• Anthropic จับมือ Google Cloud ขยายกำลังประมวลผล TPU – ตั้งเป้าเกิน 1GW ภายในปี 2026

    Anthropic ผู้พัฒนา AI เบื้องหลัง Claude ได้ลงนามข้อตกลงใหม่กับ Google Cloud เพื่อขยายการใช้ชิป TPU สำหรับฝึกโมเดล AI โดยตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลรวมมากกว่า 1 กิกะวัตต์ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากลูกค้าทั่วโลก

    บริษัทเริ่มใช้บริการของ Google Cloud ตั้งแต่ปี 2023 และได้ใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Vertex AI และ Google Cloud Marketplace เพื่อให้บริการ Claude แก่ลูกค้า เช่น Figma, Palo Alto Networks และ Cursor

    ข้อตกลงใหม่นี้จะช่วยให้ Anthropic เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว พร้อมบริการคลาวด์อื่น ๆ จาก Google ซึ่งจะช่วยให้ Claude สามารถรองรับงานจากลูกค้าได้มากขึ้น และพัฒนาโมเดลให้ล้ำหน้ากว่าเดิม

    แม้คู่แข่งอย่าง OpenAI และ xAI จะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง แต่ Anthropic เลือกใช้แนวทาง “เช่า” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนฮาร์ดแวร์ระยะยาว และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI เป็นหลัก

    ข้อตกลงระหว่าง Anthropic และ Google Cloud
    ขยายการใช้ TPU สำหรับฝึกโมเดล Claude
    ตั้งเป้ามีกำลังประมวลผลรวมเกิน 1GW ภายในปี 2026
    เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว
    ใช้บริการคลาวด์อื่น ๆ เช่น Vertex AI และ Marketplace

    ผลกระทบต่อธุรกิจของ Anthropic
    รองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากขึ้น
    พัฒนา Claude ให้ล้ำหน้ากว่าเดิม
    ลูกค้ารายใหญ่ ได้แก่ Figma, Palo Alto Networks, Cursor

    กลยุทธ์เทียบกับคู่แข่ง
    OpenAI และ xAI ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง
    Anthropic เลือกเช่าเพื่อลดความเสี่ยงด้านฮาร์ดแวร์
    มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดล AI มากกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/anthropic-signs-deal-with-google-cloud-to-expand-tpu-chip-capacity-ai-company-expects-to-have-over-1gw-of-processing-power-in-2026
    🤝 Anthropic จับมือ Google Cloud ขยายกำลังประมวลผล TPU – ตั้งเป้าเกิน 1GW ภายในปี 2026 Anthropic ผู้พัฒนา AI เบื้องหลัง Claude ได้ลงนามข้อตกลงใหม่กับ Google Cloud เพื่อขยายการใช้ชิป TPU สำหรับฝึกโมเดล AI โดยตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลรวมมากกว่า 1 กิกะวัตต์ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากลูกค้าทั่วโลก บริษัทเริ่มใช้บริการของ Google Cloud ตั้งแต่ปี 2023 และได้ใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Vertex AI และ Google Cloud Marketplace เพื่อให้บริการ Claude แก่ลูกค้า เช่น Figma, Palo Alto Networks และ Cursor ข้อตกลงใหม่นี้จะช่วยให้ Anthropic เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว พร้อมบริการคลาวด์อื่น ๆ จาก Google ซึ่งจะช่วยให้ Claude สามารถรองรับงานจากลูกค้าได้มากขึ้น และพัฒนาโมเดลให้ล้ำหน้ากว่าเดิม แม้คู่แข่งอย่าง OpenAI และ xAI จะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง แต่ Anthropic เลือกใช้แนวทาง “เช่า” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนฮาร์ดแวร์ระยะยาว และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI เป็นหลัก ✅ ข้อตกลงระหว่าง Anthropic และ Google Cloud ➡️ ขยายการใช้ TPU สำหรับฝึกโมเดล Claude ➡️ ตั้งเป้ามีกำลังประมวลผลรวมเกิน 1GW ภายในปี 2026 ➡️ เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว ➡️ ใช้บริการคลาวด์อื่น ๆ เช่น Vertex AI และ Marketplace ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Anthropic ➡️ รองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากขึ้น ➡️ พัฒนา Claude ให้ล้ำหน้ากว่าเดิม ➡️ ลูกค้ารายใหญ่ ได้แก่ Figma, Palo Alto Networks, Cursor ✅ กลยุทธ์เทียบกับคู่แข่ง ➡️ OpenAI และ xAI ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง ➡️ Anthropic เลือกเช่าเพื่อลดความเสี่ยงด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดล AI มากกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/anthropic-signs-deal-with-google-cloud-to-expand-tpu-chip-capacity-ai-company-expects-to-have-over-1gw-of-processing-power-in-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ

    BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่

    Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น

    Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัว Note Air5 C
    หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา
    รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่
    ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1
    รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี
    เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา

    การเปิดตัว Palma 2 Pro
    ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก
    รองรับ 5G และ Android 15
    ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต
    มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง
    เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง

    เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น
    BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น
    Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด
    รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU
    มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ
    ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99
    อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ
    การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe
    หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง

    https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    📚 BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การเปิดตัว Note Air5 C ➡️ หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา ➡️ รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่ ➡️ ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1 ➡️ รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี ➡️ เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ การเปิดตัว Palma 2 Pro ➡️ ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก ➡️ รองรับ 5G และ Android 15 ➡️ ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต ➡️ มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง ➡️ เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง ✅ เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น ➡️ BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด ➡️ รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU ➡️ มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ ➡️ ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99 ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ⛔ การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe ⛔ หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    BOOX Introduces New Color ePaper Devices: Note Air5 C and Palma 2 Pro
    BOOX, a global leader in E Ink technology and innovation, has announced the launch of two new additions to its product lineup: the Note Air5 C, a 10.3-inch color ePaper tablet designed for light productivity and creativity, and the Palma 2 Pro, a 6.13-inch color mobile ePaper device that brings true...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม

    ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย?

    บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต

    สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug

    1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์
    อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป
    การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้

    คำเตือน
    ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
    หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง

    2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems)
    ข้อเท็จจริง
    ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
    Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน
    หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล

    คำเตือน
    การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน
    ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน

    3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร
    Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ
    ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย

    คำเตือน
    ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด
    ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป

    4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat)
    ข้อเท็จจริง
    อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ
    หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด
    เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง

    คำเตือน
    หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้
    ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย

    5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings)
    ข้อเท็จจริง
    Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้
    อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว
    การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด

    คำเตือน
    Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้
    ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม

    https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    ⚡ Smart Plug ไม่ใช่ปลั๊กวิเศษ! 5 สิ่งต้องห้ามเสียบเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเสี่ยงไฟไหม้หรือระบบล่ม ในยุคบ้านอัจฉริยะที่ทุกอย่างควบคุมผ่านมือถือได้ Smart Plug กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยเปลี่ยนอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติ เช่น ตั้งเวลาเปิดปิดไฟ หรือควบคุมพัดลมจากระยะไกล แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะเสียบกับ Smart Plug ได้อย่างปลอดภัย? บทความจาก SlashGear ได้เตือนว่า มีอุปกรณ์ 5 ประเภทที่ไม่ควรเสียบกับ Smart Plug เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตั้งแต่ระบบล่มไปจนถึงไฟไหม้ และบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต 🔍 สรุปสิ่งที่ห้ามเสียบกับ Smart Plug 1️⃣. อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง (High-power appliances) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ส่วนใหญ่รองรับเพียง 10–15 แอมป์ ➡️ อุปกรณ์อย่างเครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ แอร์ ใช้พลังงานมากเกินไป ➡️ การเสียบอุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้ปลั๊กร้อนเกินไปจนละลายหรือไฟไหม้ ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามเสียบอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ⛔ หากจำเป็นต้องใช้ ควรเลือก Smart Plug แบบ heavy-duty ที่ออกแบบมาสำหรับโหลดสูง 2️⃣. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security systems) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ ระบบกล้อง สัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ ต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ➡️ Smart Plug อาจตัดไฟโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ระบบหยุดทำงาน ➡️ หากเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮกและควบคุมจากระยะไกล ‼️ คำเตือน ⛔ การตัดไฟโดยไม่ตั้งใจอาจทำให้บ้านไม่มีระบบป้องกัน ⛔ ควรใช้ปลั๊กไฟที่มีแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) แทน 3️⃣. อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Healthcare equipment) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน ต้องการไฟฟ้าที่เสถียร ➡️ Smart Plug ราคาถูกอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่เพียงพอ ➡️ ความผิดพลาดอาจส่งผลถึงชีวิตผู้ป่วย ‼️ คำเตือน ⛔ ห้ามใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเด็ดขาด ⛔ ระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลมีมาตรฐานสูงกว่าในบ้านทั่วไป 4️⃣. อุปกรณ์ที่สร้างความร้อน (Appliances that generate heat) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ อุปกรณ์เช่น เตาอบ ฮีตเตอร์ ไดร์เป่าผม ต้องการพลังงานสูงและควบคุมอุณหภูมิ ➡️ หาก Wi-Fi หลุดหรือระบบล่ม อุปกรณ์อาจทำงานต่อโดยไม่หยุด ➡️ เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือความเสียหายจากความร้อนสูง ‼️ คำเตือน ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้ Smart Plug กับอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายหากเปิดทิ้งไว้ ⛔ ควรเสียบกับปลั๊กผนังโดยตรงเพื่อความปลอดภัย 5️⃣. อุปกรณ์ที่มีระบบควบคุมแบบแมนนวล (Devices with manual settings) ✅ ข้อเท็จจริง ➡️ Smart Plug ควบคุมแค่การจ่ายไฟ ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้ ➡️ อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดหลังจากจ่ายไฟ เช่น เครื่องซักผ้า อาจไม่ทำงานแม้เสียบปลั๊กแล้ว ➡️ การรีสตาร์ทอัตโนมัติหลังไฟดับอาจทำให้เกิดการทำงานผิดพลาด ‼️ คำเตือน ⛔ Smart Plug ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่ต้องกดปุ่มเปิดทำงานอัตโนมัติได้ ⛔ ควรใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันเปิด/ปิดแบบง่าย เช่น โคมไฟ หรือพัดลม https://www.slashgear.com/2001326/never-plug-these-into-smart-plug/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Never Plug These 5 Things Into A Smart Plug - SlashGear
    Smart plugs are useful for bringing simple automations to appliances that aren't smart, but connecting them to those 5 things might not be a clever idea.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น

    หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user

    การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย

    ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ

    สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5
    สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา
    ปักหมุดข้อความใน clipboard
    ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner
    รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring
    เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ

    การปรับปรุง UI
    หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน
    หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที
    แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน
    หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions

    การปรับปรุง widget
    Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้
    เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget
    KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่

    การปรับปรุงระบบเสียง
    เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป
    ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว
    ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า
    หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้
    การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์
    การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด
    ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ
    ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

    https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    🖥️ KDE Plasma 6.5 มาแล้ว! อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อประสบการณ์ที่ลื่นไหลและฉลาดขึ้น หลังจากหลายสัปดาห์ของการพัฒนา KDE Plasma 6.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นความลื่นไหล ความสามารถในการปรับแต่ง และการเข้าถึงที่ดีขึ้นสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือสาย power user การอัปเดตครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ตั้งแต่การปรับปรุงหน้าตา UI ไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น การสลับธีมอัตโนมัติตามเวลา การปักหมุดข้อความใน clipboard และการค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ที่ช่วยให้ค้นหาแอปได้แม้พิมพ์ผิด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบ widget ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น sticky notes ที่ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ทันที รวมถึงการเพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับผู้ชอบความเรียบง่าย ด้านเสียงก็มีการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การเตือนเมื่อเปิดเสียงสูงสุดนานเกินไป และการ mute ไมโครโฟนแบบรวมทุกตัวในระบบ สำหรับผู้ที่อยากลอง KDE Plasma 6.5 สามารถติดตั้งผ่าน KDE Neon หรือคอมไพล์จากซอร์สได้โดยตรง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน KDE Plasma 6.5 ➡️ สลับธีมอัตโนมัติตามเวลา ➡️ ปักหมุดข้อความใน clipboard ➡️ ค้นหาแบบ fuzzy ใน KRunner ➡️ รองรับการตั้งค่าปากกาและแท็บเล็ตแบบ rotary dial และ touch ring ➡️ เพิ่ม grayscale filter และปรับปรุง screen reader สำหรับผู้พิการ ✅ การปรับปรุง UI ➡️ หน้าต่าง Breeze มีมุมโค้งทั้ง 4 ด้าน ➡️ หน้า Wi-Fi & Networking แสดงเครือข่ายทันที ➡️ แชร์ Wi-Fi ผ่าน QR code พร้อมรหัสผ่าน ➡️ หน้า Flatpak Permissions เปลี่ยนเป็น Application Permissions ✅ การปรับปรุง widget ➡️ Sticky notes ปรับขนาดได้และเปลี่ยนสีพื้นหลังได้ ➡️ เพิ่มโหมด “โปร่งใส” สำหรับ widget ➡️ KRunner แสดงผลตั้งแต่พิมพ์ตัวแรก พร้อมเรียงลำดับใหม่ ✅ การปรับปรุงระบบเสียง ➡️ เตือนเมื่อเปิด “Raise maximum volume” นานเกินไป ➡️ ปรับพฤติกรรม mute ไมโครโฟนให้รวมทุกตัว ➡️ ปรับระดับเสียงขณะ mute จะ unmute อัตโนมัติ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้เวอร์ชันเก่า ⛔ หากยังใช้ Plasma 5 อาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ ⛔ การอัปเดตจากซอร์สต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์ ⛔ การเปลี่ยนธีมอัตโนมัติอาจไม่ทำงานหากตั้งค่าผิด ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ใช้ KDE Neon เพื่อทดลอง Plasma 6.5 ได้ง่ายที่สุด ⛔ ตรวจสอบการตั้งค่าธีมและ wallpaper ให้ตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการ ⛔ ลองใช้ฟีเจอร์ clipboard ปักหมุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://news.itsfoss.com/kde-plasma-6-5-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    KDE Plasma 6.5 Released: Let Me Walk You Through What's New
    Rounded corners, auto dark mode, pinned clipboard, and a whole lot more in this update!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ

    TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล

    ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร

    สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus
    ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz)
    มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s
    มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง

    ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น
    F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB
    F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB

    ฟีเจอร์เด่น
    ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6
    มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง
    ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร
    รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap
    รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K

    การเชื่อมต่อและพอร์ต
    USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps)
    HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz
    น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก.

    โปรโมชั่นเปิดตัว
    ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ
    วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress

    https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    🗄️ TerraMaster เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ F2-425 Plus และ F4-425 Plus: แรง เร็ว พร้อม AI ในบ้านคุณ TerraMaster ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเครือข่าย (NAS) ได้เปิดตัวสองรุ่นใหม่ล่าสุดคือ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Intel N150 และดีไซน์ hybrid storage ที่ผสาน SSD M.2 กับ HDD ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระบบสำรองข้อมูลระดับองค์กรและการสตรีมมีเดียที่ลื่นไหล ทั้งสองรุ่นใช้โปรเซสเซอร์ Intel N150 แบบ quad-core ความเร็วสูงสุด 3.6 GHz พร้อมพอร์ต 5GbE สองช่องที่ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 1010 MB/s และมีสล็อต M.2 ถึง 3 ช่อง รองรับ SSD ขนาดสูงสุด 8 TB ต่อช่อง F2-425 Plus มาพร้อมดีไซน์ 3+2 bay (3 M.2 + 2 HDD) และ RAM DDR5 ขนาด 8 GB รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ตามบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก ส่วน F4-425 Plus ขยายขีดความสามารถด้วยดีไซน์ 3+4 bay, RAM 16 GB และรองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุดถึง 144 TB เหมาะสำหรับผู้ใช้ระดับ power user และครีเอเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 พร้อมฟีเจอร์ AI photo management ที่สามารถจดจำใบหน้า สัตว์เลี้ยง และฉากต่างๆ ได้ รวมถึงระบบสำรองข้อมูล BBS ที่ให้ความปลอดภัยระดับองค์กร ✅ สเปกหลักของ F2-425 Plus และ F4-425 Plus ➡️ ใช้ Intel N150 quad-core (สูงสุด 3.6 GHz) ➡️ มีพอร์ต 5GbE สองช่อง ความเร็วสูงสุด 1010 MB/s ➡️ มีสล็อต M.2 จำนวน 3 ช่อง รองรับ SSD สูงสุด 8 TB ต่อช่อง ✅ ความแตกต่างระหว่างสองรุ่น ➡️ F2-425 Plus: 3+2 bay, RAM 8 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 84 TB ➡️ F4-425 Plus: 3+4 bay, RAM 16 GB, รองรับพื้นที่จัดเก็บสูงสุด 144 TB ✅ ฟีเจอร์เด่น ➡️ ใช้ระบบปฏิบัติการ TOS 6 ➡️ มีระบบ AI photo management สำหรับจดจำใบหน้าและสัตว์เลี้ยง ➡️ ระบบสำรองข้อมูล BBS ระดับองค์กร ➡️ รองรับการถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์แบบ hot-swap ➡️ รองรับการถอดรหัสวิดีโอ 4K และ 8K ✅ การเชื่อมต่อและพอร์ต ➡️ USB 3.2 Gen 2 จำนวน 2 ช่อง (10 Gbps) ➡️ HDMI 2.0 รองรับ 4K @ 60 Hz ➡️ น้ำหนัก: F2-425 Plus – 2.2 กก. | F4-425 Plus – 2.9 กก. ✅ โปรโมชั่นเปิดตัว ➡️ ลดราคา 15% ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ รับประกันทั่วโลก 2 ปี พร้อมบริการซัพพอร์ตตลอดชีพ ➡️ วางจำหน่ายผ่านร้านค้า TerraMaster, Amazon และ AliExpress https://news.itsfoss.com/terramaster-f4-425-plus-launch/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    TerraMaster Launches F2-425 Plus and F4-425 Plus NAS with Intel N150 and Triple M.2 Slots
    New hybrid NAS series brings enterprise-grade backup and media streaming to home users and small businesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ROG Xbox Ally รัน Linux แรงกว่า Windows – เฟรมเรตพุ่ง 32% พร้อมปลุกเครื่องเร็วกว่าเดิม!”

    ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาจาก ASUS ที่มาพร้อม Windows 11 โดยตรง กลับทำงานได้ดีกว่าเมื่อเปลี่ยนไปใช้ Linux! YouTuber ชื่อ Cyber Dopamine ได้ทดสอบโดยติดตั้ง Linux ดิสโทรชื่อ Bazzite ซึ่งออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ และพบว่าเฟรมเรตในหลายเกมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

    ตัวอย่างเช่นในเกม Kingdom Come: Deliverance 2 ที่รันบน Windows ได้ 47 FPS แต่เมื่อใช้ Bazzite กลับได้ถึง 62 FPS — เพิ่มขึ้นถึง 32% โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานหรือปรับแต่งฮาร์ดแวร์เลย

    นอกจากนี้ยังพบว่า Linux มีความเสถียรของเฟรมเรตมากกว่า Windows ซึ่งมีการแกว่งขึ้นลงตลอดเวลา และที่น่าประทับใจคือ การปลุกเครื่องจาก sleep mode บน Linux ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ Windows ใช้เวลานานถึง 40 วินาทีในการเข้าสู่ sleep และอีก 15 วินาทีในการปลุกกลับ

    Cyber Dopamine ยังรายงานว่า ทีมพัฒนา Bazzite มีการแก้บั๊กแบบเรียลไทม์ระหว่างที่เขาทดสอบ โดยส่ง feedback แล้วได้รับ patch ทันที ซึ่งแสดงถึงความคล่องตัวและความใส่ใจของทีม dev

    แม้ว่า Windows จะยังจำเป็นสำหรับบางเกมที่ใช้ระบบ anticheat แต่ผู้ใช้สามารถตั้งค่า dual-boot เพื่อสลับไปมาระหว่าง Windows และ Linux ได้อย่างสะดวก

    ผลการทดสอบ ROG Xbox Ally บน Linux
    เฟรมเรตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 32% เมื่อใช้ Bazzite
    ความเสถียรของเฟรมเรตดีกว่า Windows
    ปลุกเครื่องจาก sleep mode ได้เร็วกว่า
    ใช้ Steam Big Picture Mode เป็น launcher หลัก

    ข้อดีของ Bazzite บนเครื่องเกมพกพา
    รองรับการปรับแต่ง power profile แบบละเอียด
    UI คล้ายคอนโซล ใช้งานง่าย
    ทีม dev แก้บั๊กแบบเรียลไทม์
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์แบบ Steam Deck

    ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
    สามารถ dual-boot กลับไปใช้ Windows ได้
    เหมาะสำหรับเกมที่ต้องใช้ anticheat
    ไม่จำเป็นต้อง root หรือ flash เครื่อง
    รองรับการอัปเดตผ่านระบบของ Bazzite

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    เกมบางเกมอาจไม่รองรับ Linux หรือมีปัญหาเรื่อง anticheat
    การตั้งค่า dual-boot ต้องระวังเรื่อง partition และ bootloader
    หากไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาปรับตัว
    การอัปเดต firmware หรือ driver บางตัวอาจยังต้องใช้ Windows
    ควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/rog-xbox-ally-runs-better-on-linux-than-the-windows-it-ships-with-new-test-shows-up-to-32-percent-higher-fps-with-more-stable-framerates-and-quicker-sleep-resume-times
    🎮 “ROG Xbox Ally รัน Linux แรงกว่า Windows – เฟรมเรตพุ่ง 32% พร้อมปลุกเครื่องเร็วกว่าเดิม!” ROG Xbox Ally ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพาจาก ASUS ที่มาพร้อม Windows 11 โดยตรง กลับทำงานได้ดีกว่าเมื่อเปลี่ยนไปใช้ Linux! YouTuber ชื่อ Cyber Dopamine ได้ทดสอบโดยติดตั้ง Linux ดิสโทรชื่อ Bazzite ซึ่งออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ และพบว่าเฟรมเรตในหลายเกมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่นในเกม Kingdom Come: Deliverance 2 ที่รันบน Windows ได้ 47 FPS แต่เมื่อใช้ Bazzite กลับได้ถึง 62 FPS — เพิ่มขึ้นถึง 32% โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานหรือปรับแต่งฮาร์ดแวร์เลย นอกจากนี้ยังพบว่า Linux มีความเสถียรของเฟรมเรตมากกว่า Windows ซึ่งมีการแกว่งขึ้นลงตลอดเวลา และที่น่าประทับใจคือ การปลุกเครื่องจาก sleep mode บน Linux ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ Windows ใช้เวลานานถึง 40 วินาทีในการเข้าสู่ sleep และอีก 15 วินาทีในการปลุกกลับ Cyber Dopamine ยังรายงานว่า ทีมพัฒนา Bazzite มีการแก้บั๊กแบบเรียลไทม์ระหว่างที่เขาทดสอบ โดยส่ง feedback แล้วได้รับ patch ทันที ซึ่งแสดงถึงความคล่องตัวและความใส่ใจของทีม dev แม้ว่า Windows จะยังจำเป็นสำหรับบางเกมที่ใช้ระบบ anticheat แต่ผู้ใช้สามารถตั้งค่า dual-boot เพื่อสลับไปมาระหว่าง Windows และ Linux ได้อย่างสะดวก ✅ ผลการทดสอบ ROG Xbox Ally บน Linux ➡️ เฟรมเรตเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 32% เมื่อใช้ Bazzite ➡️ ความเสถียรของเฟรมเรตดีกว่า Windows ➡️ ปลุกเครื่องจาก sleep mode ได้เร็วกว่า ➡️ ใช้ Steam Big Picture Mode เป็น launcher หลัก ✅ ข้อดีของ Bazzite บนเครื่องเกมพกพา ➡️ รองรับการปรับแต่ง power profile แบบละเอียด ➡️ UI คล้ายคอนโซล ใช้งานง่าย ➡️ ทีม dev แก้บั๊กแบบเรียลไทม์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์แบบ Steam Deck ✅ ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ➡️ สามารถ dual-boot กลับไปใช้ Windows ได้ ➡️ เหมาะสำหรับเกมที่ต้องใช้ anticheat ➡️ ไม่จำเป็นต้อง root หรือ flash เครื่อง ➡️ รองรับการอัปเดตผ่านระบบของ Bazzite ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ เกมบางเกมอาจไม่รองรับ Linux หรือมีปัญหาเรื่อง anticheat ⛔ การตั้งค่า dual-boot ต้องระวังเรื่อง partition และ bootloader ⛔ หากไม่คุ้นเคยกับ Linux อาจต้องใช้เวลาปรับตัว ⛔ การอัปเดต firmware หรือ driver บางตัวอาจยังต้องใช้ Windows ⛔ ควรสำรองข้อมูลก่อนติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/rog-xbox-ally-runs-better-on-linux-than-the-windows-it-ships-with-new-test-shows-up-to-32-percent-higher-fps-with-more-stable-framerates-and-quicker-sleep-resume-times
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เบลเยียมเตรียมจำกัดพลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ – รับมือความต้องการ AI ที่พุ่งทะยาน”

    เบลเยียมกำลังพิจารณาออกมาตรการจำกัดการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ หลังจากความต้องการด้าน AI พุ่งสูงจนทำให้โครงข่ายไฟฟ้าเริ่มตึงตัว โดยบริษัท Elia ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ เสนอให้จัดประเภทดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มเฉพาะ และกำหนด “เพดานการใช้พลังงาน” เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นถูกเบียดออกจากระบบ

    แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพราะดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับงาน AI เช่นการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ ต้องใช้พลังงานมหาศาลตลอดเวลา และหากไม่มีการจัดการ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในประเทศ

    Elia เสนอให้มีการจัดสรรโควต้าพลังงานเฉพาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าตามระดับความสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอนาคต

    แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มาตรการนี้สะท้อนความกังวลของยุโรปที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของเทคโนโลยีและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเฉพาะในยุคที่ AI กลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่

    แนวคิดจาก Elia ผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าเบลเยียม
    เสนอให้จัดประเภทดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มเฉพาะ
    กำหนดเพดานการใช้พลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์
    ป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นถูกเบียดออกจากระบบ
    จัดสรรโควต้าพลังงานตามระดับความสำคัญของผู้ใช้งาน

    สาเหตุของมาตรการ
    ความต้องการพลังงานจาก AI พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
    ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานมหาศาลในการฝึกโมเดล
    เสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในประเทศ
    ต้องการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงพลังงาน

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    นักลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI อาจต้องปรับแผน
    ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่อาจต้องผ่านการอนุมัติด้านพลังงาน
    อาจมีการจัดลำดับความสำคัญของงาน AI ที่ใช้พลังงานสูง
    ภาคอุตสาหกรรมอื่นอาจได้รับพลังงานอย่างมั่นคงมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/belgium-mulls-energy-limits-for-power-hungry-data-centres-as-ai-demand-surges
    ⚡ “เบลเยียมเตรียมจำกัดพลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ – รับมือความต้องการ AI ที่พุ่งทะยาน” เบลเยียมกำลังพิจารณาออกมาตรการจำกัดการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ หลังจากความต้องการด้าน AI พุ่งสูงจนทำให้โครงข่ายไฟฟ้าเริ่มตึงตัว โดยบริษัท Elia ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ เสนอให้จัดประเภทดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มเฉพาะ และกำหนด “เพดานการใช้พลังงาน” เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นถูกเบียดออกจากระบบ แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพราะดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับงาน AI เช่นการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ ต้องใช้พลังงานมหาศาลตลอดเวลา และหากไม่มีการจัดการ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในประเทศ Elia เสนอให้มีการจัดสรรโควต้าพลังงานเฉพาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และให้สิทธิ์ในการเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าตามระดับความสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในอนาคต แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มาตรการนี้สะท้อนความกังวลของยุโรปที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของเทคโนโลยีและความมั่นคงด้านพลังงาน โดยเฉพาะในยุคที่ AI กลายเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ✅ แนวคิดจาก Elia ผู้ดูแลโครงข่ายไฟฟ้าเบลเยียม ➡️ เสนอให้จัดประเภทดาต้าเซ็นเตอร์เป็นกลุ่มเฉพาะ ➡️ กำหนดเพดานการใช้พลังงานสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ ป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นถูกเบียดออกจากระบบ ➡️ จัดสรรโควต้าพลังงานตามระดับความสำคัญของผู้ใช้งาน ✅ สาเหตุของมาตรการ ➡️ ความต้องการพลังงานจาก AI พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานมหาศาลในการฝึกโมเดล ➡️ เสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในประเทศ ➡️ ต้องการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงพลังงาน ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ นักลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI อาจต้องปรับแผน ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่อาจต้องผ่านการอนุมัติด้านพลังงาน ➡️ อาจมีการจัดลำดับความสำคัญของงาน AI ที่ใช้พลังงานสูง ➡️ ภาคอุตสาหกรรมอื่นอาจได้รับพลังงานอย่างมั่นคงมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/belgium-mulls-energy-limits-for-power-hungry-data-centres-as-ai-demand-surges
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Belgium mulls energy limits for power-hungry data centres as AI demand surges
    (Reuters) -Belgium's grid operator could set an electricity allocation limit on data centres to prevent other industrial users from being squeezed out, it said, following a surge in demand from the energy-intensive facilities that power AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!”

    ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว!

    นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที

    มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ

    ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ

    แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย

    แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini

    ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ

    ความสามารถหลักของ Qwen3-VL
    แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript
    รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token
    เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D
    OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง

    ความสามารถแบบ agentic
    ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ
    สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า
    ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง
    ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

    จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama
    เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้
    ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude
    ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด
    การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง
    การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ
    ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    👁️🧠 “Qwen3-VL จาก Ollama – โมเดล Vision Language ที่ทรงพลังที่สุด พร้อมควบคุมคอมพิวเตอร์ได้แบบอัตโนมัติ!” ลองจินตนาการว่าเราชี้กล้องมือถือไปที่ใบไม้ แล้วถามว่า “พิษกับหมาไหม?” หรือเปิดไฟล์ตารางบนคอมแล้วสั่ง AI ให้แปลงเป็นกราฟ — ทั้งหมดนี้ Qwen3-VL ทำได้แล้ว! นี่คือโมเดล Vision Language รุ่นใหม่จาก Alibaba ที่เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama โดยมีชื่อเต็มว่า Qwen3-VL-235B-A22B จุดเด่นคือความสามารถในการเข้าใจภาพและวิดีโออย่างลึกซึ้ง แล้วแปลงเป็นโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript ได้ทันที มันรองรับ input สูงถึง 1 ล้าน token ซึ่งหมายถึงสามารถประมวลผลวิดีโอความยาว 2 ชั่วโมง หรือเอกสารหลายร้อยหน้าได้ในคราวเดียว และยังเข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูลเชิง 3D ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน ๆ ด้าน OCR ก็ไม่ธรรมดา รองรับถึง 32 ภาษา และสามารถอ่านจากภาพที่เบลอ, มืด, หรือเอียงได้อย่างแม่นยำ แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือความสามารถแบบ “agentic” — Qwen3-VL สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ เช่น สั่งจองตั๋วบน Ticketmaster โดยเปิดเบราว์เซอร์, กรอกข้อมูล, เลือกที่นั่ง และกดยืนยัน โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเองเลย แม้จะยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอก ZIP code ผิด แต่ความเร็วในการทำงานนั้นเหนือกว่าหลายโมเดลที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น GPT-5, Claude หรือ Gemini ที่สำคัญคือ Qwen3-VL เปิดให้ใช้งานแบบ โอเพ่นซอร์ส ต่างจากคู่แข่งที่ต้องจ่ายเงิน ทำให้ชุมชนสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานได้อย่างอิสระ ✅ ความสามารถหลักของ Qwen3-VL ➡️ แปลงภาพ/วิดีโอเป็นโค้ด HTML, CSS, JavaScript ➡️ รองรับ input สูงสุด 1 ล้าน token ➡️ เข้าใจตำแหน่งวัตถุ, มุมมอง, และข้อมูล 3D ➡️ OCR รองรับ 32 ภาษา แม้ภาพเบลอหรือเอียง ✅ ความสามารถแบบ agentic ➡️ ควบคุมคอมพิวเตอร์หรือมือถือได้แบบอัตโนมัติ ➡️ สั่งจองตั๋ว, โพสต์ Reddit, เขียนข้อความ, สั่งซื้อสินค้า ➡️ ทำงานแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกเอง ➡️ ความเร็วในการทำงานโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ✅ จุดเด่นด้านการเปิดใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Ollama ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส – นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้ ➡️ ไม่ต้องจ่ายเงินเหมือน GPT-5 หรือ Claude ➡️ ได้คะแนนสูงใน benchmark เช่น OS World ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ ยังมีข้อผิดพลาดเล็ก ๆ เช่นกรอกข้อมูลผิด ⛔ การควบคุมอัตโนมัติต้องมีระบบตรวจสอบความถูกต้อง ⛔ การเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สอาจเสี่ยงต่อ misuse หากไม่มีการกำกับ ⛔ ความสามารถสูงอาจนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่นการแพทย์หรือการเงิน ซึ่งต้องทดสอบก่อนใช้งานจริง https://www.slashgear.com/2004206/ollama-qwen3-vl-how-powerful-vision-language-model-works/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Ollama's Qwen3-VL Introduces The Most Powerful Vision Language Model - Here's How It Works - SlashGear
    AI is advancing at a rapid rate, and Ollama claims its Qwen3-VL is the most powerful vision language model yet. Here's what it is and how it works.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ”

    Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg

    ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON

    ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น

    สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด

    ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33
    รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode
    เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device
    เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา
    เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd
    เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON

    การปรับปรุงระบบและ UI
    เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ
    ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm
    ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel
    เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP
    ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info

    แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน
    เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base
    ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ
    อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs)
    ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0
    เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต

    https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    💾 “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ” Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด ✅ ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33 ➡️ รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode ➡️ เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device ➡️ เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา ➡️ เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd ➡️ เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON ✅ การปรับปรุงระบบและ UI ➡️ เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ ➡️ ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm ➡️ ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel ➡️ เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info ✅ แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน ➡️ เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base ➡️ ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ ➡️ อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs) ➡️ ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0 ➡️ เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    9TO5LINUX.COM
    Clonezilla Live 3.3.0-33 Adds Support for Cloning MTD Block and eMMC Boot Devices - 9to5Linux
    Clonezilla Live 3.3.0-33 open-source and free disk cloning/imaging tool is now available for download with various changes and updated components.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/Bumble-Boost-Unlock-the-Power-of-Verified-Accounts-for-Your-Dating-Profile-03-22
    https://telegra.ph/Bumble-Boost-Unlock-the-Power-of-Verified-Accounts-for-Your-Dating-Profile-03-22
    TELEGRA.PH
    Bumble Boost: Unlock the Power of Verified Accounts for Your Dating Profile!
    Are you tired of wasting time swiping left and right on Bumble, trying to find the perfect match? Do you want to unlock your full potential on the popular dating app? Look no further! With our genuine Bumble verified accounts, you can take your online dating game to the next level and increase your chances of finding true love.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia H100 เตรียมขึ้นสู่อวกาศ! Crusoe จับมือ Starcloud สร้างศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์นอกโลก”

    Crusoe บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ AI และ Starcloud สตาร์ทอัพจาก Redmond กำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ด้วยการส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่วงโคจรโลก เพื่อสร้าง “ศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์ในอวกาศ” เป็นครั้งแรกของโลก

    แนวคิดนี้คือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางในอวกาศ (ไม่มีเมฆ ไม่มีเวลากลางคืน) เพื่อจ่ายไฟให้กับระบบประมวลผล AI ที่ใช้พลังงานสูงอย่าง H100 โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าบนโลก ซึ่งมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม

    Starcloud จะเป็นผู้สร้างดาวเทียมที่ติดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดเล็ก พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ และระบบระบายความร้อนที่ใช้ “สูญญากาศของอวกาศ” เป็น heat sink แบบไร้ขีดจำกัด ส่วน Crusoe จะเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ AI ที่รันบนระบบเหล่านี้

    ดาวเทียมดวงแรกของ Starcloud จะถูกปล่อยขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 และ Crusoe จะเริ่มให้บริการคลาวด์จากอวกาศในช่วงต้นปี 2027 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลเป็นระดับกิกะวัตต์ในอนาคต

    ความร่วมมือระหว่าง Crusoe และ Starcloud
    ส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่อวกาศเพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูล AI
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง
    ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับบนโลก
    ใช้สูญญากาศในอวกาศเป็น heat sink สำหรับระบายความร้อน
    ไม่ใช้พื้นที่บนโลกและไม่รบกวนโครงข่ายไฟฟ้า

