• BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ

    BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่

    Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น

    Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การเปิดตัว Note Air5 C
    หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา
    รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่
    ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1
    รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี
    เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา

    การเปิดตัว Palma 2 Pro
    ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก
    รองรับ 5G และ Android 15
    ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต
    มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง
    เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง

    เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น
    BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น
    Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด
    รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU
    มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ
    ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99
    อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ
    การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe
    หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง

    https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    📚 BOOX เปิดตัว Note Air5 C และ Palma 2 Pro – อุปกรณ์ ePaper สีใหม่เพื่อการอ่าน เขียน และเชื่อมต่ออย่างอิสระ BOOX ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี E Ink เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ Note Air5 C และ Palma 2 Pro ซึ่งเป็น ePaper สีรุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อการอ่าน เขียน และทำงานแบบพกพา โดยทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอ Kaleido 3 ที่แสดงสีได้อย่างนุ่มนวลและสบายตา พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ Note Air5 C เป็นแท็บเล็ตขนาด 10.3 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อคีย์บอร์ดผ่านแม่เหล็ก มีระบบ Android 15 และปากกา Pen3 รุ่นใหม่ที่ให้สัมผัสเหมือนเขียนบนกระดาษจริง รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอและมีไฟหน้าปรับโทนสีได้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักเขียน และมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์จดบันทึกที่ยืดหยุ่น Palma 2 Pro เป็นอุปกรณ์ขนาดพกพา 6.13 นิ้ว น้ำหนักเพียง 175 กรัม มาพร้อม 5G และระบบ Android 15 เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง รองรับปากกา InkSense Plus และมีฟีเจอร์ปรับแสงอัตโนมัติเพื่อความสบายตา ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BOOX Super Refresh เพื่อการตอบสนองที่รวดเร็ว และมีระบบ Smart Scribe ที่ใช้ AI ช่วยจัดการโน้ตและแผนผังความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การเปิดตัว Note Air5 C ➡️ หน้าจอ Kaleido 3 ขนาด 10.3 นิ้ว แสดงสีได้สบายตา ➡️ รองรับคีย์บอร์ดแม่เหล็กและปากกา Pen3 รุ่นใหม่ ➡️ ระบบ Android 15 และ BOOX Firmware V4.1 ➡️ รองรับการแบ่งหน้าจอและไฟหน้าปรับโทนสี ➡️ เหมาะสำหรับงานจดบันทึกและสร้างสรรค์เนื้อหา ✅ การเปิดตัว Palma 2 Pro ➡️ ขนาด 6.13 นิ้ว น้ำหนัก 175 กรัม พกพาสะดวก ➡️ รองรับ 5G และ Android 15 ➡️ ใช้ปากกา InkSense Plus สำหรับจดโน้ต ➡️ มีไฟหน้าปรับอัตโนมัติตามสภาพแสง ➡️ เหมาะสำหรับการอ่านและจดบันทึกระหว่างเดินทาง ✅ เทคโนโลยีและฟีเจอร์เด่น ➡️ BOOX Super Refresh ช่วยให้การตอบสนองเร็วขึ้น ➡️ Smart Scribe ใช้ AI จัดการโน้ตและแผนผังความคิด ➡️ รองรับการใช้งานแบบ multitasking และ chiplet CPU ➡️ มีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือและหมุนหน้าจออัตโนมัติ ➡️ ดีไซน์กันน้ำแบบ textured พร้อมสี Charcoal Black และ Ivory White ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาค่อนข้างสูง: Note Air5 C เริ่มต้นที่ $499.99 และ Palma 2 Pro ที่ $379.99 ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์มัลติมีเดียเต็มรูปแบบ ⛔ การใช้งานบางฟีเจอร์อาจต้องเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น Smart Scribe ⛔ หน้าจอ E Ink สีอาจไม่เหมาะกับการดูภาพหรือวิดีโอที่ต้องการความคมชัดสูง https://www.techpowerup.com/342185/boox-introduces-new-color-epaper-devices-note-air5-c-and-palma-2-pro
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    BOOX Introduces New Color ePaper Devices: Note Air5 C and Palma 2 Pro
    BOOX, a global leader in E Ink technology and innovation, has announced the launch of two new additions to its product lineup: the Note Air5 C, a 10.3-inch color ePaper tablet designed for light productivity and creativity, and the Palma 2 Pro, a 6.13-inch color mobile ePaper device that brings true...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen

    ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen!

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว

    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA
    ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์
    สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้
    พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน
    ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ
    ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA

    นักวิจัยที่ค้นพบ
    Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli
    ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025
    FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์

    ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation
    ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum
    แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน
    รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์
    การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation
    การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment
    ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล
    หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง
    ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time

    https://ian.sh/fia
    🏎️ เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen! ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ➡️ ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ ➡️ สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้ ✅ ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน ➡️ ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ ➡️ ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA ✅ นักวิจัยที่ค้นพบ ➡️ Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli ➡️ ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025 ➡️ FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์ ✅ ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation ➡️ ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum ➡️ แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน ➡️ รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์ ⛔ การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation ⛔ การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment ⛔ ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง ⛔ ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time https://ian.sh/fia
    IAN.SH
    Hacking Formula 1: Accessing Max Verstappen's passport and PII through FIA bugs
    We found vulnerabilities in the FIA's Driver Categorisation platform, allowing us to access PII and password hashes of any racing driver with a categorisation rating.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta ปรับโครงสร้าง AI ครั้งใหญ่ – ปลด 600 ตำแหน่ง FAIR พร้อมเร่งสร้างทีม Superintelligence”

    Meta กำลังปรับทิศทางการพัฒนา AI ครั้งใหญ่ โดยประกาศปลดพนักงานกว่า 600 คน จากแผนก Fundamental AI Research (FAIR) และฝ่ายผลิตภัณฑ์ AI กับโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะดูเหมือนถอยหลัง แต่จริง ๆ แล้ว Meta กำลัง “เร่งเครื่อง” ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการสร้าง ทีม Superintelligence ภายใต้ชื่อ TBD Lab

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta ลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัท Scale AI และดึงตัว CEO Alexandr Wang เข้ามาเป็นหัวหน้าทีม AI ของบริษัท โดยเขาได้ประกาศว่าจะนำไอเดียจาก FAIR ไปต่อยอดในโมเดลขนาดใหญ่ของ TBD Lab

    การปลดพนักงานครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุน แต่เป็นการปรับโฟกัสใหม่ให้แต่ละคนมี “ภาระงานที่ชัดเจนและมีผลกระทบมากขึ้น” ตามคำกล่าวของ Wang ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบ startup ที่เน้นความคล่องตัวและผลลัพธ์

    แม้ FAIR เคยเป็นหัวใจของงานวิจัย AI ระดับโลก เช่นการพัฒนา PyTorch และโมเดลภาษา LLaMA แต่ในยุคที่ AI เชิงผลิตภัณฑ์และโมเดลขนาดใหญ่กลายเป็นจุดแข่งหลักของบริษัทเทคโนโลยี Meta จึงเลือกเดินหน้าสร้างทีมใหม่ที่เน้นการ “รวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง”

    พนักงานที่ได้รับผลกระทบสามารถสมัครตำแหน่งอื่นภายในบริษัทได้ และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณว่า Meta กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ที่เน้น “ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ” มากกว่าการทดลองเชิงวิชาการ

    การปรับโครงสร้างของ Meta
    ปลดพนักงานกว่า 600 คนจาก FAIR และฝ่าย AI Infrastructure
    สร้างทีมใหม่ชื่อ TBD Lab เพื่อพัฒนา Superintelligence
    นำไอเดียจาก FAIR ไปใช้ในโมเดลขนาดใหญ่
    พนักงานที่ถูกปลดสามารถสมัครตำแหน่งอื่นในบริษัทได้

    การลงทุนและการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
    Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI
    ดึง Alexandr Wang เป็นหัวหน้าทีม AI
    หยุดการจ้างงานชั่วคราวก่อนประกาศปรับโครงสร้าง
    เน้นการรวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์

    ความเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ FAIR
    FAIR เคยเป็นผู้นำด้านงานวิจัย เช่น PyTorch และ LLaMA
    ผู้นำ FAIR Joelle Pineau ลาออกเมื่อต้นปี
    งานวิจัยจาก FAIR จะถูกนำไป scale ใน TBD Lab
    Meta เน้นให้แต่ละคนมีภาระงานที่มีผลกระทบมากขึ้น

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การลดขนาดทีมวิจัยอาจทำให้ Meta สูญเสียความได้เปรียบด้านนวัตกรรม
    การเน้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจอาจลดความหลากหลายของงานวิจัยพื้นฐาน
    การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจกระทบขวัญกำลังใจของทีมงาน
    การรวมงานวิจัยเข้ากับผลิตภัณฑ์ต้องใช้การจัดการที่รอบคอบ
    หาก TBD Lab ล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Meta ในวงการ AI

    https://www.theverge.com/news/804253/meta-ai-research-layoffs-fair-superintelligence
    🧠 “Meta ปรับโครงสร้าง AI ครั้งใหญ่ – ปลด 600 ตำแหน่ง FAIR พร้อมเร่งสร้างทีม Superintelligence” Meta กำลังปรับทิศทางการพัฒนา AI ครั้งใหญ่ โดยประกาศปลดพนักงานกว่า 600 คน จากแผนก Fundamental AI Research (FAIR) และฝ่ายผลิตภัณฑ์ AI กับโครงสร้างพื้นฐาน แม้จะดูเหมือนถอยหลัง แต่จริง ๆ แล้ว Meta กำลัง “เร่งเครื่อง” ไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการสร้าง ทีม Superintelligence ภายใต้ชื่อ TBD Lab การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Meta ลงทุนกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัท Scale AI และดึงตัว CEO Alexandr Wang เข้ามาเป็นหัวหน้าทีม AI ของบริษัท โดยเขาได้ประกาศว่าจะนำไอเดียจาก FAIR ไปต่อยอดในโมเดลขนาดใหญ่ของ TBD Lab การปลดพนักงานครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุน แต่เป็นการปรับโฟกัสใหม่ให้แต่ละคนมี “ภาระงานที่ชัดเจนและมีผลกระทบมากขึ้น” ตามคำกล่าวของ Wang ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบ startup ที่เน้นความคล่องตัวและผลลัพธ์ แม้ FAIR เคยเป็นหัวใจของงานวิจัย AI ระดับโลก เช่นการพัฒนา PyTorch และโมเดลภาษา LLaMA แต่ในยุคที่ AI เชิงผลิตภัณฑ์และโมเดลขนาดใหญ่กลายเป็นจุดแข่งหลักของบริษัทเทคโนโลยี Meta จึงเลือกเดินหน้าสร้างทีมใหม่ที่เน้นการ “รวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริง” พนักงานที่ได้รับผลกระทบสามารถสมัครตำแหน่งอื่นภายในบริษัทได้ และการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นสัญญาณว่า Meta กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ที่เน้น “ผลลัพธ์เชิงธุรกิจ” มากกว่าการทดลองเชิงวิชาการ ✅ การปรับโครงสร้างของ Meta ➡️ ปลดพนักงานกว่า 600 คนจาก FAIR และฝ่าย AI Infrastructure ➡️ สร้างทีมใหม่ชื่อ TBD Lab เพื่อพัฒนา Superintelligence ➡️ นำไอเดียจาก FAIR ไปใช้ในโมเดลขนาดใหญ่ ➡️ พนักงานที่ถูกปลดสามารถสมัครตำแหน่งอื่นในบริษัทได้ ✅ การลงทุนและการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ➡️ Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI ➡️ ดึง Alexandr Wang เป็นหัวหน้าทีม AI ➡️ หยุดการจ้างงานชั่วคราวก่อนประกาศปรับโครงสร้าง ➡️ เน้นการรวมงานวิจัยเข้ากับการใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ ✅ ความเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ FAIR ➡️ FAIR เคยเป็นผู้นำด้านงานวิจัย เช่น PyTorch และ LLaMA ➡️ ผู้นำ FAIR Joelle Pineau ลาออกเมื่อต้นปี ➡️ งานวิจัยจาก FAIR จะถูกนำไป scale ใน TBD Lab ➡️ Meta เน้นให้แต่ละคนมีภาระงานที่มีผลกระทบมากขึ้น ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การลดขนาดทีมวิจัยอาจทำให้ Meta สูญเสียความได้เปรียบด้านนวัตกรรม ⛔ การเน้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจอาจลดความหลากหลายของงานวิจัยพื้นฐาน ⛔ การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจกระทบขวัญกำลังใจของทีมงาน ⛔ การรวมงานวิจัยเข้ากับผลิตภัณฑ์ต้องใช้การจัดการที่รอบคอบ ⛔ หาก TBD Lab ล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Meta ในวงการ AI https://www.theverge.com/news/804253/meta-ai-research-layoffs-fair-superintelligence
    WWW.THEVERGE.COM
    Meta is axing 600 roles across its AI division
    But Meta is still hiring for its team tasked with achieving superintelligence, according to a report from Axios.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 37 ล้านคอร์ – จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลด้วย AI!”

    จีนประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการจำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุล ด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Sunway ที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์! ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการผสานพลังของ AI เข้ากับการคำนวณเชิงควอนตัม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรสูงมาก

    ทีมวิจัยจาก National Research Center of Parallel Computer Engineering & Technology (NRCPC) ใช้ Sunway supercomputer ในการจำลองปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนระดับอะตอม โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลและพฤติกรรมควอนตัมได้แม่นยำขึ้น

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ Sunway ใช้สถาปัตยกรรมที่ออกแบบเองทั้งหมด โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก และสามารถประมวลผลได้เร็วกว่าเครื่องระดับ exascale ที่ใช้ GPU แบบทั่วไปหลายเท่า

    การจำลองเคมีควอนตัมระดับนี้มีความสำคัญมากในงานด้านวัสดุศาสตร์ ยา และพลังงาน เพราะสามารถช่วยออกแบบโมเลกุลใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องทดลองในห้องแล็บ ซึ่งลดต้นทุนและเวลาได้มหาศาล

    ความสำเร็จของ Sunway Supercomputer
    ใช้คอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์
    จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลได้สำเร็จ
    ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens
    ประมวลผลเร็วกว่า exascale GPU หลายเท่า
    สถาปัตยกรรมออกแบบเอง ไม่พึ่งเทคโนโลยีตะวันตก

    ความสำคัญของการจำลองเคมีควอนตัม
    ช่วยออกแบบวัสดุใหม่ เช่น ตัวนำยิ่งยวดหรือแบตเตอรี่
    ใช้ในงานด้านเภสัชกรรมเพื่อออกแบบยาใหม่
    ลดต้นทุนและเวลาในการทดลองในห้องแล็บ
    เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์พฤติกรรมโมเลกุล
    เป็นก้าวสำคัญในการรวม AI เข้ากับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    การจำลองเคมีควอนตัมต้องใช้พลังงานมหาศาล
    โมเดล AI ขนาดใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำในบางบริบท
    การพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดอาจขาดความร่วมมือจากนานาชาติ
    ผลลัพธ์จากการจำลองยังต้องตรวจสอบกับการทดลองจริง
    การใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับนี้ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/china-supercomputer-breakthrough-models-complex-quantum-chemistry-at-molecular-scale-37-million-processor-cores-fuse-ai-and-quantum-science
    🧬 “จีนสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 37 ล้านคอร์ – จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลด้วย AI!” จีนประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการจำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุล ด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Sunway ที่มีจำนวนคอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์! ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการผสานพลังของ AI เข้ากับการคำนวณเชิงควอนตัม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรสูงมาก ทีมวิจัยจาก National Research Center of Parallel Computer Engineering & Technology (NRCPC) ใช้ Sunway supercomputer ในการจำลองปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนระดับอะตอม โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลและพฤติกรรมควอนตัมได้แม่นยำขึ้น สิ่งที่น่าทึ่งคือ Sunway ใช้สถาปัตยกรรมที่ออกแบบเองทั้งหมด โดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก และสามารถประมวลผลได้เร็วกว่าเครื่องระดับ exascale ที่ใช้ GPU แบบทั่วไปหลายเท่า การจำลองเคมีควอนตัมระดับนี้มีความสำคัญมากในงานด้านวัสดุศาสตร์ ยา และพลังงาน เพราะสามารถช่วยออกแบบโมเลกุลใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องทดลองในห้องแล็บ ซึ่งลดต้นทุนและเวลาได้มหาศาล ✅ ความสำเร็จของ Sunway Supercomputer ➡️ ใช้คอร์ประมวลผลมากถึง 37 ล้านคอร์ ➡️ จำลองเคมีควอนตัมระดับโมเลกุลได้สำเร็จ ➡️ ใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ที่มี context ยาวถึง 20,000 tokens ➡️ ประมวลผลเร็วกว่า exascale GPU หลายเท่า ➡️ สถาปัตยกรรมออกแบบเอง ไม่พึ่งเทคโนโลยีตะวันตก ✅ ความสำคัญของการจำลองเคมีควอนตัม ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุใหม่ เช่น ตัวนำยิ่งยวดหรือแบตเตอรี่ ➡️ ใช้ในงานด้านเภสัชกรรมเพื่อออกแบบยาใหม่ ➡️ ลดต้นทุนและเวลาในการทดลองในห้องแล็บ ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์พฤติกรรมโมเลกุล ➡️ เป็นก้าวสำคัญในการรวม AI เข้ากับวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ การจำลองเคมีควอนตัมต้องใช้พลังงานมหาศาล ⛔ โมเดล AI ขนาดใหญ่ยังมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำในบางบริบท ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดอาจขาดความร่วมมือจากนานาชาติ ⛔ ผลลัพธ์จากการจำลองยังต้องตรวจสอบกับการทดลองจริง ⛔ การใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับนี้ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/china-supercomputer-breakthrough-models-complex-quantum-chemistry-at-molecular-scale-37-million-processor-cores-fuse-ai-and-quantum-science
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แร็ค 21 นิ้วกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของดาต้าเซ็นเตอร์ — รับยุค AI ที่ต้องการพลังงานและความเย็นมากขึ้น” — เมื่อโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ยุคใหม่ที่หนาแน่นและร้อนแรงกว่าเดิม

