• “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ”

    ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก

    เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์

    นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก

    อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน

    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน
    อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก
    เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน
    ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร
    ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน
    Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้
    เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก
    การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน
    การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้
    บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    🚀 “Jeff Bezos วาดภาพศูนย์ข้อมูลในอวกาศภายใน 20 ปี — พลังงานแสงอาทิตย์ 24/7 และระบบระบายความร้อนตามธรรมชาติ” ในงาน Italian Tech Week ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon และ Blue Origin ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ที่น่าตื่นตาเกี่ยวกับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเขาคาดว่าในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ซึ่งจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก เหตุผลหลักคือในอวกาศไม่มีเมฆ ไม่มีฝน และไม่มีรอบกลางวันกลางคืน ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ หรือการประมวลผลแบบคลัสเตอร์ นอกจากนี้ อุณหภูมิในอวกาศที่ต่ำมาก (ถึง -270°C ในเงามืด) ช่วยให้การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ระบบทำความเย็นที่กินไฟมหาศาลเหมือนศูนย์ข้อมูลบนโลก อย่างไรก็ตาม การสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศยังมีอุปสรรคใหญ่มาก ทั้งด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และโลจิสติกส์ เช่น ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร ซึ่งหนักกว่า 9,000 ตัน และต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร รวมถึงระบบหม้อน้ำขนาดมหึมาเพื่อระบายความร้อน และอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ที่หนักหลายหมื่นตัน Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อทำให้การขนส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่อวกาศมีต้นทุนต่ำลง และเขายังมองว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า จะมี “ผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ” ซึ่งจะเป็นการขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมมนุษย์ออกไปนอกโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jeff Bezos คาดว่าในอีก 10–20 ปีจะมีศูนย์ข้อมูลขนาดกิกะวัตต์ในวงโคจรของโลก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศสามารถผลิตได้ต่อเนื่อง 24/7 เพราะไม่มีเมฆหรือกลางคืน ➡️ อุณหภูมิในอวกาศช่วยให้ระบายความร้อนได้ง่ายกว่าบนโลก ➡️ เหมาะสำหรับงานที่ใช้พลังงานสูง เช่น การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ขนาด 2.4–3.3 ล้านตารางเมตร น้ำหนักกว่า 9,000 ตัน ➡️ ต้องใช้จรวดมากกว่า 150 เที่ยวในการขนส่งขึ้นสู่วงโคจร ➡️ ระบบหม้อน้ำต้องมีพื้นที่หลายล้านตารางเมตรเพื่อระบายความร้อน ➡️ Bezos เชื่อว่า Blue Origin จะพัฒนาจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ➡️ เขามองว่าในอนาคตจะมีผู้คนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในอวกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ พลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศมีความเข้มข้นสูงกว่าและเสถียรกว่าบนโลก ➡️ การระบายความร้อนในอวกาศใช้การแผ่รังสี (radiative cooling) แทนการพาความร้อน ➡️ การใช้เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุสามารถส่งข้อมูลจากอวกาศกลับมายังโลกได้ ➡️ บริษัทอื่น เช่น Lumen Orbit ก็เริ่มพัฒนาแนวคิดศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูล AI บนโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jeff-bezos-envisions-space-based-data-centers-in-10-to-20-years-could-allow-for-natural-cooling-and-more-effective-solar-power
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรก — ใช้พลังงานลดลง 90% พร้อมพลังงานหมุนเวียน 95%”

    ในยุคที่ AI และคลาวด์ต้องการพลังงานมหาศาล ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กินไฟมากที่สุดแห่งหนึ่ง ล่าสุดบริษัท Highlander จากจีนได้เปิดตัวโครงการศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก บริเวณชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2025

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — Microsoft เคยทดลองวางเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำที่สกอตแลนด์ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ส่วนจีนเริ่มโครงการแรกที่เกาะไหหลำในปี 2022 และยังดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน

    ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำของ Highlander ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล และเชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา โดยใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง ทำให้กว่า 95% ของพลังงานทั้งหมดมาจากแหล่งหมุนเวียน

    ข้อได้เปรียบหลักคือการใช้กระแสน้ำทะเลในการระบายความร้อน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลบนบกที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศหรือการระเหยน้ำ

    ลูกค้ารายแรกของโครงการนี้คือ China Telecom และบริษัทคอมพิวติ้ง AI ของรัฐ โดยรัฐบาลจีนสนับสนุนโครงการนี้ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 40 ล้านหยวนในโครงการที่ไหหลำ และมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” เพื่อกระจายการประมวลผลทั่วประเทศ

    อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเตือนว่า การปล่อยความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำอาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เช่น ดึงดูดหรือผลักไสสัตว์น้ำบางชนิด และยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีด้วยคลื่นเสียงผ่านน้ำ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาครอบคลุมในระดับมหภาค

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Highlander เปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้
    ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล
    เชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา
    ใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง โดยกว่า 95% มาจากแหล่งหมุนเวียน
    ลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90%
    ลูกค้ารายแรกคือ China Telecom และบริษัท AI ของรัฐ
    โครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 40 ล้านหยวน
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing”
    Microsoft เคยทดลองแนวคิดนี้ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำช่วยลดการใช้พื้นที่บนบกและมีความเสถียรด้านอุณหภูมิ
    การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของอุตสาหกรรมดิจิทัล
    การวางเซิร์ฟเวอร์ใกล้ชายฝั่งช่วยลด latency ในการให้บริการ
    Microsoft พบว่าเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำมีอัตราความเสียหายน้อยกว่าบนบก
    การออกแบบแคปซูลต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำ ความเค็ม และการสั่นสะเทือน

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-to-launch-commercial-underwater-data-center-facility-expected-to-consume-90-percent-less-power-for-cooling
    🌊 “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรก — ใช้พลังงานลดลง 90% พร้อมพลังงานหมุนเวียน 95%” ในยุคที่ AI และคลาวด์ต้องการพลังงานมหาศาล ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่กินไฟมากที่สุดแห่งหนึ่ง ล่าสุดบริษัท Highlander จากจีนได้เปิดตัวโครงการศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลก บริเวณชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2025 แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — Microsoft เคยทดลองวางเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำที่สกอตแลนด์ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ส่วนจีนเริ่มโครงการแรกที่เกาะไหหลำในปี 2022 และยังดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำของ Highlander ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล และเชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา โดยใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง ทำให้กว่า 95% ของพลังงานทั้งหมดมาจากแหล่งหมุนเวียน ข้อได้เปรียบหลักคือการใช้กระแสน้ำทะเลในการระบายความร้อน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลบนบกที่ต้องใช้ระบบปรับอากาศหรือการระเหยน้ำ ลูกค้ารายแรกของโครงการนี้คือ China Telecom และบริษัทคอมพิวติ้ง AI ของรัฐ โดยรัฐบาลจีนสนับสนุนโครงการนี้ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 40 ล้านหยวนในโครงการที่ไหหลำ และมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” เพื่อกระจายการประมวลผลทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลเตือนว่า การปล่อยความร้อนจากเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำอาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เช่น ดึงดูดหรือผลักไสสัตว์น้ำบางชนิด และยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีด้วยคลื่นเสียงผ่านน้ำ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาครอบคลุมในระดับมหภาค ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Highlander เปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำเชิงพาณิชย์แห่งแรกของโลกที่เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบเกล็ดแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเล ➡️ เชื่อมต่อกับโครงสร้างเหนือผิวน้ำผ่านลิฟต์สำหรับการบำรุงรักษา ➡️ ใช้พลังงานจากฟาร์มกังหันลมใกล้ชายฝั่ง โดยกว่า 95% มาจากแหล่งหมุนเวียน ➡️ ลดการใช้พลังงานสำหรับระบบทำความเย็นได้ถึง 90% ➡️ ลูกค้ารายแรกคือ China Telecom และบริษัท AI ของรัฐ ➡️ โครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีนกว่า 40 ล้านหยวน ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “East Data, West Computing” ➡️ Microsoft เคยทดลองแนวคิดนี้ในปี 2018 แต่ไม่ได้นำมาใช้เชิงพาณิชย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำช่วยลดการใช้พื้นที่บนบกและมีความเสถียรด้านอุณหภูมิ ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของอุตสาหกรรมดิจิทัล ➡️ การวางเซิร์ฟเวอร์ใกล้ชายฝั่งช่วยลด latency ในการให้บริการ ➡️ Microsoft พบว่าเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำมีอัตราความเสียหายน้อยกว่าบนบก ➡️ การออกแบบแคปซูลต้องคำนึงถึงแรงดันน้ำ ความเค็ม และการสั่นสะเทือน https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-to-launch-commercial-underwater-data-center-facility-expected-to-consume-90-percent-less-power-for-cooling
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews
  • “Ransomware ยุคใหม่ใช้ AnyDesk และ Splashtop เป็นอาวุธ — แฝงตัวในเครื่ององค์กรแบบถูกกฎหมาย หลบแอนตี้ไวรัสได้เนียนกริบ”

    ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น กลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้ Ransomware ได้พัฒนาเทคนิคใหม่โดยอาศัยเครื่องมือที่ “ถูกกฎหมาย” อย่าง Remote Access Tools (RATs) เช่น AnyDesk, UltraViewer, RustDesk, Splashtop และ TightVNC เพื่อแฝงตัวในระบบองค์กรโดยไม่ถูกตรวจจับ

    รายงานจาก Seqrite Threat Intelligence ระบุว่า RAT เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อการดูแลระบบ IT และการสนับสนุนทางไกล ซึ่งมักถูก whitelist โดยองค์กร ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เป็นช่องทางเข้าถึงระบบได้อย่างแนบเนียน โดยไม่ต้องสร้างมัลแวร์ใหม่ให้เสี่ยงถูกตรวจจับ

    ขั้นตอนการโจมตีเริ่มจากการขโมยหรือ brute-force รหัสผ่านเพื่อเข้าระบบ จากนั้นแฮกเกอร์จะ hijack โปรแกรม RAT ที่มีอยู่ หรือแอบติดตั้งใหม่แบบ silent install โดยใช้ไฟล์ที่มีลายเซ็นถูกต้อง ทำให้ระบบไม่สงสัย จากนั้นจะใช้เทคนิค registry run keys, scheduled tasks และ PowerRun เพื่อให้ RAT ทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM

    เมื่อฝังตัวได้แล้ว แฮกเกอร์จะปิดบริการแอนตี้ไวรัส ลบ log และใช้เครื่องมือ shred file เพื่อทำลายหลักฐาน ก่อนจะปล่อย payload ransomware ที่แฝงมาในรูปแบบ “อัปเดตซอฟต์แวร์” และแพร่กระจายผ่านเครือข่ายโดยใช้ credential reuse หรือ deploy RAT ทั่วองค์กร

    รายงานยังระบุว่า RAT เหล่านี้ถูกใช้ในหลายแคมเปญ ransomware เช่น LockBit, Phobos, Dharma, MedusaLocker, Mallox, Beast, CERBER, GlobeImposter, Mimic, Dyamond, Makop และ RansomHub โดยการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลายเซ็นถูกต้องทำให้การโจมตีดูเหมือนการดูแลระบบตามปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กลุ่ม ransomware ใช้ Remote Access Tools (RATs) ที่ถูกกฎหมายเพื่อแฝงตัวในระบบ
    เครื่องมือที่ถูกใช้ ได้แก่ AnyDesk, UltraViewer, RustDesk, Splashtop, TightVNC
    RAT เหล่านี้มักถูก whitelist โดยองค์กร ทำให้แฮกเกอร์ใช้ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ
    ขั้นตอนโจมตีเริ่มจากการขโมยรหัสผ่าน แล้ว hijack หรือ install RAT แบบเงียบ
    ใช้ registry run keys, scheduled tasks และ PowerRun เพื่อให้ RAT ทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM
    แฮกเกอร์ปิดแอนตี้ไวรัส ลบ log และ shred file เพื่อทำลายหลักฐาน
    ปล่อย ransomware ผ่าน RAT โดยแฝงเป็นอัปเดตซอฟต์แวร์
    RAT ถูกใช้ในแคมเปญ ransomware หลายกลุ่ม เช่น LockBit, Dharma, MedusaLocker
    การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลายเซ็นถูกต้องช่วยให้การโจมตีดูเหมือนการดูแลระบบปกติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RAT ถูกใช้ในงาน IT อย่างถูกต้อง เช่น remote support และการดูแลเซิร์ฟเวอร์
    Silent install มักใช้ flag เช่น /S, /VERYSILENT, /quiet เพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว
    PowerRun เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โปรแกรมทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้อง UAC
    การ whitelist ซอฟต์แวร์โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรม อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์ใช้ได้
    การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “living off the land” คือใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบเพื่อหลบการตรวจจับ

    https://securityonline.info/ransomware-gangs-weaponize-anydesk-splashtop-and-other-legitimate-rats-to-bypass-security/
    🕵️‍♂️ “Ransomware ยุคใหม่ใช้ AnyDesk และ Splashtop เป็นอาวุธ — แฝงตัวในเครื่ององค์กรแบบถูกกฎหมาย หลบแอนตี้ไวรัสได้เนียนกริบ” ในยุคที่การโจมตีไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น กลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้ Ransomware ได้พัฒนาเทคนิคใหม่โดยอาศัยเครื่องมือที่ “ถูกกฎหมาย” อย่าง Remote Access Tools (RATs) เช่น AnyDesk, UltraViewer, RustDesk, Splashtop และ TightVNC เพื่อแฝงตัวในระบบองค์กรโดยไม่ถูกตรวจจับ รายงานจาก Seqrite Threat Intelligence ระบุว่า RAT เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อการดูแลระบบ IT และการสนับสนุนทางไกล ซึ่งมักถูก whitelist โดยองค์กร ทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เป็นช่องทางเข้าถึงระบบได้อย่างแนบเนียน โดยไม่ต้องสร้างมัลแวร์ใหม่ให้เสี่ยงถูกตรวจจับ ขั้นตอนการโจมตีเริ่มจากการขโมยหรือ brute-force รหัสผ่านเพื่อเข้าระบบ จากนั้นแฮกเกอร์จะ hijack โปรแกรม RAT ที่มีอยู่ หรือแอบติดตั้งใหม่แบบ silent install โดยใช้ไฟล์ที่มีลายเซ็นถูกต้อง ทำให้ระบบไม่สงสัย จากนั้นจะใช้เทคนิค registry run keys, scheduled tasks และ PowerRun เพื่อให้ RAT ทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM เมื่อฝังตัวได้แล้ว แฮกเกอร์จะปิดบริการแอนตี้ไวรัส ลบ log และใช้เครื่องมือ shred file เพื่อทำลายหลักฐาน ก่อนจะปล่อย payload ransomware ที่แฝงมาในรูปแบบ “อัปเดตซอฟต์แวร์” และแพร่กระจายผ่านเครือข่ายโดยใช้ credential reuse หรือ deploy RAT ทั่วองค์กร รายงานยังระบุว่า RAT เหล่านี้ถูกใช้ในหลายแคมเปญ ransomware เช่น LockBit, Phobos, Dharma, MedusaLocker, Mallox, Beast, CERBER, GlobeImposter, Mimic, Dyamond, Makop และ RansomHub โดยการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลายเซ็นถูกต้องทำให้การโจมตีดูเหมือนการดูแลระบบตามปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กลุ่ม ransomware ใช้ Remote Access Tools (RATs) ที่ถูกกฎหมายเพื่อแฝงตัวในระบบ ➡️ เครื่องมือที่ถูกใช้ ได้แก่ AnyDesk, UltraViewer, RustDesk, Splashtop, TightVNC ➡️ RAT เหล่านี้มักถูก whitelist โดยองค์กร ทำให้แฮกเกอร์ใช้ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ ➡️ ขั้นตอนโจมตีเริ่มจากการขโมยรหัสผ่าน แล้ว hijack หรือ install RAT แบบเงียบ ➡️ ใช้ registry run keys, scheduled tasks และ PowerRun เพื่อให้ RAT ทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM ➡️ แฮกเกอร์ปิดแอนตี้ไวรัส ลบ log และ shred file เพื่อทำลายหลักฐาน ➡️ ปล่อย ransomware ผ่าน RAT โดยแฝงเป็นอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ RAT ถูกใช้ในแคมเปญ ransomware หลายกลุ่ม เช่น LockBit, Dharma, MedusaLocker ➡️ การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีลายเซ็นถูกต้องช่วยให้การโจมตีดูเหมือนการดูแลระบบปกติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RAT ถูกใช้ในงาน IT อย่างถูกต้อง เช่น remote support และการดูแลเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Silent install มักใช้ flag เช่น /S, /VERYSILENT, /quiet เพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว ➡️ PowerRun เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โปรแกรมทำงานด้วยสิทธิ์ SYSTEM โดยไม่ต้อง UAC ➡️ การ whitelist ซอฟต์แวร์โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรม อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์ใช้ได้ ➡️ การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “living off the land” คือใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบเพื่อหลบการตรวจจับ https://securityonline.info/ransomware-gangs-weaponize-anydesk-splashtop-and-other-legitimate-rats-to-bypass-security/
    SECURITYONLINE.INFO
    Ransomware Gangs Weaponize AnyDesk, Splashtop, and Other Legitimate RATs to Bypass Security
    Ransomware groups are hijacking legitimate RATs like AnyDesk and Splashtop to gain stealthy persistence, spread laterally, and disable antivirus software in enterprise networks.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง”

    Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V

    แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร

    Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง

    Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้

    ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต
    Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm
    Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm
    Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet
    Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027
    Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป
    Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET
    PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing
    Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก
    TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน
    การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต”

    https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    🔧 “Jim Keller ชี้ Intel ยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับชิประดับ 2nm — แต่มีโอกาสเป็นผู้เล่นหลัก หากปรับแผนผลิตให้แข็งแรง” Jim Keller สุดยอดนักออกแบบชิประดับตำนาน ผู้เคยฝากผลงานไว้กับ AMD, Apple, Tesla และ Intel ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงความคืบหน้าของ Intel Foundry โดยระบุว่า Intel กำลังถูกพิจารณาให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm สำหรับบริษัทของเขา Tenstorrent ซึ่งกำลังพัฒนา AI accelerator บนสถาปัตยกรรม RISC-V แม้ Keller จะมองว่า Intel มีศักยภาพสูง แต่ก็ยังต้อง “ทำงานอีกมาก” เพื่อให้เทคโนโลยีของตนพร้อมสำหรับการผลิตในระดับปริมาณมาก โดยเฉพาะในแง่ของ roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TSMC, Samsung และ Rapidus อยู่พอสมควร Tenstorrent กำลังพูดคุยกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกเทคโนโลยี 2nm ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Samsung, Rapidus และ Intel โดย Keller ย้ำว่าเขาไม่ปิดโอกาสให้ Intel แต่ต้องการเห็นความชัดเจนในแผนการผลิตและความสามารถในการส่งมอบจริง Intel ได้เปิดตัวกระบวนการผลิตใหม่อย่าง 18A และ 14A ซึ่งใช้เทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia โดยมีแผนจะผลิตชิปให้กับลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia และ Qualcomm ในอนาคต หากสามารถพิสูจน์ความเสถียรได้ ในขณะเดียวกัน Rapidus จากญี่ปุ่นก็เร่งสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่เมือง Chitose และร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี EUV lithography โดยมีแผนเริ่มผลิตจริงในปี 2027 ซึ่งอาจกลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่น่าจับตามองในตลาด foundry ระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jim Keller กล่าวว่า Intel ยังต้องปรับปรุง roadmap และความเสถียรของกระบวนการผลิต ➡️ Tenstorrent กำลังพิจารณา Intel เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิประดับ 2nm ➡️ Intel เปิดตัวกระบวนการผลิต 18A และ 14A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ➡️ Intel มีแผนผลิตชิปให้ลูกค้าภายนอก เช่น Microsoft และอาจรวมถึง Nvidia, Qualcomm ➡️ Tenstorrent เป็นบริษัท AI ที่ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และกำลังพัฒนา accelerator แบบ multi-chiplet ➡️ Rapidus จากญี่ปุ่นร่วมมือกับ IBM และ imec เพื่อสร้างโรงงานผลิต 2nm ที่จะเปิดในปี 2027 ➡️ Keller เคยทำงานกับ AMD, Apple, Tesla และ Intel จึงมีอิทธิพลสูงในวงการออกแบบชิป ➡️ Intel ต้องการเปลี่ยนจากการผลิตภายในเป็นการให้บริการ foundry แบบเปิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A และ 14A ของ Intel ใช้โครงสร้าง GAA transistor ที่เรียกว่า RibbonFET ➡️ PowerVia เป็นเทคโนโลยีส่งไฟฟ้าจากด้านหลังของชิป ช่วยลดความซับซ้อนของ routing ➡️ Rapidus เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและมีเป้าหมายเป็น foundry ระดับโลก ➡️ TSMC และ Samsung เป็นผู้นำในตลาด 2nm แต่ยังมีปัญหาเรื่อง yield และต้นทุน ➡️ การแข่งขันในตลาด foundry กำลังเปลี่ยนจาก “ขนาดเล็กที่สุด” ไปสู่ “ความเสถียรและความยืดหยุ่นในการผลิต” https://wccftech.com/chip-expert-jim-keller-says-intel-is-being-considered-for-cutting-edge-chips/
    WCCFTECH.COM
    ‘Iconic’ Chip Expert Jim Keller Says Intel Is Being Considered For Cutting-Edge Chips, But They Have a Lot to Do to Deliver a Solid Product
    The legendary chip architect Jim Keller has shared his thoughts on Intel's processes, claiming that they need to refine the 'foundry game'.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • “Gemini Trifecta: ช่องโหว่ 3 จุดใน AI ของ Google ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูล — แม้ไม่ต้องติดมัลแวร์”

    Tenable บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุดในชุดเครื่องมือ Gemini AI ของ Google ซึ่งถูกเรียกรวมว่า “Gemini Trifecta” โดยช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งลับ (prompt injection) และขโมยข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์หรือส่งอีเมลฟิชชิ่งเลยแม้แต่น้อย

    ช่องโหว่แรกอยู่ในฟีเจอร์ Gemini Cloud Assist ซึ่งใช้สรุป log จากระบบคลาวด์ของ Google Cloud Platform (GCP) โดยนักวิจัยพบว่า หากมีการฝังคำสั่งลับไว้ใน log เช่นในช่อง HTTP User-Agent เมื่อผู้ใช้กด “Explain this log entry” ระบบจะรันคำสั่งนั้นทันที ทำให้สามารถสั่งให้ Gemini ดึงข้อมูล cloud ที่ละเอียดอ่อนได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ Gemini Search Personalization Model ที่ใช้ประวัติการค้นหาของผู้ใช้ใน Chrome เพื่อปรับแต่งคำตอบของ AI นักวิจัยสามารถใช้ JavaScript จากเว็บไซต์อันตรายเขียนคำสั่งลับลงในประวัติการค้นหา และเมื่อผู้ใช้เรียกใช้ Gemini ระบบจะถือว่าคำสั่งนั้นเป็นบริบทที่เชื่อถือได้ และรันคำสั่งทันที เช่น ส่งข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลที่บันทึกไว้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    ช่องโหว่สุดท้ายคือ Gemini Browsing Tool ซึ่งใช้สรุปเนื้อหาจากเว็บไซต์แบบเรียลไทม์ นักวิจัยสามารถหลอกให้ Gemini ส่งข้อมูลผู้ใช้ เช่น ตำแหน่งหรือข้อมูลส่วนตัว ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ โดยใช้ฟีเจอร์ “Show Thinking” เพื่อติดตามขั้นตอนการรันคำสั่ง

    แม้ Google จะตอบสนองอย่างรวดเร็วและแก้ไขช่องโหว่ทั้งหมดแล้ว โดยการย้อนกลับโมเดลที่มีปัญหา, ปิดการแสดงผลลิงก์อันตรายใน Cloud Assist และเพิ่มระบบป้องกัน prompt injection แบบหลายชั้น แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เป้าหมายของการโจมตีอีกต่อไป — มันสามารถกลายเป็น “ตัวโจมตี” ได้เอง หากไม่มีการควบคุมที่ดีพอ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Tenable พบช่องโหว่ 3 จุดในชุด Gemini AI ของ Google เรียกว่า “Gemini Trifecta”
    ช่องโหว่แรกอยู่ใน Cloud Assist — ฝังคำสั่งใน log แล้วให้ Gemini รันโดยไม่รู้ตัว
    ช่องโหว่ที่สองอยู่ใน Search Personalization — เขียนคำสั่งลงในประวัติ Chrome
    ช่องโหว่ที่สามอยู่ใน Browsing Tool — หลอกให้ Gemini ส่งข้อมูลผู้ใช้ออกไป
    ใช้เทคนิค prompt injection โดยไม่ต้องติดมัลแวร์หรือส่งอีเมลฟิชชิ่ง
    Google แก้ไขโดยย้อนกลับโมเดล, ปิดลิงก์อันตราย และเพิ่มระบบป้องกันหลายชั้น
    ช่องโหว่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 และได้รับการแก้ไขทันที
    นักวิจัยใช้ PoC (Proof-of-Concept) เพื่อแสดงการโจมตีในแต่ละช่องโหว่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Prompt injection คือการฝังคำสั่งลับลงในข้อความหรือบริบทที่ AI ใช้
    “Living off the land” คือการใช้เครื่องมือในระบบเองในการโจมตี เช่น rundll32 หรือ PowerShell
    Search history และ log ไม่ใช่แค่ข้อมูล — มันคือ “ช่องทางโจมตี” หาก AI ใช้โดยไม่มีการกรอง
    การป้องกัน prompt injection ต้องใช้การตรวจสอบ runtime และการแยกบริบทอย่างเข้มงวด
    AI ที่มีความสามารถสูงจะยิ่งเสี่ยง หากไม่มี guardrails ที่ชัดเจน

    https://hackread.com/google-gemini-trifecta-vulnerabilities-gemini-ai/
    🛡️ “Gemini Trifecta: ช่องโหว่ 3 จุดใน AI ของ Google ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูล — แม้ไม่ต้องติดมัลแวร์” Tenable บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุดในชุดเครื่องมือ Gemini AI ของ Google ซึ่งถูกเรียกรวมว่า “Gemini Trifecta” โดยช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งลับ (prompt injection) และขโมยข้อมูลผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์หรือส่งอีเมลฟิชชิ่งเลยแม้แต่น้อย ช่องโหว่แรกอยู่ในฟีเจอร์ Gemini Cloud Assist ซึ่งใช้สรุป log จากระบบคลาวด์ของ Google Cloud Platform (GCP) โดยนักวิจัยพบว่า หากมีการฝังคำสั่งลับไว้ใน log เช่นในช่อง HTTP User-Agent เมื่อผู้ใช้กด “Explain this log entry” ระบบจะรันคำสั่งนั้นทันที ทำให้สามารถสั่งให้ Gemini ดึงข้อมูล cloud ที่ละเอียดอ่อนได้ ช่องโหว่ที่สองคือ Gemini Search Personalization Model ที่ใช้ประวัติการค้นหาของผู้ใช้ใน Chrome เพื่อปรับแต่งคำตอบของ AI นักวิจัยสามารถใช้ JavaScript จากเว็บไซต์อันตรายเขียนคำสั่งลับลงในประวัติการค้นหา และเมื่อผู้ใช้เรียกใช้ Gemini ระบบจะถือว่าคำสั่งนั้นเป็นบริบทที่เชื่อถือได้ และรันคำสั่งทันที เช่น ส่งข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลที่บันทึกไว้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ช่องโหว่สุดท้ายคือ Gemini Browsing Tool ซึ่งใช้สรุปเนื้อหาจากเว็บไซต์แบบเรียลไทม์ นักวิจัยสามารถหลอกให้ Gemini ส่งข้อมูลผู้ใช้ เช่น ตำแหน่งหรือข้อมูลส่วนตัว ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ โดยใช้ฟีเจอร์ “Show Thinking” เพื่อติดตามขั้นตอนการรันคำสั่ง แม้ Google จะตอบสนองอย่างรวดเร็วและแก้ไขช่องโหว่ทั้งหมดแล้ว โดยการย้อนกลับโมเดลที่มีปัญหา, ปิดการแสดงผลลิงก์อันตรายใน Cloud Assist และเพิ่มระบบป้องกัน prompt injection แบบหลายชั้น แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เป้าหมายของการโจมตีอีกต่อไป — มันสามารถกลายเป็น “ตัวโจมตี” ได้เอง หากไม่มีการควบคุมที่ดีพอ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Tenable พบช่องโหว่ 3 จุดในชุด Gemini AI ของ Google เรียกว่า “Gemini Trifecta” ➡️ ช่องโหว่แรกอยู่ใน Cloud Assist — ฝังคำสั่งใน log แล้วให้ Gemini รันโดยไม่รู้ตัว ➡️ ช่องโหว่ที่สองอยู่ใน Search Personalization — เขียนคำสั่งลงในประวัติ Chrome ➡️ ช่องโหว่ที่สามอยู่ใน Browsing Tool — หลอกให้ Gemini ส่งข้อมูลผู้ใช้ออกไป ➡️ ใช้เทคนิค prompt injection โดยไม่ต้องติดมัลแวร์หรือส่งอีเมลฟิชชิ่ง ➡️ Google แก้ไขโดยย้อนกลับโมเดล, ปิดลิงก์อันตราย และเพิ่มระบบป้องกันหลายชั้น ➡️ ช่องโหว่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 และได้รับการแก้ไขทันที ➡️ นักวิจัยใช้ PoC (Proof-of-Concept) เพื่อแสดงการโจมตีในแต่ละช่องโหว่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Prompt injection คือการฝังคำสั่งลับลงในข้อความหรือบริบทที่ AI ใช้ ➡️ “Living off the land” คือการใช้เครื่องมือในระบบเองในการโจมตี เช่น rundll32 หรือ PowerShell ➡️ Search history และ log ไม่ใช่แค่ข้อมูล — มันคือ “ช่องทางโจมตี” หาก AI ใช้โดยไม่มีการกรอง ➡️ การป้องกัน prompt injection ต้องใช้การตรวจสอบ runtime และการแยกบริบทอย่างเข้มงวด ➡️ AI ที่มีความสามารถสูงจะยิ่งเสี่ยง หากไม่มี guardrails ที่ชัดเจน https://hackread.com/google-gemini-trifecta-vulnerabilities-gemini-ai/
    HACKREAD.COM
    Google Patches “Gemini Trifecta” Vulnerabilities in Gemini AI Suite
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • “มัลแวร์ซ่อนใน ZIP ปลอม — แค่คลิกไฟล์ลัด ก็เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องคุณ”

    Blackpoint Cyber ได้เปิดเผยแคมเปญฟิชชิ่งรูปแบบใหม่ที่ใช้ไฟล์ ZIP ปลอมเป็นเครื่องมือโจมตี โดยภายในไฟล์ ZIP จะมีไฟล์ลัด (.lnk) ที่ดูเหมือนเอกสารสำคัญ เช่น สแกนพาสปอร์ต, ใบรับรอง, หรือไฟล์การชำระเงิน ซึ่งออกแบบมาเพื่อหลอกผู้บริหารหรือพนักงานระดับสูงให้เปิดใช้งาน

    เมื่อเหยื่อคลิกไฟล์ลัดนั้น จะมีการเรียกใช้ PowerShell เบื้องหลังทันที โดยดาวน์โหลดไฟล์ DLL ที่ถูกปลอมชื่อให้ดูเหมือนไฟล์ PowerPoint จากเว็บไซต์ภายนอก จากนั้นใช้โปรแกรม rundll32.exe ซึ่งเป็นเครื่องมือใน Windows เองในการรันมัลแวร์ — เทคนิคนี้เรียกว่า “Living off the Land” เพราะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    มัลแวร์ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่ามีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอยู่หรือไม่ เช่น AVG, Avast หรือ Bitdefender โดยดูจาก process ที่กำลังทำงานอยู่ หากพบว่ามี AV ก็จะเลือก payload ที่เหมาะสมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น BD3V.ppt หากมี AV หรือ NORVM.ppt หากไม่มี

    สุดท้าย มัลแวร์จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล, สอดแนมไฟล์, และส่งมัลแวร์เพิ่มเติมได้ในภายหลัง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มัลแวร์ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ ZIP ที่ดูเหมือนเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตหรือใบชำระเงิน
    ภายใน ZIP มีไฟล์ลัด (.lnk) ที่เรียกใช้ PowerShell เพื่อดาวน์โหลด DLL ปลอม
    DLL ถูกปลอมชื่อให้ดูเหมือนไฟล์ PowerPoint เพื่อหลอกผู้ใช้
    ใช้ rundll32.exe ซึ่งเป็นโปรแกรมใน Windows เองในการรันมัลแวร์
    เทคนิคนี้เรียกว่า “Living off the Land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    มัลแวร์ตรวจสอบโปรแกรมแอนตี้ไวรัสก่อนเลือก payload ที่เหมาะสม
    หากพบ AV จะใช้ BD3V.ppt หากไม่พบจะใช้ NORVM.ppt
    เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) เพื่อควบคุมเครื่องและส่ง payload เพิ่มเติม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    rundll32.exe เป็นโปรแกรมที่ใช้เรียก DLL ใน Windows โดยปกติใช้ในงานระบบ
    PowerShell เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังใน Windows และมักถูกใช้ในมัลแวร์แบบ fileless
    “Living off the Land” คือการใช้เครื่องมือในระบบเพื่อทำงานอันตรายโดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม
    .lnk file เป็น shortcut ที่สามารถตั้งค่าให้เรียกคำสั่งหรือโปรแกรมได้ทันที
    การปลอมชื่อไฟล์ให้ดูเหมือนเอกสารทั่วไปเป็นเทคนิค social engineering ที่ใช้กันแพร่หลาย

    https://hackread.com/malicious-zip-files-windows-shortcuts-malware/
    🧨 “มัลแวร์ซ่อนใน ZIP ปลอม — แค่คลิกไฟล์ลัด ก็เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องคุณ” Blackpoint Cyber ได้เปิดเผยแคมเปญฟิชชิ่งรูปแบบใหม่ที่ใช้ไฟล์ ZIP ปลอมเป็นเครื่องมือโจมตี โดยภายในไฟล์ ZIP จะมีไฟล์ลัด (.lnk) ที่ดูเหมือนเอกสารสำคัญ เช่น สแกนพาสปอร์ต, ใบรับรอง, หรือไฟล์การชำระเงิน ซึ่งออกแบบมาเพื่อหลอกผู้บริหารหรือพนักงานระดับสูงให้เปิดใช้งาน เมื่อเหยื่อคลิกไฟล์ลัดนั้น จะมีการเรียกใช้ PowerShell เบื้องหลังทันที โดยดาวน์โหลดไฟล์ DLL ที่ถูกปลอมชื่อให้ดูเหมือนไฟล์ PowerPoint จากเว็บไซต์ภายนอก จากนั้นใช้โปรแกรม rundll32.exe ซึ่งเป็นเครื่องมือใน Windows เองในการรันมัลแวร์ — เทคนิคนี้เรียกว่า “Living off the Land” เพราะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ มัลแวร์ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่ามีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอยู่หรือไม่ เช่น AVG, Avast หรือ Bitdefender โดยดูจาก process ที่กำลังทำงานอยู่ หากพบว่ามี AV ก็จะเลือก payload ที่เหมาะสมเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น BD3V.ppt หากมี AV หรือ NORVM.ppt หากไม่มี สุดท้าย มัลแวร์จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล, สอดแนมไฟล์, และส่งมัลแวร์เพิ่มเติมได้ในภายหลัง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มัลแวร์ถูกซ่อนไว้ในไฟล์ ZIP ที่ดูเหมือนเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตหรือใบชำระเงิน ➡️ ภายใน ZIP มีไฟล์ลัด (.lnk) ที่เรียกใช้ PowerShell เพื่อดาวน์โหลด DLL ปลอม ➡️ DLL ถูกปลอมชื่อให้ดูเหมือนไฟล์ PowerPoint เพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ ใช้ rundll32.exe ซึ่งเป็นโปรแกรมใน Windows เองในการรันมัลแวร์ ➡️ เทคนิคนี้เรียกว่า “Living off the Land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ มัลแวร์ตรวจสอบโปรแกรมแอนตี้ไวรัสก่อนเลือก payload ที่เหมาะสม ➡️ หากพบ AV จะใช้ BD3V.ppt หากไม่พบจะใช้ NORVM.ppt ➡️ เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) เพื่อควบคุมเครื่องและส่ง payload เพิ่มเติม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ rundll32.exe เป็นโปรแกรมที่ใช้เรียก DLL ใน Windows โดยปกติใช้ในงานระบบ ➡️ PowerShell เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังใน Windows และมักถูกใช้ในมัลแวร์แบบ fileless ➡️ “Living off the Land” คือการใช้เครื่องมือในระบบเพื่อทำงานอันตรายโดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม ➡️ .lnk file เป็น shortcut ที่สามารถตั้งค่าให้เรียกคำสั่งหรือโปรแกรมได้ทันที ➡️ การปลอมชื่อไฟล์ให้ดูเหมือนเอกสารทั่วไปเป็นเทคนิค social engineering ที่ใช้กันแพร่หลาย https://hackread.com/malicious-zip-files-windows-shortcuts-malware/
    HACKREAD.COM
    Malicious ZIP Files Use Windows Shortcuts to Drop Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • Highlight Words In Action : September 2025

    acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc.

    From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties.

    adamant
    adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc.

    From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors.

    aerial
    adjective: existing, living, growing, or operating in the air

    From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure.

    autonomous
    adjective: existing as an independent entity

    From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round.

    bioluminescent
    adjective: pertaining to the production of light by living organisms

    From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn.

    bodega
    noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment

    From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars.

    contretemps
    noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance

    From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!”

    decorum
    noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc.

    From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy.

    driftwood
    noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore

    From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs.

    eavesdrop
    verb: to listen secretly to a private conversation

    From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed.

    emulate
    verb: to imitate with effort to equal or surpass

    From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again.

    estuary
    noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide

    From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it.

    Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary.

    gentrification
    noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses

    From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents.

    hedonism
    noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good

    From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.”

    kayak
    verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this

    From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle.

    larceny
    noun: the wrongful taking of someone’s property or goods

    From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour.

    linchpin
    noun: something that holds the various elements of a complicated structure together

    From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate.

    matcha
    noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it

    From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand.

    meteorite
    noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space

    From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space.

    monastery
    noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows

    From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude.

    nuptials
    noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one

    From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility.

    offering
    noun: something presented to a deity as a symbol of devotion

    From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings.

    parody
    noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art

    From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.”

    perennial
    adjective: arising repeatedly or always existing

    From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021.

    philanthropist
    noun: someone who makes charitable donations

    From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically.

    plunder
    verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud

    From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition.

    risotto
    noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients

    From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops.

    skittish
    adjective: easily frightened or extremely cautious

    From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more.

    synthetic
    adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin

    From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027.

    tandem
    adverb: one following or behind the other

    From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Highlight Words In Action : September 2025 acrimony noun: sharpness, harshness, or bitterness of nature, speech, disposition, etc. From the headlines: European trade ministers gathered on July 14 to discuss the new U.S. tariffs, aiming to ease the acrimony between the EU and the Trump administration. While they planned potential countermeasures against the 30 percent tariffs, which they deemed “unacceptable,” they were united in favor of pursuing a negotiated agreement with the U.S. to maintain stable trade ties. adamant adjective: utterly unyielding in attitude or opinion in spite of all appeals, urgings, etc. From the headlines: Mars, the maker of M&M’s, Skittles, and other popular candies, remains adamant that it will only stop using synthetic dyes in its candy if legally required. While other food companies have announced plans to phase out artificial colors in items like Lucky Charms, Jell-O, and Kool-Aid, some candy manufacturers are holding firm. They argue that natural alternatives cost more and don’t deliver the same vibrant colors. aerial adjective: existing, living, growing, or operating in the air From the headlines: On June 29, Russia launched its largest aerial assault of the war in Ukraine, firing more missiles than in any previous attack since the beginning of the war in 2022. The strikes hit multiple Ukrainian cities, injuring at least a dozen people and damaging key infrastructure. autonomous adjective: existing as an independent entity From the headlines: Robots competed in a fully autonomous soccer tournament in Beijing, with four teams of three humanoid robots each operating solely under AI control. Although the idea was innovative, the robots had trouble with basic actions like kicking and staying balanced. Tsinghua University’s THU Robotics team clinched the championship by scoring five goals in the final round. bioluminescent adjective: pertaining to the production of light by living organisms From the headlines: A new research project will try to interpret the meaning of fireflies’ blinking. Scientists in Colorado enlisted the help of citizen observers to record videos of the bioluminescent insects at dusk. Researchers will eventually make a 3D map of where the glowing lights flash over time. While they know firefly blinks follow a deliberate pattern and are used to attract a mate, experts believe there is more to learn. bodega noun: a small, independent or family-owned grocery store, usually located in a densely populated urban environment From the headlines: A recent crime spree in New York City has targeted bodega ATMs. Thefts of cash machines have increased over the past five years, and New York’s small corner stores have been hit particularly hard. Three people are suspected of stealing almost $600,000 over six months by breaking into independent convenience stores, removing their ATMs, and driving away with them in stolen cars. contretemps noun: an inopportune occurrence; an embarrassing mischance From the headlines: After a contretemps between the Quebec Board of the French Language and Montreal’s transit agency, new rules grudgingly allow the use of the word “go” when cheering sports teams. The Board had objected to a Montreal Canadiens ad campaign that read “Go! Canadiens Go!” Tasked with preserving the province’s French heritage, the Board had been insisting on replacing the signs with “Allez! Canadiens Allez!” decorum noun: dignified propriety of behavior, speech, dress, etc. From the headlines: La Scala has introduced a new dress code requiring attendees to “choose clothing in keeping with the decorum of the theatre.” The renowned Milan opera house is codifying its long-standing policy discouraging attire like flip-flops, shorts, and tank tops. Guests are now expected to dress with elegance, honoring both the opera house’s refined ambiance and its storied cultural legacy. driftwood noun: pieces of trees that are floating on a body of water or have been washed ashore From the headlines: In rural Alaska, residents of some villages and small towns are continuing a long tradition by using driftwood for fuel and as energy-efficient siding for their homes. The pieces of wood, worn smooth by ocean waves or currents in rivers and streams, have been used this way by Indigenous Alaskans for thousands of years. Communities save money and protect the environment by reusing old trees or boards found floating in the water instead of buying lumber and logs. eavesdrop verb: to listen secretly to a private conversation From the headlines: Ecologists have found that long-billed curlews and other grassland nesters routinely eavesdrop on prairie dogs to dodge predators. Sharing a habitat where hawks, eagles, foxes, and other Great Plains animals lurk, the birds capitalize on the rodents’ warning calls. After eavesdropping on these distinctive calls, the curlews and other birds crouch or camouflage themselves until the threat has passed. emulate verb: to imitate with effort to equal or surpass From the headlines: Inspired by Paris’s recent success, cities across the globe are preparing to emulate its efforts to restore polluted urban rivers for public use. After a hundred-year swimming ban, Parisians can now take a dip in the once-contaminated Seine, thanks to more than a billion dollars spent on upgrades like sewer improvements and rainwater storage. Cities such as Berlin, Boston, New York, and London are developing similar plans to clean their waterways and make them safe for swimming once again. estuary noun: the part of the mouth or lower course of a river in which the river’s current meets the sea’s tide From the headlines: Florida Governor Ron DeSantis signed a bill that will ban oil drilling on the Apalachicola River. The river’s estuary is home to many endangered plants and animals, including the world’s largest stand of tupelo trees. The inlet is also the most important site in the state’s oyster industry. Environmentalists and fishermen supported the bill and pushed DeSantis to sign it. Fun fact: A Latin word meaning “boiling of the sea” is the root of estuary. gentrification noun: the buying and renovation of property in urban neighborhoods in a way that often displaces low-income families and small businesses From the headlines: Protesters in Mexico City say they’re angry about gentrification caused by large numbers of foreigners moving there since 2020. Locals say they have seen formerly affordable housing prices skyrocket as the numbers of short-term rentals and expats increase. Airbnb listings in the city have exploded to over 20,000, and Americans have arrived in particularly large numbers to buy and renovate houses. In the process, they say these factors have driven up costs for everyone, including local residents. hedonism noun: the doctrine that pleasure or happiness is the highest good From the headlines: Researchers say there are six traits that make someone seem “cool” to others, including extroversion, power, and embracing hedonism. An American Psychological Association study surveyed 6,000 people in 12 countries and found a sharp division between people seen as “good” versus “cool.” Being hedonistic, for example, didn’t make someone seem “good,” but focusing on one’s own happiness and pleasure was strongly associated with appearing “cool.” kayak verb: to travel by a traditional Inuit or Yupik canoe with a skin cover on a light framework, or by a small boat resembling this From the headlines: Several dozen Native American teens who spent a month kayaking the length of the Klamath River reached their destination. The group paddled their long, narrow boats about 300 miles, from Oregon to California, to celebrate the removal of four dams. The waterway holds a deep significance to Native American tribes, and many of the teens learned to kayak specifically to participate in the long paddle. larceny noun: the wrongful taking of someone’s property or goods From the headlines: Atlanta police have identified a suspect in the theft of hard drives holding unreleased Beyoncé songs. Setlists and plans for concert footage were also stolen when the alleged thief broke into a vehicle rented by the singer’s team. The larceny occurred during a stop on her Cowboy Carter tour. linchpin noun: something that holds the various elements of a complicated structure together From the headlines: The Department of Defense will stop supplying meteorologists with satellite data, which experts describe as a linchpin of storm modeling. Forecasts for hurricanes rely heavily on this military satellite feed to track storm paths and determine when people should evacuate. matcha noun: finely ground tea leaf powder used to make tea or as a flavoring, or the tea made from it From the headlines: The worldwide demand for matcha is causing severe shortages and higher prices. The bright green, grassy-flavored, powdered tea has a long history in Japan, but its popularity in other countries has exploded in recent years. Drinks and baked goods made with matcha have become wildly popular, causing Japanese tea growers to struggle to keep up with the demand. meteorite noun: a mass of stone or metal that has reached the earth from outer space From the headlines: On July 16, a bidder paid $4.3 million to own a chunk of Mars. The rare Martian meteorite, which weighs about 54 pounds, is the largest meteor fragment ever found on Earth that’s known to come from the red planet. Out of approximately 77,000 confirmed meteorites, only 400 were originally part of Mars. This one, named NWA 16788, was found in the Sahara Desert after its 140-million-mile journey through space. monastery noun: a residence occupied by a community of persons, especially monks, living in seclusion under religious vows From the headlines: Tens of thousands of books are being removed from a medieval Hungarian monastery to save them from a beetle infestation. The Pannonhalma Archabbey contains Hungary’s oldest library and some of the country’s most ancient and valuable books and written records. The monastery was founded 1,000 years ago by Benedictines, and about fifty monks live there today, practicing religious contemplation and solitude. nuptials noun: a marriage ceremony, or a social event accompanying one From the headlines: Protesters took to the streets in Venice as Amazon founder Jeff Bezos and Lauren Sanchez held their nuptials on a Venetian island, complete with 200 guests and three days of extravagant celebrations. Locals expressed outrage, saying the event placed additional strain on a city already struggling with overtourism and environmental fragility. offering noun: something presented to a deity as a symbol of devotion From the headlines: Archaeologists discovered about 2,000 pottery offerings on the Greek island of Kythnos. Historians said the clay figures, which represent children, women, and animals, had been left by devoted worshippers over the centuries. Two ancient temples once stood on the site, as well as a pit where the objects given as gifts to the gods were eventually thrown away to make room for new offerings. parody noun: a humorous or satirical imitation of a serious piece of writing or art From the headlines: Weird Al Yankovic, famed for his clever musical parodies, performed to a sold-out crowd at Madison Square Garden in New York, marking his first show at the iconic 20,000-seat venue. Over his forty-year career, Yankovic has become the most recognizable figure in the parody genre, with hits such as “Like a Surgeon,” a spoof of Madonna’s “Like a Virgin,” and “I Love Rocky Road,” a playful take on “I Love Rock ‘n Roll.” perennial adjective: arising repeatedly or always existing From the headlines: Joey Chestnut, the perennial champion of the Nathan’s Famous Hot Dog Eating Contest, reclaimed his crown this year after missing last year’s competition. He was sidelined in 2024 due to a sponsorship deal with a vegan meat brand, but prior to that, Chestnut had claimed victory in 16 of the past 17 contests. He still holds the world record for devouring 76 hot dogs and buns in just 10 minutes in 2021. philanthropist noun: someone who makes charitable donations From the headlines: Warren Buffett said he would donate $6 billion to five charitable foundations. The businessman and philanthropist, whose net worth is approximately $145 billion, has previously given more than $50 billion to the aforementioned foundations. While Buffet’s children will decide how to give away the rest of his fortune after his death, he said that more than 99 percent of it will have to be used philanthropically. plunder verb: to take wrongfully, as by pillage, robbery, or fraud From the headlines: Experts assumed that a Stradivarius violin plundered after World War II had been lost or destroyed; now it appears to have resurfaced. The 316-year-old instrument was stolen from a Berlin bank safe during the chaos at the end of the war, and the family who owned it searched for decades before giving up. An image of the looted violin, which is valued at millions of dollars, was discovered among photos of Stradivarius instruments from a 2018 Tokyo exhibition. risotto noun: a dish of rice cooked with broth and flavored with grated cheese and other ingredients From the headlines: The short-grain Italian rice that’s used to make risotto is under threat from an unusual culprit: flamingos. Flocks of the birds are settling into northern Italian rice paddies instead of their usual nesting grounds. By stirring the shallow water and rooting for mollusks, the flamingos are destroying many valuable rice crops. skittish adjective: easily frightened or extremely cautious From the headlines: Economists report that despite a low unemployment rate, employers are increasingly skittish about hiring, leaving many recent college graduates struggling to find jobs. Numerous tech companies, consulting firms, and federal agencies are cutting back or freezing hiring, while other industries are hesitant to increase payroll expenses. Furthermore, fewer workers are quitting, limiting job openings even more. synthetic adjective: pertaining to compounds formed through a chemical process by human agency, as opposed to those of natural origin From the headlines: The J.M. Smucker Company has announced it will phase out synthetic dyes from its jams and other offerings. While many of its products are already made without artificial colors, some, including sugar-free jams and Hostess snacks like Twinkies and Snoballs, still rely on them. The company intends to use naturally sourced dyes by 2027. tandem adverb: one following or behind the other From the headlines: Researchers were surprised by video evidence of animals that are normally at odds traveling in tandem. A night-vision camera recorded an ocelot traveling peacefully behind an opossum — a surprise, since ocelots usually prey on opossums. Later footage showed the opossum trailing the ocelot as it prowled. Other researchers have since reported at least three additional examples of such behavior. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove และ Arctic Wolf — เตรียมชน AMD Zen 6 ด้วย Nova Lake และ Diamond Rapids”

    Intel ประกาศยืนยันสถาปัตยกรรมแกนประมวลผลใหม่สำหรับซีพียูรุ่นถัดไปในตระกูล Nova Lake และ Diamond Rapids ที่จะเปิดตัวในปี 2026 โดยฝั่งผู้ใช้ทั่วไป (Client) จะใช้แกน P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ส่วนฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะใช้แกน P-Core ชื่อ Panther Cove ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Cougar Cove ที่ใช้ใน Panther Lake

    Nova Lake จะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก โดยรุ่นสูงสุดจะมีจำนวนคอร์รวมถึง 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) พร้อมกราฟิกแบบใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ซึ่งจะมีการอัปเกรดแพลตฟอร์มครั้งใหญ่

    ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ โดยไม่มีการรองรับ SMT (Hyper-Threading) ซึ่ง Intel ยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาด และจะนำกลับมาในรุ่นถัดไป Coral Rapids ที่จะเปิดตัวหลังจากนั้น

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัวชิประดับเริ่มต้นชื่อ Wildcat Lake ที่จะมาแทน Twin Lake โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เพื่อรองรับตลาดราคาประหยัด

    Nova Lake และ Diamond Rapids จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Zen 6 ทั้งในฝั่ง Ryzen และ EPYC ซึ่งจะทำให้ปี 2026 กลายเป็นสมรภูมิเดือดของสองค่ายใหญ่ในโลกซีพียู

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core) สำหรับ Nova Lake
    Diamond Rapids จะใช้ Panther Cove P-Core สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954
    Diamond Rapids จะมีสูงสุด 256 คอร์ และไม่มี SMT
    Coral Rapids รุ่นถัดไปจะนำ SMT กลับมา
    Intel เตรียมเปิดตัว Wildcat Lake สำหรับตลาดเริ่มต้น
    Nova Lake จะใช้กราฟิก Xe3 และแข่งขันกับ AMD Zen 6
    Diamond Rapids จะชนกับ EPYC Zen 6 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Coyote Cove และ Arctic Wolf เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    LPE (Low Power Efficiency) cores ใช้สำหรับงานเบาและประหยัดพลังงาน
    Xe3 เป็นกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ที่เน้นการเร่งงาน AI และการประมวลผลภาพ
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 จะรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 รุ่นใหม่
    SMT (Simultaneous Multithreading) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เธรดเสมือน

    https://wccftech.com/intel-nova-lake-coyote-cove-p-core-arctic-wolf-e-core-diamond-rapids-panther-cove/
    🧠 “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove และ Arctic Wolf — เตรียมชน AMD Zen 6 ด้วย Nova Lake และ Diamond Rapids” Intel ประกาศยืนยันสถาปัตยกรรมแกนประมวลผลใหม่สำหรับซีพียูรุ่นถัดไปในตระกูล Nova Lake และ Diamond Rapids ที่จะเปิดตัวในปี 2026 โดยฝั่งผู้ใช้ทั่วไป (Client) จะใช้แกน P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ส่วนฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะใช้แกน P-Core ชื่อ Panther Cove ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Cougar Cove ที่ใช้ใน Panther Lake Nova Lake จะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก โดยรุ่นสูงสุดจะมีจำนวนคอร์รวมถึง 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) พร้อมกราฟิกแบบใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ซึ่งจะมีการอัปเกรดแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ โดยไม่มีการรองรับ SMT (Hyper-Threading) ซึ่ง Intel ยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาด และจะนำกลับมาในรุ่นถัดไป Coral Rapids ที่จะเปิดตัวหลังจากนั้น นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัวชิประดับเริ่มต้นชื่อ Wildcat Lake ที่จะมาแทน Twin Lake โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เพื่อรองรับตลาดราคาประหยัด Nova Lake และ Diamond Rapids จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Zen 6 ทั้งในฝั่ง Ryzen และ EPYC ซึ่งจะทำให้ปี 2026 กลายเป็นสมรภูมิเดือดของสองค่ายใหญ่ในโลกซีพียู ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core) สำหรับ Nova Lake ➡️ Diamond Rapids จะใช้ Panther Cove P-Core สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ Diamond Rapids จะมีสูงสุด 256 คอร์ และไม่มี SMT ➡️ Coral Rapids รุ่นถัดไปจะนำ SMT กลับมา ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Wildcat Lake สำหรับตลาดเริ่มต้น ➡️ Nova Lake จะใช้กราฟิก Xe3 และแข่งขันกับ AMD Zen 6 ➡️ Diamond Rapids จะชนกับ EPYC Zen 6 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Coyote Cove และ Arctic Wolf เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ LPE (Low Power Efficiency) cores ใช้สำหรับงานเบาและประหยัดพลังงาน ➡️ Xe3 เป็นกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ที่เน้นการเร่งงาน AI และการประมวลผลภาพ ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 จะรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 รุ่นใหม่ ➡️ SMT (Simultaneous Multithreading) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เธรดเสมือน https://wccftech.com/intel-nova-lake-coyote-cove-p-core-arctic-wolf-e-core-diamond-rapids-panther-cove/
    WCCFTECH.COM
    Intel Confirms Coyote Cove P-Core & Arctic Wolf E-Core For Nova Lake "Core Ultra 400" CPUs, Panther Cove P-Cores For Diamond Rapids "Xeon 7"
    Intel has confirmed the core architectures for its next-gen Nova Lake & Diamond Rapids CPUs, with Coyote Cove & Panther Cove P-Cores.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • “GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AmpereOne M — แรงจัด ประหยัดไฟ รองรับ AI และ Cloud แบบเต็มระบบ”

    GIGABYTE โดยบริษัทลูก Giga Computing ประกาศเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference, cloud-native และ data center ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ

    AmpereOne M มาพร้อมกับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 192 คอร์ รองรับหน่วยความจำ DDR5 ได้ถึง 12 ช่องต่อโปรเซสเซอร์ และสามารถติดตั้ง DIMM ได้สูงสุด 1.5 TB ต่อระบบ นอกจากนี้ยังมี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ทำให้สามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น โมเดลภาษา AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    GIGABYTE ได้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง โดยมีทั้งรุ่น 1U และ 2U ได้แก่:
    R1A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 4 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 สองช่อง
    R2A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 12 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 หนึ่งช่อง

    ทั้งสองรุ่นใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    GIGABYTE จะนำเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ไปโชว์ในงาน Korea Electronics Show (KES 2025) และ SuperComputing SC25 เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สัมผัสประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Arm-based สำหรับงาน AI และ Cloud โดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M
    AmpereOne M มีสูงสุด 192 คอร์ และรองรับ DDR5 ได้ถึง 1.5 TB
    มี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์
    เซิร์ฟเวอร์รุ่น R1A3-T40 และ R2A3-T40 รองรับ NVMe Gen 5 และ PCIe Gen 5
    ใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium
    รองรับงาน AI inference และ cloud-native ด้วยประสิทธิภาพสูง
    GIGABYTE จะโชว์เซิร์ฟเวอร์ในงาน KES 2025 และ SC25
    การออกแบบเน้นลดจำนวน node เพื่อประหยัดต้นทุนรวมของระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AmpereOne M ใช้สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded เพื่อความเสถียร
    การใช้ vector unit ช่วยให้ประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ GPU
    NVMe Gen 5 มีความเร็วสูงกว่า Gen 4 ถึง 2 เท่า เหมาะกับงานที่ต้องการ I/O หนัก
    PCIe Gen 5 รองรับการ์ด AI inference และการ์ดเครือข่ายความเร็วสูง
    การใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ Titanium ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    https://www.techpowerup.com/341545/gigabyte-launches-portfolio-of-servers-powered-by-ampereone
    🧠 “GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ AmpereOne M — แรงจัด ประหยัดไฟ รองรับ AI และ Cloud แบบเต็มระบบ” GIGABYTE โดยบริษัทลูก Giga Computing ประกาศเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference, cloud-native และ data center ขนาดใหญ่โดยเฉพาะ AmpereOne M มาพร้อมกับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 192 คอร์ รองรับหน่วยความจำ DDR5 ได้ถึง 12 ช่องต่อโปรเซสเซอร์ และสามารถติดตั้ง DIMM ได้สูงสุด 1.5 TB ต่อระบบ นอกจากนี้ยังมี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ทำให้สามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานที่ต้องการ throughput สูง เช่น โมเดลภาษา AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ GIGABYTE ได้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง โดยมีทั้งรุ่น 1U และ 2U ได้แก่: 🔰 R1A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 4 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 สองช่อง 🔰 R2A3-T40-AAV1: เซิร์ฟเวอร์ขนาด 2U รองรับ NVMe Gen 5 แบบ hot-swap 12 ช่อง และ PCIe Gen 5 x16 หนึ่งช่อง ทั้งสองรุ่นใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium เพื่อความเสถียรและประหยัดพลังงาน GIGABYTE จะนำเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ไปโชว์ในงาน Korea Electronics Show (KES 2025) และ SuperComputing SC25 เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรได้สัมผัสประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Arm-based สำหรับงาน AI และ Cloud โดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GIGABYTE เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ใช้ชิป AmpereOne M ➡️ AmpereOne M มีสูงสุด 192 คอร์ และรองรับ DDR5 ได้ถึง 1.5 TB ➡️ มี L2 cache ขนาดใหญ่และ vector unit แบบ 128-bit สองชุดต่อคอร์ ➡️ เซิร์ฟเวอร์รุ่น R1A3-T40 และ R2A3-T40 รองรับ NVMe Gen 5 และ PCIe Gen 5 ➡️ ใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ redundant 1600W 80 Plus Titanium ➡️ รองรับงาน AI inference และ cloud-native ด้วยประสิทธิภาพสูง ➡️ GIGABYTE จะโชว์เซิร์ฟเวอร์ในงาน KES 2025 และ SC25 ➡️ การออกแบบเน้นลดจำนวน node เพื่อประหยัดต้นทุนรวมของระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AmpereOne M ใช้สถาปัตยกรรม Arm แบบ single-threaded เพื่อความเสถียร ➡️ การใช้ vector unit ช่วยให้ประมวลผล AI ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ GPU ➡️ NVMe Gen 5 มีความเร็วสูงกว่า Gen 4 ถึง 2 เท่า เหมาะกับงานที่ต้องการ I/O หนัก ➡️ PCIe Gen 5 รองรับการ์ด AI inference และการ์ดเครือข่ายความเร็วสูง ➡️ การใช้พาวเวอร์ซัพพลายแบบ Titanium ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความน่าเชื่อถือ https://www.techpowerup.com/341545/gigabyte-launches-portfolio-of-servers-powered-by-ampereone
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    GIGABYTE Launches Portfolio of Servers Powered by AmpereOne
    Giga Computing, a subsidiary of GIGABYTE and an industry leader in servers for x86 and Arm-based platforms as well as advanced cooling technologies, today announces the launch of its broader portfolio of AmpereOne M servers, including the GIGABYTE R1A3-T40 and R2A3-T40. With its expanded AmpereOne M...
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI”

    Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

    ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

    ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน

    ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric
    ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F)
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า
    ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs
    ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC
    Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave
    ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ
    การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet
    SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler
    TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง
    การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด
    Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร

    https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    🔗 “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI” Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric ➡️ ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า ➡️ ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs ➡️ ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC ➡️ Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave ➡️ ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ ➡️ การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet ➡️ SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler ➡️ TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง ➡️ การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด ➡️ Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Alphawave Semi Delivers Cutting-Edge UCIe Chiplet IP on TSMC 3DFabric Platform
    Alphawave Semi (LSE: AWE), a global leader in high-speed connectivity and compute silicon for the world's technology infrastructure, has announced the successful tape-out of its cutting edge UCIe 3D IP on the advanced TSMC SoIC (SoIC-X) technology in the 3DFabric platform. This achievement builds on...
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • “TSMC ลดพีคพลังงาน EUV ลง 44% — ประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 พร้อมขยายสู่เครื่องจักรอื่น”

    TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าโครงการ “EUV Dynamic Energy Saving Program” ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 ที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลังงานของเครื่อง EUV lithography ที่ขึ้นชื่อว่ากินไฟมหาศาล

    ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าประทับใจ: TSMC สามารถลดการใช้พลังงานช่วงพีคของเครื่อง EUV ลงได้ถึง 44% โดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือผลผลิต และคาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน

    แม้ TSMC จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคของระบบนี้ แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ เช่น หากไม่มีเวเฟอร์รอการประมวลผล เครื่องจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบในคลีนรูมอย่างแม่นยำ

    นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนขยายระบบประหยัดพลังงานนี้ไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ lithography เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของโรงงาน และจะใช้ระบบนี้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ทุกแห่ง เช่น Fab 21 เฟส 2 ในรัฐแอริโซนา

    แม้การประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh จะดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานรวมของ TSMC ในปี 2024 ที่สูงถึง 25.55 พันล้าน kWh ก็ยังถือเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยกว่า 53.9% ของพลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปกับระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบทำความเย็นและกรองอากาศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSMC เริ่มใช้ EUV Dynamic Energy Saving Program ตั้งแต่ ก.ย. 2025
    ลดพีคพลังงานของเครื่อง EUV lithography ได้ถึง 44%
    คาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030
    ลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน
    เริ่มใช้งานที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B
    จะใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ เช่น Fab 21 เฟส 2
    มีแผนขยายไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ
    ระบบอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์
    ในปี 2024 TSMC ใช้พลังงานรวม 25.55 พันล้าน kWh
    พลังงานกว่า 53.9% ถูกใช้กับระบบสนับสนุน ไม่ใช่เครื่องผลิตโดยตรง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เครื่อง EUV ของ ASML ใช้พลังงานสูงถึงหลายร้อยกิโลวัตต์ต่อเครื่อง
    การลดพีคพลังงานช่วยลดความจำเป็นในการขยายระบบไฟฟ้าในโรงงาน
    ระบบ adaptive power scaling ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น data center และ cloud infrastructure
    การลดพลังงานในคลีนรูม เช่น fan filter units และระบบทำความเย็น มีผลต่อคุณภาพเวเฟอร์โดยตรง
    TSMC ยังมีโครงการรีไซเคิลสารทำความเย็นเพื่อลดคาร์บอนเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reduces-peak-power-consumption-of-euv-tools-by-44-percent-company-to-save-190-million-kilowatt-hours-of-electricity-by-2030
    ⚡ “TSMC ลดพีคพลังงาน EUV ลง 44% — ประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 พร้อมขยายสู่เครื่องจักรอื่น” TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเดินหน้าโครงการ “EUV Dynamic Energy Saving Program” ซึ่งเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 ที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลังงานของเครื่อง EUV lithography ที่ขึ้นชื่อว่ากินไฟมหาศาล ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าประทับใจ: TSMC สามารถลดการใช้พลังงานช่วงพีคของเครื่อง EUV ลงได้ถึง 44% โดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือผลผลิต และคาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน แม้ TSMC จะไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงเทคนิคของระบบนี้ แต่มีการคาดการณ์ว่าอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ เช่น หากไม่มีเวเฟอร์รอการประมวลผล เครื่องจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบในคลีนรูมอย่างแม่นยำ นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนขยายระบบประหยัดพลังงานนี้ไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ lithography เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของโรงงาน และจะใช้ระบบนี้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ทุกแห่ง เช่น Fab 21 เฟส 2 ในรัฐแอริโซนา แม้การประหยัดไฟ 190 ล้าน kWh จะดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานรวมของ TSMC ในปี 2024 ที่สูงถึง 25.55 พันล้าน kWh ก็ยังถือเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น โดยกว่า 53.9% ของพลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปกับระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบทำความเย็นและกรองอากาศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSMC เริ่มใช้ EUV Dynamic Energy Saving Program ตั้งแต่ ก.ย. 2025 ➡️ ลดพีคพลังงานของเครื่อง EUV lithography ได้ถึง 44% ➡️ คาดว่าจะประหยัดไฟรวม 190 ล้าน kWh ภายในปี 2030 ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอนลง 101,000 ตัน ➡️ เริ่มใช้งานที่โรงงาน Fab 15B, 18A และ 18B ➡️ จะใช้เป็นมาตรฐานสำหรับโรงงานใหม่ เช่น Fab 21 เฟส 2 ➡️ มีแผนขยายไปยังเครื่อง DUV และโมดูลอื่น ๆ ➡️ ระบบอาจใช้การปรับพลังงานตามสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ ➡️ ในปี 2024 TSMC ใช้พลังงานรวม 25.55 พันล้าน kWh ➡️ พลังงานกว่า 53.9% ถูกใช้กับระบบสนับสนุน ไม่ใช่เครื่องผลิตโดยตรง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เครื่อง EUV ของ ASML ใช้พลังงานสูงถึงหลายร้อยกิโลวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การลดพีคพลังงานช่วยลดความจำเป็นในการขยายระบบไฟฟ้าในโรงงาน ➡️ ระบบ adaptive power scaling ถูกใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น data center และ cloud infrastructure ➡️ การลดพลังงานในคลีนรูม เช่น fan filter units และระบบทำความเย็น มีผลต่อคุณภาพเวเฟอร์โดยตรง ➡️ TSMC ยังมีโครงการรีไซเคิลสารทำความเย็นเพื่อลดคาร์บอนเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsmc-reduces-peak-power-consumption-of-euv-tools-by-44-percent-company-to-save-190-million-kilowatt-hours-of-electricity-by-2030
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร”

    OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography)

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป

    OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น:
    เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป)
    เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64
    เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch
    เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ

    OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส
    รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป
    เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque
    เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป
    เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64
    เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local
    ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum
    ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่
    FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ
    การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ
    OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน

    https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    🔐 “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร” OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography) หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น: 🔰 เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก 🔰 รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป) 🔰 เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS 🔰 รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629 🔰 เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 🔰 รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ 🔰 เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC 🔰 ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128 🔰 รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64 🔰 เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch 🔰 เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส ➡️ รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป ➡️ เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque ➡️ เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก ➡️ รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป ➡️ เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA ➡️ รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629 ➡️ เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 ➡️ รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly ➡️ รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64 ➡️ เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local ➡️ ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum ➡️ ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่ ➡️ FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ ➡️ การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ ➡️ OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    9TO5LINUX.COM
    OpenSSL 3.6 Officially Released with LMS Signature Verification Support, More - 9to5Linux
    OpenSSL 3.6 is now available for download as a major update to this open-source software library that provides secure communications.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

    บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย

    การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง”

    การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง

    บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้
    การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness
    การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
    การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น
    การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม
    การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2
    การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี
    การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน
    การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    🏛️ “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง” การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้ ➡️ การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ➡️ การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น ➡️ การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ➡️ การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม ➡️ การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2 ➡️ การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี ➡️ การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน ➡️ การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    TERRIBLESOFTWARE.ORG
    Stop Avoiding Politics
    Most engineers think workplace politics is dirty. They’re wrong. Refusing to play politics doesn’t make you noble; it makes you ineffective.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • “Microsoft 365 Premium เปิดตัวแล้ว — รวมพลัง AI ระดับโปรในแพ็กเดียว พร้อมเลิกขาย Copilot Pro แยก”

    Microsoft ประกาศเปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ที่รวมทุกสิ่งจาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับมืออาชีพในราคาสมเหตุสมผลที่ $19.99 ต่อเดือน โดยผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้แผน Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

    แผนนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่เหนือกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การสร้างเอกสารระดับมืออาชีพจากคำสั่งเดียว และการจัดการงานผ่าน Agent Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานแทนได้จริง

    Microsoft ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Photos Agent สำหรับจัดการภาพ, การสร้างภาพด้วย GPT-4o, การสรุปเสียงและพอดแคสต์, และการใช้งานผ่านเสียงแบบเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกับการป้องกันระดับองค์กร เช่น Enterprise Data Protection และระบบตรวจสอบความปลอดภัยจาก prompt injection

    นอกจากนี้ Microsoft ยังปรับไอคอนของแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยและสะท้อนยุค AI มากขึ้น พร้อมเปิดให้ผู้ใช้เลือกโมเดล AI ที่ต้องการใช้งาน เช่น ChatGPT หรือ Claude ผ่านระบบ Copilot

    การเปิดตัวครั้งนี้ยังมาพร้อมการเลิกขาย Copilot Pro แบบแยก โดยผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ AI ระดับสูงจะต้องสมัคร Microsoft 365 Premium แทน ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างแผนสมาชิกให้เรียบง่ายขึ้น และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ราคา $19.99/เดือน
    รวมฟีเจอร์จาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ในแผนเดียว
    ผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้ Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
    เพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับโปร เช่น Researcher, Analyst, Actions และ Agent Mode
    มี Photos Agent สำหรับจัดการภาพ และ GPT-4o สำหรับสร้างภาพใน PowerPoint
    รองรับการสรุปเสียงและพอดแคสต์ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงเต็มรูปแบบ
    มี Enterprise Data Protection สำหรับการใช้งานกับไฟล์องค์กร
    ปรับไอคอนแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้สะท้อนยุค AI
    ผู้ใช้สามารถเลือกโมเดล AI ที่ต้องการ เช่น ChatGPT หรือ Claude
    Microsoft เลิกขาย Copilot Pro แบบแยก และแนะนำให้ใช้ Premium แทน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Microsoft 365 Premium ได้รับการออกแบบให้แข่งกับ ChatGPT Plus โดยตรง
    Premium รองรับการใช้งานกับ GPT-5 และ GPT-4o สำหรับงาน reasoning และภาพ
    ผู้ใช้ Premium จะได้สิทธิ์ทดลองฟีเจอร์ใหม่ก่อนใครผ่านโปรแกรม Frontier
    มีพื้นที่เก็บข้อมูล OneDrive สูงสุด 6TB (1TB ต่อคน สำหรับสูงสุด 6 คน)
    Microsoft ลงทุนกว่า $13 พันล้านใน OpenAI และใช้ Azure เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Copilot

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/microsoft-365-premium-brings-pro-level-ai-features-to-your-subscription-but-only-if-you-upgrade
    🧠 “Microsoft 365 Premium เปิดตัวแล้ว — รวมพลัง AI ระดับโปรในแพ็กเดียว พร้อมเลิกขาย Copilot Pro แยก” Microsoft ประกาศเปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ที่รวมทุกสิ่งจาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับมืออาชีพในราคาสมเหตุสมผลที่ $19.99 ต่อเดือน โดยผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้แผน Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แผนนี้ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่เหนือกว่าการใช้งานทั่วไป เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การสร้างเอกสารระดับมืออาชีพจากคำสั่งเดียว และการจัดการงานผ่าน Agent Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำงานแทนได้จริง Microsoft ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น Photos Agent สำหรับจัดการภาพ, การสร้างภาพด้วย GPT-4o, การสรุปเสียงและพอดแคสต์, และการใช้งานผ่านเสียงแบบเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดนี้มาพร้อมกับการป้องกันระดับองค์กร เช่น Enterprise Data Protection และระบบตรวจสอบความปลอดภัยจาก prompt injection นอกจากนี้ Microsoft ยังปรับไอคอนของแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้ดูทันสมัยและสะท้อนยุค AI มากขึ้น พร้อมเปิดให้ผู้ใช้เลือกโมเดล AI ที่ต้องการใช้งาน เช่น ChatGPT หรือ Claude ผ่านระบบ Copilot การเปิดตัวครั้งนี้ยังมาพร้อมการเลิกขาย Copilot Pro แบบแยก โดยผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ AI ระดับสูงจะต้องสมัคร Microsoft 365 Premium แทน ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างแผนสมาชิกให้เรียบง่ายขึ้น และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้ทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดตัวแผนสมาชิกใหม่ “Microsoft 365 Premium” ราคา $19.99/เดือน ➡️ รวมฟีเจอร์จาก Microsoft 365 Family และ Copilot Pro เข้าไว้ในแผนเดียว ➡️ ผู้ใช้ Copilot Pro เดิมสามารถสลับมาใช้ Premium ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ AI ระดับโปร เช่น Researcher, Analyst, Actions และ Agent Mode ➡️ มี Photos Agent สำหรับจัดการภาพ และ GPT-4o สำหรับสร้างภาพใน PowerPoint ➡️ รองรับการสรุปเสียงและพอดแคสต์ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงเต็มรูปแบบ ➡️ มี Enterprise Data Protection สำหรับการใช้งานกับไฟล์องค์กร ➡️ ปรับไอคอนแอป Office ใหม่ทั้งหมดให้สะท้อนยุค AI ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกโมเดล AI ที่ต้องการ เช่น ChatGPT หรือ Claude ➡️ Microsoft เลิกขาย Copilot Pro แบบแยก และแนะนำให้ใช้ Premium แทน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Microsoft 365 Premium ได้รับการออกแบบให้แข่งกับ ChatGPT Plus โดยตรง ➡️ Premium รองรับการใช้งานกับ GPT-5 และ GPT-4o สำหรับงาน reasoning และภาพ ➡️ ผู้ใช้ Premium จะได้สิทธิ์ทดลองฟีเจอร์ใหม่ก่อนใครผ่านโปรแกรม Frontier ➡️ มีพื้นที่เก็บข้อมูล OneDrive สูงสุด 6TB (1TB ต่อคน สำหรับสูงสุด 6 คน) ➡️ Microsoft ลงทุนกว่า $13 พันล้านใน OpenAI และใช้ Azure เป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Copilot https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/microsoft-365-premium-brings-pro-level-ai-features-to-your-subscription-but-only-if-you-upgrade
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น”

    สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น

    นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่
    BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง
    BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว

    ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3

    กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น
    Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ
    Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP
    Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว

    ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น

    https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    🌌 “OM System เปิดตัวกล้อง E-M1 Mark III Astro — เจาะลึกสีสันของเนบิวลาในแบบที่ตาเปล่ามองไม่เห็น” สำหรับสายถ่ายภาพดาราศาสตร์ ข่าวนี้คือการเปิดจักรวาลใหม่ให้คุณ OM System เปิดตัวกล้องรุ่นพิเศษ E-M1 Mark III Astro ซึ่งถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อถ่ายภาพท้องฟ้ายามค่ำคืนและวัตถุท้องฟ้าอย่างเนบิวลา โดยใช้พื้นฐานจากกล้อง E-M1 Mark III รุ่นเดิม แต่เพิ่มความสามารถด้วยการติดตั้งฟิลเตอร์ IR-cut ที่ปรับให้สามารถรับแสง Hα ได้ 100% ซึ่งเป็นแสงที่ปล่อยออกมาจากเนบิวลาสีแดงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น นอกจากตัวกล้องแล้ว OM System ยังเปิดตัวฟิลเตอร์เสริมอีกสองตัว ได้แก่ 📷 BMF-LPC01 สำหรับลดแสงรบกวนจากเมือง 📷 BMF-SE01 สำหรับเพิ่มความนุ่มนวลและเน้นสีของดาว ฟิลเตอร์เหล่านี้สามารถติดตั้งระหว่างเมาท์เลนส์กับเซนเซอร์ ทำให้เปลี่ยนเลนส์ได้โดยไม่ต้องถอดฟิลเตอร์ออก และยังใช้ได้กับกล้อง OM รุ่นใหม่ ๆ เช่น OM-1 Mark II และ OM-3 กล้องรุ่นนี้ยังรองรับโหมดถ่ายภาพพิเศษ เช่น 📷 Starry Sky Autofocus เพื่อโฟกัสดาวได้แม่นยำ 📷 Handheld High-Res Shot ที่สามารถเพิ่มความละเอียดจาก 20MP เป็น 50MP 📷 Live Composite สำหรับถ่ายเส้นทางการเคลื่อนที่ของดาว ราคาของชุดกล้องพร้อมฟิลเตอร์อยู่ที่ £1,899 ส่วนฟิลเตอร์แยกขายอยู่ที่ £259 และ £179 ตามลำดับ โดยวางจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ OM System เท่านั้น https://www.techradar.com/cameras/mirrorless-cameras/om-system-just-launched-a-powerful-astrophotography-camera-that-can-reveal-the-stunning-colors-of-nebulae-and-it-doesnt-cost-the-earth
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตที่เบากว่าอากาศ แต่มีผลต่อการสนับสนุนระยะยาว”

    Microsoft ปล่อยอัปเดตประจำปีสำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก เพราะมันแทบไม่มีอะไรใหม่เลยเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า 24H2

    อัปเดตนี้มาในรูปแบบ “enablement package” ซึ่งหมายความว่าเครื่องที่ใช้ 24H2 อยู่แล้วมีฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดอยู่ในระบบแล้ว เพียงแค่เปิดใช้งานผ่านการรีบูต ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่หรือรอการติดตั้งนาน

    ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกพูดถึง เช่น การปรับปรุง Start Menu ให้สามารถปิดคำแนะนำจาก Microsoft ได้ และการเพิ่มฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะ 25H2 เพราะผู้ใช้ 24H2 ก็จะได้รับฟีเจอร์เหล่านี้ผ่านอัปเดต KB5065789 เช่นกัน

    สิ่งที่ 25H2 มีเหนือกว่า คือการรีเซ็ต “นาฬิกาการสนับสนุน” โดยผู้ใช้ Home และ Pro จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 24 เดือน ส่วน Enterprise และ Education จะได้ถึง 36 เดือน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่ต้องการวางแผนระยะยาว

    ด้านความปลอดภัย Microsoft ระบุว่า 25H2 มีการปรับปรุงระบบตรวจจับช่องโหว่ทั้งในขั้นตอน build และ runtime โดยใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ดอย่างปลอดภัย รวมถึงการลบฟีเจอร์เก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMI command line ที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

    แม้จะดูเหมือนอัปเดตที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่สำหรับผู้ดูแลระบบหรือองค์กร การเปลี่ยนไปใช้ 25H2 อาจเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเลิกสนับสนุน Windows 10 และการปรับนโยบายด้านความปลอดภัยให้ทันสมัย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 11 25H2 เป็นอัปเดตแบบ enablement package ที่เปิดฟีเจอร์ผ่านการรีบูต
    ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Start Menu แบบปรับแต่งได้ และ AI Actions ใน File Explorer มีใน 24H2 ด้วย
    อัปเดต KB5065789 สำหรับ 24H2 มีฟีเจอร์เดียวกับ 25H2
    25H2 รีเซ็ตระยะเวลาการสนับสนุน: Home/Pro ได้ 24 เดือน, Enterprise/Education ได้ 36 เดือน
    มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI และการลบฟีเจอร์เก่า
    การติดตั้งใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่
    Microsoft ใช้ระบบ rollout แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดูจากความเข้ากันได้ของเครื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ enablement package เคยใช้ใน Windows 10 เช่น การอัปเดตจาก 1903 ไป 1909
    ฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer รวมถึง Visual Search, ลบพื้นหลัง, เบลอภาพ และลบวัตถุ
    การอัปเดตผ่าน eKB ช่วยลดขนาดไฟล์ลงถึง 40% และลดความเสี่ยงจากการติดตั้ง
    การรีเซ็ตการสนับสนุนช่วยให้องค์กรวางแผนการใช้งานได้ยาวนานขึ้น
    ผู้ใช้ที่เปิด “Get the latest updates as soon as they’re available” จะได้รับ 25H2 ก่อน

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-25h2-update-is-out-now-but-be-warned-this-is-one-of-the-strangest-upgrades-ever
    🪟 “Windows 11 25H2 มาแล้ว — อัปเดตที่เบากว่าอากาศ แต่มีผลต่อการสนับสนุนระยะยาว” Microsoft ปล่อยอัปเดตประจำปีสำหรับ Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก เพราะมันแทบไม่มีอะไรใหม่เลยเมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า 24H2 อัปเดตนี้มาในรูปแบบ “enablement package” ซึ่งหมายความว่าเครื่องที่ใช้ 24H2 อยู่แล้วมีฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดอยู่ในระบบแล้ว เพียงแค่เปิดใช้งานผ่านการรีบูต ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่หรือรอการติดตั้งนาน ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกพูดถึง เช่น การปรับปรุง Start Menu ให้สามารถปิดคำแนะนำจาก Microsoft ได้ และการเพิ่มฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะ 25H2 เพราะผู้ใช้ 24H2 ก็จะได้รับฟีเจอร์เหล่านี้ผ่านอัปเดต KB5065789 เช่นกัน สิ่งที่ 25H2 มีเหนือกว่า คือการรีเซ็ต “นาฬิกาการสนับสนุน” โดยผู้ใช้ Home และ Pro จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 24 เดือน ส่วน Enterprise และ Education จะได้ถึง 36 เดือน ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรที่ต้องการวางแผนระยะยาว ด้านความปลอดภัย Microsoft ระบุว่า 25H2 มีการปรับปรุงระบบตรวจจับช่องโหว่ทั้งในขั้นตอน build และ runtime โดยใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ดอย่างปลอดภัย รวมถึงการลบฟีเจอร์เก่าอย่าง PowerShell 2.0 และ WMI command line ที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป แม้จะดูเหมือนอัปเดตที่ไม่มีอะไรใหม่ แต่สำหรับผู้ดูแลระบบหรือองค์กร การเปลี่ยนไปใช้ 25H2 อาจเป็นการเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น การเลิกสนับสนุน Windows 10 และการปรับนโยบายด้านความปลอดภัยให้ทันสมัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 11 25H2 เป็นอัปเดตแบบ enablement package ที่เปิดฟีเจอร์ผ่านการรีบูต ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Start Menu แบบปรับแต่งได้ และ AI Actions ใน File Explorer มีใน 24H2 ด้วย ➡️ อัปเดต KB5065789 สำหรับ 24H2 มีฟีเจอร์เดียวกับ 25H2 ➡️ 25H2 รีเซ็ตระยะเวลาการสนับสนุน: Home/Pro ได้ 24 เดือน, Enterprise/Education ได้ 36 เดือน ➡️ มีการปรับปรุงด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจจับช่องโหว่ด้วย AI และการลบฟีเจอร์เก่า ➡️ การติดตั้งใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ➡️ Microsoft ใช้ระบบ rollout แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยดูจากความเข้ากันได้ของเครื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ enablement package เคยใช้ใน Windows 10 เช่น การอัปเดตจาก 1903 ไป 1909 ➡️ ฟีเจอร์ AI Actions ใน File Explorer รวมถึง Visual Search, ลบพื้นหลัง, เบลอภาพ และลบวัตถุ ➡️ การอัปเดตผ่าน eKB ช่วยลดขนาดไฟล์ลงถึง 40% และลดความเสี่ยงจากการติดตั้ง ➡️ การรีเซ็ตการสนับสนุนช่วยให้องค์กรวางแผนการใช้งานได้ยาวนานขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่เปิด “Get the latest updates as soon as they’re available” จะได้รับ 25H2 ก่อน https://www.techradar.com/computing/windows/windows-11-25h2-update-is-out-now-but-be-warned-this-is-one-of-the-strangest-upgrades-ever
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • “NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดจิ๋ว พร้อมพลัง 650W — แรงระดับเดสก์ท็อปในมือคุณ แต่ความเสี่ยงยังน่ากังวล”

    ในยุคที่โน้ตบุ๊กบางเบากลายเป็นเครื่องมือหลักของนักสร้างสรรค์และเกมเมอร์ การเพิ่มพลังกราฟิกผ่าน eGPU จึงเป็นทางออกที่หลายคนเลือก ล่าสุด NXPort ได้เปิดตัว eGPU Dock ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” พร้อมพลังงานในตัวถึง 650W โดยมีขนาดเพียง 169 x 102 x 82 มม. และน้ำหนัก 1.3 กก.

    จุดเด่นของ NXPort คือการรวมพลังงานและการเชื่อมต่อไว้ในอุปกรณ์เดียว รองรับ GPU แทบทุกชนิดผ่านพอร์ต Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 โดยไม่ต้องใช้ power brick แยก ทำให้สามารถใช้งานแบบ plug-and-play ได้ทันที แม้จะใช้กับโน้ตบุ๊กรุ่นกลางก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 6 เท่าในการทดสอบกับ RTX 4060

    ตัวเครื่องรองรับการใช้งานหนัก เช่น การเรนเดอร์วิดีโอ, การฝึกโมเดล AI, และงานกราฟิกระดับสูง โดยมีการออกแบบให้รองรับหัวต่อไฟหลากหลายแบบ ตั้งแต่ 8-pin ไปจนถึง quad 8-pin (12VHPWR) เพื่อรองรับ GPU รุ่นใหม่ในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ “open-frame” ที่ไม่มีฝาครอบทำให้ GPU อยู่ในสภาพเปิดโล่ง เสี่ยงต่อฝุ่น ความร้อน และการกระแทก โดยเฉพาะเมื่อใช้กับการ์ดราคาแพงอย่าง RTX 5090 ที่มีมูลค่าถึง $1,999

    แม้จะผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ แต่ยังไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพระยะยาวภายใต้โหลดหนัก ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังลังเลที่จะลงทุน โดยเฉพาะเมื่อโครงการนี้ยังอยู่ในระยะระดมทุนผ่าน Kickstarter ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการส่งมอบและคุณภาพสินค้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดเล็กที่สุดในโลก พร้อมพลังงานในตัว 650W
    ขนาดตัวเครื่อง 169 x 102 x 82 มม. น้ำหนัก 1.3 กก.
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 3/4/5 และ USB4
    รองรับ GPU แทบทุกชนิด รวมถึง RTX 5090 และหัวต่อไฟหลายแบบ
    ใช้งานแบบ plug-and-play ไม่ต้องใช้ power brick แยก
    ทดสอบกับ RTX 4060 แล้วได้ผลลัพธ์ benchmark เพิ่มขึ้น 6 เท่า
    เหมาะกับงานกราฟิก, การเรนเดอร์, และการฝึกโมเดล AI
    ผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ
    ราคาเริ่มต้น $239 สำหรับตัว dock และ $459 เมื่อรวม RTX 3050
    โครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้รับเงินสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Razer Core และ Gigabyte AORUS เป็น eGPU รุ่นก่อนที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้ power supply แยก
    Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 64Gbps แต่ NXPort ยังใช้ Thunderbolt 4/USB4 ที่จำกัดที่ 40Gbps
    eGPU แบบ open-frame เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยและการระบายความร้อน
    การใช้ eGPU ช่วยยืดอายุการใช้งานโน้ตบุ๊กโดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องการ GPU ที่มีหน่วยความจำสูงและระบบระบายความร้อนดี

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-smallest-egpu-dock-with-a-built-in-650w-psu-i-am-not-sure-that-id-be-comfortable-with-my-usd1-999-geforce-rtx-5090-gpu-exposed-to-the-elements
    🧳 “NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดจิ๋ว พร้อมพลัง 650W — แรงระดับเดสก์ท็อปในมือคุณ แต่ความเสี่ยงยังน่ากังวล” ในยุคที่โน้ตบุ๊กบางเบากลายเป็นเครื่องมือหลักของนักสร้างสรรค์และเกมเมอร์ การเพิ่มพลังกราฟิกผ่าน eGPU จึงเป็นทางออกที่หลายคนเลือก ล่าสุด NXPort ได้เปิดตัว eGPU Dock ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” พร้อมพลังงานในตัวถึง 650W โดยมีขนาดเพียง 169 x 102 x 82 มม. และน้ำหนัก 1.3 กก. จุดเด่นของ NXPort คือการรวมพลังงานและการเชื่อมต่อไว้ในอุปกรณ์เดียว รองรับ GPU แทบทุกชนิดผ่านพอร์ต Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 โดยไม่ต้องใช้ power brick แยก ทำให้สามารถใช้งานแบบ plug-and-play ได้ทันที แม้จะใช้กับโน้ตบุ๊กรุ่นกลางก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 6 เท่าในการทดสอบกับ RTX 4060 ตัวเครื่องรองรับการใช้งานหนัก เช่น การเรนเดอร์วิดีโอ, การฝึกโมเดล AI, และงานกราฟิกระดับสูง โดยมีการออกแบบให้รองรับหัวต่อไฟหลากหลายแบบ ตั้งแต่ 8-pin ไปจนถึง quad 8-pin (12VHPWR) เพื่อรองรับ GPU รุ่นใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ “open-frame” ที่ไม่มีฝาครอบทำให้ GPU อยู่ในสภาพเปิดโล่ง เสี่ยงต่อฝุ่น ความร้อน และการกระแทก โดยเฉพาะเมื่อใช้กับการ์ดราคาแพงอย่าง RTX 5090 ที่มีมูลค่าถึง $1,999 แม้จะผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ แต่ยังไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพระยะยาวภายใต้โหลดหนัก ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังลังเลที่จะลงทุน โดยเฉพาะเมื่อโครงการนี้ยังอยู่ในระยะระดมทุนผ่าน Kickstarter ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการส่งมอบและคุณภาพสินค้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดเล็กที่สุดในโลก พร้อมพลังงานในตัว 650W ➡️ ขนาดตัวเครื่อง 169 x 102 x 82 มม. น้ำหนัก 1.3 กก. ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 ➡️ รองรับ GPU แทบทุกชนิด รวมถึง RTX 5090 และหัวต่อไฟหลายแบบ ➡️ ใช้งานแบบ plug-and-play ไม่ต้องใช้ power brick แยก ➡️ ทดสอบกับ RTX 4060 แล้วได้ผลลัพธ์ benchmark เพิ่มขึ้น 6 เท่า ➡️ เหมาะกับงานกราฟิก, การเรนเดอร์, และการฝึกโมเดล AI ➡️ ผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ ➡️ ราคาเริ่มต้น $239 สำหรับตัว dock และ $459 เมื่อรวม RTX 3050 ➡️ โครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้รับเงินสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Razer Core และ Gigabyte AORUS เป็น eGPU รุ่นก่อนที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้ power supply แยก ➡️ Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 64Gbps แต่ NXPort ยังใช้ Thunderbolt 4/USB4 ที่จำกัดที่ 40Gbps ➡️ eGPU แบบ open-frame เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยและการระบายความร้อน ➡️ การใช้ eGPU ช่วยยืดอายุการใช้งานโน้ตบุ๊กโดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องการ GPU ที่มีหน่วยความจำสูงและระบบระบายความร้อนดี https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-smallest-egpu-dock-with-a-built-in-650w-psu-i-am-not-sure-that-id-be-comfortable-with-my-usd1-999-geforce-rtx-5090-gpu-exposed-to-the-elements
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน”

    ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้

    สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน

    การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน
    ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร
    ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric
    มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม
    ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก
    ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก.
    มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน
    การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก
    ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023
    โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง
    Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร
    ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน
    การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี

    https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    ✈️ “Geran-3: โดรนเจ็ตรัสเซียที่ต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ — เมื่อความเร็วและความฉลาดกลายเป็นอาวุธใหม่ในสนามรบยูเครน” ในสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องอย่างดุเดือด โดรนกลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งสองฝ่ายใช้โจมตีและป้องกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรัสเซียได้เปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ชื่อว่า “Geran-3” ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเกรดของ Shahed-238 จากอิหร่าน โดยมีจุดเด่นคือ “เครื่องยนต์เจ็ท” และ “ระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้ยูเครนรับมือได้ยากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด Geran-3 มีความเร็วสูงถึง 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ทำให้หลุดพ้นจากการตรวจจับด้วยอาวุธพื้นฐานหรือระบบเสียงแบบเดิมที่ใช้กับ Shahed รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูง (HE-FRAG-I) และบางรุ่นใช้หัวรบแบบ thermobaric ที่สามารถเจาะเป้าหมายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้ สิ่งที่ทำให้ Geran-3 น่ากลัวยิ่งขึ้นคือระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW countermeasures) ที่สามารถตรวจจับพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณดาวเทียม และหลีกเลี่ยงเส้นทางเหล่านั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้การใช้ระบบรบกวนสัญญาณของยูเครนไม่สามารถหยุดยั้งโดรนรุ่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยูเครนได้ตอบโต้ด้วยการพัฒนา “โดรนสกัดกั้น” ที่สามารถไล่ล่าและทำลาย Geran-3 ได้โดยเฉพาะ พร้อมเสริมกำลังด้วยทีมยิงเคลื่อนที่และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การโจมตีล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ใช้ Geran-3 จำนวนมากพร้อมกับขีปนาวุธ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 13 รายและบาดเจ็บกว่า 130 คน การวิเคราะห์ซากโดรนที่ตกในยูเครนพบว่า Geran-3 ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาวุธ แม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Geran-3 เป็นโดรนโจมตีแบบเจ็ทที่พัฒนาจาก Shahed-238 ของอิหร่าน ➡️ ความเร็วสูงสุดประมาณ 600 กม./ชม. และบินได้สูงถึง 9,000 เมตร ➡️ ติดตั้งหัวรบ HE-FRAG-I และบางรุ่นใช้หัวรบ thermobaric ➡️ มีระบบต้านสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่หลีกเลี่ยงพื้นที่รบกวนสัญญาณดาวเทียม ➡️ ใช้เครื่องยนต์ Tolou-10 หรือ Tolou-13 ซึ่งเป็นรุ่นลอกแบบจาก PBS TJ100 ของเช็ก ➡️ ขนาดลำตัวประมาณ 3.5 เมตร ปีกกว้าง 3 เมตร น้ำหนักรวมประมาณ 380 กก. ➡️ มีชิ้นส่วนจากต่างประเทศกว่า 50 รายการ รวมถึงจากชาติตะวันตกและจีน ➡️ การโจมตีล่าสุดในยูเครนใช้ Geran-3 ร่วมกับ Iskander-K ทำให้เกิดความเสียหายหนัก ➡️ ยูเครนตอบโต้ด้วยโดรนสกัดกั้นและระบบยิงเคลื่อนที่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shahed-238 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในอิหร่านเมื่อปลายปี 2023 ➡️ โดรนเจ็ทมีข้อได้เปรียบด้านความเร็วและการหลบหลีก แต่มีข้อจำกัดด้านระยะทาง ➡️ Thermobaric warhead สร้างแรงระเบิดจากแรงดันอากาศ เหมาะกับการเจาะเป้าหมายในอาคาร ➡️ ระบบ Sky Fortress ของยูเครนใช้เสียงในการตรวจจับโดรน แต่ Geran-3 มีเสียงต่างจากรุ่นก่อน ➡️ การใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี https://www.slashgear.com/1979250/russia-jet-powered-attack-drone-electronic-warfare-immunity/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Russia Now Has Jet-Powered Attack Drones Immune To Electronic Warfare - SlashGear
    Jet propulsion drones, similar to the Shahed ones used in Iran, are being deployed by Russia against Ukraine. However, Ukraine may already have an answer.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “Microsoft เปิดตัว ‘Vibe Working’ พร้อม Agent Mode ใน Word และ Excel — ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกับ AI ที่ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย แต่คือเพื่อนร่วมทีม”

    Microsoft กำลังพลิกโฉมการทำงานในออฟฟิศด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Vibe Working” ซึ่งเป็นการนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานอย่างลึกซึ้ง โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ได้แก่ “Agent Mode” สำหรับ Word และ Excel และ “Office Agent” ใน Copilot Chat เพื่อสร้างเอกสารและงานนำเสนอจากคำสั่งสนทนา

    Agent Mode ใน Excel ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้าน Excel โดย AI จะทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวางแผนงานหลายขั้นตอน ตรวจสอบผลลัพธ์ และปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

    ใน Word ฟีเจอร์นี้เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้กลายเป็น “การสนทนา” ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Copilot สรุป แก้ไข หรือเขียนใหม่ตามสไตล์ที่ต้องการ พร้อมถามตอบเพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงใจมากขึ้น

    ส่วน Office Agent ใน Copilot Chat จะช่วยสร้างงานนำเสนอ PowerPoint หรือเอกสาร Word จากคำสั่งสนทนา โดยใช้โมเดล AI จาก Anthropic ซึ่งสามารถค้นคว้าข้อมูลจากเว็บและจัดเรียงเนื้อหาอย่างมีโครงสร้าง

    ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน และจะขยายไปยังเวอร์ชันเดสก์ท็อปในอนาคต โดย Microsoft ตั้งเป้าให้การทำงานร่วมกับ AI กลายเป็นรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์งานในยุคดิจิทัล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดตัวแนวคิด “Vibe Working” พร้อมฟีเจอร์ Agent Mode และ Office Agent
    Agent Mode ใน Excel ช่วยสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟจากคำสั่งธรรมดา
    Agent Mode ใน Word เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้เป็นการสนทนาแบบโต้ตอบ
    Office Agent ใน Copilot Chat สร้าง PowerPoint และ Word จากคำสั่งสนทนา
    ใช้โมเดล AI จาก OpenAI และ Anthropic เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์
    Agent Mode ทำงานแบบหลายขั้นตอน พร้อมตรวจสอบและปรับปรุงผลลัพธ์
    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน
    Desktop support จะตามมาในอัปเดตถัดไป
    Agent Mode ใน Excel ทำคะแนนได้ 57.2% ในการทดสอบ SpreadsheetBench เทียบกับมนุษย์ที่ได้ 71.3%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Vibe Working” เป็นแนวคิดต่อยอดจาก “Vibe Coding” ที่ใช้ AI สร้างโค้ดจากคำสั่งสนทนา
    SpreadsheetBench เป็นชุดทดสอบความสามารถของ AI ในการจัดการข้อมูล Excel
    Anthropic เป็นบริษัท AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเข้าใจเชิงบริบท
    Microsoft 365 Copilot ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานแบบ AI-first
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงความสามารถระดับผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น

    https://securityonline.info/vibe-working-is-here-microsoft-introduces-ai-agent-mode-for-word-and-excel/
    🧠 “Microsoft เปิดตัว ‘Vibe Working’ พร้อม Agent Mode ใน Word และ Excel — ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกับ AI ที่ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย แต่คือเพื่อนร่วมทีม” Microsoft กำลังพลิกโฉมการทำงานในออฟฟิศด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Vibe Working” ซึ่งเป็นการนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานอย่างลึกซึ้ง โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ได้แก่ “Agent Mode” สำหรับ Word และ Excel และ “Office Agent” ใน Copilot Chat เพื่อสร้างเอกสารและงานนำเสนอจากคำสั่งสนทนา Agent Mode ใน Excel ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้าน Excel โดย AI จะทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวางแผนงานหลายขั้นตอน ตรวจสอบผลลัพธ์ และปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ใน Word ฟีเจอร์นี้เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้กลายเป็น “การสนทนา” ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Copilot สรุป แก้ไข หรือเขียนใหม่ตามสไตล์ที่ต้องการ พร้อมถามตอบเพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงใจมากขึ้น ส่วน Office Agent ใน Copilot Chat จะช่วยสร้างงานนำเสนอ PowerPoint หรือเอกสาร Word จากคำสั่งสนทนา โดยใช้โมเดล AI จาก Anthropic ซึ่งสามารถค้นคว้าข้อมูลจากเว็บและจัดเรียงเนื้อหาอย่างมีโครงสร้าง ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน และจะขยายไปยังเวอร์ชันเดสก์ท็อปในอนาคต โดย Microsoft ตั้งเป้าให้การทำงานร่วมกับ AI กลายเป็นรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์งานในยุคดิจิทัล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดตัวแนวคิด “Vibe Working” พร้อมฟีเจอร์ Agent Mode และ Office Agent ➡️ Agent Mode ใน Excel ช่วยสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟจากคำสั่งธรรมดา ➡️ Agent Mode ใน Word เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้เป็นการสนทนาแบบโต้ตอบ ➡️ Office Agent ใน Copilot Chat สร้าง PowerPoint และ Word จากคำสั่งสนทนา ➡️ ใช้โมเดล AI จาก OpenAI และ Anthropic เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ ➡️ Agent Mode ทำงานแบบหลายขั้นตอน พร้อมตรวจสอบและปรับปรุงผลลัพธ์ ➡️ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน ➡️ Desktop support จะตามมาในอัปเดตถัดไป ➡️ Agent Mode ใน Excel ทำคะแนนได้ 57.2% ในการทดสอบ SpreadsheetBench เทียบกับมนุษย์ที่ได้ 71.3% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Vibe Working” เป็นแนวคิดต่อยอดจาก “Vibe Coding” ที่ใช้ AI สร้างโค้ดจากคำสั่งสนทนา ➡️ SpreadsheetBench เป็นชุดทดสอบความสามารถของ AI ในการจัดการข้อมูล Excel ➡️ Anthropic เป็นบริษัท AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเข้าใจเชิงบริบท ➡️ Microsoft 365 Copilot ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานแบบ AI-first ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงความสามารถระดับผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น https://securityonline.info/vibe-working-is-here-microsoft-introduces-ai-agent-mode-for-word-and-excel/
    SECURITYONLINE.INFO
    'Vibe Working' Is Here: Microsoft Introduces AI Agent Mode for Word and Excel
    Microsoft introduces "Vibe Working" with a new AI Agent Mode for Word and Excel. The feature allows users to collaborate with AI to generate and refine documents with simple prompts.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด”

    ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก

    เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน

    แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา

    อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย

    สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36%
    ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง
    ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก
    การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น
    การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้
    แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน
    Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี
    Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน
    Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน
    เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ
    การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น
    บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง

    https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    🌿 “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด” ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36% ➡️ ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง ➡️ ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ➡️ การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น ➡️ การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้ ➡️ แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน ➡️ Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน ➡️ Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน ➡️ เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ ➡️ การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น ➡️ บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • “Crucial เปิดตัว LPCAMM2 แรมโน้ตบุ๊กยุคใหม่เร็วสุด 8,533MT/s — พร้อมรองรับ AI และอัปเกรดได้ในเครื่องบางเบา”

    Micron Technology ได้เปิดตัวหน่วยความจำ Crucial LPCAMM2 ซึ่งเป็นแรมโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ LPDDR5X และมีความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวงการหน่วยความจำสำหรับโน้ตบุ๊ก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การประมวลผลแบบเรียลไทม์ และการใช้งานหนักในเครื่องบางเบา

    LPCAMM2 มีขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก โดยลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และลดการใช้พลังงานขณะทำงานได้ถึง 58% ทำให้เหมาะกับโน้ตบุ๊กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงอายุแบตเตอรี่ยาวนาน

    จุดเด่นอีกอย่างคือ “ความสามารถในการอัปเกรด” ซึ่งแตกต่างจาก LPDDR ที่มักถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด LPCAMM2 มาในรูปแบบโมดูลที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มความจุหรือเปลี่ยนแรมได้ในอนาคต ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่อง

    Crucial ระบุว่า LPCAMM2 เหมาะกับผู้ใช้สายสร้างสรรค์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การประชุมวิดีโอ, การตัดต่อภาพ, การเขียนเอกสาร และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ จากผลทดสอบ PCMark 10

    หน่วยความจำนี้รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell และคาดว่าจะมีการนำไปใช้ในโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไปอย่างแพร่หลาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crucial เปิดตัว LPCAMM2 หน่วยความจำ LPDDR5X สำหรับโน้ตบุ๊ก
    ความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s เร็วกว่า DDR5 SODIMM ถึง 1.5 เท่า
    ลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และขณะทำงานได้ถึง 58%
    ขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึง 64%
    รองรับการอัปเกรดและเปลี่ยนแรมได้ ไม่ต้องบัดกรีติดเมนบอร์ด
    เหมาะกับงาน AI, การสร้างสรรค์, และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
    เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์
    รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell
    มีจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

    LPDDR5X เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S Ultra และ iPhone Pro
    CAMM (Compression Attached Memory Module) เป็นมาตรฐานใหม่ที่กำลังแทนที่ SODIMM
    LPCAMM2 ใช้การเชื่อมต่อแบบ dual-channel ในโมดูลเดียว เพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เต็ม 128 บิต
    การออกแบบบางเบาและไม่มีพัดลมช่วยให้โน้ตบุ๊กมีดีไซน์ที่บางลงและเงียบขึ้น
    การอัปเกรดแรมในโน้ตบุ๊กเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน หลังจากหลายรุ่นใช้แรมบัดกรีถาวร

    https://www.techpowerup.com/341496/crucial-unveils-lpcamm2-memory-with-record-8-533mt-s-performance-for-ai-ready-laptops
    🚀 “Crucial เปิดตัว LPCAMM2 แรมโน้ตบุ๊กยุคใหม่เร็วสุด 8,533MT/s — พร้อมรองรับ AI และอัปเกรดได้ในเครื่องบางเบา” Micron Technology ได้เปิดตัวหน่วยความจำ Crucial LPCAMM2 ซึ่งเป็นแรมโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ LPDDR5X และมีความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวงการหน่วยความจำสำหรับโน้ตบุ๊ก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การประมวลผลแบบเรียลไทม์ และการใช้งานหนักในเครื่องบางเบา LPCAMM2 มีขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก โดยลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และลดการใช้พลังงานขณะทำงานได้ถึง 58% ทำให้เหมาะกับโน้ตบุ๊กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงอายุแบตเตอรี่ยาวนาน จุดเด่นอีกอย่างคือ “ความสามารถในการอัปเกรด” ซึ่งแตกต่างจาก LPDDR ที่มักถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด LPCAMM2 มาในรูปแบบโมดูลที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มความจุหรือเปลี่ยนแรมได้ในอนาคต ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่อง Crucial ระบุว่า LPCAMM2 เหมาะกับผู้ใช้สายสร้างสรรค์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การประชุมวิดีโอ, การตัดต่อภาพ, การเขียนเอกสาร และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ จากผลทดสอบ PCMark 10 หน่วยความจำนี้รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell และคาดว่าจะมีการนำไปใช้ในโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไปอย่างแพร่หลาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crucial เปิดตัว LPCAMM2 หน่วยความจำ LPDDR5X สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ ความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s เร็วกว่า DDR5 SODIMM ถึง 1.5 เท่า ➡️ ลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และขณะทำงานได้ถึง 58% ➡️ ขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึง 64% ➡️ รองรับการอัปเกรดและเปลี่ยนแรมได้ ไม่ต้องบัดกรีติดเมนบอร์ด ➡️ เหมาะกับงาน AI, การสร้างสรรค์, และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ ➡️ รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell ➡️ มีจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก ➡️ LPDDR5X เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S Ultra และ iPhone Pro ➡️ CAMM (Compression Attached Memory Module) เป็นมาตรฐานใหม่ที่กำลังแทนที่ SODIMM ➡️ LPCAMM2 ใช้การเชื่อมต่อแบบ dual-channel ในโมดูลเดียว เพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เต็ม 128 บิต ➡️ การออกแบบบางเบาและไม่มีพัดลมช่วยให้โน้ตบุ๊กมีดีไซน์ที่บางลงและเงียบขึ้น ➡️ การอัปเกรดแรมในโน้ตบุ๊กเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน หลังจากหลายรุ่นใช้แรมบัดกรีถาวร https://www.techpowerup.com/341496/crucial-unveils-lpcamm2-memory-with-record-8-533mt-s-performance-for-ai-ready-laptops
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Crucial Unveils LPCAMM2 Memory with Record 8,533MT/s Performance for AI-Ready Laptops
    Micron Technology is pushing the boundaries of laptop performance with higher speeds for Crucial LPCAMM2 memory, now reaching up to 8,533 megatransfers per second (MT/s). This latest enhancement brings even more performance to Crucial's standards-based compact memory module, purpose-built to allow e...
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ภูมิใจ รับ 'ปีกเกียรติยศ' จากกองทัพไทย สะท้อนบทบาทพลเรือนในการสนับสนุนความมั่นคงของชาติ
    https://www.thai-tai.tv/news/21687/
    .
    #สุชัชวีร์ #ปีกเกียรติยศ #กองทัพไทย #พลเรือนทหาร #ต่อต้านก่อการร้าย #ทรงวิทย์หนุนภักดี #ความมั่นคงของชาติ #SoftPowerทหาร
    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ภูมิใจ รับ 'ปีกเกียรติยศ' จากกองทัพไทย สะท้อนบทบาทพลเรือนในการสนับสนุนความมั่นคงของชาติ https://www.thai-tai.tv/news/21687/ . #สุชัชวีร์ #ปีกเกียรติยศ #กองทัพไทย #พลเรือนทหาร #ต่อต้านก่อการร้าย #ทรงวิทย์หนุนภักดี #ความมั่นคงของชาติ #SoftPowerทหาร
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง”

    Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ

    แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33%
    เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์
    TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD
    Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่
    มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk
    Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี
    Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm
    โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet)
    Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง
    TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7%
    การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง
    Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ

    https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    💥 “Samsung หั่นราคาชิป 2nm ลง 33% — เปิดเกมรุก TSMC หวังพลิกสถานการณ์โรงงานว่าง” Samsung Foundry กำลังเดินเกมรุกครั้งใหญ่ในตลาดการผลิตชิประดับสูง ด้วยการลดราคาชิป 2nm ลงเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ต่อแผ่นเวเฟอร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาของ TSMC ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์ถึง 33% การลดราคาครั้งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาด แต่เป็นความพยายามของ Samsung ในการเติมเต็มกำลังการผลิตที่ยังว่างอยู่ในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ทั้งในเกาหลีใต้และสหรัฐฯ แม้ TSMC จะยังครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ที่เลือกใช้เทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับชิปยุคถัดไป แต่ Samsung ก็เริ่มเห็นผลจากกลยุทธ์ลดราคา โดยสามารถคว้าดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับการผลิตชิป AI รุ่นใหม่ที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla2 นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Samsung อาจได้รับงานผลิตชิปสำหรับโครงการ xAI ของ Elon Musk ด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายบทบาทของ Samsung ในตลาด AI hardware ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความคืบหน้า แต่ Samsung ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านคุณภาพและ yield rate โดยรายงานล่าสุดระบุว่าอัตราการผลิตสำเร็จของชิป 2nm อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานของ TSMC ที่มี yield สูงกว่า 80% ในหลายรุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung ลดราคาชิป 2nm เหลือ 20,000 ดอลลาร์ต่อเวเฟอร์ ต่ำกว่า TSMC ถึง 33% ➡️ เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงลูกค้าเข้าสู่กำลังการผลิตที่ยังว่างในโรงงานที่ลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์ ➡️ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น NVIDIA และ AMD ➡️ Samsung ได้ดีลมูลค่า 16.5 พันล้านดอลลาร์กับ Tesla สำหรับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ มีแนวโน้มว่า Samsung อาจผลิตชิปให้กับโครงการ xAI ของ Elon Musk ➡️ Yield rate ของชิป 2nm ของ Samsung อยู่ที่ประมาณ 40% และตั้งเป้าไว้ที่ 60% ภายในสิ้นปี ➡️ Samsung ใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ในการพัฒนา node 2nm ➡️ โรงงานในเท็กซัสของ Samsung เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การผลิตชิประดับ 2nm ต้องใช้เทคโนโลยี lithography ขั้นสูง เช่น EUV (Extreme Ultraviolet) ➡️ Yield rate ต่ำหมายถึงต้นทุนต่อชิปสูงขึ้น แม้ราคาต่อเวเฟอร์จะถูกลง ➡️ TSMC มีส่วนแบ่งตลาดการผลิตชิประดับสูงมากกว่า 67% ขณะที่ Samsung อยู่ที่ประมาณ 7.7% ➡️ การแข่งขันด้านราคาสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ต้องแลกกับ margin ที่ลดลง ➡️ Tesla และ xAI เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่ต้องการชิปประสิทธิภาพสูงและผลิตในสหรัฐฯ https://www.techpowerup.com/341465/samsung-cuts-2-nm-node-pricing-by-33-in-tsmc-competition-push
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Cuts 2 nm Node Pricing by 33% in TSMC Competition Push
    Samsung has cut its 2 nm wafer prices to $20,000 offering a 33% discount compared to TSMC's expected $30,000 per wafer cost, industry reports say. The company aims to draw customers to its underused advanced manufacturing capacity. The Korean chipmaker faces big pressure to get returns on billions i...
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • “NVIDIA RTX 50 SUPER เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 — เพิ่ม VRAM แต่ประสิทธิภาพยัง ‘ไม่ว้าว’ เท่าที่หวัง”

    NVIDIA เตรียมเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นอัปเกรดกลางอายุในซีรีส์ RTX 50 Blackwell ภายใต้ชื่อ “SUPER” โดยคาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026 และวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2026 โดยรุ่นที่คาดว่าจะเปิดตัว ได้แก่ RTX 5070 SUPER, RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER ซึ่งจะมาแทนที่รุ่นเดิมในกลุ่ม mid-range และ high-end

    จุดเด่นของรุ่น SUPER คือการเพิ่มขนาดหน่วยความจำ (VRAM) ขึ้นถึง 50% โดย RTX 5070 SUPER จะมี 18GB, ส่วน RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER จะมี 24GB ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่การเพิ่ม VRAM นี้ไม่ได้มาพร้อมกับการเพิ่มแบนด์วิดธ์แบบสัดส่วน เพราะใช้ชิป GDDR7 ความหนาแน่นสูงแบบ 24 Gbit

    อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของตัวการ์ดในด้านอื่น เช่น CUDA core หรือความเร็ว clock นั้นมีเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะ RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER ที่ใช้โครงสร้างเดิมเป็นหลัก ทำให้การ์ดเหล่านี้เหมาะกับงานที่ต้องการ VRAM สูง เช่น AI, LLM หรือการเรนเดอร์ภาพขนาดใหญ่ มากกว่าการเล่นเกมทั่วไป

    นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า NVIDIA ยังไม่แจ้งผู้ผลิตการ์ด (AIC partners) เกี่ยวกับการเปิดตัวรุ่น SUPER แม้จะใกล้เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 แล้ว ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแผนหรือการเปิดตัวแบบเร่งด่วนในช่วงต้นปีหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NVIDIA เตรียมเปิดตัว RTX 50 SUPER ในงาน CES 2026 และวางจำหน่ายช่วง Q1–Q2 ปี 2026
    รุ่นที่คาดว่าจะเปิดตัว ได้แก่ RTX 5070 SUPER, RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER
    RTX 5070 SUPER จะมี VRAM 18GB ส่วนรุ่น Ti และ 5080 จะมี 24GB
    ใช้ชิป GDDR7 ความหนาแน่นสูงแบบ 24 Gbit เพื่อเพิ่ม VRAM โดยไม่เพิ่มแบนด์วิดธ์มากนัก
    การเพิ่ม CUDA core และ clock speed มีเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในรุ่น Ti และ 5080
    เหมาะกับงานที่ต้องการ VRAM สูง เช่น AI, LLM, การเรนเดอร์ภาพขนาดใหญ่
    ยังไม่มีการแจ้งผู้ผลิตการ์ด (AIC partners) อย่างเป็นทางการ แม้จะใกล้ Q4 แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PCIe 6.0 ที่ใช้ในการ์ดรุ่นใหม่รองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน
    GDDR7 มีความเร็วสูงกว่า GDDR6X และใช้พลังงานน้อยลง
    การ์ดรุ่น SUPER มักเป็นการอัปเกรดเล็ก ๆ กลางอายุของซีรีส์หลัก เพื่อเติมช่องว่างตลาด
    RTX 5080 SUPER มี TGP สูงถึง 415W ซึ่งต้องการระบบระบายความร้อนที่ดี
    คู่แข่งอย่าง AMD RX 9000 ใช้หน่วยความจำที่ประหยัดพลังงานกว่า ทำให้ Blackwell เสียเปรียบด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์

    https://www.techpowerup.com/341450/march-april-release-of-nvidia-geforce-rtx-50-series-super-lineup-possible-ces-reveal
    🎮 “NVIDIA RTX 50 SUPER เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 — เพิ่ม VRAM แต่ประสิทธิภาพยัง ‘ไม่ว้าว’ เท่าที่หวัง” NVIDIA เตรียมเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นอัปเกรดกลางอายุในซีรีส์ RTX 50 Blackwell ภายใต้ชื่อ “SUPER” โดยคาดว่าจะเปิดตัวในงาน CES 2026 และวางจำหน่ายช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2026 โดยรุ่นที่คาดว่าจะเปิดตัว ได้แก่ RTX 5070 SUPER, RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER ซึ่งจะมาแทนที่รุ่นเดิมในกลุ่ม mid-range และ high-end จุดเด่นของรุ่น SUPER คือการเพิ่มขนาดหน่วยความจำ (VRAM) ขึ้นถึง 50% โดย RTX 5070 SUPER จะมี 18GB, ส่วน RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER จะมี 24GB ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่การเพิ่ม VRAM นี้ไม่ได้มาพร้อมกับการเพิ่มแบนด์วิดธ์แบบสัดส่วน เพราะใช้ชิป GDDR7 ความหนาแน่นสูงแบบ 24 Gbit อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของตัวการ์ดในด้านอื่น เช่น CUDA core หรือความเร็ว clock นั้นมีเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะ RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER ที่ใช้โครงสร้างเดิมเป็นหลัก ทำให้การ์ดเหล่านี้เหมาะกับงานที่ต้องการ VRAM สูง เช่น AI, LLM หรือการเรนเดอร์ภาพขนาดใหญ่ มากกว่าการเล่นเกมทั่วไป นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่า NVIDIA ยังไม่แจ้งผู้ผลิตการ์ด (AIC partners) เกี่ยวกับการเปิดตัวรุ่น SUPER แม้จะใกล้เข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 แล้ว ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแผนหรือการเปิดตัวแบบเร่งด่วนในช่วงต้นปีหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NVIDIA เตรียมเปิดตัว RTX 50 SUPER ในงาน CES 2026 และวางจำหน่ายช่วง Q1–Q2 ปี 2026 ➡️ รุ่นที่คาดว่าจะเปิดตัว ได้แก่ RTX 5070 SUPER, RTX 5070 Ti SUPER และ RTX 5080 SUPER ➡️ RTX 5070 SUPER จะมี VRAM 18GB ส่วนรุ่น Ti และ 5080 จะมี 24GB ➡️ ใช้ชิป GDDR7 ความหนาแน่นสูงแบบ 24 Gbit เพื่อเพิ่ม VRAM โดยไม่เพิ่มแบนด์วิดธ์มากนัก ➡️ การเพิ่ม CUDA core และ clock speed มีเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในรุ่น Ti และ 5080 ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการ VRAM สูง เช่น AI, LLM, การเรนเดอร์ภาพขนาดใหญ่ ➡️ ยังไม่มีการแจ้งผู้ผลิตการ์ด (AIC partners) อย่างเป็นทางการ แม้จะใกล้ Q4 แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PCIe 6.0 ที่ใช้ในการ์ดรุ่นใหม่รองรับแบนด์วิดธ์สูงถึง 64 GT/s ต่อเลน ➡️ GDDR7 มีความเร็วสูงกว่า GDDR6X และใช้พลังงานน้อยลง ➡️ การ์ดรุ่น SUPER มักเป็นการอัปเกรดเล็ก ๆ กลางอายุของซีรีส์หลัก เพื่อเติมช่องว่างตลาด ➡️ RTX 5080 SUPER มี TGP สูงถึง 415W ซึ่งต้องการระบบระบายความร้อนที่ดี ➡️ คู่แข่งอย่าง AMD RX 9000 ใช้หน่วยความจำที่ประหยัดพลังงานกว่า ทำให้ Blackwell เสียเปรียบด้านประสิทธิภาพต่อวัตต์ https://www.techpowerup.com/341450/march-april-release-of-nvidia-geforce-rtx-50-series-super-lineup-possible-ces-reveal
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    March-April Release of NVIDIA GeForce RTX 50-series SUPER Lineup, Possible CES Reveal
    NVIDIA could release the mid-lifecycle update to the GeForce 50-series "Blackwell" generation with the SUPER brand extension, toward the end of Q1 and beginning of Q2, 2026, BenchLife.info reports. The lineup could see some kind of reveal or announcements earlier that year at the 2026 International ...
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
More Results