• 🛳 ร่วมเดินทางล่องเรือลำใหม่ล่าสุดจากสายเรือชื่อดังระดับโลก "Princess Cruise"
    เที่ยว 3 ประเทศ – สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี รวมครบทั้งเมืองชายฝั่งและวัฒนธรรมสุดคลาสสิก
    ทัวร์ล่องเรือสำราญทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พักบนเรือ Sun Princess

    เดินทางวันที่ 23 เม.ย. - 03 พ.ค. 2569

    บินไป–กลับ โดยกาตาร์แอร์เวย์ (QR)
    ราคาเริ่มต้น 199,900 บาท

    จองก่อน 30 พ.ย. 68 รับสิทธิ์ Princess Plus ฟรีทั้งแพ็กเกจ!
    Wi-Fi | เครื่องดื่มไม่อั้น | ฟรีทิป | เซอร์วิสชาร์จ

    รหัสแพคเกจทัวร์ : PRIT-QR-11D8N-BCN-CVV-2604231
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e304e5

    ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/1ab7e0

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือPrincessCruises #PrincessCruise #SunPrincess #Mediterranean #Marseille #France #Spain #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes
    🛳 ร่วมเดินทางล่องเรือลำใหม่ล่าสุดจากสายเรือชื่อดังระดับโลก "Princess Cruise" เที่ยว 3 ประเทศ – สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี รวมครบทั้งเมืองชายฝั่งและวัฒนธรรมสุดคลาสสิก ☀️👜 ทัวร์ล่องเรือสำราญทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พักบนเรือ Sun Princess 📅 เดินทางวันที่ 23 เม.ย. - 03 พ.ค. 2569 ✈️ บินไป–กลับ โดยกาตาร์แอร์เวย์ (QR) 💬 ราคาเริ่มต้น 199,900 บาท 💥 จองก่อน 30 พ.ย. 68 รับสิทธิ์ Princess Plus ฟรีทั้งแพ็กเกจ! Wi-Fi | เครื่องดื่มไม่อั้น | ฟรีทิป | เซอร์วิสชาร์จ ✅ ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : PRIT-QR-11D8N-BCN-CVV-2604231 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e304e5 ดูเรือ Princess Cruises ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/1ab7e0 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือPrincessCruises #PrincessCruise #SunPrincess #Mediterranean #Marseille #France #Spain #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ

    รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    AI Data Center จุดชนวนความต้องการ
    การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60%
    DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์

    AI Data Center เป็นตัวการหลัก
    ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน
    อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี

    การกักตุนสินค้า (panic buying)
    ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    💾 Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI 🏗️ AI Data Center จุดชนวนความต้องการ การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 📈 ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60% ➡️ DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์ ✅ AI Data Center เป็นตัวการหลัก ➡️ ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ➡️ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน ⛔ อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี ‼️ การกักตุนสินค้า (panic buying) ⛔ ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • วิกฤติ RAM – ผู้ผลิตไม่เพิ่มกำลังผลิตแม้ขาดตลาด

    ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรง ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ภายในปีเดียว เนื่องจากความต้องการจาก AI Data Center ที่มหาศาล ผู้ผลิตรายใหญ่เช่น Samsung, SK Hynix และ Micron เลือกลงทุนไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้ใน AI Accelerator มากกว่าการผลิต RAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    รายงานล่าสุดเผยว่า Hyperscaler ในสหรัฐฯ และจีนได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ขณะเดียวกันผู้ใช้ทั่วไปก็เริ่มได้รับผลกระทบ ราคาของ DDR5 สำหรับ PC พุ่งขึ้น 20–40% และมีแนวโน้มจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027

    นักวิเคราะห์เตือนว่านี่อาจเป็น “ทศวรรษแห่งการขาดแคลนหน่วยความจำ” เพราะโครงการใหญ่เช่น OpenAI Stargate ใช้ DRAM ถึง 40% ของกำลังผลิตโลก ทำให้แม้จะสร้างโรงงานใหม่ก็ยังไม่ทันต่อความต้องการ

    สรุป
    ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170%
    สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในปีเดียว

    Hyperscaler ได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ
    แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50%

    ผู้ผลิตหันไปลงทุนใน HBM สำหรับ AI
    ทิ้งตลาด RAM ผู้ใช้ทั่วไปให้ขาดแคลน

    ผู้ใช้ทั่วไปจะเจอราคาคอมพิวเตอร์สูงขึ้นต่อเนื่อง
    การสร้าง PC หรืออัปเกรดจะมีต้นทุนสูงมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/memory-makers-have-no-plans-to-increase-production-despite-crushing-ram-shortages-modest-2026-increase-predicted-as-dram-makers-hedge-their-ai-bets
    💾 วิกฤติ RAM – ผู้ผลิตไม่เพิ่มกำลังผลิตแม้ขาดตลาด ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรง ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ภายในปีเดียว เนื่องจากความต้องการจาก AI Data Center ที่มหาศาล ผู้ผลิตรายใหญ่เช่น Samsung, SK Hynix และ Micron เลือกลงทุนไปที่ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้ใน AI Accelerator มากกว่าการผลิต RAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป รายงานล่าสุดเผยว่า Hyperscaler ในสหรัฐฯ และจีนได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ขณะเดียวกันผู้ใช้ทั่วไปก็เริ่มได้รับผลกระทบ ราคาของ DDR5 สำหรับ PC พุ่งขึ้น 20–40% และมีแนวโน้มจะสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027 นักวิเคราะห์เตือนว่านี่อาจเป็น “ทศวรรษแห่งการขาดแคลนหน่วยความจำ” เพราะโครงการใหญ่เช่น OpenAI Stargate ใช้ DRAM ถึง 40% ของกำลังผลิตโลก ทำให้แม้จะสร้างโรงงานใหม่ก็ยังไม่ทันต่อความต้องการ 📌 สรุป ✅ ราคาของ DRAM พุ่งขึ้นกว่า 170% ➡️ สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในปีเดียว ✅ Hyperscaler ได้รับ RAM เพียง 70% ของคำสั่งซื้อ ➡️ แม้ยอมจ่ายแพงขึ้นถึง 50% ✅ ผู้ผลิตหันไปลงทุนใน HBM สำหรับ AI ➡️ ทิ้งตลาด RAM ผู้ใช้ทั่วไปให้ขาดแคลน ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปจะเจอราคาคอมพิวเตอร์สูงขึ้นต่อเนื่อง ⛔ การสร้าง PC หรืออัปเกรดจะมีต้นทุนสูงมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/memory-makers-have-no-plans-to-increase-production-despite-crushing-ram-shortages-modest-2026-increase-predicted-as-dram-makers-hedge-their-ai-bets
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • รวมข่าว Techradar

    Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่
    ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้

    Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง
    Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้

    iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์
    ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก

    หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด
    โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

    VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ
    อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ

    มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง
    หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่

    Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์

    แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี
    แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่

    Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก
    กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง

    PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร
    หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP

    🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต
    บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์

    ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว
    บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก

    Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้
    Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    🔰📌 รวมข่าว Techradar 📌🔰 📺 Samsung TV ได้ “บุคลิก” ใหม่ ซัมซุงเปิดตัว Vision AI Companion บนทีวีรุ่นใหม่ ที่รวมพลังจาก Bixby, Microsoft Copilot และ Perplexity เข้ามาเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน ไม่ใช่แค่หาหนังดู แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่กำลังฉาย ตอบคำถามต่อเนื่อง แปลเสียงสดจากรายการต่างประเทศ หรือแม้แต่ช่วยวางแผนมื้อค่ำได้ ทีวีจึงไม่ใช่แค่จอภาพ แต่กลายเป็นผู้ช่วยพูดคุยที่ทุกคนในบ้านสามารถโต้ตอบพร้อมกันได้ 💻 Mini PC ARM ขนาดจิ๋ว แต่ทรงพลัง Minisforum เปิดตัว MS-R1 มินิพีซี ARM ขนาดเพียง 1.7 ลิตร แต่มีสล็อต PCIe x16 สำหรับใส่การ์ดจอหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ใช้ชิป 12-core พร้อม GPU ในตัว รองรับ RAM สูงสุด 64GB และเก็บข้อมูลได้ถึง 8TB จุดเด่นคือเล็ก เงียบ แต่รองรับงาน AI และการประมวลผลหนัก ๆ ได้ 📱 iPhone ถูกมองว่า “เกินจริง” แต่ยังไม่ถึงขั้นหมดเสน่ห์ ผลสำรวจจากผู้อ่าน TechRadar พบว่า 47% มองว่า iPhone “โอเวอร์เรต” ส่วน 36% ยังลังเล และ 17% บอกว่าไม่จริง หลายคนเล่าว่าเคยตื่นเต้นกับ iPhone รุ่นแรก ๆ แต่หลังจากนั้นรู้สึกว่าการอัปเกรดไม่หวือหวาเหมือนเดิม แม้ยังใช้งานดี แต่ความตื่นเต้นลดลงไปมาก 🤖 หุ่นยนต์มนุษย์รุ่นใหม่ ทั้งกวน ทั้งพลาด โลกหุ่นยนต์กำลังคึกคัก XPeng จากจีนเปิดตัวหุ่นยนต์ IRON ที่ดูเหมือนนางแบบ แต่ถูกวิจารณ์ว่าดูหลอนเกินไป ขณะที่รัสเซียเปิดตัวหุ่นยนต์ Idol แต่กลับล้มกลางเวทีอย่างน่าอาย เทียบกับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Tesla Optimus หรือ Figure 03 ที่พัฒนาไปไกลกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าการสร้างหุ่นยนต์มนุษย์ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย 🔒 VPN บูมในอิตาลี หลังบังคับตรวจอายุ อิตาลีออกกฎหมายให้เว็บไซต์ผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ส่งผลให้คนแห่ค้นหา VPN เพื่อเลี่ยงระบบตรวจสอบ แม้รัฐบาลยืนยันว่ามีระบบ “โทเคนไม่ระบุตัวตน” แต่ประชาชนยังไม่มั่นใจ จึงหันไปใช้ VPN กันมากขึ้น ซึ่งก็เสี่ยงหากเลือกบริการฟรีหรือไม่น่าเชื่อถือ 🦠 มัลแวร์ GootLoader กลับมาอีกครั้ง หลังหายไป 9 เดือน มัลแวร์ GootLoader โผล่มาอีกครั้ง ใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายใน “ฟอนต์เว็บ” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แท้จริง จุดประสงค์คือเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบองค์กร และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบเรียกค่าไถ่ 🕵️ Infostealer ถูกสกัด หลังตำรวจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ มัลแวร์ขโมยข้อมูลชื่อ Rhadamanthys ที่ขายแบบบริการ (MaaS) ถูกขัดขวาง เมื่อผู้ใช้หลายรายถูกล็อกไม่ให้เข้าระบบ มีการโยงไปถึงตำรวจเยอรมันที่อาจเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ เหตุการณ์นี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการใหญ่ “Operation Endgame” ที่มุ่งปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ 🛡️ แฮกเกอร์ใช้ฟีเจอร์แอนติไวรัสโจมตี แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ Triofox มีช่องโหว่ร้ายแรง (CVE-2025-12480) ที่ถูกใช้เป็นช่องทางติดตั้งเครื่องมือรีโมต เช่น Zoho Assist และ AnyDesk ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ปัญหานี้ถูกแก้ไขแล้ว แต่เตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ 📸 Insta360 เปิดตัวกล้องลูกผสมสุดแปลก กล้อง Ace Pro 2 ของ Insta360 ได้อุปกรณ์เสริมใหม่ ทั้งเลนส์หลายแบบ กริปถ่ายภาพ และที่แปลกที่สุดคือ เครื่องพิมพ์ภาพทันทีแบบติดกล้อง ทำให้กล้องแอ็กชันสามารถพิมพ์รูปออกมาได้ทันที คล้าย Instax แต่ติดกับกล้องแอ็กชันโดยตรง 💳 PayPal กลับมาที่สหราชอาณาจักร หลังจากปรับโครงสร้างช่วง Brexit ตอนนี้ PayPal รีแบรนด์ใหม่ใน UK พร้อมเปิดตัวบัตรเดบิตและเครดิต รวมถึงโปรแกรมสะสมแต้ม PayPal+ ที่แบ่งเป็น Blue, Gold และ Black ยิ่งใช้มากยิ่งได้สิทธิพิเศษ เช่นแต้มเพิ่มและประสบการณ์ VIP 🪪 AirTag คู่แข่งในรูปบัตรเครดิต บริษัท Nomad เปิดตัว Tracking Card Pro ที่หน้าตาเหมือนบัตรเครดิต แต่จริง ๆ เป็นอุปกรณ์ติดตาม ใช้ระบบ Find My ของ Apple จุดเด่นคือพรางตัวได้ดี ทำให้โจรไม่รู้ว่ามีตัวติดตามอยู่ในกระเป๋าสตางค์ 🧑‍💻 ข้อมูลพนักงาน GlobalLogic รั่ว บริษัท GlobalLogic (ในเครือ Hitachi) ยืนยันว่ามีการรั่วไหลข้อมูลพนักงานกว่า 10,000 คน จากช่องโหว่ในระบบ Oracle E-Business Suite ข้อมูลที่หลุดมีทั้งเลขบัญชี เงินเดือน และข้อมูลส่วนบุคคล เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่กระทบหลายองค์กรใหญ่ทั่วโลก 🎧 Gemini อ่าน PDF ให้ฟังได้ Google เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini ให้สามารถสรุปไฟล์ PDF เป็นเสียงแบบพอดแคสต์สั้น ๆ 2–10 นาที ฟังได้เหมือนเล่าเรื่อง ไม่ต้องอ่านเอง เหมาะกับเอกสารยาว ๆ เช่นสัญญา ฟีเจอร์นี้จะบันทึกไฟล์เสียงไว้ใน Google Drive เพื่อเปิดฟังได้ทุกอุปกรณ์
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน

    สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง

    รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ

    แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน

    จุดเด่นของ Galaxy S26
    RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน
    รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก
    การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น

    ข้อควรระวัง
    รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ
    ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง

    https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    📱 Samsung Galaxy S26 มาพร้อม RAM 12GB เป็นมาตรฐาน สำหรับสายสมาร์ทโฟน ข่าวลือใหม่เผยว่า Samsung Galaxy S26 จะมาพร้อม RAM 12GB LPDDR5X เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับจาก Galaxy S25 ที่ใช้ความเร็ว 8.5Gbps โดยรุ่นใหม่จะเพิ่มเป็น 10.7Gbps ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการประมวลผลภาพและการจัดการกล้อง รุ่น Galaxy S26 Ultra จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมด้วย RAM 16GB ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านกล้องและการจัดการความร้อนดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่ารุ่นนี้จะมีให้เลือกในทุกประเทศหรือจำกัดเฉพาะบางตลาดเหมือน Galaxy S25 Ultra ที่เคยจำกัดการขายเฉพาะเอเชียบางประเทศ แม้ Samsung จะยังไม่ก้าวไปสู่ LPDDR6 แต่การเพิ่มความเร็วของ LPDDR5X ก็ยังถือเป็นการพัฒนาใหญ่ และสอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่าง Apple และ Xiaomi กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำเช่นกัน ✅ จุดเด่นของ Galaxy S26 ➡️ RAM 12GB LPDDR5X ความเร็ว 10.7Gbps เป็นมาตรฐาน ➡️ รุ่น Ultra มี RAM 16GB สำหรับการใช้งานหนัก ➡️ การปรับปรุงช่วยให้กล้องและระบบจัดการความร้อนดีขึ้น ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ รุ่น Ultra อาจจำกัดการวางขายเฉพาะบางประเทศ ⛔ ยังไม่ใช่ LPDDR6 ซึ่งอาจทำให้บางคนผิดหวัง https://wccftech.com/all-galaxy-s26-models-faster-12gb-lpddr5x-ram-ultra-model-will-offer-more-memory/
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร

    Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026

    Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่

    หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock"
    ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store

    Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง

    มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน
    ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ
    การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา
    มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น

    Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock
    ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น

    เกณฑ์การตรวจสอบ
    หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์
    หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน

    ข้อยกเว้นบางกรณี
    แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์

    วันบังคับใช้
    เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป
    แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store
    อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก

    https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    🔋 ข่าวใหญ่: Google เตรียมติดป้ายเตือนแอป Android ที่กินแบตเกินควร Google ออกกฎใหม่สำหรับนักพัฒนา Android โดยจะติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store หากแอปมีการใช้ Wake Lock เกินเกณฑ์จนทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว เริ่มบังคับใช้ 1 มีนาคม 2026 Google ร่วมมือกับ Samsung พัฒนามาตรการใหม่เพื่อแก้ปัญหา แอปกินแบตเตอรี่เกินจำเป็น โดยใช้ตัวชี้วัดที่เรียกว่า Excessive Wake Lock ซึ่งตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่โหมด Sleep ของเครื่องนานเกินไปหรือไม่ 🔰 หากในหนึ่ง session 24 ชั่วโมง แอปมีการใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ "excessive wake lock" 🔰 ถ้าเกิน 5% ของ session ทั้งหมดในรอบ 28 วัน แอปนั้นจะถูกลดอันดับการแสดงผล และอาจถูกติดป้ายเตือนสีแดงบนหน้าดาวน์โหลดใน Play Store Google ระบุว่า wake lock บางกรณีได้รับการยกเว้น เช่น แอปที่เล่นเพลงหรือเสียง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เครื่องไม่หลับเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์โดยตรง มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้นให้นักพัฒนาออกแบบแอปที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผู้ใช้บ่นว่าแบตหมดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ 🔍 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Wake lock เป็นกลไกที่นักพัฒนาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเข้าสู่ sleep mode แต่หากใช้มากเกินไปจะทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อน 💠 ปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ ลบแอป หรือให้คะแนนรีวิวต่ำ 💠 การติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store อาจส่งผลโดยตรงต่อยอดดาวน์โหลดและรายได้ของนักพัฒนา 💠 มาตรการนี้สะท้อนแนวโน้มที่ Google เน้น ประสบการณ์ผู้ใช้และความยั่งยืนด้านพลังงาน มากขึ้น ✅ Google เปิดตัวตัวชี้วัด Excessive Wake Lock ➡️ ใช้ตรวจสอบว่าแอปบล็อกการเข้าสู่ sleep mode เกินความจำเป็น ✅ เกณฑ์การตรวจสอบ ➡️ หากใช้ wake lock เกิน 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมง จะถูกนับเป็นเหตุการณ์ ➡️ หากเกิน 5% ของ session ใน 28 วัน แอปจะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือน ✅ ข้อยกเว้นบางกรณี ➡️ แอปที่เล่นเสียงหรือเพลงจะไม่ถูกนับเป็นการใช้ wake lock เกินเกณฑ์ ✅ วันบังคับใช้ ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2026 ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาแอป ⛔ แอปที่กินแบตเกินเกณฑ์จะถูกลดอันดับและติดป้ายเตือนสีแดงบน Play Store ⛔ อาจทำให้ยอดดาวน์โหลดและรายได้ลดลงอย่างมาก https://securityonline.info/new-android-rule-google-to-flag-battery-draining-apps-on-play-store-listings/
    SECURITYONLINE.INFO
    New Android Rule: Google to Flag Battery-Draining Apps on Play Store Listings
    Google launches the "Excessive Wake Lock" metric. Apps that overuse wake locks (over 2 hours in 24 hrs) will get a red battery drain warning on the Play Store starting Mar 2026.
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส

    รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้

    รายละเอียดจากรายงาน
    นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026
    TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น
    แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน
    นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer
    เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026
    ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด
    ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10%

    บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก
    ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก
    NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI
    ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025
    การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล

    https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    🏭⚡ "TSMC 3nm ใกล้เต็มกำลังผลิตปี 2026" — ความต้องการสูงจนกลายเป็นทั้งปัญหาและโอกาส รายงานล่าสุดเผยว่า TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เนื่องจากความต้องการชิป 3nm จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น NVIDIA, Apple, Qualcomm, MediaTek สูงเกินกว่าที่จะรองรับได้ 🔧 รายละเอียดจากรายงาน 🎗️ นักวิเคราะห์คาดว่า กำลังการผลิต 3nm จะเกือบเต็มภายในปี 2026 🎗️ TSMC พยายามแก้ปัญหาโดย ปรับสายการผลิตเดิม เช่น 💠 แปลงสายผลิต 4nm ให้รองรับ 3nm เพิ่ม ~25,000 wafer ต่อเดือน 💠 นำสาย N6 และ N7 ที่ว่างงานมาใช้ในกระบวนการ back-end ของ 3nm เพิ่มอีก 5,000–10,000 wafer 🎗️ เดิมคาดว่าจะผลิตได้ 160,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2025 แต่ล่าสุดปรับลดเหลือ 140,000–145,000 wafer/เดือน ภายในสิ้นปี 2026 🎗️ ลูกค้าบางรายยอมจ่าย แพงขึ้น 50–100% เพื่อให้ได้ “hot run” หรือการผลิตเร่งด่วน แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด 🎗️ ผลลัพธ์คือ กำไรขั้นต้นของ TSMC พุ่งเกิน 60% และยังมีแนวโน้มขึ้นราคาชิปอีก 10% 🌍 บริบทเพิ่มเติมจากภายนอก 🎗️ ความต้องการชิป 3nm ส่วนใหญ่เกิดจาก AI และ GPU รุ่นใหม่ ที่ต้องใช้พลังประมวลผลสูงมาก 🎗️ NVIDIA เองถึงกับขอให้ TSMC ขยายกำลังผลิตเป็น 160,000 wafer/เดือน เพื่อรองรับ GPU รุ่น Rubin และการใช้งาน AI 🎗️ ขณะเดียวกัน TSMC ยังต้องเตรียมสายการผลิตสำหรับ ชิป 2nm (N2 และ A16) ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025 🎗️ การแข่งขันกับ Samsung และ Intel Foundry ยังคงดำเนินต่อ แต่ TSMC ยังคงครองตลาดด้วยสัดส่วนมหาศาล https://wccftech.com/tsmc-3nm-production-capacity-to-almost-reach-limit-by-2026/
    WCCFTECH.COM
    TSMC’s 3nm Capacity Will Almost Reach Its Limit By 2026, Analysts Say Existing Production Lines For Older Nodes Are Being Converted, With Gross Margin To Exceed 60%
    The insanely high demand for TSMC’s 3nm process means that capacity will nearly its limit by next year, with the company scrambling to make adjustments
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • “Gemini ฟันธง! Black Friday ปีนี้ SSD ลดไม่แรงอย่างที่คิด”

    ในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังดีลแรง ๆ จาก Black Friday โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าไอทีอย่าง SSD ปีนี้อาจต้องปรับความคาดหวังใหม่ เมื่อ Google Gemini วิเคราะห์แนวโน้มราคาของ SSD ยอดนิยมบน Amazon แล้วพบว่า “ส่วนใหญ่ลดน้อยกว่าที่คิด” ทั้งแบบพกพาและแบบติดตั้งภายใน

    Gemini ใช้ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2025 เพื่อคาดการณ์ราคาช่วง Black Friday ปีนี้ และพบว่าแม้บางรุ่นจะลดลงเล็กน้อย แต่หลายรุ่นยังคงราคาคงที่ หรือปรับลดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อราคาด้วย เช่น ต้นทุนการผลิต NAND ที่สูงขึ้น และสต็อกสินค้าที่ไม่ได้ล้นตลาดเหมือนปีก่อน ๆ ทำให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องลดราคาล้างสต็อกเหมือนเดิม

    แนวโน้มราคาของ SSD ใน Black Friday ปี 2025
    Gemini คาดการณ์ว่า SSD ส่วนใหญ่จะลดราคาเพียงเล็กน้อย
    รุ่นยอดนิยมอย่าง Samsung T7, SanDisk Extreme, WD Black SN850X ลดไม่เกิน 10–15%
    SSD แบบพกพาและแบบติดตั้งภายในมีแนวโน้มลดราคาใกล้เคียงกัน

    เหตุผลที่ราคาลดน้อย
    ต้นทุนการผลิต NAND และ DRAM สูงขึ้น
    สต็อกสินค้าไม่ล้นตลาดเหมือนปีก่อน
    ผู้ผลิตและร้านค้าเน้นรักษากำไร มากกว่าการลดราคาหนัก

    ตัวอย่างราคาที่คาดการณ์
    Samsung T7 Portable SSD 2TB: จาก £150 เหลือ £135
    WD Black SN850X 2TB: คงที่ที่ £125
    Crucial P310 PCIe Gen4 SSD: จาก £70 เหลือ £68

    https://www.techradar.com/pro/i-used-ai-to-predict-prices-of-amazons-20-most-popular-ssds-for-black-friday-and-it-doesnt-look-good-at-all
    🧊 “Gemini ฟันธง! Black Friday ปีนี้ SSD ลดไม่แรงอย่างที่คิด” ในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังดีลแรง ๆ จาก Black Friday โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าไอทีอย่าง SSD ปีนี้อาจต้องปรับความคาดหวังใหม่ เมื่อ Google Gemini วิเคราะห์แนวโน้มราคาของ SSD ยอดนิยมบน Amazon แล้วพบว่า “ส่วนใหญ่ลดน้อยกว่าที่คิด” ทั้งแบบพกพาและแบบติดตั้งภายใน Gemini ใช้ข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2025 เพื่อคาดการณ์ราคาช่วง Black Friday ปีนี้ และพบว่าแม้บางรุ่นจะลดลงเล็กน้อย แต่หลายรุ่นยังคงราคาคงที่ หรือปรับลดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อราคาด้วย เช่น ต้นทุนการผลิต NAND ที่สูงขึ้น และสต็อกสินค้าที่ไม่ได้ล้นตลาดเหมือนปีก่อน ๆ ทำให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องลดราคาล้างสต็อกเหมือนเดิม ✅ แนวโน้มราคาของ SSD ใน Black Friday ปี 2025 ➡️ Gemini คาดการณ์ว่า SSD ส่วนใหญ่จะลดราคาเพียงเล็กน้อย ➡️ รุ่นยอดนิยมอย่าง Samsung T7, SanDisk Extreme, WD Black SN850X ลดไม่เกิน 10–15% ➡️ SSD แบบพกพาและแบบติดตั้งภายในมีแนวโน้มลดราคาใกล้เคียงกัน ✅ เหตุผลที่ราคาลดน้อย ➡️ ต้นทุนการผลิต NAND และ DRAM สูงขึ้น ➡️ สต็อกสินค้าไม่ล้นตลาดเหมือนปีก่อน ➡️ ผู้ผลิตและร้านค้าเน้นรักษากำไร มากกว่าการลดราคาหนัก ✅ ตัวอย่างราคาที่คาดการณ์ ➡️ Samsung T7 Portable SSD 2TB: จาก £150 เหลือ £135 ➡️ WD Black SN850X 2TB: คงที่ที่ £125 ➡️ Crucial P310 PCIe Gen4 SSD: จาก £70 เหลือ £68 https://www.techradar.com/pro/i-used-ai-to-predict-prices-of-amazons-20-most-popular-ssds-for-black-friday-and-it-doesnt-look-good-at-all
    WWW.TECHRADAR.COM
    AI predicts minor discounts on SSDs over Black Friday
    If Gemini's analysis is accurate, small discounts will be the order of the day
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า?

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15”

    OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว

    แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย

    ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก?
    Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต

    แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม?
    OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน

    จุดเด่นของ OnePlus 15
    แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง
    รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่
    ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ

    เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ
    แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน
    การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น
    แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน

    เปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh
    iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh
    OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป
    ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe
    น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    📱 “OnePlus 15” กับการตัดสินใจไม่ใส่แม่เหล็ก: เพราะแบตใหญ่สำคัญกว่า? ลองจินตนาการว่าคุณกำลังถือสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ต้องแลกกับการไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องสำหรับการชาร์จแบบ MagSafe เหมือน Pixel หรือ iPhone… นี่คือแนวทางที่ OnePlus เลือกเดินในรุ่นล่าสุด “OnePlus 15” OnePlus 15 เตรียมเปิดตัวทั่วโลกในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดมหึมา 7,300mAh ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า OnePlus 13 ถึง 22% และใหญ่กว่าคู่แข่งอย่าง Pixel 10 Pro XL ถึง 40% เลยทีเดียว แต่สิ่งที่หายไปคือ “แม่เหล็ก” ที่ใช้สำหรับการยึดติดกับแท่นชาร์จไร้สายแบบ MagSafe หรือ PixelSnap ซึ่ง Google และ Apple ใช้กันอย่างแพร่หลาย 🧲 ทำไมถึงไม่ใส่แม่เหล็ก? Rudolf Xu ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ OnePlus อธิบายว่า “แม่เหล็กมันหนักเกินไป” และพื้นที่ภายในเครื่องถูกจัดสรรไว้ให้กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และขดลวดชาร์จไร้สายแล้ว หากเพิ่มแม่เหล็กเข้าไปจะต้องลดขนาดแบตลง ซึ่งขัดกับเป้าหมายของ OnePlus ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านความอึดของแบต 🚗 แล้วจะใช้งานกับอุปกรณ์แม่เหล็กได้ไหม? OnePlus มีทางออกคือ “เคสแม่เหล็ก” ที่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จในรถยนต์หรือขาตั้งแบบแม่เหล็กได้ ซึ่งคล้ายกับแนวทางของ Samsung ที่ไม่ใส่ Qi2 ในตัวเครื่อง แต่ให้เคสรองรับแทน ✅ จุดเด่นของ OnePlus 15 ➡️ แบตเตอรี่ขนาด 7,300mAh ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเรือธง ➡️ รองรับชาร์จไว 120W แบบสาย และ 50W แบบไร้สาย ➡️ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่องเพื่อรักษาน้ำหนักและพื้นที่แบตเตอรี่ ➡️ ใช้เคสแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับการใช้งานกับแท่นชาร์จ ✅ เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ ➡️ แม่เหล็กเพิ่มน้ำหนักและกินพื้นที่ภายใน ➡️ การตัดแม่เหล็กออกช่วยให้ใส่แบตใหญ่ขึ้น ➡️ แนวทางเดียวกับ Samsung ที่ใช้เคสรองรับ Qi2 แทน ✅ เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Pixel 10 Pro XL มีแบต 5,200mAh ➡️ iPhone 17 Pro Max คาดว่ามีแบตประมาณ 5,088mAh ➡️ OnePlus 15 เหนือกว่าด้านความจุแบตอย่างชัดเจน ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ไม่มีแม่เหล็กในตัวเครื่อง อาจไม่สะดวกกับแท่นชาร์จแม่เหล็กทั่วไป ⛔ ต้องซื้อเคสแม่เหล็กแยกต่างหาก หากต้องการใช้งานแบบ MagSafe ⛔ น้ำหนักเครื่องอาจมากขึ้นจากแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/magnets-are-too-heavy-oneplus-exec-explains-why-the-oneplus-15-doesnt-have-pixel-style-magnetic-charging
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card

    Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล

    Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay

    แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น:
    บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid)
    บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later)

    กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple

    ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต

    Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ
    ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa
    มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet

    เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม
    บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง
    ระบบ Buy Now, Pay Later

    กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung
    ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า
    สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple

    Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย
    Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ
    Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan

    การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง
    ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung
    ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ

    การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก
    ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

    https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    💳 Samsung เปิดเกมรุก! เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ท้าชน Apple Card 📱⚔️ Samsung กำลังขยายอาณาจักรของตนจากสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่โลกการเงิน ด้วยการเตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ร่วมกับ Barclays เพื่อแข่งกับ Apple Card โดยตรง พร้อมชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรที่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในระบบนิเวศดิจิทัล Samsung กำลังจับมือกับ Barclays เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยจะใช้เครือข่าย Visa และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้าน cashback ที่สามารถโอนเข้ากระเป๋า Samsung Wallet เพื่อใช้ซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ — คล้ายกับแนวทางของ Apple Card ที่ผูกกับ Apple Pay แต่ Samsung ไม่หยุดแค่บัตรเครดิต เพราะยังเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เช่น: 💠 บัญชีแบบเติมเงิน (prepaid) 💠 บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 💠 ระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” (Buy Now, Pay Later) กลยุทธ์นี้จะช่วยให้ Samsung สร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่น สมาร์ทโฟน ทีวี ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า Apple ในขณะเดียวกัน Apple Card ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 ร่วมกับ Goldman Sachs กำลังเผชิญกับปัญหาขาดทุน และอาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้ Samsung ใช้ในการจัดการความเสี่ยงและการเติบโตของบริการบัตรเครดิต ✅ Samsung เตรียมเปิดตัวบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ➡️ ร่วมมือกับ Barclays และใช้เครือข่าย Visa ➡️ มีระบบ cashback ที่เชื่อมกับ Samsung Wallet ✅ เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มเติม ➡️ บัญชีเติมเงินและบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง ➡️ ระบบ Buy Now, Pay Later ✅ กลยุทธ์เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ Samsung ➡️ ใช้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นยอดขายสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ➡️ สร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมมากกว่า Apple ✅ Apple Card กำลังเผชิญกับความท้าทาย ➡️ Goldman Sachs ขาดทุนจากการให้บริการ ➡️ Apple อาจเปลี่ยนพันธมิตรไปเป็น JPMorgan ‼️ การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตดิจิทัลกำลังร้อนแรง ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องเลือกฝั่งระหว่างระบบนิเวศของ Apple หรือ Samsung ⛔ ความเสี่ยงด้านการเงินและการจัดการข้อมูลผู้ใช้ต้องถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ ‼️ การผูกบริการทางการเงินกับระบบนิเวศเทคโนโลยีอาจสร้างการล็อกอินผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้ที่ผูกกับ Samsung Wallet หรือ Apple Pay อาจย้ายออกได้ยาก ⛔ ต้องพิจารณาความยืดหยุ่นและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว https://wccftech.com/samsung-is-trying-to-lure-you-away-from-apples-ecosystem-with-a-rival-credit-card/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Follow Apple's Playbook To Try To Lock You Into Its Ecosystem With A Credit Card
    Now, you can add a credit card, and the bag of goodies that comes with it, to the already-extensive rivalry between Apple and Samsung.
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • มือถือใหม่ไร้สาย? ผู้ใช้ Android แบ่งสองฝ่ายเรื่อง “ไม่มีสาย USB” ในกล่อง

    บทความจาก SlashGear เปิดประเด็นร้อนในวงการสมาร์ทโฟน เมื่อผู้ใช้ Android เริ่มแตกเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตเริ่ม “ตัดสาย USB” ออกจากกล่องมือถือ โดยเฉพาะหลังจาก Sony Xperia 10 VII เปิดตัวโดยไม่มีสาย USB มาให้ ซึ่งอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอนาคต

    ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน การซื้อโทรศัพท์มือถือคือการได้รับ “ทุกอย่างในกล่อง” ตั้งแต่แบตเตอรี่ สายชาร์จ หูฟัง ไปจนถึงเคสและฟิล์มกันรอย แต่วันนี้ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    Apple เคยถูกวิจารณ์หนักเมื่อเปิดตัว iPhone 12 โดยไม่มีหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง แต่กลับขายดีถล่มทลาย ทำให้แบรนด์ Android อย่าง Samsung ก็เริ่มเดินตาม เช่น Galaxy S21 ที่ไม่มีหัวชาร์จเช่นกัน

    ล่าสุด Sony ก้าวไปอีกขั้นด้วยการตัดสาย USB ออกจากกล่อง Xperia 10 VII โดยให้เหตุผลเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผู้ใช้บางส่วนเห็นด้วย แต่หลายคนก็ไม่พอใจ เพราะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรจะ “มาพร้อมเครื่อง”

    เสริมสาระ: ทำไมแบรนด์ถึงตัดอุปกรณ์ออก?
    สิ่งแวดล้อม: Apple อ้างว่าการตัดหัวชาร์จช่วยลดการใช้วัสดุและลดคาร์บอนถึง 2 ล้านตันต่อปี
    ความแพร่หลายของ USB-C: ปัจจุบันอุปกรณ์ส่วนใหญ่ใช้สาย USB-C เหมือนกัน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว
    การผลักดันสู่การชาร์จไร้สาย: เทคโนโลยีอย่าง MagSafe และ Qi2 เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น

    แต่ผู้ใช้หลายคนโต้แย้งว่า:
    สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า
    การซื้ออุปกรณ์เพิ่มคือการผลักภาระให้ผู้บริโภค
    ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับน้อยลง

    สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดมือถือ
    Sony Xperia 10 VII ไม่มีสาย USB ในกล่อง
    Apple และ Samsung เคยตัดหัวชาร์จออกมาก่อน
    ผู้ผลิตอ้างเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและลดขนาดกล่อง
    USB-C กลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว
    การชาร์จไร้สายเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า
    ผู้ใช้ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรมีในกล่อง
    การตัดอุปกรณ์อาจเป็น “greenwashing” มากกว่าความตั้งใจจริง
    ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับลดลง

    https://www.slashgear.com/2017210/android-users-opinion-no-usb-with-new-smartphone/
    📦 มือถือใหม่ไร้สาย? ผู้ใช้ Android แบ่งสองฝ่ายเรื่อง “ไม่มีสาย USB” ในกล่อง บทความจาก SlashGear เปิดประเด็นร้อนในวงการสมาร์ทโฟน เมื่อผู้ใช้ Android เริ่มแตกเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ที่ผู้ผลิตเริ่ม “ตัดสาย USB” ออกจากกล่องมือถือ โดยเฉพาะหลังจาก Sony Xperia 10 VII เปิดตัวโดยไม่มีสาย USB มาให้ ซึ่งอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอนาคต ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน การซื้อโทรศัพท์มือถือคือการได้รับ “ทุกอย่างในกล่อง” ตั้งแต่แบตเตอรี่ สายชาร์จ หูฟัง ไปจนถึงเคสและฟิล์มกันรอย แต่วันนี้ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง Apple เคยถูกวิจารณ์หนักเมื่อเปิดตัว iPhone 12 โดยไม่มีหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง แต่กลับขายดีถล่มทลาย ทำให้แบรนด์ Android อย่าง Samsung ก็เริ่มเดินตาม เช่น Galaxy S21 ที่ไม่มีหัวชาร์จเช่นกัน ล่าสุด Sony ก้าวไปอีกขั้นด้วยการตัดสาย USB ออกจากกล่อง Xperia 10 VII โดยให้เหตุผลเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งผู้ใช้บางส่วนเห็นด้วย แต่หลายคนก็ไม่พอใจ เพราะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรจะ “มาพร้อมเครื่อง” 🧠 เสริมสาระ: ทำไมแบรนด์ถึงตัดอุปกรณ์ออก? 🔰 สิ่งแวดล้อม: Apple อ้างว่าการตัดหัวชาร์จช่วยลดการใช้วัสดุและลดคาร์บอนถึง 2 ล้านตันต่อปี 🔰 ความแพร่หลายของ USB-C: ปัจจุบันอุปกรณ์ส่วนใหญ่ใช้สาย USB-C เหมือนกัน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว 🔰 การผลักดันสู่การชาร์จไร้สาย: เทคโนโลยีอย่าง MagSafe และ Qi2 เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ผู้ใช้หลายคนโต้แย้งว่า: 🔰 สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า 🔰 การซื้ออุปกรณ์เพิ่มคือการผลักภาระให้ผู้บริโภค 🔰 ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับน้อยลง ✅ สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดมือถือ ➡️ Sony Xperia 10 VII ไม่มีสาย USB ในกล่อง ➡️ Apple และ Samsung เคยตัดหัวชาร์จออกมาก่อน ➡️ ผู้ผลิตอ้างเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและลดขนาดกล่อง ➡️ USB-C กลายเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ใช้มีสายอยู่แล้ว ➡️ การชาร์จไร้สายเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ สายเก่าอาจไม่รองรับกำลังไฟใหม่ ทำให้ชาร์จช้า ⛔ ผู้ใช้ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ควรมีในกล่อง ⛔ การตัดอุปกรณ์อาจเป็น “greenwashing” มากกว่าความตั้งใจจริง ⛔ ราคามือถือเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับลดลง https://www.slashgear.com/2017210/android-users-opinion-no-usb-with-new-smartphone/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android Users Split Over Lack Of USB Cord With New Phone. Half Of Them Are Right - SlashGear
    Smartphone manufacturers eliminating USB cords with packaging is nothing new. So what is the consumer upside? SlashGear's Gozie Ibekwe examines.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • ตู้เย็นอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม! Samsung Family Hub™ 2025 อัปเดตใหม่ เพิ่ม AI, ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้แบบไร้รอยต่อ

    Samsung เปิดตัวอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับตู้เย็น Family Hub™ รุ่นปี 2025 ที่ยกระดับการใช้งานในบ้านอัจฉริยะ ด้วยอินเทอร์เฟซใหม่ ฟีเจอร์ AI ที่ฉลาดขึ้น และระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

    อัปเดตใหม่นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ Family Hub™ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน:
    อินเทอร์เฟซใหม่ One UI ที่เคยใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke AI จะถูกนำมาใช้กับ Family Hub™ รุ่น 2024 เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานระหว่างทีวี มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งเดียว
    AI Vision Inside ฉลาดขึ้น! สามารถจดจำผักผลไม้สดได้ถึง 37 ชนิด และอาหารบรรจุแพ็คได้ถึง 50 รายการ ช่วยลดของเสียและประหยัดเงิน
    Bixby Voice ID แยกแยะผู้ใช้แต่ละคนได้ ทำให้เข้าถึงปฏิทิน รูปภาพ หรือค้นหาโทรศัพท์ได้แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ
    Knox Matrix ระบบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกขยายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า
    Widget ใหม่บนหน้าจอ Cover แสดงข่าวสาร สภาพอากาศ และโฆษณาแบบเลือกปิดได้

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Family Hub™ 2025
    อินเทอร์เฟซ One UI แบบใหม่ ใช้งานง่ายขึ้น
    AI Vision Inside จดจำอาหารสดและบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น
    Voice ID แยกผู้ใช้และซิงค์กับบัญชี Samsung
    รองรับการค้นหาโทรศัพท์แม้ในโหมดเงียบ
    ปรับธีมหน้าจอ Cover พร้อม Daily Board ใหม่
    เพิ่มวิดเจ็ตข่าว ปฏิทิน และพยากรณ์อากาศ
    Knox Matrix ปกป้องอุปกรณ์ด้วยระบบ Trust Chain
    เพิ่มแดชบอร์ดความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
    รองรับการเข้ารหัส Credential Sync และ Passkey
    อัปเดตผ่านหน้าจอตู้เย็นได้โดยตรง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    AI Vision ยังไม่สามารถจดจำอาหารในช่องแช่แข็งหรือประตูตู้เย็นได้
    Voice ID ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าในบัญชี Samsung และใช้ได้เฉพาะ Galaxy S24 ขึ้นไป
    วิดเจ็ตโฆษณาอาจรบกวนสายตา แม้จะสามารถปิดได้
    บางฟีเจอร์อาจใช้ไม่ได้ในบางประเทศหรือขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์

    https://news.samsung.com/us/samsung-family-hub-2025-update-elevates-smart-home-ecosystem/
    🧊 ตู้เย็นอัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม! Samsung Family Hub™ 2025 อัปเดตใหม่ เพิ่ม AI, ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้แบบไร้รอยต่อ Samsung เปิดตัวอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับตู้เย็น Family Hub™ รุ่นปี 2025 ที่ยกระดับการใช้งานในบ้านอัจฉริยะ ด้วยอินเทอร์เฟซใหม่ ฟีเจอร์ AI ที่ฉลาดขึ้น และระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งกว่าเดิม อัปเดตใหม่นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ Family Hub™ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายด้าน: 🔰 อินเทอร์เฟซใหม่ One UI ที่เคยใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้า Bespoke AI จะถูกนำมาใช้กับ Family Hub™ รุ่น 2024 เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานระหว่างทีวี มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นหนึ่งเดียว 🔰 AI Vision Inside ฉลาดขึ้น! สามารถจดจำผักผลไม้สดได้ถึง 37 ชนิด และอาหารบรรจุแพ็คได้ถึง 50 รายการ ช่วยลดของเสียและประหยัดเงิน 🔰 Bixby Voice ID แยกแยะผู้ใช้แต่ละคนได้ ทำให้เข้าถึงปฏิทิน รูปภาพ หรือค้นหาโทรศัพท์ได้แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ 🔰 Knox Matrix ระบบความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกขยายไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า 🔰 Widget ใหม่บนหน้าจอ Cover แสดงข่าวสาร สภาพอากาศ และโฆษณาแบบเลือกปิดได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Family Hub™ 2025 ➡️ อินเทอร์เฟซ One UI แบบใหม่ ใช้งานง่ายขึ้น ➡️ AI Vision Inside จดจำอาหารสดและบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น ➡️ Voice ID แยกผู้ใช้และซิงค์กับบัญชี Samsung ➡️ รองรับการค้นหาโทรศัพท์แม้ในโหมดเงียบ ➡️ ปรับธีมหน้าจอ Cover พร้อม Daily Board ใหม่ ➡️ เพิ่มวิดเจ็ตข่าว ปฏิทิน และพยากรณ์อากาศ ➡️ Knox Matrix ปกป้องอุปกรณ์ด้วยระบบ Trust Chain ➡️ เพิ่มแดชบอร์ดความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับการเข้ารหัส Credential Sync และ Passkey ➡️ อัปเดตผ่านหน้าจอตู้เย็นได้โดยตรง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ AI Vision ยังไม่สามารถจดจำอาหารในช่องแช่แข็งหรือประตูตู้เย็นได้ ⛔ Voice ID ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าในบัญชี Samsung และใช้ได้เฉพาะ Galaxy S24 ขึ้นไป ⛔ วิดเจ็ตโฆษณาอาจรบกวนสายตา แม้จะสามารถปิดได้ ⛔ บางฟีเจอร์อาจใช้ไม่ได้ในบางประเทศหรือขึ้นอยู่กับรุ่นของอุปกรณ์ https://news.samsung.com/us/samsung-family-hub-2025-update-elevates-smart-home-ecosystem/
    NEWS.SAMSUNG.COM
    Samsung Family Hub™ for 2025 Update Elevates the Smart Home Ecosystem
    The software update includes a more unified user experience across connected devices, enhancements to AI Vision Inside™, expanded Knox Security and more
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative)

    สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที

    มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ:
    เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS
    ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง
    ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ

    Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว

    ช่องโหว่ CVE-2025-21042
    อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung
    เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ

    มัลแวร์ Landfall
    เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ
    ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก

    วิธีการแพร่กระจาย
    ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal
    ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung
    อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที
    การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี)
    หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

    https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    🧨 ภัยเงียบจากกล้องสู่ระบบ: ช่องโหว่ CVE-2025-21042 บน Samsung เปิดทางให้สปายแวร์ Landfall เจาะเครื่องแบบ Zero-Click นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GraphSense Labs ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในอุปกรณ์ Samsung ที่ใช้ Android ซึ่งถูกระบุด้วยรหัส CVE-2025-21042 โดยช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล DNG image parser ที่ใช้ประมวลผลไฟล์ภาพแบบ RAW (Digital Negative) สิ่งที่ทำให้ช่องโหว่นี้น่ากลัวคือมันเป็น Zero-Click Exploit—ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกหรือเปิดไฟล์ใดๆ เพียงแค่ได้รับไฟล์ DNG ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านแอปที่มีสิทธิ์เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal หรือแม้แต่ Samsung Messages ก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที มัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า Landfall ซึ่งเป็นสปายแวร์ที่สามารถ: 🎗️ เข้าถึงกล้อง, ไมโครโฟน, และตำแหน่ง GPS 🎗️ ขโมยข้อความ, รายชื่อ, และไฟล์ในเครื่อง 🎗️ ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลแบบเงียบๆ Zero-Click คือการโจมตีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ดำเนินการใดๆ เช่น คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ โดยอาศัยช่องโหว่ในระบบที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น การแสดงตัวอย่างภาพหรือข้อความ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายและไม่รู้ตัว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-21042 ➡️ อยู่ใน DNG image parser ของ Samsung ➡️ เปิดช่องให้โจมตีแบบ Zero-Click ผ่านไฟล์ภาพ ✅ มัลแวร์ Landfall ➡️ เป็นสปายแวร์ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ Android ได้แบบเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ช่องโหว่นี้เพื่อฝังตัวโดยไม่ต้องอาศัยการคลิก ✅ วิธีการแพร่กระจาย ➡️ ส่งไฟล์ DNG ผ่านแอปที่เข้าถึงภาพ เช่น WhatsApp, Signal ➡️ ใช้ social engineering เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดแอปที่มีการโหลดภาพอัตโนมัติ ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Samsung ⛔ อุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดตแพตช์ล่าสุดอาจถูกเจาะได้ทันที ⛔ การโจมตีแบบ Zero-Click ทำให้ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ⛔ ปิดการแสดงตัวอย่างภาพอัตโนมัติในแอปแชท (ถ้ามี) ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์ภาพจากแหล่งที่ไม่รู้จัก https://securityonline.info/zero-click-samsung-zero-day-cve-2025-21042-delivered-landfall-spyware-via-malicious-dng-images/
    SECURITYONLINE.INFO
    Zero-Click Samsung Zero-Day (CVE-2025-21042) Delivered LANDFALL Spyware Via Malicious DNG Images
    Unit 42 exposed LANDFALL, commercial-grade spyware that exploited a Samsung zero-day (CVE-2025-21042) in the image library libimagecodec.quram.so to compromise Galaxy phones via DNG images sent over WhatsApp.
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • “The Phantom – จอคอมโปร่งใสตัวแรกของโลก! สว่างถึง 5,000 nits พร้อมเปิดตัวปลายปีนี้”

    Virtual Instruments เปิดตัว “The Phantom” จอคอมพิวเตอร์โปร่งใสขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่เคลมว่าเป็นจอโปร่งใสตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป พร้อมความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits เตรียมวางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ “มองทะลุได้” เหมือนกระจก แต่ยังแสดงภาพ 4K ได้อย่างคมชัดและสว่างจ้า—นั่นคือสิ่งที่ “The Phantom” จาก Virtual Instruments กำลังจะนำเสนอในตลาดปลายปีนี้

    จอขนาด 24 นิ้วนี้ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง OLED หรือ MicroLED เหมือนจอโปร่งใสในงานโชว์ของ LG หรือ Samsung แต่เป็นการออกแบบเพื่อใช้งานจริงในบ้านหรือสำนักงาน โดยเน้นความสว่างสูงถึง 5,000 nits ซึ่งมากกว่าจอ HDR ทั่วไปหลายเท่า ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงจ้าได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพ

    ความละเอียดระดับ 4K บนจอโปร่งใสขนาดเล็กถือเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมอย่างมาก และ Virtual Instruments เคลมว่า The Phantom สามารถแสดงภาพ 3D และวิดีโอแบบเต็มสีได้โดยไม่ลดทอนความโปร่งใสของแผงจอ

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ AR และการนำเสนอแบบโฮโลกราฟิกในอนาคต โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐาน เช่น HDMI และ USB-C พร้อมขาตั้งแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับระดับและหมุนได้

    สเปกของ The Phantom
    ขนาด 24 นิ้ว
    ความละเอียด 4K
    ความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits
    โปร่งใสแบบเต็มแผงจอ
    รองรับการแสดงภาพ 3D และวิดีโอสีเต็มรูปแบบ

    เทคโนโลยีที่ใช้
    ไม่ใช่ OLED หรือ MicroLED
    ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานจริง
    รองรับการใช้งานในพื้นที่แสงจ้า

    การใช้งานและการเชื่อมต่อ
    รองรับ HDMI และ USB-C
    ขาตั้งแบบปรับระดับได้
    เตรียมรองรับระบบ AR และโฮโลกราฟิกในอนาคต

    กำหนดการเปิดตัว
    วางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025
    เจาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ข้อจำกัดของจอโปร่งใส
    อาจมีความเปรียบต่างต่ำเมื่อใช้งานในพื้นที่มืด
    การแสดงภาพสีเข้มอาจไม่ชัดเจนเท่าจอทั่วไป
    ราคาอาจสูงกว่าจอทั่วไปอย่างมาก

    ความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์
    ยังไม่มีการประกาศรองรับระบบ AR หรือโฮโลกราฟิกอย่างเป็นทางการ
    ต้องรอการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากความโปร่งใส

    https://www.tomshardware.com/monitors/the-phantom-claims-to-be-the-worlds-first-transparent-computer-monitor-touts-5-000-nits-of-hdr-brightness-24-inch-4k-panel-from-virtual-instruments-launches-q4
    🖥️ “The Phantom – จอคอมโปร่งใสตัวแรกของโลก! สว่างถึง 5,000 nits พร้อมเปิดตัวปลายปีนี้” Virtual Instruments เปิดตัว “The Phantom” จอคอมพิวเตอร์โปร่งใสขนาด 24 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่เคลมว่าเป็นจอโปร่งใสตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป พร้อมความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits เตรียมวางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025 ลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ “มองทะลุได้” เหมือนกระจก แต่ยังแสดงภาพ 4K ได้อย่างคมชัดและสว่างจ้า—นั่นคือสิ่งที่ “The Phantom” จาก Virtual Instruments กำลังจะนำเสนอในตลาดปลายปีนี้ จอขนาด 24 นิ้วนี้ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่ง OLED หรือ MicroLED เหมือนจอโปร่งใสในงานโชว์ของ LG หรือ Samsung แต่เป็นการออกแบบเพื่อใช้งานจริงในบ้านหรือสำนักงาน โดยเน้นความสว่างสูงถึง 5,000 nits ซึ่งมากกว่าจอ HDR ทั่วไปหลายเท่า ทำให้สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงจ้าได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพ ความละเอียดระดับ 4K บนจอโปร่งใสขนาดเล็กถือเป็นความท้าทายด้านวิศวกรรมอย่างมาก และ Virtual Instruments เคลมว่า The Phantom สามารถแสดงภาพ 3D และวิดีโอแบบเต็มสีได้โดยไม่ลดทอนความโปร่งใสของแผงจอ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้รองรับการใช้งานร่วมกับระบบ AR และการนำเสนอแบบโฮโลกราฟิกในอนาคต โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐาน เช่น HDMI และ USB-C พร้อมขาตั้งแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับระดับและหมุนได้ ✅ สเปกของ The Phantom ➡️ ขนาด 24 นิ้ว ➡️ ความละเอียด 4K ➡️ ความสว่าง HDR สูงถึง 5,000 nits ➡️ โปร่งใสแบบเต็มแผงจอ ➡️ รองรับการแสดงภาพ 3D และวิดีโอสีเต็มรูปแบบ ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ไม่ใช่ OLED หรือ MicroLED ➡️ ใช้เทคโนโลยีโปร่งใสแบบใหม่ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานจริง ➡️ รองรับการใช้งานในพื้นที่แสงจ้า ✅ การใช้งานและการเชื่อมต่อ ➡️ รองรับ HDMI และ USB-C ➡️ ขาตั้งแบบปรับระดับได้ ➡️ เตรียมรองรับระบบ AR และโฮโลกราฟิกในอนาคต ✅ กำหนดการเปิดตัว ➡️ วางจำหน่ายในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ เจาะกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ‼️ ข้อจำกัดของจอโปร่งใส ⛔ อาจมีความเปรียบต่างต่ำเมื่อใช้งานในพื้นที่มืด ⛔ การแสดงภาพสีเข้มอาจไม่ชัดเจนเท่าจอทั่วไป ⛔ ราคาอาจสูงกว่าจอทั่วไปอย่างมาก ‼️ ความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ ⛔ ยังไม่มีการประกาศรองรับระบบ AR หรือโฮโลกราฟิกอย่างเป็นทางการ ⛔ ต้องรอการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากความโปร่งใส https://www.tomshardware.com/monitors/the-phantom-claims-to-be-the-worlds-first-transparent-computer-monitor-touts-5-000-nits-of-hdr-brightness-24-inch-4k-panel-from-virtual-instruments-launches-q4
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • “No Longer Evil Thermostat – ปลุกชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาฉลาดอีกครั้ง ด้วยพลังโอเพ่นซอร์ส”

    เมื่อ Google ประกาศหยุดสนับสนุน Nest Thermostat รุ่น Gen 1 และ Gen 2 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อุปกรณ์อัจฉริยะที่เคยควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำ กลับกลายเป็นแค่ “เทอร์โมสแตตธรรมดา” ที่ปรับอุณหภูมิได้เฉพาะหน้าจอเท่านั้น แต่ Cody Kociemba นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากแอริโซนา ไม่ยอมให้มันจบแบบนั้น!

    เขาสร้างโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สชื่อว่า “No Longer Evil Thermostat” ที่ช่วยคืนชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ที่ใช้งานง่าย และสามารถควบคุมผ่านเว็บได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องพึ่ง Google อีกต่อไป

    Nest Thermostat รุ่นแรก ๆ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มบ้านอัจฉริยะ แต่เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2025 Google ประกาศหยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ทำให้ฟีเจอร์ควบคุมระยะไกลและการตั้งเวลาใช้งานหายไปทันที

    Cody Kociemba ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม Hack House ไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ เขาจึงเริ่มพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ที่สามารถติดตั้งลงบน Nest รุ่นเก่าได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Google เลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมอินเทอร์เฟซที่คล้ายของเดิม และสามารถเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT หรือ REST API ได้อีกด้วย

    แรงจูงใจของเขาไม่ใช่แค่ความหลงใหลในฮาร์ดแวร์ แต่ยังรวมถึงเงินรางวัลจาก FULU Foundation ที่เสนอค่าตอบแทนราว 15,000 ดอลลาร์สำหรับนักพัฒนาที่ช่วยปลดล็อกอุปกรณ์จากข้อจำกัดของบริษัทใหญ่

    ผลลัพธ์คือ Nest Thermostat ที่แสดงข้อความต้อนรับว่า “now made with 100% less evil!” และกลับมาควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    การหยุดสนับสนุน Nest Gen 1 และ Gen 2
    เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014
    ถูกยกเลิกการสนับสนุนเมื่อ 25 ตุลาคม 2025
    ไม่สามารถเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ได้อีก
    เหลือแค่การปรับอุณหภูมิแบบแมนนวล

    โปรเจกต์ No Longer Evil Thermostat
    พัฒนาโดย Cody Kociemba จาก Hack House
    เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานฟรี
    มีอินเทอร์เฟซใหม่ที่คล้ายของเดิม
    รองรับการเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT และ REST API
    มี GitHub พร้อมคู่มือการติดตั้งแบบละเอียด

    แรงจูงใจและผลตอบแทน
    ได้รับแรงสนับสนุนจาก FULU Foundation
    เสนอเงินรางวัล ~15,000 ดอลลาร์สำหรับการปลดล็อกอุปกรณ์
    เป็นการต่อสู้กับการควบคุมของบริษัทยักษ์ใหญ่

    https://www.tomshardware.com/software/no-longer-evil-thermostat-heats-your-home-better-by-removing-google-revive-sunsetted-hardware-gain-more-precise-control-open-source
    🌡️ “No Longer Evil Thermostat – ปลุกชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาฉลาดอีกครั้ง ด้วยพลังโอเพ่นซอร์ส” เมื่อ Google ประกาศหยุดสนับสนุน Nest Thermostat รุ่น Gen 1 และ Gen 2 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อุปกรณ์อัจฉริยะที่เคยควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำ กลับกลายเป็นแค่ “เทอร์โมสแตตธรรมดา” ที่ปรับอุณหภูมิได้เฉพาะหน้าจอเท่านั้น แต่ Cody Kociemba นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากแอริโซนา ไม่ยอมให้มันจบแบบนั้น! เขาสร้างโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สชื่อว่า “No Longer Evil Thermostat” ที่ช่วยคืนชีพ Nest รุ่นเก่าให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง พร้อมอินเทอร์เฟซใหม่ที่ใช้งานง่าย และสามารถควบคุมผ่านเว็บได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องพึ่ง Google อีกต่อไป Nest Thermostat รุ่นแรก ๆ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มบ้านอัจฉริยะ แต่เมื่อถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2025 Google ประกาศหยุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ทั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์และการเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ทำให้ฟีเจอร์ควบคุมระยะไกลและการตั้งเวลาใช้งานหายไปทันที Cody Kociemba ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม Hack House ไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ เขาจึงเริ่มพัฒนาเฟิร์มแวร์ใหม่ที่สามารถติดตั้งลงบน Nest รุ่นเก่าได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Google เลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมอินเทอร์เฟซที่คล้ายของเดิม และสามารถเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT หรือ REST API ได้อีกด้วย แรงจูงใจของเขาไม่ใช่แค่ความหลงใหลในฮาร์ดแวร์ แต่ยังรวมถึงเงินรางวัลจาก FULU Foundation ที่เสนอค่าตอบแทนราว 15,000 ดอลลาร์สำหรับนักพัฒนาที่ช่วยปลดล็อกอุปกรณ์จากข้อจำกัดของบริษัทใหญ่ ผลลัพธ์คือ Nest Thermostat ที่แสดงข้อความต้อนรับว่า “now made with 100% less evil!” และกลับมาควบคุมอุณหภูมิบ้านได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง ✅ การหยุดสนับสนุน Nest Gen 1 และ Gen 2 ➡️ เปิดตัวระหว่างปี 2011–2014 ➡️ ถูกยกเลิกการสนับสนุนเมื่อ 25 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่สามารถเชื่อมต่อกับแอป Nest และ Google Home ได้อีก ➡️ เหลือแค่การปรับอุณหภูมิแบบแมนนวล ✅ โปรเจกต์ No Longer Evil Thermostat ➡️ พัฒนาโดย Cody Kociemba จาก Hack House ➡️ เป็นโอเพ่นซอร์ส ใช้งานฟรี ➡️ มีอินเทอร์เฟซใหม่ที่คล้ายของเดิม ➡️ รองรับการเชื่อมต่อกับ Home Assistant ผ่าน MQTT และ REST API ➡️ มี GitHub พร้อมคู่มือการติดตั้งแบบละเอียด ✅ แรงจูงใจและผลตอบแทน ➡️ ได้รับแรงสนับสนุนจาก FULU Foundation ➡️ เสนอเงินรางวัล ~15,000 ดอลลาร์สำหรับการปลดล็อกอุปกรณ์ ➡️ เป็นการต่อสู้กับการควบคุมของบริษัทยักษ์ใหญ่ https://www.tomshardware.com/software/no-longer-evil-thermostat-heats-your-home-better-by-removing-google-revive-sunsetted-hardware-gain-more-precise-control-open-source
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • “Rubin GPU มาแล้ว! NVIDIA เปิดศักราชใหม่ด้วย HBM4 จากทุกค่าย”

    NVIDIA เริ่มผลิต GPU รุ่น Rubin แล้ว! พร้อมใช้หน่วยความจำ HBM4 จากทุกผู้ผลิตหลัก GPU เจเนอเรชันถัดไปของ NVIDIA ในตระกูล Rubin ได้เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว โดยจะใช้หน่วยความจำ HBM4 ที่ได้รับตัวอย่างจากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI และ HPC

    NVIDIA ได้เริ่มกระบวนการผลิต GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Rubin ซึ่งจะมาแทนที่ Blackwell ในปี 2026 โดย Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของ High Bandwidth Memory ที่มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า HBM3E อย่างมีนัยสำคัญ

    รายงานล่าสุดระบุว่า NVIDIA ได้รับตัวอย่าง HBM4 จากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ได้แก่ SK hynix, Samsung และ Micron ซึ่งหมายความว่า Rubin จะมีความยืดหยุ่นในการเลือกซัพพลายเออร์ และลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน

    GPU Rubin จะใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และคาดว่าจะมีการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ CoWoS-L เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ HBM4 ที่มีความหนาแน่นสูง

    HBM4 มีคุณสมบัติเด่นคือ:
    แบนด์วิดธ์ต่อ stack สูงถึง 1.5 TB/s
    รองรับความจุสูงสุดต่อ stack ที่ 36GB หรือมากกว่า
    ใช้ interface แบบใหม่ที่ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ

    Rubin จะถูกนำไปใช้ในงาน AI training, HPC, และระบบคลาวด์ระดับสูง โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในปี 2027

    NVIDIA เริ่มผลิต GPU Rubin รุ่นถัดไปจาก Blackwell
    ใช้กระบวนการผลิต 3nm จาก TSMC
    ออกแบบแพ็กเกจ CoWoS-L สำหรับ HBM4
    เน้นงาน AI, HPC และคลาวด์ระดับสูง

    Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4
    ได้รับตัวอย่างจาก SK hynix, Samsung และ Micron
    ลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกผู้ผลิต

    คุณสมบัติของ HBM4
    แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.5 TB/s ต่อ stack
    ความจุสูงสุดต่อ stack 36GB หรือมากกว่า
    ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ

    คำเตือนสำหรับผู้ผลิตและนักพัฒนา
    การเปลี่ยนไปใช้ HBM4 ต้องปรับระบบให้รองรับ interface ใหม่
    การออกแบบ CoWoS-L ต้องใช้ความแม่นยำสูงในการประกอบ
    ความต้องการสูงอาจทำให้ HBM4 ขาดตลาดในช่วงแรก

    https://wccftech.com/nvidia-next-gen-rubin-gpus-enter-production-hbm4-samples-all-major-manufacturers/
    🧠 “Rubin GPU มาแล้ว! NVIDIA เปิดศักราชใหม่ด้วย HBM4 จากทุกค่าย” NVIDIA เริ่มผลิต GPU รุ่น Rubin แล้ว! พร้อมใช้หน่วยความจำ HBM4 จากทุกผู้ผลิตหลัก GPU เจเนอเรชันถัดไปของ NVIDIA ในตระกูล Rubin ได้เข้าสู่ขั้นตอนการผลิตแล้ว โดยจะใช้หน่วยความจำ HBM4 ที่ได้รับตัวอย่างจากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI และ HPC NVIDIA ได้เริ่มกระบวนการผลิต GPU รุ่นใหม่ในตระกูล Rubin ซึ่งจะมาแทนที่ Blackwell ในปี 2026 โดย Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของ High Bandwidth Memory ที่มีแบนด์วิดธ์สูงกว่า HBM3E อย่างมีนัยสำคัญ รายงานล่าสุดระบุว่า NVIDIA ได้รับตัวอย่าง HBM4 จากผู้ผลิตหลักทั้งหมด ได้แก่ SK hynix, Samsung และ Micron ซึ่งหมายความว่า Rubin จะมีความยืดหยุ่นในการเลือกซัพพลายเออร์ และลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน GPU Rubin จะใช้กระบวนการผลิตระดับ 3nm จาก TSMC และคาดว่าจะมีการออกแบบแพ็กเกจขั้นสูงแบบ CoWoS-L เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับ HBM4 ที่มีความหนาแน่นสูง HBM4 มีคุณสมบัติเด่นคือ: 🎗️ แบนด์วิดธ์ต่อ stack สูงถึง 1.5 TB/s 🎗️ รองรับความจุสูงสุดต่อ stack ที่ 36GB หรือมากกว่า 🎗️ ใช้ interface แบบใหม่ที่ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ Rubin จะถูกนำไปใช้ในงาน AI training, HPC, และระบบคลาวด์ระดับสูง โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2026 และเริ่มใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในปี 2027 ✅ NVIDIA เริ่มผลิต GPU Rubin รุ่นถัดไปจาก Blackwell ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 3nm จาก TSMC ➡️ ออกแบบแพ็กเกจ CoWoS-L สำหรับ HBM4 ➡️ เน้นงาน AI, HPC และคลาวด์ระดับสูง ✅ Rubin จะใช้หน่วยความจำ HBM4 ➡️ ได้รับตัวอย่างจาก SK hynix, Samsung และ Micron ➡️ ลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกผู้ผลิต ✅ คุณสมบัติของ HBM4 ➡️ แบนด์วิดธ์สูงถึง 1.5 TB/s ต่อ stack ➡️ ความจุสูงสุดต่อ stack 36GB หรือมากกว่า ➡️ ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ผลิตและนักพัฒนา ⛔ การเปลี่ยนไปใช้ HBM4 ต้องปรับระบบให้รองรับ interface ใหม่ ⛔ การออกแบบ CoWoS-L ต้องใช้ความแม่นยำสูงในการประกอบ ⛔ ความต้องการสูงอาจทำให้ HBM4 ขาดตลาดในช่วงแรก https://wccftech.com/nvidia-next-gen-rubin-gpus-enter-production-hbm4-samples-all-major-manufacturers/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA's Next-Gen Rubin GPUs Have Reportedly Entered Production, Also Secures HBM4 Samples From All Major DRAM Manufacturers
    NVIDIA's next-generation Rubin GPUs have entered production, and the company has also secured samples of HBM4 memory from all major suppliers.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • “แบตมือถือเล็กลงไม่ใช่เพราะงก – แต่เพราะกฎบิน!”

    ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศส่งผลให้ Apple และ Samsung ต้องลดขนาดแบตเตอรี่ในสมาร์ทโฟน แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่มีความจุสูงอาจถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย” ในการขนส่งทางอากาศ ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่าง Apple และ Samsung ต้องเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กลงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการขนส่งในสหรัฐฯ และยุโรป

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมมือถือจากแบรนด์จีนถึงมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ระดับ 6,500mAh แต่ Apple และ Samsung กลับเลือกใช้แบตเตอรี่ที่เล็กกว่ามาก? คำตอบอาจไม่ใช่เรื่องต้นทุน แต่เป็นเพราะ ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศ ที่เข้มงวดในสหรัฐฯ และยุโรป

    ตามเอกสารแนวทางของ IATA (International Air Transport Association) สำหรับปี 2025 ระบุว่าแบตเตอรี่ที่มีค่า Watt-hour (Wh) เกิน 20Wh จะถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย” ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบพิเศษ มีฉลากเตือน และบรรจุภัณฑ์เฉพาะ

    แบรนด์จีนสามารถใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้เพราะจำหน่ายในประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดด้านการขนส่งทางอากาศเข้มงวดเท่าสหรัฐฯ และยุโรป เช่น vivo X300 Pro ที่มีแบตเตอรี่ 6,510mAh ในจีน แต่ลดเหลือ 5,440mAh ในเวอร์ชันยุโรป

    ข้อบังคับนี้ส่งผลให้ Apple และ Samsung ต้องออกแบบสมาร์ทโฟนให้มีแบตเตอรี่ขนาดเล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการขนส่งและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์

    ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศจำกัดขนาดแบตเตอรี่
    แบตเตอรี่เกิน 20Wh ถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย”
    ต้องมีฉลากเตือนและบรรจุภัณฑ์พิเศษ
    ส่งผลต่อการออกแบบสมาร์ทโฟนของ Apple และ Samsung

    วิธีคำนวณค่า Watt-hour จาก mAh
    สูตร: mAh ÷ 1000 × 3.7V
    ตัวอย่าง: 4,000mAh = 14.8Wh
    เกิน 5,400mAh อาจทะลุ 20Wh

    แบรนด์จีนสามารถใช้แบตเตอรี่ใหญ่กว่า
    vivo X300 Pro มีแบต 6,510mAh ในจีน
    ลดเหลือ 5,440mAh ในเวอร์ชันยุโรป
    เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านการขนส่งในบางประเทศ

    https://wccftech.com/air-safety-regulations-are-pushing-apple-and-samsung-to-use-a-smaller-smartphone-battery/
    ✈️ “แบตมือถือเล็กลงไม่ใช่เพราะงก – แต่เพราะกฎบิน!” ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศส่งผลให้ Apple และ Samsung ต้องลดขนาดแบตเตอรี่ในสมาร์ทโฟน แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่มีความจุสูงอาจถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย” ในการขนส่งทางอากาศ ทำให้แบรนด์ใหญ่อย่าง Apple และ Samsung ต้องเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กลงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านการขนส่งในสหรัฐฯ และยุโรป เคยสงสัยไหมว่าทำไมมือถือจากแบรนด์จีนถึงมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ระดับ 6,500mAh แต่ Apple และ Samsung กลับเลือกใช้แบตเตอรี่ที่เล็กกว่ามาก? คำตอบอาจไม่ใช่เรื่องต้นทุน แต่เป็นเพราะ ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศ ที่เข้มงวดในสหรัฐฯ และยุโรป ตามเอกสารแนวทางของ IATA (International Air Transport Association) สำหรับปี 2025 ระบุว่าแบตเตอรี่ที่มีค่า Watt-hour (Wh) เกิน 20Wh จะถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย” ซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบพิเศษ มีฉลากเตือน และบรรจุภัณฑ์เฉพาะ แบรนด์จีนสามารถใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้เพราะจำหน่ายในประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดด้านการขนส่งทางอากาศเข้มงวดเท่าสหรัฐฯ และยุโรป เช่น vivo X300 Pro ที่มีแบตเตอรี่ 6,510mAh ในจีน แต่ลดเหลือ 5,440mAh ในเวอร์ชันยุโรป ข้อบังคับนี้ส่งผลให้ Apple และ Samsung ต้องออกแบบสมาร์ทโฟนให้มีแบตเตอรี่ขนาดเล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการขนส่งและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ✅ ข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางอากาศจำกัดขนาดแบตเตอรี่ ➡️ แบตเตอรี่เกิน 20Wh ถูกจัดเป็น “วัตถุอันตราย” ➡️ ต้องมีฉลากเตือนและบรรจุภัณฑ์พิเศษ ➡️ ส่งผลต่อการออกแบบสมาร์ทโฟนของ Apple และ Samsung ✅ วิธีคำนวณค่า Watt-hour จาก mAh ➡️ สูตร: mAh ÷ 1000 × 3.7V ➡️ ตัวอย่าง: 4,000mAh = 14.8Wh ➡️ เกิน 5,400mAh อาจทะลุ 20Wh ✅ แบรนด์จีนสามารถใช้แบตเตอรี่ใหญ่กว่า ➡️ vivo X300 Pro มีแบต 6,510mAh ในจีน ➡️ ลดเหลือ 5,440mAh ในเวอร์ชันยุโรป ➡️ เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านการขนส่งในบางประเทศ https://wccftech.com/air-safety-regulations-are-pushing-apple-and-samsung-to-use-a-smaller-smartphone-battery/
    WCCFTECH.COM
    Air Safety Rules Might Be Behind Your Apple Or Samsung Phone Running Out Of Juice At The End Of The Day
    Have you wondered why Chinese OEMs stuff their smartphone batteries to the gills while Apple and Samsung do not? Answer: Air safety rules.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • “SSD ถอดประกอบได้! Samsung ปลุกอนาคตแห่งการอัปเกรดแบบ DIY”

    Samsung เปิดตัว SSD โมดูลาร์สุดล้ำ! ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้ พร้อมรุ่นเล็ก 4TB PCIe 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพา Samsung เผยโฉม SSD รุ่นใหม่ในงาน CES 2026 ที่มาพร้อมดีไซน์โมดูลาร์ ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระ พร้อมเปิดตัวรุ่นเล็ก PM9E1 M.2 2242 ขนาด 4TB สำหรับอุปกรณ์พกพา

    Samsung สร้างความฮือฮาในวงการจัดเก็บข้อมูลด้วยการเปิดตัว SSD รุ่นใหม่สองตัวในงาน CES 2026 ได้แก่:

    1️⃣ AM9C1 E1.A – Detachable AutoSSD SSD สำหรับยานยนต์ที่สามารถถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระ โดยใช้ดีไซน์โมดูลาร์ที่แยกส่วนประกอบออกเป็นสองโมดูลหลัก ทำให้สามารถอัปเกรดหรือซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น และช่วยลดความร้อนเพื่อยืดอายุการใช้งาน

    2️⃣ PM9E1 M.2 2242 – SSD ขนาดเล็กแต่แรง รุ่นย่อส่วนของ PM9E1 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อปบางเฉียบหรือมินิพีซี แม้จะมีขนาดเล็กกว่า M.2 2280 แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วยความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s ตามลำดับ

    ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 และ NAND รุ่นที่ 8 ของ Samsung พร้อมคอนโทรลเลอร์ 5nm ที่ทันสมัย โดยเฉพาะ AM9C1 E1.A ที่สามารถเปลี่ยนคอนโทรลเลอร์จาก PCIe 4.0 เป็น 5.0 ได้ในอนาคต ถือเป็นก้าวสำคัญของ SSD ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามต้องการ

    Samsung เปิดตัว SSD โมดูลาร์รุ่น AM9C1 E1.A
    ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้
    ใช้ดีไซน์แยกโมดูลเพื่ออัปเกรดและลดความร้อน
    รองรับ PCIe 4.0 และสามารถอัปเกรดเป็น PCIe 5.0
    ความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 128GB ถึง 2TB

    เปิดตัว PM9E1 M.2 2242 สำหรับอุปกรณ์พกพา
    ขนาดเล็กกว่า M.2 2280 แต่แรงกว่า
    ความจุสูงสุด 4TB เหมาะกับ Steam Deck และแล็ปท็อป
    ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s
    ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto 5nm และ V8 TLC V-NAND

    แนวโน้ม SSD ในอนาคต
    โมดูลาร์ดีไซน์ช่วยให้ซ่อมแซมและอัปเกรดง่ายขึ้น
    อาจขยายสู่ตลาดผู้บริโภคในอนาคต
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานและลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    SSD โมดูลาร์อาจมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไป
    การเปลี่ยนโมดูลต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค
    อุปกรณ์บางรุ่นอาจไม่รองรับขนาด M.2 2242

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/samsung-teases-modular-ssd-with-swappable-nand-and-ssd-controller-compact-4tb-pcie-5-0-m-2-2242-drive-is-also-ready-to-deploy
    🧩 “SSD ถอดประกอบได้! Samsung ปลุกอนาคตแห่งการอัปเกรดแบบ DIY” Samsung เปิดตัว SSD โมดูลาร์สุดล้ำ! ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้ พร้อมรุ่นเล็ก 4TB PCIe 5.0 สำหรับอุปกรณ์พกพา Samsung เผยโฉม SSD รุ่นใหม่ในงาน CES 2026 ที่มาพร้อมดีไซน์โมดูลาร์ ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระ พร้อมเปิดตัวรุ่นเล็ก PM9E1 M.2 2242 ขนาด 4TB สำหรับอุปกรณ์พกพา Samsung สร้างความฮือฮาในวงการจัดเก็บข้อมูลด้วยการเปิดตัว SSD รุ่นใหม่สองตัวในงาน CES 2026 ได้แก่: 1️⃣ AM9C1 E1.A – Detachable AutoSSD SSD สำหรับยานยนต์ที่สามารถถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้อย่างอิสระ โดยใช้ดีไซน์โมดูลาร์ที่แยกส่วนประกอบออกเป็นสองโมดูลหลัก ทำให้สามารถอัปเกรดหรือซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น และช่วยลดความร้อนเพื่อยืดอายุการใช้งาน 2️⃣ PM9E1 M.2 2242 – SSD ขนาดเล็กแต่แรง รุ่นย่อส่วนของ PM9E1 ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพา เช่น แล็ปท็อปบางเฉียบหรือมินิพีซี แม้จะมีขนาดเล็กกว่า M.2 2280 แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงด้วยความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s ตามลำดับ ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี PCIe 5.0 และ NAND รุ่นที่ 8 ของ Samsung พร้อมคอนโทรลเลอร์ 5nm ที่ทันสมัย โดยเฉพาะ AM9C1 E1.A ที่สามารถเปลี่ยนคอนโทรลเลอร์จาก PCIe 4.0 เป็น 5.0 ได้ในอนาคต ถือเป็นก้าวสำคัญของ SSD ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามต้องการ ✅ Samsung เปิดตัว SSD โมดูลาร์รุ่น AM9C1 E1.A ➡️ ถอดเปลี่ยน NAND และคอนโทรลเลอร์ได้ ➡️ ใช้ดีไซน์แยกโมดูลเพื่ออัปเกรดและลดความร้อน ➡️ รองรับ PCIe 4.0 และสามารถอัปเกรดเป็น PCIe 5.0 ➡️ ความจุเริ่มต้นตั้งแต่ 128GB ถึง 2TB ✅ เปิดตัว PM9E1 M.2 2242 สำหรับอุปกรณ์พกพา ➡️ ขนาดเล็กกว่า M.2 2280 แต่แรงกว่า ➡️ ความจุสูงสุด 4TB เหมาะกับ Steam Deck และแล็ปท็อป ➡️ ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s ➡️ ใช้คอนโทรลเลอร์ Presto 5nm และ V8 TLC V-NAND ✅ แนวโน้ม SSD ในอนาคต ➡️ โมดูลาร์ดีไซน์ช่วยให้ซ่อมแซมและอัปเกรดง่ายขึ้น ➡️ อาจขยายสู่ตลาดผู้บริโภคในอนาคต ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานและลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ SSD โมดูลาร์อาจมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไป ⛔ การเปลี่ยนโมดูลต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค ⛔ อุปกรณ์บางรุ่นอาจไม่รองรับขนาด M.2 2242 https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/samsung-teases-modular-ssd-with-swappable-nand-and-ssd-controller-compact-4tb-pcie-5-0-m-2-2242-drive-is-also-ready-to-deploy
    0 Comments 0 Shares 101 Views 0 Reviews
  • Samsung Galaxy S27 Ultra อาจใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบใหม่ “Polar ID” ไม่ต้องพึ่งกล้องอินฟราเรดอีกต่อไป

    Samsung กำลังพัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าใหม่สำหรับ Galaxy S27 Ultra ที่เรียกว่า Polar ID v1.0 ซึ่งใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้องอินฟราเรดแบบเดิม โดยมีการอ้างอิงจากเฟิร์มแวร์ทดสอบและล็อกภายในที่หลุดออกมา ระบุว่าโมดูลใหม่นี้เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์หน้า ISOCELL Vizion และระบบความปลอดภัย BIO-Fusion Core ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยในการปลดล็อก

    เทคโนโลยี Polar ID คืออะไร?
    ใช้แสงโพลาไรซ์ในการตรวจจับลักษณะเฉพาะของใบหน้า
    ไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์อินฟราเรดขนาดใหญ่เหมือน Face ID ของ Apple
    มีความเร็วในการปลดล็อกประมาณ 180 มิลลิวินาที
    ป้องกันการปลอมแปลงได้ดีกว่าการสแกนใบหน้าแบบ 2D ทั่วไป

    เทคโนโลยีใหม่ใน Galaxy S27 Ultra
    Polar ID v1.0 ใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้อง IR
    เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์ ISOCELL Vizion และ BIO-Fusion Core
    ปลดล็อกได้เร็ว 180ms และปลอดภัยกว่าการสแกนแบบเดิม

    ข้อดีของการไม่ใช้กล้องอินฟราเรด
    ลดต้นทุนและขนาดฮาร์ดแวร์
    เพิ่มพื้นที่ให้กับฟีเจอร์อื่นบนหน้าจอ
    ลดการใช้พลังงานและความร้อนจากโมดูล IR

    ความคืบหน้าของ Galaxy S27 Ultra
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาเฟิร์มแวร์
    คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2027
    เป็นครั้งแรกที่ Samsung พัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าแบบใหม่โดยไม่พึ่ง IR

    คำเตือนด้านความแม่นยำและความปลอดภัย
    เทคโนโลยีใหม่ยังไม่ผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริง
    อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในที่แสงน้อยหรือแสงจ้า
    ต้องรอการยืนยันจาก Samsung ว่าจะใช้จริงในรุ่นวางจำหน่าย

    https://wccftech.com/samsung-galaxy-s27-ultra-might-adopt-a-new-face-authentication-mechanism/
    🔐📱 Samsung Galaxy S27 Ultra อาจใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบใหม่ “Polar ID” ไม่ต้องพึ่งกล้องอินฟราเรดอีกต่อไป Samsung กำลังพัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าใหม่สำหรับ Galaxy S27 Ultra ที่เรียกว่า Polar ID v1.0 ซึ่งใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้องอินฟราเรดแบบเดิม โดยมีการอ้างอิงจากเฟิร์มแวร์ทดสอบและล็อกภายในที่หลุดออกมา ระบุว่าโมดูลใหม่นี้เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์หน้า ISOCELL Vizion และระบบความปลอดภัย BIO-Fusion Core ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยในการปลดล็อก 🧠 เทคโนโลยี Polar ID คืออะไร? 🎗️ ใช้แสงโพลาไรซ์ในการตรวจจับลักษณะเฉพาะของใบหน้า 🎗️ ไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์อินฟราเรดขนาดใหญ่เหมือน Face ID ของ Apple 🎗️ มีความเร็วในการปลดล็อกประมาณ 180 มิลลิวินาที 🎗️ ป้องกันการปลอมแปลงได้ดีกว่าการสแกนใบหน้าแบบ 2D ทั่วไป ✅ เทคโนโลยีใหม่ใน Galaxy S27 Ultra ➡️ Polar ID v1.0 ใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้อง IR ➡️ เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์ ISOCELL Vizion และ BIO-Fusion Core ➡️ ปลดล็อกได้เร็ว 180ms และปลอดภัยกว่าการสแกนแบบเดิม ✅ ข้อดีของการไม่ใช้กล้องอินฟราเรด ➡️ ลดต้นทุนและขนาดฮาร์ดแวร์ ➡️ เพิ่มพื้นที่ให้กับฟีเจอร์อื่นบนหน้าจอ ➡️ ลดการใช้พลังงานและความร้อนจากโมดูล IR ✅ ความคืบหน้าของ Galaxy S27 Ultra ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาเฟิร์มแวร์ ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2027 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Samsung พัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าแบบใหม่โดยไม่พึ่ง IR ‼️ คำเตือนด้านความแม่นยำและความปลอดภัย ⛔ เทคโนโลยีใหม่ยังไม่ผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริง ⛔ อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในที่แสงน้อยหรือแสงจ้า ⛔ ต้องรอการยืนยันจาก Samsung ว่าจะใช้จริงในรุ่นวางจำหน่าย https://wccftech.com/samsung-galaxy-s27-ultra-might-adopt-a-new-face-authentication-mechanism/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Galaxy S27 Ultra Might Adopt A New Face Authentication Mechanism
    The Samsung Galaxy S27 Ultra might sport a serious face authentication mechanism without having to resort to 3D scan-enabling IR hardware.
    0 Comments 0 Shares 99 Views 0 Reviews
  • Nvidia อาจยกเลิก RTX 5000 Super เพราะชิป GDDR7 ขาดแคลน – AI แย่งทรัพยากรไปหมด

    ข่าวลือจาก Uniko's Hardware เผยว่า Nvidia อาจต้องยกเลิกการเปิดตัวการ์ดจอ RTX 5000 Super เนื่องจากชิปหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ที่จำเป็นสำหรับรุ่นนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก เพราะถูกแย่งใช้ไปกับการผลิตฮาร์ดแวร์ AI ที่ให้ผลกำไรมากกว่า เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU ทำให้ Nvidia อาจเลือกเก็บชิปไว้ใช้กับรุ่นระดับมืออาชีพแทน

    เบื้องหลังปัญหาชิป GDDR7
    การ์ดจอ RTX 50-series ปัจจุบันใช้ชิป GDDR7 ขนาด 2GB แต่รุ่น Super ต้องใช้ 3GB
    โรงงานผลิตของ Samsung และ Micron ถูกแย่งกำลังการผลิตไปใช้กับชิป AI
    แม้ GDDR7 จะยังอยู่ในช่วงเพิ่มกำลังผลิต แต่ความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ไม่มีเหลือสำหรับตลาดผู้บริโภค

    สถานการณ์ของ RTX 5000 Super
    อาจถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
    เหตุผลหลักคือขาดแคลนชิป GDDR7 ขนาด 3GB
    Nvidia อาจเลือกใช้ชิปที่มีอยู่กับรุ่นที่ทำกำไรสูงกว่า

    ผลกระทบจากตลาด AI
    ฮาร์ดแวร์ AI เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU แย่งชิปไปใช้
    โรงงานผลิตชิปเน้นผลิต HBM มากกว่า GDDR7 เพราะกำไรสูง
    การ์ดจอสำหรับเกมเมอร์จึงถูกลดความสำคัญลง

    ความเคลื่อนไหวของ Nvidia
    ยังไม่มีการประกาศ RTX 5000 Super อย่างเป็นทางการ
    รุ่น Super เดิมถูกคาดว่าจะมาแทน 5070, 5070 Ti และ 5080
    หากเปิดตัวจริง อาจมีราคาสูงและสินค้าหมดเร็ว

    คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อการ์ดจอใหม่
    ราคาของ RTX 50-series ปัจจุบันอาจเพิ่มขึ้นเร็วๆ นี้
    สต็อกของรุ่นสูงกำลังลดลงในยุโรปและอเมริกา
    หากรอรุ่น Super อาจต้องเผื่อใจว่าอาจไม่มา หรือมาในราคาสูงมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-rtx-5000-super-could-be-cancelled-or-get-pricier-due-to-ai-induced-gddr7-woes-rumor-claims-3-gb-memory-chips-are-now-too-valuable-for-consumer-gpus
    💥📉 Nvidia อาจยกเลิก RTX 5000 Super เพราะชิป GDDR7 ขาดแคลน – AI แย่งทรัพยากรไปหมด ข่าวลือจาก Uniko's Hardware เผยว่า Nvidia อาจต้องยกเลิกการเปิดตัวการ์ดจอ RTX 5000 Super เนื่องจากชิปหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ที่จำเป็นสำหรับรุ่นนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก เพราะถูกแย่งใช้ไปกับการผลิตฮาร์ดแวร์ AI ที่ให้ผลกำไรมากกว่า เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU ทำให้ Nvidia อาจเลือกเก็บชิปไว้ใช้กับรุ่นระดับมืออาชีพแทน 🧠 เบื้องหลังปัญหาชิป GDDR7 💠 การ์ดจอ RTX 50-series ปัจจุบันใช้ชิป GDDR7 ขนาด 2GB แต่รุ่น Super ต้องใช้ 3GB 💠 โรงงานผลิตของ Samsung และ Micron ถูกแย่งกำลังการผลิตไปใช้กับชิป AI 💠 แม้ GDDR7 จะยังอยู่ในช่วงเพิ่มกำลังผลิต แต่ความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ไม่มีเหลือสำหรับตลาดผู้บริโภค ✅ สถานการณ์ของ RTX 5000 Super ➡️ อาจถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ➡️ เหตุผลหลักคือขาดแคลนชิป GDDR7 ขนาด 3GB ➡️ Nvidia อาจเลือกใช้ชิปที่มีอยู่กับรุ่นที่ทำกำไรสูงกว่า ✅ ผลกระทบจากตลาด AI ➡️ ฮาร์ดแวร์ AI เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU แย่งชิปไปใช้ ➡️ โรงงานผลิตชิปเน้นผลิต HBM มากกว่า GDDR7 เพราะกำไรสูง ➡️ การ์ดจอสำหรับเกมเมอร์จึงถูกลดความสำคัญลง ✅ ความเคลื่อนไหวของ Nvidia ➡️ ยังไม่มีการประกาศ RTX 5000 Super อย่างเป็นทางการ ➡️ รุ่น Super เดิมถูกคาดว่าจะมาแทน 5070, 5070 Ti และ 5080 ➡️ หากเปิดตัวจริง อาจมีราคาสูงและสินค้าหมดเร็ว ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อการ์ดจอใหม่ ⛔ ราคาของ RTX 50-series ปัจจุบันอาจเพิ่มขึ้นเร็วๆ นี้ ⛔ สต็อกของรุ่นสูงกำลังลดลงในยุโรปและอเมริกา ⛔ หากรอรุ่น Super อาจต้องเผื่อใจว่าอาจไม่มา หรือมาในราคาสูงมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-rtx-5000-super-could-be-cancelled-or-get-pricier-due-to-ai-induced-gddr7-woes-rumor-claims-3-gb-memory-chips-are-now-too-valuable-for-consumer-gpus
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด”

    Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน

    อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง

    แผนการของ Tesla
    Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง
    เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC
    ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์
    ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ

    ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป
    Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก”
    ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต
    ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง
    ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm

    ความต้องการชิปของ Tesla
    Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่
    ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์
    แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป
    ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
    การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม
    การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    🏭⚠️ Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด” Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง ✅ แผนการของ Tesla ➡️ Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง ➡️ เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC ➡️ ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ ✅ ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป ➡️ Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก” ➡️ ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ➡️ ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง ➡️ ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm ✅ ความต้องการชิปของ Tesla ➡️ Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์ ➡️ แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป ⛔ ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ⛔ การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม ⛔ การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    0 Comments 0 Shares 156 Views 0 Reviews
  • นักเขียนสายเทคเผยสเปกแท็บเล็ตในฝัน หลังใช้มาแล้ว 8 รุ่น

    Max Miller จาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้แท็บเล็ตหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Nexus 7, Microsoft Surface ไปจนถึง Samsung Galaxy Tab และ iPad Pro พร้อมสรุปว่า แท็บเล็ตที่ดีที่สุดยังไม่มีใครสร้าง เพราะไม่มีรุ่นใดที่ “ฮาร์ดแวร์แรง” และ “ซอฟต์แวร์ฉลาด” ไปพร้อมกัน

    เขาชื่นชม iPad Pro ที่ใช้ชิป M5 และจอ OLED ระดับพรีเมียม แต่ผิดหวังกับ iPadOS ที่ยังเน้นการสัมผัสมากเกินไป ทำให้ workflow ไม่ลื่นไหล ส่วนฝั่ง Android แม้ One UI 8 จะออกแบบมาดีสำหรับงาน productivity แต่กลับติดข้อจำกัดด้านชิปที่ไม่แรงพอ

    ปัญหาของแท็บเล็ตปัจจุบัน
    iPad Pro: ฮาร์ดแวร์แรงแต่ iPadOS ยังไม่ตอบโจทย์งานจริง
    Android: ซอฟต์แวร์ดีแต่ชิปไม่แรงพอ เช่น MediaTek บน Tab S11
    Windows: มีพลังแต่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานแบบแท็บเล็ต

    สเปกแท็บเล็ตในฝัน “mePad”
    จอ OLED ขนาด 14 นิ้ว 165Hz
    ชิป Snapdragon X รุ่นล่าสุด
    RAM 32GB แบบถอดเปลี่ยนได้ + microSD
    พอร์ต USB-C x2 รองรับ USB4 และชาร์จ 140W
    ตัวเครื่องบาง ใช้ไทเทเนียม มีน็อตให้ซ่อมเองได้
    ระบบ One UI 8 ปรับแต่งเฉพาะ พร้อม S Pen Bluetooth

    ความหวังใหม่: ChromeOS รวมกับ Android
    Google เตรียมรวม ChromeOS เข้ากับ Android
    อาจเกิดแท็บเล็ตแบบ Chromebook ที่ใช้ Desktop Mode ได้จริง
    Samsung และ Google เคยร่วมมือกันใน One UI 8 และ WearOS

    แท็บเล็ตในฝันของ Max Miller อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องสเปก แต่คือการเข้าใจผู้ใช้และกล้าผสมสิ่งที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน แม้จะขัดกับแนวทางของแบรนด์ใหญ่ก็ตาม

    https://www.slashgear.com/2018581/tablet-owner-design-perfect-device-essential-specs-features/
    🧩 นักเขียนสายเทคเผยสเปกแท็บเล็ตในฝัน หลังใช้มาแล้ว 8 รุ่น Max Miller จาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้แท็บเล็ตหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Nexus 7, Microsoft Surface ไปจนถึง Samsung Galaxy Tab และ iPad Pro พร้อมสรุปว่า แท็บเล็ตที่ดีที่สุดยังไม่มีใครสร้าง เพราะไม่มีรุ่นใดที่ “ฮาร์ดแวร์แรง” และ “ซอฟต์แวร์ฉลาด” ไปพร้อมกัน เขาชื่นชม iPad Pro ที่ใช้ชิป M5 และจอ OLED ระดับพรีเมียม แต่ผิดหวังกับ iPadOS ที่ยังเน้นการสัมผัสมากเกินไป ทำให้ workflow ไม่ลื่นไหล ส่วนฝั่ง Android แม้ One UI 8 จะออกแบบมาดีสำหรับงาน productivity แต่กลับติดข้อจำกัดด้านชิปที่ไม่แรงพอ ✅ ปัญหาของแท็บเล็ตปัจจุบัน ➡️ iPad Pro: ฮาร์ดแวร์แรงแต่ iPadOS ยังไม่ตอบโจทย์งานจริง ➡️ Android: ซอฟต์แวร์ดีแต่ชิปไม่แรงพอ เช่น MediaTek บน Tab S11 ➡️ Windows: มีพลังแต่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานแบบแท็บเล็ต ✅ สเปกแท็บเล็ตในฝัน “mePad” ➡️ จอ OLED ขนาด 14 นิ้ว 165Hz ➡️ ชิป Snapdragon X รุ่นล่าสุด ➡️ RAM 32GB แบบถอดเปลี่ยนได้ + microSD ➡️ พอร์ต USB-C x2 รองรับ USB4 และชาร์จ 140W ➡️ ตัวเครื่องบาง ใช้ไทเทเนียม มีน็อตให้ซ่อมเองได้ ➡️ ระบบ One UI 8 ปรับแต่งเฉพาะ พร้อม S Pen Bluetooth ✅ ความหวังใหม่: ChromeOS รวมกับ Android ➡️ Google เตรียมรวม ChromeOS เข้ากับ Android ➡️ อาจเกิดแท็บเล็ตแบบ Chromebook ที่ใช้ Desktop Mode ได้จริง ➡️ Samsung และ Google เคยร่วมมือกันใน One UI 8 และ WearOS แท็บเล็ตในฝันของ Max Miller อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องสเปก แต่คือการเข้าใจผู้ใช้และกล้าผสมสิ่งที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน แม้จะขัดกับแนวทางของแบรนด์ใหญ่ก็ตาม https://www.slashgear.com/2018581/tablet-owner-design-perfect-device-essential-specs-features/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    I Have Owned 8 Tablets: Here's What The Perfect One Would Look Like - SlashGear
    The perfect tablet would combine the hardware of the iPad Pro with the productivity-focused OS features of Samsung One UI 8, offering the best of both worlds.
    0 Comments 0 Shares 118 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก

    Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม

    เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple

    Google Calendar, Keep, Tasks
    ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์
    แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน

    Microsoft OneDrive
    ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์
    ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook
    มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้

    Microsoft 365
    ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง

    Android Hotspot
    แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก
    Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้
    ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ

    Duet Display
    ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้
    เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย
    ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก

    AirDroid
    ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ
    ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS
    มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook
    ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น
    บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS
    แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี

    หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง

    https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    🧩 เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple ✅ Google Calendar, Keep, Tasks ➡️ ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์ ➡️ แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน ✅ Microsoft OneDrive ➡️ ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์ ➡️ ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook ➡️ มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้ ✅ Microsoft 365 ➡️ ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง ✅ Android Hotspot ➡️ แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก ➡️ Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้ ➡️ ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ ✅ Duet Display ➡️ ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้ ➡️ เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย ➡️ ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก ✅ AirDroid ➡️ ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ ➡️ ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook ⛔ ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น ⛔ บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS ⛔ แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android User With A MacBook? Here's How I Made It Work As A Busy Tech Writer - SlashGear
    Mac and Android can get along if you're willing to put in a little bit of prep work. Here's how one of our writers manages the relationship.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • Samsung เตรียมเปิดตัว LPDDR6 และ SSD Gen5 สุดล้ำในงาน CES 2026

    Samsung ประกาศเปิดตัวหน่วยความจำ LPDDR6 และ SSD PM9E1 Gen5 ที่เร็วและเล็กที่สุดในโลก รองรับยุคใหม่ของ AI และ Edge Computing

    ในงาน CES 2026 ที่กำลังจะมาถึง Samsung เตรียมเผยโฉมสองผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ LPDDR6 DRAM และ PM9E1 Gen5 SSD ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของอุปกรณ์ AI, Edge Computing และแพลตฟอร์มมือถือยุคใหม่

    LPDDR6 ใช้กระบวนการผลิตระดับ 12 นาโนเมตร ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากกว่า LPDDR5 ถึง 21% พร้อมระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมและ AI ระดับวิกฤต

    ในด้าน SSD รุ่น PM9E1 Gen5 มาในขนาด M.2 22x42 mm ซึ่งเล็กกว่ารุ่นทั่วไป แต่ให้ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s รองรับความจุสูงสุด 4TB โดยใช้คอนโทรลเลอร์ “Presto” และ NAND รุ่น V8 TLC ที่พัฒนาโดย Samsung เอง

    LPDDR6 DRAM รุ่นใหม่จาก Samsung
    ความเร็วสูงสุด 10.7 Gbps
    ประหยัดพลังงานมากขึ้น 21% จาก LPDDR5
    ใช้กระบวนการผลิต 12nm และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ
    รองรับงาน AI, Edge Computing และอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    PM9E1 Gen5 SSD ขนาดเล็กแต่แรง
    ขนาด M.2 22x42 mm – เล็กที่สุดในโลกสำหรับ Gen5
    ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s
    ความจุสูงสุด 4TB
    ใช้คอนโทรลเลอร์ “Presto” และ NAND V8 TLC
    รองรับ SPDM v1.2 เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล

    ความท้าทายของการผลิตหน่วยความจำยุคใหม่
    ต้องควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยในระดับนาโนเมตร
    การออกแบบต้องรองรับความต้องการของ AI ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

    การแข่งขันในตลาด SSD และ DRAM
    ผู้ผลิตรายอื่นต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัน Samsung
    ความเร็วและขนาดกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้งาน

    https://wccftech.com/samsung-10-7-gbps-lpddr6-memory-14-8-gb-s-pm9e1-m-2-22x42-gen5-ssd-ces-2026/
    🔧 Samsung เตรียมเปิดตัว LPDDR6 และ SSD Gen5 สุดล้ำในงาน CES 2026 Samsung ประกาศเปิดตัวหน่วยความจำ LPDDR6 และ SSD PM9E1 Gen5 ที่เร็วและเล็กที่สุดในโลก รองรับยุคใหม่ของ AI และ Edge Computing ในงาน CES 2026 ที่กำลังจะมาถึง Samsung เตรียมเผยโฉมสองผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ LPDDR6 DRAM และ PM9E1 Gen5 SSD ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของอุปกรณ์ AI, Edge Computing และแพลตฟอร์มมือถือยุคใหม่ LPDDR6 ใช้กระบวนการผลิตระดับ 12 นาโนเมตร ให้ความเร็วสูงสุดถึง 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากกว่า LPDDR5 ถึง 21% พร้อมระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมและ AI ระดับวิกฤต ในด้าน SSD รุ่น PM9E1 Gen5 มาในขนาด M.2 22x42 mm ซึ่งเล็กกว่ารุ่นทั่วไป แต่ให้ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s รองรับความจุสูงสุด 4TB โดยใช้คอนโทรลเลอร์ “Presto” และ NAND รุ่น V8 TLC ที่พัฒนาโดย Samsung เอง ✅ LPDDR6 DRAM รุ่นใหม่จาก Samsung ➡️ ความเร็วสูงสุด 10.7 Gbps ➡️ ประหยัดพลังงานมากขึ้น 21% จาก LPDDR5 ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 12nm และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ ➡️ รองรับงาน AI, Edge Computing และอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัยสูง ✅ PM9E1 Gen5 SSD ขนาดเล็กแต่แรง ➡️ ขนาด M.2 22x42 mm – เล็กที่สุดในโลกสำหรับ Gen5 ➡️ ความเร็วอ่าน/เขียนสูงถึง 14.8 GB/s และ 13.4 GB/s ➡️ ความจุสูงสุด 4TB ➡️ ใช้คอนโทรลเลอร์ “Presto” และ NAND V8 TLC ➡️ รองรับ SPDM v1.2 เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ‼️ ความท้าทายของการผลิตหน่วยความจำยุคใหม่ ⛔ ต้องควบคุมการปนเปื้อนและการระเหยในระดับนาโนเมตร ⛔ การออกแบบต้องรองรับความต้องการของ AI ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ‼️ การแข่งขันในตลาด SSD และ DRAM ⛔ ผู้ผลิตรายอื่นต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้ทัน Samsung ⛔ ความเร็วและขนาดกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้งาน https://wccftech.com/samsung-10-7-gbps-lpddr6-memory-14-8-gb-s-pm9e1-m-2-22x42-gen5-ssd-ces-2026/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Showcase 10.7 Gbps LPDDR6 Memory & 14.8 GB/s PM9E1 M.2 22x42 Gen5 SSD at CES 2026
    Samsung will showcase its latest LPDDR6 memory and PM9E1 Gen5 SSD solutions alongside other tech at CES 2026.
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร”

    ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก

    ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน

    ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ

    ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก

    ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต:
    เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า
    เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้
    ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป

    และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง
    ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ
    ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA
    มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน
    อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90%
    บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
    ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์
    คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40%
    มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment

    การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ
    ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล
    ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต
    ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์
    ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง

    ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต

    https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    ☀️ “Solarpunk แอฟริกา – เมื่ออนาคตไม่รอใคร” ลองจินตนาการว่าไฟฟ้าไม่เคยมาเยือนบ้านคุณเลยตลอดชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณได้แสงสว่างจากแผงโซลาร์ที่ผ่อนได้ผ่านมือถือ… นี่คือเรื่องจริงของผู้คนกว่า 600 ล้านคนในแอฟริกา ที่ไม่ได้รอให้รัฐบาลหรือธนาคารโลกมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ แต่ลุกขึ้นมาสร้างมันเองผ่านโมเดล Solarpunk ที่กำลังเปลี่ยนโลก ในขณะที่โลกพัฒนาแล้วกำลังถกเถียงเรื่องพลังงานสะอาด แอฟริกากำลังลงมือทำจริง ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีราคาถูก การเงินดิจิทัล และโมเดลธุรกิจแบบจ่ายรายวัน (PAYG) ที่ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้าถึงได้แม้กับคนที่มีรายได้เพียง $2 ต่อวัน ในอดีต การขยายสายไฟฟ้าไปยังพื้นที่ชนบทต้องใช้เงินมหาศาลและเวลานานหลายสิบปี แต่วันนี้ บริษัทสตาร์ทอัพในแอฟริกาอย่าง Sun King และ SunCulture กลับสามารถติดตั้งระบบโซลาร์ให้เกษตรกรได้ภายในไม่กี่วัน ด้วยเงินดาวน์เพียง $100 และจ่ายรายวันผ่านมือถือ ระบบเหล่านี้มาพร้อม IoT ที่สามารถตัดไฟหากไม่จ่าย และเปิดไฟเมื่อชำระเงิน ทำให้เกิดวินัยทางการเงิน และอัตราการชำระหนี้สูงถึง 90% ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศที่มีระบบธนาคารเต็มรูปแบบเสียอีก ที่น่าทึ่งคือ โมเดลนี้ไม่เพียงให้แสงสว่าง แต่ยังเปลี่ยนชีวิต: 📍 เกษตรกรสามารถใช้ปั๊มน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มผลผลิต 3-5 เท่า 📍 เด็กๆ อ่านหนังสือตอนกลางคืนได้ 📍 ผู้หญิงไม่ต้องสูดควันจากเตาเผาดีเซลหรือถ่านอีกต่อไป และทั้งหมดนี้ยังสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้อีกด้วย ทำให้ต้นทุนลดลง และขยายตลาดได้มากขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ แอฟริกากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหม่ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้โมเดล Pay-As-You-Go (PAYG) ผ่านมือถือ ➡️ ระบบโซลาร์ติดตั้งง่าย จ่ายรายวันผ่าน M-PESA ➡️ มี IoT ควบคุมการเปิด-ปิดไฟตามการชำระเงิน ➡️ อัตราการชำระหนี้สูงกว่า 90% ➡️ บริษัท Sun King และ SunCulture มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ➡️ ปั๊มน้ำโซลาร์ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรจาก $600 เป็น $14,000 ต่อเอเคอร์ ➡️ คาร์บอนเครดิตช่วยลดต้นทุนลง 25-40% ➡️ มีการลงทุนล่วงหน้าโดยองค์กรต่างประเทศ เช่น British International Investment ‼️ การขยายโมเดลนี้ยังมีความเสี่ยง ⛔ ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ ⛔ ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล ⛔ ความผันผวนของราคาคาร์บอนเครดิต ⛔ ความซับซ้อนในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ ⛔ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง ถ้าโมเดลนี้ขยายไปยังเอเชียใต้ ลาตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ไม่ต้องรอ “สายไฟ” อีกต่อไป แต่ใช้แสงแดดเป็นตัวนำทางสู่อนาคต https://climatedrift.substack.com/p/why-solarpunk-is-already-happening
    CLIMATEDRIFT.SUBSTACK.COM
    Why Solarpunk is already happening in Africa
    Or: How Africa is building the future by skipping the past
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
More Results