    แผนการดำเนินงาน
    ดาวเทียมดวงแรกจะปล่อยในพฤศจิกายน 2025
    Crusoe Cloud จะเริ่มให้บริการจากอวกาศต้นปี 2027
    เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ในอวกาศ
    Starcloud เป็นบริษัทในโครงการ Nvidia Inception
    Crusoe มีประสบการณ์วางระบบใกล้แหล่งพลังงาน เช่น แก๊สเหลือทิ้ง

    วิสัยทัศน์และผลกระทบ
    เปิดทางให้การประมวลผล AI ขยายสู่พื้นที่นอกโลก
    ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานบนโลก
    อาจเป็นต้นแบบของ “AI factory” ในอวกาศ
    สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องการพลังประมวลผลสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/first-nvidia-h100-gpus-will-reach-orbit-next-month-crusoe-and-starcloud-pioneer-space-based-solar-powered-ai-compute-cloud-data-centers
    🛰️ “Nvidia H100 เตรียมขึ้นสู่อวกาศ! Crusoe จับมือ Starcloud สร้างศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์นอกโลก” Crusoe บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ AI และ Starcloud สตาร์ทอัพจาก Redmond กำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเทคโนโลยี ด้วยการส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่วงโคจรโลก เพื่อสร้าง “ศูนย์ข้อมูล AI พลังแสงอาทิตย์ในอวกาศ” เป็นครั้งแรกของโลก แนวคิดนี้คือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางในอวกาศ (ไม่มีเมฆ ไม่มีเวลากลางคืน) เพื่อจ่ายไฟให้กับระบบประมวลผล AI ที่ใช้พลังงานสูงอย่าง H100 โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าบนโลก ซึ่งมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม Starcloud จะเป็นผู้สร้างดาวเทียมที่ติดตั้งศูนย์ข้อมูลขนาดเล็ก พร้อมแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ และระบบระบายความร้อนที่ใช้ “สูญญากาศของอวกาศ” เป็น heat sink แบบไร้ขีดจำกัด ส่วน Crusoe จะเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ AI ที่รันบนระบบเหล่านี้ ดาวเทียมดวงแรกของ Starcloud จะถูกปล่อยขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 และ Crusoe จะเริ่มให้บริการคลาวด์จากอวกาศในช่วงต้นปี 2027 โดยมีแผนขยายกำลังประมวลผลเป็นระดับกิกะวัตต์ในอนาคต ✅ ความร่วมมือระหว่าง Crusoe และ Starcloud ➡️ ส่ง Nvidia H100 GPU ขึ้นสู่อวกาศเพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ➡️ ลดต้นทุนพลังงานได้ถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับบนโลก ➡️ ใช้สูญญากาศในอวกาศเป็น heat sink สำหรับระบายความร้อน ➡️ ไม่ใช้พื้นที่บนโลกและไม่รบกวนโครงข่ายไฟฟ้า ✅ แผนการดำเนินงาน ➡️ ดาวเทียมดวงแรกจะปล่อยในพฤศจิกายน 2025 ➡️ Crusoe Cloud จะเริ่มให้บริการจากอวกาศต้นปี 2027 ➡️ เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลระดับกิกะวัตต์ในอวกาศ ➡️ Starcloud เป็นบริษัทในโครงการ Nvidia Inception ➡️ Crusoe มีประสบการณ์วางระบบใกล้แหล่งพลังงาน เช่น แก๊สเหลือทิ้ง ✅ วิสัยทัศน์และผลกระทบ ➡️ เปิดทางให้การประมวลผล AI ขยายสู่พื้นที่นอกโลก ➡️ ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานบนโลก ➡️ อาจเป็นต้นแบบของ “AI factory” ในอวกาศ ➡️ สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องการพลังประมวลผลสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/first-nvidia-h100-gpus-will-reach-orbit-next-month-crusoe-and-starcloud-pioneer-space-based-solar-powered-ai-compute-cloud-data-centers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia's H100 GPUs are going to space — Crusoe and Starcloud pioneer space-based solar-powered AI compute cloud data centers
    Space age partners claim the H100 delivers ‘100x more powerful GPU (AI) compute than has been in space before.’
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Data Center ขาดไฟ! หันใช้เครื่องยนต์เจ็ทจากเครื่องบินเก่า – ผลิตไฟได้ถึง 48MW ต่อเครื่อง”

    ในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็พุ่งสูงตามไปด้วย จนเกิดปัญหา “ไฟไม่พอใช้” เพราะการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าหลัก (grid) ต้องใช้เวลาหลายปี และเครื่องกังหันแก๊ส (gas turbine) ก็มีคิวผลิตยาวเหยียดถึงปี 2029

    บริษัท ProEnergy จากสหรัฐฯ จึงเสนอทางออกสุดแหวกแนว: นำเครื่องยนต์เจ็ทเก่าจากเครื่องบินพาณิชย์ เช่น Boeing 747 หรือ Airbus A310 มาดัดแปลงเป็นเครื่องผลิตไฟฟ้า โดยใช้แกนเครื่องยนต์ CF6-80C2 ของ GE Aerospace เป็นฐาน แล้วเสริมระบบควบคุมใหม่ ติดตั้งบนฐานคอนกรีต พร้อมระบบลดมลพิษ

    เครื่องที่ได้ชื่อว่า PE6000 สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 48 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่สองแห่ง รวมกันมากกว่า 1 กิกะวัตต์ โดยทำหน้าที่เป็น “bridging power” หรือไฟฟ้าชั่วคราวในช่วงที่ยังเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าไม่ได้

    เมื่อเชื่อมต่อกับ grid ได้แล้ว เครื่องเหล่านี้ยังสามารถใช้เป็นไฟสำรอง หรือขายไฟคืนให้กับระบบได้อีกด้วย ถือเป็นการรีไซเคิลเครื่องบินเก่าให้กลับมามีชีวิตใหม่ในโลกของ AI

    ทางออกใหม่ของ Data Center
    ใช้เครื่องยนต์เจ็ทเก่าจากเครื่องบินพาณิชย์มาผลิตไฟฟ้า
    ดัดแปลงเป็นเครื่อง PE6000 โดย ProEnergy
    ผลิตไฟได้ 48MW ต่อเครื่อง
    ใช้เป็นไฟฟ้าชั่วคราวระหว่างรอเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า
    สามารถใช้เป็นไฟสำรองหรือขายคืนให้ระบบได้ในภายหลัง

    สาเหตุที่ต้องใช้เครื่องบินเก่า
    ความต้องการไฟฟ้าจาก AI พุ่งสูง
    การเชื่อมต่อกับ grid ใช้เวลานานหลายปี
    เครื่องกังหันแก๊สใหม่มีคิวผลิตยาวถึงปี 2029
    การใช้เครื่องบินเก่าช่วยลดเวลาและต้นทุน

    ข้อมูลทางเทคนิค
    ใช้แกนเครื่องยนต์ CF6-80C2 ของ GE Aerospace
    ติดตั้งบนฐานคอนกรีต พร้อมระบบควบคุมใหม่
    มีระบบลดมลพิษและระบายความร้อน
    ใช้เชื้อเพลิงแก๊สธรรมชาติแทนเชื้อเพลิงเครื่องบิน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/data-centers-turn-to-ex-airliner-engines-as-ai-power-crunch-bites
    ✈️ “Data Center ขาดไฟ! หันใช้เครื่องยนต์เจ็ทจากเครื่องบินเก่า – ผลิตไฟได้ถึง 48MW ต่อเครื่อง” ในยุคที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็พุ่งสูงตามไปด้วย จนเกิดปัญหา “ไฟไม่พอใช้” เพราะการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าหลัก (grid) ต้องใช้เวลาหลายปี และเครื่องกังหันแก๊ส (gas turbine) ก็มีคิวผลิตยาวเหยียดถึงปี 2029 บริษัท ProEnergy จากสหรัฐฯ จึงเสนอทางออกสุดแหวกแนว: นำเครื่องยนต์เจ็ทเก่าจากเครื่องบินพาณิชย์ เช่น Boeing 747 หรือ Airbus A310 มาดัดแปลงเป็นเครื่องผลิตไฟฟ้า โดยใช้แกนเครื่องยนต์ CF6-80C2 ของ GE Aerospace เป็นฐาน แล้วเสริมระบบควบคุมใหม่ ติดตั้งบนฐานคอนกรีต พร้อมระบบลดมลพิษ เครื่องที่ได้ชื่อว่า PE6000 สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 48 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่สองแห่ง รวมกันมากกว่า 1 กิกะวัตต์ โดยทำหน้าที่เป็น “bridging power” หรือไฟฟ้าชั่วคราวในช่วงที่ยังเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าไม่ได้ เมื่อเชื่อมต่อกับ grid ได้แล้ว เครื่องเหล่านี้ยังสามารถใช้เป็นไฟสำรอง หรือขายไฟคืนให้กับระบบได้อีกด้วย ถือเป็นการรีไซเคิลเครื่องบินเก่าให้กลับมามีชีวิตใหม่ในโลกของ AI ✅ ทางออกใหม่ของ Data Center ➡️ ใช้เครื่องยนต์เจ็ทเก่าจากเครื่องบินพาณิชย์มาผลิตไฟฟ้า ➡️ ดัดแปลงเป็นเครื่อง PE6000 โดย ProEnergy ➡️ ผลิตไฟได้ 48MW ต่อเครื่อง ➡️ ใช้เป็นไฟฟ้าชั่วคราวระหว่างรอเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า ➡️ สามารถใช้เป็นไฟสำรองหรือขายคืนให้ระบบได้ในภายหลัง ✅ สาเหตุที่ต้องใช้เครื่องบินเก่า ➡️ ความต้องการไฟฟ้าจาก AI พุ่งสูง ➡️ การเชื่อมต่อกับ grid ใช้เวลานานหลายปี ➡️ เครื่องกังหันแก๊สใหม่มีคิวผลิตยาวถึงปี 2029 ➡️ การใช้เครื่องบินเก่าช่วยลดเวลาและต้นทุน ✅ ข้อมูลทางเทคนิค ➡️ ใช้แกนเครื่องยนต์ CF6-80C2 ของ GE Aerospace ➡️ ติดตั้งบนฐานคอนกรีต พร้อมระบบควบคุมใหม่ ➡️ มีระบบลดมลพิษและระบายความร้อน ➡️ ใช้เชื้อเพลิงแก๊สธรรมชาติแทนเชื้อเพลิงเครื่องบิน https://www.tomshardware.com/tech-industry/data-centers-turn-to-ex-airliner-engines-as-ai-power-crunch-bites
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผลโหวต TechPowerUp เผย! ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่จ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัส – Windows Defender ครองใจคนไอที”

    TechPowerUp จัดโพลสำรวจผู้ใช้กว่า 34,000 คนเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัส และผลที่ออกมาก็ชวนให้หลายคนต้องคิดใหม่ เพราะ “เกือบไม่มีใครจ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัสอีกแล้ว” โดย 60.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้ Windows Defender ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows อยู่แล้ว

    นอกจากนี้ยังมี 15.7% ที่บอกว่า “ไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย” ซึ่งจริง ๆ แล้ว Windows Defender ก็ยังทำงานอยู่ในเบื้องหลัง แม้ผู้ใช้จะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนผู้ที่ยังใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น ๆ มีเพียง 24% เท่านั้น โดยแบ่งเป็น Bitdefender 6.1%, Avast 2.9%, AVG 1%, Norton 1.9% และ McAfee 0.7%

    เหตุผลหลักที่คนหันหลังให้กับแอนตี้ไวรัสแบบเสียเงินคือ Windows เองได้พัฒนาเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, และ Virtualization-based Security ที่ทำให้ระบบปลอดภัยขึ้นมากโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม

    อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้บางคนยังคงใช้โปรแกรมอย่าง Malwarebytes หรือ firewall แบบแยกต่างหากเพื่อเสริมความปลอดภัยเฉพาะทาง เช่น การบล็อก Windows Update หรือการควบคุมการเชื่อมต่อของแอปพลิเคชัน

    ผลสำรวจจาก TechPowerUp
    ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 34,316 คน
    60.5% ใช้ Windows Defender เป็นหลัก
    15.7% ระบุว่าไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย
    24% ใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น เช่น Bitdefender, Avast, AVG, Norton, McAfee
    Bitdefender ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่ม third-party ที่ 6.1%

    เหตุผลที่ Windows Defender ได้รับความนิยม
    เป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows
    มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, VBS
    ลดความจำเป็นในการติดตั้งโปรแกรมเสริม
    ไม่กินทรัพยากรเครื่องเท่ากับบางโปรแกรมแบบเสียเงิน

    ทางเลือกเสริมของผู้ใช้บางกลุ่ม
    ใช้ Malwarebytes สำหรับตรวจจับมัลแวร์เฉพาะทาง
    ใช้ firewall แยกต่างหากเพื่อควบคุมการเชื่อมต่อ
    บางคนยังใช้โปรแกรมแบบ lifetime license ที่เคยซื้อไว้

    https://www.techpowerup.com/342112/almost-nobody-uses-paid-third-party-antivirus-techpowerup-frontpage-poll
    🛡️ “ผลโหวต TechPowerUp เผย! ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่จ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัส – Windows Defender ครองใจคนไอที” TechPowerUp จัดโพลสำรวจผู้ใช้กว่า 34,000 คนเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัส และผลที่ออกมาก็ชวนให้หลายคนต้องคิดใหม่ เพราะ “เกือบไม่มีใครจ่ายเงินซื้อแอนตี้ไวรัสอีกแล้ว” โดย 60.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้ Windows Defender ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมี 15.7% ที่บอกว่า “ไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย” ซึ่งจริง ๆ แล้ว Windows Defender ก็ยังทำงานอยู่ในเบื้องหลัง แม้ผู้ใช้จะไม่รู้ตัวก็ตาม ส่วนผู้ที่ยังใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น ๆ มีเพียง 24% เท่านั้น โดยแบ่งเป็น Bitdefender 6.1%, Avast 2.9%, AVG 1%, Norton 1.9% และ McAfee 0.7% เหตุผลหลักที่คนหันหลังให้กับแอนตี้ไวรัสแบบเสียเงินคือ Windows เองได้พัฒนาเครื่องมือรักษาความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, และ Virtualization-based Security ที่ทำให้ระบบปลอดภัยขึ้นมากโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเสริม อีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้บางคนยังคงใช้โปรแกรมอย่าง Malwarebytes หรือ firewall แบบแยกต่างหากเพื่อเสริมความปลอดภัยเฉพาะทาง เช่น การบล็อก Windows Update หรือการควบคุมการเชื่อมต่อของแอปพลิเคชัน ✅ ผลสำรวจจาก TechPowerUp ➡️ ผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 34,316 คน ➡️ 60.5% ใช้ Windows Defender เป็นหลัก ➡️ 15.7% ระบุว่าไม่ได้ใช้แอนตี้ไวรัสเลย ➡️ 24% ใช้โปรแกรมจากค่ายอื่น เช่น Bitdefender, Avast, AVG, Norton, McAfee ➡️ Bitdefender ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่ม third-party ที่ 6.1% ✅ เหตุผลที่ Windows Defender ได้รับความนิยม ➡️ เป็นโปรแกรมฟรีที่ติดมากับ Windows ➡️ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น Secure Boot, BitLocker, TPM, VBS ➡️ ลดความจำเป็นในการติดตั้งโปรแกรมเสริม ➡️ ไม่กินทรัพยากรเครื่องเท่ากับบางโปรแกรมแบบเสียเงิน ✅ ทางเลือกเสริมของผู้ใช้บางกลุ่ม ➡️ ใช้ Malwarebytes สำหรับตรวจจับมัลแวร์เฉพาะทาง ➡️ ใช้ firewall แยกต่างหากเพื่อควบคุมการเชื่อมต่อ ➡️ บางคนยังใช้โปรแกรมแบบ lifetime license ที่เคยซื้อไว้ https://www.techpowerup.com/342112/almost-nobody-uses-paid-third-party-antivirus-techpowerup-frontpage-poll
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Almost Nobody Uses Paid Third-Party Antivirus: TechPowerUp Frontpage Poll
    Almost nobody cares about third-party antivirus applications, much less pay for them, a surprising set of TechPowerUp Frontpage Poll results show. There was a time when you couldn't have a reliable PC experience without a solid third-party antivirus software, paying protection money each year for su...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qwertykeys เปิดตัวคีย์บอร์ด QK65 MK3 – ดีไซน์เรโทร พร้อมจอเล่นเกมในตัว!”

    สายคีย์บอร์ด Mechanical ต้องร้องว้าว! เพราะ Qwertykeys กำลังจะเปิดตัว QK65 MK3 รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่คีย์บอร์ดธรรมดา แต่มาพร้อม “จอสีขนาดเล็ก” ที่ติดอยู่ด้านขวาของตัวบอร์ด ซึ่งสามารถใช้เล่นเกมในตัวได้เลย!

    จากภาพทีเซอร์บน Instagram และประกาศใน Discord ของแบรนด์ ตัวจอจะเป็นแนวตั้งแบบสี (น่าจะเป็น LCD) และมีปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ รวมถึงปุ่มสไตล์ Game Boy ที่อยู่ด้านบนคล้าย shoulder buttons บนคอนโทรลเลอร์

    ดีไซน์ของ QK65 MK3 มาในโทนเรโทรสุดเท่ สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ๆ แต่ก็ยังคงความหลากหลายในการเลือกสีตามสไตล์ของ Qwertykeys เช่นเดิม

    ในด้านสเปก คีย์บอร์ดนี้ใช้เลย์เอาต์ 65% และคาดว่าจะมีตัวเลือกแผ่น plate หลากหลาย เช่น FR4, อะลูมิเนียม, POM, PC และคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงตัวเคสอะลูมิเนียมที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์ และมีตัวเลือก PCB แบบไร้สายด้วย

    ราคายังไม่เปิดเผย แต่ถ้าอิงจากรุ่นก่อนหน้า QK65 v2 อยู่ที่ $165 และ QK65 v2 Classic อยู่ที่ $175 ก็อาจอยู่ในช่วงใกล้เคียงกัน

    จุดเด่นของ QK65 MK3
    มีจอสีขนาดเล็กติดบนตัวคีย์บอร์ด ใช้เล่นเกมได้
    ปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ และมีปุ่มสไตล์ Game Boy ด้านบน
    ดีไซน์เรโทร สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใส
    ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า
    เลย์เอาต์ 65% เหมาะสำหรับสายเกมและงานทั่วไป
    ตัวเคสอะลูมิเนียม แข็งแรงและสวยงาม
    มีตัวเลือก plate หลากหลาย เช่น FR4, POM, PC, คาร์บอนไฟเบอร์
    รองรับ PCB แบบไร้สาย

    ความคาดหวังและการเปิดตัว
    คาดว่าจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้
    ราคาน่าจะใกล้เคียงกับ QK65 v2 ($165–$175)
    มีให้เลือกหลายสีตามสไตล์ของ Qwertykeys
    สร้างกระแสในชุมชน Mechanical Keyboard อย่างรวดเร็ว

    https://www.techpowerup.com/342115/qwertykeys-teases-qk65-mk3-retro-mechanical-keyboard-with-built-in-mini-games
    🎮 “Qwertykeys เปิดตัวคีย์บอร์ด QK65 MK3 – ดีไซน์เรโทร พร้อมจอเล่นเกมในตัว!” สายคีย์บอร์ด Mechanical ต้องร้องว้าว! เพราะ Qwertykeys กำลังจะเปิดตัว QK65 MK3 รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่คีย์บอร์ดธรรมดา แต่มาพร้อม “จอสีขนาดเล็ก” ที่ติดอยู่ด้านขวาของตัวบอร์ด ซึ่งสามารถใช้เล่นเกมในตัวได้เลย! จากภาพทีเซอร์บน Instagram และประกาศใน Discord ของแบรนด์ ตัวจอจะเป็นแนวตั้งแบบสี (น่าจะเป็น LCD) และมีปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ รวมถึงปุ่มสไตล์ Game Boy ที่อยู่ด้านบนคล้าย shoulder buttons บนคอนโทรลเลอร์ ดีไซน์ของ QK65 MK3 มาในโทนเรโทรสุดเท่ สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใสที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ๆ แต่ก็ยังคงความหลากหลายในการเลือกสีตามสไตล์ของ Qwertykeys เช่นเดิม ในด้านสเปก คีย์บอร์ดนี้ใช้เลย์เอาต์ 65% และคาดว่าจะมีตัวเลือกแผ่น plate หลากหลาย เช่น FR4, อะลูมิเนียม, POM, PC และคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงตัวเคสอะลูมิเนียมที่เป็นมาตรฐานของแบรนด์ และมีตัวเลือก PCB แบบไร้สายด้วย ราคายังไม่เปิดเผย แต่ถ้าอิงจากรุ่นก่อนหน้า QK65 v2 อยู่ที่ $165 และ QK65 v2 Classic อยู่ที่ $175 ก็อาจอยู่ในช่วงใกล้เคียงกัน ✅ จุดเด่นของ QK65 MK3 ➡️ มีจอสีขนาดเล็กติดบนตัวคีย์บอร์ด ใช้เล่นเกมได้ ➡️ ปุ่มควบคุมเกมอยู่ใต้จอ และมีปุ่มสไตล์ Game Boy ด้านบน ➡️ ดีไซน์เรโทร สีเทา-เบจ พร้อมแถบสีสันสดใส ➡️ ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเกมยุค 90 และคอมพิวเตอร์เก่า ➡️ เลย์เอาต์ 65% เหมาะสำหรับสายเกมและงานทั่วไป ➡️ ตัวเคสอะลูมิเนียม แข็งแรงและสวยงาม ➡️ มีตัวเลือก plate หลากหลาย เช่น FR4, POM, PC, คาร์บอนไฟเบอร์ ➡️ รองรับ PCB แบบไร้สาย ✅ ความคาดหวังและการเปิดตัว ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ ➡️ ราคาน่าจะใกล้เคียงกับ QK65 v2 ($165–$175) ➡️ มีให้เลือกหลายสีตามสไตล์ของ Qwertykeys ➡️ สร้างกระแสในชุมชน Mechanical Keyboard อย่างรวดเร็ว https://www.techpowerup.com/342115/qwertykeys-teases-qk65-mk3-retro-mechanical-keyboard-with-built-in-mini-games
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qwertykeys Teases QK65 MK3: Retro Mechanical Keyboard With Built-In Mini Games
    One of the weirder gimmicks to come out of the enthusiast keyboard market is mini displays on keyboards, generally used to display anything from keyboard battery life and connectivity or OS modes to typing speed. The Qwertykeys QK65 MK3, however, takes the idea of a keyboard-mounted display to the n...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/Unlocking-Success-The-Power-of-Purchasing-Verified-Gmail-Accounts-03-23
    https://telegra.ph/Unlocking-Success-The-Power-of-Purchasing-Verified-Gmail-Accounts-03-23
    TELEGRA.PH
    Unlocking Success: The Power of Purchasing Verified Gmail Accounts
    Unlock the power of success with verified Gmail accounts. Increase credibility, visibility, and traffic to your website with this valuable asset. So, why wait any longer? Purchase your verified Gmail accounts today and start unlocking success! Are you looking to take your online presence to the next level and unlock the full potential of your business or personal brand? One powerful way to do so is by purchasing verified Gmail accounts. In this article, we will explore the benefits of using verified Gmail accounts…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อีเมลปลอมจาก Microsoft กำลังหลอกผู้ใช้ให้โทรหาแก๊งหลอกลวง — เมื่อแบรนด์ที่น่าเชื่อถือกลายเป็นเครื่องมือโจมตี” — เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นช่องโหว่ และ CAPTCHA ปลอมคือด่านแรกของการหลอกลวง

    รายงานจาก Cofense Phishing Defense Center เผยว่าอาชญากรไซเบอร์กำลังใช้แบรนด์ Microsoft ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผ่านแคมเปญ phishing ที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากอีเมลที่ดูเหมือนมาจากบริษัทจริง เช่น บริษัทเช่ารถ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน

    เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล จะถูกนำไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมที่ดูเหมือนจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบอัตโนมัติ หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่จำลองอินเทอร์เฟซของ Microsoft ซึ่งล็อกเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง

    ในภาวะตื่นตระหนก ผู้ใช้จะเห็นเบอร์โทรศัพท์ “Microsoft Support” ปลอมปรากฏขึ้น และเมื่อโทรไปจะถูกเชื่อมต่อกับแก๊งหลอกลวงที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Microsoft ซึ่งจะพยายามขอข้อมูลส่วนตัว, รหัสผ่าน, หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อขโมยข้อมูลหรือเงิน

    Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ไม่ได้อาศัยช่องโหว่ทางเทคนิค แต่ใช้ “จิตวิทยา” และ “ความคุ้นเคย” เป็นอาวุธ โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าต้องรีบแก้ไขปัญหา

    อาชญากรไซเบอร์ใช้แบรนด์ Microsoft เป็นเครื่องมือหลอกลวง
    เพราะผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจแบรนด์นี้

    เริ่มต้นด้วยอีเมลปลอมจากบริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทเช่ารถ
    อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน

    ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่หน้า CAPTCHA ปลอม
    เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

    หน้าถัดไปจำลองอินเทอร์เฟซ Microsoft และล็อกเบราว์เซอร์
    พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง

    แสดงเบอร์โทร “Microsoft Support” ปลอมเพื่อให้เหยื่อโทรหา
    แล้วหลอกให้ให้ข้อมูลหรือติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล

    Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ใช้จิตวิทยาเป็นหลัก
    ไม่ใช่การเจาะระบบ แต่เป็นการหลอกให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก

    https://www.techradar.com/pro/phone-communications/microsofts-fantastic-branding-power-is-being-used-by-criminals-to-funnel-victims-to-tech-support-scam-centers-heres-what-you-need-to-know
    🕵️‍♂️ “อีเมลปลอมจาก Microsoft กำลังหลอกผู้ใช้ให้โทรหาแก๊งหลอกลวง — เมื่อแบรนด์ที่น่าเชื่อถือกลายเป็นเครื่องมือโจมตี” — เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นช่องโหว่ และ CAPTCHA ปลอมคือด่านแรกของการหลอกลวง รายงานจาก Cofense Phishing Defense Center เผยว่าอาชญากรไซเบอร์กำลังใช้แบรนด์ Microsoft ซึ่งผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจ เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผ่านแคมเปญ phishing ที่ซับซ้อน โดยเริ่มจากอีเมลที่ดูเหมือนมาจากบริษัทจริง เช่น บริษัทเช่ารถ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล จะถูกนำไปยังหน้า CAPTCHA ปลอมที่ดูเหมือนจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบอัตโนมัติ หลังจากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่จำลองอินเทอร์เฟซของ Microsoft ซึ่งล็อกเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง ในภาวะตื่นตระหนก ผู้ใช้จะเห็นเบอร์โทรศัพท์ “Microsoft Support” ปลอมปรากฏขึ้น และเมื่อโทรไปจะถูกเชื่อมต่อกับแก๊งหลอกลวงที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Microsoft ซึ่งจะพยายามขอข้อมูลส่วนตัว, รหัสผ่าน, หรือให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกลเพื่อขโมยข้อมูลหรือเงิน Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ไม่ได้อาศัยช่องโหว่ทางเทคนิค แต่ใช้ “จิตวิทยา” และ “ความคุ้นเคย” เป็นอาวุธ โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้ใช้รู้สึกว่าต้องรีบแก้ไขปัญหา ✅ อาชญากรไซเบอร์ใช้แบรนด์ Microsoft เป็นเครื่องมือหลอกลวง ➡️ เพราะผู้ใช้คุ้นเคยและไว้วางใจแบรนด์นี้ ✅ เริ่มต้นด้วยอีเมลปลอมจากบริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น บริษัทเช่ารถ ➡️ อ้างว่ามีเงินคืนรอการยืนยัน ✅ ลิงก์ในอีเมลนำไปสู่หน้า CAPTCHA ปลอม ➡️ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ✅ หน้าถัดไปจำลองอินเทอร์เฟซ Microsoft และล็อกเบราว์เซอร์ ➡️ พร้อมแสดงข้อความว่า “ระบบถูกโจมตี” และทำให้เมาส์ไม่ตอบสนอง ✅ แสดงเบอร์โทร “Microsoft Support” ปลอมเพื่อให้เหยื่อโทรหา ➡️ แล้วหลอกให้ให้ข้อมูลหรือติดตั้งโปรแกรมควบคุมระยะไกล ✅ Cofense เตือนว่าแคมเปญนี้ใช้จิตวิทยาเป็นหลัก ➡️ ไม่ใช่การเจาะระบบ แต่เป็นการหลอกให้ผู้ใช้ตื่นตระหนก https://www.techradar.com/pro/phone-communications/microsofts-fantastic-branding-power-is-being-used-by-criminals-to-funnel-victims-to-tech-support-scam-centers-heres-what-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    The Microsoft logo you trust could now be a trap
    Cybercriminals are transforming brand familiarity into a weapon of deception
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • “JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน JESD328 SOCAMM2 — โมดูล LPDDR5X สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่เล็กลงแต่แรงขึ้น” — เมื่อหน่วยความจำแบบใหม่เตรียมเปลี่ยนโฉมการประมวลผลในดาต้าเซ็นเตอร์

    JEDEC ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศว่าใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน JESD328 สำหรับโมดูลหน่วยความจำแบบใหม่ชื่อว่า SOCAMM2 (Small Outline Compression Attached Memory Module) ที่ใช้ LPDDR5/5X โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ในเซิร์ฟเวอร์และแพลตฟอร์มเร่งการประมวลผล

    SOCAMM2 จะมีขนาดเล็กและสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย เหมาะกับแชสซีเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง และสามารถขยายความจุได้ตามต้องการ โดยรองรับความเร็วสูงสุดถึง 9.6 Gb/s ต่อ pin หากระบบมีคุณภาพสัญญาณที่ดีพอ

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Serial Presence Detect (SPD) สำหรับระบุข้อมูลโมดูลและตรวจสอบการทำงานแบบ telemetry ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถานะและความเสถียรของหน่วยความจำได้อย่างแม่นยำ

    จุดเด่นของ JESD328 SOCAMM2
    ใช้ LPDDR5/5X ที่มีความเร็วสูงและประหยัดพลังงาน
    ลดความร้อนและการใช้พลังงานในเซิร์ฟเวอร์ AI

    ขนาดเล็กและถอดเปลี่ยนได้ง่าย
    เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง

    รองรับความเร็วสูงสุด 9.6 Gb/s ต่อ pin
    หากระบบมี signal integrity ดีพอ

    มี SPD สำหรับ telemetry และการตรวจสอบสถานะ
    ช่วยให้ดูแลระบบได้ง่ายขึ้น

    ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI training และ inference
    โดยเฉพาะในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    ลดการใช้พลังงานและความร้อน
    เหมาะกับระบบที่ต้องการความเย็นและประหยัดไฟ

    https://www.techpowerup.com/342065/jedec-nears-completion-of-jesd328-socamm2-standard-for-lpddr5x-memory-modules
    📦 “JEDEC ใกล้เปิดตัวมาตรฐาน JESD328 SOCAMM2 — โมดูล LPDDR5X สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI ที่เล็กลงแต่แรงขึ้น” — เมื่อหน่วยความจำแบบใหม่เตรียมเปลี่ยนโฉมการประมวลผลในดาต้าเซ็นเตอร์ JEDEC ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ประกาศว่าใกล้เสร็จสิ้นการพัฒนามาตรฐาน JESD328 สำหรับโมดูลหน่วยความจำแบบใหม่ชื่อว่า SOCAMM2 (Small Outline Compression Attached Memory Module) ที่ใช้ LPDDR5/5X โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ในเซิร์ฟเวอร์และแพลตฟอร์มเร่งการประมวลผล SOCAMM2 จะมีขนาดเล็กและสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย เหมาะกับแชสซีเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง และสามารถขยายความจุได้ตามต้องการ โดยรองรับความเร็วสูงสุดถึง 9.6 Gb/s ต่อ pin หากระบบมีคุณภาพสัญญาณที่ดีพอ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Serial Presence Detect (SPD) สำหรับระบุข้อมูลโมดูลและตรวจสอบการทำงานแบบ telemetry ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบสถานะและความเสถียรของหน่วยความจำได้อย่างแม่นยำ 🧧 จุดเด่นของ JESD328 SOCAMM2 ✅ ใช้ LPDDR5/5X ที่มีความเร็วสูงและประหยัดพลังงาน ➡️ ลดความร้อนและการใช้พลังงานในเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ ขนาดเล็กและถอดเปลี่ยนได้ง่าย ➡️ เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง ✅ รองรับความเร็วสูงสุด 9.6 Gb/s ต่อ pin ➡️ หากระบบมี signal integrity ดีพอ ✅ มี SPD สำหรับ telemetry และการตรวจสอบสถานะ ➡️ ช่วยให้ดูแลระบบได้ง่ายขึ้น ✅ ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI training และ inference ➡️ โดยเฉพาะในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ✅ ลดการใช้พลังงานและความร้อน ➡️ เหมาะกับระบบที่ต้องการความเย็นและประหยัดไฟ https://www.techpowerup.com/342065/jedec-nears-completion-of-jesd328-socamm2-standard-for-lpddr5x-memory-modules
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    JEDEC Nears Completion of JESD328 SOCAMM2 Standard for LPDDR5X Memory Modules
    JEDEC Solid State Technology Association, the global leader in standards development for the microelectronics industry, today announced it is nearing completion of JESD328: LPDDR5/5X Small Outline Compression Attached Memory Module (SOCAMM2) Common Standard, an upcoming standard for low-profile LPDR...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์

    Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์

    G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที

    ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell
    มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย
    มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า

    รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM
    รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB
    เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent

    เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง
    เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop)

    รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก
    เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks

    ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้
    สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim
    ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง

    รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM
    มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว

    เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery
    บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment

    https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    ☁️ “Google Cloud เปิดให้ใช้งาน G4 VM แล้ว — มาพร้อม RTX PRO 6000 Blackwell GPU สำหรับงาน AI และกราฟิกระดับสูง” — เมื่อการประมวลผลแบบมัลติโหมดและฟิสิกส์จำลองกลายเป็นเรื่องง่ายบนคลาวด์ Google Cloud ประกาศเปิดให้ใช้งาน G4 VM อย่างเป็นทางการ ซึ่งใช้ GPU รุ่นใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA คือ RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่การ inference ของโมเดลมัลติโหมด ไปจนถึงการจำลองฟิสิกส์ในหุ่นยนต์และการออกแบบผลิตภัณฑ์ G4 VM รองรับการใช้งานร่วมกับ NVIDIA Omniverse และ Isaac Sim ผ่าน VM image บน Google Cloud Marketplace ทำให้สามารถสร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ในสภาพแวดล้อมจำลองได้ทันที ✅ ใช้ GPU RTX PRO 6000 Blackwell ➡️ มี Tensor Core รุ่นที่ 5 รองรับ FP4 สำหรับ inference ที่เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำน้อย ➡️ มี RT Core รุ่นที่ 4 ให้ ray tracing แบบ real-time ที่เร็วกว่าเดิม 2 เท่า ✅ รองรับสูงสุด 8 GPU ต่อ VM ➡️ รวมหน่วยความจำ GDDR7 ได้ถึง 768 GB ➡️ เหมาะกับงาน simulation, content creation และ AI agent ✅ เชื่อมต่อกับบริการอื่นใน Google Cloud ได้โดยตรง ➡️ เช่น Kubernetes Engine, Vertex AI, Dataproc (Spark/Hadoop) ✅ รองรับซอฟต์แวร์ยอดนิยมในสายวิศวกรรมและกราฟิก ➡️ เช่น AutoCAD, Blender, SolidWorks ✅ ใช้ร่วมกับ NVIDIA Omniverse ได้ ➡️ สร้าง digital twin และฝึกหุ่นยนต์ด้วย Isaac Sim ➡️ ใช้ Cosmos foundation model และ Blueprints สำหรับการจำลอง ✅ รองรับการ deploy agentic AI ด้วย NVIDIA Nemotron และ NIM ➡️ มี microservices สำหรับ inference ที่ปลอดภัยและเร็ว ✅ เหมาะกับงาน HPC เช่น genomics และ drug discovery ➡️ บน Blackwell GPU มี throughput สูงกว่าเดิมถึง 6.8 เท่าในงาน alignment https://www.techpowerup.com/342057/google-cloud-g4-vms-with-nvidia-rtx-pro-6000-blackwell-gpu-now-generally-available
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Google Cloud G4 VMs With NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell GPU Now Generally Available
    NVIDIA and Google Cloud are expanding access to accelerated computing to transform the full spectrum of enterprise workloads, from visual computing to agentic and physical AI. Google Cloud today announced the general availability of G4 VMs, powered by NVIDIA RTX PRO 6000 Blackwell Server Edition GPU...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ

    GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม

    ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล

    เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น:

    หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI
    อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน
    ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง

    GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง

    Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory
    รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว

    ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG
    แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98%

    เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval
    เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน

    Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency
    เหมาะกับงาน memory-intensive

    Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ
    เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา

    งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25
    เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์

    https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    ⚡ “APU แบบ Compute-in-Memory จาก GSI ทำงานเร็วเท่ากับ GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่า 98%” — เมื่อการประมวลผลแบบใหม่อาจเปลี่ยนเกม AI ทั้งในหุ่นยนต์, IoT และอวกาศ GSI Technology ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เผยผลการทดสอบ APU (Associative Processing Unit) รุ่น Gemini-I ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory (CIM) ในการประมวลผล AI โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำออกจากหน่วยคำนวณเหมือน CPU หรือ GPU แบบเดิม ผลการทดสอบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) บนชุดข้อมูลขนาด 10–200 GB พบว่า Gemini-I มีประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% และเร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงานค้นคืนข้อมูล เทคโนโลยีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการประสิทธิภาพต่อวัตต์สูง เช่น: 🔋 หุ่นยนต์และโดรนที่ใช้ Edge AI 🔋 อุปกรณ์ IoT ที่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 🔋 ระบบป้องกันประเทศและอวกาศที่ต้องการความเย็นต่ำและความเร็วสูง GSI ยังเผยว่า Gemini-II ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปจะเร็วขึ้นอีก 10 เท่า และ Plato ซึ่งอยู่ในขั้นพัฒนา จะเน้นงาน embedded edge ที่ใช้พลังงานต่ำแต่ต้องการความสามารถสูง ✅ Gemini-I APU จาก GSI ใช้สถาปัตยกรรม Compute-in-Memory ➡️ รวมหน่วยความจำและประมวลผลไว้ในชิปเดียว ✅ ประสิทธิภาพเทียบเท่า NVIDIA A6000 GPU ในงาน RAG ➡️ แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 98% ✅ เร็วกว่า CPU ทั่วไปถึง 80% ในงาน retrieval ➡️ เหมาะกับงาน AI ที่ต้องการความเร็วและประหยัดพลังงาน ✅ Gemini-II จะเร็วขึ้นอีก 10 เท่าและลด latency ➡️ เหมาะกับงาน memory-intensive ✅ Plato จะเน้น embedded edge AI ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ เช่น หุ่นยนต์, IoT, อุปกรณ์พกพา ✅ งานวิจัยตีพิมพ์ใน ACM และนำเสนอที่งาน Micro '25 ➡️ เป็นการประเมินเชิงลึกครั้งแรกของอุปกรณ์ CIM เชิงพาณิชย์ https://www.techpowerup.com/342054/compute-in-memory-apu-achieves-gpu-class-ai-performance-at-a-fraction-of-the-energy-cost
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Compute-In-Memory APU Achieves GPU-Class AI Performance at a Fraction of the Energy Cost
    GSI Technology, Inc. (Nasdaq: GSIT), the inventor of the Associative Processing Unit (APU), a paradigm shift in artificial intelligence (AI) and high-performance compute (HPC) processing providing true compute-in-memory technology, announced the publication of a paper led by researchers at Cornell U...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหา — ศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาน้ำ, ไฟ และโรคระบาด” — เมื่อการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 1.5 กิกะวัตต์กลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนท้องถิ่น

    เล่าเรื่องให้ฟัง: Microsoft ถูกกล่าวหาว่าศูนย์ข้อมูลในเมืองเกเรตาโร ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเปิดใช้งานเมื่อปี 2024 เป็นสาเหตุของปัญหาน้ำขาดแคลน, ไฟดับบ่อย และโรคระบาดในชุมชนใกล้เคียง เช่น โรคตับอักเสบและอาการป่วยในระบบทางเดินอาหาร

    รายงานจาก New York Times ระบุว่า:

    โรงเรียนในเมือง Las Cenizas ต้องปิดชั่วคราวเพราะไม่มีน้ำใช้
    คลินิกท้องถิ่นไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้เพราะไฟดับ
    ชาวบ้านต้องจ่ายเงินเพื่อใช้น้ำจากรถบรรทุก
    อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายจากไฟกระชาก

    Microsoft ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดย Bowen Wallace รองประธานฝ่ายศูนย์ข้อมูลในอเมริกา ระบุว่า “ไม่มีหลักฐานว่าศูนย์ข้อมูลของเราทำให้เกิดไฟดับหรือน้ำขาดแคลน” และยืนยันว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับความต้องการพื้นฐานของชุมชน

    บริษัทไฟฟ้าแห่งชาติของเม็กซิโกชี้ว่าไฟดับเกิดจากฟ้าผ่าและสัตว์หลงเข้าไปในระบบไฟฟ้า ไม่เกี่ยวกับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล

    Alejandro Sterling ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมของรัฐเกเรตาโรกล่าวว่า “นี่คือปัญหาที่ดี” เพราะสะท้อนถึงการเติบโตของพื้นที่ และยืนยันว่าแผนขยายศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.5 กิกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้า

    Microsoft ถูกกล่าวหาว่าศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกเป็นต้นเหตุของปัญหาท้องถิ่น
    เช่น น้ำขาดแคลน, ไฟดับ, และโรคตับอักเสบ

    ชาวบ้านในเมืองใกล้เคียงต้องจ่ายเงินใช้น้ำจากรถบรรทุก
    เพราะน้ำประปาไม่เพียงพอ

    Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ
    ระบุว่าไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับปัญหาที่เกิดขึ้น

    บริษัทไฟฟ้าแห่งชาติชี้ว่าไฟดับเกิดจากฟ้าผ่าและสัตว์
    ไม่เกี่ยวกับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล

    เจ้าหน้าที่รัฐมองว่าปัญหาเหล่านี้สะท้อนการเติบโตของพื้นที่
    และสนับสนุนแผนขยายศูนย์ข้อมูลอีก 1.5 กิกะวัตต์ใน 5 ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/microsoft-denies-mexico-data-center-linked-to-water-shortages-local-illnesses-and-power-outages-stomach-bugs-and-even-hepatitis-reported-in-region-as-1-5-gigawatt-ai-data-center-buildout-looms
    🏗️ “Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหา — ศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาน้ำ, ไฟ และโรคระบาด” — เมื่อการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 1.5 กิกะวัตต์กลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนท้องถิ่น เล่าเรื่องให้ฟัง: Microsoft ถูกกล่าวหาว่าศูนย์ข้อมูลในเมืองเกเรตาโร ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเปิดใช้งานเมื่อปี 2024 เป็นสาเหตุของปัญหาน้ำขาดแคลน, ไฟดับบ่อย และโรคระบาดในชุมชนใกล้เคียง เช่น โรคตับอักเสบและอาการป่วยในระบบทางเดินอาหาร รายงานจาก New York Times ระบุว่า: 🎗️ โรงเรียนในเมือง Las Cenizas ต้องปิดชั่วคราวเพราะไม่มีน้ำใช้ 🎗️ คลินิกท้องถิ่นไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้เพราะไฟดับ 🎗️ ชาวบ้านต้องจ่ายเงินเพื่อใช้น้ำจากรถบรรทุก 🎗️ อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายจากไฟกระชาก Microsoft ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดย Bowen Wallace รองประธานฝ่ายศูนย์ข้อมูลในอเมริกา ระบุว่า “ไม่มีหลักฐานว่าศูนย์ข้อมูลของเราทำให้เกิดไฟดับหรือน้ำขาดแคลน” และยืนยันว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับความต้องการพื้นฐานของชุมชน บริษัทไฟฟ้าแห่งชาติของเม็กซิโกชี้ว่าไฟดับเกิดจากฟ้าผ่าและสัตว์หลงเข้าไปในระบบไฟฟ้า ไม่เกี่ยวกับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล Alejandro Sterling ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมของรัฐเกเรตาโรกล่าวว่า “นี่คือปัญหาที่ดี” เพราะสะท้อนถึงการเติบโตของพื้นที่ และยืนยันว่าแผนขยายศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.5 กิกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้า ✅ Microsoft ถูกกล่าวหาว่าศูนย์ข้อมูลในเม็กซิโกเป็นต้นเหตุของปัญหาท้องถิ่น ➡️ เช่น น้ำขาดแคลน, ไฟดับ, และโรคตับอักเสบ ✅ ชาวบ้านในเมืองใกล้เคียงต้องจ่ายเงินใช้น้ำจากรถบรรทุก ➡️ เพราะน้ำประปาไม่เพียงพอ ✅ Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ➡️ ระบุว่าไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ✅ บริษัทไฟฟ้าแห่งชาติชี้ว่าไฟดับเกิดจากฟ้าผ่าและสัตว์ ➡️ ไม่เกี่ยวกับการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล ✅ เจ้าหน้าที่รัฐมองว่าปัญหาเหล่านี้สะท้อนการเติบโตของพื้นที่ ➡️ และสนับสนุนแผนขยายศูนย์ข้อมูลอีก 1.5 กิกะวัตต์ใน 5 ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/microsoft-denies-mexico-data-center-linked-to-water-shortages-local-illnesses-and-power-outages-stomach-bugs-and-even-hepatitis-reported-in-region-as-1-5-gigawatt-ai-data-center-buildout-looms
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร

    Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่

    Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน

    แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง

    หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น:

    Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก
    LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร
    Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง

    Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026
    ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021

    Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365
    ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก

    Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97
    เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู
    และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข

    ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer
    ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป

    ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2
    มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ

    https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    📄 “Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 — ปิดตำนานเครื่องมือออกแบบยุค 90” — เมื่อแอปสร้างใบปลิวและจดหมายข่าวที่เคยอยู่ในทุกบ้านกำลังจะอำลาอย่างถาวร Microsoft ประกาศว่าจะยุติการสนับสนุนแอป Publisher อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2026 ซึ่งตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 โดยหลังจากวันนั้น Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 และไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีกต่อไปในเวอร์ชันใหม่ Publisher เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 เพื่อให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น ใบปลิว, โบรชัวร์, จดหมายข่าว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมระดับมืออาชีพอย่าง QuarkXPress หรือ Adobe InDesign ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และการใช้งานง่าย ทำให้ Publisher กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในโรงเรียน, ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้ใช้ตามบ้าน แม้จะไม่เคยครองใจนักออกแบบมืออาชีพ แต่ Publisher ก็มีบทบาทสำคัญในการ “ประชาธิปไตยด้านการออกแบบ” โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างสื่อสิ่งพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง หลังจากการยุติการสนับสนุน Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู และหากต้องการแก้ไข ให้เปิด PDF ใน Word — แม้ว่าการจัดวางอาจเพี้ยน โดยเฉพาะไฟล์ที่มีกราฟิกจำนวนมาก สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทางเลือกใหม่ Microsoft แนะนำให้ใช้ Word, PowerPoint หรือแอป Designer แทน ส่วนทางเลือกจากภายนอกก็มีเช่น: 📐 Canva — ใช้งานง่าย มีเทมเพลตหลากหลาย แต่ฟีเจอร์เต็มต้องสมัครสมาชิก 📐 LibreOffice Draw — ฟรีและโอเพ่นซอร์ส รองรับไฟล์ .pub ได้พอสมควร 📐 Affinity Publisher 2 — ซื้อครั้งเดียว ไม่มีรายเดือน เหมาะกับผู้ใช้จริงจัง ✅ Microsoft Publisher จะสิ้นสุดการสนับสนุนในเดือนตุลาคม 2026 ➡️ ตรงกับวันหมดอายุของ Office LTSC 2021 ✅ Publisher จะถูกถอดออกจาก Microsoft 365 ➡️ ไม่สามารถติดตั้งหรือเปิดไฟล์ .pub ได้อีก ✅ Publisher เปิดตัวในปี 1991 และรวมอยู่ใน Office ตั้งแต่เวอร์ชัน 97 ➡️ เคยเป็นเครื่องมือออกแบบยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ Microsoft แนะนำให้แปลงไฟล์ .pub เป็น PDF เพื่อเก็บไว้ดู ➡️ และเปิด PDF ใน Word หากต้องการแก้ไข ✅ ทางเลือกใหม่จาก Microsoft ได้แก่ Word, PowerPoint และ Designer ➡️ ใช้แทน Publisher สำหรับงานออกแบบทั่วไป ✅ ทางเลือกจากภายนอก ได้แก่ Canva, LibreOffice Draw, Affinity Publisher 2 ➡️ มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินตามระดับความสามารถ https://www.slashgear.com/2001386/microsoft-ending-publisher-in-october-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Microsoft Will Be Ending Support For This Popular Software In October 2026 - SlashGear
    Microsoft Publisher will reach end-of-support in October 2026 -- Microsoft will drop updates and remove it from Microsoft 365 apps.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย — ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล” — เมื่อธรรมชาติกลายเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

    เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวโรงไฟฟ้าออสโมติก (osmotic power plant) แห่งแรกในเอเชีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล — ไม่ใช่แค่การทดลอง แต่เป็นระบบที่ใช้งานจริง โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เพียงพอสำหรับบ้านญี่ปุ่นประมาณ 220 หลัง

    หลักการทำงานของระบบนี้คือการใช้ “ออสโมซิส” ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่น้ำจืดจะซึมผ่านเยื่อบางไปยังฝั่งน้ำเค็มเพื่อปรับสมดุลความเข้มข้นของเกลือ ความดันที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่นี้จะถูกนำไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า — คล้ายกับการใช้พลังงานน้ำ แต่ไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศ

    จุดเด่นของระบบนี้คือความต่อเนื่อง: แม่น้ำไม่หยุดไหลลงทะเล ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ต้องรอแดดหรือลม

    โรงงานยังใช้ “น้ำเกลือเข้มข้น” ที่เหลือจากโรงกรองน้ำทะเล (desalination plant) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ — กลายเป็นวงจรพลังงานแบบหมุนเวียนที่ทั้งผลิตน้ำดื่มและไฟฟ้าไปพร้อมกัน

    แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ เช่น การสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทานและการใช้พลังงานในการสูบน้ำ แต่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เยื่อกรองที่ดีขึ้นและปั๊มที่ใช้พลังงานต่ำ

    ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย
    ตั้งอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การทดลอง

    ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล
    อาศัยหลักการออสโมซิสเพื่อสร้างแรงดัน

    ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
    เพียงพอสำหรับบ้านประมาณ 220 หลัง

    ใช้น้ำเกลือเข้มข้นจากโรงกรองน้ำทะเลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    สร้างระบบพลังงานแบบหมุนเวียน

    ระบบสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
    ไม่ต้องพึ่งพาแดดหรือลม

    มีการพัฒนาเยื่อกรองและปั๊มพลังงานต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดการสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทาน

    https://www.slashgear.com/1997354/japan-fukuoka-osmotic-power-plant-uses-seawater-tech-explained/
    🌊 “ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย — ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล” — เมื่อธรรมชาติกลายเป็นแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดตัวโรงไฟฟ้าออสโมติก (osmotic power plant) แห่งแรกในเอเชีย ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล — ไม่ใช่แค่การทดลอง แต่เป็นระบบที่ใช้งานจริง โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี เพียงพอสำหรับบ้านญี่ปุ่นประมาณ 220 หลัง หลักการทำงานของระบบนี้คือการใช้ “ออสโมซิส” ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่น้ำจืดจะซึมผ่านเยื่อบางไปยังฝั่งน้ำเค็มเพื่อปรับสมดุลความเข้มข้นของเกลือ ความดันที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่นี้จะถูกนำไปหมุนกังหันเพื่อผลิตไฟฟ้า — คล้ายกับการใช้พลังงานน้ำ แต่ไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศ จุดเด่นของระบบนี้คือความต่อเนื่อง: แม่น้ำไม่หยุดไหลลงทะเล ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ต้องรอแดดหรือลม โรงงานยังใช้ “น้ำเกลือเข้มข้น” ที่เหลือจากโรงกรองน้ำทะเล (desalination plant) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ — กลายเป็นวงจรพลังงานแบบหมุนเวียนที่ทั้งผลิตน้ำดื่มและไฟฟ้าไปพร้อมกัน แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ เช่น การสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทานและการใช้พลังงานในการสูบน้ำ แต่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เยื่อกรองที่ดีขึ้นและปั๊มที่ใช้พลังงานต่ำ ✅ ญี่ปุ่นเปิดโรงไฟฟ้าออสโมติกแห่งแรกในเอเชีย ➡️ ตั้งอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การทดลอง ✅ ใช้พลังงานจากการพบกันของน้ำจืดและน้ำทะเล ➡️ อาศัยหลักการออสโมซิสเพื่อสร้างแรงดัน ✅ ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 880,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ➡️ เพียงพอสำหรับบ้านประมาณ 220 หลัง ✅ ใช้น้ำเกลือเข้มข้นจากโรงกรองน้ำทะเลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ สร้างระบบพลังงานแบบหมุนเวียน ✅ ระบบสามารถทำงานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาแดดหรือลม ✅ มีการพัฒนาเยื่อกรองและปั๊มพลังงานต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดการสูญเสียพลังงานจากแรงเสียดทาน https://www.slashgear.com/1997354/japan-fukuoka-osmotic-power-plant-uses-seawater-tech-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Japan's Newest Power Plant Turns Seawater Into Electricity – Here's How It Works - SlashGear
    Fukuoaka's osmotic power plant is supplied by local desalination facilities and uses a natural process to generate modest amounts of power.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Siri ใหม่ยังไม่พร้อม? วิศวกร Apple กังวลประสิทธิภาพใน iOS 26.4"

    Apple กำลังพัฒนา Siri เวอร์ชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเปิดตัวใน iOS 26.4 ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2026 แต่รายงานล่าสุดจาก Bloomberg โดย Mark Gurman เผยว่า วิศวกรบางส่วนของ Apple กำลังแสดงความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Siri ที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในสถานการณ์สำคัญ เช่น การใช้งานในแอปธนาคารหรือการสั่งงานข้ามแอป

    Siri ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม V2 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของเวอร์ชันก่อนหน้า ซึ่ง Craig Federighi รองประธานฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของ Apple เคยกล่าวว่า V1 ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้ได้ และจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ทั้งหมด

    ฟีเจอร์ใหม่ที่คาดว่าจะมาพร้อม Siri ใน iOS 26.4 ได้แก่ In-app Actions ที่ให้ Siri สั่งงานภายในแอปได้โดยตรง และ Personal Context Awareness ที่ช่วยให้ Siri เข้าใจข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น การค้นหาพอดแคสต์จากข้อความในแอป Messages

    นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า Ke Yang หัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนา Siri ให้สามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บแบบ ChatGPT ได้ ได้ลาออกจาก Apple ไปทำงานกับ Meta ซึ่งอาจสะท้อนถึงความไม่มั่นคงภายในทีมพัฒนา AI ของ Apple

    ความคืบหน้าของ Siri ใหม่ใน iOS 26.4
    ใช้สถาปัตยกรรม V2 แทน V1 ที่มีข้อจำกัด
    เพิ่มฟีเจอร์ In-app Actions และ Personal Context Awareness
    คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026

    ความกังวลจากวิศวกร Apple
    ประสิทธิภาพยังไม่ดีพอในสถานการณ์สำคัญ เช่น แอปธนาคาร
    การใช้งานข้ามแอปยังไม่ราบรื่น
    มีความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้

    คำเตือนจากการเปลี่ยนสถาปัตยกรรม
    V2 ยังมีปัญหา “teething problems” หรืออาการเริ่มต้นที่ยังไม่เสถียร
    หากเปิดตัวเร็วเกินไป อาจไม่ผ่านมาตรฐานของ Apple
    การลาออกของหัวหน้าทีม AKI อาจสะท้อนปัญหาภายใน

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Siri ใหม่
    สั่งงานภายในแอป เช่น เพิ่มรายการใน grocery list หรือส่งข้อความ
    ใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้บริการที่ตรงจุด เช่น ค้นหาพอดแคสต์จากข้อความ
    อาจรองรับการค้นหาข้อมูลจากเว็บแบบ ChatGPT

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความท้าทายของการพัฒนา AI ผู้ช่วย
    ต้องบาลานซ์ระหว่างความฉลาดกับความปลอดภัยของข้อมูล
    การเข้าใจบริบทส่วนตัวต้องใช้การประมวลผลที่แม่นยำและไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว

    การแข่งขันในตลาดผู้ช่วย AI
    Google Assistant, Alexa และ ChatGPT ต่างพัฒนาอย่างรวดเร็ว
    Apple ต้องเร่งพัฒนา Siri ให้ทันกับคู่แข่งที่มีความสามารถด้านภาษาขั้นสูง

    https://wccftech.com/some-apple-engineers-voice-concerns-about-the-performance-of-the-new-ai-powered-siri-in-early-builds-of-ios-26-4/
    🗣️ "Siri ใหม่ยังไม่พร้อม? วิศวกร Apple กังวลประสิทธิภาพใน iOS 26.4" Apple กำลังพัฒนา Siri เวอร์ชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเปิดตัวใน iOS 26.4 ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2026 แต่รายงานล่าสุดจาก Bloomberg โดย Mark Gurman เผยว่า วิศวกรบางส่วนของ Apple กำลังแสดงความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Siri ที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในสถานการณ์สำคัญ เช่น การใช้งานในแอปธนาคารหรือการสั่งงานข้ามแอป Siri ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม V2 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของเวอร์ชันก่อนหน้า ซึ่ง Craig Federighi รองประธานฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของ Apple เคยกล่าวว่า V1 ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้ได้ และจำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ฟีเจอร์ใหม่ที่คาดว่าจะมาพร้อม Siri ใน iOS 26.4 ได้แก่ In-app Actions ที่ให้ Siri สั่งงานภายในแอปได้โดยตรง และ Personal Context Awareness ที่ช่วยให้ Siri เข้าใจข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น การค้นหาพอดแคสต์จากข้อความในแอป Messages นอกจากนี้ ยังมีข่าวลือว่า Ke Yang หัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนา Siri ให้สามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บแบบ ChatGPT ได้ ได้ลาออกจาก Apple ไปทำงานกับ Meta ซึ่งอาจสะท้อนถึงความไม่มั่นคงภายในทีมพัฒนา AI ของ Apple ✅ ความคืบหน้าของ Siri ใหม่ใน iOS 26.4 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม V2 แทน V1 ที่มีข้อจำกัด ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ In-app Actions และ Personal Context Awareness ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 ✅ ความกังวลจากวิศวกร Apple ➡️ ประสิทธิภาพยังไม่ดีพอในสถานการณ์สำคัญ เช่น แอปธนาคาร ➡️ การใช้งานข้ามแอปยังไม่ราบรื่น ➡️ มีความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ‼️ คำเตือนจากการเปลี่ยนสถาปัตยกรรม ⛔ V2 ยังมีปัญหา “teething problems” หรืออาการเริ่มต้นที่ยังไม่เสถียร ⛔ หากเปิดตัวเร็วเกินไป อาจไม่ผ่านมาตรฐานของ Apple ⛔ การลาออกของหัวหน้าทีม AKI อาจสะท้อนปัญหาภายใน ✅ ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Siri ใหม่ ➡️ สั่งงานภายในแอป เช่น เพิ่มรายการใน grocery list หรือส่งข้อความ ➡️ ใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อให้บริการที่ตรงจุด เช่น ค้นหาพอดแคสต์จากข้อความ ➡️ อาจรองรับการค้นหาข้อมูลจากเว็บแบบ ChatGPT 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความท้าทายของการพัฒนา AI ผู้ช่วย ➡️ ต้องบาลานซ์ระหว่างความฉลาดกับความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ การเข้าใจบริบทส่วนตัวต้องใช้การประมวลผลที่แม่นยำและไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัว ✅ การแข่งขันในตลาดผู้ช่วย AI ➡️ Google Assistant, Alexa และ ChatGPT ต่างพัฒนาอย่างรวดเร็ว ➡️ Apple ต้องเร่งพัฒนา Siri ให้ทันกับคู่แข่งที่มีความสามารถด้านภาษาขั้นสูง https://wccftech.com/some-apple-engineers-voice-concerns-about-the-performance-of-the-new-ai-powered-siri-in-early-builds-of-ios-26-4/
    WCCFTECH.COM
    Some Apple Engineers Voice Concerns About The Performance Of The New AI-Powered Siri In Early Builds Of iOS 26.4
    Today's report offers a possible motive for the sudden departure of Ke Yang, the head of Apple's AKI team, who has now been poached by Meta.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง”

    Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์

    เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง

    อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า

    ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก

    Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้

    ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง
    ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง

    แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง
    แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง

    ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง
    ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง

    เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด
    ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น

    โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้
    เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970

    จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน
    เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    🔊 “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง” Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์ เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้ ✅ ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง ➡️ ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง ✅ แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง ➡️ แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง ✅ ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง ➡️ ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง ✅ เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด ➡️ ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น ✅ โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้ ➡️ เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970 ✅ จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน ➡️ เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts