• .. ส่วนตัวอย่าลืมว่าdeep stateซื้อคนไว้แล้วในทุกๆวงการ แค่อยากให้เรามารู้อะไรที่พวกมันวางหมากให้อยากรู้อยากสื่ออยากบอกก่อนจะลงมือทำจริง,หรือขออนุญาตพระเจ้าก่อนก็ว่า แบบๆกูบอกมึงแล้วนะ อย่าหาว่ากูไม่บอกนะ,เหมือนdeep stateลัทธิตาเดียวของฝรั่งท่านหลอดกาแฟจะทำอะไรมันเตือนผ่านสื่อผ่านเครื่องหมายผ่านสัญลักษณ์จากสมุนคนของมันนัันล่ะ...ประเทศไทยแปลกกว่าทุกๆชาติทั่วโลกที่มารอสูรต่างด้าวมิติชั่วเลวยังยอมใจ ไม่สามารถเอาชนะได้แม้มีสาระพัดฤทธิ์เดชเวทมนต์ดำชั่วมากมายเก่งกาจขนาดไหนก็อยากจะสร้างหายนะให้สิ้นชาติได้,บังเอิญอาจคนดีทั่วจักรวาลมาเกิดร่วมกันบนแผ่นดินไทยโดยมากมั้ง,วางความท้าทายเป็นพระรามกับทศกัณฐ์ก็ได้ มีแขนมีหน้ามีหัวแบบคนธรรมดาก็สามารถเอาชนะได้,พระรามเปรียบเสมือนประชาชนคนธรรมดา,ทศกัณฐ์เปรียบเสมือนผู้นำผู้ปกครองเลวชั่วประดับชั่วคราวแขวนไว้รอเชือดตกลงมาตายบนพื้นก็ว่าที่มีฤทธิ์เดชอำนาจสร้างชั่วเลวเต็มตรึมแผ่นดินทั่วประเทศกับสมุนรับใช้ขี้ข้าทาสเลวชั่วเหมือนกันกับมันทั้งเดอะแก๊ง.,และจุดจบจุดอวสานของเรื่องกำลังเดินมาถึงแล้ว,อย่างเร็วเดือนหน้า,อย่างช้าถ้ายานสภากาแล็กติกไม่มาลงร่วมวงระเบิดพวกมันด้วยอาจ2-3ปี.,และนี้คือเกมส์หมากเพื่อวางทางแบบตั้งใจก็อาจใช่ด้วย.,มันสมควรจบและสมควรแก้เวลาแล้วจริงๆ...ถ้าเราคนไทยไม่จบสิ่งเลวชั่วนี้จริงๆเราไม่สามารถสร้างชาติไทยให้ไปต่อใดๆได้และอาจเป็นทาสไร้อิสระเสรีทั้งทางกายและจิตวิญญาณแน่นอน.,ถูกกดขี่เป็นชนชั้นทาสชนชั้นไพร่ชนชั้นที่3,4,5ที่ไม่ใช่สถานะเจ้าของร่วมกันของแผ่นดินไทยเรานี้ที่เคยเป็นมาก็ว่า.

    https://youtube.com/watch?v=vXVPDryr7n8&si=-sLXVMJNepTs6TiQ
    .. ส่วนตัวอย่าลืมว่าdeep stateซื้อคนไว้แล้วในทุกๆวงการ แค่อยากให้เรามารู้อะไรที่พวกมันวางหมากให้อยากรู้อยากสื่ออยากบอกก่อนจะลงมือทำจริง,หรือขออนุญาตพระเจ้าก่อนก็ว่า แบบๆกูบอกมึงแล้วนะ อย่าหาว่ากูไม่บอกนะ,เหมือนdeep stateลัทธิตาเดียวของฝรั่งท่านหลอดกาแฟจะทำอะไรมันเตือนผ่านสื่อผ่านเครื่องหมายผ่านสัญลักษณ์จากสมุนคนของมันนัันล่ะ...ประเทศไทยแปลกกว่าทุกๆชาติทั่วโลกที่มารอสูรต่างด้าวมิติชั่วเลวยังยอมใจ ไม่สามารถเอาชนะได้แม้มีสาระพัดฤทธิ์เดชเวทมนต์ดำชั่วมากมายเก่งกาจขนาดไหนก็อยากจะสร้างหายนะให้สิ้นชาติได้,บังเอิญอาจคนดีทั่วจักรวาลมาเกิดร่วมกันบนแผ่นดินไทยโดยมากมั้ง,วางความท้าทายเป็นพระรามกับทศกัณฐ์ก็ได้ มีแขนมีหน้ามีหัวแบบคนธรรมดาก็สามารถเอาชนะได้,พระรามเปรียบเสมือนประชาชนคนธรรมดา,ทศกัณฐ์เปรียบเสมือนผู้นำผู้ปกครองเลวชั่วประดับชั่วคราวแขวนไว้รอเชือดตกลงมาตายบนพื้นก็ว่าที่มีฤทธิ์เดชอำนาจสร้างชั่วเลวเต็มตรึมแผ่นดินทั่วประเทศกับสมุนรับใช้ขี้ข้าทาสเลวชั่วเหมือนกันกับมันทั้งเดอะแก๊ง.,และจุดจบจุดอวสานของเรื่องกำลังเดินมาถึงแล้ว,อย่างเร็วเดือนหน้า,อย่างช้าถ้ายานสภากาแล็กติกไม่มาลงร่วมวงระเบิดพวกมันด้วยอาจ2-3ปี.,และนี้คือเกมส์หมากเพื่อวางทางแบบตั้งใจก็อาจใช่ด้วย.,มันสมควรจบและสมควรแก้เวลาแล้วจริงๆ...ถ้าเราคนไทยไม่จบสิ่งเลวชั่วนี้จริงๆเราไม่สามารถสร้างชาติไทยให้ไปต่อใดๆได้และอาจเป็นทาสไร้อิสระเสรีทั้งทางกายและจิตวิญญาณแน่นอน.,ถูกกดขี่เป็นชนชั้นทาสชนชั้นไพร่ชนชั้นที่3,4,5ที่ไม่ใช่สถานะเจ้าของร่วมกันของแผ่นดินไทยเรานี้ที่เคยเป็นมาก็ว่า. https://youtube.com/watch?v=vXVPDryr7n8&si=-sLXVMJNepTs6TiQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เราก้าวมาถึงทางตันเลยก็ว่าหรือผู้นำนั้นล่ะพาเดินมาทางตัน ,หลงทาง ออกจากเขาวงกตไม่ได้ และเจตจาพามาฆ่าสังหารทำให้ตายแล้วยึดชิงปล้นทรัพย์เต็มที่ไร้การขัดขืนใดๆอีก.

    ..ปฏิวัตอย่างเดียว ทหารคือหนทางออกกับนักการเมืองอีลิทdeep stateควบคุมนี้,ล้มเหลว&ตกประเมินด้านไปทางพ้นยากจนด้วย,เจริญเพียงเดอะแก๊งdeep state ,จะมองคาสิโนมองบ่อน้ำมันมองแลนด์บริจด์ล้วนdeep stateข้ามชาติต้องการอยากได้หมด.

    ..เรามันยุคปฏิวัติรุ่นน้ำหมากจริงๆ,คนหนุ่มสาวไร้สติปัญญากำลังไร้สมองบวกถูกล้างสมองสิ้น,โน้นdeep stateพาชูสามนิ้วแทรกแซงมุกปั่นป่วนสร้างก่อโกลาหลมันก็พากันไปตรึม.ดีนะที่ยังมีคนรุ่นน้ำหมากรุ่นสุดท้ายยังเหลือ,ชาติไทยจึงต้องจบและเริ่มกวาดล้างสิ้นซากมิให้คนพวกนี้มีชีวิตจึงสำคัญมากๆ.
    ..และทำไมจึงรอนานจังหวะมาขนาดนี้,เราไม่ยินดีในทหารยึดอำนาจแบบๆยุคอดีตซึ่งทั้งหมดเป็นฝ่ายของdeep stateเล่นบททำเองแต่งชงกินเองทั้งสิ้น,เราต้องการทหารพระราชาจริงๆ.บ้านเมืองชาติไหนจะเป็นแบบใดไม่ใส่ใจ บ้านเมืองเราต้องดีขึ้นคู่ขนานทั้งกายวัตถุธาตุภายนอกและเจริญล้ำทางจิตวิญญาณที่ทรงคุณค่าสถานเดียวจริงๆและสมควรเป็นเช่นนั้นนานมาแล้ว.
    ..การปกครองจริงๆเพราะอำนาจการปกครองคนดีต้องได้ครอบครอง.

    https://youtube.com/watch?v=6a5e8msRYLE&si=MDVkuZBrEh4QXq8B
    ..เราก้าวมาถึงทางตันเลยก็ว่าหรือผู้นำนั้นล่ะพาเดินมาทางตัน ,หลงทาง ออกจากเขาวงกตไม่ได้ และเจตจาพามาฆ่าสังหารทำให้ตายแล้วยึดชิงปล้นทรัพย์เต็มที่ไร้การขัดขืนใดๆอีก. ..ปฏิวัตอย่างเดียว ทหารคือหนทางออกกับนักการเมืองอีลิทdeep stateควบคุมนี้,ล้มเหลว&ตกประเมินด้านไปทางพ้นยากจนด้วย,เจริญเพียงเดอะแก๊งdeep state ,จะมองคาสิโนมองบ่อน้ำมันมองแลนด์บริจด์ล้วนdeep stateข้ามชาติต้องการอยากได้หมด. ..เรามันยุคปฏิวัติรุ่นน้ำหมากจริงๆ,คนหนุ่มสาวไร้สติปัญญากำลังไร้สมองบวกถูกล้างสมองสิ้น,โน้นdeep stateพาชูสามนิ้วแทรกแซงมุกปั่นป่วนสร้างก่อโกลาหลมันก็พากันไปตรึม.ดีนะที่ยังมีคนรุ่นน้ำหมากรุ่นสุดท้ายยังเหลือ,ชาติไทยจึงต้องจบและเริ่มกวาดล้างสิ้นซากมิให้คนพวกนี้มีชีวิตจึงสำคัญมากๆ. ..และทำไมจึงรอนานจังหวะมาขนาดนี้,เราไม่ยินดีในทหารยึดอำนาจแบบๆยุคอดีตซึ่งทั้งหมดเป็นฝ่ายของdeep stateเล่นบททำเองแต่งชงกินเองทั้งสิ้น,เราต้องการทหารพระราชาจริงๆ.บ้านเมืองชาติไหนจะเป็นแบบใดไม่ใส่ใจ บ้านเมืองเราต้องดีขึ้นคู่ขนานทั้งกายวัตถุธาตุภายนอกและเจริญล้ำทางจิตวิญญาณที่ทรงคุณค่าสถานเดียวจริงๆและสมควรเป็นเช่นนั้นนานมาแล้ว. ..การปกครองจริงๆเพราะอำนาจการปกครองคนดีต้องได้ครอบครอง. https://youtube.com/watch?v=6a5e8msRYLE&si=MDVkuZBrEh4QXq8B
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี โดยการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจต้องปรับราคาสินค้า เช่น Sony ที่ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 ในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

    ✅ Sony ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5
    - การขึ้นราคามีผลในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    - สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า

    ✅ สหรัฐฯ ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว
    - การยกเว้นนี้ช่วยลดผลกระทบต่อบริษัท เช่น Apple, Google และ Dell
    - อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

    ✅ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น
    - การเปลี่ยนแปลงภาษีทำให้บริษัทต้องใช้การขนส่งทางอากาศมากขึ้น
    - ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและอาจกระทบต่อราคาสินค้า

    ✅ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อาจได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน
    - บริษัทในกลุ่ม "Magnificent Seven" เช่น Apple และ Nvidia อาจได้รับการยกเว้นบางส่วน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/20/severe-strain-on-tech-supply-chains-will-cause-more-price-rises
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี โดยการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจต้องปรับราคาสินค้า เช่น Sony ที่ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 ในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ✅ Sony ประกาศขึ้นราคาคอนโซล PlayStation 5 - การขึ้นราคามีผลในยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ - สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า ✅ สหรัฐฯ ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว - การยกเว้นนี้ช่วยลดผลกระทบต่อบริษัท เช่น Apple, Google และ Dell - อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ✅ บริษัทเทคโนโลยีต้องเผชิญกับต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น - การเปลี่ยนแปลงภาษีทำให้บริษัทต้องใช้การขนส่งทางอากาศมากขึ้น - ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและอาจกระทบต่อราคาสินค้า ✅ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อาจได้รับการยกเว้นภาษีบางส่วน - บริษัทในกลุ่ม "Magnificent Seven" เช่น Apple และ Nvidia อาจได้รับการยกเว้นบางส่วน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/20/severe-strain-on-tech-supply-chains-will-cause-more-price-rises
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Severe strain' on tech supply chains will cause more price rises
    The "uncertainty" created by US President Donald Trump's changing tariffs policy is putting tech manufacturing supply chains under "severe strain", and sparking price rises, experts have said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Denotation” vs. “Connotation”: What’s The Difference?

    If you’re in the business of defining and explaining words (which we are), it’s important to know the difference between denotation and connotation. These two terms are easy to confuse because they refer to related concepts. And every word can have both denotation and connotation. So what do they mean?

    In this article, we’ll explain the difference, give you tips for how to remember it, and provide examples of what both words refer to.

    ⚡ Quick summary
    The denotation of a word or expression is its direct meaning. Its connotation consists of the ideas or meanings associated with it or suggested by it. For example, the word homework refers to schoolwork done outside of school—that’s its denotation. For many people, the word has a negative connotation—meaning that the word itself gives them a bad feeling associated with the experience of having to do homework when they’d rather be doing something else.

    What is the difference between denotation and connotation?
    The denotation of a word or expression is its explicit or direct meaning, as distinguished from the ideas or meanings associated with it or suggested by it. Simply put, a word’s denotation is what that word means or directly represents.

    The meaning of denotation becomes more clear when it’s contrasted with connotation. When someone refers to a word’s connotation, they’re referring to what it implies or suggests—or to the secondary meanings or implications that are associated with it.

    The word connotation is commonly used in the phrases positive connotation and negative connotation. That’s because people associate good or bad things with a lot of words.

    Let’s illustrate the difference with a simple example.

    For example, the word home refers to the place where you live—it could be a house, an apartment, etc. This is the word’s denotation. For many people, the word home has a positive connotation—it’s associated with safety, comfort, and a sense of belonging. These associations and implications make up the word’s connotation.

    The connotation of a word depends on cultural context and personal associations, but the denotation of a word is its standardized meaning within the language. Another way to think about it is that a word’s denotation is the same or about the same for most people. When you say “bicycle,” other English speakers generally know what you’re talking about. Some may picture a mountain bike while others picture a road bike, but they’re thinking about the same general thing. While a word’s connotation may be widely shared, different words often have different connotations for different people.

    Both denotation and connotation stem from the Latin word notāre, meaning “to note.”

    One way to remember the difference between the terms is to take a hint from how they begin. The con- in connotation comes from a Latin term meaning “together” or “with,” reminding us that the connotation of a word works with or alongside its primary, explicit meaning—its denotation.

    denotative vs. connotative
    The words denotative and connotative are the adjective forms of denotation and connotation. They’re used in the same context—to describe words or meanings. For example, describing a word as connotative means that it suggests more than its straightforward meaning. All words are denotative, and any word can be connotative if it has particular associations for a person.

    denote vs. connote
    The verb denote means “to indicate” (as in A fever often denotes an infection) or “to mean” (as in What is this supposed to denote?).

    Connote means “to signify or suggest (certain meanings, ideas, etc.) in addition to the explicit or primary meaning.”

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Denotation” vs. “Connotation”: What’s The Difference? If you’re in the business of defining and explaining words (which we are), it’s important to know the difference between denotation and connotation. These two terms are easy to confuse because they refer to related concepts. And every word can have both denotation and connotation. So what do they mean? In this article, we’ll explain the difference, give you tips for how to remember it, and provide examples of what both words refer to. ⚡ Quick summary The denotation of a word or expression is its direct meaning. Its connotation consists of the ideas or meanings associated with it or suggested by it. For example, the word homework refers to schoolwork done outside of school—that’s its denotation. For many people, the word has a negative connotation—meaning that the word itself gives them a bad feeling associated with the experience of having to do homework when they’d rather be doing something else. What is the difference between denotation and connotation? The denotation of a word or expression is its explicit or direct meaning, as distinguished from the ideas or meanings associated with it or suggested by it. Simply put, a word’s denotation is what that word means or directly represents. The meaning of denotation becomes more clear when it’s contrasted with connotation. When someone refers to a word’s connotation, they’re referring to what it implies or suggests—or to the secondary meanings or implications that are associated with it. The word connotation is commonly used in the phrases positive connotation and negative connotation. That’s because people associate good or bad things with a lot of words. Let’s illustrate the difference with a simple example. For example, the word home refers to the place where you live—it could be a house, an apartment, etc. This is the word’s denotation. For many people, the word home has a positive connotation—it’s associated with safety, comfort, and a sense of belonging. These associations and implications make up the word’s connotation. The connotation of a word depends on cultural context and personal associations, but the denotation of a word is its standardized meaning within the language. Another way to think about it is that a word’s denotation is the same or about the same for most people. When you say “bicycle,” other English speakers generally know what you’re talking about. Some may picture a mountain bike while others picture a road bike, but they’re thinking about the same general thing. While a word’s connotation may be widely shared, different words often have different connotations for different people. Both denotation and connotation stem from the Latin word notāre, meaning “to note.” One way to remember the difference between the terms is to take a hint from how they begin. The con- in connotation comes from a Latin term meaning “together” or “with,” reminding us that the connotation of a word works with or alongside its primary, explicit meaning—its denotation. denotative vs. connotative The words denotative and connotative are the adjective forms of denotation and connotation. They’re used in the same context—to describe words or meanings. For example, describing a word as connotative means that it suggests more than its straightforward meaning. All words are denotative, and any word can be connotative if it has particular associations for a person. denote vs. connote The verb denote means “to indicate” (as in A fever often denotes an infection) or “to mean” (as in What is this supposed to denote?). Connote means “to signify or suggest (certain meanings, ideas, etc.) in addition to the explicit or primary meaning.” © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เพิ่งโพสต์รูปมือของ Kilmar Armando Abrego Garcia ชาวเอลซัลวาดอร์ ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศ โดยระบุว่าเขาเป็นสมาชิกของแก๊งอาชญกรรุนแรง MS-13 ที่มีชื่อเสียงเรื่องการสังหารหมู่ การทรมานที่โหดร้าย ซึ่งไม่ควรปล่อยให้บุคคลอันตรายนี้อยู่ในสหรัฐต่อไป

    แต่ชาวเน็ตส่วนหนึ่งโต้แย้งว่ารูปรอยสักที่นิ้วมือดูแปลกๆ ไม่เหมือนรอยสัก และยังมีการหาภาพอื่นมายืนยันว่าไม่มีการสักตัวอักษร MS-13

    นอกจากนี้ จากหลักฐานเอกสารของตำรวจท้องถิ่นที่เคยจับกุม Kilmar Abrego Garcia เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2019 ก็ไม่ได้ระบุว่า Abrego Garcia มีรอยสักใดๆที่เกี่ยวข้องกับแก้ง MS-13


    เมื่อช่วงต้นเเดือนเมษายน ศาลฎีกาสหรัฐมีมติเอกฉันท์ด้วยมติเสียงเห็นชอบ 9-0 กำหนดให้รัฐบาลทรัมป์ต้อง "อำนวยความสะดวก" (facilitate) ในการนำตัว Kilmar Armando Abrego Garcia ชายชาวแมริแลนด์ กลับมายังสหรัฐฯ หลังจากเนรเทศเขากลับไปยังเอลซัลวาดอร์อย่างผิดกฎหมาย และต้องจัดการคดีของเขาเหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกส่งไปที่นั่น

    สำหรับ Kilmar Armando Abrego Garcia เป็นชาวเอลซัลวาดอร์ อาศัยอยู่ในรัฐแมรี่แลนด์ โดยมี “สถานะผู้อพยพพิเศษ” ได้ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและถูกเนรเทศอย่างผิดกฎหมายไปยังเรือนจำในประเทศเอลซัลวาดอร์เมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมด้วยผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกราว 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรงและอาจเกี่ยวข้องเป็นสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรของเวเนซุเอลาที่ปฏิบัติการอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้
    ทรัมป์เพิ่งโพสต์รูปมือของ Kilmar Armando Abrego Garcia ชาวเอลซัลวาดอร์ ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศ โดยระบุว่าเขาเป็นสมาชิกของแก๊งอาชญกรรุนแรง MS-13 ที่มีชื่อเสียงเรื่องการสังหารหมู่ การทรมานที่โหดร้าย ซึ่งไม่ควรปล่อยให้บุคคลอันตรายนี้อยู่ในสหรัฐต่อไป แต่ชาวเน็ตส่วนหนึ่งโต้แย้งว่ารูปรอยสักที่นิ้วมือดูแปลกๆ ไม่เหมือนรอยสัก และยังมีการหาภาพอื่นมายืนยันว่าไม่มีการสักตัวอักษร MS-13 นอกจากนี้ จากหลักฐานเอกสารของตำรวจท้องถิ่นที่เคยจับกุม Kilmar Abrego Garcia เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2019 ก็ไม่ได้ระบุว่า Abrego Garcia มีรอยสักใดๆที่เกี่ยวข้องกับแก้ง MS-13 เมื่อช่วงต้นเเดือนเมษายน ศาลฎีกาสหรัฐมีมติเอกฉันท์ด้วยมติเสียงเห็นชอบ 9-0 กำหนดให้รัฐบาลทรัมป์ต้อง "อำนวยความสะดวก" (facilitate) ในการนำตัว Kilmar Armando Abrego Garcia ชายชาวแมริแลนด์ กลับมายังสหรัฐฯ หลังจากเนรเทศเขากลับไปยังเอลซัลวาดอร์อย่างผิดกฎหมาย และต้องจัดการคดีของเขาเหมือนกับว่าเขาไม่เคยถูกส่งไปที่นั่น สำหรับ Kilmar Armando Abrego Garcia เป็นชาวเอลซัลวาดอร์ อาศัยอยู่ในรัฐแมรี่แลนด์ โดยมี “สถานะผู้อพยพพิเศษ” ได้ถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับและถูกเนรเทศอย่างผิดกฎหมายไปยังเรือนจำในประเทศเอลซัลวาดอร์เมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมด้วยผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอีกราว 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรงและอาจเกี่ยวข้องเป็นสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรของเวเนซุเอลาที่ปฏิบัติการอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงทวีปอเมริกาใต้
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้เครื่องมือ ClickFix ซึ่งพัฒนาโดยอาชญากรไซเบอร์และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น Kimsuky จากเกาหลีเหนือ, MuddyWater จากอิหร่าน และ APT28 จากรัสเซีย เครื่องมือนี้เป็นการพัฒนาจากเทคนิควิศวกรรมสังคมแบบเก่า โดยเริ่มต้นด้วยป๊อปอัปที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ดำเนินการ เช่น การคัดลอกและวางคำสั่งในโปรแกรม Run ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถติดตั้งมัลแวร์ได้

    ✅ ClickFix เป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดยอาชญากรไซเบอร์
    - ใช้เทคนิควิศวกรรมสังคม เช่น ป๊อปอัปที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ดำเนินการ
    - ผู้ใช้บางครั้งถูกขอให้ทำ CAPTCHA หรือยืนยันตัวตน

    ✅ กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนำ ClickFix ไปใช้ในแคมเปญโจมตี
    - กลุ่มที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Kimsuky, MuddyWater, และ APT28
    - การโจมตีส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมไซเบอร์

    ✅ ClickFix เป็นการพัฒนาจากเทคนิคหลอกลวงแบบเก่า
    - เดิมทีใช้ป๊อปอัปที่หลอกให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอม
    - ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการหลอกให้คัดลอกคำสั่งเพื่อรันในระบบ

    ✅ Proofpoint รายงานว่า ClickFix ถูกใช้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024
    - การโจมตีมุ่งเป้าไปที่องค์กรสำคัญ เช่น โครงสร้างพื้นฐานและหน่วยงานทางการทูต

    https://www.techradar.com/pro/security/state-sponsored-actors-spotted-using-clickfix-hacking-tool-developed-by-criminals
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้เครื่องมือ ClickFix ซึ่งพัฒนาโดยอาชญากรไซเบอร์และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น Kimsuky จากเกาหลีเหนือ, MuddyWater จากอิหร่าน และ APT28 จากรัสเซีย เครื่องมือนี้เป็นการพัฒนาจากเทคนิควิศวกรรมสังคมแบบเก่า โดยเริ่มต้นด้วยป๊อปอัปที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ดำเนินการ เช่น การคัดลอกและวางคำสั่งในโปรแกรม Run ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถติดตั้งมัลแวร์ได้ ✅ ClickFix เป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดยอาชญากรไซเบอร์ - ใช้เทคนิควิศวกรรมสังคม เช่น ป๊อปอัปที่หลอกลวงให้ผู้ใช้ดำเนินการ - ผู้ใช้บางครั้งถูกขอให้ทำ CAPTCHA หรือยืนยันตัวตน ✅ กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนำ ClickFix ไปใช้ในแคมเปญโจมตี - กลุ่มที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Kimsuky, MuddyWater, และ APT28 - การโจมตีส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการจารกรรมไซเบอร์ ✅ ClickFix เป็นการพัฒนาจากเทคนิคหลอกลวงแบบเก่า - เดิมทีใช้ป๊อปอัปที่หลอกให้ดาวน์โหลดโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอม - ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นการหลอกให้คัดลอกคำสั่งเพื่อรันในระบบ ✅ Proofpoint รายงานว่า ClickFix ถูกใช้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 - การโจมตีมุ่งเป้าไปที่องค์กรสำคัญ เช่น โครงสร้างพื้นฐานและหน่วยงานทางการทูต https://www.techradar.com/pro/security/state-sponsored-actors-spotted-using-clickfix-hacking-tool-developed-by-criminals
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการพบข้อมูลการจัดส่งของ Ryzen Threadripper 9985WX ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก AMD ที่มี 64 คอร์ พร้อมกับรุ่นอื่นๆ เช่น 16 คอร์ และ 12 คอร์ โดยข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าซีพียูเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ซึ่งอาจเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ Ryzen Threadripper 9985WX มี 64 คอร์และ 128 เธรด
    - ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อมแคช L3 ขนาด 384MB และ L2 ขนาด 96MB
    - รองรับซ็อกเก็ต SP6 (sTR5) และมี TDP 350 วัตต์

    ✅ AMD วางแผนเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในครอบครัว Shimada Peak
    - ซีพียูในซีรีส์นี้จะมีตั้งแต่ 12 คอร์ ไปจนถึง 96 คอร์
    - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex หรือช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    ✅ ซีพียูรุ่นใหม่รองรับการใช้งานในกลุ่ม HEDT และ Workstation
    - เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ PCIe lanes จำนวนมาก และ ช่องทางหน่วยความจำที่หลากหลาย
    - มีตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการซีพียูที่มีคอร์จำนวนมาก

    ✅ การออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น
    - ซีพียูรุ่น 12 คอร์และ 16 คอร์ใช้ CCD ที่มีคอร์บางส่วนถูกปิดการใช้งานเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/64-core-ryzen-threadripper-9985wx-spotted-in-shipping-manifests-16-and-12-core-siblings-also-spotted
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับการพบข้อมูลการจัดส่งของ Ryzen Threadripper 9985WX ซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก AMD ที่มี 64 คอร์ พร้อมกับรุ่นอื่นๆ เช่น 16 คอร์ และ 12 คอร์ โดยข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าซีพียูเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ ซึ่งอาจเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ Ryzen Threadripper 9985WX มี 64 คอร์และ 128 เธรด - ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 พร้อมแคช L3 ขนาด 384MB และ L2 ขนาด 96MB - รองรับซ็อกเก็ต SP6 (sTR5) และมี TDP 350 วัตต์ ✅ AMD วางแผนเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในครอบครัว Shimada Peak - ซีพียูในซีรีส์นี้จะมีตั้งแต่ 12 คอร์ ไปจนถึง 96 คอร์ - คาดว่าจะเปิดตัวในงาน Computex หรือช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ✅ ซีพียูรุ่นใหม่รองรับการใช้งานในกลุ่ม HEDT และ Workstation - เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ PCIe lanes จำนวนมาก และ ช่องทางหน่วยความจำที่หลากหลาย - มีตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการซีพียูที่มีคอร์จำนวนมาก ✅ การออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น - ซีพียูรุ่น 12 คอร์และ 16 คอร์ใช้ CCD ที่มีคอร์บางส่วนถูกปิดการใช้งานเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/64-core-ryzen-threadripper-9985wx-spotted-in-shipping-manifests-16-and-12-core-siblings-also-spotted
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..นอกจากควบคุมมนุษย์จากพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแล้ว การทำลายความมั่นคงต่างๆเช่นน้ำ อากาศ อาหารให้เป็นพิษ มันล่ะทำแน่นอน เดอะแก๊งdeep stateทั้งสายพันธุ์คนทรยศประจำประเทศไทยและมาในนามนักลงทุนต่างชาติสาระพัดตั้งโรงงานใกล้แหล่งน้ำแหล่งดินแหล่งอาศัยเพื่องานนี้ก็ว่า.
    ..การควบคุมน้ำแหล่งน้ำ เมื่อมันควบคุมไม่ได้ด้วยมันเอง การทำลายจึงถือกำหนดขึ้น,ดินสะสมปนเปื้อนสารพิษเรื่อยมาจากการนำเข้าผูกขาดของนายทุนเดอะแก๊งมันล้มประเทศ แล้วไหลลงแหล่งน้ำ ไม่รวมโรงงานต่างๆของแก๊งมันอีก..อำนาจจากฝ่าย,การปกครองนั้นล่ะจริงๆสามารถตัดตอนได้ควบคุมเดอะแก๊งมันได้.
    ..https://youtube.com/watch?v=3cHTiPH-KVs&si=68_iszgSmPQEBEjI
    ..นอกจากควบคุมมนุษย์จากพรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแล้ว การทำลายความมั่นคงต่างๆเช่นน้ำ อากาศ อาหารให้เป็นพิษ มันล่ะทำแน่นอน เดอะแก๊งdeep stateทั้งสายพันธุ์คนทรยศประจำประเทศไทยและมาในนามนักลงทุนต่างชาติสาระพัดตั้งโรงงานใกล้แหล่งน้ำแหล่งดินแหล่งอาศัยเพื่องานนี้ก็ว่า. ..การควบคุมน้ำแหล่งน้ำ เมื่อมันควบคุมไม่ได้ด้วยมันเอง การทำลายจึงถือกำหนดขึ้น,ดินสะสมปนเปื้อนสารพิษเรื่อยมาจากการนำเข้าผูกขาดของนายทุนเดอะแก๊งมันล้มประเทศ แล้วไหลลงแหล่งน้ำ ไม่รวมโรงงานต่างๆของแก๊งมันอีก..อำนาจจากฝ่าย,การปกครองนั้นล่ะจริงๆสามารถตัดตอนได้ควบคุมเดอะแก๊งมันได้. ..https://youtube.com/watch?v=3cHTiPH-KVs&si=68_iszgSmPQEBEjI
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย POSTECH ได้พัฒนาโลหะชนิดใหม่ที่เรียกว่า Hyperadaptor Super Metal ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูงและสามารถรักษาความยืดหยุ่นได้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่ –196°C ถึง 600°C

    ✅ POSTECH พัฒนาโลหะใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูง
    - โลหะนี้เป็น Nickel-based High-Entropy Alloy (HEA) ที่สามารถรักษาคุณสมบัติทางกลไกได้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
    - ใช้ อนุภาคระดับนาโน L1₂ precipitates เพื่อช่วยให้โลหะสามารถปรับตัวต่อแรงกดดัน

    ✅ Hyperadaptor Super Metal มีความทนทานต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    - โลหะทั่วไปมักสูญเสียคุณสมบัติเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก
    - Hyperadaptor สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน

    ✅ HEA มีโครงสร้างที่แตกต่างจากโลหะทั่วไป
    - โลหะทั่วไปมักประกอบด้วยธาตุหลักเพียงหนึ่งชนิด แต่ HEA ผสมธาตุ 5 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
    - โครงสร้างนี้ช่วยให้โลหะมี ความทนทานต่อการสึกหรอและความร้อนสูง

    ✅ การใช้งานของ Hyperadaptor Super Metal ในอุตสาหกรรม
    - สามารถใช้ใน เครื่องยนต์, ระบบไอเสีย, กังหัน และท่อส่งของเหลว ที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    - อุตสาหกรรมที่สนใจโลหะนี้ ได้แก่ อวกาศ, ยานยนต์ และพลังงานนิวเคลียร์

    https://www.neowin.net/news/scientists-hammer-up-hyperadaptor-super-metal-thats-nearly-unbendable/
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย POSTECH ได้พัฒนาโลหะชนิดใหม่ที่เรียกว่า Hyperadaptor Super Metal ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูงและสามารถรักษาความยืดหยุ่นได้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่ –196°C ถึง 600°C ✅ POSTECH พัฒนาโลหะใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูง - โลหะนี้เป็น Nickel-based High-Entropy Alloy (HEA) ที่สามารถรักษาคุณสมบัติทางกลไกได้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง - ใช้ อนุภาคระดับนาโน L1₂ precipitates เพื่อช่วยให้โลหะสามารถปรับตัวต่อแรงกดดัน ✅ Hyperadaptor Super Metal มีความทนทานต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - โลหะทั่วไปมักสูญเสียคุณสมบัติเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก - Hyperadaptor สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน ✅ HEA มีโครงสร้างที่แตกต่างจากโลหะทั่วไป - โลหะทั่วไปมักประกอบด้วยธาตุหลักเพียงหนึ่งชนิด แต่ HEA ผสมธาตุ 5 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน - โครงสร้างนี้ช่วยให้โลหะมี ความทนทานต่อการสึกหรอและความร้อนสูง ✅ การใช้งานของ Hyperadaptor Super Metal ในอุตสาหกรรม - สามารถใช้ใน เครื่องยนต์, ระบบไอเสีย, กังหัน และท่อส่งของเหลว ที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - อุตสาหกรรมที่สนใจโลหะนี้ ได้แก่ อวกาศ, ยานยนต์ และพลังงานนิวเคลียร์ https://www.neowin.net/news/scientists-hammer-up-hyperadaptor-super-metal-thats-nearly-unbendable/
    WWW.NEOWIN.NET
    Scientists hammer up 'Hyperadaptor super metal' that's nearly unbendable
    Scientists and researchers have created a new 'Hyperadaptor super metal' that is really, really hard to bend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • GRAPHIC VIDEO shows victim lying bloody and motionless during Florida State shooting

    Gunshots heard in distance.

    #US #Shooting
    GRAPHIC VIDEO shows victim lying bloody and motionless during Florida State shooting Gunshots heard in distance. #US #Shooting
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 5 0 รีวิว

  • Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4)
    *****************
    เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ
    เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน
    กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ
    ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย
    มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น
    พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น
    *****************
    USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ
    สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู
    ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้
    1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563
    2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566
    3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563
    4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571
    5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold

    *****************
    รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน
    การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ
    ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง
    การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
    *****************
    EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม
    ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA
    *****************
    ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน
    พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน
    สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย
    เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้
    *****************
    อ้างอิง :
    • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia
    • World Gold Council https://www.gold.org/
    • EarthRights International
    Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4) ***************** เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น ***************** USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้ 1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563 2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566 3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563 4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571 5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold ***************** รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น ***************** EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA ***************** ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้ ***************** อ้างอิง : • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia • World Gold Council https://www.gold.org/ • EarthRights International
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว DEUTSCHE WELLE (DW) ของเยอรมัน นำเสนอเรื่องราวของเด็กชาวยูเครนกำลังเตรียมความพร้อมในการรบในค่ายฝึกลับแบบทหาร ในกรณีที่สงครามกับรัสเซียลากยาวเป็นเวลาหลายปี

    https://x.com/dwnews/status/1912560369559847384
    สำนักข่าว DEUTSCHE WELLE (DW) ของเยอรมัน นำเสนอเรื่องราวของเด็กชาวยูเครนกำลังเตรียมความพร้อมในการรบในค่ายฝึกลับแบบทหาร ในกรณีที่สงครามกับรัสเซียลากยาวเป็นเวลาหลายปี https://x.com/dwnews/status/1912560369559847384
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังผลักดันการใช้ High-NA EUV lithography ในการผลิตชิป โดยติดตั้งเครื่องมือใหม่และพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนสูงและข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาจทำให้การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมล่าช้า

    ✅ Intel ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV และพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
    - บริษัทได้ติดตั้ง ASML Twinscan EXE:5000 และพัฒนา reticles, optical proximity correction (OPC) และ photomasks
    - มีการประมวลผล 30,000 wafers เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี

    ✅ ต้นทุนของ High-NA EUV สูงกว่าระบบเดิม
    - เครื่องมือแต่ละเครื่องมีราคาประมาณ $380 - $400 ล้าน ซึ่งสูงกว่ารุ่น Low-NA EUV
    - การใช้ High-NA EUV มีค่าใช้จ่ายต่อการผลิตสูงกว่าถึง 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับ Low-NA EUV

    ✅ Intel ใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A (1.4nm-class)
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดจำนวนขั้นตอนจาก 30 ขั้นตอนเหลือเพียง 1 ขั้นตอน ในบางชั้นของชิป
    - ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า คุณภาพของ High-NA EUV เทียบเท่ากับเทคนิคเดิม

    ✅ ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและการผลิต
    - ขนาดของ exposure field เล็กลง ทำให้ต้องใช้ การซ้อนภาพ (stitched fields) ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพ
    - Intel เสนอให้ใช้ photomask ขนาดใหญ่ขึ้น (6×12 นิ้วแทน 6×6 นิ้ว) เพื่อแก้ปัญหานี้

    ✅ แนวโน้มของการนำ High-NA EUV มาใช้ในอุตสาหกรรม
    - Intel คาดว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างเมื่อ กระบวนการผลิตต้องการ triple หรือ quadruple patterning
    - อาจต้องรอจนถึง 1.0nm-class generation เพื่อให้ต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐานพร้อม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-has-championed-high-na-euv-chipmaking-tools-but-costs-and-other-limitations-could-delay-industry-wide-adoption-report
    Intel กำลังผลักดันการใช้ High-NA EUV lithography ในการผลิตชิป โดยติดตั้งเครื่องมือใหม่และพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนสูงและข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาจทำให้การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมล่าช้า ✅ Intel ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV และพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง - บริษัทได้ติดตั้ง ASML Twinscan EXE:5000 และพัฒนา reticles, optical proximity correction (OPC) และ photomasks - มีการประมวลผล 30,000 wafers เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี ✅ ต้นทุนของ High-NA EUV สูงกว่าระบบเดิม - เครื่องมือแต่ละเครื่องมีราคาประมาณ $380 - $400 ล้าน ซึ่งสูงกว่ารุ่น Low-NA EUV - การใช้ High-NA EUV มีค่าใช้จ่ายต่อการผลิตสูงกว่าถึง 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับ Low-NA EUV ✅ Intel ใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต 14A (1.4nm-class) - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดจำนวนขั้นตอนจาก 30 ขั้นตอนเหลือเพียง 1 ขั้นตอน ในบางชั้นของชิป - ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า คุณภาพของ High-NA EUV เทียบเท่ากับเทคนิคเดิม ✅ ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและการผลิต - ขนาดของ exposure field เล็กลง ทำให้ต้องใช้ การซ้อนภาพ (stitched fields) ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพ - Intel เสนอให้ใช้ photomask ขนาดใหญ่ขึ้น (6×12 นิ้วแทน 6×6 นิ้ว) เพื่อแก้ปัญหานี้ ✅ แนวโน้มของการนำ High-NA EUV มาใช้ในอุตสาหกรรม - Intel คาดว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างเมื่อ กระบวนการผลิตต้องการ triple หรือ quadruple patterning - อาจต้องรอจนถึง 1.0nm-class generation เพื่อให้ต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐานพร้อม https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-has-championed-high-na-euv-chipmaking-tools-but-costs-and-other-limitations-could-delay-industry-wide-adoption-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ได้เปิดตัว o3 และ o4-mini ซึ่งเป็นโมเดล AI ใหม่ที่มีความสามารถด้านการให้เหตุผลที่ล้ำหน้าที่สุด โดยสามารถเข้าถึงเครื่องมือภายนอก เช่น เว็บเบราว์เซอร์และตัวแปลภาษา Python เพื่อช่วยให้ตอบคำถามได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

    ✅ OpenAI เปิดตัว o3 และ o4-mini พร้อมความสามารถด้านการให้เหตุผลที่ล้ำหน้า
    - โมเดลเหล่านี้สามารถ ใช้เครื่องมือภายนอก เพื่อช่วยในการตอบคำถาม
    - รองรับ การวิเคราะห์ภาพ, กราฟ และแผนภูมิ

    ✅ o3 เป็นโมเดลที่ทรงพลังที่สุดของ OpenAI
    - ทำลายสถิติบน Codeforces, SWE-bench และ MMMU
    - ลดข้อผิดพลาดลง 20% เมื่อเทียบกับ o1

    ✅ o4-mini เป็นโมเดลที่เล็กกว่า แต่มีประสิทธิภาพสูง
    - มีความสามารถใกล้เคียงกับ o3 ในด้าน คณิตศาสตร์, การเขียนโค้ด และการวิเคราะห์ภาพ
    - มีประสิทธิภาพสูงและรองรับการใช้งานในปริมาณมาก

    ✅ OpenAI ใช้การเรียนรู้แบบเสริมแรงเพื่อพัฒนาโมเดล
    - โมเดลถูกฝึกให้รู้ว่า ควรใช้เครื่องมือเมื่อใดและอย่างไร
    - มีความสามารถในการ จดจำและอ้างอิงข้อมูลจากบทสนทนาในอดีต

    ✅ การเปิดตัวและราคา
    - o3 มีราคา $10 ต่อล้านโทเค็นอินพุต และ $40 ต่อล้านโทเค็นเอาต์พุต
    - o4-mini มีราคาเท่ากับ o3-mini ที่ $1.10 ต่อล้านโทเค็นอินพุต และ $4.40 ต่อล้านโทเค็นเอาต์พุต

    https://www.neowin.net/news/openai-announces-o3-and-o4-mini-its-most-capable-models-with-state-of-the-art-reasoning/
    OpenAI ได้เปิดตัว o3 และ o4-mini ซึ่งเป็นโมเดล AI ใหม่ที่มีความสามารถด้านการให้เหตุผลที่ล้ำหน้าที่สุด โดยสามารถเข้าถึงเครื่องมือภายนอก เช่น เว็บเบราว์เซอร์และตัวแปลภาษา Python เพื่อช่วยให้ตอบคำถามได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ✅ OpenAI เปิดตัว o3 และ o4-mini พร้อมความสามารถด้านการให้เหตุผลที่ล้ำหน้า - โมเดลเหล่านี้สามารถ ใช้เครื่องมือภายนอก เพื่อช่วยในการตอบคำถาม - รองรับ การวิเคราะห์ภาพ, กราฟ และแผนภูมิ ✅ o3 เป็นโมเดลที่ทรงพลังที่สุดของ OpenAI - ทำลายสถิติบน Codeforces, SWE-bench และ MMMU - ลดข้อผิดพลาดลง 20% เมื่อเทียบกับ o1 ✅ o4-mini เป็นโมเดลที่เล็กกว่า แต่มีประสิทธิภาพสูง - มีความสามารถใกล้เคียงกับ o3 ในด้าน คณิตศาสตร์, การเขียนโค้ด และการวิเคราะห์ภาพ - มีประสิทธิภาพสูงและรองรับการใช้งานในปริมาณมาก ✅ OpenAI ใช้การเรียนรู้แบบเสริมแรงเพื่อพัฒนาโมเดล - โมเดลถูกฝึกให้รู้ว่า ควรใช้เครื่องมือเมื่อใดและอย่างไร - มีความสามารถในการ จดจำและอ้างอิงข้อมูลจากบทสนทนาในอดีต ✅ การเปิดตัวและราคา - o3 มีราคา $10 ต่อล้านโทเค็นอินพุต และ $40 ต่อล้านโทเค็นเอาต์พุต - o4-mini มีราคาเท่ากับ o3-mini ที่ $1.10 ต่อล้านโทเค็นอินพุต และ $4.40 ต่อล้านโทเค็นเอาต์พุต https://www.neowin.net/news/openai-announces-o3-and-o4-mini-its-most-capable-models-with-state-of-the-art-reasoning/
    WWW.NEOWIN.NET
    OpenAI announces o3 and o4-mini, its most capable models with state-of-the-art reasoning
    OpenAI has launched its new flagship reasoning models, o3 and o4-mini, which achieve state-of-the-art performance and support full tool access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16-04-68/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.50 ชื่อตอนว่า "NO CHOICE OR WANNA DIE?" กลยุทธ์การศึกหลายชั้น WWIII ที่ DEEP STATE ต้องการ มันต้องทำลายความมั่นคง ความอุ่นใจ ความสุขใจ ก่อน งาน เงิน ความปลอดภัย หากถูกทำลายสิ้น ความวิตกกังวลจะตามมา ความกลัวจะก่อเกิด ส่งผลถึงโกลาหลทั้งแผ่นดิน ง่ายต่อการปั่นให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่คือสูตรหาแดร๊กที่ใช้กันมานับ 1000 ปี สิ่งนี้แหละ ที่อีทรัมปป์เผาอเมริกาและโลกอยู่ ขั้วใหม่มองออกนานแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวเข้าทางตรีนขั้วใหม่หมด เพราะเค้าวางหมากให้มรึงเดิน ไม่ใช่มรึงมีทางเลือกอื่น? ขั้วใหม่ใช้ BRICS นำ แก้ทุกปัญหาที่เหี้ยก่อไว้ ส่วนเหี้ยใช้คว่ำบาตร กำแพงภาษี ทุบค่าเงิน ปั่นตลาดหุ้น ปล่อยไวรัส ใช้กองกำลังข่มขู่ไปทั่ว สิ่งที่จะเกิด เดาไม่ยาก ชาติน้อยใหญ่ ย่อมเข้าหาผู้ที่แข็งแกร่งปกป้องได้ นั่นคือโลกกำลังจะรวมตัวต่อกันติดไงล่ะ? โดยมีศัตรูของโลกที่ชื่อว่า "ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ ผ่านตัวแทนอย่าง อเมริกา อังกฤษ นาโต้" แยกน้ำ แยกปลาเสร็จ ก็จะได้ถึงวัน D-DAY ซะที

    คำถามคือ? เกมส์จะไปจบที่จุดไหน? ขั้วใหม่บีบ และสร้างขุมกำลังเพิ่มไปเรื่อยๆ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ โลจิสติค ขณะที่ขั้วเก่าจมปลักอยู่กับแต่สงคราม ปากท้องไม่อิ่ม หลับไม่ลง เยรูซาเล็ม ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค โดนพิษสงคราม เศรษฐกิจ ล่อจนพังยับ ผู้คนลงถนนแน่ การผลัดเปลี่ยนถึงจะเกิด กว่า 100 ปี ที่บรรดาพรรคอนุรักษ์นิยมในสังกัด DEEP STATE ทั่วยุโรป กดหัว กดขี่ พรรคขวาจัดมาช้านาน ถึงคราวเปลี่ยน จึงได้เห็นว่าทำไม วันนี้ พรรคขวาจัดทั่วยุโรป มาแรงแซงทางโค้ง เพราะเค้าเบื่อจะเป็นขี้ข้ายิวเหี้ยกันหมดแล้ว อะไรก็ยิว ประชาชนแค่หาเงินมาจ่ายภาษีอุ้มยิวไปวันวัน แล้วมรึงจะมีผู้นำประเทศไปทำไม หากจะเป็นขี้ข้าไปตลอดชาติ ยิ่งติดบ่วงสงคราม เป้าหมายแท้จริงของขั้วใหม่ ไม่ใช่ก่อสงครามในสมรภูมิ แต่เล่นตรง โจมตีปากท้องประชาชนก่อน ทั่วโลกจะปฎิเสธรัฐบาลหุ่นเชิดยิวกันหมดแล้ว นี่คือจุดอ่อนของปชต.ตอแหล ที่รับใช้นายใหญ่ตัวเดียว BRICS มาเพื่อตอบโจทย์

    WWIII จะไม่เกิดขึ้น หากเหี้ยไม่จนตรอกขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรจะเสีย ต้องล่อมินินุ๊กคุ๊กกี้ เท่านั้น และนั่นคือจุดจบของขั้วอำนาจเก่า ที่ขั้วใหม่รอคอยอยู่ ตั้งต้นศักราชใหม่ โลกที่ปราศจากนายใหญ่เพียงตัวเดียว ระบบการเงินทั้งยุโรป อเมริกา จะพังพินาศ ด้วยบล็อคเชนใหม่ ระบบชำระเงินแบบใหม่ รูปแบบเงินตราใหม่ โลกการเงินดิจิตอลเข้ามาเต็มตัว แต่ก็ยังต้องใช้ทองคำค้ำประกันอยู่ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยดอลล่าร์ อีกไม่นาน BRICS จะมีสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศ ประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งโลก และนั่นจะก่อเกิดสกุลเงินใหม่ ที่ทั้งโลกต้องใช้ นั่นคือ BRICS DIGITAL CURRENCY การชำระเงินจะง่ายดาย ไม่ว่าจะจ่ายด้วยอะไรมันจะแปรเป็นสกุลเงินหลักโลกทันที แต่ไม่รับดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโร บีบให้ขั้วเก่าที่หมดสภาพ ต้องยอมรับกติกาใหม่โลกนั่นเอง แม้แต่ในอาเซียน ในอนาคต มรึงอาจจะได้เห็น ASEAN DIGITAL CURRENCY โดยมี ไทยบาท(THB) เป็นสกุลเงินหลัก เพราะเสถียรที่สุด และนิยมใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาติอาเซียนด้วยกัน มันง่ายแค่เปลี่ยนวิธีคำนวณใหม่ กติกาที่ทั้งอาเซียนต่างยอมรับ และมั่นใจ ที่มาของโลกหลายขั้วไงล่ะ?

    อาเซียนต่อไป ไม่ใช่แค่อาเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่จะขึ้นมาเป็นกลุ่มอำนาจเงิน การค้า เศรษฐกิจ ที่ทรงพลังที่สุด เพราะอาหารโลกอยู่ที่นี่ และยังเป็นฮับพลังงานในอนาคต กระจายสินค้าอาเซียนสู่โลกแบบเต็มอัตราศึก มาแบบเต็มคาราเบล กันไปเลย ดังนั้น ไทยคือความหวังของอาเซียน ในการจะยืนหยัดสู้กับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ เพราะจีน รัสเซีย ได้ทุ่มสุดตัว เพื่อให้ไทย เป็นศูนย์กลางอาเซียนอย่างแท้จริง เหตุผลคือ จากนี้ไป ระบบกษัตริย์จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในอาเซียน แต่ทั้งโลก และระบบกษัตริย์ไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และมั่นคง เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ตั้งแต่ในรัชสมัยพ่อร.5 มาจนถึงพ่อร.9 ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของมหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ แล้วไทยจะเป็นโมเดลกษัตริย์ให้ทั้งโลกได้นำไปเป็นแบบอย่าง พ่อปกครองลูก จะกลายเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคใหม่

    หากมองภาพใหญ่เข้าไว้ มองป่าทั้งป่า มรึงจะเห็นยุทธศาสตร์ของขั้วใหม่ ที่เลือกจับเฉพาะแหล่งทรัพยากรโลกทั้งนั้น ทั้งเอเซีย แอฟริกา ลาติน แม้แต่ในอาร์คติค ไม่แปลกที่รัสเซีย-จีน จับมือปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่อาร์คติค จนกลายเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในเวลานี้ จากน้ำแข็งจะกลายเป็นพื้นดินในไม่ช้า หลังละลายไปเยอะ แหล่งวิจัย ทั้งธรณีวิทยา โลกใต้น้ำ แหล่งแร่หายาก แม้แต่อากาศชั้นบริสุทธิ์ ทุกอย่างเล่นแร่แปรวิญญานเป็นอุตสาหกรรมใหม่โลกได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะจีน รัสเซีย จับมือกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แม้เหี้ยและชาตินาโต้ จะเข้าไปพื้นที่บางส่วนในอาร์คติค แต่ไม่สามารถทำได้ไกลและดีไปกว่ารัสเซีย เพราะนั่นเค้าคือเจ้าพ่อดินแดนน้ำแข็งแต่ยุคโบราณ อุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ แม้แต่อาวุธ ทุกชนิด ก็มีไว้เพื่อโลกน้ำแข็งโดยเฉพาะ ใครมันจะพัฒนาได้ไกลเท่ารัสเซียไม่มี มรึงมารบกันแถวนี้ คือ "ตายโหงอย่างเดียว" มาดงหมีขาว ไม่มีใครรอดดอกน่ะ?

    สงครามมีหรือไม่ ยาวนานแค่ไหน ไม่ใช่สาระ คำถามอยู่ที่ ใครจะเสี่ยงเอาแผ่นดินไปแลกมา? เพราะนาทีนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทั้งรัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีแสนยานุภาพที่เหี้ยไอ้อีทุกตัวต้องกลัวจนเยี่ยวแตก เพราะเทคโนโลยีมันห่างชั้นกันมากเกินไป จนป่านนี้ แค่ไม่มีรัสเซีย โครงการอวกาศยุโรป และสหรัฐ ยังต้องคอยส่งนักบินพ่วงไปกับกระส่วยอวกาศรัสเซียครั้งล่าสุด อายหมาแค่ไหน? แล้วจีนมีสถานีอวกาศของตัวเอง นอกจากรัสเซีย เค้าไปไกลกันถึงไหนแล้ว มอปักกิ่ง มอมอสโคว์ คือแหล่งผลิตอัจฉริยะโลกยุคใหม่ ไม่ใช่อ็อกซ์ฟอร์ด เครมบริดจ์ เยล ฮาร์วาร์ด อีกต่อไปแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียน ยิ่งกลายเป็นควาย โดนฝังชิปอะเป่า? ขั้วใหม่ไม่ได้กลัวสงคราม แถมพร้อมรบเต็มอัตราศึกนานแล้ว มีพร้อม เตรียมการมาพร้อม แต่ขั้วเก่า ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ไม่ต้องถามต่อ ว่าใครกดหัวใครอยู่เวลานี้? การจะดึงโลกทั้งใบให้ย้ายขั้วมาได้ มรึงต้องให้ขี้ข้าแลเห็นก่อนว่า นายเก่ามรึงหมดน้ำยา กระจอก และสิ้นสภาพไปแล้ว มันถึงจะย้ายข้ามขั้วมากัน ที่มาว่าทำไม ไม่ฆ่าให้ตายในดาบเดียว เซียนกระบี่ จะไม่ฆ่าดาบเดียวกับศัตรูที่ยังไม่ถึงขั้น พูดง่ายๆ กระจอกเกิน เล่นตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ชนะอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสูญเสียกำลังแต่อย่างใด

    ปล.จีนจะออก ก็ต่อเมื่อ ถึงเวลาผนวกไต้หวันแล้ว ดอกเดียว ครั้งเดียวจบ เจ็บครั้งเดียว รวมชาติเสร็จ ต่อไปก็กลืนศัตรูของชาติ สงครามฝิ่นฆ่าชาวจีนไปเป็นล้าน เวลาเอาคืน ง่ายนิดเดียว ยึดแผ่นดินพวกมรึงด้วยการค้า เอาลูกหลานมรึงมาเป็นทาสรับใช้ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้ามารุกรานจีนได้อีกตลอดกาล เพราะตะวันตกได้ตายห่าสิ้นชื่อไปนานแล้วนั่นเอง ส่วนอีกขั้วที่มองข้ามไม่ได้ โลกอาหรับ จะมีอิทธิพลขึ้นมาแทนยุโรป ด้วยอำนาจเงิน และพลังงาน ด้านอาเซียนจะกลายเป็นมหาอำนาจอู่ข้าว อู่น้ำโลก จะรบยังไง ปากท้องต้องมี น้ำบริสุทธิ์ต้องมาก เอเซียมีทุกอย่าง และอาเซียนคือหัวใจแท้ของเอเซีย แหล่งรวมวัฒนธรรมจากสรวงสวรรค์ไงล่ะ ในรัชสมัยพ่อร.5 แผ่นดินพ่อกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จากนี้ไป อีกไม่ถึง 2 รัชกาล ไทยเราจะได้แผ่นดินคืนทั้งหมดแต่เก่าก่อน ผนวกรวมของใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม นอกดินแดนอธิปไตยไทย คิดนอกกรอบซะบ้าง ใครล่ะ ว่าเราจะมีแผ่นดินแค่ในอาเซียน SOFT POWER THAI มันขจรกระจายไปทั่วโลก มรึงอาจได้เห็น THAI TOWN ทั่วทุกมุมโลกในไม่ข้านี้ เฉกเช่นเดียวกับ CHINA TOWN ทั่วโลก นั่นแหละ อย่าคิดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง บทแสงสีทองผ่องอำไพ สาดส่องไปที่ไหน วัฒนธรรมไทยไปถึงได้ทั่วในใต้หล้าและทั่วสากลโลก ก็บอกแล้วว่า "ไทยโมเดล" ยังจะมีอะไรให้ฝรั่งช็อคอีกเยอะ สิ้นสุดภารกิจโลกของศรีธนญชัย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสิ้นแล้ว!

    หมี CNN(หมากตาที่อันตรายที่สุดคือ "อาเซียน" แปซิฟิคแค่เบี่ยงเบนประเด็น เป้าหมายเหี้ยยิวไซออนนิสต์คืออาเซียน เพราะมันคือหัวใจ แก่นแท้ ของพลังเอเซีย จับมือกันให้ดีดี ใครจะแตกแถวปล่อยไป ถีบออก อย่าเสียดาย ยังมีอีกหลายชาติอยากจะเข้าร่วม ฟังสัญญานให้ดีดี อีทรัมปป์มันหลุดปากมาแล้ว แบบตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามที มันพูดว่า จิงโจ้ กีวี โสมขาว อียุ่นปี่ คืออาเซียนจ๊ะ แกล้งโง่ หรือชี้เป้ากันแน่)
    16 เมษายน 68
    11.57 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    16-04-68/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.50 ชื่อตอนว่า "NO CHOICE OR WANNA DIE?" กลยุทธ์การศึกหลายชั้น WWIII ที่ DEEP STATE ต้องการ มันต้องทำลายความมั่นคง ความอุ่นใจ ความสุขใจ ก่อน งาน เงิน ความปลอดภัย หากถูกทำลายสิ้น ความวิตกกังวลจะตามมา ความกลัวจะก่อเกิด ส่งผลถึงโกลาหลทั้งแผ่นดิน ง่ายต่อการปั่นให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่คือสูตรหาแดร๊กที่ใช้กันมานับ 1000 ปี สิ่งนี้แหละ ที่อีทรัมปป์เผาอเมริกาและโลกอยู่ ขั้วใหม่มองออกนานแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวเข้าทางตรีนขั้วใหม่หมด เพราะเค้าวางหมากให้มรึงเดิน ไม่ใช่มรึงมีทางเลือกอื่น? ขั้วใหม่ใช้ BRICS นำ แก้ทุกปัญหาที่เหี้ยก่อไว้ ส่วนเหี้ยใช้คว่ำบาตร กำแพงภาษี ทุบค่าเงิน ปั่นตลาดหุ้น ปล่อยไวรัส ใช้กองกำลังข่มขู่ไปทั่ว สิ่งที่จะเกิด เดาไม่ยาก ชาติน้อยใหญ่ ย่อมเข้าหาผู้ที่แข็งแกร่งปกป้องได้ นั่นคือโลกกำลังจะรวมตัวต่อกันติดไงล่ะ? โดยมีศัตรูของโลกที่ชื่อว่า "ยิวเหี้ยไซออนนิสต์ ผ่านตัวแทนอย่าง อเมริกา อังกฤษ นาโต้" แยกน้ำ แยกปลาเสร็จ ก็จะได้ถึงวัน D-DAY ซะที คำถามคือ? เกมส์จะไปจบที่จุดไหน? ขั้วใหม่บีบ และสร้างขุมกำลังเพิ่มไปเรื่อยๆ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ โลจิสติค ขณะที่ขั้วเก่าจมปลักอยู่กับแต่สงคราม ปากท้องไม่อิ่ม หลับไม่ลง เยรูซาเล็ม ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค โดนพิษสงคราม เศรษฐกิจ ล่อจนพังยับ ผู้คนลงถนนแน่ การผลัดเปลี่ยนถึงจะเกิด กว่า 100 ปี ที่บรรดาพรรคอนุรักษ์นิยมในสังกัด DEEP STATE ทั่วยุโรป กดหัว กดขี่ พรรคขวาจัดมาช้านาน ถึงคราวเปลี่ยน จึงได้เห็นว่าทำไม วันนี้ พรรคขวาจัดทั่วยุโรป มาแรงแซงทางโค้ง เพราะเค้าเบื่อจะเป็นขี้ข้ายิวเหี้ยกันหมดแล้ว อะไรก็ยิว ประชาชนแค่หาเงินมาจ่ายภาษีอุ้มยิวไปวันวัน แล้วมรึงจะมีผู้นำประเทศไปทำไม หากจะเป็นขี้ข้าไปตลอดชาติ ยิ่งติดบ่วงสงคราม เป้าหมายแท้จริงของขั้วใหม่ ไม่ใช่ก่อสงครามในสมรภูมิ แต่เล่นตรง โจมตีปากท้องประชาชนก่อน ทั่วโลกจะปฎิเสธรัฐบาลหุ่นเชิดยิวกันหมดแล้ว นี่คือจุดอ่อนของปชต.ตอแหล ที่รับใช้นายใหญ่ตัวเดียว BRICS มาเพื่อตอบโจทย์ WWIII จะไม่เกิดขึ้น หากเหี้ยไม่จนตรอกขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรจะเสีย ต้องล่อมินินุ๊กคุ๊กกี้ เท่านั้น และนั่นคือจุดจบของขั้วอำนาจเก่า ที่ขั้วใหม่รอคอยอยู่ ตั้งต้นศักราชใหม่ โลกที่ปราศจากนายใหญ่เพียงตัวเดียว ระบบการเงินทั้งยุโรป อเมริกา จะพังพินาศ ด้วยบล็อคเชนใหม่ ระบบชำระเงินแบบใหม่ รูปแบบเงินตราใหม่ โลกการเงินดิจิตอลเข้ามาเต็มตัว แต่ก็ยังต้องใช้ทองคำค้ำประกันอยู่ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยดอลล่าร์ อีกไม่นาน BRICS จะมีสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศ ประชากรรวมกันมากกว่าครึ่งโลก และนั่นจะก่อเกิดสกุลเงินใหม่ ที่ทั้งโลกต้องใช้ นั่นคือ BRICS DIGITAL CURRENCY การชำระเงินจะง่ายดาย ไม่ว่าจะจ่ายด้วยอะไรมันจะแปรเป็นสกุลเงินหลักโลกทันที แต่ไม่รับดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโร บีบให้ขั้วเก่าที่หมดสภาพ ต้องยอมรับกติกาใหม่โลกนั่นเอง แม้แต่ในอาเซียน ในอนาคต มรึงอาจจะได้เห็น ASEAN DIGITAL CURRENCY โดยมี ไทยบาท(THB) เป็นสกุลเงินหลัก เพราะเสถียรที่สุด และนิยมใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาติอาเซียนด้วยกัน มันง่ายแค่เปลี่ยนวิธีคำนวณใหม่ กติกาที่ทั้งอาเซียนต่างยอมรับ และมั่นใจ ที่มาของโลกหลายขั้วไงล่ะ? อาเซียนต่อไป ไม่ใช่แค่อาเซียนอีกต่อไปแล้ว แต่จะขึ้นมาเป็นกลุ่มอำนาจเงิน การค้า เศรษฐกิจ ที่ทรงพลังที่สุด เพราะอาหารโลกอยู่ที่นี่ และยังเป็นฮับพลังงานในอนาคต กระจายสินค้าอาเซียนสู่โลกแบบเต็มอัตราศึก มาแบบเต็มคาราเบล กันไปเลย ดังนั้น ไทยคือความหวังของอาเซียน ในการจะยืนหยัดสู้กับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งนี้ เพราะจีน รัสเซีย ได้ทุ่มสุดตัว เพื่อให้ไทย เป็นศูนย์กลางอาเซียนอย่างแท้จริง เหตุผลคือ จากนี้ไป ระบบกษัตริย์จะกลับมาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในอาเซียน แต่ทั้งโลก และระบบกษัตริย์ไทยที่มีมาอย่างยาวนาน และมั่นคง เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ตั้งแต่ในรัชสมัยพ่อร.5 มาจนถึงพ่อร.9 ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของมหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ แล้วไทยจะเป็นโมเดลกษัตริย์ให้ทั้งโลกได้นำไปเป็นแบบอย่าง พ่อปกครองลูก จะกลายเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคใหม่ หากมองภาพใหญ่เข้าไว้ มองป่าทั้งป่า มรึงจะเห็นยุทธศาสตร์ของขั้วใหม่ ที่เลือกจับเฉพาะแหล่งทรัพยากรโลกทั้งนั้น ทั้งเอเซีย แอฟริกา ลาติน แม้แต่ในอาร์คติค ไม่แปลกที่รัสเซีย-จีน จับมือปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่อาร์คติค จนกลายเป็นแหล่งธรรมชาติที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในเวลานี้ จากน้ำแข็งจะกลายเป็นพื้นดินในไม่ช้า หลังละลายไปเยอะ แหล่งวิจัย ทั้งธรณีวิทยา โลกใต้น้ำ แหล่งแร่หายาก แม้แต่อากาศชั้นบริสุทธิ์ ทุกอย่างเล่นแร่แปรวิญญานเป็นอุตสาหกรรมใหม่โลกได้ไม่ยากเย็นเลย เพราะจีน รัสเซีย จับมือกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แม้เหี้ยและชาตินาโต้ จะเข้าไปพื้นที่บางส่วนในอาร์คติค แต่ไม่สามารถทำได้ไกลและดีไปกว่ารัสเซีย เพราะนั่นเค้าคือเจ้าพ่อดินแดนน้ำแข็งแต่ยุคโบราณ อุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ แม้แต่อาวุธ ทุกชนิด ก็มีไว้เพื่อโลกน้ำแข็งโดยเฉพาะ ใครมันจะพัฒนาได้ไกลเท่ารัสเซียไม่มี มรึงมารบกันแถวนี้ คือ "ตายโหงอย่างเดียว" มาดงหมีขาว ไม่มีใครรอดดอกน่ะ? สงครามมีหรือไม่ ยาวนานแค่ไหน ไม่ใช่สาระ คำถามอยู่ที่ ใครจะเสี่ยงเอาแผ่นดินไปแลกมา? เพราะนาทีนี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทั้งรัสเซีย จีน อิหร่าน โสมแดง มีแสนยานุภาพที่เหี้ยไอ้อีทุกตัวต้องกลัวจนเยี่ยวแตก เพราะเทคโนโลยีมันห่างชั้นกันมากเกินไป จนป่านนี้ แค่ไม่มีรัสเซีย โครงการอวกาศยุโรป และสหรัฐ ยังต้องคอยส่งนักบินพ่วงไปกับกระส่วยอวกาศรัสเซียครั้งล่าสุด อายหมาแค่ไหน? แล้วจีนมีสถานีอวกาศของตัวเอง นอกจากรัสเซีย เค้าไปไกลกันถึงไหนแล้ว มอปักกิ่ง มอมอสโคว์ คือแหล่งผลิตอัจฉริยะโลกยุคใหม่ ไม่ใช่อ็อกซ์ฟอร์ด เครมบริดจ์ เยล ฮาร์วาร์ด อีกต่อไปแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียน ยิ่งกลายเป็นควาย โดนฝังชิปอะเป่า? ขั้วใหม่ไม่ได้กลัวสงคราม แถมพร้อมรบเต็มอัตราศึกนานแล้ว มีพร้อม เตรียมการมาพร้อม แต่ขั้วเก่า ไม่มีเหี้ยอะไรเลย ไม่ต้องถามต่อ ว่าใครกดหัวใครอยู่เวลานี้? การจะดึงโลกทั้งใบให้ย้ายขั้วมาได้ มรึงต้องให้ขี้ข้าแลเห็นก่อนว่า นายเก่ามรึงหมดน้ำยา กระจอก และสิ้นสภาพไปแล้ว มันถึงจะย้ายข้ามขั้วมากัน ที่มาว่าทำไม ไม่ฆ่าให้ตายในดาบเดียว เซียนกระบี่ จะไม่ฆ่าดาบเดียวกับศัตรูที่ยังไม่ถึงขั้น พูดง่ายๆ กระจอกเกิน เล่นตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ชนะอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสูญเสียกำลังแต่อย่างใด ปล.จีนจะออก ก็ต่อเมื่อ ถึงเวลาผนวกไต้หวันแล้ว ดอกเดียว ครั้งเดียวจบ เจ็บครั้งเดียว รวมชาติเสร็จ ต่อไปก็กลืนศัตรูของชาติ สงครามฝิ่นฆ่าชาวจีนไปเป็นล้าน เวลาเอาคืน ง่ายนิดเดียว ยึดแผ่นดินพวกมรึงด้วยการค้า เอาลูกหลานมรึงมาเป็นทาสรับใช้ จากนี้ไป จะไม่มีใครกล้ามารุกรานจีนได้อีกตลอดกาล เพราะตะวันตกได้ตายห่าสิ้นชื่อไปนานแล้วนั่นเอง ส่วนอีกขั้วที่มองข้ามไม่ได้ โลกอาหรับ จะมีอิทธิพลขึ้นมาแทนยุโรป ด้วยอำนาจเงิน และพลังงาน ด้านอาเซียนจะกลายเป็นมหาอำนาจอู่ข้าว อู่น้ำโลก จะรบยังไง ปากท้องต้องมี น้ำบริสุทธิ์ต้องมาก เอเซียมีทุกอย่าง และอาเซียนคือหัวใจแท้ของเอเซีย แหล่งรวมวัฒนธรรมจากสรวงสวรรค์ไงล่ะ ในรัชสมัยพ่อร.5 แผ่นดินพ่อกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก จากนี้ไป อีกไม่ถึง 2 รัชกาล ไทยเราจะได้แผ่นดินคืนทั้งหมดแต่เก่าก่อน ผนวกรวมของใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม นอกดินแดนอธิปไตยไทย คิดนอกกรอบซะบ้าง ใครล่ะ ว่าเราจะมีแผ่นดินแค่ในอาเซียน SOFT POWER THAI มันขจรกระจายไปทั่วโลก มรึงอาจได้เห็น THAI TOWN ทั่วทุกมุมโลกในไม่ข้านี้ เฉกเช่นเดียวกับ CHINA TOWN ทั่วโลก นั่นแหละ อย่าคิดว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้จริง บทแสงสีทองผ่องอำไพ สาดส่องไปที่ไหน วัฒนธรรมไทยไปถึงได้ทั่วในใต้หล้าและทั่วสากลโลก ก็บอกแล้วว่า "ไทยโมเดล" ยังจะมีอะไรให้ฝรั่งช็อคอีกเยอะ สิ้นสุดภารกิจโลกของศรีธนญชัย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสิ้นแล้ว! หมี CNN(หมากตาที่อันตรายที่สุดคือ "อาเซียน" แปซิฟิคแค่เบี่ยงเบนประเด็น เป้าหมายเหี้ยยิวไซออนนิสต์คืออาเซียน เพราะมันคือหัวใจ แก่นแท้ ของพลังเอเซีย จับมือกันให้ดีดี ใครจะแตกแถวปล่อยไป ถีบออก อย่าเสียดาย ยังมีอีกหลายชาติอยากจะเข้าร่วม ฟังสัญญานให้ดีดี อีทรัมปป์มันหลุดปากมาแล้ว แบบตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตามที มันพูดว่า จิงโจ้ กีวี โสมขาว อียุ่นปี่ คืออาเซียนจ๊ะ แกล้งโง่ หรือชี้เป้ากันแน่) 16 เมษายน 68 11.57 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    LINE.ME
    title
    description
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fedora Workstation 42 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอ GNOME 48 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย รวมถึง การปรับปรุงแอนิเมชัน, ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล และการรองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL)

    ✅ Fedora Workstation 42 มาพร้อมกับ GNOME 48
    - มี ฟอนต์ใหม่ ได้แก่ Adwaita Sans และ Adwaita Mono
    - รองรับ dynamic triple buffering เพื่อให้แอนิเมชันลื่นไหลขึ้น
    - เพิ่ม ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล เช่น การติดตามเวลาหน้าจอ, โหมด grayscale และการแจ้งเตือนให้พักสายตา

    ✅ Fedora 42 รองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL)
    - มี ภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL เพื่อให้ผู้ใช้ Windows สามารถทดลองใช้ Fedora ได้ง่ายขึ้น
    - รองรับการติดตั้งผ่าน tarballs, Appx packages และ Windows Store

    ✅ การปรับปรุง DNF5 (ตัวจัดการแพ็กเกจของ Fedora)
    - มี ตรรกะใหม่ ที่ช่วยลบ repository keys ที่หมดอายุหรือไม่ถูกต้อง เพื่อลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งแพ็กเกจ

    ✅ การติดตั้งและอัปเดต Fedora 42
    - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Fedora Workstation 42 ได้จาก เว็บไซต์ของ Fedora
    - หากใช้ Fedora อยู่แล้ว สามารถตรวจสอบการอัปเดตได้ใน Software’s updates tab

    ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ GNOME รุ่นก่อนหน้า
    - ผู้ใช้ที่เคยใช้ GNOME 47 อาจต้องปรับตัวกับ การเปลี่ยนแปลงของ UI และฟีเจอร์ใหม่

    ℹ️ ความท้าทายในการติดตั้ง Fedora บน WSL
    - แม้จะมีภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL แต่ต้องตรวจสอบว่า การทำงานร่วมกับ Windows มีข้อจำกัดหรือไม่

    ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนา Fedora ในอนาคต
    - Fedora อาจเพิ่ม ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการปรับแต่ง UI ในเวอร์ชันถัดไป

    https://www.neowin.net/news/fedora-workstation-42-arrives-with-gnome-48-wsl-images-and-more/
    Fedora Workstation 42 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอ GNOME 48 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย รวมถึง การปรับปรุงแอนิเมชัน, ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล และการรองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL) ✅ Fedora Workstation 42 มาพร้อมกับ GNOME 48 - มี ฟอนต์ใหม่ ได้แก่ Adwaita Sans และ Adwaita Mono - รองรับ dynamic triple buffering เพื่อให้แอนิเมชันลื่นไหลขึ้น - เพิ่ม ฟีเจอร์ด้านสุขภาพดิจิทัล เช่น การติดตามเวลาหน้าจอ, โหมด grayscale และการแจ้งเตือนให้พักสายตา ✅ Fedora 42 รองรับ Windows Subsystem for Linux (WSL) - มี ภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL เพื่อให้ผู้ใช้ Windows สามารถทดลองใช้ Fedora ได้ง่ายขึ้น - รองรับการติดตั้งผ่าน tarballs, Appx packages และ Windows Store ✅ การปรับปรุง DNF5 (ตัวจัดการแพ็กเกจของ Fedora) - มี ตรรกะใหม่ ที่ช่วยลบ repository keys ที่หมดอายุหรือไม่ถูกต้อง เพื่อลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งแพ็กเกจ ✅ การติดตั้งและอัปเดต Fedora 42 - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด Fedora Workstation 42 ได้จาก เว็บไซต์ของ Fedora - หากใช้ Fedora อยู่แล้ว สามารถตรวจสอบการอัปเดตได้ใน Software’s updates tab ℹ️ ผลกระทบต่อผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ GNOME รุ่นก่อนหน้า - ผู้ใช้ที่เคยใช้ GNOME 47 อาจต้องปรับตัวกับ การเปลี่ยนแปลงของ UI และฟีเจอร์ใหม่ ℹ️ ความท้าทายในการติดตั้ง Fedora บน WSL - แม้จะมีภาพติดตั้งเฉพาะสำหรับ WSL แต่ต้องตรวจสอบว่า การทำงานร่วมกับ Windows มีข้อจำกัดหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนา Fedora ในอนาคต - Fedora อาจเพิ่ม ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการปรับแต่ง UI ในเวอร์ชันถัดไป https://www.neowin.net/news/fedora-workstation-42-arrives-with-gnome-48-wsl-images-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fedora Workstation 42 arrives with GNOME 48, WSL images, and more
    Fedora Workstation 42 is now available for download. It includes loads of new features, including GNOME 48, which has notification stacking, new fonts, well-being settings, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตกลงเป็นอิสราเอลเหรอเคสนี้ เห็น "สื่อไทย" รายงานแค่ "นักท่องเที่ยวต่างชาติ"

    https://x.com/ElysiusThor/status/1912325886080348219
    ตกลงเป็นอิสราเอลเหรอเคสนี้ เห็น "สื่อไทย" รายงานแค่ "นักท่องเที่ยวต่างชาติ" https://x.com/ElysiusThor/status/1912325886080348219
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน
    ______________________________
    23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
    China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90
    ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน)
    ______________________________
    ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ
    สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม
    หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ)
    บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง
    นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก
    ______________________________
    การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น
    • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV
    • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน
    • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ
    • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม
    • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry)
    สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน
    ______________________________
    ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย
    ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล
    หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้:
    • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง
    • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย
    • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF
    • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่
    • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง
    • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง
    • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง
    ______________________________
    สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง
    การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED
    สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง
    ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน
    ______________________________
    ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน
    สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ
    KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่
    รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ______________________________
    สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต
    อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ
    https://shorturl.asia/6GnqX
    ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942
    ______________________________

    10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน)
    1. แร่ดีบุก (Tin)
    o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563
    o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region)
    2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน
    o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region)
    3. ทองแดง (Copper)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร
    o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State)
    4. ตะกั่ว (Lead)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State)
    5. สังกะสี (Zinc)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ
    o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region)
    6. นิกเกิล (Nickel)
    o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน
    7. พลวง (Antimony)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน
    o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    8. ทังสเตน (Tungsten)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง
    o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น
    9. ทองคำ (Gold)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก
    o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ
    o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย
    10. อิตเทรียม (Yttrium)
    o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ
    o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร
    ______________________________
    ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน ______________________________ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90 ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน) ______________________________ ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก ______________________________ การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry) สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน ______________________________ ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้: • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่ • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง ______________________________ สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน ______________________________ ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่ รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ______________________________ สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ https://shorturl.asia/6GnqX ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942 ______________________________ 10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน) 1. แร่ดีบุก (Tin) o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563 o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region) 2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์ o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region) 3. ทองแดง (Copper) o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State) 4. ตะกั่ว (Lead) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์ o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State) 5. สังกะสี (Zinc) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region) 6. นิกเกิล (Nickel) o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน 7. พลวง (Antimony) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ 8. ทังสเตน (Tungsten) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น 9. ทองคำ (Gold) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย 10. อิตเทรียม (Yttrium) o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร ______________________________
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 613 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk

    ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา
    - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP)
    - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma

    ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม
    - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ
    - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม
    - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้

    ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา
    - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้
    - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง

    ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา
    - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์
    - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ
    - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025

    https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    Google กำลังใช้ AI และโทรศัพท์ Pixel เพื่อพัฒนาโมเดลที่สามารถ เข้าใจและสื่อสารกับโลมา โดยโครงการนี้ใช้ DolphinGemma ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์เสียงของโลมา เช่น เสียงหวีด, คลิก และ squawk ✅ Google ใช้ AI เพื่อศึกษาภาษาของโลมา - โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Google, Georgia Tech และ Wild Dolphin Project (WDP) - WDP มีข้อมูลเสียงของโลมามากกว่า 40 ปี ซึ่งใช้ในการฝึกโมเดล DolphinGemma ✅ DolphinGemma วิเคราะห์เสียงโลมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรม - โลมามี เสียงหวีดเฉพาะตัว ที่ใช้เรียกกันเหมือนชื่อ - ใช้ เสียงคลิก "buzzes" ในการเกี้ยวพาราสีหรือขับไล่ฉลาม - ใช้ เสียง burst-pulse "squarks" ในระหว่างการต่อสู้ ✅ Pixel phones ถูกใช้ในการบันทึกเสียงโลมา - โทรศัพท์ Pixel ใช้ SoundStream tokenizer เพื่อแปลงเสียงโลมาเป็นข้อมูลที่ AI สามารถวิเคราะห์ได้ - DolphinGemma มี 400 ล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานบน Pixel ได้โดยตรง ✅ CHAT: ระบบสื่อสารสองทางกับโลมา - CHAT (Cetacean Hearing Augmentation Telemetry) ใช้ Pixel 6 เพื่อสร้าง เสียงหวีดสังเคราะห์ - นักวิจัยหวังว่าโลมาจะเลียนแบบเสียงเหล่านี้เพื่อขอสิ่งที่ต้องการ เช่น สาหร่ายทะเลหรือผ้าพันคอ - Google เตรียมเปิดตัว CHAT รุ่นใหม่บน Pixel 9 สำหรับฤดูร้อนปี 2025 https://www.techspot.com/news/107552-how-google-plans-use-ai-pixel-phones-talk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's AI is learning dolphin language - for real
    Google has announced a collaboration with researchers at Georgia Tech and the field research of the Wild Dolphin Project (WDP), the latter of which has been collecting...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอากาศสหรัฐฯ (USAF) ได้ลงนามในสัญญามูลค่า 10.8 ล้านดอลลาร์ กับ PsiQuantum เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี Quantum Computing โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ USAF สามารถเข้าถึง ชิปควอนตัมขั้นสูง และอุปกรณ์ที่ใช้ Barium Titanate Electro-Optic phase shifters ซึ่งเป็นวัสดุระดับโลกในการประมวลผลควอนตัม

    ✅ USAF ลงนามสัญญา 10.8 ล้านดอลลาร์กับ PsiQuantum
    - สัญญานี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นในปี 2022
    - PsiQuantum จะออกแบบและจัดหาฮาร์ดแวร์ควอนตัมให้กับ USAF

    ✅ เทคโนโลยีที่ PsiQuantum นำเสนอ
    - ใช้ Photonic Quantum Computing ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของ Microsoft ที่ใช้ Topological Qubits
    - ข้อดีของ Photon Qubits คือสามารถทำงานที่ อุณหภูมิห้อง และมีความเสถียรสูง

    ✅ เป้าหมายของโครงการ
    - PsiQuantum จะพัฒนา ชิปควอนตัม Omega ซึ่งมีองค์ประกอบครบถ้วนสำหรับการขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits
    - USAF จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านควอนตัม

    ✅ บทบาทของนักการเมืองในการสนับสนุนโครงการ
    - สัญญานี้เกิดขึ้นได้เพราะการสนับสนุนจาก Senator Chuck Schumer และ Representative Elise Stefanik
    - ทั้งสองคนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมควอนตัมในรัฐนิวยอร์ก

    ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน Quantum Computing
    - Microsoft กำลังพัฒนา Majorana 1 chip ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งสำคัญของ PsiQuantum
    - ต้องติดตามว่า Photonic Quantum Computing จะสามารถแข่งขันกับเทคโนโลยีอื่นได้หรือไม่

    ℹ️ ความท้าทายในการขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits
    - แม้ PsiQuantum จะมีแผนพัฒนา ชิป Omega แต่การขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits ยังต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก
    - ต้องจับตาว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่

    ℹ️ แนวโน้มของ Quantum Computing ในอนาคต
    - Quantum Computing อาจมีบทบาทสำคัญในด้าน การเข้ารหัสข้อมูล, การจำลองโมเลกุล และการพัฒนา AI
    - อาจมีการลงทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีนี้

    https://www.neowin.net/news/usaf-bolsters-quantum-advantage-with-108-million-
    psiquantum-contract/
    กองทัพอากาศสหรัฐฯ (USAF) ได้ลงนามในสัญญามูลค่า 10.8 ล้านดอลลาร์ กับ PsiQuantum เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี Quantum Computing โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ USAF สามารถเข้าถึง ชิปควอนตัมขั้นสูง และอุปกรณ์ที่ใช้ Barium Titanate Electro-Optic phase shifters ซึ่งเป็นวัสดุระดับโลกในการประมวลผลควอนตัม ✅ USAF ลงนามสัญญา 10.8 ล้านดอลลาร์กับ PsiQuantum - สัญญานี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นในปี 2022 - PsiQuantum จะออกแบบและจัดหาฮาร์ดแวร์ควอนตัมให้กับ USAF ✅ เทคโนโลยีที่ PsiQuantum นำเสนอ - ใช้ Photonic Quantum Computing ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของ Microsoft ที่ใช้ Topological Qubits - ข้อดีของ Photon Qubits คือสามารถทำงานที่ อุณหภูมิห้อง และมีความเสถียรสูง ✅ เป้าหมายของโครงการ - PsiQuantum จะพัฒนา ชิปควอนตัม Omega ซึ่งมีองค์ประกอบครบถ้วนสำหรับการขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits - USAF จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในด้าน ความมั่นคงแห่งชาติ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านควอนตัม ✅ บทบาทของนักการเมืองในการสนับสนุนโครงการ - สัญญานี้เกิดขึ้นได้เพราะการสนับสนุนจาก Senator Chuck Schumer และ Representative Elise Stefanik - ทั้งสองคนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมควอนตัมในรัฐนิวยอร์ก ℹ️ ผลกระทบต่อการแข่งขันด้าน Quantum Computing - Microsoft กำลังพัฒนา Majorana 1 chip ซึ่งอาจเป็นคู่แข่งสำคัญของ PsiQuantum - ต้องติดตามว่า Photonic Quantum Computing จะสามารถแข่งขันกับเทคโนโลยีอื่นได้หรือไม่ ℹ️ ความท้าทายในการขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits - แม้ PsiQuantum จะมีแผนพัฒนา ชิป Omega แต่การขยายไปถึง 1 ล้าน Qubits ยังต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก - ต้องจับตาว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของ Quantum Computing ในอนาคต - Quantum Computing อาจมีบทบาทสำคัญในด้าน การเข้ารหัสข้อมูล, การจำลองโมเลกุล และการพัฒนา AI - อาจมีการลงทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ https://www.neowin.net/news/usaf-bolsters-quantum-advantage-with-108-million- psiquantum-contract/
    WWW.NEOWIN.NET
    USAF bolsters quantum advantage with $10.8 million PsiQuantum contract
    PsiQuantum has expanded its partnership with the Air Force Research Laboratory (AFRL) after being awarded a $10.8 million contract to provide the USAF with photonic quantum chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 595 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองบัญชาการกลางสหรัฐ หรือ CENTCOM (United States Central Command) เผยแพร่คลิปวิดีโอของเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ขณะปฏิบัติการในทะเลอาหรับ พร้อมด้วยเครื่องบินรบ F-35C และ F/A-18 เป็นอาวุธสำคัญ
    กองบัญชาการกลางสหรัฐ หรือ CENTCOM (United States Central Command) เผยแพร่คลิปวิดีโอของเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ขณะปฏิบัติการในทะเลอาหรับ พร้อมด้วยเครื่องบินรบ F-35C และ F/A-18 เป็นอาวุธสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 22 0 รีวิว
  • Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1
    .
    ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ
    .
    Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร
    .
    หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย”
    .
    เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า
    .
    ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน
    .
    Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน
    .
    ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง
    .
    เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน
    .
    ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ
    .
    ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์
    .
    ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ
    .
    หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ
    .
    จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA)
    .
    ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด
    .
    ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์
    .
    ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป
    .
    หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม

    อ้างอิง :
    • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/
    • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140
    • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/
    • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/
    • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers
    By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนที่ 1 . ฉากทัศน์ปัจจุบันในลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ต่างมากนักกับหนังเรื่อง Blood Diamond ที่สร้างจากเรื่องจริงที่ที่แอฟริกา ว่าด้วยการด้านมืดของทำเหมืองเพชร ฉายในปีค.ศ. 2006 ดารานำคือ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงคู่กับ โซโลมอน แวนดี้ ชาวประมงผู้ถูกจับตัวไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชรของกลุ่มกบฏ . Blood Diamond ในเรื่องถือเป็นขุมทรัพย์ของกลุ่มกบฏ กระบวนการคือการกดขี่แรงงาน สังหารชาวบ้าน ที่ต่อต้าน ล้างสมองใช้แรงงานเด็กถืออาวุธเคี่ยวเข่น ฟอกเงินจากขายเพชรไปซื้ออาวุธ เสริมสร้างกองทัพ การค้าอาวุธและของเถื่อน เรียกว่าเถื่อนครบวงจร . หลังจากน้ำท่วมแม่สายอย่างสาหัส ด้วยมวลขุ่นชี้โคลนมหาศาลโถมทับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ทางมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation ; SHRF) ได้เปิดผลการศึกษา ว่าด้วย “การขยายตัวของเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในเมียนมาและไทย” . เสียงสะท้อนจากเรื่องนี้ดังมาจากฝั่งเมียนมาร์ถือเป็นครั้งแรกห้วงเดือนพฤศจิกายน 2567 นอกจากโคลนคือการได้รับของแถมคือ สารหนู นิเกิลและสังกะสีปนเปื้อนในระดับสูง โดยระดับปนเปื้อนของสังกะสีในแม่น้ำสายสูงงกว่าระดับปลอดภัยถึง 18 เท่า . ประเด็นชี้เป้าไปที่ 4 พื้นที่หลักภายใต้การคือ การขยายตัวของเหมืองทองคำด้านตะวันออกของเมืองสาด รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ริมฝั่งแม่น้ำกก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำรวก รัฐฉาน การทำเหมืองแร่ตามริมฝั่งน้ำเลน รัฐฉาน . Deep State ที่ตัวแสดงหลักคือกองทัพสหรัฐว้า United Wa State Army ทำขอตกลงกับรัฐบาลเมียนมาคือ เขตปกครองพิเศษที่ 2 มีพื้นที่อิทธิพลในเขตเปกครองตนเองว้า ภาคเหนือติดชายแดนจีน และทางภาคใต้-ตะวันออกของรัฐฉาน ติดกับประเทศไทย และการพันลึกกับจีน . ปมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ประเด็นร้อนล่าสุดที่ผลกระทบได้ขยายวงแผ่ไปตามกระแสน้ำที่มีมลพิษจากการทำเหมืองทองคำเป็นต้นเหตุหลักในพื้นที่รัฐฉาน ที่ไหลลงแม่น้ำลัดเลาะลงอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย ลงแม่น้ำโขง . เรื่องนี้มีความน่าสนใจเชิงทรัพยากรเหมืองแร่ที่มีทุนจีนเข้ามาโอบล้อมภาคเหนือของไทยสูบแร่ ที่คิดว่าไม่ใช่เฉพาะทองคำ แต่จะกินไปถึงถ่านหิน และแมงกานีส เป็นอุตสาหกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนเป็นทองคำสีเลือดที่สร้างผลกระทบชีวิตคนลุ่มแม่น้ำโขง สุขภาพตายผ่อนส่ง ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ยังไม่รวมเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนจากการบายพาสสินค้าไปตลาดจีน คาสิโน บ่อนที่ประชิดชายแดนไทย ทั้งพม่าและคิงส์โรมัน . ทั้งหมดล้วนพัวพันเป็นเนื้อเดียวที่ส่งสัญญาณอนาคตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ลุ่มนํ้าสาละวิน กก สาย และอิง ไม่รวมแม่น้ำสาขา น้ำแม่ฝาง น้ำแม่ลาว และน้ำแม่สรวย กำลังเผชิญวิกฤติที่ลุกลามเป็นกินพื้นที่ภาคเหนือ . ต้องยอมรับว่าการ Reaction ของรัฐไทยช้า และไม่มีพลังที่จะชน Deep State ประเทศเพื่อนบ้าน ภาพปรากฎเป็นการตั้งรับเกือบ 100% และไม่ทันการณ์ . ความอ่อนแอเชิงพื้นที่ที่ได้ถูกกัดกร่อน ทำให้พลังการแสดงออกของพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ทั้งภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน มิได้ส่งเสียงส่งพลังให้เกิดการมีปฏิกิริยาเชิงรุกกับรัฐบาลไทยเพื่อปกป้องผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของภาคเหนือ . หากประมวลมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของไทย นอกจากการเกาะติดของสื่อ ก็จะมีข้อเรียกร้องทางให้เปิดโต๊ะเจรจาจีน-เมียนมา-ว้า ประสานพี่ใหญ่จีนด้วยที่มีบริษัทจีนส่วนใหญ่เข้าไปสัมปทาน ทั้งรูปแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ร่วมกันหาทางออกทั้งการยุติการทำเหมืองทอง หรือการควบคุมการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ . จังหวัดเชียงรายต้องทำฉากทัศน์ (Scenarios) หลายระดับ 1.ในช่วง 5 ปี หน้าดินที่เสื่อมสลายไป จะทำอย่างไรในเรื่องตะกอน น้ำท่วม และสารพิษในแม่น้ำ 2.ในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากเหมืองทองขยายตัวมากกว่านี้ ขยายเหมือนไร่ข้าวโพดในเมียนมา จะมีการบริหารจัดการอย่างไร 3.ประเด็นการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) . ก่อนหน้านี้กลางเดือนมีนาคมมีการรวมตัวของชุมชน 700 คน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้องแม่น้ำกก ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองคำบนต้นน้ำกกที่ห่างจากชายแดนไทยไป 30 กิโลเมตรทางทิศใต้ของเมืองสาด ที่ดำเนินขุดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยให้ข้อมูลว่าตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดทองในวงกว้างเกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในเมืองยอน ตอนใต้ของอำเภอเมืองสาด . ในแถลงการณ์ระบุว่ามีบริษัทจีนหลัก 4 แห่ง ที่ดำเนินการขุดเหมือง มีซับคอนแทรกอีก 20 ราย มีพนักงานมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน บริษัทเหล่านี้ทำเหมืองบนเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำกก รวมถึงการใช้เรือขุดทองและสกัดบนแม่น้ำกกโดยตรง ทำให้ชาวบ้านไม่มั่นใจการบริโภคในครัวเรือน และทำให้ปลาแทบสูญพันธุ์ . ล่าสุดมีการขยับของ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ออกหนังสือไปยังหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong Committee Secretariat: MRCS) เสนอจัดตั้ง “กลไกความร่วมมือทวิภาคี” สำหรับการตรวจสอบคุณภาพน้ำ โดยมี MRCS ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งต้องติดตามต่อไป . หลังจากการเปิดฉากเรื่อง Blood Gold เหมืองทองคำสีเลือดแห่งลุ่มน้ำโขง ตอนต่อไปคือการเจาะลึกการขยายอุตสาหกรรมเหมืองทองคำในลุ่มแม่น้ำโขงในเงื้อมมือทุนจีน การเล่นแร่แปรธาตุสู่อาวุธ บ่อน และสงคราม ไปจนทางถึง Supply Chain การเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเหมืองในลุ่มแม่น้ำโขง ผลประโยชน์ขนาดไหน ความสูญเสียของคนลุ่มแม่น้ำโขงในอนาคตภายใต้ความเสี่ยงของมลพิษข้ามแดนจะวิกฤติอย่างไร มีทางออกอย่างไรโปรดติดตาม อ้างอิง : • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ https://shanhumanrights.org/ • วิกฤตสารหนู ‘แม่น้ำกก’ จี้รัฐถก 3 ชาติ ป้องเศรษฐกิจเชียงรายพัง https://www.prachachat.net/local-economy/news-1792140 • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 1 https://www.facebook.com/share/p/1D8ZwWYsN1/ • ไทยกับว้าแดง https://www.facebook.com/share/p/15KvYRaDH1/ • Toxic Waters, Dysfunctional States The Destruction of the Kok and Sai Rivers By Paskorn Jumlongrach https://transbordernews.in.th/home/?p=42108
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time

    How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot.

    Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing?

    Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean.

    1. Catch yourself in the act.
    Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it.

    2. Think about why you apologize.
    Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead.

    3. Say “thank you,” not “sorry.”
    When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples:

    - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting.
    - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it.
    - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening.
    - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that.

    4. Use a different word.
    Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas:

    - pardon
    - excuse me
    - after you
    - oops

    5. Focus on solutions.
    We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives:

    - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take].
    - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it.
    - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right.
    - Can you give me feedback on how I can do this differently?

    6. Ask a question.
    Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives:

    - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk?
    - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that?
    - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you?
    - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions?

    7. Ban sorry from your emails.
    In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured.

    8. Practice empathy, not sympathy.
    Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include:

    - That must have been really difficult.
    - I know you’re really hurting right now.
    - Thank you for trusting me with this.
    - What can I do to make this easier for you?

    9. Prep before important conversations.
    If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally.

    10. Get an accountability partner.
    It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Ways To Stop Saying “Sorry” All The Time How many times have you said the word sorry today? If you’re like most people, the answer is probably: a lot. Sorry means “feeling regret, compunction, sympathy, pity, etc.” The only problem is, we don’t always use it that way. Sorry has become a sort of anchor that people attach to all kinds of phrases, whether they’re asking a question, asking for help, or even just moving about in a crowded space. In those instances, we aren’t feeling regret or pity, so why are we apologizing? Research shows that women tend to over-apologize more often than men, but no matter your identity, psychologists caution that saying sorry all the time can undermine your authority and even impact your self-esteem. If you’re a chronic over-apologizer, it’s time to switch it up. Here are 10 ways to stop saying sorry and start saying what you really mean. 1. Catch yourself in the act. Before you change your habit of over-apologizing, you have to become aware of when you apologize and why. Is it anytime you feel you’re in someone’s way? Or maybe whenever you want to ask a question during a meeting? Start to notice when sorry comes out of your mouth during times when you haven’t actually done anything wrong. Try asking a trusted friend or colleague to point it out to you or even having a day where you write down a tick mark every time you say it. 2. Think about why you apologize. Has sorry become a filler word? Maybe it gives you something to say when you aren’t sure what else to say, or maybe it’s a way of dealing with anxiety or a lack of confidence in certain situations. Understanding why you apologize all the time will help you identify situations for which you could brainstorm some other words and phrases to have in your arsenal instead. 3. Say “thank you,” not “sorry.” When you’re ready to start replacing the word sorry in your vocabulary, here’s an easy trick: say “thank you” instead. This is especially helpful at work or in other places where saying sorry might come off as less authoritative. Thank you turns an apologetic statement into one that exudes confidence. Here are some examples: - Instead of Sorry for being late, try Thanks for waiting. - Instead of Sorry for the late notice, try I’m so glad you could make it. - Instead of Sorry for complaining, try Thanks for listening. - Instead of Sorry for the mistake, try Thank you for catching that. 4. Use a different word. Are you using sorry in place of a word or phrase that might work better? For example, when you need something at a restaurant or want to reach in front of someone at the grocery store to grab an item, do you automatically apologize? If so, you may be using sorry as a default, so try to choose some replacement words. Here are some ideas: - pardon - excuse me - after you - oops 5. Focus on solutions. We all make mistakes, and apologizing when we really mess up is a good idea. But you don’t need to jump straight to sorry every time there is a minor mishap. In situations at work or even in conversations with friends and loved ones, it can be helpful and more proactive to lead with what you’re going to do to fix the problem. In these situations, try one of these alternatives: - I hear you, and I’m going to [list actions you plan to take]. - Thank you for bringing this to my attention. I’m going to work on it. - This didn’t go as planned, but I’m going to make it right. - Can you give me feedback on how I can do this differently? 6. Ask a question. Sometimes we use sorry as a way of getting someone’s attention, as in, “Sorry, but I have a question.” The only problem is that beginning your sentence with an apology has the potential to make you sound more passive or make others see you as less authoritative. Instead of defaulting to apologizing whenever you have something to say, try these alternatives: - Instead of Sorry to bother you, try Is now a good time to talk? - Instead of Sorry for interrupting, try Can I expand on that? - Instead of Sorry for getting in the way, try Can I squeeze past you? - Instead of Sorry, but I have a question, try Is now a good time for questions? 7. Ban sorry from your emails. In person, the word sorry can slip out without notice. But over email you have the opportunity of more time to think about what you really want to say. Take advantage of that by banning the word sorry from all communications. After you write an email, read through it quickly and delete every instance of sorry or other passive language, and replace it with some of the words or phrases above. It’s a small step that can go a long way towards making you sound more self-assured. 8. Practice empathy, not sympathy. Sorry is a go-to word when something bad happens to someone else, but it isn’t always the best word. Sorry conveys sympathy, and it focuses on how the speaker feels rather than the recipient. Plus, because the word is so overused, it can sometimes sound insincere. Instead of jumping right to sorry in these situations, practice empathy by acknowledging the other person’s feelings over yours. Some examples include: - That must have been really difficult. - I know you’re really hurting right now. - Thank you for trusting me with this. - What can I do to make this easier for you? 9. Prep before important conversations. If you know ahead of time that you’re going into a tough conversation where you might be tempted to over-apologize, rehearse some other lines to use instead. For example, if you need to talk to a boss about a problem at work, think about how the conversation might go and choose a few sorry alternatives from earlier on this list. Practice what you’ll say ahead of time. When alternative words and phrases are fresh in your mind, they’ll be easier to remember and work into the conversation naturally. 10. Get an accountability partner. It might be easier to change your habits if you have a little help. If you have a friend, partner, or colleague that you trust, let them know you’re trying to delete sorry from your vocabulary, and see if they’re willing to help by privately pointing out when they hear you over-apologizing. They may notice times when you apologize that you’ve overlooked, and knowing they’re on the lookout might motivate you to change your ways even more. After a while, your sorry habit will be a thing of the past. Sorry, not sorry. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    รีโพสต์บทความของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ “คานงัดประเทศไทยหลายประเทศมีการผลักดัน “การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนสามารถพลิกฟื้นตัวเองจากรัฐที่ตามหลัง (Following State) สู่รัฐที่ล้ำหน้า (Forefront State) อย่างจีน สิงค์โปร์ หรือ เกาหลีใต้ ผิดกับประเทศไทย ที่ปัจจุบันยังเป็นเพียงรัฐที่ตามหลัง และกำลังมีแนวโน้มถดถอยไปสู่รัฐที่กำลังล้มเหลว (Falling State)ที่ผ่านมา ประเทศไทยนั้นมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (Great Reform) เพียงครั้งเดียว คือในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แต่เงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงในสมัยนั้นกับในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไขที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอก ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชการที่ 5 น้ำหนักจะอยู่ที่การพัฒนาเพื่อไปสู่ความทันสมัย เพื่อที่จะแสดงให้ประชาคมโลกตระหนักว่าประเทศของเรานั้นไม่ได้ล้าหลัง เนื่องจากต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคม ประเด็นท้าทายในยุคปัจจุบัน คือจะมุ่งการพัฒนาเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ความเท่าเทียมในสังคม และความเท่าทันเทคโนโลยี ได้อย่างไร~แรงเฉื่อยต่อการเปลี่ยนแปลงหลังกระแสการล่าอาณานิคมผ่านพ้นไป ประเทศไทยไม่เคยต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างรุนแรง เราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล 2 น้อยมาก ดังนั้น ระบบและโครงสร้างเก่า แนวคิดและจารีตนิยมจึงไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชนยังคงอยู่ ระบบคุณค่าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการพลิกโฉมประเทศไปสู่สังคมสมัยใหม่ ที่เน้นความเป็นระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ตระหนักในหน้าที่พลเมือง มีจิตอาสา กล้าที่จะเสนอความเห็น มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และความเสมอภาคระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังได้หล่อหลอมคนไทยให้เป็น “ปัจเจกบุคคลที่ไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม” (Anomic Individualism) สะท้อนผ่านพฤติกรรมตัวใครตัวมัน ไม่ชอบถูกบังคับ ไร้ระเบียบวินัย และขาดความรับผิดชอบ ผลข้างเคียงที่ตามมา คือคนไทยโดยส่วนใหญ่จะเรียกร้องสิทธิมากกว่าหน้าที่ เน้นถูกใจมากกว่าถูกต้อง เน้นมองเพื่อตัวเองมากกว่ามองเพื่อส่วนรวม เน้นชิงสุกก่อนห่ามมากกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เน้นรูปแบบมากกว่าสาระ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เน้นมูลค่ามากกว่าคุณค่า และเน้นคอนเนคชั่นมากกว่าเนื้องานความไร้บรรทัดฐานและคุณค่าร่วมในสังคม ทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักตัดสินใจเลือกเส้นทางหรือวิธีการที่ “มักง่าย” ทำให้เรื่องที่ “ผิดปกติ” กลายเป็นเรื่อง “ไม่ผิดปกติ” และกระทำลงไปโดยปราศจาก “ความรู้สึกผิด” อาทิ นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไร ขอเพียงให้มีผลงานบ้าง การทำปฏิวัติรัฐประหาร การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ และความมหัศจรรย์ ไม่รักษาเวลา ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผล เป็นต้น ~ค้นหาจุดคานงัด ทลายวงจรอุบาทว์หากพวกเราไม่คิดแก้ไขปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ยากที่ประเทศไทยจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ประเทศอื่น ๆ ในประชาคมโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ได้ในการทลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน จุดคานงัดของการเปลี่ยนแปลง (Leveraging Point) อาจจะอยู่ทึ่ “การปฏิรูประบบคุณค่า” (Value System Reform) ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่านิยม 2 ชุดหลักด้วยกัน คือชุดที่ 1: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมชุดที่ 2: บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยมบริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นด้านลบของระบอบทุนนิยม แต่ในด้านบวกของระบอบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันอย่างเสรี การยึดธรรมาภิบาล กฎกติกา กลับไม่ได้ถูกสังคมไทยนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะถูกอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยมเข้าบดบังระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในเกือบทุกอณูของสังคมไทย เป็น Counter-Productive Value ที่นอกจากจะไม่สอดรับกับรูปแบบการพัฒนาและโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมในโลกปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ระบบคุณค่าทั้งสองชุดได้ทำให้ธรรมาภิบาล โครงสร้าง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เกิดการบิดเบี้ยวเชิงระบบ ไม่ว่าจะเป็น• การบิดเบี้ยวเชิงการเมือง ที่ก่อให้เกิดการเมืองที่มีผู้มีอิทธิพลครอบงำ และก่อให้เกิดระบอบธนาธิปไตย และระบอบอมาตยาธิปไตย แทนที่จะเป็นระบอบประชาธิปไตย • การบิดเบี้ยวเชิงบริหารราชการแผ่นดิน ที่การบริหารจัดการภาครัฐถูกแทรกแซง บิดเบือน ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรม • การบิดเบี้ยวเชิงสังคม ที่ก่อให้เกิด Contra-Individuals มากกว่า Collective Individuals รวมถึงเกิดความกระชับแน่นของคนในกลุ่มเดียวกัน (Bonding) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสัมพันธ์ของคนต่างกลุ่ม (Bridging) ลดลง เกิดเป็น “สังคมของพวกกู” มากกว่า “สังคมของพวกเรา”• ความบิดเบี้ยวเชิงเศรษฐกิจ ที่ก่อให้เกิดระบบทุนนิยมแบบพวกพ้อง (Crony Capitalism) นำมาสู่ระบบเศรษฐกิจปรสิต (Parasite Economy) และสังคมพึ่งพิงประชานิยม (Dependent Society) • ความบิดเบี้ยวของผู้นำ ที่ก่อให้เกิดการขาดแคลนผู้นำที่เป็นต้นแบบที่ดี มีแต่ผู้นำที่คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างอยู่มากมาย เกิดผู้นำที่ใส่ใจในวาระซ่อนเร้นของตน มากกว่า วาระของชาติ• ความบิดเบี้ยวเชิงสถาบัน ที่สถาบันต่าง ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจอย่างเป็นอิสระ อย่างที่สังคมคาดหวังที่สำคัญ ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิชน ยังก่อให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างอำนาจที่แท้จริงและอำนาจทางการ หรือที่เรียกว่า “Power Paradox” กล่าวคือ การที่เรายังมองประชาชนเป็นผู้ถูกปกครอง โดยมีผู้ปกครองคือรัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วรัฐต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นความย้อนแย้งระหว่างพฤตินัยและนิตินัยดังนั้น หากปราศจากการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่า เพื่อทำให้เกิดความสอดคล้องกับธรรมาภิบาลและโครงสร้างส่วนอื่นๆของสังคม วาระการปฎิรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จะไม่มีทางตอบโจทย์ประเด็นปัญหาฐานรากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย~ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐระบบคุณค่าทั้ง 2 ชุด: อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธินิยม; บริโภคนิยม วัตถุนิยม และสุขนิยม เป็นปฐมบทของการเกิดโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองแบบ Extractive Political Economy ที่มีผู้คนเพียงบางกลุ่ม ได้ประโยชน์จากอำนาจการปกครองและอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยความพยายามที่จะกีดกั้น เอารัดเอาเปรียบ และทำให้เกิดการกระจุกตัวของอำนาจและความมั่งคั่ง และนำพาสู่การอุบัติขึ้นของ ประชาธิปไตยเทียม ทุนนิยมพวกพ้อง ระบบเศรษฐกิจปรสิต และสังคมพึ่งพิงรัฐ ในที่สุดโครงสร้าง Extractive Political Economy ได้นำพาประเทศไทยสู่ “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” เกิดสังคมที่ไม่ Clean & Clear ไม่ Free & Fair และไม่ Care & Share สังคมดังกล่าวนำมาซึ่งความเสื่อมถอยของทุนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ ทุนเศรษฐกิจที่อ่อนด้อย ทุนสังคมที่เปราะบาง ทุนคุณธรรมจริยธรรมที่เสื่อมทราม และทุนทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมถึงเวลาปฎิรูประบบคุณค่า เพื่อใช้เป็นจุดคานงัดในการก้าวพ้นกับดัก และปรับเปลี่ยนไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในโลกที่หนึ่ง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts