เรื่องเล่าจาก Dark Web: เมื่อการเฝ้าระวังในเงามืดกลายเป็นเกราะป้องกันองค์กรก่อนภัยจะมาถึง
หลายองค์กรยังมอง Dark Web ว่าเป็นพื้นที่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ในความเป็นจริง มันคือ “เรดาร์ลับ” ที่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของ credentials, การขายสิทธิ์เข้าถึงระบบ, หรือการวางแผน ransomware
ผู้เชี่ยวชาญจากหลายบริษัท เช่น Nightwing, Picus Security, ISG และ Cyberproof ต่างยืนยันว่า Dark Web คือแหล่งข้อมูลที่มีค่า—ถ้าเรารู้ว่าจะดูอะไร และจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร เช่น การตรวจพบ stealer logs, การพูดถึงแบรนด์ขององค์กร, หรือการขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย initial access brokers (IABs)
การเฝ้าระวัง Dark Web ไม่ใช่แค่การ “ดูว่ามีข้อมูลหลุดหรือไม่” แต่ต้องเชื่อมโยงกับระบบภายใน เช่น SIEM, XDR, หรือระบบ identity เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อพบ session token หรือ admin credential ที่ถูกขโมย
เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ SpyCloud ซึ่งเน้นการตรวจจับ credentials ที่หลุดแบบอัตโนมัติ และ DarkOwl ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยมี search engine สำหรับ Dark Web ที่สามารถกรองตามประเภทข้อมูล, เวลา, และแหล่งที่มา
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเชิงรุก เช่น honeypots และ canary tokens ที่ใช้ล่อให้แฮกเกอร์เปิดเผยตัว และการเข้าร่วม ISACs หรือ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามในอุตสาหกรรมเดียวกัน
เหตุผลที่ควรเฝ้าระวัง Dark Web
เป็นระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อมีข้อมูลหลุดหรือถูกวางเป้าหมาย
ช่วยให้ทีม security รู้ว่ากลุ่ม ransomware กำลังเล็งอุตสาหกรรมใด
สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับ playbook และทำ adversarial simulation
สัญญาณที่ควรจับตา
stealer logs, brand mentions, การขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย IABs
การพูดถึงซอฟต์แวร์หรือระบบที่องค์กรใช้อยู่ เช่น CRM, SSO, cloud
การโพสต์รับสมัคร affiliate ที่เจาะจงอุตสาหกรรม เช่น SaaS หรือ healthcare
เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้
SpyCloud: ตรวจจับ credentials, cookies, tokens ที่หลุดแบบอัตโนมัติ
DarkOwl: วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ มี search engine สำหรับ Dark Web
Flashpoint, Recorded Future: ใช้สำหรับ threat intelligence และการแจ้งเตือน
เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจจับ
honeypots และ canary tokens สำหรับล่อแฮกเกอร์และตรวจจับ insider threat
การเข้าร่วม ISACs และ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม
การตั้งค่า monitoring สำหรับ domain, IP, username บน marketplace และ forum
การเชื่อมโยงข้อมูลภายนอกกับระบบภายใน
cross-reference กับ authentication logs, identity changes, และ anomalous behavior
ใช้ข้อมูลจาก Dark Web เพื่อ trigger investigation, revoke access, isolate services
พัฒนา incident response playbook ที่เชื่อมโยงกับ threat intelligence
https://www.csoonline.com/article/4046242/a-cisos-guide-to-monitoring-the-dark-web.html
หลายองค์กรยังมอง Dark Web ว่าเป็นพื้นที่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ในความเป็นจริง มันคือ “เรดาร์ลับ” ที่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของ credentials, การขายสิทธิ์เข้าถึงระบบ, หรือการวางแผน ransomware
ผู้เชี่ยวชาญจากหลายบริษัท เช่น Nightwing, Picus Security, ISG และ Cyberproof ต่างยืนยันว่า Dark Web คือแหล่งข้อมูลที่มีค่า—ถ้าเรารู้ว่าจะดูอะไร และจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร เช่น การตรวจพบ stealer logs, การพูดถึงแบรนด์ขององค์กร, หรือการขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย initial access brokers (IABs)
การเฝ้าระวัง Dark Web ไม่ใช่แค่การ “ดูว่ามีข้อมูลหลุดหรือไม่” แต่ต้องเชื่อมโยงกับระบบภายใน เช่น SIEM, XDR, หรือระบบ identity เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อพบ session token หรือ admin credential ที่ถูกขโมย
เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ SpyCloud ซึ่งเน้นการตรวจจับ credentials ที่หลุดแบบอัตโนมัติ และ DarkOwl ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยมี search engine สำหรับ Dark Web ที่สามารถกรองตามประเภทข้อมูล, เวลา, และแหล่งที่มา
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเชิงรุก เช่น honeypots และ canary tokens ที่ใช้ล่อให้แฮกเกอร์เปิดเผยตัว และการเข้าร่วม ISACs หรือ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามในอุตสาหกรรมเดียวกัน
เหตุผลที่ควรเฝ้าระวัง Dark Web
เป็นระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อมีข้อมูลหลุดหรือถูกวางเป้าหมาย
ช่วยให้ทีม security รู้ว่ากลุ่ม ransomware กำลังเล็งอุตสาหกรรมใด
สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับ playbook และทำ adversarial simulation
สัญญาณที่ควรจับตา
stealer logs, brand mentions, การขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย IABs
การพูดถึงซอฟต์แวร์หรือระบบที่องค์กรใช้อยู่ เช่น CRM, SSO, cloud
การโพสต์รับสมัคร affiliate ที่เจาะจงอุตสาหกรรม เช่น SaaS หรือ healthcare
เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้
SpyCloud: ตรวจจับ credentials, cookies, tokens ที่หลุดแบบอัตโนมัติ
DarkOwl: วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ มี search engine สำหรับ Dark Web
Flashpoint, Recorded Future: ใช้สำหรับ threat intelligence และการแจ้งเตือน
เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจจับ
honeypots และ canary tokens สำหรับล่อแฮกเกอร์และตรวจจับ insider threat
การเข้าร่วม ISACs และ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม
การตั้งค่า monitoring สำหรับ domain, IP, username บน marketplace และ forum
การเชื่อมโยงข้อมูลภายนอกกับระบบภายใน
cross-reference กับ authentication logs, identity changes, และ anomalous behavior
ใช้ข้อมูลจาก Dark Web เพื่อ trigger investigation, revoke access, isolate services
พัฒนา incident response playbook ที่เชื่อมโยงกับ threat intelligence
https://www.csoonline.com/article/4046242/a-cisos-guide-to-monitoring-the-dark-web.html
🎙️ เรื่องเล่าจาก Dark Web: เมื่อการเฝ้าระวังในเงามืดกลายเป็นเกราะป้องกันองค์กรก่อนภัยจะมาถึง
หลายองค์กรยังมอง Dark Web ว่าเป็นพื้นที่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แต่ในความเป็นจริง มันคือ “เรดาร์ลับ” ที่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของ credentials, การขายสิทธิ์เข้าถึงระบบ, หรือการวางแผน ransomware
ผู้เชี่ยวชาญจากหลายบริษัท เช่น Nightwing, Picus Security, ISG และ Cyberproof ต่างยืนยันว่า Dark Web คือแหล่งข้อมูลที่มีค่า—ถ้าเรารู้ว่าจะดูอะไร และจะใช้ข้อมูลนั้นอย่างไร เช่น การตรวจพบ stealer logs, การพูดถึงแบรนด์ขององค์กร, หรือการขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย initial access brokers (IABs)
การเฝ้าระวัง Dark Web ไม่ใช่แค่การ “ดูว่ามีข้อมูลหลุดหรือไม่” แต่ต้องเชื่อมโยงกับระบบภายใน เช่น SIEM, XDR, หรือระบบ identity เพื่อให้สามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อพบ session token หรือ admin credential ที่ถูกขโมย
เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่ SpyCloud ซึ่งเน้นการตรวจจับ credentials ที่หลุดแบบอัตโนมัติ และ DarkOwl ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ โดยมี search engine สำหรับ Dark Web ที่สามารถกรองตามประเภทข้อมูล, เวลา, และแหล่งที่มา
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเชิงรุก เช่น honeypots และ canary tokens ที่ใช้ล่อให้แฮกเกอร์เปิดเผยตัว และการเข้าร่วม ISACs หรือ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามในอุตสาหกรรมเดียวกัน
✅ เหตุผลที่ควรเฝ้าระวัง Dark Web
➡️ เป็นระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเมื่อมีข้อมูลหลุดหรือถูกวางเป้าหมาย
➡️ ช่วยให้ทีม security รู้ว่ากลุ่ม ransomware กำลังเล็งอุตสาหกรรมใด
➡️ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับ playbook และทำ adversarial simulation
✅ สัญญาณที่ควรจับตา
➡️ stealer logs, brand mentions, การขายสิทธิ์ RDP/VPN โดย IABs
➡️ การพูดถึงซอฟต์แวร์หรือระบบที่องค์กรใช้อยู่ เช่น CRM, SSO, cloud
➡️ การโพสต์รับสมัคร affiliate ที่เจาะจงอุตสาหกรรม เช่น SaaS หรือ healthcare
✅ เครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้
➡️ SpyCloud: ตรวจจับ credentials, cookies, tokens ที่หลุดแบบอัตโนมัติ
➡️ DarkOwl: วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ มี search engine สำหรับ Dark Web
➡️ Flashpoint, Recorded Future: ใช้สำหรับ threat intelligence และการแจ้งเตือน
✅ เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มการตรวจจับ
➡️ honeypots และ canary tokens สำหรับล่อแฮกเกอร์และตรวจจับ insider threat
➡️ การเข้าร่วม ISACs และ CERTs เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม
➡️ การตั้งค่า monitoring สำหรับ domain, IP, username บน marketplace และ forum
✅ การเชื่อมโยงข้อมูลภายนอกกับระบบภายใน
➡️ cross-reference กับ authentication logs, identity changes, และ anomalous behavior
➡️ ใช้ข้อมูลจาก Dark Web เพื่อ trigger investigation, revoke access, isolate services
➡️ พัฒนา incident response playbook ที่เชื่อมโยงกับ threat intelligence
https://www.csoonline.com/article/4046242/a-cisos-guide-to-monitoring-the-dark-web.html
0 Comments
0 Shares
3 Views
0 Reviews