• JP Morgan เปลี่ยนมุมมองต่อบริษัท Super Micro Computer โดยเพิ่มราคาคาดการณ์หุ้นเป็น $45 และเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขายเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเรื่องการแข่งขันที่อาจกดดันอัตรากำไรในปีหน้า ทั้งนี้ หุ้น SMCI ยังไม่ถูกประเมินสูงเท่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Dell ใครที่ติดตามตลาดหุ้นและเทคโนโลยีต้องจับตามองว่า SMCI จะสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้อย่างไร

    ความสำเร็จในอดีตและความท้าทายที่ยังคงอยู่:
    - SMCI สามารถหลีกเลี่ยงการถูกถอดออกจากตลาดหุ้น Nasdaq ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการส่งรายงานประจำปีทันเวลาหลังจากถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางบัญชีจาก Hindenburg Research.
    - แม้ JP Morgan จะมองว่า SMCI จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป แต่ยังคงกังวลเรื่องอัตรากำไรที่อาจลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบควบคุม.

    เทคโนโลยีที่กำลังสร้างโอกาสใหม่:
    - SMCI กำลังพึ่งพาความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป Blackwell รุ่นใหม่ ซึ่งมีราคาสูงกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า.

    การเปรียบเทียบกับ Dell:
    - JP Morgan ประเมินว่าหุ้น SMCI ไม่ควรมีค่าเทียบเท่าหุ้น Dell โดยให้ตัวคูณกำไรที่ 10x สำหรับ SMCI เทียบกับ 11x ของ Dell.

    https://wccftech.com/jp-morgan-still-does-not-think-super-micro-computer-smci-is-as-good-as-dell/
    JP Morgan เปลี่ยนมุมมองต่อบริษัท Super Micro Computer โดยเพิ่มราคาคาดการณ์หุ้นเป็น $45 และเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขายเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ที่มีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเรื่องการแข่งขันที่อาจกดดันอัตรากำไรในปีหน้า ทั้งนี้ หุ้น SMCI ยังไม่ถูกประเมินสูงเท่าบริษัทคู่แข่งอย่าง Dell ใครที่ติดตามตลาดหุ้นและเทคโนโลยีต้องจับตามองว่า SMCI จะสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้อย่างไร ความสำเร็จในอดีตและความท้าทายที่ยังคงอยู่: - SMCI สามารถหลีกเลี่ยงการถูกถอดออกจากตลาดหุ้น Nasdaq ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการส่งรายงานประจำปีทันเวลาหลังจากถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตทางบัญชีจาก Hindenburg Research. - แม้ JP Morgan จะมองว่า SMCI จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป แต่ยังคงกังวลเรื่องอัตรากำไรที่อาจลดลง เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบควบคุม. เทคโนโลยีที่กำลังสร้างโอกาสใหม่: - SMCI กำลังพึ่งพาความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป Blackwell รุ่นใหม่ ซึ่งมีราคาสูงกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า. การเปรียบเทียบกับ Dell: - JP Morgan ประเมินว่าหุ้น SMCI ไม่ควรมีค่าเทียบเท่าหุ้น Dell โดยให้ตัวคูณกำไรที่ 10x สำหรับ SMCI เทียบกับ 11x ของ Dell. https://wccftech.com/jp-morgan-still-does-not-think-super-micro-computer-smci-is-as-good-as-dell/
    WCCFTECH.COM
    JP Morgan Still Does Not Think Super Micro Computer (SMCI) Is As Good As Dell
    JP Morgan still does not think that Super Micro Computer (SMCI) deserves a Dell-like valuation multiple for its shares.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • BYD เปิดตัวเครื่องชาร์จรถ EV แรงทะลุโลก
    ชาร์จ 5 นาทีวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร !
    .
    เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่เมืองเซินเจิ้น BYD บริษัทรถไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของจีน ได้เปิดตัว Super e-Platform ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ในหลาย ๆ ด้าน โดยที่สร้างความฮือฮาให้ผู้คนทั่วโลก ก็คือ ระบบชาร์จพลังสูงสุด 1000kW ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าของ BYD สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วเท่า ๆ กับการเติมน้ำมันนะครับ
    .
    โดยสถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูงขนาด 1 เมกะวัตต์ ในประเทศจีน นั้นจะทำให้ BYD สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบแรงดันไฟฟ้าสูง 1000 โวลต์ ให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 400 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 5 นาที หรือคิดเป็นอัตราการชาร์จที่รวดเร็วเพียงแค่วินาทีเดียวก็ทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร เลยนะครับ
    .
    เทคโนโลยีการชาร์จแบบใหม่นี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ BYD ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จไฟฟ้าที่เคยเป็นจุดอ่อนของรถอีวีให้สามารถเติมเชื้อเพลิงขับเคลื่อน ได้รวดเร็วเท่าๆ กับรถน้ำมัน ทั้งยังเป็นการแซงหน้าผู้บุกเบิกรถไฟฟ้าอย่าง Tesla ไปอย่างน้อยหนึ่งช่วงตัวอีกด้วย
    .
    คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSMKVc2dt/
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #BYD #SuperePlatform #บีวายดี
    BYD เปิดตัวเครื่องชาร์จรถ EV แรงทะลุโลก ชาร์จ 5 นาทีวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร ! . เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่เมืองเซินเจิ้น BYD บริษัทรถไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของจีน ได้เปิดตัว Super e-Platform ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ในหลาย ๆ ด้าน โดยที่สร้างความฮือฮาให้ผู้คนทั่วโลก ก็คือ ระบบชาร์จพลังสูงสุด 1000kW ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าของ BYD สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วเท่า ๆ กับการเติมน้ำมันนะครับ . โดยสถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูงขนาด 1 เมกะวัตต์ ในประเทศจีน นั้นจะทำให้ BYD สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบแรงดันไฟฟ้าสูง 1000 โวลต์ ให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 400 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 5 นาที หรือคิดเป็นอัตราการชาร์จที่รวดเร็วเพียงแค่วินาทีเดียวก็ทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร เลยนะครับ . เทคโนโลยีการชาร์จแบบใหม่นี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ BYD ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จไฟฟ้าที่เคยเป็นจุดอ่อนของรถอีวีให้สามารถเติมเชื้อเพลิงขับเคลื่อน ได้รวดเร็วเท่าๆ กับรถน้ำมัน ทั้งยังเป็นการแซงหน้าผู้บุกเบิกรถไฟฟ้าอย่าง Tesla ไปอย่างน้อยหนึ่งช่วงตัวอีกด้วย . คลิกชม >> https://vt.tiktok.com/ZSMKVc2dt/ . #บูรพาไม่แพ้ #BYD #SuperePlatform #บีวายดี
    @thedongfangbubai

    BYD เปิดตัวเครื่องชาร์จรถ EV แรงทะลุโลก ชาร์จ 5 นาทีวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร ! . เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่เมืองเซินเจิ้น BYD บริษัทรถไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของจีน ได้เปิดตัว Super e-Platform ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ในหลาย ๆ ด้าน โดยที่สร้างความฮือฮาให้ผู้คนทั่วโลก ก็คือ ระบบชาร์จพลังสูงสุด 1000kW ที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าของ BYD สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วเท่า ๆ กับการเติมน้ำมันนะครับ . โดยสถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูงขนาด 1 เมกะวัตต์ ในประเทศจีน นั้นจะทำให้ BYD สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบแรงดันไฟฟ้าสูง 1000 โวลต์ ให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 400 กิโลเมตรภายในเวลาเพียง 5 นาที หรือคิดเป็นอัตราการชาร์จที่รวดเร็วเพียงแค่วินาทีเดียวก็ทำให้รถสามารถวิ่งได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร เลยนะครับ . เทคโนโลยีการชาร์จแบบใหม่นี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ BYD ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จไฟฟ้าที่เคยเป็นจุดอ่อนของรถอีวีให้สามารถเติมเชื้อเพลิงขับเคลื่อน ได้รวดเร็วเท่าๆ กับรถน้ำมัน ทั้งยังเป็นการแซงหน้าผู้บุกเบิกรถไฟฟ้าอย่าง Tesla ไปอย่างน้อยหนึ่งช่วงตัวอีกด้วย . บูรพาไม่แพ้ BYD SuperePlatform บีวายดี

    ♬ original sound - บูรพาไม่แพ้ - บูรพาไม่แพ้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • "คู่หูนรกแตก"

    สหรัฐ - รับหน้าที่โจมตีเยเมน
    อิสราเอล - รับหน้าที่โจมตี ซีเรีย เลบานอน(ตอนใต้) และทำลายกาซา

    ภาพวิดีโอปฏิบัติการโจมตีในเยเมน โดยเครื่องบิน F/A-18E/F Super Hornet ขณะทะยานขึ้นจากเรือ USS Harry S. Truman ในทะเลแดงตอนเหนือของกองทัพเรือสหรัฐ
    "คู่หูนรกแตก" สหรัฐ - รับหน้าที่โจมตีเยเมน อิสราเอล - รับหน้าที่โจมตี ซีเรีย เลบานอน(ตอนใต้) และทำลายกาซา ภาพวิดีโอปฏิบัติการโจมตีในเยเมน โดยเครื่องบิน F/A-18E/F Super Hornet ขณะทะยานขึ้นจากเรือ USS Harry S. Truman ในทะเลแดงตอนเหนือของกองทัพเรือสหรัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • Super Flower เปิดตัวพาวเวอร์ซัพพลายสุดทรงพลังรุ่น Leadex Platinum 2800W (SF-2800F14HP) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการพลังงานของคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานประมวลผลระดับสูง เช่น AI, การฝึกโมเดล Deep Learning และงานในเวิร์กสเตชัน โดยมีจุดเด่นในเรื่องของความสามารถในการจ่ายพลังงานสูงถึง 2800W ซึ่งมากพอที่จะรองรับ GPU ระดับสูงถึง RTX 5090 ได้หลายตัวในเครื่องเดียว

    == คุณสมบัติเด่นของ Leadex Platinum 2800W ==
    1) ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
    - พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน 80 Plus Platinum ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 92% ที่โหลด 50% ช่วยลดพลังงานที่สูญเสียเป็นความร้อน
    -รองรับการใช้งานกับมาตรฐาน ATX 3.1 และ PCIe 5.1 ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ต้องการพลังงานสูง

    2) การออกแบบเพื่อความเสถียรและความคงทน
    - ใช้วัสดุ Japanese capacitors ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ
    - รองรับการจ่ายไฟผ่าน +12V rail ที่สูงถึง 2,799.6W เพียงพอสำหรับการประมวลผลของ GPU และอุปกรณ์เสริม

    3)การรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย
    - มีช่องเชื่อมต่อทั้งหมด 19 พอร์ต รวมถึง 8-pin และ 6-pin connectors สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ
    - รองรับการใช้งาน GPU ได้ถึง 4 ตัว หรือ 2 ตัวในกรณีที่ใช้ GPU รุ่นที่ต้องการ dual 16-pin connectors

    4) เหมาะสำหรับงานประมวลผลหนัก
    - การออกแบบเหมาะสำหรับเวิร์กสเตชันที่ต้องการความเสถียรในงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI, การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ และงานเรนเดอร์ระดับมืออาชีพ

    พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นนี้มีราคาสำหรับการสั่งจองล่วงหน้าที่ $899 และมาพร้อมการรับประกันยาวนานถึง 10 ปี แม้ว่ากำลังไฟที่มากขนาดนี้อาจเกินความจำเป็นสำหรับการเล่นเกม แต่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในสายงาน AI หรือ Data Science ซึ่งต้องการความเสถียรในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/super-flowers-beastly-2800w-power-supply-lands-at-usd899-enough-juice-to-power-a-couple-of-rtx-5090-gpus
    Super Flower เปิดตัวพาวเวอร์ซัพพลายสุดทรงพลังรุ่น Leadex Platinum 2800W (SF-2800F14HP) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการพลังงานของคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานประมวลผลระดับสูง เช่น AI, การฝึกโมเดล Deep Learning และงานในเวิร์กสเตชัน โดยมีจุดเด่นในเรื่องของความสามารถในการจ่ายพลังงานสูงถึง 2800W ซึ่งมากพอที่จะรองรับ GPU ระดับสูงถึง RTX 5090 ได้หลายตัวในเครื่องเดียว == คุณสมบัติเด่นของ Leadex Platinum 2800W == 1) ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน - พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน 80 Plus Platinum ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 92% ที่โหลด 50% ช่วยลดพลังงานที่สูญเสียเป็นความร้อน -รองรับการใช้งานกับมาตรฐาน ATX 3.1 และ PCIe 5.1 ซึ่งเหมาะสำหรับอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ต้องการพลังงานสูง 2) การออกแบบเพื่อความเสถียรและความคงทน - ใช้วัสดุ Japanese capacitors ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ - รองรับการจ่ายไฟผ่าน +12V rail ที่สูงถึง 2,799.6W เพียงพอสำหรับการประมวลผลของ GPU และอุปกรณ์เสริม 3)การรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย - มีช่องเชื่อมต่อทั้งหมด 19 พอร์ต รวมถึง 8-pin และ 6-pin connectors สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ - รองรับการใช้งาน GPU ได้ถึง 4 ตัว หรือ 2 ตัวในกรณีที่ใช้ GPU รุ่นที่ต้องการ dual 16-pin connectors 4) เหมาะสำหรับงานประมวลผลหนัก - การออกแบบเหมาะสำหรับเวิร์กสเตชันที่ต้องการความเสถียรในงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น AI, การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ และงานเรนเดอร์ระดับมืออาชีพ พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นนี้มีราคาสำหรับการสั่งจองล่วงหน้าที่ $899 และมาพร้อมการรับประกันยาวนานถึง 10 ปี แม้ว่ากำลังไฟที่มากขนาดนี้อาจเกินความจำเป็นสำหรับการเล่นเกม แต่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในสายงาน AI หรือ Data Science ซึ่งต้องการความเสถียรในระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/super-flowers-beastly-2800w-power-supply-lands-at-usd899-enough-juice-to-power-a-couple-of-rtx-5090-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงความแปลกใหม่ที่ค้นพบในวงการเกมคลาสสิก โดยนักวิจัยพบว่าเครื่องเล่น Super Nintendo Entertainment System (SNES) มีแนวโน้มทำงานเร็วขึ้นตามอายุของอุปกรณ์ การค้นพบนี้มาจากการตรวจสอบชิป Sony SPC700 ซึ่งเป็นตัวประมวลผลเสียงในเครื่อง SNES โดยพบว่าอัตราการประมวลผลสัญญาณเสียง (DSP rate) ของชิปนี้เพิ่มขึ้นจากค่าเดิม 32,000 Hz เป็นสูงสุด 32,182 Hz ในเครื่องที่มีอายุ 35 ปี

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อประสบการณ์เล่นเกม โดยเฉพาะในด้านการโหลดข้อมูลและเสียงในเกม ชิปที่ทำงานเร็วกว่านี้ช่วยลดเวลาโหลดระหว่างฉาก ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นทั่วไป แต่สำหรับกลุ่ม speedrunners และการใช้ TASBot (หุ่นยนต์สำหรับเล่นเกมแบบเร็ว) การเปลี่ยนแปลงนี้อาจก่อปัญหา เพราะการทำงานที่ต่างจากเดิมสามารถส่งผลต่อการจับเวลาในระดับมิลลิวินาที

    นักวิจัยกำลังรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งาน SNES เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนา emulators (โปรแกรมจำลอง) ในอนาคต เพื่อรักษาประสบการณ์ของเกมคลาสสิกให้เหมือนเดิมที่สุด

    https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/snes-consoles-appear-to-run-faster-with-age-apu-frequency-increased-by-up-to-182-hz-after-35-years
    ข่าวนี้เล่าถึงความแปลกใหม่ที่ค้นพบในวงการเกมคลาสสิก โดยนักวิจัยพบว่าเครื่องเล่น Super Nintendo Entertainment System (SNES) มีแนวโน้มทำงานเร็วขึ้นตามอายุของอุปกรณ์ การค้นพบนี้มาจากการตรวจสอบชิป Sony SPC700 ซึ่งเป็นตัวประมวลผลเสียงในเครื่อง SNES โดยพบว่าอัตราการประมวลผลสัญญาณเสียง (DSP rate) ของชิปนี้เพิ่มขึ้นจากค่าเดิม 32,000 Hz เป็นสูงสุด 32,182 Hz ในเครื่องที่มีอายุ 35 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อประสบการณ์เล่นเกม โดยเฉพาะในด้านการโหลดข้อมูลและเสียงในเกม ชิปที่ทำงานเร็วกว่านี้ช่วยลดเวลาโหลดระหว่างฉาก ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นทั่วไป แต่สำหรับกลุ่ม speedrunners และการใช้ TASBot (หุ่นยนต์สำหรับเล่นเกมแบบเร็ว) การเปลี่ยนแปลงนี้อาจก่อปัญหา เพราะการทำงานที่ต่างจากเดิมสามารถส่งผลต่อการจับเวลาในระดับมิลลิวินาที นักวิจัยกำลังรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งาน SNES เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอุปกรณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนา emulators (โปรแกรมจำลอง) ในอนาคต เพื่อรักษาประสบการณ์ของเกมคลาสสิกให้เหมือนเดิมที่สุด https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/snes-consoles-appear-to-run-faster-with-age-apu-frequency-increased-by-up-to-182-hz-after-35-years
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม! นักวิจัยจากกลุ่ม Quantum Internet Alliance (QIA) ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำอย่าง TU Delft และ QuTech ได้พัฒนา QNodeOS ระบบปฏิบัติการตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัมโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายเชิงควอนตัมในอนาคต

    QNodeOS มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น
    1) ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์ – นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบฮาร์ดแวร์เชิงลึกก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับเครือข่ายควอนตัมได้
    2) รองรับภาษาระดับสูง – ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสะดวกขึ้น เหมือนกับการเขียนโปรแกรมทั่วไป
    3) รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) – ช่วยใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ให้คุ้มค่าที่สุด

    ในการทดลอง ทีมวิจัยได้ใช้งาน QNodeOS กับเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อด้วย diamond color centers ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ศูนย์ไนโตรเจนในเพชรในการจัดเก็บควอนตัมบิต (qubit)

    สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเครือข่ายควอนตัมไม่ได้มีหน้าที่คำนวณเหมือนคอมพิวเตอร์ควอนตัม แต่จะช่วยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมและจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้หลักการควอนตัม เช่น การพัวพัน (entanglement) และ การซ้อนทับ (superposition) โดยมีระบบจัดการที่ฉลาดขึ้น เพื่อช่วยให้เครือข่ายทำงานได้ราบรื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/qnodeos-claims-to-be-the-first-operating-system-for-quantum-networks-paving-the-way-for-future-quantum-applications
    ข่าวนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม! นักวิจัยจากกลุ่ม Quantum Internet Alliance (QIA) ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำอย่าง TU Delft และ QuTech ได้พัฒนา QNodeOS ระบบปฏิบัติการตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเครือข่ายควอนตัมโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่ายเชิงควอนตัมในอนาคต QNodeOS มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น 1) ไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์ – นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบฮาร์ดแวร์เชิงลึกก็สามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับเครือข่ายควอนตัมได้ 2) รองรับภาษาระดับสูง – ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันสะดวกขึ้น เหมือนกับการเขียนโปรแกรมทั่วไป 3) รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) – ช่วยใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ให้คุ้มค่าที่สุด ในการทดลอง ทีมวิจัยได้ใช้งาน QNodeOS กับเครือข่ายควอนตัมที่เชื่อมต่อด้วย diamond color centers ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ศูนย์ไนโตรเจนในเพชรในการจัดเก็บควอนตัมบิต (qubit) สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเครือข่ายควอนตัมไม่ได้มีหน้าที่คำนวณเหมือนคอมพิวเตอร์ควอนตัม แต่จะช่วยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมและจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้หลักการควอนตัม เช่น การพัวพัน (entanglement) และ การซ้อนทับ (superposition) โดยมีระบบจัดการที่ฉลาดขึ้น เพื่อช่วยให้เครือข่ายทำงานได้ราบรื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/qnodeos-claims-to-be-the-first-operating-system-for-quantum-networks-paving-the-way-for-future-quantum-applications
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่เป็นอีกตัวอย่างของความพยายามที่จะรวมพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อปไว้ในอุปกรณ์พกพา

    แล็ปท็อปในโครงการที่ชื่อว่า UHPILCL (Ultra High-Performance Integration Liquid-Cooled Laptop) ถูกออกแบบมาให้รองรับฮาร์ดแวร์ระดับเดสก์ท็อปด้วยระบบระบายความร้อนด้วยน้ำในตัว จึงเหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการพลังเต็มรูปแบบในอุปกรณ์แบบพกพา โดยแล็ปท็อปรุ่นนี้อยู่ในระหว่างการระดมทุนบน Kickstarter

    คุณสมบัติที่น่าสนใจ:
    - รองรับเมนบอร์ด ITX และซีพียูระดับไฮเอนด์ เช่น Ryzen 9 9950X3D และซีพียูจาก Intel ตั้งแต่เจนเนอเรชันที่ 12 ถึง 14
    - การ์ดจอที่รองรับสูงสุดคือ RTX 5090 โดยใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
    - มี ปั๊มน้ำ 18W ที่สามารถระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพในระดับเสียงที่ต่ำกว่า 25 เดซิเบล
    - ใช้ RAM DDR5 สูงสุด 48GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล SSD สูงสุดถึง 32TB
    - หน้าจอ 17.3 นิ้ว ความละเอียด 3K อัตรารีเฟรช 120Hz พร้อมอัตราส่วน 21:10

    แล็ปท็อปรุ่นนี้สามารถสลับระหว่างโหมด เดสก์ท็อปเต็มรูปแบบ และโหมดพกพาที่ลดการใช้พลังงาน โดยแบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีรุ่นพิเศษ T1000 Super ที่สามารถรองรับกำลังไฟสูงถึง 735W แต่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 5.2 กิโลกรัม

    แม้แล็ปท็อปนี้มีคุณสมบัติที่น่าสนใจและทะเยอทะยาน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนระดมทุนและยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและวันจำหน่ายที่แน่นอน ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการคราวด์ฟันดิ้งยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนอย่างนี้

    https://www.techspot.com/news/107113-watercooled-hybrid-gaming-laptop-can-handle-ryzen-9950x3d.html
    นี่เป็นอีกตัวอย่างของความพยายามที่จะรวมพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อปไว้ในอุปกรณ์พกพา แล็ปท็อปในโครงการที่ชื่อว่า UHPILCL (Ultra High-Performance Integration Liquid-Cooled Laptop) ถูกออกแบบมาให้รองรับฮาร์ดแวร์ระดับเดสก์ท็อปด้วยระบบระบายความร้อนด้วยน้ำในตัว จึงเหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการพลังเต็มรูปแบบในอุปกรณ์แบบพกพา โดยแล็ปท็อปรุ่นนี้อยู่ในระหว่างการระดมทุนบน Kickstarter คุณสมบัติที่น่าสนใจ: - รองรับเมนบอร์ด ITX และซีพียูระดับไฮเอนด์ เช่น Ryzen 9 9950X3D และซีพียูจาก Intel ตั้งแต่เจนเนอเรชันที่ 12 ถึง 14 - การ์ดจอที่รองรับสูงสุดคือ RTX 5090 โดยใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ - มี ปั๊มน้ำ 18W ที่สามารถระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพในระดับเสียงที่ต่ำกว่า 25 เดซิเบล - ใช้ RAM DDR5 สูงสุด 48GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล SSD สูงสุดถึง 32TB - หน้าจอ 17.3 นิ้ว ความละเอียด 3K อัตรารีเฟรช 120Hz พร้อมอัตราส่วน 21:10 แล็ปท็อปรุ่นนี้สามารถสลับระหว่างโหมด เดสก์ท็อปเต็มรูปแบบ และโหมดพกพาที่ลดการใช้พลังงาน โดยแบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีรุ่นพิเศษ T1000 Super ที่สามารถรองรับกำลังไฟสูงถึง 735W แต่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 5.2 กิโลกรัม แม้แล็ปท็อปนี้มีคุณสมบัติที่น่าสนใจและทะเยอทะยาน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนระดมทุนและยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับราคาและวันจำหน่ายที่แน่นอน ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการคราวด์ฟันดิ้งยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนอย่างนี้ https://www.techspot.com/news/107113-watercooled-hybrid-gaming-laptop-can-handle-ryzen-9950x3d.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Watercooled gaming laptop is 5kg hefty but can handle Ryzen 9950X3D CPU, RTX 5090 graphics card
    It's called the UHPILCL (Ultra High-Performance Integration Liquid-Cooled Laptop), and it's no joke. The UHPILCL supports full-sized ITX motherboards and can accommodate virtually every high-end CPU and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกในเกมผ่านการใช้ "OptiScaler" ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยกลุ่มนักพัฒนาผู้หลงใหลในเทคโนโลยีกราฟิก โดย OptiScaler ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเทคโนโลยีการเรนเดอร์ภาพ FidelityFX Super Resolution (FSR) 4 ของ AMD ทำให้สามารถใช้งานในเกมที่รองรับ DLSS2 ของ Nvidia หรือ XeSS ของ Intel ได้

    การพัฒนานี้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเกมเมอร์ที่ใช้การ์ดจอ AMD Radeon RX 9070 และ RX 9070 XT โดย OptiScaler ไม่เพียงช่วยให้กราฟิกเกมดูคมชัดขึ้น แต่ยังเสริมความสามารถในการสร้างเฟรมภาพ (Frame Generation) และลดความล่าช้าด้วยเทคโนโลยี Anti-Lag และ Nvidia Reflex ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายเกมในปัจจุบันยังไม่ได้รองรับอย่างเป็นทางการ

    ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ การใช้งาน OptiScaler ในเกม Cyberpunk 2077 ซึ่งทีมพัฒนาเกมไม่ได้วางแผนที่จะรองรับ FSR 4 อย่างเป็นทางการ แอปนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกมเมอร์ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น

    อย่างไรก็ตาม OptiScaler ยังคงเป็นเครื่องมือในระยะเริ่มต้น และอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือปัญหาความเสถียรในการใช้งาน นอกจากนี้ มันยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจาก AMD, Intel หรือ Nvidia

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/optiscaler-mod-adds-amd-fsr-4-support-to-dlss-supporting-games
    ข่าวนี้นำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกในเกมผ่านการใช้ "OptiScaler" ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยกลุ่มนักพัฒนาผู้หลงใหลในเทคโนโลยีกราฟิก โดย OptiScaler ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเทคโนโลยีการเรนเดอร์ภาพ FidelityFX Super Resolution (FSR) 4 ของ AMD ทำให้สามารถใช้งานในเกมที่รองรับ DLSS2 ของ Nvidia หรือ XeSS ของ Intel ได้ การพัฒนานี้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเกมเมอร์ที่ใช้การ์ดจอ AMD Radeon RX 9070 และ RX 9070 XT โดย OptiScaler ไม่เพียงช่วยให้กราฟิกเกมดูคมชัดขึ้น แต่ยังเสริมความสามารถในการสร้างเฟรมภาพ (Frame Generation) และลดความล่าช้าด้วยเทคโนโลยี Anti-Lag และ Nvidia Reflex ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายเกมในปัจจุบันยังไม่ได้รองรับอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ การใช้งาน OptiScaler ในเกม Cyberpunk 2077 ซึ่งทีมพัฒนาเกมไม่ได้วางแผนที่จะรองรับ FSR 4 อย่างเป็นทางการ แอปนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกมเมอร์ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม OptiScaler ยังคงเป็นเครื่องมือในระยะเริ่มต้น และอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือปัญหาความเสถียรในการใช้งาน นอกจากนี้ มันยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจาก AMD, Intel หรือ Nvidia https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/optiscaler-mod-adds-amd-fsr-4-support-to-dlss-supporting-games
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ

    บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023
    บริษัทของรัฐ:
    - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย)
    - Coal India (อินเดีย)
    - CHN Energy (จีน)
    - NIOC (อิหร่าน)
    - Jinneng Group (จีน)

    บริษัทเอกชน:
    - ExxonMobil (สหรัฐฯ)
    - Chevron (สหรัฐฯ)
    - Shell (สหราชอาณาจักร)
    - TotalEnergies (ฝรั่งเศส)
    - BP (สหราชอาณาจักร)

    บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์

    นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH

    ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030

    https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    จากฐานข้อมูล Carbon Majors รายงานล่าสุดเปิดเผยว่าในปี 2023 การปล่อยมลพิษจากบริษัทน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ของโลกเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกร้อนอย่างมหาศาล ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ กว่า 50% ของการปล่อยมลพิษทั้งหมดมาจากบริษัทเพียง 36 แห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ บริษัทที่ปล่อยมลพิษสูงสุดในปี 2023 บริษัทของรัฐ: - Aramco (ซาอุดิอาระเบีย) - Coal India (อินเดีย) - CHN Energy (จีน) - NIOC (อิหร่าน) - Jinneng Group (จีน) บริษัทเอกชน: - ExxonMobil (สหรัฐฯ) - Chevron (สหรัฐฯ) - Shell (สหราชอาณาจักร) - TotalEnergies (ฝรั่งเศส) - BP (สหราชอาณาจักร) บริษัทของรัฐในกลุ่ม Top 20 มีส่วนปล่อย CO2 ถึง 52% ของการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมทั่วโลก ขณะที่บริษัทจากจีนเพียงประเทศเดียวปล่อย CO2 ถึง 23% ของการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลและปูนซีเมนต์ นอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ยังมีการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2023 โดยบริษัทที่มียอดปล่อยมลพิษสูงสุดได้แก่ Holcim Group, Heidelberg Materials, UltraTech Cement และ CRH ฐานข้อมูล Carbon Majors ไม่เพียงแต่ใช้ติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซ แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีทางกฎหมาย เช่น การผลักดันกฎหมาย Climate Superfund ในรัฐ Vermont และ New York รวมถึงการประเมินผลกระทบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลล่าสุดจาก International Energy Agency ชี้ว่าโครงการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เริ่มขึ้นหลังปี 2021 ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของการลดปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 หากเราต้องการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การปล่อยก๊าซต้องลดลง 45% ภายในปี 2030 https://www.techspot.com/news/107070-36-companies-account-50-global-co2-emissions-report.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Just 36 companies account for 50% of global CO2 emissions, report reveals
    The data indicates that over 50 percent of these emissions can be attributed to just 36 high-emitting companies, with state-owned enterprises playing a significant role.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • คาดว่าฝรั่งเศสมีหัวรบนิวเคลียร์ 290 ถึง 350 ลูก ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธร่อนพิสัยไกล ASMP-A ขนาด 300 กิโลตัน (ASMP-A nuclear supersonic missile) ติดหัวรบนิวเคลียร์อีก 50 ลูก

    สำหรับเครื่องบินรบอเนกประสงค์ Rafale B จำนวน 47 ลำ แห่งกองบินขับไล่ที่ 4 ซึ่งประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศบีเอ 113 ในเมืองแซ็ง-ดิซีเย (Saint-Dizier) ของกองทัพอากาศฝรั่งเศส โดยทุกลำมีความสามารถติดตั้งขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียงหัวรบนิวเคลียร์ ASMP-A (Air-Sol Moyenne Portée) ได้ ถือเป็นแนวหน้ากำลังหลักในด้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย

    มีรายงานว่า เครื่องบินรบ Rafale B ที่ติดอาวุธนิวเคลียร์จะถูกส่งไปประจำการที่เยอรมนีและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ เพื่อปกป้องประเทศเหล่านี้จากการรุกรานของรัสเซีย

    นอกจากนี้ เครื่องบินรบ Rafale ของฝรั่งเศส 2 ลำ ที่ติดตั้งขีปนาวุธ ASMP-A ติดหัวรบนิวเคลียร์ ยังประจำการอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน ชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) อีกด้วย

    ขีปนาวุธร่อนนำวิถีความเร็วเหนือเสียงติดหัวรบนิวเคลียร์ ASMP (Air-Sol Moyenne Portée) มีขนาด 300 กิโลตัน (kt) (เปรียบเทียบฮิโรชิมา 15 kt และนางาซากิ 25 kt) มีความเร็วที่ Mach 3+ และพิสัยการยิง 80 -300 กม. (ASMP-A ที่ 500 กม.) จะโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินที่ยิงจากอากาศ ถือเป็นอาวุธหลักของกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส
    คาดว่าฝรั่งเศสมีหัวรบนิวเคลียร์ 290 ถึง 350 ลูก ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธร่อนพิสัยไกล ASMP-A ขนาด 300 กิโลตัน (ASMP-A nuclear supersonic missile) ติดหัวรบนิวเคลียร์อีก 50 ลูก สำหรับเครื่องบินรบอเนกประสงค์ Rafale B จำนวน 47 ลำ แห่งกองบินขับไล่ที่ 4 ซึ่งประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศบีเอ 113 ในเมืองแซ็ง-ดิซีเย (Saint-Dizier) ของกองทัพอากาศฝรั่งเศส โดยทุกลำมีความสามารถติดตั้งขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียงหัวรบนิวเคลียร์ ASMP-A (Air-Sol Moyenne Portée) ได้ ถือเป็นแนวหน้ากำลังหลักในด้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย มีรายงานว่า เครื่องบินรบ Rafale B ที่ติดอาวุธนิวเคลียร์จะถูกส่งไปประจำการที่เยอรมนีและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ เพื่อปกป้องประเทศเหล่านี้จากการรุกรานของรัสเซีย นอกจากนี้ เครื่องบินรบ Rafale ของฝรั่งเศส 2 ลำ ที่ติดตั้งขีปนาวุธ ASMP-A ติดหัวรบนิวเคลียร์ ยังประจำการอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน ชาร์ลส์ เดอ โกล (Charles de Gaulle) อีกด้วย ขีปนาวุธร่อนนำวิถีความเร็วเหนือเสียงติดหัวรบนิวเคลียร์ ASMP (Air-Sol Moyenne Portée) มีขนาด 300 กิโลตัน (kt) (เปรียบเทียบฮิโรชิมา 15 kt และนางาซากิ 25 kt) มีความเร็วที่ Mach 3+ และพิสัยการยิง 80 -300 กม. (ASMP-A ที่ 500 กม.) จะโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินที่ยิงจากอากาศ ถือเป็นอาวุธหลักของกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โดนโอมท้าเป็นร้อยรอบ
    #โดนโอมแฉ๋กลางรายการทีวีแบบฉ่ำๆ
    ทั้งๆที่อิโจเหยินจะขู่ฟ๊องชาวบ้านไปทั่ว
    คอมเม้นกระทบนิดกระทบหน่อยขู่แคปฟ๊อง
    แต่กับ SUPER โอม ถึงกับหญ๋อง ไปไม่เป็น
    ได้แต่ทำตาปริบๆ โดนเปิดโดนโปงยังไง
    ก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว
    โอมไม่ได้เล่นแค่โจนะ ยันจีกามินที่อิโจเหยินเทิดทูน
    โจเคยทำอะไรโอมได้ที่ไหน ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร
    จอกมากโจ ดัดฟันไม่ได้ช่วยอะไร
    ดัดนิสัยดีกว่า แต่คงเกินเยียวยา
    กลัวโอมขรี้หดตดหาย
    ทุ๊ย!!!
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #โดนโอมท้าเป็นร้อยรอบ #โดนโอมแฉ๋กลางรายการทีวีแบบฉ่ำๆ ทั้งๆที่อิโจเหยินจะขู่ฟ๊องชาวบ้านไปทั่ว คอมเม้นกระทบนิดกระทบหน่อยขู่แคปฟ๊อง แต่กับ SUPER โอม ถึงกับหญ๋อง ไปไม่เป็น ได้แต่ทำตาปริบๆ โดนเปิดโดนโปงยังไง ก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว โอมไม่ได้เล่นแค่โจนะ ยันจีกามินที่อิโจเหยินเทิดทูน โจเคยทำอะไรโอมได้ที่ไหน ให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร จอกมากโจ ดัดฟันไม่ได้ช่วยอะไร ดัดนิสัยดีกว่า แต่คงเกินเยียวยา กลัวโอมขรี้หดตดหาย ทุ๊ย!!! #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิก RDNA 4 และ FSR 4 ของ AMD ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม

    ในการประกาศล่าสุด AMD ได้ระบุว่าสถาปัตยกรรม RDNA 4 มีการออกแบบให้เหมาะสำหรับการแสดงผลความละเอียดสูง โดยชิปกราฟิกใหม่ Radeon 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อเล่นเกมที่ความละเอียด 4K Ultra และสูงกว่า 38% ที่ความละเอียด 1440p แม้ว่าอัตราการเพิ่มประสิทธิภาพที่ 1440p จะต่ำกว่า 4K แต่ก็ยังเป็นการเพิ่มที่น่าทึ่ง

    สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการเปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 (FidelityFX Super Resolution) ของ AMD ซึ่งเป็นการอัพสเกลภาพแบบใหม่ที่ใช้ AI ในการประมวลผล โดยในงาน CES ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า FSR 4 นั้นมีประสิทธิภาพในการอัพสเกลภาพจากความละเอียดต่ำได้ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ มาก

    FSR 4 ใช้การประมวลผลแบบ FP8 ซึ่งเป็นความสามารถที่ถูกเพิ่มเข้ามาในสถาปัตยกรรม RDNA 4 ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดว่าจะใช้งานได้เฉพาะกับชิปกราฟิก RDNA 4 เท่านั้นในตอนเริ่มต้น

    นอกจากนี้ FSR 4 ยังได้มีการปรับปรุงให้รองรับกับเกมมากกว่า 30 เกมในวันเปิดตัว รวมถึงเกมดังเช่น Kingdom Come: Deliverance 2, Spider-Man 2 และ Call of Duty: Black Ops 6 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสถาปัตยกรรมกราฟิก

    https://www.techspot.com/news/106978-closer-look-amd-rdna-4-fsr-4-upscaling.html
    มีข่าวที่น่าสนใจจาก TechSpot เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิก RDNA 4 และ FSR 4 ของ AMD ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม ในการประกาศล่าสุด AMD ได้ระบุว่าสถาปัตยกรรม RDNA 4 มีการออกแบบให้เหมาะสำหรับการแสดงผลความละเอียดสูง โดยชิปกราฟิกใหม่ Radeon 9070 XT มีประสิทธิภาพสูงกว่า RX 7900 GRE ถึง 42% เมื่อเล่นเกมที่ความละเอียด 4K Ultra และสูงกว่า 38% ที่ความละเอียด 1440p แม้ว่าอัตราการเพิ่มประสิทธิภาพที่ 1440p จะต่ำกว่า 4K แต่ก็ยังเป็นการเพิ่มที่น่าทึ่ง สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการเปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 (FidelityFX Super Resolution) ของ AMD ซึ่งเป็นการอัพสเกลภาพแบบใหม่ที่ใช้ AI ในการประมวลผล โดยในงาน CES ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า FSR 4 นั้นมีประสิทธิภาพในการอัพสเกลภาพจากความละเอียดต่ำได้ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ มาก FSR 4 ใช้การประมวลผลแบบ FP8 ซึ่งเป็นความสามารถที่ถูกเพิ่มเข้ามาในสถาปัตยกรรม RDNA 4 ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดว่าจะใช้งานได้เฉพาะกับชิปกราฟิก RDNA 4 เท่านั้นในตอนเริ่มต้น นอกจากนี้ FSR 4 ยังได้มีการปรับปรุงให้รองรับกับเกมมากกว่า 30 เกมในวันเปิดตัว รวมถึงเกมดังเช่น Kingdom Come: Deliverance 2, Spider-Man 2 และ Call of Duty: Black Ops 6 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสถาปัตยกรรมกราฟิก https://www.techspot.com/news/106978-closer-look-amd-rdna-4-fsr-4-upscaling.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    A closer look at AMD's RDNA 4 and FSR 4 Upscaling
    After our initial analysis of the Radeon RX 9000 series announcement yesterday and the potential performance implications, let's put pricing aside and focus on some of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung เปิดตัว Samsung Galaxy A36 รุ่นใหม่ที่มีราคา $399 ที่เป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งในตลาดมือถือระดับกลาง โดย Galaxy A36 และ A26 ได้รับการอัปเกรดใหม่หลายด้านเช่น การปรับปรุงกล้องเสียงจอแสดงผล และแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น

    นอกเหนือจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ชื่อว่า "Awesome Intelligence" ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้อย่างรวดเร็วด้วยการวงล้อมุมหน้าจอ, เครื่องมือ Eraser ที่ช่วยลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากรูปภาพ และฟิลเตอร์ที่ผู้ใช้สามารถสร้างได้เอง นอกจากนี้ รุ่น A56 ยังมีฟีเจอร์ Best Face ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับสีหน้าของบุคคลในรูปกลุ่มให้ดูดีขึ้นได้

    Galaxy A36 5G มีการปรับปรุงที่สำคัญเช่น กล้องหลังสามตัวที่ประกอบด้วยเลนส์หลัก 50MP OIS, เลนส์กว้างพิเศษ 8MP, และเลนส์มาโคร 5MP กล้องหน้าก็ได้อัปเกรดเป็น 12MP จอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz และความสว่างสูงสุด 1200 นิต แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh รองรับการชาร์จไว 45W และมีความสามารถในการกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP67

    Galaxy A26 5G แม้จะเป็นรุ่นที่มีราคาต่ำกว่า แต่ยังคงมีฟีเจอร์ AI อันทรงพลังและกล้องที่ดีเลิศประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP, เลนส์กว้างพิเศษ 8MP, และเลนส์มาโคร 2MP จอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz และกันน้ำฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 เช่นเดียวกับรุ่น A36

    https://www.zdnet.com/article/forget-iphone-16e-samsungs-399-galaxy-a36-is-the-mid-ranger-to-beat/
    Samsung เปิดตัว Samsung Galaxy A36 รุ่นใหม่ที่มีราคา $399 ที่เป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งในตลาดมือถือระดับกลาง โดย Galaxy A36 และ A26 ได้รับการอัปเกรดใหม่หลายด้านเช่น การปรับปรุงกล้องเสียงจอแสดงผล และแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ชื่อว่า "Awesome Intelligence" ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาได้อย่างรวดเร็วด้วยการวงล้อมุมหน้าจอ, เครื่องมือ Eraser ที่ช่วยลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากรูปภาพ และฟิลเตอร์ที่ผู้ใช้สามารถสร้างได้เอง นอกจากนี้ รุ่น A56 ยังมีฟีเจอร์ Best Face ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับสีหน้าของบุคคลในรูปกลุ่มให้ดูดีขึ้นได้ Galaxy A36 5G มีการปรับปรุงที่สำคัญเช่น กล้องหลังสามตัวที่ประกอบด้วยเลนส์หลัก 50MP OIS, เลนส์กว้างพิเศษ 8MP, และเลนส์มาโคร 5MP กล้องหน้าก็ได้อัปเกรดเป็น 12MP จอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz และความสว่างสูงสุด 1200 นิต แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh รองรับการชาร์จไว 45W และมีความสามารถในการกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 Galaxy A26 5G แม้จะเป็นรุ่นที่มีราคาต่ำกว่า แต่ยังคงมีฟีเจอร์ AI อันทรงพลังและกล้องที่ดีเลิศประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP, เลนส์กว้างพิเศษ 8MP, และเลนส์มาโคร 2MP จอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz และกันน้ำฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 เช่นเดียวกับรุ่น A36 https://www.zdnet.com/article/forget-iphone-16e-samsungs-399-galaxy-a36-is-the-mid-ranger-to-beat/
    WWW.ZDNET.COM
    Forget iPhone 16e: Samsung's $399 Galaxy A36 is the mid-ranger to beat
    The A36 5G is being released alongside the A26, both of which feature AI enhancements and improvements to the camera, audio, display, and battery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เพิ่งเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับชิปกราฟิกตัวใหม่ในตระกูล Radeon RX 9000 ที่ใช้เทคโนโลยี RDNA 4 หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Navi 48 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกที่มีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงถึง 150 ล้านทรานซิสเตอร์ต่อมิลลิเมตร² เมื่อเทียบกับชิป GB203 ของ Nvidia ที่มีความหนาแน่น 120 ล้านทรานซิสเตอร์ต่อมิลลิเมตร² โดย Navi 48 มีขนาดไดต่ำกว่าที่ประมาณ 357 มิลลิเมตร² ในขณะที่ GB203 ของ Nvidia มีขนาดใหญ่กว่า

    นอกจากนั้น Navi 48 มีทรานซิสเตอร์ถึง 53.9 พันล้านตัว ซึ่งมากกว่าทรานซิสเตอร์ 45.6 พันล้านตัวของ GB203 อย่างมาก การออกแบบนี้ทำให้ Navi 48 มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการเพิ่มแคช L3 ขนาด 64MB บนชิปนี้ นอกจากนี้ AMD ยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีการประมวลผลกราฟิกเช่น Ray Tracing และ FidelityFX Super Resolution (FSR) 4 ที่ทันสมัยขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ AMD ตัดสินใจกลับมาใช้การออกแบบชิปแบบ Monolithic Die หลังจากที่เคยใช้การออกแบบแบบ Chiplet Style ใน RDNA 3 ซึ่งการตัดสินใจนี้ไม่ได้ลดความหนาแน่นหรือประสิทธิภาพของชิปลง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rdna4-navi-48-is-25-percent-denser-than-nvidia-blackwell-gpus-53-9-billion-transistors-in-a-die-smaller-than-gb203
    AMD เพิ่งเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับชิปกราฟิกตัวใหม่ในตระกูล Radeon RX 9000 ที่ใช้เทคโนโลยี RDNA 4 หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Navi 48 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกที่มีความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์สูงถึง 150 ล้านทรานซิสเตอร์ต่อมิลลิเมตร² เมื่อเทียบกับชิป GB203 ของ Nvidia ที่มีความหนาแน่น 120 ล้านทรานซิสเตอร์ต่อมิลลิเมตร² โดย Navi 48 มีขนาดไดต่ำกว่าที่ประมาณ 357 มิลลิเมตร² ในขณะที่ GB203 ของ Nvidia มีขนาดใหญ่กว่า นอกจากนั้น Navi 48 มีทรานซิสเตอร์ถึง 53.9 พันล้านตัว ซึ่งมากกว่าทรานซิสเตอร์ 45.6 พันล้านตัวของ GB203 อย่างมาก การออกแบบนี้ทำให้ Navi 48 มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการเพิ่มแคช L3 ขนาด 64MB บนชิปนี้ นอกจากนี้ AMD ยังมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีการประมวลผลกราฟิกเช่น Ray Tracing และ FidelityFX Super Resolution (FSR) 4 ที่ทันสมัยขึ้น สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ AMD ตัดสินใจกลับมาใช้การออกแบบชิปแบบ Monolithic Die หลังจากที่เคยใช้การออกแบบแบบ Chiplet Style ใน RDNA 3 ซึ่งการตัดสินใจนี้ไม่ได้ลดความหนาแน่นหรือประสิทธิภาพของชิปลง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-rdna4-navi-48-is-25-percent-denser-than-nvidia-blackwell-gpus-53-9-billion-transistors-in-a-die-smaller-than-gb203
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • Solidigm ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงถึง 122.88TB เป็นครั้งแรกในโลก โดยมีชื่อรุ่นว่า Solidigm D5-P5336 SSD รุ่นนี้ถูกใช้ในการทดสอบการรันโมเดล AI บนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก Nvidia Jetson Orin Nano Super

    Solidigm D5-P5336 เป็น SSD แบบ QLC ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen 4 โดยมีความเร็วในการอ่านแบบลำดับสูงสุดที่ 7.1 GB/s และความเร็วในการเขียนแบบลำดับสูงสุดที่ 3.3 GB/s รวมถึงประสิทธิภาพการอ่านแบบสุ่มสูงถึง 1,269,000 IOPS ซึ่งทำให้ SSD นี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและใช้งานในงานประมวลผลที่ซับซ้อนได้ดีมาก

    การทดสอบการรันโมเดล AI ทีมงานจาก StorageReview ได้ทำการทดสอบ Nvidia Jetson Orin Nano Super ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยวขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI ที่มีซีพียู 6 คอร์, GPU Ampere 1024 คอร์, และ RAM LPDDR5 ขนาด 8GB โดยใช้ SSD Solidigm D5-P5336 เพื่อรันโมเดล AI ที่ซับซ้อน

    เนื่องจากข้อจำกัดของหน่วยความจำกราฟิกบน Nano Super ทำให้การรันโมเดลที่มีพารามิเตอร์พันล้านต้องใช้วิธีการที่นวัตกรรม ทีมงานได้ใช้เทคนิคการโหลดเลเยอร์โมเดลแบบไดนามิกเพื่อข้ามข้อจำกัดนี้ และสามารถรันโมเดล DeepSeek R1 70B Distilled ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่สามารถรันบน Nano Super ปกติถึง 45 เท่า

    ความท้าทายในการทดสอบ การทดสอบพบว่าการประมวลผลด้วย Nano Super มีข้อจำกัดในด้านความเร็ว เนื่องจากการเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen 3 ทำให้ SSD ไม่สามารถแสดงศักยภาพสูงสุดได้ อย่างไรก็ตาม Nano Super ยังสามารถทำความเร็วในการอ่านได้สูงถึง 2.5GB/s และสามารถรันโมเดล AI ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ แม้ว่าจะใช้เวลาในการสร้างโทเค็นนานถึง 4.5 นาทีต่อโทเค็น ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/worlds-first-122-88tb-ssd-gets-reviewed-with-two-very-odd-bedfellows-the-controversial-deepseek-and-nvidias-jetson-orin-ai-sbc
    Solidigm ได้เปิดตัว SSD รุ่นใหม่ที่มีความจุสูงถึง 122.88TB เป็นครั้งแรกในโลก โดยมีชื่อรุ่นว่า Solidigm D5-P5336 SSD รุ่นนี้ถูกใช้ในการทดสอบการรันโมเดล AI บนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก Nvidia Jetson Orin Nano Super Solidigm D5-P5336 เป็น SSD แบบ QLC ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen 4 โดยมีความเร็วในการอ่านแบบลำดับสูงสุดที่ 7.1 GB/s และความเร็วในการเขียนแบบลำดับสูงสุดที่ 3.3 GB/s รวมถึงประสิทธิภาพการอ่านแบบสุ่มสูงถึง 1,269,000 IOPS ซึ่งทำให้ SSD นี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและใช้งานในงานประมวลผลที่ซับซ้อนได้ดีมาก การทดสอบการรันโมเดล AI ทีมงานจาก StorageReview ได้ทำการทดสอบ Nvidia Jetson Orin Nano Super ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยวขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI ที่มีซีพียู 6 คอร์, GPU Ampere 1024 คอร์, และ RAM LPDDR5 ขนาด 8GB โดยใช้ SSD Solidigm D5-P5336 เพื่อรันโมเดล AI ที่ซับซ้อน เนื่องจากข้อจำกัดของหน่วยความจำกราฟิกบน Nano Super ทำให้การรันโมเดลที่มีพารามิเตอร์พันล้านต้องใช้วิธีการที่นวัตกรรม ทีมงานได้ใช้เทคนิคการโหลดเลเยอร์โมเดลแบบไดนามิกเพื่อข้ามข้อจำกัดนี้ และสามารถรันโมเดล DeepSeek R1 70B Distilled ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่สามารถรันบน Nano Super ปกติถึง 45 เท่า ความท้าทายในการทดสอบ การทดสอบพบว่าการประมวลผลด้วย Nano Super มีข้อจำกัดในด้านความเร็ว เนื่องจากการเชื่อมต่อแบบ PCIe Gen 3 ทำให้ SSD ไม่สามารถแสดงศักยภาพสูงสุดได้ อย่างไรก็ตาม Nano Super ยังสามารถทำความเร็วในการอ่านได้สูงถึง 2.5GB/s และสามารถรันโมเดล AI ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ แม้ว่าจะใช้เวลาในการสร้างโทเค็นนานถึง 4.5 นาทีต่อโทเค็น ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/worlds-first-122-88tb-ssd-gets-reviewed-with-two-very-odd-bedfellows-the-controversial-deepseek-and-nvidias-jetson-orin-ai-sbc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD ได้เปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 สำหรับการเพิ่มคุณภาพภาพเกม ซึ่งจะสามารถรองรับเกมมากกว่า 30 เกมเมื่อเปิดตัว และมีแผนที่จะรองรับถึง 75 เกมภายในสิ้นปีนี้

    FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) เป็นเทคโนโลยีการเพิ่มความละเอียดของภาพที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูงขึ้นจากภาพต้นฉบับที่มีความละเอียดต่ำกว่า โดยเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ด Radeon RX 9070 รุ่นใหม่ที่ AMD จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

    มีการรายงานว่าเกมที่คาดว่าจะรองรับ FSR 4 ตั้งแต่เปิดตัว ได้แก่:
    - Call of Duty: Black Ops 6
    - Marvel Rivals
    - Civilization 7
    - Horizon Zero Dawn Remastered
    - และอีกหลายเกม

    นอกจากนี้, FSR 4 ยังมีการปรับปรุงคุณภาพภาพอย่างมีนัยสำคัญจาก FSR 3.1 เช่นในเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ที่ถูกนำมาแสดงในงาน CES ล่าสุด ความสามารถในการเพิ่มความละเอียดของ FSR 4 ทำให้ภาพเกมมีคุณภาพใกล้เคียงกับ Nvidia DLSS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกันของคู่แข่ง

    การที่ AMD ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างภาพใหม่จากข้อมูลเดิมช่วยให้เกมมีประสิทธิภาพและความสวยงามที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้การเล่นเกมบนกราฟิกการ์ดของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    นอกจากเกมที่รองรับอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถปรับใช้ FSR 4 ในเกมที่รองรับ FSR 3.1 โดยการเปิดใช้งานผ่านตัวเลือกในเกม ทำให้มีเกมหลายร้อยเกมที่อาจรองรับ FSR 4 ในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/106956-amd-fsr4-support-over-30-games-launch-75.html
    AMD ได้เปิดตัวเทคโนโลยี FSR 4 สำหรับการเพิ่มคุณภาพภาพเกม ซึ่งจะสามารถรองรับเกมมากกว่า 30 เกมเมื่อเปิดตัว และมีแผนที่จะรองรับถึง 75 เกมภายในสิ้นปีนี้ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) เป็นเทคโนโลยีการเพิ่มความละเอียดของภาพที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูงขึ้นจากภาพต้นฉบับที่มีความละเอียดต่ำกว่า โดยเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ด Radeon RX 9070 รุ่นใหม่ที่ AMD จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ มีการรายงานว่าเกมที่คาดว่าจะรองรับ FSR 4 ตั้งแต่เปิดตัว ได้แก่: - Call of Duty: Black Ops 6 - Marvel Rivals - Civilization 7 - Horizon Zero Dawn Remastered - และอีกหลายเกม นอกจากนี้, FSR 4 ยังมีการปรับปรุงคุณภาพภาพอย่างมีนัยสำคัญจาก FSR 3.1 เช่นในเกม Ratchet & Clank: Rift Apart ที่ถูกนำมาแสดงในงาน CES ล่าสุด ความสามารถในการเพิ่มความละเอียดของ FSR 4 ทำให้ภาพเกมมีคุณภาพใกล้เคียงกับ Nvidia DLSS ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คล้ายกันของคู่แข่ง การที่ AMD ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างภาพใหม่จากข้อมูลเดิมช่วยให้เกมมีประสิทธิภาพและความสวยงามที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้การเล่นเกมบนกราฟิกการ์ดของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นอกจากเกมที่รองรับอย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถปรับใช้ FSR 4 ในเกมที่รองรับ FSR 3.1 โดยการเปิดใช้งานผ่านตัวเลือกในเกม ทำให้มีเกมหลายร้อยเกมที่อาจรองรับ FSR 4 ในอนาคต https://www.techspot.com/news/106956-amd-fsr4-support-over-30-games-launch-75.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD FSR 4 to support over 30 games at launch, 75 by the end of the year
    VideoCardz has leaked more information regarding AMD's upcoming Radeon RX 9070 graphics cards. The outlet recently published an allegedly official list of around 35 games supporting the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดเครือข่าย SuperNIC รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า ConnectX-8 ซึ่งเป็นการ์ดที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 800Gbps นับว่าเป็นความก้าวหน้าใหญ่จากรุ่นก่อนหน้าที่มีความเร็ว 400Gbps การออกแบบของการ์ดนี้มีลักษณะคล้ายกับ GPU แบบดั้งเดิม ด้วยรูปทรงที่บางและมีแผ่นหลังเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและประสิทธิภาพในการระบายความร้อน

    การ์ด ConnectX-8 นี้ต้องการการเชื่อมต่อ PCIe Gen6 x16 หรือสองช่องทางของ Gen5 x16 เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของการ์ดนี้เกินความสามารถของ CPU เดียวที่จะจัดการได้ ความสามารถนี้เหมาะสมกับความต้องการในการเชื่อมต่อที่สูงของแพลตฟอร์ม Grace ของ Nvidia ซึ่งการ์ด ConnectX-8 ทำหน้าที่สำคัญในการเชื่อมต่อเพิ่มเติม

    การออกแบบของ ConnectX-8 มีลักษณะเหมือนกับ GPU รุ่นใหม่ๆ ซึ่งบ่งบอกว่า Nvidia อาจมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สามารถผสานรวมเข้ากับศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสามารถในการประมวลผลสูง

    ในด้านการใช้งาน ConnectX-8 มีพอร์ตเดียวที่ให้แบนด์วิธสูง และมีการเชื่อมต่อแบบมัลติ-โฮสต์ ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อกับ CPU เพิ่มเติมหรือทำหน้าที่เป็น PCIe switch output ได้ ทำให้ระบบเครือข่ายมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/the-shape-of-things-to-come-nvidias-super-fast-800gbps-supernic-card-spied-at-sc24-and-this-connect-x-8-aib-vaguely-resembles-a-gpu
    Nvidia ได้เปิดตัวการ์ดเครือข่าย SuperNIC รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า ConnectX-8 ซึ่งเป็นการ์ดที่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 800Gbps นับว่าเป็นความก้าวหน้าใหญ่จากรุ่นก่อนหน้าที่มีความเร็ว 400Gbps การออกแบบของการ์ดนี้มีลักษณะคล้ายกับ GPU แบบดั้งเดิม ด้วยรูปทรงที่บางและมีแผ่นหลังเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและประสิทธิภาพในการระบายความร้อน การ์ด ConnectX-8 นี้ต้องการการเชื่อมต่อ PCIe Gen6 x16 หรือสองช่องทางของ Gen5 x16 เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของการ์ดนี้เกินความสามารถของ CPU เดียวที่จะจัดการได้ ความสามารถนี้เหมาะสมกับความต้องการในการเชื่อมต่อที่สูงของแพลตฟอร์ม Grace ของ Nvidia ซึ่งการ์ด ConnectX-8 ทำหน้าที่สำคัญในการเชื่อมต่อเพิ่มเติม การออกแบบของ ConnectX-8 มีลักษณะเหมือนกับ GPU รุ่นใหม่ๆ ซึ่งบ่งบอกว่า Nvidia อาจมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สามารถผสานรวมเข้ากับศูนย์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสามารถในการประมวลผลสูง ในด้านการใช้งาน ConnectX-8 มีพอร์ตเดียวที่ให้แบนด์วิธสูง และมีการเชื่อมต่อแบบมัลติ-โฮสต์ ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อกับ CPU เพิ่มเติมหรือทำหน้าที่เป็น PCIe switch output ได้ ทำให้ระบบเครือข่ายมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น https://www.techradar.com/pro/the-shape-of-things-to-come-nvidias-super-fast-800gbps-supernic-card-spied-at-sc24-and-this-connect-x-8-aib-vaguely-resembles-a-gpu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เผยถึงการปรับปรุงหน่วยประมวลผลข้อมูล (Data Processing Unit - DPU) รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า BlueField-3 ซึ่งไม่เพียงเป็นซุปเปอร์นิกส์ (SuperNIC) แบบปกติ แต่ยังเป็นแบบ self-hosted ที่ถูกออกแบบมาเน้นการใช้งานในงานเก็บข้อมูล

    SuperNIC เป็นคำที่ใช้เรียกอุปกรณ์เครือข่ายชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วในการประมวลผลข้อมูลในศูนย์ข้อมูลที่ใช้ AI โดยเฉพาะ SuperNIC เป็นตัวเร่งเครือข่ายที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ GPU ทำให้การสื่อสารระหว่าง GPU เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

    BlueField-3 รุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มความเร็วของหน่วยความจำอย่างมาก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดย BlueField-2 DPU ใช้การออกแบบแบบช่องเดียวซึ่งทำให้ความเร็วหน่วยความจำต่ำกว่า แต่ BlueField-3 รุ่นใหม่นี้มีอินเตอร์เฟซหน่วยความจำ DDR5-5600 แบบคู่ขนาด 64 บิต ทำให้มีความเร็วหน่วยความจำถึง 80GB/s ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลข้อมูลและประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้งานที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลความเร็วสูง

    BlueField-3 B3220SH เป็นเวอร์ชันพิเศษที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง โดยสามารถเชื่อมต่อกับ NVMe SSDs และ GPUs ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาซีพียูภายนอก ความสามารถนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่ต้องพึ่งพาซีพียู x86 หรือ Arm แบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการไหลข้อมูลและลดเวลาแฝง ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมในงานที่ต้องการเก็บข้อมูลมาก

    การออกแบบนี้ยังสนับสนุนการใช้งานในหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing - HPC) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) BlueField-3 สามารถลดงานที่ซ้ำซ้อนจากซีพียู ทำให้ทรัพยากรในการประมวลผลถูกปล่อยให้ใช้งานในงานที่สร้างรายได้ได้มากขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/nvidias-bluefield-3-supernic-morphs-into-a-special-self-hosted-storage-powerhouse-with-an-80gbps-memory-boost-and-pcie-ready-architecture
    Nvidia ได้เผยถึงการปรับปรุงหน่วยประมวลผลข้อมูล (Data Processing Unit - DPU) รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า BlueField-3 ซึ่งไม่เพียงเป็นซุปเปอร์นิกส์ (SuperNIC) แบบปกติ แต่ยังเป็นแบบ self-hosted ที่ถูกออกแบบมาเน้นการใช้งานในงานเก็บข้อมูล SuperNIC เป็นคำที่ใช้เรียกอุปกรณ์เครือข่ายชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อเร่งความเร็วในการประมวลผลข้อมูลในศูนย์ข้อมูลที่ใช้ AI โดยเฉพาะ SuperNIC เป็นตัวเร่งเครือข่ายที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ GPU ทำให้การสื่อสารระหว่าง GPU เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง BlueField-3 รุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มความเร็วของหน่วยความจำอย่างมาก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดย BlueField-2 DPU ใช้การออกแบบแบบช่องเดียวซึ่งทำให้ความเร็วหน่วยความจำต่ำกว่า แต่ BlueField-3 รุ่นใหม่นี้มีอินเตอร์เฟซหน่วยความจำ DDR5-5600 แบบคู่ขนาด 64 บิต ทำให้มีความเร็วหน่วยความจำถึง 80GB/s ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลข้อมูลและประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้งานที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลความเร็วสูง BlueField-3 B3220SH เป็นเวอร์ชันพิเศษที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง โดยสามารถเชื่อมต่อกับ NVMe SSDs และ GPUs ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาซีพียูภายนอก ความสามารถนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่ต้องพึ่งพาซีพียู x86 หรือ Arm แบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของการไหลข้อมูลและลดเวลาแฝง ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมในงานที่ต้องการเก็บข้อมูลมาก การออกแบบนี้ยังสนับสนุนการใช้งานในหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing - HPC) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) BlueField-3 สามารถลดงานที่ซ้ำซ้อนจากซีพียู ทำให้ทรัพยากรในการประมวลผลถูกปล่อยให้ใช้งานในงานที่สร้างรายได้ได้มากขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/nvidias-bluefield-3-supernic-morphs-into-a-special-self-hosted-storage-powerhouse-with-an-80gbps-memory-boost-and-pcie-ready-architecture
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีการศึกษาล่าสุดของนักวิจัยที่ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ NASA เพื่อสร้างแบบจำลองใหม่ของ Oort Cloud ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากวงโคจรของดาวพลูโต Oort Cloud เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุที่เป็นน้ำแข็งซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์ และเป็นที่มาของดาวหางระยะยาวที่บางครั้งจะพุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะของเรา

    Oort Cloud เริ่มต้นที่ระยะประมาณ 2,000 ถึง 5,000 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) จากดวงอาทิตย์ โดย 1 AU คือระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ ขอบเขตด้านนอกของ Oort Cloud ยาวถึง 10,000 ถึง 100,000 AU ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเห็นได้ แต่สามารถอนุมานได้จากดาวหางที่มาจากพื้นที่นี้

    จนถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า Oort Cloud มีอยู่จริงแต่ไม่เข้าใจรูปร่างของมันมากนัก อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจาก Southwest Research Institute และ American Museum of Natural History ได้เสนอว่าโครงสร้างภายในของ Oort Cloud อาจเป็น เกลียว คล้ายกับกาแล็กซีขนาดจิ๋ว

    นักวิจัยได้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "galactic tide" ซึ่งเป็นผลรวมของแรงดึงดูดจากดาวฤกษ์ หลุมดำ และมวลรวมอื่น ๆ ภายในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก สำหรับวัตถุที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ แรงเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ แต่ใน Oort Cloud แรงเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยหลัก

    โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Pleiades ของ NASA ทีมวิจัยได้รันการจำลองที่รวม galactic tide และผลกระทบอื่น ๆ เป็นเวลาหลายพันล้านปี ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า Oort Cloud มีโครงสร้างเป็นแผ่นเกลียวขนาดประมาณ 15,000 AU โดยมีเกลียวสองเส้น ซึ่งทำให้ Oort Cloud ดูเหมือนกับกาแล็กซีขนาดเล็กและแปลกจากรูปแบบที่เคยเห็นในโมเดลส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

    สาเหตุของการเกิดเกลียวนี้มาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Kozai-Lidov effect ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แรงดึงดูดที่ทำให้เกิดการสั่นไหวระยะยาวในวงโคจรของวัตถุใน Oort Cloud ในขณะที่แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรามีผลกระทบน้อยมาก

    การจับภาพเพื่อยืนยันโครงสร้างนี้เป็นความท้าทายใหญ่ วิธีหนึ่งที่อาจใช้ได้คือการติดตามวัตถุใน Oort Cloud จำนวนมากในระยะยาว อีกวิธีหนึ่งคือการตรวจจับแสงที่มองเห็นร่วมกันของพวกมันในขณะที่กรองแสงจากแหล่งอื่นออกไป แต่น่าเสียดายว่าทั้งสองวิธีนี้ยังไม่มีการลงทุนที่เพียงพอ

    https://www.techspot.com/news/106898-nasa-supercomputer-suggests-oort-cloud-may-spiral-like.html
    มีการศึกษาล่าสุดของนักวิจัยที่ใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ NASA เพื่อสร้างแบบจำลองใหม่ของ Oort Cloud ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากวงโคจรของดาวพลูโต Oort Cloud เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยวัตถุที่เป็นน้ำแข็งซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์ และเป็นที่มาของดาวหางระยะยาวที่บางครั้งจะพุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะของเรา Oort Cloud เริ่มต้นที่ระยะประมาณ 2,000 ถึง 5,000 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) จากดวงอาทิตย์ โดย 1 AU คือระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ ขอบเขตด้านนอกของ Oort Cloud ยาวถึง 10,000 ถึง 100,000 AU ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเห็นได้ แต่สามารถอนุมานได้จากดาวหางที่มาจากพื้นที่นี้ จนถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่า Oort Cloud มีอยู่จริงแต่ไม่เข้าใจรูปร่างของมันมากนัก อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจาก Southwest Research Institute และ American Museum of Natural History ได้เสนอว่าโครงสร้างภายในของ Oort Cloud อาจเป็น เกลียว คล้ายกับกาแล็กซีขนาดจิ๋ว นักวิจัยได้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "galactic tide" ซึ่งเป็นผลรวมของแรงดึงดูดจากดาวฤกษ์ หลุมดำ และมวลรวมอื่น ๆ ภายในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก สำหรับวัตถุที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ แรงเหล่านี้ไม่สำคัญเท่าแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ แต่ใน Oort Cloud แรงเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยหลัก โดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Pleiades ของ NASA ทีมวิจัยได้รันการจำลองที่รวม galactic tide และผลกระทบอื่น ๆ เป็นเวลาหลายพันล้านปี ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า Oort Cloud มีโครงสร้างเป็นแผ่นเกลียวขนาดประมาณ 15,000 AU โดยมีเกลียวสองเส้น ซึ่งทำให้ Oort Cloud ดูเหมือนกับกาแล็กซีขนาดเล็กและแปลกจากรูปแบบที่เคยเห็นในโมเดลส่วนใหญ่ในปัจจุบัน สาเหตุของการเกิดเกลียวนี้มาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Kozai-Lidov effect ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แรงดึงดูดที่ทำให้เกิดการสั่นไหวระยะยาวในวงโคจรของวัตถุใน Oort Cloud ในขณะที่แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรามีผลกระทบน้อยมาก การจับภาพเพื่อยืนยันโครงสร้างนี้เป็นความท้าทายใหญ่ วิธีหนึ่งที่อาจใช้ได้คือการติดตามวัตถุใน Oort Cloud จำนวนมากในระยะยาว อีกวิธีหนึ่งคือการตรวจจับแสงที่มองเห็นร่วมกันของพวกมันในขณะที่กรองแสงจากแหล่งอื่นออกไป แต่น่าเสียดายว่าทั้งสองวิธีนี้ยังไม่มีการลงทุนที่เพียงพอ https://www.techspot.com/news/106898-nasa-supercomputer-suggests-oort-cloud-may-spiral-like.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    NASA supercomputer suggests the Oort Cloud may be a spiral, like a miniature galaxy
    The Oort Cloud begins roughly 2,000 – 5,000 astronomical units (AU) from the Sun, with 1 AU being the average distance between Earth and the Sun. Its...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชายชาวฟลอริดา ชื่อ Jonathan Challinger ขับรถ Tesla Cybertruck ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving) แต่รถกลับชนเข้ากับเสาไฟโดยไม่ได้พยายามชะลอหรือเลี้ยวก่อนชน ขณะที่เขาโพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้บนสื่อสังคม X เขากลับขอบคุณ Tesla ที่สร้างระบบความปลอดภัยระดับโลก เนื่องจากเขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์นี้

    Challinger เล่าในโพสต์ว่า รถ Cybertruck ของเขาทำงานผิดพลาด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนขณะที่กำลังวิ่งอยู่ในเลนที่กำลังจะสิ้นสุด ส่งผลให้รถวิ่งข้ามขอบถนนและชนเข้ากับเสาไฟทันที โพสต์นี้ได้รับการรับชมเกือบสองล้านครั้งก่อนที่จะถูกลบออก

    สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า Tesla จะมีฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติที่สามารถนำรถผ่านทางโค้ง สี่แยก การเลี้ยวซ้ายและขวา วงเวียน และทางหลวงได้ แต่ในคู่มือของ Cybertruck ยังคงระบุว่าผู้ขับขี่จะต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลาและต้องมีมือจับพวงมาลัยในขณะที่เปิดใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ

    Elon Musk, ซีอีโอของ Tesla เคยประกาศในเดือนมกราคมว่าบริษัทจะเปิดตัวรถแท็กซี่อัตโนมัติ (robotaxis) ในเมืองออสตินภายในฤดูร้อนปีนี้ และยังวางแผนที่จะขยายระบบขับขี่อัตโนมัติโดยไม่ต้องควบคุม (unsupervised Full Self-Driving) ไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียและพื้นที่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2025

    แม้ว่าในเหตุการณ์นี้ Challinger จะชี้โทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายผิดและเรียกร้องให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีความตื่นตัวในการขับขี่อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นข้อเตือนใจให้เห็นว่าระบบขับขี่อัตโนมัติยังไม่สมบูรณ์และยังคงต้องการการเฝ้าระวังจากผู้ขับขี่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/tesla-is-safest-in-the-world-says-driver-whose-cybertruck-self-drove-into-pole
    ชายชาวฟลอริดา ชื่อ Jonathan Challinger ขับรถ Tesla Cybertruck ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving) แต่รถกลับชนเข้ากับเสาไฟโดยไม่ได้พยายามชะลอหรือเลี้ยวก่อนชน ขณะที่เขาโพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้บนสื่อสังคม X เขากลับขอบคุณ Tesla ที่สร้างระบบความปลอดภัยระดับโลก เนื่องจากเขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยจากเหตุการณ์นี้ Challinger เล่าในโพสต์ว่า รถ Cybertruck ของเขาทำงานผิดพลาด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนขณะที่กำลังวิ่งอยู่ในเลนที่กำลังจะสิ้นสุด ส่งผลให้รถวิ่งข้ามขอบถนนและชนเข้ากับเสาไฟทันที โพสต์นี้ได้รับการรับชมเกือบสองล้านครั้งก่อนที่จะถูกลบออก สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า Tesla จะมีฟีเจอร์ขับขี่อัตโนมัติที่สามารถนำรถผ่านทางโค้ง สี่แยก การเลี้ยวซ้ายและขวา วงเวียน และทางหลวงได้ แต่ในคู่มือของ Cybertruck ยังคงระบุว่าผู้ขับขี่จะต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลาและต้องมีมือจับพวงมาลัยในขณะที่เปิดใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ Elon Musk, ซีอีโอของ Tesla เคยประกาศในเดือนมกราคมว่าบริษัทจะเปิดตัวรถแท็กซี่อัตโนมัติ (robotaxis) ในเมืองออสตินภายในฤดูร้อนปีนี้ และยังวางแผนที่จะขยายระบบขับขี่อัตโนมัติโดยไม่ต้องควบคุม (unsupervised Full Self-Driving) ไปยังรัฐแคลิฟอร์เนียและพื้นที่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2025 แม้ว่าในเหตุการณ์นี้ Challinger จะชี้โทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายผิดและเรียกร้องให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีความตื่นตัวในการขับขี่อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นข้อเตือนใจให้เห็นว่าระบบขับขี่อัตโนมัติยังไม่สมบูรณ์และยังคงต้องการการเฝ้าระวังจากผู้ขับขี่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/22/tesla-is-safest-in-the-world-says-driver-whose-cybertruck-self-drove-into-pole
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tesla is safest in the world, says driver whose Cybertruck self-drove into pole
    The car "made no attempt to slow down or turn until it had already hit the curb,"the man said in a the post, which received nearly two million views and was later deleted.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Dell กำลังจะทำสัญญากับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่มีมูลค่าถึง $5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะใช้ชิป Nvidia GB200 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)

    ข้อตกลงนี้คาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Memphis supercomputer ของ xAI ซึ่งกำลังสร้างขึ้นในเมืองเมมฟิส โดยใช้เซิร์ฟเวอร์จาก Dell และ Supermicro บางส่วน รายงานบอกว่าข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาบางส่วน แต่คาดว่าจะสามารถส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ได้ในปลายปี 2025

    Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่า "การจะสามารถแข่งขันในด้าน AI ได้นั้นต้องใช้เงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี" และครั้งนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง

    นอกจากนี้ Dell ยังคาดการณ์ว่ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบประมาณ 2026 การชนะข้อตกลงนี้จะทำให้ Dell สามารถยกระดับสถานะของตนในตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI ได้อย่างชัดเจน

    ก่อนหน้านี้ HPE ได้รับสัญญามูลค่า $1 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก xAI เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงาน AI ซึ่งแสดงถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนี้ การที่ Dell สามารถเข้ามาแย่งข้อตกลงจากคู่แข่งยิ่งทำให้เห็นว่า Dell มีความตั้งใจที่จะขยายตลาดนี้อย่างจริงจัง

    นักวิเคราะห์คาดว่า Dell จะส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ AI มูลค่ามากกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณที่ผ่านมา และมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 การทำสัญญากับ xAI ครั้งนี้จะช่วยยกระดับสถานะของ Dell ในตลาด AI และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทอย่างชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์ Woo Jin Ho ของ Bloomberg Intelligence ระบุว่าจะ "ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำด้านเซิร์ฟเวอร์ AI อย่างมั่นคง"

    https://www.techradar.com/pro/xai-could-sign-a-usd5-billion-deal-with-dell-for-thousands-of-servers-with-nvidias-gb200-blackwell-ai-gpu-accelerators
    บริษัท Dell กำลังจะทำสัญญากับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่มีมูลค่าถึง $5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้จะใช้ชิป Nvidia GB200 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ข้อตกลงนี้คาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Memphis supercomputer ของ xAI ซึ่งกำลังสร้างขึ้นในเมืองเมมฟิส โดยใช้เซิร์ฟเวอร์จาก Dell และ Supermicro บางส่วน รายงานบอกว่าข้อตกลงนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาบางส่วน แต่คาดว่าจะสามารถส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ได้ในปลายปี 2025 Elon Musk เคยกล่าวไว้ว่า "การจะสามารถแข่งขันในด้าน AI ได้นั้นต้องใช้เงินหลายพันล้านเหรียญต่อปี" และครั้งนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างจริงจัง นอกจากนี้ Dell ยังคาดการณ์ว่ารายได้จากเซิร์ฟเวอร์ AI ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบประมาณ 2026 การชนะข้อตกลงนี้จะทำให้ Dell สามารถยกระดับสถานะของตนในตลาดเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ AI ได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ HPE ได้รับสัญญามูลค่า $1 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก xAI เพื่อส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทำงาน AI ซึ่งแสดงถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดนี้ การที่ Dell สามารถเข้ามาแย่งข้อตกลงจากคู่แข่งยิ่งทำให้เห็นว่า Dell มีความตั้งใจที่จะขยายตลาดนี้อย่างจริงจัง นักวิเคราะห์คาดว่า Dell จะส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ AI มูลค่ามากกว่า $10 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณที่ผ่านมา และมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น $14 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2026 การทำสัญญากับ xAI ครั้งนี้จะช่วยยกระดับสถานะของ Dell ในตลาด AI และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทอย่างชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์ Woo Jin Ho ของ Bloomberg Intelligence ระบุว่าจะ "ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำด้านเซิร์ฟเวอร์ AI อย่างมั่นคง" https://www.techradar.com/pro/xai-could-sign-a-usd5-billion-deal-with-dell-for-thousands-of-servers-with-nvidias-gb200-blackwell-ai-gpu-accelerators
    WWW.TECHRADAR.COM
    Dell's deal with Grok's mothership set to be confirmed according to business reports
    The order is expected to form part of xAI's Memphis supercomputer project
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ

    ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ

    ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้

    นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม

    Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก

    Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้

    https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    นักวิจัยจาก Imperial College London ได้ใช้เวลาราว 10 ปีในการแก้ไขปัญหาซูเปอร์บั๊ก (superbug) แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google เครื่องมือนี้เรียกว่า co-scientist ซึ่งเป็นระบบ AI แบบหลายตัวแทนที่ใช้ Gemini 2.0 ในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และข้อเสนอวิจัยใหม่ ๆ ซูเปอร์บั๊ก (Superbug) คือเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อเหล่านี้ยากขึ้นมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม เช่น การใช้ยาเกินความจำเป็น การใช้ยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง หรือการซื้อยามาทานเอง ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ ปัญหาที่นักวิจัยให้เครื่องมือนี้แก้ไขคือ ทำไมซูเปอร์บั๊กบางตัวจึงต้านทานยาปฏิชีวนะได้ Professor José R Penadés บอกกับ BBC ว่า co-scientist ได้ข้อสันนิษฐานที่เหมือนกับทีมของเขา คือ ซูเปอร์บั๊กสามารถสร้างหางที่ทำให้พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปยังชนิดอื่นได้ ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจหลักที่ช่วยให้บั๊กสามารถย้ายที่อยู่ได้ นอกจากการยืนยันสมมติฐานเดิมแล้ว co-scientist ยังได้สร้างสมมติฐานเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและหนึ่งในนั้นทีมวิจัยยังไม่เคยพิจารณามาก่อน ซึ่งขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาสมมติฐานใหม่นี้เพิ่มเติม Penadés กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาเชื่อว่า AI เครื่องมือนี้จะเปลี่ยนแปลงวงการวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเปรียบเสมือนกับการได้เล่นแมตช์ใหญ่ในแชมเปี้ยนส์ลีก Google กล่าวว่า co-scientist ทำงานเป็น "ผู้ร่วมงานวิจัยเสมือน" ที่สามารถช่วยเร่งการค้นพบด้านชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์ได้ องค์กรวิจัยที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบได้ https://www.techspot.com/news/106874-ai-accelerates-superbug-solution-completing-two-days-what.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists spent 10 years on a superbug mystery - Google's AI solved it in 48 hours
    Professor José R Penadés told the BBC that Google's tool reached the same hypothesis that his team had – that superbugs can create a tail that allows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผำหรือไข่น้ำ Superfood ของเมืองไทยที่มีคุณประโยชน์สูงมาก
    https://youtu.be/irWeY86VDnU?si=AVdxgYQ6-xA9YFWD
    สนใจผลิตภัณฑ์โปรตีนจากผำ 👉Line: @t1herb
    #dgreen #โปรตีนผำ
    ผำหรือไข่น้ำ Superfood ของเมืองไทยที่มีคุณประโยชน์สูงมาก https://youtu.be/irWeY86VDnU?si=AVdxgYQ6-xA9YFWD สนใจผลิตภัณฑ์โปรตีนจากผำ 👉Line: @t1herb #dgreen #โปรตีนผำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • 6G ตัวเปลี่ยนเกมและวิถีสงครามโลกยุคใหม่
    .
    หัวเว่ยกำลังสร้างนวัตกรรม 6G และเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หลังจากต้องเผชิญกับความมืดมน ความไม่แน่นอน และความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน แต่ก็ได้พบกับปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นไปได้ ตามคำกล่าวของเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง CEO ของหัวเว่ย ที่หลายปีก่อนเธอถูกจับเป็นตัวประกันที่แคนาดา ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา
    .
    หัวเว่ยจะเป็นบริษัทแรกในโลกนี้ที่นำ 6G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ผมเคยพูดไว้แล้วในรายการตอน213เมื่อ29ตุลาคม2566 เกือบสองปีแล้วที่ผมวิเคราะห์ว่าเรื่อง Super Network 6G อนาคตโลกในมือจีน วันนี้หัวเว่ยประกาศว่าระบบการสื่อสารแบบ 6G จะมีการเปิดใช้เชิงพาณิชย์ ภายในปี 2573 อีกห้าปีข้างหน้า เร็วมาก ชีวิตประจำวันของคนเราจะเปลี่ยนไปโดย 6G ของหัวเว่ย ซึ่งได้รวมการสื่อสารภาคพื้นดิน อวกาศ ดาวเทียม และทะเล เข้าด้วยกัน นำไปใช้ในอุปกรณ์อย่างเช่น IoT: Internet of Things ใช้ในอุตสาหกรรมการขับขี่ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โรงงานที่เป็น Smart Factory และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    .
    ขณะนี้รัฐบาลจีนได้อนุมัติใช้คลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิร์ตซ เพื่อรองรับไว้แล้ว และจะปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารไปอีกขั้น เพราะ 6G มีความเร็วกว่า 5G ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ถึง 100 เท่า ปานสายฟ้าแลบและใช้พลังงานน้อยกว่าแบตเตอรีน้อยกว่า 5G ถึง 10 เท่า ทำให้หัวเว่ยเป็นผู้นำการพัฒนา 6G ทิ้งห่างประเทศตะวันตกอย่างยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น
    .
    หัวเว่ยมีสิทธิบัตรทาง 6G มากที่สุดในโลกถึง 12,700 ฉบับหรือประมาณ 35% ของทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นถึงความรุนแรงของสงคราม 6G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ความสำเร็จของหัวเว่ยคือชัยชนะของนวัตกรรม หรือเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้กับมหาอำนาจอเมริกา และชาติตะวันตก ที่ตั้งใจจะบดขยี้หัวเว่ยให้จมดิน
    .
    ดังนั้น 6G กับแสนยานุภาพทางการทหารจีนที่จีนพุ่งเป้านำเทคโนโลยี 6G ไปใช้ในการทหารก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากสำหรับกองทัพแล้ว ประสิทธิภาพมีความสำคัญ และนี่คือสมรภูมิการแข่งขันที่มีความสำคัญ สมรภูมิการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาวุธและสนามรบด้านแสนยานุภาพของการทหารอีกด้วย
    .
    รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวซินหัว เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนตอนนี้มีสถานีฐาน 5G 4.1 ล้านแห่งแล้ว สถานี 5G 4 ล้านกว่าแห่ง เป้าหมายต่อไปใน 2 ปีข้างหน้า 2570 ผู้ใช้เครือข่ายไร้สายในประเทศจีน ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่า 85% จะต้องเข้าถึงโครงข่าย 5G อีกสามปีข้างหน้านั่นเองและก็ถึงเวลาที่จะต้องเปิด 6G
    .
    จาก 5G ไปถึง 6G เทคโนโลยีที่เปรียบเทียบได้กับการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต แต่เป้าหมายในการแข่งขันนั้นไม่ใช่เรื่องการลงจอดบนดวงจันทร์อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องการสร้างรากฐานของการเชื่อมต่อสำหรับทศวรรษหน้าที่กำลังจะมาถึง
    .
    จะเห็นได้ว่าการแข่งขันเพื่อ 6G ของหัวเว่ยนั้น มีความหมายมากกว่าความเร็วของอินเทอร์เน็ต แต่ยังเกี่ยวกับการที่ประเทศจีนกำลังจะเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และสารสนเทศในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งจีน อเมริกา และยุโรป กำลังแข่งขันกันเพื่อครองความได้เปรียบบนพื้นที่โลกดิจิทัลในอนาคต เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของเกมเทคโนโลยีอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุดที่จะนำพาประเทศนั้นๆ สังคมนั้นๆ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองระยะยาว
    6G ตัวเปลี่ยนเกมและวิถีสงครามโลกยุคใหม่ . หัวเว่ยกำลังสร้างนวัตกรรม 6G และเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หลังจากต้องเผชิญกับความมืดมน ความไม่แน่นอน และความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน แต่ก็ได้พบกับปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นไปได้ ตามคำกล่าวของเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง CEO ของหัวเว่ย ที่หลายปีก่อนเธอถูกจับเป็นตัวประกันที่แคนาดา ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา . หัวเว่ยจะเป็นบริษัทแรกในโลกนี้ที่นำ 6G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ผมเคยพูดไว้แล้วในรายการตอน213เมื่อ29ตุลาคม2566 เกือบสองปีแล้วที่ผมวิเคราะห์ว่าเรื่อง Super Network 6G อนาคตโลกในมือจีน วันนี้หัวเว่ยประกาศว่าระบบการสื่อสารแบบ 6G จะมีการเปิดใช้เชิงพาณิชย์ ภายในปี 2573 อีกห้าปีข้างหน้า เร็วมาก ชีวิตประจำวันของคนเราจะเปลี่ยนไปโดย 6G ของหัวเว่ย ซึ่งได้รวมการสื่อสารภาคพื้นดิน อวกาศ ดาวเทียม และทะเล เข้าด้วยกัน นำไปใช้ในอุปกรณ์อย่างเช่น IoT: Internet of Things ใช้ในอุตสาหกรรมการขับขี่ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โรงงานที่เป็น Smart Factory และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง . ขณะนี้รัฐบาลจีนได้อนุมัติใช้คลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิร์ตซ เพื่อรองรับไว้แล้ว และจะปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารไปอีกขั้น เพราะ 6G มีความเร็วกว่า 5G ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ถึง 100 เท่า ปานสายฟ้าแลบและใช้พลังงานน้อยกว่าแบตเตอรีน้อยกว่า 5G ถึง 10 เท่า ทำให้หัวเว่ยเป็นผู้นำการพัฒนา 6G ทิ้งห่างประเทศตะวันตกอย่างยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น . หัวเว่ยมีสิทธิบัตรทาง 6G มากที่สุดในโลกถึง 12,700 ฉบับหรือประมาณ 35% ของทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นถึงความรุนแรงของสงคราม 6G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ความสำเร็จของหัวเว่ยคือชัยชนะของนวัตกรรม หรือเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้กับมหาอำนาจอเมริกา และชาติตะวันตก ที่ตั้งใจจะบดขยี้หัวเว่ยให้จมดิน . ดังนั้น 6G กับแสนยานุภาพทางการทหารจีนที่จีนพุ่งเป้านำเทคโนโลยี 6G ไปใช้ในการทหารก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากสำหรับกองทัพแล้ว ประสิทธิภาพมีความสำคัญ และนี่คือสมรภูมิการแข่งขันที่มีความสำคัญ สมรภูมิการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาวุธและสนามรบด้านแสนยานุภาพของการทหารอีกด้วย . รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวซินหัว เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนตอนนี้มีสถานีฐาน 5G 4.1 ล้านแห่งแล้ว สถานี 5G 4 ล้านกว่าแห่ง เป้าหมายต่อไปใน 2 ปีข้างหน้า 2570 ผู้ใช้เครือข่ายไร้สายในประเทศจีน ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่า 85% จะต้องเข้าถึงโครงข่าย 5G อีกสามปีข้างหน้านั่นเองและก็ถึงเวลาที่จะต้องเปิด 6G . จาก 5G ไปถึง 6G เทคโนโลยีที่เปรียบเทียบได้กับการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต แต่เป้าหมายในการแข่งขันนั้นไม่ใช่เรื่องการลงจอดบนดวงจันทร์อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องการสร้างรากฐานของการเชื่อมต่อสำหรับทศวรรษหน้าที่กำลังจะมาถึง . จะเห็นได้ว่าการแข่งขันเพื่อ 6G ของหัวเว่ยนั้น มีความหมายมากกว่าความเร็วของอินเทอร์เน็ต แต่ยังเกี่ยวกับการที่ประเทศจีนกำลังจะเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และสารสนเทศในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งจีน อเมริกา และยุโรป กำลังแข่งขันกันเพื่อครองความได้เปรียบบนพื้นที่โลกดิจิทัลในอนาคต เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของเกมเทคโนโลยีอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุดที่จะนำพาประเทศนั้นๆ สังคมนั้นๆ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองระยะยาว
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts