon-outnumber-humans-generative-ai-to-help-cut-robot-fleet-travel-time-by-10-percent
    0 Comments 0 Shares 458 Views 0 Reviews
  • ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ

    Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time

    จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา)

    และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย!

    Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล  
    • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email  
    • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา

    สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)  
    • รายงาน progress, milestones, risk, next step  
    • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน

    รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา  
    • เหมือนกับ Copilot 365  
    • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้

    สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)  
    • ทำใน Grid View ได้  
    • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม  
    • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว

    Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้

    https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    ใครเคยเหนื่อยกับการตามแผนโปรเจกต์ในทีม หรืออัปเดตสถานะหลายงานใน Planner วันละหลายรอบ...ข่าวนี้คือข่าวดีเลยครับ Microsoft เพิ่งเพิ่มฟีเจอร์เด็ด 4 รายการให้ Planner ซึ่งมี 3 อย่างเป็นของ Project Manager Agent — ผู้ช่วยจัดการแผนงานที่ใช้ AI ช่วยคุณตั้งเป้าหมาย, แตกงานย่อย, และส่งการแจ้งเตือนความคืบหน้าแบบ real-time 📨 จากเดิม Project Manager Agent แจ้งเตือนแค่ใน Teams — ตอนนี้ขยายมาสู่ อีเมลแล้วด้วย 📊 เพิ่มฟีเจอร์ สรุปรายงานสถานะงานอัตโนมัติ (status report) — บอก progress, risk, next step ให้พร้อม 🌍 รองรับ มากกว่า 40 ภาษา เทียบเท่า Copilot 365 แล้ว (ยกเว้นอาหรับ/ฮิบรูซึ่งกำลังจะตามมา) และที่หลายคนรอคอยคือ… Planner แบบพื้นฐานตอนนี้สามารถ แก้ไขหลาย Task พร้อมกันได้แล้ว! แค่ไปที่ Grid view แล้วลากเลือกงานที่ต้องการ กด Ctrl + ลูกศรขึ้น/ลง เพื่อปรับข้อมูลได้ในครั้งเดียว — จะเปลี่ยนชื่อ, วันเริ่มต้น, วันสิ้นสุด, ความสำคัญ, ผู้รับผิดชอบ ก็ทำพร้อมกันได้เลย! ✅ Project Manager Agent แจ้งเตือนผ่านอีเมล   • จากเดิมแจ้งใน Teams อย่างเดียว → ขยายสู่ email   • สะดวกสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใน Teams ตลอดเวลา ✅ สามารถสรุปรายงานสถานะแผนอัตโนมัติ (Status Report)   • รายงาน progress, milestones, risk, next step   • ตอนนี้เปิดใช้งานใน Public Preview สำหรับผู้ใช้ภาษาอังกฤษก่อน ✅ รองรับการใช้งานมากกว่า 40 ภาษา   • เหมือนกับ Copilot 365   • ยกเว้นภาษาอาหรับและฮิบรูที่จะตามมาในสัปดาห์นี้ ✅ สามารถแก้ไขหลาย Task พร้อมกัน (Bulk Editing)   • ทำใน Grid View ได้   • เลือกหลายแถวแล้วใช้ Ctrl + Up/Down แก้ไขแบบกลุ่ม   • ปรับ status, priority, due/start date, assignee ได้รวดเร็ว ✅ Microsoft เตรียมย้ายผู้ใช้งานทั้งหมดจาก Project for the web ไปยัง Planner เริ่ม 1 ส.ค. นี้ https://www.neowin.net/news/microsoft-planner-gets-bulk-editing-feature-and-three-improvements-for-project-manager-agent/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft Planner gets bulk editing feature and three improvements for Project Manager agent
    Microsoft has announced four new updates for Microsoft Planner. One of the changes is a bulk editing feature while the rest improve the Project Manager agent.
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • iSoftStone อาจไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปเคยได้ยิน แต่มันคือหนึ่งในม้ามืดที่มาจากสายงาน B2B โดยเฉพาะด้านการศึกษา, ภาครัฐ และองค์กรขนาดกลางในจีน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดองค์กรขนาดใหญ่จะซบเซา

    ใน Q1 ปี 2025 พวกเขาขายพีซีไปถึง 890,000 เครื่อง — เพิ่มจาก 420,000 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (โต 111% ภายในปีเดียว!) ซึ่งมากพอจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 10% แล้ว — ใกล้แซง Huawei ที่ 12% และแซง Apple กับ HP ไปแล้วเรียบร้อย

    นอกจาก B2B แล้ว iSoftStone ยังลงมาเล่นในตลาดเกมแรง ๆ ด้วย — ซึ่งเซกเมนต์นี้ในจีนยังโตปีละ 24% โดยเฉพาะฝั่งเครื่องแรงระดับสูง (High-End Gaming)

    แม้ตอนนี้ iSoftStone จะยังขายแค่ในจีน แต่มีประสบการณ์ทำโปรเจกต์ใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า จะบุกตลาดโลกในไม่ช้านี้ — โดยเฉพาะเมื่อจีนต้องการดันแบรนด์ในประเทศให้แข็งแกร่งเพื่อแข่งขันกับ Lenovo, Dell, Apple และ HP

    https://www.techradar.com/pro/huge-pc-vendor-youve-never-heard-of-is-set-to-become-second-biggest-player-in-china-ahead-of-apple-hp-heres-why-it-matters
    iSoftStone อาจไม่ใช่ชื่อที่คนทั่วไปเคยได้ยิน แต่มันคือหนึ่งในม้ามืดที่มาจากสายงาน B2B โดยเฉพาะด้านการศึกษา, ภาครัฐ และองค์กรขนาดกลางในจีน ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดองค์กรขนาดใหญ่จะซบเซา ใน Q1 ปี 2025 พวกเขาขายพีซีไปถึง 890,000 เครื่อง — เพิ่มจาก 420,000 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (โต 111% ภายในปีเดียว!) ซึ่งมากพอจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 10% แล้ว — ใกล้แซง Huawei ที่ 12% และแซง Apple กับ HP ไปแล้วเรียบร้อย นอกจาก B2B แล้ว iSoftStone ยังลงมาเล่นในตลาดเกมแรง ๆ ด้วย — ซึ่งเซกเมนต์นี้ในจีนยังโตปีละ 24% โดยเฉพาะฝั่งเครื่องแรงระดับสูง (High-End Gaming) แม้ตอนนี้ iSoftStone จะยังขายแค่ในจีน แต่มีประสบการณ์ทำโปรเจกต์ใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ศูนย์ข้อมูลในสิงคโปร์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า จะบุกตลาดโลกในไม่ช้านี้ — โดยเฉพาะเมื่อจีนต้องการดันแบรนด์ในประเทศให้แข็งแกร่งเพื่อแข่งขันกับ Lenovo, Dell, Apple และ HP https://www.techradar.com/pro/huge-pc-vendor-youve-never-heard-of-is-set-to-become-second-biggest-player-in-china-ahead-of-apple-hp-heres-why-it-matters
    WWW.TECHRADAR.COM
    Unknown outside China, iSoftStone is now the country’s third-largest PC brand
    iSoftStone enjoyed a 111% increase in unit shipments in just one year
    0 Comments 0 Shares 415 Views 0 Reviews
  • Path Tracing คือเทคนิคเรนเดอร์ขั้นเทพของโลกเกม ที่ให้ผลลัพธ์แสง–เงาสมจริงขั้นสุด แต่มัน กินแรงเครื่องมหาศาล ทำให้แม้แต่ AAA เกมก็ยังใช้ได้แบบจำกัด

    Intel เลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ iGPU และ dGPU ราคาจับต้องได้สามารถรัน Path Tracing ได้จริง โดยใช้เทคนิคหลายด้าน ทั้ง:

    - Resampled Importance Sampling (RIS) แบบใหม่
    - Open Image Denoise 2 รุ่นล่าสุดที่ใช้ Neural Denoising
    - และ Neural Texture Compression (TSNC) ที่ช่วยลดภาระหน่วยความจำได้สูงสุด 47 เท่า

    พวกเขาทดสอบบนฉาก Jungle Ruins ขนาดใหญ่ แอนิเมชันซับซ้อน มีทุกอย่างทั้งต้นไม้, เงานุ่ม, พื้นผิวมัน และแสงสะท้อน — แถมใช้เพียง 1 Ray/Pixel และ 1 Sample/Pixel เท่านั้น! แล้วค่อย “ฟื้นคืนภาพ” ด้วยเทคนิค AI Denoising ที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA Ray Reconstruction (DLSS 3.5/4) และ AMD Ray Regeneration (FSR 4 Redstone)

    Intel ยังเผยผลลัพธ์แบบตรง ๆ ว่า GPU Arc B580 รันได้ 30FPS ที่ 1440p พร้อมระบบ AI Denoising ที่จัดการกับปัญหายาก ๆ อย่าง เงา, แสงสะท้อน, Moiré pattern, และ ghosting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Intel โชว์เดโม Path Tracing “1 ล้านล้านสามเหลี่ยม” บน Arc B580 ที่ 1440p/30FPS  
    • ใช้การเรนเดอร์ 1 sample/pixel พร้อม AI denoising

    เทคนิคใหม่ Resampled Importance Sampling (RIS) ช่วยลด noise 10 เท่า  
    • จัด sample เป็น histogram + ใช้ quasi Monte Carlo + blue noise  
    • ลดภาระเรนเดอร์แต่ได้คุณภาพใกล้ภาพจริง

    Intel เปิดตัว Open Image Denoise 2 แบบ cross-vendor  
    • รองรับการ์ด Intel/NVIDIA/AMD ได้ทั้งหมด  
    • เตรียมใช้ neural network รุ่นใหม่ในเวอร์ชันถัดไป

    Denoiser รองรับหลายอาการยาก ๆ เช่น:  
    • เงา, แสงสะท้อน, flickering, moiré, ghosting, และ disocclusion  
    • ใช้ spatiotemporal joint neural model ที่ทั้ง denoise + supersample พร้อมกัน

    Intel ใช้ Neural Texture Compression (TSNC) + DirectX Cooperative Vectors  
    • ลดภาระการโหลด texture ได้ 47 เท่าเมื่อเทียบกับ FMA  
    • ความเร็วสูงกว่า BC6 baseline แบบเดิม

    Arc B580 และ Arc 140V ใช้ TSNC ได้แล้วในไดรเวอร์ล่าสุด  
    • ลดการใช้ VRAM และเพิ่มประสิทธิภาพชัดเจน

    เทคนิคนี้จะถูกนำไปใช้ใน iGPU รุ่นถัดไปด้วย (Lunar Lake และ Battlemage)  
    • ช่วยให้ iGPU ทำ Path Tracing ได้จริงจังขึ้น

    เทคนิค denoising แบบ neural ต้องใช้ training ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลดี  
    • หากข้อมูลเทรนไม่ครอบคลุม จะทำให้เกิด ghosting, flicker หรือเบลอผิดจุด

    การรัน path tracing ด้วย 1 spp มี noise สูงมาก ก่อน denoising  
    • หากไม่ได้ใช้ AI ช่วยจะมองแทบไม่รู้เรื่อง

    คุณภาพที่ได้ยังไม่เท่า real-time Path Tracing เต็มรูปแบบ เช่นของ DLSS 4 หรือ RTX GI แบบสมบูรณ์  
    • เหมาะกับผู้ที่ยอม trade-off บางอย่างเพื่อให้รันบนเครื่องเบาได้

    ยังไม่มี roadmap ชัดเจนว่าความสามารถนี้จะถูกใส่ในเกมจริงเมื่อใด  
    • ต้องรอติดตามว่าจะมี Engine ใดนำไปใช้จริงบ้าง

    https://wccftech.com/intel-enabling-high-fidelity-visuals-faster-performance-on-built-in-gpus-demos-ray-reconstruction-path-tracing-arc-b580/
    Path Tracing คือเทคนิคเรนเดอร์ขั้นเทพของโลกเกม ที่ให้ผลลัพธ์แสง–เงาสมจริงขั้นสุด แต่มัน กินแรงเครื่องมหาศาล ทำให้แม้แต่ AAA เกมก็ยังใช้ได้แบบจำกัด Intel เลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ iGPU และ dGPU ราคาจับต้องได้สามารถรัน Path Tracing ได้จริง โดยใช้เทคนิคหลายด้าน ทั้ง: - Resampled Importance Sampling (RIS) แบบใหม่ - Open Image Denoise 2 รุ่นล่าสุดที่ใช้ Neural Denoising - และ Neural Texture Compression (TSNC) ที่ช่วยลดภาระหน่วยความจำได้สูงสุด 47 เท่า พวกเขาทดสอบบนฉาก Jungle Ruins ขนาดใหญ่ แอนิเมชันซับซ้อน มีทุกอย่างทั้งต้นไม้, เงานุ่ม, พื้นผิวมัน และแสงสะท้อน — แถมใช้เพียง 1 Ray/Pixel และ 1 Sample/Pixel เท่านั้น! แล้วค่อย “ฟื้นคืนภาพ” ด้วยเทคนิค AI Denoising ที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA Ray Reconstruction (DLSS 3.5/4) และ AMD Ray Regeneration (FSR 4 Redstone) Intel ยังเผยผลลัพธ์แบบตรง ๆ ว่า GPU Arc B580 รันได้ 30FPS ที่ 1440p พร้อมระบบ AI Denoising ที่จัดการกับปัญหายาก ๆ อย่าง เงา, แสงสะท้อน, Moiré pattern, และ ghosting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Intel โชว์เดโม Path Tracing “1 ล้านล้านสามเหลี่ยม” บน Arc B580 ที่ 1440p/30FPS   • ใช้การเรนเดอร์ 1 sample/pixel พร้อม AI denoising ✅ เทคนิคใหม่ Resampled Importance Sampling (RIS) ช่วยลด noise 10 เท่า   • จัด sample เป็น histogram + ใช้ quasi Monte Carlo + blue noise   • ลดภาระเรนเดอร์แต่ได้คุณภาพใกล้ภาพจริง ✅ Intel เปิดตัว Open Image Denoise 2 แบบ cross-vendor   • รองรับการ์ด Intel/NVIDIA/AMD ได้ทั้งหมด   • เตรียมใช้ neural network รุ่นใหม่ในเวอร์ชันถัดไป ✅ Denoiser รองรับหลายอาการยาก ๆ เช่น:   • เงา, แสงสะท้อน, flickering, moiré, ghosting, และ disocclusion   • ใช้ spatiotemporal joint neural model ที่ทั้ง denoise + supersample พร้อมกัน ✅ Intel ใช้ Neural Texture Compression (TSNC) + DirectX Cooperative Vectors   • ลดภาระการโหลด texture ได้ 47 เท่าเมื่อเทียบกับ FMA   • ความเร็วสูงกว่า BC6 baseline แบบเดิม ✅ Arc B580 และ Arc 140V ใช้ TSNC ได้แล้วในไดรเวอร์ล่าสุด   • ลดการใช้ VRAM และเพิ่มประสิทธิภาพชัดเจน ✅ เทคนิคนี้จะถูกนำไปใช้ใน iGPU รุ่นถัดไปด้วย (Lunar Lake และ Battlemage)   • ช่วยให้ iGPU ทำ Path Tracing ได้จริงจังขึ้น ‼️ เทคนิค denoising แบบ neural ต้องใช้ training ที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลดี   • หากข้อมูลเทรนไม่ครอบคลุม จะทำให้เกิด ghosting, flicker หรือเบลอผิดจุด ‼️ การรัน path tracing ด้วย 1 spp มี noise สูงมาก ก่อน denoising   • หากไม่ได้ใช้ AI ช่วยจะมองแทบไม่รู้เรื่อง ‼️ คุณภาพที่ได้ยังไม่เท่า real-time Path Tracing เต็มรูปแบบ เช่นของ DLSS 4 หรือ RTX GI แบบสมบูรณ์   • เหมาะกับผู้ที่ยอม trade-off บางอย่างเพื่อให้รันบนเครื่องเบาได้ ‼️ ยังไม่มี roadmap ชัดเจนว่าความสามารถนี้จะถูกใส่ในเกมจริงเมื่อใด   • ต้องรอติดตามว่าจะมี Engine ใดนำไปใช้จริงบ้าง https://wccftech.com/intel-enabling-high-fidelity-visuals-faster-performance-on-built-in-gpus-demos-ray-reconstruction-path-tracing-arc-b580/
    WCCFTECH.COM
    Intel Talks How It Is Enabling High-Fidelity Visuals & Faster Performance on Built-in GPUs, Demos Ray Reconstruction-Like Denoiser For Path Tracing On Arc B580
    At SIGGRAPH & HPG 2025, Intel talked about its improvements to visual fidelity & performance for built-in and discrete GPUs.
    0 Comments 0 Shares 410 Views 0 Reviews
  • คัมภีร์ไวน์กับ Book Series ในอนาคต จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Whitestone...ถ้ายังไม่ยอมแพ้ คือยังไม่แพ้
    คัมภีร์ไวน์กับ Book Series ในอนาคต จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Whitestone...ถ้ายังไม่ยอมแพ้ คือยังไม่แพ้
    0 Comments 0 Shares 281 Views 9 0 Reviews
More Results