    รายงานจาก TechRadar เผยว่าแร็คขนาด 21 นิ้ว (หรือ 51 มม. ต่อหน่วย) กำลังจะเข้ามาแทนที่แร็คขนาด 19 นิ้วแบบดั้งเดิมในดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์และ AI ขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Amazon, Google, Meta, Huawei และ Oracle

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากความต้องการด้านโครงสร้างที่สูงขึ้นในยุค AI ซึ่งต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีการจัดสายเคเบิลหนาแน่น, ระบบระบายความร้อนแบบน้ำ, และการจ่ายไฟที่มากขึ้น แร็คขนาด 21 นิ้วช่วยให้ติดตั้งพัดลมขนาดใหญ่ขึ้น, เพิ่ม airflow, และจัดวางระบบจ่ายไฟได้ดีขึ้น

    ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์อย่าง Dell และ HPE กำลังเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน Open Rack และระบบ DC-MHS (Data Center Modular Hardware System) ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการ compute และ storage แบบ rack-scale ได้

    รายงานจาก Omdia คาดว่าแร็คขนาด 21 นิ้วจะครองตลาดมากกว่า 70% ภายในปี 2030 และยอดขายแร็คจะเติบโตเร็วกว่ายอดขายเซิร์ฟเวอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

    แร็คขนาด 21 นิ้วกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในดาต้าเซ็นเตอร์
    แทนที่แร็คขนาด 19 นิ้วแบบเดิมภายในปี 2030

    ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้แร็ค 21 นิ้วแล้ว
    เช่น Microsoft, Amazon, Google, Meta, Huawei และ Oracle

    Dell และ HPE สนับสนุนมาตรฐาน Open Rack และ DC-MHS
    เพื่อจัดการ compute และ storage แบบ rack-scale

    แร็คขนาดใหญ่ช่วยเพิ่ม airflow และติดตั้งพัดลมขนาดใหญ่ขึ้น
    รองรับเซิร์ฟเวอร์ที่ร้อนและใช้พลังงานสูงในยุค AI

    Omdia คาดว่าแร็ค 21 นิ้วจะครองตลาดมากกว่า 70% ภายในปี 2030
    และยอดขายแร็คจะเติบโตเร็วกว่ายอดขายเซิร์ฟเวอร์

    Wiwynn ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่กำลังขยายกำลังการผลิต
    เพื่อตอบสนองความต้องการของ hyperscaler ด้าน AI

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/when-51mm-is-all-you-need-supersized-21-inch-racks-to-become-standard-for-enterprise-and-cloud-service-providers-by-end-of-the-decade-displacing-the-venerable-19-inch-format
    📦 “แร็ค 21 นิ้วกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของดาต้าเซ็นเตอร์ — รับยุค AI ที่ต้องการพลังงานและความเย็นมากขึ้น” — เมื่อโครงสร้างพื้นฐานต้องปรับตัวเพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ยุคใหม่ที่หนาแน่นและร้อนแรงกว่าเดิม รายงานจาก TechRadar เผยว่าแร็คขนาด 21 นิ้ว (หรือ 51 มม. ต่อหน่วย) กำลังจะเข้ามาแทนที่แร็คขนาด 19 นิ้วแบบดั้งเดิมในดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์และ AI ขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Amazon, Google, Meta, Huawei และ Oracle การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากความต้องการด้านโครงสร้างที่สูงขึ้นในยุค AI ซึ่งต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีการจัดสายเคเบิลหนาแน่น, ระบบระบายความร้อนแบบน้ำ, และการจ่ายไฟที่มากขึ้น แร็คขนาด 21 นิ้วช่วยให้ติดตั้งพัดลมขนาดใหญ่ขึ้น, เพิ่ม airflow, และจัดวางระบบจ่ายไฟได้ดีขึ้น ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์อย่าง Dell และ HPE กำลังเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน Open Rack และระบบ DC-MHS (Data Center Modular Hardware System) ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการ compute และ storage แบบ rack-scale ได้ รายงานจาก Omdia คาดว่าแร็คขนาด 21 นิ้วจะครองตลาดมากกว่า 70% ภายในปี 2030 และยอดขายแร็คจะเติบโตเร็วกว่ายอดขายเซิร์ฟเวอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ✅ แร็คขนาด 21 นิ้วกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ แทนที่แร็คขนาด 19 นิ้วแบบเดิมภายในปี 2030 ✅ ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่เริ่มเปลี่ยนมาใช้แร็ค 21 นิ้วแล้ว ➡️ เช่น Microsoft, Amazon, Google, Meta, Huawei และ Oracle ✅ Dell และ HPE สนับสนุนมาตรฐาน Open Rack และ DC-MHS ➡️ เพื่อจัดการ compute และ storage แบบ rack-scale ✅ แร็คขนาดใหญ่ช่วยเพิ่ม airflow และติดตั้งพัดลมขนาดใหญ่ขึ้น ➡️ รองรับเซิร์ฟเวอร์ที่ร้อนและใช้พลังงานสูงในยุค AI ✅ Omdia คาดว่าแร็ค 21 นิ้วจะครองตลาดมากกว่า 70% ภายในปี 2030 ➡️ และยอดขายแร็คจะเติบโตเร็วกว่ายอดขายเซิร์ฟเวอร์ ✅ Wiwynn ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์รายใหญ่กำลังขยายกำลังการผลิต ➡️ เพื่อตอบสนองความต้องการของ hyperscaler ด้าน AI https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/when-51mm-is-all-you-need-supersized-21-inch-racks-to-become-standard-for-enterprise-and-cloud-service-providers-by-end-of-the-decade-displacing-the-venerable-19-inch-format
    WWW.TECHRADAR.COM
    The transition to 21-inch Open Rack designs gathers momentum
    Hyperscalers are turning to wider Open Rack designs for AI expansion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่

    หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม

    ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น:

    เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง
    ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping
    เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า
    ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering

    ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer

    ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
    ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield
    เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping
    เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป)
    เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา
    ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก
    เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter

    ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub

    https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    🏎️ “SuperTuxKart 1.5 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ — ปรับกราฟิก, เพิ่ม Egg Hunt และอำลา Story Mode 1.x” — เมื่อเกมแข่งรถโอเพ่นซอร์สสุดคลาสสิกกลับมาอีกครั้ง พร้อมอัปเกรดครั้งใหญ่ หลังจากห่างหายไปนานกว่า 3 ปี SuperTuxKart 1.5 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านกราฟิก, ฟีเจอร์, และระบบการเล่น โดยเฉพาะการอำลา Story Mode เวอร์ชัน 1.x เพื่อเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ของเกม หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ “Egg Hunt” ที่เพิ่มเข้ามาใน 3 สนามใหม่ ได้แก่ Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine ซึ่งเป็นโหมดเล่นสนุกที่ให้ผู้เล่นตามหาไข่ที่ซ่อนอยู่ในสนาม ด้านกราฟิกมีการปรับปรุงหลายจุด เช่น: 🎗️ เพิ่ม SSAA และ Percentage-Closer Soft Shadows สำหรับ GPU แรง 🎗️ ปรับปรุง Vulkan renderer และ Cascaded Shadow Mapping 🎗️ เพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่สำหรับผู้ใช้ไดรเวอร์วิดีโอรุ่นเก่า 🎗️ ปรับคุณภาพภาพใน preset ต่ำและกลางให้ดีขึ้นด้วย anisotropic filtering ระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยผู้เล่นสามารถควบคุมระดับเสียงได้ละเอียดขึ้น และมีเพลงใหม่สำหรับสนาม Las Dunas Arena และ Las Dunas Soccer ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ: 🛻 ปรับปรุง animation ของ parachute และ bubblegum shield 🛻 เพิ่ม spotlight และ LoD settings เพื่อลดปัญหา popping 🛻 เพิ่มการตั้งค่า FPS สูงสุดในเกม (ไม่จำกัดแค่ 120 FPS บน PC หรือ 30 FPS บน Android อีกต่อไป) 🛻 เพิ่มฟอนต์ใหม่เพื่อรองรับหลายภาษา 🛻 ปรับปรุงระบบ Follow-The-Leader ด้วยเสียงและสีเตือนก่อนถูกคัดออก 🛻 เพิ่ม smooth scrolling สำหรับ Irrlicht และปรับปรุง framerate limiter ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลด SuperTuxKart 1.5 ได้แล้วทั้งบนระบบ 64-bit และ ARM64 สำหรับ Linux ผ่าน GitHub หรือ Flathub https://9to5linux.com/supertuxkart-1-5-open-source-kart-racing-game-released-with-major-changes
    9TO5LINUX.COM
    SuperTuxKart 1.5 Open-Source Kart Racing Game Released with Major Changes - 9to5Linux
    SuperTuxKart 1.5 free and open-source kart racing game is now available for download as a major update with new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Captery Ultra: แบตเตอรี่ AA ที่ชาร์จไว ใช้ได้นานหลายสิบปี และเป็นมิตรต่อโลก”

    ลองจินตนาการว่าแบตเตอรี่ AA ที่คุณใช้ในรีโมทหรือคีย์บอร์ดไร้สาย สามารถชาร์จเต็มในเวลาแค่ 160 วินาที ใช้ได้นานหลายสิบปี และไม่สร้างขยะพิษให้โลก—นี่คือสิ่งที่สตาร์ทอัพจากอิตาลีชื่อ Captery กำลังทำให้เป็นจริง

    Captery Ultra คือแบตเตอรี่ AA และ AAA ที่ใช้เทคโนโลยี “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” แทนเคมีแบบดั้งเดิมอย่างลิเธียมหรือนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ซึ่งทำให้สามารถชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า และเสื่อมสภาพช้ากว่ามาก เพราะใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ไม่ใช่เคมี

    ที่น่าสนใจคือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่นี้อยู่ที่ 3.2V ซึ่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่าน AA สองก้อน และยังมีอุปกรณ์เสริมชื่อ “Bridge” ที่ช่วยให้ใช้งานร่วมกับถ่านเก่าได้อย่างสมดุล

    แม้จะยังอยู่ในช่วงระดมทุนผ่าน Kickstarter แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว และมีชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) ที่รวมแบตเตอรี่ AA, AAA, เครื่องชาร์จ S-Charge Plus และอุปกรณ์ Bridge พร้อมจัดส่งทั่วโลก

    เทคโนโลยีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้พลังงานแบบพกพาในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่โลกต้องการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น

    เทคโนโลยีซุปเปอร์คาปาซิเตอร์
    ใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ทำให้ชาร์จเร็วและเสื่อมช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป
    ชาร์จเต็มใน 160 วินาที และใช้งานได้นานหลายสิบปี
    ชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า

    ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
    วัสดุที่ใช้มีความยั่งยืนมากกว่าถ่านทั่วไปถึง 90%
    ลดการสร้างขยะพิษจากแบตเตอรี่ที่ทิ้งปีละหลายพันล้านก้อน

    การใช้งานและอุปกรณ์เสริม
    แรงดันไฟฟ้า 3.2V ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องการถ่าน AA สองก้อน
    ใช้กับรีโมท, คีย์บอร์ดไร้สาย, ของเล่น และอุปกรณ์ทั่วไป
    มีอุปกรณ์ “Bridge” สำหรับใช้งานร่วมกับถ่านเก่า
    เครื่องชาร์จ S-Charge Plus รองรับทั้ง AA และ AAA พร้อมอะแดปเตอร์

    การระดมทุนและการจัดจำหน่าย
    ระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายแล้ว
    ชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) พร้อมจัดส่งทั่วโลก
    วางแผนผลิตรุ่น 1.5V สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่านก้อนเดียว

    https://www.techradar.com/pro/this-tiny-startup-wants-to-produce-the-worlds-best-aa-battery-capterys-supercapacitor-recharges-in-160-seconds-pollutes-less-and-can-last-decades-and-i-want-one
    🔋 “Captery Ultra: แบตเตอรี่ AA ที่ชาร์จไว ใช้ได้นานหลายสิบปี และเป็นมิตรต่อโลก” ลองจินตนาการว่าแบตเตอรี่ AA ที่คุณใช้ในรีโมทหรือคีย์บอร์ดไร้สาย สามารถชาร์จเต็มในเวลาแค่ 160 วินาที ใช้ได้นานหลายสิบปี และไม่สร้างขยะพิษให้โลก—นี่คือสิ่งที่สตาร์ทอัพจากอิตาลีชื่อ Captery กำลังทำให้เป็นจริง Captery Ultra คือแบตเตอรี่ AA และ AAA ที่ใช้เทคโนโลยี “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” แทนเคมีแบบดั้งเดิมอย่างลิเธียมหรือนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ ซึ่งทำให้สามารถชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า และเสื่อมสภาพช้ากว่ามาก เพราะใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ไม่ใช่เคมี ที่น่าสนใจคือแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่นี้อยู่ที่ 3.2V ซึ่งเพียงพอสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่าน AA สองก้อน และยังมีอุปกรณ์เสริมชื่อ “Bridge” ที่ช่วยให้ใช้งานร่วมกับถ่านเก่าได้อย่างสมดุล แม้จะยังอยู่ในช่วงระดมทุนผ่าน Kickstarter แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว และมีชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) ที่รวมแบตเตอรี่ AA, AAA, เครื่องชาร์จ S-Charge Plus และอุปกรณ์ Bridge พร้อมจัดส่งทั่วโลก เทคโนโลยีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้พลังงานแบบพกพาในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่โลกต้องการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น ✅ เทคโนโลยีซุปเปอร์คาปาซิเตอร์ ➡️ ใช้กระบวนการทางกายภาพในการเก็บพลังงาน ทำให้ชาร์จเร็วและเสื่อมช้ากว่าแบตเตอรี่ทั่วไป ➡️ ชาร์จเต็มใน 160 วินาที และใช้งานได้นานหลายสิบปี ➡️ ชาร์จซ้ำได้มากกว่าถ่านทั่วไปถึง 500 เท่า ✅ ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ➡️ วัสดุที่ใช้มีความยั่งยืนมากกว่าถ่านทั่วไปถึง 90% ➡️ ลดการสร้างขยะพิษจากแบตเตอรี่ที่ทิ้งปีละหลายพันล้านก้อน ✅ การใช้งานและอุปกรณ์เสริม ➡️ แรงดันไฟฟ้า 3.2V ใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องการถ่าน AA สองก้อน ➡️ ใช้กับรีโมท, คีย์บอร์ดไร้สาย, ของเล่น และอุปกรณ์ทั่วไป ➡️ มีอุปกรณ์ “Bridge” สำหรับใช้งานร่วมกับถ่านเก่า ➡️ เครื่องชาร์จ S-Charge Plus รองรับทั้ง AA และ AAA พร้อมอะแดปเตอร์ ✅ การระดมทุนและการจัดจำหน่าย ➡️ ระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายแล้ว ➡️ ชุดเริ่มต้นราคา €54 (~$63) พร้อมจัดส่งทั่วโลก ➡️ วางแผนผลิตรุ่น 1.5V สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ถ่านก้อนเดียว https://www.techradar.com/pro/this-tiny-startup-wants-to-produce-the-worlds-best-aa-battery-capterys-supercapacitor-recharges-in-160-seconds-pollutes-less-and-can-last-decades-and-i-want-one
    WWW.TECHRADAR.COM
    Startup Captery proposes quick-charging AA battery with decades of use
    Captery battery even comes with a special, dedicated charger
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • "MSI 16-Pin Adapter ยังคงคร่าการ์ดจอเพิ่มอีก—ผู้ใช้รายล่าสุดเผย GPU พังขณะอยู่ในโหมด Idle"

    ปัญหาการละลายของหัวต่อ 16-pin ยังคงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้ใช้การ์ดจอ MSI โดยเฉพาะรุ่น RTX 5090 Gaming Trio OC ที่มาพร้อมสายแปลง 16-pin แบบปลายเหลือง ล่าสุดมีผู้ใช้ Reddit รายงานว่า GPU ของเขาเสียหายขณะอยู่ในโหมด Idle โดยพบว่าหัวต่อด้านบนของสายแปลงและตัวการ์ดจอมีรอยไหม้และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

    ผู้ใช้รายนี้เชื่อว่าอุปกรณ์เสียหายจากการใช้สายแปลงที่แถมมากับการ์ด ซึ่งเชื่อมต่อกับ PSU รุ่น EVGA SuperNOVA 1000 G+ ผ่านหัวแปลง 3x 8-pin ไปยัง 16-pin ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อที่มีปัญหาเรื่องการกระจายโหลดไฟฟ้า และเคยทำให้ GPU พังมาแล้วหลายกรณี

    แม้จะไม่มีการงอสายหรือปิดฝาเคสที่บีบสาย แต่ปัญหายังคงเกิดขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสายแปลงของ MSI อาจมีข้อบกพร่องด้านการออกแบบหรือใช้มาตรฐานเก่าเกินไป

    รายละเอียดเหตุการณ์ล่าสุด
    ผู้ใช้ Reddit รายงานว่า GPU MSI RTX 5090 Gaming Trio OC พังในโหมด Idle
    พบรอยไหม้ที่หัวต่อ 16-pin และตัวการ์ดจอ
    ใช้สายแปลงที่แถมมากับการ์ด เชื่อมต่อกับ PSU EVGA SuperNOVA 1000 G+

    ปัญหาของสายแปลง 16-pin
    เชื่อมต่อแบบ 3x หรือ 4x 8-pin ไปยัง 16-pin มีปัญหาเรื่องโหลดไฟฟ้า
    สายของ MSI ยังใช้มาตรฐานเก่า ไม่ใช่ 12V-2x6 ที่ใหม่กว่า
    แม้ไม่มีการงอสายหรือบีบเคส แต่ยังเกิดความเสียหาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ GPU รุ่นใหม่
    หลีกเลี่ยงการใช้สายแปลง 16-pin ที่ไม่ได้มาตรฐานใหม่
    ควรใช้สาย 16-pin to 16-pin ที่มาพร้อม PSU โดยตรง
    GPU รุ่นสูงอย่าง RTX 5090 สามารถดึงไฟได้ถึง 600W หากไม่มีการจัดการที่ดี อาจเกิดการละลาย

    ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    ใช้ PSU ที่มีหัวต่อ 12V-2x6 โดยตรง
    ตรวจสอบความแน่นของหัวต่อและการระบายความร้อนในเคส
    หลีกเลี่ยงการใช้สายแปลงที่มาพร้อมกับการ์ด หากมีทางเลือกที่ดีกว่า

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความเข้าใจเรื่อง 12VHPWR และ 12V-2x6
    12VHPWR คือหัวต่อ 16-pin รุ่นแรกที่มีปัญหาเรื่องการละลาย
    12V-2x6 คือมาตรฐานใหม่ที่ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและการกระจายโหลดไฟฟ้า
    ผู้ผลิต PSU เริ่มเปลี่ยนมาใช้หัวต่อแบบใหม่เพื่อรองรับ GPU รุ่นสูง

    https://wccftech.com/msi-16-pin-adapter-keeps-killing-more-gpus-one-more-case-reported/
    "MSI 16-Pin Adapter ยังคงคร่าการ์ดจอเพิ่มอีก—ผู้ใช้รายล่าสุดเผย GPU พังขณะอยู่ในโหมด Idle" ปัญหาการละลายของหัวต่อ 16-pin ยังคงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้ใช้การ์ดจอ MSI โดยเฉพาะรุ่น RTX 5090 Gaming Trio OC ที่มาพร้อมสายแปลง 16-pin แบบปลายเหลือง ล่าสุดมีผู้ใช้ Reddit รายงานว่า GPU ของเขาเสียหายขณะอยู่ในโหมด Idle โดยพบว่าหัวต่อด้านบนของสายแปลงและตัวการ์ดจอมีรอยไหม้และเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผู้ใช้รายนี้เชื่อว่าอุปกรณ์เสียหายจากการใช้สายแปลงที่แถมมากับการ์ด ซึ่งเชื่อมต่อกับ PSU รุ่น EVGA SuperNOVA 1000 G+ ผ่านหัวแปลง 3x 8-pin ไปยัง 16-pin ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อที่มีปัญหาเรื่องการกระจายโหลดไฟฟ้า และเคยทำให้ GPU พังมาแล้วหลายกรณี แม้จะไม่มีการงอสายหรือปิดฝาเคสที่บีบสาย แต่ปัญหายังคงเกิดขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสายแปลงของ MSI อาจมีข้อบกพร่องด้านการออกแบบหรือใช้มาตรฐานเก่าเกินไป ✅ รายละเอียดเหตุการณ์ล่าสุด ➡️ ผู้ใช้ Reddit รายงานว่า GPU MSI RTX 5090 Gaming Trio OC พังในโหมด Idle ➡️ พบรอยไหม้ที่หัวต่อ 16-pin และตัวการ์ดจอ ➡️ ใช้สายแปลงที่แถมมากับการ์ด เชื่อมต่อกับ PSU EVGA SuperNOVA 1000 G+ ✅ ปัญหาของสายแปลง 16-pin ➡️ เชื่อมต่อแบบ 3x หรือ 4x 8-pin ไปยัง 16-pin มีปัญหาเรื่องโหลดไฟฟ้า ➡️ สายของ MSI ยังใช้มาตรฐานเก่า ไม่ใช่ 12V-2x6 ที่ใหม่กว่า ➡️ แม้ไม่มีการงอสายหรือบีบเคส แต่ยังเกิดความเสียหาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ GPU รุ่นใหม่ ⛔ หลีกเลี่ยงการใช้สายแปลง 16-pin ที่ไม่ได้มาตรฐานใหม่ ⛔ ควรใช้สาย 16-pin to 16-pin ที่มาพร้อม PSU โดยตรง ⛔ GPU รุ่นสูงอย่าง RTX 5090 สามารถดึงไฟได้ถึง 600W หากไม่มีการจัดการที่ดี อาจเกิดการละลาย ✅ ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ➡️ ใช้ PSU ที่มีหัวต่อ 12V-2x6 โดยตรง ➡️ ตรวจสอบความแน่นของหัวต่อและการระบายความร้อนในเคส ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้สายแปลงที่มาพร้อมกับการ์ด หากมีทางเลือกที่ดีกว่า 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความเข้าใจเรื่อง 12VHPWR และ 12V-2x6 ➡️ 12VHPWR คือหัวต่อ 16-pin รุ่นแรกที่มีปัญหาเรื่องการละลาย ➡️ 12V-2x6 คือมาตรฐานใหม่ที่ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและการกระจายโหลดไฟฟ้า ➡️ ผู้ผลิต PSU เริ่มเปลี่ยนมาใช้หัวต่อแบบใหม่เพื่อรองรับ GPU รุ่นสูง https://wccftech.com/msi-16-pin-adapter-keeps-killing-more-gpus-one-more-case-reported/
    WCCFTECH.COM
    MSI 16-Pin Adapter Keeps Killing More GPUs; One More Case Reported, Showing GPU Connector Turning Yellow
    A Redditor reveals how his 16-pin connector adapter from MSI got melted and also killed his MSI GeForce RTX 5090 GPU.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • "HyperSpace Trackpad Pro: แทร็คแพดสุดล้ำสำหรับผู้ใช้ Windows ที่อยากได้สัมผัสแบบ Apple"

    Hyper เปิดตัว HyperSpace Trackpad Pro อุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทน Apple Magic Trackpad สำหรับผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะ ด้วยราคาประมาณ $150 และฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่รวมทั้ง haptic feedback, pressure sensitivity และการรองรับ multi-touch gesture แบบเต็มรูปแบบ

    ตัวแทร็คแพดผลิตจาก CNC-aluminum พร้อมพื้นผิวกระจกขัดเรียบ มีขนาด 166.9 x 103.4 x 13 มม. และน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และมีแบตเตอรี่ 1,000mAh ที่ใช้งานได้ถึง 30 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

    จุดเด่นคือระบบ piezo haptic รุ่นที่ 3 ที่ให้ความรู้สึกคลิกทั่วทั้งพื้นผิว พร้อมการปรับความไวของแรงกด และการตั้งค่า deep-click zones ผ่านซอฟต์แวร์ Hydra Connect ซึ่งรองรับโปรไฟล์เฉพาะสำหรับแอปยอดนิยม เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Illustrator, Microsoft Office, Teams และ Figma

    คุณสมบัติหลักของ HyperSpace Trackpad Pro
    รองรับ multi-touch gesture บน Windows อย่างเต็มรูปแบบ
    มี haptic feedback และ pressure sensitivity
    ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อ
    แบตเตอรี่ 1,000mAh ใช้งานได้ ~30 วัน
    ผลิตจาก CNC-aluminum และพื้นผิวกระจกขัดเรียบ

    ระบบสัมผัสและการตั้งค่า
    ใช้ piezo haptic รุ่นที่ 3 ให้คลิกทั่วพื้นผิว
    ปรับความไวของแรงกดได้ตามต้องการ
    มี force sensing matrix สำหรับการตั้งค่า deep-click zones
    ใช้ซอฟต์แวร์ Hydra Connect ตั้งค่าโปรไฟล์เฉพาะแอป

    การใช้งานร่วมกับระบบอื่น
    รองรับ macOS สำหรับการคลิกและนำทางพื้นฐาน
    มีโปรไฟล์สำเร็จรูปสำหรับแอปยอดนิยม
    สามารถตั้งค่า corner shortcuts และ gesture เฉพาะแอป

    การเปิดตัวและราคา
    เปิดให้ pre-order ผ่าน Kickstarter แล้ว
    ราคาเริ่มต้นที่ $109 สำหรับ Super Early Bird
    Creator Pack ราคา $180 มาพร้อม SSD enclosure
    เริ่มจัดส่งในไตรมาสแรกของปี 2026

    https://www.tomshardware.com/peripherals/the-usd150-external-hyperspace-trackpad-pro-is-an-apple-magic-trackpad-alternative-for-windows-users-with-haptic-feedback-and-pressure-sensitivity-crowdfunded-peripheral-ships-in-q1-2026
    🖱️ "HyperSpace Trackpad Pro: แทร็คแพดสุดล้ำสำหรับผู้ใช้ Windows ที่อยากได้สัมผัสแบบ Apple" Hyper เปิดตัว HyperSpace Trackpad Pro อุปกรณ์เสริมใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกแทน Apple Magic Trackpad สำหรับผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะ ด้วยราคาประมาณ $150 และฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่รวมทั้ง haptic feedback, pressure sensitivity และการรองรับ multi-touch gesture แบบเต็มรูปแบบ ตัวแทร็คแพดผลิตจาก CNC-aluminum พร้อมพื้นผิวกระจกขัดเรียบ มีขนาด 166.9 x 103.4 x 13 มม. และน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และมีแบตเตอรี่ 1,000mAh ที่ใช้งานได้ถึง 30 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จุดเด่นคือระบบ piezo haptic รุ่นที่ 3 ที่ให้ความรู้สึกคลิกทั่วทั้งพื้นผิว พร้อมการปรับความไวของแรงกด และการตั้งค่า deep-click zones ผ่านซอฟต์แวร์ Hydra Connect ซึ่งรองรับโปรไฟล์เฉพาะสำหรับแอปยอดนิยม เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Illustrator, Microsoft Office, Teams และ Figma ✅ คุณสมบัติหลักของ HyperSpace Trackpad Pro ➡️ รองรับ multi-touch gesture บน Windows อย่างเต็มรูปแบบ ➡️ มี haptic feedback และ pressure sensitivity ➡️ ใช้ Bluetooth 5.2 เชื่อมต่อ ➡️ แบตเตอรี่ 1,000mAh ใช้งานได้ ~30 วัน ➡️ ผลิตจาก CNC-aluminum และพื้นผิวกระจกขัดเรียบ ✅ ระบบสัมผัสและการตั้งค่า ➡️ ใช้ piezo haptic รุ่นที่ 3 ให้คลิกทั่วพื้นผิว ➡️ ปรับความไวของแรงกดได้ตามต้องการ ➡️ มี force sensing matrix สำหรับการตั้งค่า deep-click zones ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ Hydra Connect ตั้งค่าโปรไฟล์เฉพาะแอป ✅ การใช้งานร่วมกับระบบอื่น ➡️ รองรับ macOS สำหรับการคลิกและนำทางพื้นฐาน ➡️ มีโปรไฟล์สำเร็จรูปสำหรับแอปยอดนิยม ➡️ สามารถตั้งค่า corner shortcuts และ gesture เฉพาะแอป ✅ การเปิดตัวและราคา ➡️ เปิดให้ pre-order ผ่าน Kickstarter แล้ว ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $109 สำหรับ Super Early Bird ➡️ Creator Pack ราคา $180 มาพร้อม SSD enclosure ➡️ เริ่มจัดส่งในไตรมาสแรกของปี 2026 https://www.tomshardware.com/peripherals/the-usd150-external-hyperspace-trackpad-pro-is-an-apple-magic-trackpad-alternative-for-windows-users-with-haptic-feedback-and-pressure-sensitivity-crowdfunded-peripheral-ships-in-q1-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลองใช้ Pop!_OS 24.04 LTS Beta พร้อม COSMIC — เดสก์ท็อปใหม่จาก System76 ที่เริ่มลงตัว” — เมื่อ GNOME ไม่ใช่คำตอบเดียว และ Rust กลายเป็นรากฐานของประสบการณ์ใหม่

    หลังจากรอคอยกันมาหลายปี ในที่สุด System76 ก็ปล่อย public beta ของ Pop!_OS 24.04 LTS ที่มาพร้อม COSMIC — เดสก์ท็อปใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจในปี 2021 ที่จะสร้างระบบของตัวเองแทนการพึ่ง GNOME

    ผู้เขียนทดลองติดตั้งผ่าน ISO สำหรับ NVIDIA บน SSD ภายนอก และพบว่า COSMIC ให้ความรู้สึกสดใหม่แต่ยังคงความคุ้นเคยแบบ GNOME โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น:

    ตัวจัดการ workspace แบบแนวตั้ง (เปลี่ยนเป็นแนวนอนได้)
    Launcher ที่เรียกด้วยปุ่ม Super พร้อม dock ด้านล่าง
    Applets ด้านขวาสำหรับจัดการระบบ เช่น ภาษา, เสียง, แบตเตอรี่ ฯลฯ
    ระบบจัดการหน้าต่างแบบ tiling ที่ “ใช้งานได้จริง” แม้ไม่ยืดหยุ่นเท่า Hyprland
    รองรับ multi-monitor ได้ดีมาก — จำ layout ได้แม้ปิด/เปิดจอใหม่

    ด้านแอป COSMIC Files ให้ความรู้สึกคล้าย Nautilus แต่ลื่นและสะอาดกว่า ส่วน Image Viewer ก็เปิดภาพจากมือถือได้ดี พร้อมแสดง metadata ครบถ้วน

    COSMIC Store รองรับทั้ง DEB และ Flatpak ผ่าน Flathub โดยไม่ต้องใช้ terminal ส่วน COSMIC Player แม้จะมีปัญหาเล่น MP4 แต่ก็ขออนุญาตติดตั้ง codec ได้ทันที ส่วน COSMIC Screenshot ยังไม่มีฟีเจอร์บันทึกวิดีโอ

    การปรับแต่งก็ทำได้หลากหลาย เช่น เปลี่ยน wallpaper, โหมดมืด/สว่าง, สี accent, dock และตำแหน่ง panel รวมถึงการจัดการ workspace

    แม้จะมีข้อบกพร่อง เช่น UI scaling ที่ใหญ่เกินไป, การถ่ายโอนไฟล์ USB ที่ต้องปลดล็อกมือถือ และ OBS Studio ที่ไม่สามารถบันทึกหน้าจอได้ แต่ผู้เขียนมองว่า COSMIC มีความตั้งใจและศักยภาพสูง

    Pop!_OS 24.04 LTS Beta มาพร้อม COSMIC DE ที่เขียนด้วย Rust
    เป็นผลจากการตัดสินใจในปี 2021 ของ System76

    COSMIC มี layout คล้าย GNOME แต่ปรับแต่งได้มากกว่า
    เช่น workspace แนวตั้ง, launcher, dock, applets

    ระบบจัดการหน้าต่างแบบ tiling ใช้งานได้ดี
    รองรับ multi-monitor และจำ layout ได้แม้ปิดจอ

    แอป COSMIC Files และ Image Viewer ใช้งานลื่นและครบ
    รองรับ metadata และไฟล์จากมือถือ

    COSMIC Store รองรับ DEB และ Flatpak ผ่าน Flathub
    ไม่ต้องใช้ terminal ในการติดตั้ง

    COSMIC Screenshot ใช้งานได้ดีแต่ยังไม่มี screen recording
    GNOME มีฟีเจอร์นี้อยู่แล้ว

    ปรับแต่งได้หลากหลายผ่าน Settings > Desktop
    เช่น wallpaper, โหมดมืด/สว่าง, dock, panel, workspace

    ปัญหาที่พบ: UI scaling ใหญ่เกิน, USB ต้องปลดล็อกมือถือ, OBS ใช้งานไม่ได้
    ใช้ Kooha แทนได้

    https://news.itsfoss.com/cosmic-beta/
    🖥️ “ลองใช้ Pop!_OS 24.04 LTS Beta พร้อม COSMIC — เดสก์ท็อปใหม่จาก System76 ที่เริ่มลงตัว” — เมื่อ GNOME ไม่ใช่คำตอบเดียว และ Rust กลายเป็นรากฐานของประสบการณ์ใหม่ หลังจากรอคอยกันมาหลายปี ในที่สุด System76 ก็ปล่อย public beta ของ Pop!_OS 24.04 LTS ที่มาพร้อม COSMIC — เดสก์ท็อปใหม่ที่เขียนด้วยภาษา Rust ซึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจในปี 2021 ที่จะสร้างระบบของตัวเองแทนการพึ่ง GNOME ผู้เขียนทดลองติดตั้งผ่าน ISO สำหรับ NVIDIA บน SSD ภายนอก และพบว่า COSMIC ให้ความรู้สึกสดใหม่แต่ยังคงความคุ้นเคยแบบ GNOME โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น: 💻 ตัวจัดการ workspace แบบแนวตั้ง (เปลี่ยนเป็นแนวนอนได้) 💻 Launcher ที่เรียกด้วยปุ่ม Super พร้อม dock ด้านล่าง 💻 Applets ด้านขวาสำหรับจัดการระบบ เช่น ภาษา, เสียง, แบตเตอรี่ ฯลฯ 💻 ระบบจัดการหน้าต่างแบบ tiling ที่ “ใช้งานได้จริง” แม้ไม่ยืดหยุ่นเท่า Hyprland 💻 รองรับ multi-monitor ได้ดีมาก — จำ layout ได้แม้ปิด/เปิดจอใหม่ ด้านแอป COSMIC Files ให้ความรู้สึกคล้าย Nautilus แต่ลื่นและสะอาดกว่า ส่วน Image Viewer ก็เปิดภาพจากมือถือได้ดี พร้อมแสดง metadata ครบถ้วน COSMIC Store รองรับทั้ง DEB และ Flatpak ผ่าน Flathub โดยไม่ต้องใช้ terminal ส่วน COSMIC Player แม้จะมีปัญหาเล่น MP4 แต่ก็ขออนุญาตติดตั้ง codec ได้ทันที ส่วน COSMIC Screenshot ยังไม่มีฟีเจอร์บันทึกวิดีโอ การปรับแต่งก็ทำได้หลากหลาย เช่น เปลี่ยน wallpaper, โหมดมืด/สว่าง, สี accent, dock และตำแหน่ง panel รวมถึงการจัดการ workspace แม้จะมีข้อบกพร่อง เช่น UI scaling ที่ใหญ่เกินไป, การถ่ายโอนไฟล์ USB ที่ต้องปลดล็อกมือถือ และ OBS Studio ที่ไม่สามารถบันทึกหน้าจอได้ แต่ผู้เขียนมองว่า COSMIC มีความตั้งใจและศักยภาพสูง ✅ Pop!_OS 24.04 LTS Beta มาพร้อม COSMIC DE ที่เขียนด้วย Rust ➡️ เป็นผลจากการตัดสินใจในปี 2021 ของ System76 ✅ COSMIC มี layout คล้าย GNOME แต่ปรับแต่งได้มากกว่า ➡️ เช่น workspace แนวตั้ง, launcher, dock, applets ✅ ระบบจัดการหน้าต่างแบบ tiling ใช้งานได้ดี ➡️ รองรับ multi-monitor และจำ layout ได้แม้ปิดจอ ✅ แอป COSMIC Files และ Image Viewer ใช้งานลื่นและครบ ➡️ รองรับ metadata และไฟล์จากมือถือ ✅ COSMIC Store รองรับ DEB และ Flatpak ผ่าน Flathub ➡️ ไม่ต้องใช้ terminal ในการติดตั้ง ✅ COSMIC Screenshot ใช้งานได้ดีแต่ยังไม่มี screen recording ➡️ GNOME มีฟีเจอร์นี้อยู่แล้ว ✅ ปรับแต่งได้หลากหลายผ่าน Settings > Desktop ➡️ เช่น wallpaper, โหมดมืด/สว่าง, dock, panel, workspace ✅ ปัญหาที่พบ: UI scaling ใหญ่เกิน, USB ต้องปลดล็อกมือถือ, OBS ใช้งานไม่ได้ ➡️ ใช้ Kooha แทนได้ https://news.itsfoss.com/cosmic-beta/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่

    ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว

    ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์:

    NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง

    กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน

    เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

    เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม”

    ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ

    เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด

    มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้

    https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    🎮 “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่ ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว 🔑 ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์: 🎮 NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก 🎮 “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง 🎮 กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน 🎮 เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 🎮 เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม” 🎮 ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ 🎮 เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด 🎮 มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มัลแวร์ปลอมตัวเป็น Comet Browser โผล่บน Google Ads — ผู้ใช้ Perplexity เสี่ยงโดนหลอก” — เมื่อความนิยมของเบราว์เซอร์ AI กลายเป็นช่องทางใหม่ให้แฮ็กเกอร์โจมตี

    หลังจาก Perplexity เปิดตัว Comet Browser ได้ไม่นาน แฮ็กเกอร์ก็ฉวยโอกาสสร้างแคมเปญโฆษณาหลอกบน Google Ads โดยใช้ชื่อและภาพของ Comet Browser เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์

    โฆษณาปลอมเหล่านี้ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา Google โดยใช้โดเมนเช่น cometswift.com และ cometlearn.net ซึ่งเมื่อคลิกเข้าไปจะถูกนำไปยังหน้าเว็บปลอมชื่อ perplexity.page ที่เลียนแบบเว็บไซต์จริงของ Comet Browser อย่างแนบเนียน

    ปุ่มดาวน์โหลดบนหน้าเว็บปลอมจะเชื่อมไปยังไฟล์ชื่อ “comet_latest.msi” ที่ถูกโฮสต์ไว้บน GitHub โดยบัญชีชื่อ “richardsuperman” ซึ่งเมื่อรันแล้วจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ชื่อ icantseeyou.icu และติดตั้งมัลแวร์ชื่อ DarkGate ซึ่งมีความสามารถในการขโมยรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญ

    นักวิจัยจาก DataDome พบว่าแคมเปญนี้มีลักษณะคล้ายกับการโจมตีที่เคยเกิดกับเบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ เช่น Arc โดยใช้เทคนิค malvertising — การใช้โฆษณาเพื่อแพร่กระจายมัลแวร์

    หน้า GitHub ที่ใช้โฮสต์ไฟล์ยังมีโค้ดที่มีคอมเมนต์เป็นภาษารัสเซีย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงต้นทางของผู้พัฒนา

    แฮ็กเกอร์ใช้ Google Ads เพื่อโปรโมตลิงก์ดาวน์โหลดปลอมของ Comet Browser
    โฆษณาปลอมปรากฏเหนือผลการค้นหาจริง

    โดเมนปลอมที่ใช้ ได้แก่ cometswift.com และ cometlearn.net
    นำไปสู่หน้าเว็บปลอมชื่อ perplexity.page

    ไฟล์มัลแวร์ชื่อ comet_latest.msi ถูกโฮสต์บน GitHub
    บัญชีผู้ใช้ชื่อ “richardsuperman”

    มัลแวร์เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม icantseeyou.icu
    ติดตั้ง DarkGate ซึ่งขโมยรหัสผ่านและข้อมูล

    นักวิจัยจาก DataDome เป็นผู้ค้นพบแคมเปญนี้
    พบว่าเป็น malvertising คล้ายกับที่เคยโจมตี Arc Browser

    โค้ดใน GitHub มีคอมเมนต์ภาษารัสเซีย
    อาจบ่งบอกถึงต้นทางของผู้พัฒนา

    https://hackread.com/perplexity-comet-browser-download-ads-malware-google/
    🚨 “มัลแวร์ปลอมตัวเป็น Comet Browser โผล่บน Google Ads — ผู้ใช้ Perplexity เสี่ยงโดนหลอก” — เมื่อความนิยมของเบราว์เซอร์ AI กลายเป็นช่องทางใหม่ให้แฮ็กเกอร์โจมตี หลังจาก Perplexity เปิดตัว Comet Browser ได้ไม่นาน แฮ็กเกอร์ก็ฉวยโอกาสสร้างแคมเปญโฆษณาหลอกบน Google Ads โดยใช้ชื่อและภาพของ Comet Browser เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์ โฆษณาปลอมเหล่านี้ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา Google โดยใช้โดเมนเช่น cometswift.com และ cometlearn.net ซึ่งเมื่อคลิกเข้าไปจะถูกนำไปยังหน้าเว็บปลอมชื่อ perplexity.page ที่เลียนแบบเว็บไซต์จริงของ Comet Browser อย่างแนบเนียน ปุ่มดาวน์โหลดบนหน้าเว็บปลอมจะเชื่อมไปยังไฟล์ชื่อ “comet_latest.msi” ที่ถูกโฮสต์ไว้บน GitHub โดยบัญชีชื่อ “richardsuperman” ซึ่งเมื่อรันแล้วจะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ชื่อ icantseeyou.icu และติดตั้งมัลแวร์ชื่อ DarkGate ซึ่งมีความสามารถในการขโมยรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญ นักวิจัยจาก DataDome พบว่าแคมเปญนี้มีลักษณะคล้ายกับการโจมตีที่เคยเกิดกับเบราว์เซอร์ AI อื่น ๆ เช่น Arc โดยใช้เทคนิค malvertising — การใช้โฆษณาเพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ หน้า GitHub ที่ใช้โฮสต์ไฟล์ยังมีโค้ดที่มีคอมเมนต์เป็นภาษารัสเซีย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงต้นทางของผู้พัฒนา ✅ แฮ็กเกอร์ใช้ Google Ads เพื่อโปรโมตลิงก์ดาวน์โหลดปลอมของ Comet Browser ➡️ โฆษณาปลอมปรากฏเหนือผลการค้นหาจริง ✅ โดเมนปลอมที่ใช้ ได้แก่ cometswift.com และ cometlearn.net ➡️ นำไปสู่หน้าเว็บปลอมชื่อ perplexity.page ✅ ไฟล์มัลแวร์ชื่อ comet_latest.msi ถูกโฮสต์บน GitHub ➡️ บัญชีผู้ใช้ชื่อ “richardsuperman” ✅ มัลแวร์เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม icantseeyou.icu ➡️ ติดตั้ง DarkGate ซึ่งขโมยรหัสผ่านและข้อมูล ✅ นักวิจัยจาก DataDome เป็นผู้ค้นพบแคมเปญนี้ ➡️ พบว่าเป็น malvertising คล้ายกับที่เคยโจมตี Arc Browser ✅ โค้ดใน GitHub มีคอมเมนต์ภาษารัสเซีย ➡️ อาจบ่งบอกถึงต้นทางของผู้พัฒนา https://hackread.com/perplexity-comet-browser-download-ads-malware-google/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Asus เปิดขาย Ascent GX10 เดสก์ท็อป AI พลัง 1 เพตาฟลอป ก่อน Dell Pro Max GB10” — เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ย่อส่วนมาถึงมือคุณ

    ในขณะที่ Dell ยังไม่เปิดให้สั่งซื้อเวิร์กสเตชัน AI รุ่น Pro Max GB10 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 ของ Nvidia แต่ Asus กลับชิงเปิดตัวและวางจำหน่าย Ascent GX10 ซึ่งใช้ฮาร์ดแวร์เดียวกัน พร้อมส่งถึงมือผู้ซื้อภายในไม่กี่วัน

    Ascent GX10 เป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กที่ให้พลังประมวลผลระดับศูนย์ข้อมูล ด้วยชิป GB10 ที่รวม CPU และ GPU เข้าด้วยกันบนสถาปัตยกรรม Grace Blackwell ให้พลังสูงสุดถึง 1 เพตาฟลอป (FP4) พร้อมหน่วยความจำ unified LPDDR5x ขนาด 128GB รองรับโมเดล AI ขนาดสูงสุด 200 พันล้านพารามิเตอร์

    เครื่องนี้มีขนาดเพียง 150 มม. x 150 มม. x 51 มม. น้ำหนัก 1.48 กก. แต่มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB-C 180W PD, HDMI 2.1, Wi-Fi 7, Bluetooth 5 และ 10G Ethernet พร้อมระบบระบายความร้อนขั้นสูง และรองรับการเชื่อมต่อแบบ dual-system stacking ผ่าน NVLink-C2C และ ConnectX-7

    Asus วางจำหน่ายผ่าน Viperatech ในราคา $4,100 โดยเน้นกลุ่มนักพัฒนา AI ที่ต้องการพลังประมวลผลระดับสูงในขนาดกะทัดรัด

    Asus เปิดขาย Ascent GX10 เดสก์ท็อป AI ที่ใช้ชิป Nvidia GB10
    วางจำหน่ายผ่าน Viperatech ราคา $4,100 พร้อมจัดส่งภายใน 10 วัน

    ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 รวม CPU และ GPU บนสถาปัตยกรรมเดียวกัน
    ให้พลังประมวลผลสูงสุด 1 เพตาฟลอป (FP4)

    มาพร้อมหน่วยความจำ unified LPDDR5x ขนาด 128GB
    รองรับโมเดล AI ขนาดสูงสุด 200 พันล้านพารามิเตอร์

    ขนาดเล็กเพียง 150 x 150 x 51 มม. น้ำหนัก 1.48 กก.
    พกพาสะดวกแต่ทรงพลัง

    พอร์ตเชื่อมต่อครบ: USB-C 180W PD, HDMI 2.1, Wi-Fi 7, 10G Ethernet
    รองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ

    รองรับ dual-system stacking ผ่าน NVLink-C2C และ ConnectX-7
    ขยายการประมวลผลแบบ local ได้

    https://www.techradar.com/pro/you-cant-buy-the-dell-pro-max-gb10-yet-but-you-can-buy-the-asus-ascent-gx10-right-now-for-usd4100-get-nvidias-petaflop-desktop-supercomputer-shipped-within-days
    🖥️ “Asus เปิดขาย Ascent GX10 เดสก์ท็อป AI พลัง 1 เพตาฟลอป ก่อน Dell Pro Max GB10” — เมื่อซูเปอร์คอมพิวเตอร์ย่อส่วนมาถึงมือคุณ ในขณะที่ Dell ยังไม่เปิดให้สั่งซื้อเวิร์กสเตชัน AI รุ่น Pro Max GB10 ที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 ของ Nvidia แต่ Asus กลับชิงเปิดตัวและวางจำหน่าย Ascent GX10 ซึ่งใช้ฮาร์ดแวร์เดียวกัน พร้อมส่งถึงมือผู้ซื้อภายในไม่กี่วัน Ascent GX10 เป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กที่ให้พลังประมวลผลระดับศูนย์ข้อมูล ด้วยชิป GB10 ที่รวม CPU และ GPU เข้าด้วยกันบนสถาปัตยกรรม Grace Blackwell ให้พลังสูงสุดถึง 1 เพตาฟลอป (FP4) พร้อมหน่วยความจำ unified LPDDR5x ขนาด 128GB รองรับโมเดล AI ขนาดสูงสุด 200 พันล้านพารามิเตอร์ เครื่องนี้มีขนาดเพียง 150 มม. x 150 มม. x 51 มม. น้ำหนัก 1.48 กก. แต่มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB-C 180W PD, HDMI 2.1, Wi-Fi 7, Bluetooth 5 และ 10G Ethernet พร้อมระบบระบายความร้อนขั้นสูง และรองรับการเชื่อมต่อแบบ dual-system stacking ผ่าน NVLink-C2C และ ConnectX-7 Asus วางจำหน่ายผ่าน Viperatech ในราคา $4,100 โดยเน้นกลุ่มนักพัฒนา AI ที่ต้องการพลังประมวลผลระดับสูงในขนาดกะทัดรัด ✅ Asus เปิดขาย Ascent GX10 เดสก์ท็อป AI ที่ใช้ชิป Nvidia GB10 ➡️ วางจำหน่ายผ่าน Viperatech ราคา $4,100 พร้อมจัดส่งภายใน 10 วัน ✅ ใช้ชิป Grace Blackwell GB10 รวม CPU และ GPU บนสถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ ให้พลังประมวลผลสูงสุด 1 เพตาฟลอป (FP4) ✅ มาพร้อมหน่วยความจำ unified LPDDR5x ขนาด 128GB ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาดสูงสุด 200 พันล้านพารามิเตอร์ ✅ ขนาดเล็กเพียง 150 x 150 x 51 มม. น้ำหนัก 1.48 กก. ➡️ พกพาสะดวกแต่ทรงพลัง ✅ พอร์ตเชื่อมต่อครบ: USB-C 180W PD, HDMI 2.1, Wi-Fi 7, 10G Ethernet ➡️ รองรับการใช้งานระดับมืออาชีพ ✅ รองรับ dual-system stacking ผ่าน NVLink-C2C และ ConnectX-7 ➡️ ขยายการประมวลผลแบบ local ได้ https://www.techradar.com/pro/you-cant-buy-the-dell-pro-max-gb10-yet-but-you-can-buy-the-asus-ascent-gx10-right-now-for-usd4100-get-nvidias-petaflop-desktop-supercomputer-shipped-within-days
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย

    Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว

    รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว

    ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย

    ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้

    อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995

    ข้อมูลในข่าว
    Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai
    รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์
    ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
    รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger
    พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต
    ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit
    ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก
    ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
    สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก
    รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม
    ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์)

    https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    🚗 “Nissan Leaf 2026” — ครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่กลับมาพร้อมระยะทางไกลขึ้นและดีไซน์ทันสมัย Nissan Leaf รุ่นปี 2026 ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดจดเพื่อแข่งขันกับ Tesla Model 3 และ Hyundai Ioniq 5 โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ภายในกว้างขึ้น และสามารถชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ได้แล้ว รุ่นที่ผู้รีวิวได้ทดลองขับคือ Leaf Platinum+ ซึ่งมีล้อขนาด 19 นิ้ว มาพร้อมแบตเตอรี่ 75 kWh ให้ระยะทางประมาณ 259 ไมล์ แต่หากขับแบบประหยัดพลังงานในโหมด Eco สามารถทำได้ใกล้เคียง 300 ไมล์เลยทีเดียว ด้านสมรรถนะ Leaf ใหม่ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบ แม้จะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่ในโหมด Sport ก็สามารถสร้างความสนุกได้ไม่น้อย ภายในรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต พร้อมระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะแบบ “TailorFit” ที่ให้ความรู้สึกหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม จุดที่น่ากังวลคือราคาของรุ่น Platinum+ ที่สูงถึง $41,930 ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น Chevy Equinox EV ที่มีระยะทางมากกว่าแต่ราคาเริ่มต้นเพียง $31,995 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Leaf 2026 ปรับโฉมใหม่หมดเพื่อแข่งขันกับ Tesla และ Hyundai ➡️ รุ่น Platinum+ มีแบตเตอรี่ 75 kWh ระยะทาง 259–300 ไมล์ ➡️ ใช้มอเตอร์หน้า 214 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ➡️ รองรับการชาร์จผ่าน Tesla Supercharger ➡️ พื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 55.5 ลูกบาศก์ฟุต ➡️ ภายในมีระบบเสียง Bose และวัสดุเบาะ TailorFit ➡️ ระบบขับขี่มีโหมด Eco และ Sport ให้เลือก ➡️ ขับขี่นุ่มนวล เงียบ และตอบสนองดีในเมือง ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ รุ่น Platinum+ มีราคาสูงถึง $41,930 ซึ่งอาจไม่คุ้มเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ⛔ สายชาร์จของ Tesla Supercharger สั้น ต้องจอดใกล้มาก ⛔ รุ่นพื้นฐานอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากไม่ต้องการอุปกรณ์เสริม ⛔ ระยะทางสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรุ่น เช่น Chevy Equinox EV (319 ไมล์) https://www.slashgear.com/1996982/2026-nissan-leaf-review-affordable-ev/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nissan's New 2026 Leaf Finally Delivers On An Old Promise - SlashGear
    Is Nissan's newest Leaf the freshly-crowned king of cheap electric cars?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Supermicro เปิดตัว DCBBS” — โซลูชันสร้างศูนย์ข้อมูลครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว

    Supermicro บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT สำหรับ AI, HPC, Cloud และ 5G ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในชื่อ Data Center Building Block Solutions (DCBBS) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการออกแบบและสร้างศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดเวลาในการออนไลน์ (Time-to-Online) และเพิ่มคุณภาพรวมถึงความสะดวกในการดูแลรักษา

    DCBBS ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลว เครือข่าย และระบบไฟฟ้า โดยทุกชิ้นส่วนจะถูกทดสอบและประกอบในโรงงานของ Supermicro ก่อนส่งมอบ

    ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวของ Supermicro สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม และสามารถรองรับความร้อนจาก GPU และ CPU รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังมีโซลูชันเสริม เช่น ระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง, ระบบแบตเตอรี่สำรอง 48V DC, ระบบจัดการสายเคเบิลและเครือข่าย, รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ Automation Center

    Supermicro ยังเปิดบริการระดับมืออาชีพสำหรับการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมงานที่สามารถให้การสนับสนุนในสถานที่ภายใน 4 ชั่วโมงสำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องสูง

    ข้อมูลในข่าว
    Supermicro เปิดตัว Data Center Building Block Solutions (DCBBS) เป็นธุรกิจใหม่
    ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูลจากผู้ผลิตรายเดียว
    ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวช่วยลดพลังงานได้ถึง 40%
    รองรับ GPU และ CPU รุ่นใหม่ด้วย cold plates ที่ลดความร้อนได้ถึง 98%
    มีระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง และแบตเตอรี่สำรอง 48V DC สำหรับงานสำคัญ
    ซอฟต์แวร์บริหารจัดการครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ SCAC
    บริการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมสนับสนุนในสถานที่

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนมาใช้ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน
    หากไม่มีการจัดการพลังงานและความร้อนที่ดี อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล
    การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านการจัดหาและการซ่อมบำรุง
    การออกแบบศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงในการวางแผนและทดสอบ

    https://www.techpowerup.com/341891/supermicro-introduces-data-center-building-block-solutions
    🏗️ “Supermicro เปิดตัว DCBBS” — โซลูชันสร้างศูนย์ข้อมูลครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว Supermicro บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT สำหรับ AI, HPC, Cloud และ 5G ได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในชื่อ Data Center Building Block Solutions (DCBBS) ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการออกแบบและสร้างศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรจากผู้ผลิตรายเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดเวลาในการออนไลน์ (Time-to-Online) และเพิ่มคุณภาพรวมถึงความสะดวกในการดูแลรักษา DCBBS ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูล ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลว เครือข่าย และระบบไฟฟ้า โดยทุกชิ้นส่วนจะถูกทดสอบและประกอบในโรงงานของ Supermicro ก่อนส่งมอบ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวของ Supermicro สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม และสามารถรองรับความร้อนจาก GPU และ CPU รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโซลูชันเสริม เช่น ระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง, ระบบแบตเตอรี่สำรอง 48V DC, ระบบจัดการสายเคเบิลและเครือข่าย, รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ Automation Center Supermicro ยังเปิดบริการระดับมืออาชีพสำหรับการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมงานที่สามารถให้การสนับสนุนในสถานที่ภายใน 4 ชั่วโมงสำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องสูง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Supermicro เปิดตัว Data Center Building Block Solutions (DCBBS) เป็นธุรกิจใหม่ ➡️ ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของศูนย์ข้อมูลจากผู้ผลิตรายเดียว ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวช่วยลดพลังงานได้ถึง 40% ➡️ รองรับ GPU และ CPU รุ่นใหม่ด้วย cold plates ที่ลดความร้อนได้ถึง 98% ➡️ มีระบบจ่ายไฟ 33kW ต่อชั้นวาง และแบตเตอรี่สำรอง 48V DC สำหรับงานสำคัญ ➡️ ซอฟต์แวร์บริหารจัดการครบวงจร เช่น SuperCloud Composer และ SCAC ➡️ บริการออกแบบและติดตั้งศูนย์ข้อมูล พร้อมทีมสนับสนุนในสถานที่ ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนมาใช้ระบบระบายความร้อนแบบของเหลวต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ หากไม่มีการจัดการพลังงานและความร้อนที่ดี อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล ⛔ การพึ่งพาผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านการจัดหาและการซ่อมบำรุง ⛔ การออกแบบศูนย์ข้อมูลใหม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูงในการวางแผนและทดสอบ https://www.techpowerup.com/341891/supermicro-introduces-data-center-building-block-solutions
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Supermicro Introduces Data Center Building Block Solutions
    Super Micro Computer, Inc. (SMCI), a total IT solution provider for AI/ML, HPC, Cloud, Storage, and 5G/Edge, is announcing the availability of its Data Center Building Block Solutions (DCBBS). These solutions are considered a new business line for Supermicro and enable organizations to design, order...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD และ Oracle ผนึกกำลัง” — เตรียมติดตั้ง 50,000 GPU MI450 สร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ขนาดมหึมาในปี 2026

    AMD และ Oracle ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการสร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ขนาดมหึมา ด้วยการติดตั้ง GPU MI450 Instinct จำนวนถึง 50,000 ตัว โดยใช้สถาปัตยกรรม Helios rack ของ AMD ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับสูงและการขยายตัวในอนาคต

    โครงการนี้จะเริ่มต้นในปี 2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้าน AI ของ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) ให้สามารถรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการฝึกฝน AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Helios rack จะช่วยให้การจัดการพลังงานและการระบายความร้อนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรองรับการบำรุงรักษาได้ง่ายกว่าเดิม

    GPU MI450 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดจาก AMD ที่ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia ในตลาดศูนย์ข้อมูล AI โดยมีจุดเด่นด้านหน่วยความจำที่มากขึ้นและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ซึ่งเหมาะสำหรับงานด้าน deep learning และการประมวลผลแบบกระจาย

    การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานของ Oracle เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังเร่งลงทุนในระบบ AI ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากองค์กรทั่วโลก

    ข้อมูลในข่าว
    AMD และ Oracle ร่วมมือกันติดตั้ง GPU MI450 Instinct จำนวน 50,000 ตัว
    ใช้สถาปัตยกรรม Helios rack ของ AMD เพื่อสร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI
    โครงการจะเริ่มต้นในปี 2026 เพื่อขยาย Oracle Cloud Infrastructure
    Helios rack ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับสูงและการบำรุงรักษาที่ง่าย
    GPU MI450 มีหน่วยความจำมากขึ้นและเชื่อมต่อรวดเร็ว เหมาะกับงาน deep learning
    การลงทุนนี้สะท้อนแนวโน้มการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การติดตั้ง GPU จำนวนมากต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง
    หากระบบระบายความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล
    การแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI อาจทำให้บริษัทต้องเร่งลงทุนโดยไม่ประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ
    การพึ่งพา GPU จากผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-and-oracle-partner-to-deploy-50-000-mi450-instinct-gpus-in-new-ai-superclusters-deployment-of-expansion-set-for-2026-powered-by-amds-helios-rack
    🚀 “AMD และ Oracle ผนึกกำลัง” — เตรียมติดตั้ง 50,000 GPU MI450 สร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ขนาดมหึมาในปี 2026 AMD และ Oracle ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในการสร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ขนาดมหึมา ด้วยการติดตั้ง GPU MI450 Instinct จำนวนถึง 50,000 ตัว โดยใช้สถาปัตยกรรม Helios rack ของ AMD ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับสูงและการขยายตัวในอนาคต โครงการนี้จะเริ่มต้นในปี 2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้าน AI ของ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) ให้สามารถรองรับโมเดลขนาดใหญ่และการฝึกฝน AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Helios rack จะช่วยให้การจัดการพลังงานและการระบายความร้อนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรองรับการบำรุงรักษาได้ง่ายกว่าเดิม GPU MI450 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดจาก AMD ที่ออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Nvidia ในตลาดศูนย์ข้อมูล AI โดยมีจุดเด่นด้านหน่วยความจำที่มากขึ้นและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ซึ่งเหมาะสำหรับงานด้าน deep learning และการประมวลผลแบบกระจาย การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานของ Oracle เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังเร่งลงทุนในระบบ AI ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากองค์กรทั่วโลก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AMD และ Oracle ร่วมมือกันติดตั้ง GPU MI450 Instinct จำนวน 50,000 ตัว ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Helios rack ของ AMD เพื่อสร้างซูเปอร์คลัสเตอร์ AI ➡️ โครงการจะเริ่มต้นในปี 2026 เพื่อขยาย Oracle Cloud Infrastructure ➡️ Helios rack ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับสูงและการบำรุงรักษาที่ง่าย ➡️ GPU MI450 มีหน่วยความจำมากขึ้นและเชื่อมต่อรวดเร็ว เหมาะกับงาน deep learning ➡️ การลงทุนนี้สะท้อนแนวโน้มการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การติดตั้ง GPU จำนวนมากต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ⛔ หากระบบระบายความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของศูนย์ข้อมูล ⛔ การแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI อาจทำให้บริษัทต้องเร่งลงทุนโดยไม่ประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ ⛔ การพึ่งพา GPU จากผู้ผลิตรายเดียวอาจสร้างความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-and-oracle-partner-to-deploy-50-000-mi450-instinct-gpus-in-new-ai-superclusters-deployment-of-expansion-set-for-2026-powered-by-amds-helios-rack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก

    Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps

    ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s

    นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้

    สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10
    ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU
    หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s
    พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS
    รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง

    การออกแบบและการเชื่อมต่อ
    ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก.
    พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps
    รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4
    ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์

    การใช้งานและประโยชน์
    รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local
    ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์
    เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
    การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA
    การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
    แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W

    https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    🖥️ “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้ ✅ สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10 ➡️ ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU ➡️ หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s ➡️ พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง ✅ การออกแบบและการเชื่อมต่อ ➡️ ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps ➡️ รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ➡️ ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์ ✅ การใช้งานและประโยชน์ ➡️ รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์ ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA ⛔ การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ⛔ แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    WCCFTECH.COM
    Dell Pro Max With NVIDIA GB10 Now Available: 128 GB LP5X Memory & Small Form Factor Mini AI PC
    The Dell Pro Max Mini AI PC is now available and packs the NVIDIA GB10 Superchip with up to 128 GB of LPDDR5x memory.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ยุติยุค Ponte Vecchio และ Arctic Sound — เตรียมเข้าสู่ Jaguar Shores ด้วย AI ที่ทรงพลังกว่าเดิม”

    Intel ประกาศเริ่มกระบวนการเลิกใช้งาน GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์รุ่น Ponte Vecchio และ Arctic Sound อย่างเป็นทางการ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏใน changelog ของ Intel XPU Manager เวอร์ชัน 1.3.3 ซึ่งระบุว่าซอฟต์แวร์จะไม่รองรับ GPU Flex และ Max อีกต่อไป ผู้ใช้งานจึงควรใช้เวอร์ชัน 1.2.42 เพื่อรักษาฟีเจอร์เดิมไว้

    Ponte Vecchio เป็น GPU ขนาดใหญ่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe-HPC และกระบวนการผลิต Intel 10 โดยมีขนาดถึง 1,280 mm² และมีทรานซิสเตอร์กว่า 100 พันล้านตัว พร้อม shading units 16,384 และ tensor cores 1,024 ใช้พลังงานสูงสุดถึง 600W ต่อการ์ด และมีหน่วยความจำตั้งแต่ 48 ถึง 128 GB เหมาะสำหรับงาน HPC และ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    Arctic Sound เป็น GPU ขนาดเล็กกว่า ใช้สถาปัตยกรรม Gen 12.5 และผลิตด้วย Intel 10 node เช่นกัน มีขนาด 190 mm² และทรานซิสเตอร์ประมาณ 8 พันล้านตัว พร้อม shading units 8,192 และ ROPs 128 ใช้พลังงานประมาณ 500W และมีหน่วยความจำ 16 GB เหมาะสำหรับงานระดับกลางในดาต้าเซ็นเตอร์

    แม้ GPU ทั้งสองรุ่นจะถูกนำไปใช้งานในระบบ Aurora supercomputer ซึ่งถือเป็นความสำเร็จด้านวิศวกรรม แต่การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ Intel ทำให้ผู้ผลิตหลายรายลังเลที่จะลงทุนกับแพลตฟอร์มที่ไม่มั่นคง

    Intel เตรียมเปิดตัว Jaguar Shores ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ HBM4 และซอฟต์แวร์ OneAPI ที่พัฒนาเต็มรูปแบบแล้ว เพื่อรองรับงาน AI และ HPC ในระดับ rack-scale

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยุติการสนับสนุน GPU Ponte Vecchio และ Arctic Sound
    การเปลี่ยนแปลงปรากฏใน Intel XPU Manager เวอร์ชัน 1.3.3
    Ponte Vecchio ใช้ Xe-HPC, ขนาด 1,280 mm², 100 พันล้านทรานซิสเตอร์
    มี shading units 16,384 และ tensor cores 1,024
    ใช้พลังงานสูงสุด 600W และมีหน่วยความจำ 48–128 GB
    Arctic Sound ใช้ Gen 12.5, ขนาด 190 mm², 8 พันล้านทรานซิสเตอร์
    มี shading units 8,192 และ ROPs 128, ใช้พลังงาน 500W
    GPU ทั้งสองถูกใช้งานใน Aurora supercomputer
    Intel เตรียมเปิดตัว Jaguar Shores พร้อม HBM4 และ OneAPI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xe-HPC เป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่องาน HPC โดยเฉพาะ
    HBM4 คือหน่วยความจำความเร็วสูงรุ่นใหม่ที่มี bandwidth สูงกว่า HBM3
    OneAPI เป็นแพลตฟอร์มที่รวมการพัฒนา GPU, CPU และ FPGA ไว้ในชุดเดียว
    Aurora supercomputer เป็นหนึ่งในระบบที่ทรงพลังที่สุดของสหรัฐฯ
    การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ Intel สะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด AI

    https://www.techpowerup.com/341806/intel-phases-out-ponte-vecchio-and-arctic-sound-data-center-gpus
    🧊 “Intel ยุติยุค Ponte Vecchio และ Arctic Sound — เตรียมเข้าสู่ Jaguar Shores ด้วย AI ที่ทรงพลังกว่าเดิม” Intel ประกาศเริ่มกระบวนการเลิกใช้งาน GPU สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์รุ่น Ponte Vecchio และ Arctic Sound อย่างเป็นทางการ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏใน changelog ของ Intel XPU Manager เวอร์ชัน 1.3.3 ซึ่งระบุว่าซอฟต์แวร์จะไม่รองรับ GPU Flex และ Max อีกต่อไป ผู้ใช้งานจึงควรใช้เวอร์ชัน 1.2.42 เพื่อรักษาฟีเจอร์เดิมไว้ Ponte Vecchio เป็น GPU ขนาดใหญ่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe-HPC และกระบวนการผลิต Intel 10 โดยมีขนาดถึง 1,280 mm² และมีทรานซิสเตอร์กว่า 100 พันล้านตัว พร้อม shading units 16,384 และ tensor cores 1,024 ใช้พลังงานสูงสุดถึง 600W ต่อการ์ด และมีหน่วยความจำตั้งแต่ 48 ถึง 128 GB เหมาะสำหรับงาน HPC และ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง Arctic Sound เป็น GPU ขนาดเล็กกว่า ใช้สถาปัตยกรรม Gen 12.5 และผลิตด้วย Intel 10 node เช่นกัน มีขนาด 190 mm² และทรานซิสเตอร์ประมาณ 8 พันล้านตัว พร้อม shading units 8,192 และ ROPs 128 ใช้พลังงานประมาณ 500W และมีหน่วยความจำ 16 GB เหมาะสำหรับงานระดับกลางในดาต้าเซ็นเตอร์ แม้ GPU ทั้งสองรุ่นจะถูกนำไปใช้งานในระบบ Aurora supercomputer ซึ่งถือเป็นความสำเร็จด้านวิศวกรรม แต่การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ Intel ทำให้ผู้ผลิตหลายรายลังเลที่จะลงทุนกับแพลตฟอร์มที่ไม่มั่นคง Intel เตรียมเปิดตัว Jaguar Shores ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ HBM4 และซอฟต์แวร์ OneAPI ที่พัฒนาเต็มรูปแบบแล้ว เพื่อรองรับงาน AI และ HPC ในระดับ rack-scale ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยุติการสนับสนุน GPU Ponte Vecchio และ Arctic Sound ➡️ การเปลี่ยนแปลงปรากฏใน Intel XPU Manager เวอร์ชัน 1.3.3 ➡️ Ponte Vecchio ใช้ Xe-HPC, ขนาด 1,280 mm², 100 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ มี shading units 16,384 และ tensor cores 1,024 ➡️ ใช้พลังงานสูงสุด 600W และมีหน่วยความจำ 48–128 GB ➡️ Arctic Sound ใช้ Gen 12.5, ขนาด 190 mm², 8 พันล้านทรานซิสเตอร์ ➡️ มี shading units 8,192 และ ROPs 128, ใช้พลังงาน 500W ➡️ GPU ทั้งสองถูกใช้งานใน Aurora supercomputer ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Jaguar Shores พร้อม HBM4 และ OneAPI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xe-HPC เป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่องาน HPC โดยเฉพาะ ➡️ HBM4 คือหน่วยความจำความเร็วสูงรุ่นใหม่ที่มี bandwidth สูงกว่า HBM3 ➡️ OneAPI เป็นแพลตฟอร์มที่รวมการพัฒนา GPU, CPU และ FPGA ไว้ในชุดเดียว ➡️ Aurora supercomputer เป็นหนึ่งในระบบที่ทรงพลังที่สุดของสหรัฐฯ ➡️ การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของ Intel สะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด AI https://www.techpowerup.com/341806/intel-phases-out-ponte-vecchio-and-arctic-sound-data-center-gpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Phases Out "Ponte Vecchio" and "Arctic Sound" Data Center GPUs
    Intel has apparently started a slow deprecation phase of its "Ponte Vecchio" Data Center GPU Max and "Arctic Sound" Data Center GPU Flex series. According to the changelog in the Intel XPU Manager—a free and open-source tool for monitoring and managing Intel data center GPUs—version 1.3.3 deprecates...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ITER — สร้างดวงอาทิตย์บนโลกเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ! เตรียมประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชันครั้งประวัติศาสตร์”

    ในตอนใต้ของฝรั่งเศส มีโครงการหนึ่งที่อาจเปลี่ยนอนาคตพลังงานของมนุษยชาติไปตลอดกาล — ITER หรือ International Thermonuclear Experimental Reactor กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญที่สุดของการก่อสร้าง นั่นคือการประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งเป็นหัวใจของการทดลองสร้าง “ดวงอาทิตย์จำลอง” บนโลก

    เป้าหมายของ ITER คือการสร้างพลังงานจากการหลอมรวมของไอโซโทปไฮโดรเจน (deuterium และ tritium) ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่เกิดขึ้นในแกนของดวงอาทิตย์ โดยใช้ความร้อนสูงถึง 150 ล้านองศาเซลเซียสภายในเครื่อง tokamak — ห้องปฏิกรณ์ทรงโดนัทที่สามารถกักเก็บพลาสมาไว้ได้ด้วยสนามแม่เหล็กมหาศาล

    ล่าสุด Westinghouse Electric Company ได้รับสัญญามูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ในการประกอบแกนปฏิกรณ์ โดยจะเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหนักกว่า 400 ตันเข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำระดับ 0.25 มิลลิเมตร พร้อมติดตั้งระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ที่สามารถยกเรือบรรทุกเครื่องบินได้ และสร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลกถึง 280,000 เท่า

    นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกำจัดของเสียจากปฏิกิริยา เช่น divertor ที่สามารถทนความร้อนสูงถึง 20 เมกะวัตต์ต่อตารางเมตร โดยใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน

    แม้โครงการจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985 และเผชิญกับความล่าช้าหลายครั้ง แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือจาก 33 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าเริ่มทดลองปฏิกิริยา deuterium-tritium ในปี 2039

    เป้าหมายของ ITER
    สร้างพลังงานจากการหลอมรวมไฮโดรเจนแบบเดียวกับดวงอาทิตย์
    ใช้ tokamak ในการกักเก็บพลาสมาที่อุณหภูมิ 150 ล้าน °C
    พลังงานที่ได้มากกว่าการเผาไหม้ถ่านหินถึง 4 ล้านเท่า

    ความคืบหน้าล่าสุด
    เริ่มขั้นตอนประกอบแกนปฏิกรณ์
    Westinghouse ได้รับสัญญา 180 ล้านดอลลาร์ในการดำเนินการ
    ใช้ชิ้นส่วนเหล็ก 9 ชิ้น หนักชิ้นละ 400 ตัน

    ระบบแม่เหล็ก Central Solenoid
    สูง 60 ฟุต ประกอบด้วยแม่เหล็ก superconducting
    สร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลก 280,000 เท่า
    พร้อมติดตั้งในฝรั่งเศสแล้ว

    ระบบกำจัดของเสีย (Divertor)
    กำจัด helium ash และเชื้อเพลิงที่ไม่ถูกเผาไหม้
    ทนความร้อนสูงถึง 20 MW/m²
    ใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tokamak เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในหลายโครงการฟิวชัน เช่น JET, EAST, KSTAR
    Central Solenoid เป็นหัวใจของการควบคุมพลาสมาใน tokamak
    ทังสเตนมีจุดหลอมเหลวสูงสุดในบรรดาวัสดุโลหะทั้งหมด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    โครงการล่าช้ามาตั้งแต่ปี 1985 และยังไม่เริ่มทดลองจริง
    งบประมาณพุ่งจาก 6 พันล้านเป็นกว่า 20 พันล้านดอลลาร์
    การประกอบชิ้นส่วนจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้
    การทดลอง deuterium-tritium ตั้งเป้าไว้ปี 2039 ซึ่งยังอีกนาน

    https://www.slashgear.com/1989458/worlds-largest-fusion-energy-experiment-iter-critical-phase/
    ⚛️ “ITER — สร้างดวงอาทิตย์บนโลกเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ! เตรียมประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชันครั้งประวัติศาสตร์” ในตอนใต้ของฝรั่งเศส มีโครงการหนึ่งที่อาจเปลี่ยนอนาคตพลังงานของมนุษยชาติไปตลอดกาล — ITER หรือ International Thermonuclear Experimental Reactor กำลังเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญที่สุดของการก่อสร้าง นั่นคือการประกอบแกนปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งเป็นหัวใจของการทดลองสร้าง “ดวงอาทิตย์จำลอง” บนโลก เป้าหมายของ ITER คือการสร้างพลังงานจากการหลอมรวมของไอโซโทปไฮโดรเจน (deuterium และ tritium) ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกับที่เกิดขึ้นในแกนของดวงอาทิตย์ โดยใช้ความร้อนสูงถึง 150 ล้านองศาเซลเซียสภายในเครื่อง tokamak — ห้องปฏิกรณ์ทรงโดนัทที่สามารถกักเก็บพลาสมาไว้ได้ด้วยสนามแม่เหล็กมหาศาล ล่าสุด Westinghouse Electric Company ได้รับสัญญามูลค่า 180 ล้านดอลลาร์ในการประกอบแกนปฏิกรณ์ โดยจะเชื่อมต่อชิ้นส่วนเหล็กหนักกว่า 400 ตันเข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำระดับ 0.25 มิลลิเมตร พร้อมติดตั้งระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ที่สามารถยกเรือบรรทุกเครื่องบินได้ และสร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลกถึง 280,000 เท่า นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบกำจัดของเสียจากปฏิกิริยา เช่น divertor ที่สามารถทนความร้อนสูงถึง 20 เมกะวัตต์ต่อตารางเมตร โดยใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน แม้โครงการจะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985 และเผชิญกับความล่าช้าหลายครั้ง แต่ปัจจุบันมีความร่วมมือจาก 33 ประเทศทั่วโลก และตั้งเป้าเริ่มทดลองปฏิกิริยา deuterium-tritium ในปี 2039 ✅ เป้าหมายของ ITER ➡️ สร้างพลังงานจากการหลอมรวมไฮโดรเจนแบบเดียวกับดวงอาทิตย์ ➡️ ใช้ tokamak ในการกักเก็บพลาสมาที่อุณหภูมิ 150 ล้าน °C ➡️ พลังงานที่ได้มากกว่าการเผาไหม้ถ่านหินถึง 4 ล้านเท่า ✅ ความคืบหน้าล่าสุด ➡️ เริ่มขั้นตอนประกอบแกนปฏิกรณ์ ➡️ Westinghouse ได้รับสัญญา 180 ล้านดอลลาร์ในการดำเนินการ ➡️ ใช้ชิ้นส่วนเหล็ก 9 ชิ้น หนักชิ้นละ 400 ตัน ✅ ระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ➡️ สูง 60 ฟุต ประกอบด้วยแม่เหล็ก superconducting ➡️ สร้างสนามแม่เหล็กแรงกว่าของโลก 280,000 เท่า ➡️ พร้อมติดตั้งในฝรั่งเศสแล้ว ✅ ระบบกำจัดของเสีย (Divertor) ➡️ กำจัด helium ash และเชื้อเพลิงที่ไม่ถูกเผาไหม้ ➡️ ทนความร้อนสูงถึง 20 MW/m² ➡️ ใช้วัสดุพิเศษอย่างทังสเตน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tokamak เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในหลายโครงการฟิวชัน เช่น JET, EAST, KSTAR ➡️ Central Solenoid เป็นหัวใจของการควบคุมพลาสมาใน tokamak ➡️ ทังสเตนมีจุดหลอมเหลวสูงสุดในบรรดาวัสดุโลหะทั้งหมด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ โครงการล่าช้ามาตั้งแต่ปี 1985 และยังไม่เริ่มทดลองจริง ⛔ งบประมาณพุ่งจาก 6 พันล้านเป็นกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ ⛔ การประกอบชิ้นส่วนจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ ⛔ การทดลอง deuterium-tritium ตั้งเป้าไว้ปี 2039 ซึ่งยังอีกนาน https://www.slashgear.com/1989458/worlds-largest-fusion-energy-experiment-iter-critical-phase/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's Largest Fusion Energy Experiment Is Entering A Critical Phase In The Project - SlashGear
    The International Thermonuclear Experimental Reactor (ITER) project began the final assembly of its reactor core, a critical phase in the process.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า”

    ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง

    แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ

    ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้

    จุดเด่นของ REFRAG

    ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม
    ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token
    ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ

    วิธีการทำงาน
    เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings
    embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token
    policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective

    ผลกระทบเชิงธุรกิจ
    ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents
    เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM
    ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI
    RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings
    การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา
    การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์
    embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย
    งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ

    https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    🧪 “REFRAG — งานวิจัยแรกของ Meta Superintelligence ที่พลิกโฉม RAG ให้เร็วขึ้น 30 เท่า” ลองจินตนาการว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถตอบคำถามจากฐานข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30 เท่า โดยไม่ต้องเสียความแม่นยำ — นั่นคือสิ่งที่ Meta Superintelligence (MSI) นำเสนอในงานวิจัยแรกของพวกเขา “REFRAG” ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างน่าทึ่ง แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดจากเอกสารที่ค้นมาให้ LLM ประมวลผล REFRAG ใช้เทคนิคใหม่ที่แปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็น “chunk embeddings” ซึ่งเป็นเวกเตอร์ที่ LLM เข้าใจได้โดยตรง และใช้ policy network ที่ฝึกด้วย reinforcement learning เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token เต็มรูปแบบภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ผลลัพธ์คือ ลดการใช้ KV cache และ attention cost ได้อย่างมาก ทำให้ latency ต่ำลงและ throughput สูงขึ้น โดยยังคงความแม่นยำของผลลัพธ์ไว้ได้ ✅ จุดเด่นของ REFRAG ➡️ ปรับปรุงกระบวนการ RAG โดยใช้ chunk embeddings แทน token เต็ม ➡️ ใช้ policy network เพื่อเลือกบางส่วนที่ควรขยายกลับเป็น token ➡️ ลด latency และเพิ่ม throughput โดยไม่ลดความแม่นยำ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ เอกสารถูกแบ่งเป็น chunk (~128 token) และแปลงเป็น embeddings ➡️ embeddings ถูกส่งเข้า LLM โดยตรง พร้อมกับบาง chunk ที่ถูกขยายเป็น token ➡️ policy network ตัดสินใจเลือก chunk ที่ควรขยาย โดยใช้ RL objective ✅ ผลกระทบเชิงธุรกิจ ➡️ ลดต้นทุน inference และเพิ่มความเร็วตอบกลับ ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ใช้ RAG เช่น customer support, summarization, vertical agents ➡️ เพิ่มจำนวน query ต่อ GPU และลดค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RAG คือการใช้การค้นคืนข้อมูลร่วมกับการสร้างข้อความจาก LLM ➡️ ChaCha20-Poly1305 เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสที่ใช้ใน Wireguard และบางระบบ AI ➡️ RL (Reinforcement Learning) ช่วยให้ policy network ตัดสินใจได้ดีขึ้นภายใต้ข้อจำกัด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ต้องฝึก encoder และ projection ให้ LLM เข้าใจ embeddings ⛔ การฝึก policy network ด้วย RL เพิ่มความซับซ้อนในการพัฒนา ⛔ การบีบอัดมากเกินไปอาจลดคุณภาพของผลลัพธ์ ⛔ embeddings ที่ precompute เหมาะกับข้อมูลคงที่ ไม่เหมาะกับข้อมูลที่เปลี่ยนบ่อย ⛔ งานบางประเภท เช่น กฎหมายหรือการแพทย์ อาจต้องใช้ token เต็มเพื่อความแม่นยำ https://paddedinputs.substack.com/p/meta-superintelligences-surprising
    PADDEDINPUTS.SUBSTACK.COM
    Meta Superintelligence’s surprising first paper
    Long awaited first paper from Meta Superintelligence Labs is not a model layer innovation. What does this mean?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: DDN จุดเปลี่ยนวงการ Generative Model – สร้างภาพแบบไม่ต้องใช้ Gradient ด้วยโครงสร้างต้นไม้

    ในงานประชุม ICLR 2025 มีหนึ่งโมเดลที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ “Discrete Distribution Networks” หรือ DDN ซึ่งเป็นโมเดล Generative แบบใหม่ที่นำเสนอแนวคิดเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดย Lei Yang ผู้พัฒนาได้ออกแบบ DDN ให้สามารถสร้างภาพได้โดยไม่ต้องใช้ Gradient และยังมีโครงสร้างการแทนค่าที่เป็นแบบ 1D Discrete ซึ่งต่างจากโมเดลทั่วไปที่ใช้ Continuous Latent Space

    DDN ใช้หลักการสร้างภาพแบบหลายชั้น (Hierarchical Generation) โดยในแต่ละชั้นจะสร้างภาพ K แบบ และเลือกภาพที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุดเพื่อส่งต่อไปยังชั้นถัดไป ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดและใกล้เคียงกับ Ground Truth มากขึ้นเรื่อย ๆ

    ที่น่าสนใจคือ DDN สามารถทำ Zero-Shot Conditional Generation ได้โดยไม่ต้องใช้ Gradient เช่นการสร้างภาพจากข้อความโดยใช้ CLIP แบบ Black-box ซึ่งเป็นความสามารถที่โมเดลทั่วไปยังทำได้ยาก

    นอกจากนี้ยังมีการทดลองบนชุดข้อมูล CIFAR-10 และ FFHQ ที่แสดงให้เห็นว่า DDN มีประสิทธิภาพในการสร้างภาพที่หลากหลายและมีคุณภาพสูง โดยไม่เกิดปัญหา Mode Collapse

    DDN ยังสามารถนำไปใช้ในงานอื่น ๆ เช่น การสร้างภาพเชิงเงื่อนไข (Colorization, Super-Resolution), การประเมินเชิงลึก (Depth Estimation), การควบคุมในหุ่นยนต์ และแม้แต่การประมวลผลภาษาธรรมชาติร่วมกับ GPT โดยไม่ต้องใช้ Tokenizer

    สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม
    DDN ได้รับการยอมรับในงาน ICLR 2025
    เป็นโมเดล Generative แบบใหม่ที่ใช้โครงสร้าง Discrete Hierarchy
    ไม่ใช้ Gradient ในการสร้างภาพ

    หลักการทำงานของ DDN
    แต่ละชั้นสร้างภาพ K แบบ แล้วเลือกภาพที่ใกล้เคียงกับเป้าหมาย
    ส่งภาพที่เลือกไปยังชั้นถัดไปเพื่อปรับปรุงความละเอียด

    ความสามารถเด่น
    Zero-Shot Conditional Generation โดยไม่ใช้ Gradient
    รองรับการสร้างภาพจากข้อความด้วย CLIP แบบ Black-box
    มีโครงสร้าง Latent แบบ 1D Discrete

    ผลการทดลอง
    ใช้ชุดข้อมูล CIFAR-10 และ FFHQ
    ได้ภาพที่หลากหลายและใกล้เคียง Ground Truth
    ไม่เกิด Mode Collapse

    การนำไปใช้ในงานอื่น
    งานสร้างภาพเชิงเงื่อนไข เช่น Colorization และ Super-Resolution
    งานประเมินเชิงลึก เช่น Depth Estimation และ Optical Flow
    งานควบคุมหุ่นยนต์แทน Diffusion Model
    งานประมวลผลภาษาโดยไม่ใช้ Tokenizer

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DDN ใช้ภาษา Rust และสามารถฝังในระบบต่าง ๆ ได้
    มีความสามารถในการสร้างหลายภาพในหนึ่ง Forward Pass
    รองรับการฝึกแบบ End-to-End และมีความยืดหยุ่นสูง

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน DDN
    ต้องการทรัพยากร GPU มากกว่าปกติเล็กน้อย
    หากใช้กับข้อมูลที่ซับซ้อนเกินไป อาจเกิดภาพเบลอ
    ยังอยู่ในช่วงทดลอง ต้องปรับแต่ง Hyperparameter อย่างละเอียด

    DDN ถือเป็นก้าวใหม่ของ Generative Model ที่เปิดประตูสู่การสร้างภาพแบบไม่ต้องพึ่งพา Gradient และมีโครงสร้างที่เข้าใจง่ายแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับนักวิจัยที่ต้องการโมเดลที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายครับ

    https://discrete-distribution-networks.github.io/
    📰 หัวข้อข่าว: DDN จุดเปลี่ยนวงการ Generative Model – สร้างภาพแบบไม่ต้องใช้ Gradient ด้วยโครงสร้างต้นไม้ ในงานประชุม ICLR 2025 มีหนึ่งโมเดลที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ “Discrete Distribution Networks” หรือ DDN ซึ่งเป็นโมเดล Generative แบบใหม่ที่นำเสนอแนวคิดเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดย Lei Yang ผู้พัฒนาได้ออกแบบ DDN ให้สามารถสร้างภาพได้โดยไม่ต้องใช้ Gradient และยังมีโครงสร้างการแทนค่าที่เป็นแบบ 1D Discrete ซึ่งต่างจากโมเดลทั่วไปที่ใช้ Continuous Latent Space DDN ใช้หลักการสร้างภาพแบบหลายชั้น (Hierarchical Generation) โดยในแต่ละชั้นจะสร้างภาพ K แบบ และเลือกภาพที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุดเพื่อส่งต่อไปยังชั้นถัดไป ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดและใกล้เคียงกับ Ground Truth มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่น่าสนใจคือ DDN สามารถทำ Zero-Shot Conditional Generation ได้โดยไม่ต้องใช้ Gradient เช่นการสร้างภาพจากข้อความโดยใช้ CLIP แบบ Black-box ซึ่งเป็นความสามารถที่โมเดลทั่วไปยังทำได้ยาก นอกจากนี้ยังมีการทดลองบนชุดข้อมูล CIFAR-10 และ FFHQ ที่แสดงให้เห็นว่า DDN มีประสิทธิภาพในการสร้างภาพที่หลากหลายและมีคุณภาพสูง โดยไม่เกิดปัญหา Mode Collapse DDN ยังสามารถนำไปใช้ในงานอื่น ๆ เช่น การสร้างภาพเชิงเงื่อนไข (Colorization, Super-Resolution), การประเมินเชิงลึก (Depth Estimation), การควบคุมในหุ่นยนต์ และแม้แต่การประมวลผลภาษาธรรมชาติร่วมกับ GPT โดยไม่ต้องใช้ Tokenizer 📌 สรุปเนื้อหาข่าวและข้อมูลเสริม ✅ DDN ได้รับการยอมรับในงาน ICLR 2025 ➡️ เป็นโมเดล Generative แบบใหม่ที่ใช้โครงสร้าง Discrete Hierarchy ➡️ ไม่ใช้ Gradient ในการสร้างภาพ ✅ หลักการทำงานของ DDN ➡️ แต่ละชั้นสร้างภาพ K แบบ แล้วเลือกภาพที่ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ➡️ ส่งภาพที่เลือกไปยังชั้นถัดไปเพื่อปรับปรุงความละเอียด ✅ ความสามารถเด่น ➡️ Zero-Shot Conditional Generation โดยไม่ใช้ Gradient ➡️ รองรับการสร้างภาพจากข้อความด้วย CLIP แบบ Black-box ➡️ มีโครงสร้าง Latent แบบ 1D Discrete ✅ ผลการทดลอง ➡️ ใช้ชุดข้อมูล CIFAR-10 และ FFHQ ➡️ ได้ภาพที่หลากหลายและใกล้เคียง Ground Truth ➡️ ไม่เกิด Mode Collapse ✅ การนำไปใช้ในงานอื่น ➡️ งานสร้างภาพเชิงเงื่อนไข เช่น Colorization และ Super-Resolution ➡️ งานประเมินเชิงลึก เช่น Depth Estimation และ Optical Flow ➡️ งานควบคุมหุ่นยนต์แทน Diffusion Model ➡️ งานประมวลผลภาษาโดยไม่ใช้ Tokenizer ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DDN ใช้ภาษา Rust และสามารถฝังในระบบต่าง ๆ ได้ ➡️ มีความสามารถในการสร้างหลายภาพในหนึ่ง Forward Pass ➡️ รองรับการฝึกแบบ End-to-End และมีความยืดหยุ่นสูง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งาน DDN ⛔ ต้องการทรัพยากร GPU มากกว่าปกติเล็กน้อย ⛔ หากใช้กับข้อมูลที่ซับซ้อนเกินไป อาจเกิดภาพเบลอ ⛔ ยังอยู่ในช่วงทดลอง ต้องปรับแต่ง Hyperparameter อย่างละเอียด DDN ถือเป็นก้าวใหม่ของ Generative Model ที่เปิดประตูสู่การสร้างภาพแบบไม่ต้องพึ่งพา Gradient และมีโครงสร้างที่เข้าใจง่ายแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับนักวิจัยที่ต้องการโมเดลที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายครับ https://discrete-distribution-networks.github.io/
    DISCRETE-DISTRIBUTION-NETWORKS.GITHUB.IO
    DDN: Discrete Distribution Networks
    Novel Generative Model with Simple Principles and Unique Properties
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาดูมวยปล้ำที่ออสเตรเลีย แบบ Super VIP(12/10/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #Tiktokกีฬา #มวยปล้ำ
    มาดูมวยปล้ำที่ออสเตรเลีย แบบ Super VIP(12/10/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #Tiktokกีฬา #มวยปล้ำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You

    Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world.

    Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus.

    abracadabra
    Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish.

    Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words.

    alakazam
    Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command.

    While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting.

    One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic.

    hocus-pocus
    Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.”

    First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”).

    voilà
    Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear!

    First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic.

    open sesame
    First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves.

    Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance.

    sim sala bim
    These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized.

    mojo
    While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.”

    calamaris
    Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed.

    miertr
    In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting.

    micrato, raepy sathonich
    One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent.

    daimon
    A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.”

    INRI
    Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye.

    grimoire
    We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter!

    caracteres
    The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Wand At The Ready! These Magic Words Will Cast A Spell On You Hocus pocus, abracadabra, alakazam! These are the words we invoke when magic is at work—even if it might just be a card trick at home. While a few of these words and phrases have wholly crossed over into entertainment magic or originated there from the start (e.g., presto change-o), some of these words are rooted in older commands that called upon higher powers to influence the material world. Whether called hexes, hymns, prayers, or simply spells, the words we invoke to communicate with a greater power to work our will all require an intangible force that can be universally described as magic. Take a look and decide for yourself if magic is real or if it’s just a bunch of hocus-pocus. abracadabra Perhaps one of the oldest and most recognized magical phrases, abracadabra has been around since the second century BCE and has famously appeared in the Harry Potter series. Its origins are contested as scholars posit that abracadabra emerged from Late Latin or Late Greek, reflecting the recitation of the initial letters of the alphabet (abecedary); others hypothesize that it could related to the Hebrew Ha brakha dabra, which translates as, “The blessing has spoken.” We do understand it as a word generally meant to invoke magical power. Abracadabra is classified as a reductive spell, which means it would have been written out as a complete word on the first line, then with one letter missing on the next, then another letter removed on the following line, and so forth. The idea behind reductive spells is that by making the word shorter so would a pain or illness gradually diminish. Recorded in English in the late 1600s, abracadabra is used in incantations, particularly as a magical means of warding off misfortune, harm, or illness, and for some, is used as a nonsense word, implying gibberish in place of supposedly magical words. alakazam Often used as the finale word in the presentation of a grand stage illusion, alakazam is intoned as a powerful command. While the origins of the word are unknown, according to Magic Words: A Dictionary, alakazam may have ties to a similar-sounding Arabic phrase, Al Qasam, which means “oath.” Therefore, a conjuror invoking alakazam may be calling back to a promise made by a superior being to help complete the miraculous feat they are presenting. One of the earliest printings of alakazam in an English text is the poem “Among the White Tents,” first published in the Chicago Herald Tribune in 1888. While the poem uses alakazam in the context of entertainment and as an excited expression (“We’re goin’ to de cirkis! / Alakazam!”) there is oddly no connection to magic. hocus-pocus Immortalized in a ’90s cult classic family film, hocus pocus may be both invoked as an incantation and might also be used to refer to an act of trickery. For instance, one who is dismissive of fortunetelling might call the act of reading tarot cards “a bunch of hocus pocus.” First recorded in the 1660s, hocus pocus is likely a corruption of the Latin phrase used in Catholic mass, Hoc est corpus meum (“here is my body”). voilà Maybe you’ve seen a magician conclude an amazing feat with this little phrase. She’ll flourish a sheet over a table and voilà, where there was no one a second ago, her whole assistant will appear! First recorded in English between 1825–35, voilà is used as an expression of success or satisfaction, typically to give the impression that the achievement happened quickly or easily. Combined from the French words voi (“see”) and là (“there”), voilà is used to direct attention during performance magic. open sesame First recorded in English in the late 1700s, open sesame comes from Antoine Galland’s translation of One Thousand and One Nights. These are the magic words Ali Baba speaks to open the door of the den of the 40 thieves. Perhaps one of the greatest magical commands to survive from folklore, open sesame today may be used as a noun to refer to a very successful means of achieving a result. For instance, you might say an MBA is the open sesame to landing a competitive job in finance. sim sala bim These magic words were made popular by the famous professional magician Harry August Jansen (1883–1955), also known as The Great Jansen or Dante, who used sim sala bim as the name of his touring magic show. Jansen was born in Denmark and immigrated to Minnesota with his family at age 6. Jansen used sim sala bim at the end in his show, saying the words meant, “A thousand thanks.” (They are actually nonsense syllables from a Danish nursery rhyme.) He would tell the crowd that the larger the applause, the bigger the bow, and the more thanks that the sim sala bim symbolized. mojo While mojo can apply to the magic influence of a charm or amulet (usually positive), the term can also refer to the influence or charm an individual can have on the people around them. A popular Muddy Waters song, “Got My Mojo Workin’,” alludes to the degree to which the singer is able to charm the women he encounters. Mojo is less of a spell and more specifically an aura of power. An Americanism first recorded between 1925–30, it is believed to draw from the West African Gullah word moco, which means, “witchcraft.” It is probably connected to Fulani moco’o, or “medicine man.” calamaris Similar to abracadabra in popularity and structure, calamaris is the word that Scandinavians would invoke to heal a fever. Also like abracadabra, this word was a reductive spell, meaning the full word would be written down on one line, then each successive line would have one letter removed. miertr In ye olden times, having a decent hunt to provide for one’s family was critical. The incantation of miertr was spoken aloud as one walked backward and then left the house. After reaching the forest to hunt, the spellcaster was advised to take three clumps of dirt from beneath the left foot and throw them overhead without looking. This will allow an individual to advance without making any noise and capture birds and animals. Definitely a process, but hopefully it led to some successful hunting. micrato, raepy sathonich One of the most iconic scenes in the Bible’s Old Testament is Exodus 7:8-13, which tells of Moses and his brother Aaron as they go before Pharaoh and are challenged to perform a miracle as a sign of their god. When Aaron throws down his staff, it transforms into a snake that consumes the snakes conjured by Pharaoh’s own advisors and sorcerers. According to the Semiphoras and Schemhamphorash, an occult text published in German by Andreas Luppius in 1686, micrato, raepy sathonich were the opening words Moses spoke before changing his staff into a serpent. daimon A variant of the word daemon, daimon [ dahy-mohn ] appears in some Greek charms and holds the meaning of a “god, deity, soul of a dead person, or genie.” In this context, it does not necessarily correspond with the Christian interpretation of a demon—it is more akin to a spirit. This word might be used in a spell to summon a daimon attendant, who would then assist the conjurer in executing a specific task. Though new practitioners should be forewarned, summoning daimons are for more experienced magic practitioners and should always be handled with care. Daimon comes from Middle English and can ultimately be traced to the Greek daimónion, meaning “thing of divine nature.” INRI Those who can recall their days in Catholic school know INRI are the initials typically depicted on the crucifix and represent Jesus’ title (Iēsūs Nazarēnus, Rēx Iūdaeōrum). But long ago, INRI was also written on amulets and paper to offer cures to afflictions. For instance, to stop a fever, a person might eat a piece of paper with the initials written on it, or, to stop blood loss, INRI would be written in blood on a piece of paper that was then pressed to the forehead. It’s even been stamped on stable doors to ward off the evil eye. grimoire We’ve got two more interesting terms for good measure. Unlike the others on this list, a grimoire is not a magical spell. Described as a “textbook of sorcery and magic,” a grimoire [ greem-wahr ] is a must-have for any would-be spellcaster. First recorded in the 1800s, this word likely arose from the French grammaire (“grammar”). Essentially, this origin word refers to a textbook and/or a set of rules to be applied to the text. For a book that has the potential to summon other beings (for better or worse) and carry out supernatural feats, any student of that book had best be willing to follow those rules to the letter! caracteres The unique word caracteres refers to symbols written on bits of parchment or amulets. They were used as a way of encoding powerful spells to keep them from being repeated by someone who may not be aware of their potency or seek to abuse their power. Because of this general barrier to entry, caracteres also demanded the potential conjurors devote time to studying and learning how to correctly interpret the encrypted incantations. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรก — ปลดล็อกพลังประมวลผลเพื่อยุค AI อย่างแท้จริง”

    ในเดือนตุลาคม 2025 นิวยอร์กซิตี้ได้กลายเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่มีการติดตั้งระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Oxford Quantum Circuits (OQC) จากสหราชอาณาจักร, Digital Realty ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับโลก และ NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล AI

    ระบบที่ติดตั้งคือ GENESIS ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี superconducting qubit และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ การสร้างข้อมูล และการวิเคราะห์ความเสี่ยงในภาคการเงินและความมั่นคง

    ศูนย์ข้อมูลนี้ตั้งอยู่ที่ JFK10 ในนิวยอร์ก และใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips เพื่อเร่งการประมวลผลแบบ hybrid ระหว่างควอนตัมและคลาสสิก โดยระบบทั้งหมดถูกฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกได้อย่างปลอดภัย

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยีระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้งานควอนตัมในระดับองค์กร และเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงพลังประมวลผลที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer (Quantum Transformer) และ Quantum Tensor Networks ซึ่งสามารถทำงานด้านภาษาและลำดับข้อมูลได้เทียบเท่ากับระบบคลาสสิก แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 30,000 เท่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรกในศูนย์ข้อมูล JFK10
    ใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ GENESIS จาก Oxford Quantum Circuits
    ใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips สำหรับงาน hybrid computing
    ฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty
    รองรับงาน AI เช่น การฝึกโมเดล, การสร้างข้อมูล, การวิเคราะห์ความเสี่ยง
    เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยี UK–US Tech Trade Partnership
    เปิดให้บริษัทกลุ่มแรกใช้งานในปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าทั่วไปในปีหน้า
    พัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer และ Quantum Tensor Networks
    ระบบควอนตัมมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าระบบคลาสสิกถึง 30,000 เท่า
    คาดว่า GENESIS รุ่นต่อไปจะมาพร้อม NVIDIA CUDA-Q เป็นมาตรฐาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Quantum computing ใช้หลักการ superposition และ entanglement เพื่อประมวลผลแบบขนาน
    NVIDIA CUDA-Q เป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอป hybrid ระหว่าง GPU และ QPU
    Digital Realty เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีเครือข่ายทั่วโลก
    Quixer เป็นโมเดลควอนตัมที่จำลองโครงสร้างของ transformer ใน AI
    Quantum Tensor Networks ช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูลในระบบควอนตัม

    https://www.slashgear.com/1985009/new-york-city-first-quantum-computer-data-center/
    🧠 “นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรก — ปลดล็อกพลังประมวลผลเพื่อยุค AI อย่างแท้จริง” ในเดือนตุลาคม 2025 นิวยอร์กซิตี้ได้กลายเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่มีการติดตั้งระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Oxford Quantum Circuits (OQC) จากสหราชอาณาจักร, Digital Realty ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับโลก และ NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล AI ระบบที่ติดตั้งคือ GENESIS ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี superconducting qubit และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ การสร้างข้อมูล และการวิเคราะห์ความเสี่ยงในภาคการเงินและความมั่นคง ศูนย์ข้อมูลนี้ตั้งอยู่ที่ JFK10 ในนิวยอร์ก และใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips เพื่อเร่งการประมวลผลแบบ hybrid ระหว่างควอนตัมและคลาสสิก โดยระบบทั้งหมดถูกฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกได้อย่างปลอดภัย ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยีระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้งานควอนตัมในระดับองค์กร และเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงพลังประมวลผลที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer (Quantum Transformer) และ Quantum Tensor Networks ซึ่งสามารถทำงานด้านภาษาและลำดับข้อมูลได้เทียบเท่ากับระบบคลาสสิก แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 30,000 เท่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรกในศูนย์ข้อมูล JFK10 ➡️ ใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ GENESIS จาก Oxford Quantum Circuits ➡️ ใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips สำหรับงาน hybrid computing ➡️ ฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ➡️ รองรับงาน AI เช่น การฝึกโมเดล, การสร้างข้อมูล, การวิเคราะห์ความเสี่ยง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยี UK–US Tech Trade Partnership ➡️ เปิดให้บริษัทกลุ่มแรกใช้งานในปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าทั่วไปในปีหน้า ➡️ พัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer และ Quantum Tensor Networks ➡️ ระบบควอนตัมมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าระบบคลาสสิกถึง 30,000 เท่า ➡️ คาดว่า GENESIS รุ่นต่อไปจะมาพร้อม NVIDIA CUDA-Q เป็นมาตรฐาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Quantum computing ใช้หลักการ superposition และ entanglement เพื่อประมวลผลแบบขนาน ➡️ NVIDIA CUDA-Q เป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอป hybrid ระหว่าง GPU และ QPU ➡️ Digital Realty เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีเครือข่ายทั่วโลก ➡️ Quixer เป็นโมเดลควอนตัมที่จำลองโครงสร้างของ transformer ใน AI ➡️ Quantum Tensor Networks ช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูลในระบบควอนตัม https://www.slashgear.com/1985009/new-york-city-first-quantum-computer-data-center/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NYC's First Quantum Computer Is Officially Online (And It Has A Clear AI Directive) - SlashGear
    UK-based company Oxford Quantum Circuits just activated NYC’s first quantum computer, designed to accelerate AI training and improve energy efficiency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Meta ทุ่มซื้อ Rivos เสริมทัพชิป AI — ลดพึ่งพา Nvidia พร้อมเร่งพัฒนา MTIA ให้ทันยุค Superintelligence”

    Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Rivos สตาร์ทอัพด้านชิปจากแคลิฟอร์เนียที่เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 โดยดีลนี้มีมูลค่าประเมินราว 2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ

    เป้าหมายของ Meta คือการเร่งพัฒนา Meta Training and Inference Accelerator (MTIA) ซึ่งเป็นชิป AI ที่บริษัทออกแบบเอง เพื่อใช้แทน GPU จาก Nvidia ที่มีต้นทุนสูงและเป็น bottleneck ในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลก โดย MTIA v2 ที่เปิดตัวในปี 2024 ยังรองรับได้เฉพาะงาน inference และยังไม่สามารถฝึกโมเดล (training) ได้เต็มรูปแบบ

    Rivos นั้นไม่ใช่แค่ผู้ผลิตชิป แต่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบ AI แบบครบวงจร โดยใช้ชิป RISC-V รุ่น RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI และ data analytics พร้อม GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่ออกแบบเอง ซึ่งสามารถรวมกับ CPU เพื่อสร้างระบบประมวลผลแบบ heterogeneous

    ดีลนี้ยังสะท้อนถึงความไม่พอใจของ Mark Zuckerberg ต่อความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายในของ Meta โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยพยายามซื้อ FuriosaAI จากเกาหลีใต้ด้วยเงิน 800 ล้านดอลลาร์ แต่ดีลล่มเพราะไม่ลงตัวเรื่องทิศทางหลังการควบรวม

    การซื้อ Rivos จึงเป็นการเร่งเครื่องให้ Meta สามารถควบคุมซัพพลายเชนด้าน AI ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาบริษัทภายนอก และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายระบบ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความยืดหยุ่นในการออกแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เข้าซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทัพการพัฒนาชิป AI ภายใน
    Rivos เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิด
    MTIA v2 ของ Meta ยังรองรับเฉพาะ inference ไม่สามารถ training ได้
    Rivos ออกแบบชิป RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI
    มี GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่รวมกับ CPU ได้
    Meta เคยพยายามซื้อ FuriosaAI แต่ดีลล่มในปี 2024
    Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายใน
    Meta ใช้ MTIA เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมต้นทุน
    ดีลนี้ช่วยให้ Meta เข้าถึงทีมวิศวกรจาก Google, Intel, AMD และ Arm
    Meta ตั้งเป้าพัฒนา AI infrastructure ด้วยงบลงทุนกว่า $600B ภายใน 3 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในวงการ AI เพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์
    Rivos เคยถูก Apple ฟ้องเรื่องการละเมิดข้อมูลลับจากอดีตพนักงาน แต่เคลียร์คดีแล้วในปี 2024
    MTIA v1 เปิดตัวในปี 2023 แต่ยังไม่สามารถฝึกโมเดลได้
    MTIA v2 ใช้ RISC-V core แบบคู่ โดยมี scalar และ vector engine
    Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.5 พันล้านคนใน Facebook, Instagram, WhatsApp และ Threads

    https://www.techradar.com/pro/meta-may-spend-billions-to-acquire-promising-ai-accelerator-startup-to-loosen-reliance-on-nvidia-by-supercharging-its-own-mtia-ai-chip-but-what-will-jensen-say
    🔌 “Meta ทุ่มซื้อ Rivos เสริมทัพชิป AI — ลดพึ่งพา Nvidia พร้อมเร่งพัฒนา MTIA ให้ทันยุค Superintelligence” Meta กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในสนาม AI ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Rivos สตาร์ทอัพด้านชิปจากแคลิฟอร์เนียที่เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิดที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เหมือนกับ Arm หรือ x86 โดยดีลนี้มีมูลค่าประเมินราว 2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ เป้าหมายของ Meta คือการเร่งพัฒนา Meta Training and Inference Accelerator (MTIA) ซึ่งเป็นชิป AI ที่บริษัทออกแบบเอง เพื่อใช้แทน GPU จาก Nvidia ที่มีต้นทุนสูงและเป็น bottleneck ในการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลก โดย MTIA v2 ที่เปิดตัวในปี 2024 ยังรองรับได้เฉพาะงาน inference และยังไม่สามารถฝึกโมเดล (training) ได้เต็มรูปแบบ Rivos นั้นไม่ใช่แค่ผู้ผลิตชิป แต่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบ AI แบบครบวงจร โดยใช้ชิป RISC-V รุ่น RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI และ data analytics พร้อม GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่ออกแบบเอง ซึ่งสามารถรวมกับ CPU เพื่อสร้างระบบประมวลผลแบบ heterogeneous ดีลนี้ยังสะท้อนถึงความไม่พอใจของ Mark Zuckerberg ต่อความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายในของ Meta โดยก่อนหน้านี้บริษัทเคยพยายามซื้อ FuriosaAI จากเกาหลีใต้ด้วยเงิน 800 ล้านดอลลาร์ แต่ดีลล่มเพราะไม่ลงตัวเรื่องทิศทางหลังการควบรวม การซื้อ Rivos จึงเป็นการเร่งเครื่องให้ Meta สามารถควบคุมซัพพลายเชนด้าน AI ได้มากขึ้น ลดการพึ่งพาบริษัทภายนอก และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายระบบ AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความยืดหยุ่นในการออกแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เข้าซื้อกิจการ Rivos เพื่อเสริมทัพการพัฒนาชิป AI ภายใน ➡️ Rivos เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม RISC-V ซึ่งเป็นระบบเปิด ➡️ MTIA v2 ของ Meta ยังรองรับเฉพาะ inference ไม่สามารถ training ได้ ➡️ Rivos ออกแบบชิป RVA23 ที่มี vector extension สำหรับงาน AI ➡️ มี GPU แบบ Data Parallel Accelerator ที่รวมกับ CPU ได้ ➡️ Meta เคยพยายามซื้อ FuriosaAI แต่ดีลล่มในปี 2024 ➡️ Mark Zuckerberg ไม่พอใจกับความล่าช้าในการพัฒนาชิปภายใน ➡️ Meta ใช้ MTIA เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia และควบคุมต้นทุน ➡️ ดีลนี้ช่วยให้ Meta เข้าถึงทีมวิศวกรจาก Google, Intel, AMD และ Arm ➡️ Meta ตั้งเป้าพัฒนา AI infrastructure ด้วยงบลงทุนกว่า $600B ภายใน 3 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในวงการ AI เพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ➡️ Rivos เคยถูก Apple ฟ้องเรื่องการละเมิดข้อมูลลับจากอดีตพนักงาน แต่เคลียร์คดีแล้วในปี 2024 ➡️ MTIA v1 เปิดตัวในปี 2023 แต่ยังไม่สามารถฝึกโมเดลได้ ➡️ MTIA v2 ใช้ RISC-V core แบบคู่ โดยมี scalar และ vector engine ➡️ Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.5 พันล้านคนใน Facebook, Instagram, WhatsApp และ Threads https://www.techradar.com/pro/meta-may-spend-billions-to-acquire-promising-ai-accelerator-startup-to-loosen-reliance-on-nvidia-by-supercharging-its-own-mtia-ai-chip-but-what-will-jensen-say
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts