• ยอดใช้งานอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ในพม่าดิ่งฮวบ , หลัง SpaceX ปิดระบบกว่า 2,500 เครื่องในพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์
    .
    Apnic เผยสัดส่วนผู้ใช้งาน Starlink จากเดิมกว่า 14% ลดลงเหลือไม่ถึง 7% หลังพบจานรับสัญญาณติดตั้งบนอาคารศูนย์หลอกลวงในเคเค พาร์ก ก่อน SpaceX สั่งปิดระบบจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Starlink ถูกสอบสวนโดยรัฐสภาสหรัฐฯ กรณีเอื้อโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109019
    .
    #News1live #News1 #Starlink #SpaceX #พม่า #Myanmar #KKPark #สแกมเมอร์ #ศูนย์หลอกลวง #อินเทอร์เน็ตดาวเทียม #Apnic #อาชญากรรมไซเบอร์ #ข่าวต่างประเทศ #ThailandNews #newsupdate
    ยอดใช้งานอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ในพม่าดิ่งฮวบ , หลัง SpaceX ปิดระบบกว่า 2,500 เครื่องในพื้นที่ศูนย์สแกมเมอร์ . Apnic เผยสัดส่วนผู้ใช้งาน Starlink จากเดิมกว่า 14% ลดลงเหลือไม่ถึง 7% หลังพบจานรับสัญญาณติดตั้งบนอาคารศูนย์หลอกลวงในเคเค พาร์ก ก่อน SpaceX สั่งปิดระบบจำนวนมาก ขณะเดียวกัน Starlink ถูกสอบสวนโดยรัฐสภาสหรัฐฯ กรณีเอื้อโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์ . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109019 . #News1live #News1 #Starlink #SpaceX #พม่า #Myanmar #KKPark #สแกมเมอร์ #ศูนย์หลอกลวง #อินเทอร์เน็ตดาวเทียม #Apnic #อาชญากรรมไซเบอร์ #ข่าวต่างประเทศ #ThailandNews #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • Musk ปั้นซัพพลายเชนชิปในสหรัฐ: จาก PCB สู่แพ็คเกจชิปขั้นสูง

    วิสัยทัศน์ “TeraFab” ของ Elon Musk เริ่มเห็นรูปธรรม: รายงานระบุว่ากำลังพัฒนาโรงงาน Advanced Packaging แบบ FOPLP ในเท็กซัส โดยมี SpaceX เป็นผู้จัดการเริ่มต้น ผลิตคอมโพเนนต์ RF สำหรับ Starlink เป้าหมายเดินเครื่องผลิตช่วงไตรมาส 3 ปี 2026 เพื่อแก้คอขวดซัพพลายเชนในสหรัฐและยกระดับอินทิเกรชันของโมดูล RF/พาวเวอร์ให้แน่นขึ้น ลดต้นทุนและเวลานำส่ง.

    สิ่งนี้สอดคล้องกับการสร้างฐาน PCB ขนาดมหึมาใน Bastrop, Texas ที่ประกาศว่าจะเป็น “โรงงาน PCB ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ” ผลิตอุปกรณ์ Starlink มหาศาล มีแผนเพิ่มดาวเทียมและลูกค้าอีกมาก โครงสร้างพื้นฐาน PCB ทำให้การต่อยอดสู่ FOPLP เป็นธรรมชาติ ทั้งกระบวนการผลิตมีส่วนร่วมกัน และช่วยเร่งสปรินต์ดีไซน์—ผลิต สำหรับระบบดาวเทียม.

    รายงานอีกฉบับชี้ว่าไลน์ FOPLP อาจใช้แผงขนาด 700×700 มม. ซึ่งท้าทายเรื่องการแอ่น/บิด แต่หากสเกลสำเร็จจะลดต้นทุนอย่างมาก และเพิ่มความเร็วการผลิต นอกจากนี้ การผลิตในประเทศช่วยตอบโจทย์สัญญาเชิงความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สำหรับเครือข่ายดาวเทียมที่มีการขยายตัวรวดเร็วของ SpaceX.

    ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิทัศน์การผลิตที่กว้างขึ้นในเท็กซัส—ตั้งแต่ Starbase ที่เป็นฐานทดสอบ/ผลิต Starship ไปจนถึงฐานอุตสาหกรรมในหลายเมือง โครงสร้างพื้นฐานและแรงงานที่เพิ่มขึ้นช่วยโอบอุ้มแผน vertical integration ของ Musk ให้ขับเคลื่อนเร็วขึ้นในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์จาก PCB ถึงแพ็คเกจชิปขั้นสูง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    FOPLP กำลังมา: โรงงานแพ็คเกจชิปขั้นสูงในเท็กซัส ตั้งเป้าเริ่มผลิต Q3 2026
    โฟกัสแรก: โมดูล RF/พาวเวอร์สำหรับ Starlink แบบแพ็คเกจอินทิเกรตแน่น ลดต้นทุนเวลานำส่ง

    ฐาน PCB มหึมา: Bastrop จะเป็นโรงงาน PCB ใหญ่สุดในสหรัฐ ผลิตอุปกรณ์ Starlink
    ผลกระทบ: เพิ่มความพึ่งพาตนเอง ลดการเอาท์ซอร์สเอเชีย และเร่งขยายเครือข่ายผู้ใช้

    สเกล 700×700 มม.: พยายามสเกล FOPLP บนแผงขนาดใหญ่อุตสาหกรรม
    ข้อดี: หากสำเร็จ ลดต้นทุนและเพิ่ม throughput อย่างมีนัยสำคัญ

    ระบบนิเวศเท็กซัส: โครงสร้างพื้นฐาน Starbase/โรงงานต่างๆ หนุน vertical integration
    ภาพรวม: สายการผลิตในประเทศสอดคล้องข้อกำหนดสัญญารัฐและลดเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

    ความท้าทายเทคนิค: แผง FOPLP ใหญ่เสี่ยงการแอ่น/บิด และ yield ต่ำในช่วงแรก
    แนวทาง: ต้องลงทุนเครื่องมือ/กระบวนการควบคุมความเรียบและความแม่นยำขั้นสูง

    ไทม์ไลน์ผลิต: Q3 2026 เป็นกรอบเริ่มต้นที่อาจเลื่อนจากการติดตั้ง/ปรับจูน
    ข้อควรเฝ้าระวัง: ความพร้อมเครื่องจักร ซัพพลายเออร์ และทีมกระบวนการอาจกระทบกำลังผลิตเริ่มต้น

    https://wccftech.com/elon-musk-dramatic-chip-ambitions-have-already-started-to-play-out/
    🙎‍♂️ Musk ปั้นซัพพลายเชนชิปในสหรัฐ: จาก PCB สู่แพ็คเกจชิปขั้นสูง 🚀 วิสัยทัศน์ “TeraFab” ของ Elon Musk เริ่มเห็นรูปธรรม: รายงานระบุว่ากำลังพัฒนาโรงงาน Advanced Packaging แบบ FOPLP ในเท็กซัส โดยมี SpaceX เป็นผู้จัดการเริ่มต้น ผลิตคอมโพเนนต์ RF สำหรับ Starlink เป้าหมายเดินเครื่องผลิตช่วงไตรมาส 3 ปี 2026 เพื่อแก้คอขวดซัพพลายเชนในสหรัฐและยกระดับอินทิเกรชันของโมดูล RF/พาวเวอร์ให้แน่นขึ้น ลดต้นทุนและเวลานำส่ง. สิ่งนี้สอดคล้องกับการสร้างฐาน PCB ขนาดมหึมาใน Bastrop, Texas ที่ประกาศว่าจะเป็น “โรงงาน PCB ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ” ผลิตอุปกรณ์ Starlink มหาศาล มีแผนเพิ่มดาวเทียมและลูกค้าอีกมาก โครงสร้างพื้นฐาน PCB ทำให้การต่อยอดสู่ FOPLP เป็นธรรมชาติ ทั้งกระบวนการผลิตมีส่วนร่วมกัน และช่วยเร่งสปรินต์ดีไซน์—ผลิต สำหรับระบบดาวเทียม. รายงานอีกฉบับชี้ว่าไลน์ FOPLP อาจใช้แผงขนาด 700×700 มม. ซึ่งท้าทายเรื่องการแอ่น/บิด แต่หากสเกลสำเร็จจะลดต้นทุนอย่างมาก และเพิ่มความเร็วการผลิต นอกจากนี้ การผลิตในประเทศช่วยตอบโจทย์สัญญาเชิงความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สำหรับเครือข่ายดาวเทียมที่มีการขยายตัวรวดเร็วของ SpaceX. ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิทัศน์การผลิตที่กว้างขึ้นในเท็กซัส—ตั้งแต่ Starbase ที่เป็นฐานทดสอบ/ผลิต Starship ไปจนถึงฐานอุตสาหกรรมในหลายเมือง โครงสร้างพื้นฐานและแรงงานที่เพิ่มขึ้นช่วยโอบอุ้มแผน vertical integration ของ Musk ให้ขับเคลื่อนเร็วขึ้นในห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์จาก PCB ถึงแพ็คเกจชิปขั้นสูง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ FOPLP กำลังมา: โรงงานแพ็คเกจชิปขั้นสูงในเท็กซัส ตั้งเป้าเริ่มผลิต Q3 2026 ➡️ โฟกัสแรก: โมดูล RF/พาวเวอร์สำหรับ Starlink แบบแพ็คเกจอินทิเกรตแน่น ลดต้นทุนเวลานำส่ง ✅ ฐาน PCB มหึมา: Bastrop จะเป็นโรงงาน PCB ใหญ่สุดในสหรัฐ ผลิตอุปกรณ์ Starlink ➡️ ผลกระทบ: เพิ่มความพึ่งพาตนเอง ลดการเอาท์ซอร์สเอเชีย และเร่งขยายเครือข่ายผู้ใช้ ✅ สเกล 700×700 มม.: พยายามสเกล FOPLP บนแผงขนาดใหญ่อุตสาหกรรม ➡️ ข้อดี: หากสำเร็จ ลดต้นทุนและเพิ่ม throughput อย่างมีนัยสำคัญ ✅ ระบบนิเวศเท็กซัส: โครงสร้างพื้นฐาน Starbase/โรงงานต่างๆ หนุน vertical integration ➡️ ภาพรวม: สายการผลิตในประเทศสอดคล้องข้อกำหนดสัญญารัฐและลดเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ‼️ ความท้าทายเทคนิค: แผง FOPLP ใหญ่เสี่ยงการแอ่น/บิด และ yield ต่ำในช่วงแรก ⛔ แนวทาง: ต้องลงทุนเครื่องมือ/กระบวนการควบคุมความเรียบและความแม่นยำขั้นสูง ‼️ ไทม์ไลน์ผลิต: Q3 2026 เป็นกรอบเริ่มต้นที่อาจเลื่อนจากการติดตั้ง/ปรับจูน ⛔ ข้อควรเฝ้าระวัง: ความพร้อมเครื่องจักร ซัพพลายเออร์ และทีมกระบวนการอาจกระทบกำลังผลิตเริ่มต้น https://wccftech.com/elon-musk-dramatic-chip-ambitions-have-already-started-to-play-out/
    WCCFTECH.COM
    Elon Musk’s Dramatic Chip Ambitions Are Already Taking Shape — And the Early Signs Look Highly Optimistic
    Elon Musk's statements around building up a chip supply were seen as 'ambitious', but it appears that Tesla already has efforts in place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • NASA เตรียมปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ ส่งไม้ต่อให้เอกชนสร้างสถานีใหม่ในอวกาศ

    เรื่องราวของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กำลังเดินทางเข้าสู่บทสรุป หลังจากรับใช้มนุษยชาติในการวิจัยอวกาศมานานกว่า 25 ปี ล่าสุด NASA ประกาศแผนปลดระวาง ISS ภายในปี 2030 พร้อมเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้ามาสานต่อภารกิจในวงโคจรต่ำของโลก

    จุดเริ่มต้นของตำนาน ISS
    ISS ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ยุโรป และรัสเซีย โดยเริ่มต้นในยุคประธานาธิบดี Ronald Reagan และถูกประกอบขึ้นในอวกาศแบบ “Lego set” จนกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจรโลก.

    ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ISS เป็นบ้านของนักบินอวกาศกว่า 7 คนในแต่ละช่วงเวลา และเป็นแหล่งทดลองทางวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 โครงการ ตั้งแต่ DNA ไปจนถึงพายุฟ้าคะนอง เพื่อเข้าใจชีวิตบนโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.

    แผนการปลดระวางและส่งต่อ
    NASA เลือกวิธี “นำกลับสู่โลกแบบควบคุม” โดยให้ SpaceX พัฒนายานพิเศษเพื่อกำหนดเส้นทางตกของ ISS ลงสู่มหาสมุทรห่างไกล โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะน้อยมาก.

    หลังจากนั้น NASA จะหันไปโฟกัสที่การสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ขณะที่ภารกิจในวงโคจรต่ำจะถูกส่งต่อให้เอกชน เช่น Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ที่กำลังพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่.

    ประวัติและบทบาทของ ISS
    สร้างจากความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ
    เป็นสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจร
    มีนักบินอวกาศประจำการและทดลองกว่า 4,000 โครงการ

    แผนการปลดระวาง ISS
    NASA จะปลดระวางภายในปี 2030
    ใช้วิธีนำกลับสู่โลกแบบควบคุมโดย SpaceX
    ตกลงในมหาสมุทรห่างไกล ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ

    การส่งไม้ต่อให้เอกชน
    NASA ลงนามกับ Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks
    พัฒนา “commercial destinations” เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างหลัง ISS หยุดทำงาน
    NASA จะเน้นสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน
    หากสถานีเอกชนไม่พร้อมทันเวลา อาจเกิดช่องว่างในการวิจัย
    การพึ่งพาเอกชนอาจทำให้การเข้าถึงอวกาศมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและสิทธิ์การใช้งาน

    https://www.slashgear.com/2018241/international-space-station-privatization-nasa/
    🚀 NASA เตรียมปลดระวางสถานีอวกาศนานาชาติ ส่งไม้ต่อให้เอกชนสร้างสถานีใหม่ในอวกาศ เรื่องราวของสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กำลังเดินทางเข้าสู่บทสรุป หลังจากรับใช้มนุษยชาติในการวิจัยอวกาศมานานกว่า 25 ปี ล่าสุด NASA ประกาศแผนปลดระวาง ISS ภายในปี 2030 พร้อมเปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้ามาสานต่อภารกิจในวงโคจรต่ำของโลก 🌌 จุดเริ่มต้นของตำนาน ISS ISS ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ยุโรป และรัสเซีย โดยเริ่มต้นในยุคประธานาธิบดี Ronald Reagan และถูกประกอบขึ้นในอวกาศแบบ “Lego set” จนกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจรโลก. ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ISS เป็นบ้านของนักบินอวกาศกว่า 7 คนในแต่ละช่วงเวลา และเป็นแหล่งทดลองทางวิทยาศาสตร์กว่า 4,000 โครงการ ตั้งแต่ DNA ไปจนถึงพายุฟ้าคะนอง เพื่อเข้าใจชีวิตบนโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น. 🛠️ แผนการปลดระวางและส่งต่อ NASA เลือกวิธี “นำกลับสู่โลกแบบควบคุม” โดยให้ SpaceX พัฒนายานพิเศษเพื่อกำหนดเส้นทางตกของ ISS ลงสู่มหาสมุทรห่างไกล โดยคาดว่าส่วนใหญ่จะเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะน้อยมาก. หลังจากนั้น NASA จะหันไปโฟกัสที่การสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคาร ขณะที่ภารกิจในวงโคจรต่ำจะถูกส่งต่อให้เอกชน เช่น Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ที่กำลังพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์รุ่นใหม่. ✅ ประวัติและบทบาทของ ISS ➡️ สร้างจากความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ ➡️ เป็นสถานีทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในวงโคจร ➡️ มีนักบินอวกาศประจำการและทดลองกว่า 4,000 โครงการ ✅ แผนการปลดระวาง ISS ➡️ NASA จะปลดระวางภายในปี 2030 ➡️ ใช้วิธีนำกลับสู่โลกแบบควบคุมโดย SpaceX ➡️ ตกลงในมหาสมุทรห่างไกล ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ ✅ การส่งไม้ต่อให้เอกชน ➡️ NASA ลงนามกับ Blue Origin, Northrop Grumman และ Nanoracks ➡️ พัฒนา “commercial destinations” เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างหลัง ISS หยุดทำงาน ➡️ NASA จะเน้นสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคต ‼️ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน ⛔ หากสถานีเอกชนไม่พร้อมทันเวลา อาจเกิดช่องว่างในการวิจัย ⛔ การพึ่งพาเอกชนอาจทำให้การเข้าถึงอวกาศมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและสิทธิ์การใช้งาน https://www.slashgear.com/2018241/international-space-station-privatization-nasa/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA Says Goodbye To The ISS - Say Hello To Privately Owned Space Stations - SlashGear
    NASA plans to decommission the ISS by 2030. The private sector is already gearing up to create low-Earth orbit space stations that take its place.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้

    ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้

    Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน

    เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ

    ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon
    Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน
    ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน
    เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร
    เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ
    ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก
    ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม
    เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน
    เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ
    ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ
    ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    🚀 Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้ ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้ Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon ➡️ Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน ➡️ ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน ➡️ เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม ✅ เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร ➡️ เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ ➡️ ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก ➡️ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม ➡️ เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน ➡️ เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ ⛔ ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ ⛔ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Starlink signs landmark global direct-to-cell deal with Veon as satellite-to-phone race heats up
    (Reuters) -Elon Musk's Starlink, a subsidiary of SpaceX, secured its largest direct-to-cell deal yet with telecoms group Veon, granting access to over 150 million potential customers, both companies said on Thursday, as competition in satellite-to-smartphone connectivity intensifies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!”

    ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9

    ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร

    CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์

    แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ

    Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ
    ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9
    สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที

    เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร
    ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม
    หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์

    ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง
    เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล
    ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์

    ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม
    มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม
    อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต

    คำเตือนด้านความเป็นไปได้
    ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030
    ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้

    คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง
    การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก
    หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    🚀🔬 “SpaceX ผนึก Besxar สร้างโรงงานผลิตชิปกลางอวกาศ — ภารกิจสุดล้ำที่อาจเปลี่ยนโลกเทคโนโลยี!” ลองจินตนาการว่าอนาคตของการผลิตชิปไม่ได้อยู่ในห้องคลีนรูมบนโลกอีกต่อไป… แต่ลอยอยู่ในอวกาศ! นั่นคือแนวคิดสุดล้ำของ Besxar สตาร์ทอัพจากวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จับมือกับ SpaceX เพื่อทดลองผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสุญญากาศของอวกาศ โดยใช้ “Fabships” — แคปซูลขนาดไมโครเวฟที่ติดไปกับจรวด Falcon 9 ภารกิจนี้จะมีทั้งหมด 12 ครั้ง เริ่มปลายปีนี้ โดย Fabships จะถูกส่งขึ้นไปพร้อมจรวด ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีในการสัมผัสสุญญากาศระดับสูง ก่อนกลับลงมาพร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาโรงงานผลิตชิปในวงโคจร CEO ของ Besxar, Ashley Pilipiszyn อธิบายว่า “โรงงานผลิตชิปบนโลกไม่สามารถสร้างสุญญากาศที่บริสุทธิ์ได้เท่ากับอวกาศ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพและผลผลิตของชิปยุคใหม่” แนวคิดนี้จึงเปรียบเสมือนการใช้ธรรมชาติของอวกาศเป็นห้องคลีนรูมขนาดยักษ์ แม้จะยังห่างไกลจากการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ Besxar ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พร้อมเป้าหมายในการสร้างชิปที่ทนรังสีและเหมาะกับการใช้งานในอวกาศและกองทัพ ✅ Besxar จับมือ SpaceX ทดลองผลิตชิปในอวกาศ ➡️ ใช้แคปซูล “Fabships” ติดไปกับจรวด Falcon 9 ➡️ สัมผัสสุญญากาศระดับสูงก่อนกลับสู่โลกภายใน 10 นาที ✅ เป้าหมายคือสร้างโรงงานผลิตชิปในวงโคจร ➡️ ใช้สุญญากาศของอวกาศแทนห้องคลีนรูม ➡️ หวังเพิ่มคุณภาพและผลผลิตของเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ภารกิจเริ่มปลายปีนี้ รวม 12 ครั้ง ➡️ เป็นโครงการทดลองเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ ยังไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์ ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก NVIDIA และกระทรวงกลาโหม ➡️ มีเป้าหมายในการผลิตชิปที่ทนรังสีสำหรับการใช้งานด้านกลาโหม ➡️ อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตชิปในอนาคต ‼️ คำเตือนด้านความเป็นไปได้ ⛔ ยังอยู่ในขั้นทดลอง ไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ก่อนปี 2030 ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าชิปสามารถทนต่อแรงกระแทกจากการปล่อยและกลับสู่โลกได้ ‼️ คำเตือนด้านต้นทุนและความเสี่ยง ⛔ การสร้างระบบผลิตในอวกาศมีต้นทุนสูงมาก ⛔ หากไม่สำเร็จ อาจเป็นเพียง “โน้ตเชิงทดลองราคาแพง” ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musks-spacex-to-launch-reusable-fabships-for-orbital-chip-manufacturing-experiments-besxars-orbital-chipmaking-experiments-to-occur-over-12-launches
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลประกอบตัวเองในอวกาศ: เมื่อ AI, หุ่นยนต์ และอวกาศมาบรรจบกัน

    Rendezvous Robotics และ Starcloud กำลังปฏิวัติวงการศูนย์ข้อมูล ด้วยแนวคิดสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์!

    ลองจินตนาการถึงศูนย์ข้อมูลขนาด 5 กิกะวัตต์ ลอยอยู่ในอวกาศ ประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มือมนุษย์ — ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว

    บริษัท Starcloud ซึ่งมีแผนจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้ง GPU Nvidia H100 ขึ้นสู่วงโคจรในเดือนหน้า ได้จับมือกับ Rendezvous Robotics บริษัทสตาร์ทอัพจาก MIT ที่พัฒนาเทคโนโลยี “TESSERAE” — โมดูลแบบแผ่นกระเบื้องที่สามารถประกอบตัวเองในอวกาศได้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า

    เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาในอวกาศ โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันหมด และหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลกที่กินพลังงานมหาศาล

    Elon Musk ยังออกมาแสดงความเห็นว่า Starlink รุ่น V3 ของ SpaceX ก็จะสามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน โดยจะมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ซึ่งมากกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 10 เท่า

    ความร่วมมือระหว่าง Starcloud และ Rendezvous Robotics
    สร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้
    ใช้เทคโนโลยี TESSERAE จาก MIT Media Lab
    โมดูลแต่ละชิ้นมีแบตเตอรี่ โปรเซสเซอร์ และระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
    ลดความจำเป็นในการใช้มนุษย์หรือแขนกลในการประกอบ
    ศูนย์ข้อมูลจะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 4x4 กิโลเมตร
    ใหญ่กว่าระบบโซลาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถึง 20,000 เท่า

    จุดเด่นของศูนย์ข้อมูลในอวกาศ
    ไม่ต้องใช้พื้นที่บนโลก
    ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    ลดปัญหาความร้อนและการระบายอากาศ
    รองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การระบายความร้อนในอวกาศยังเป็นปัญหาใหญ่
    ค่าใช้จ่ายในการส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่วงโคจรยังสูงมาก
    ต้องมีระบบควบคุมอัตโนมัติที่แม่นยำและปลอดภัย
    ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนจาก SpaceX ว่าจะร่วมมือจริงหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/self-assembling-data-centers-in-space-are-becoming-reality-as-rendezvous-robotics-partners-with-starcloud-elon-musk-chimes-in-that-spacex-will-be-doing-this
    🛰️ ศูนย์ข้อมูลประกอบตัวเองในอวกาศ: เมื่อ AI, หุ่นยนต์ และอวกาศมาบรรจบกัน Rendezvous Robotics และ Starcloud กำลังปฏิวัติวงการศูนย์ข้อมูล ด้วยแนวคิดสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มนุษย์! ลองจินตนาการถึงศูนย์ข้อมูลขนาด 5 กิกะวัตต์ ลอยอยู่ในอวกาศ ประกอบตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้มือมนุษย์ — ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว บริษัท Starcloud ซึ่งมีแผนจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้ง GPU Nvidia H100 ขึ้นสู่วงโคจรในเดือนหน้า ได้จับมือกับ Rendezvous Robotics บริษัทสตาร์ทอัพจาก MIT ที่พัฒนาเทคโนโลยี “TESSERAE” — โมดูลแบบแผ่นกระเบื้องที่สามารถประกอบตัวเองในอวกาศได้ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า เป้าหมายคือสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาในอวกาศ โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ไม่มีวันหมด และหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลบนโลกที่กินพลังงานมหาศาล Elon Musk ยังออกมาแสดงความเห็นว่า Starlink รุ่น V3 ของ SpaceX ก็จะสามารถทำแบบนี้ได้เช่นกัน โดยจะมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ซึ่งมากกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 10 เท่า ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starcloud และ Rendezvous Robotics ➡️ สร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศที่สามารถประกอบตัวเองได้ ➡️ ใช้เทคโนโลยี TESSERAE จาก MIT Media Lab ➡️ โมดูลแต่ละชิ้นมีแบตเตอรี่ โปรเซสเซอร์ และระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้มนุษย์หรือแขนกลในการประกอบ ➡️ ศูนย์ข้อมูลจะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 4x4 กิโลเมตร ➡️ ใหญ่กว่าระบบโซลาร์ของสถานีอวกาศนานาชาติถึง 20,000 เท่า ✅ จุดเด่นของศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ➡️ ไม่ต้องใช้พื้นที่บนโลก ➡️ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ➡️ ลดปัญหาความร้อนและการระบายอากาศ ➡️ รองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การระบายความร้อนในอวกาศยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ค่าใช้จ่ายในการส่งอุปกรณ์ขึ้นสู่วงโคจรยังสูงมาก ⛔ ต้องมีระบบควบคุมอัตโนมัติที่แม่นยำและปลอดภัย ⛔ ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนจาก SpaceX ว่าจะร่วมมือจริงหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/self-assembling-data-centers-in-space-are-becoming-reality-as-rendezvous-robotics-partners-with-starcloud-elon-musk-chimes-in-that-spacex-will-be-doing-this
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ

    SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ

    Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ

    SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ

    เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก

    นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก

    รายละเอียดของดีล SpaceX
    รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม
    พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome

    โครงการ Golden Dome
    ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ
    ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น
    ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล
    คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น

    ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง
    Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ”
    Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน
    Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    🛰️💰 SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก ✅ รายละเอียดของดีล SpaceX ➡️ รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม ➡️ พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome ✅ โครงการ Golden Dome ➡️ ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ ➡️ ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ➡️ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล ➡️ คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น ✅ ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ➡️ Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ” ➡️ Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน ➡️ Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย

    ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน

    เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น

    แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ

    นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย

    ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ
    พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO
    ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
    ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที

    การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน
    เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป
    อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด
    ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO

    การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น
    Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ
    ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย

    ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม
    ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน
    เช่น Project Kuiper และ OneWeb

    ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน
    หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ
    ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน
    อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร
    สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน

    https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    🛰️ Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย ✅ ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ ➡️ พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO ➡️ ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ➡️ ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที ✅ การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน ➡️ เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป ➡️ อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด ➡️ ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO ✅ การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ➡️ Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ ➡️ ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ✅ ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม ➡️ ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน ➡️ เช่น Project Kuiper และ OneWeb ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน ⛔ หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ ⛔ ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ‼️ การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน ⛔ อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร ⛔ สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Military Version Of Starlink Is Causing Problems For Civilian Satellites - SlashGear
    The military's equivalent of Starlink, which allows for troops to remain in contact, is now disrupting other satellites, as discovered by a civilian tracker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple และ SpaceX อาจจับมือกัน – สัญญาณเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม Starlink ใกล้เป็นจริง

    ดูเหมือนว่า Apple และ SpaceX กำลังเข้าใกล้การร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายคือการนำเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาให้บริการกับ iPhone โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อได้แม้อยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือหรือ Wi-Fi

    ปัจจุบัน Apple ใช้บริการจาก Globalstar สำหรับฟีเจอร์ Emergency SOS แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทเริ่มห่างเหิน โดย Globalstar กำลังพิจารณาขายกิจการ และแม้ Apple จะลงทุนไปกว่า $2 พันล้าน ก็ยังไม่ต้องการซื้อกิจการเพราะไม่อยากถูกจัดเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย

    ในขณะเดียวกัน SpaceX ได้ออกแบบดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ให้รองรับคลื่นความถี่ที่ iPhone ใช้ และยังซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมลงในสมาร์ทโฟนโดยตรง

    แม้จะมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook รวมถึงข้อเสนอเดิมที่ Apple ปฏิเสธไปในปี 2022 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ว่าความร่วมมือครั้งนี้อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้

    ความเคลื่อนไหวของ Apple และ SpaceX
    อาจร่วมมือกันให้บริการเชื่อมต่อ iPhone ผ่านเครือข่าย Starlink
    ดาวเทียมรุ่นใหม่ของ SpaceX รองรับคลื่นความถี่ของ iPhone
    SpaceX ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน
    กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมในสมาร์ทโฟน

    สถานการณ์ของ Globalstar
    ปัจจุบันให้บริการ Emergency SOS บน iPhone
    Apple ลงทุนกว่า $2 พันล้าน แต่ไม่ต้องการซื้อกิจการ
    Globalstar อาจขายกิจการในราคาเกิน $10 พันล้าน
    ความสัมพันธ์กับ Apple เริ่มห่างเหิน

    อุปสรรคที่อาจขัดขวางความร่วมมือ
    ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook
    Apple เคยปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในปี 2022
    Musk เคยเสนอให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมแต่เพียงผู้เดียว พร้อมเรียกเงินล่วงหน้า $5 พันล้าน

    https://wccftech.com/tantalizing-signs-of-a-possible-tie-up-between-apple-and-spacex/
    📡 Apple และ SpaceX อาจจับมือกัน – สัญญาณเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม Starlink ใกล้เป็นจริง ดูเหมือนว่า Apple และ SpaceX กำลังเข้าใกล้การร่วมมือกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเป้าหมายคือการนำเครือข่ายดาวเทียม Starlink มาให้บริการกับ iPhone โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อได้แม้อยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือหรือ Wi-Fi ปัจจุบัน Apple ใช้บริการจาก Globalstar สำหรับฟีเจอร์ Emergency SOS แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัทเริ่มห่างเหิน โดย Globalstar กำลังพิจารณาขายกิจการ และแม้ Apple จะลงทุนไปกว่า $2 พันล้าน ก็ยังไม่ต้องการซื้อกิจการเพราะไม่อยากถูกจัดเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย ในขณะเดียวกัน SpaceX ได้ออกแบบดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ให้รองรับคลื่นความถี่ที่ iPhone ใช้ และยังซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน เพื่อเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมลงในสมาร์ทโฟนโดยตรง แม้จะมีอุปสรรค เช่น ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook รวมถึงข้อเสนอเดิมที่ Apple ปฏิเสธไปในปี 2022 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดบ่งชี้ว่าความร่วมมือครั้งนี้อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้ ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple และ SpaceX ➡️ อาจร่วมมือกันให้บริการเชื่อมต่อ iPhone ผ่านเครือข่าย Starlink ➡️ ดาวเทียมรุ่นใหม่ของ SpaceX รองรับคลื่นความถี่ของ iPhone ➡️ SpaceX ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar มูลค่า $17 พันล้าน ➡️ กำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปเพื่อฝังระบบเชื่อมต่อดาวเทียมในสมาร์ทโฟน ✅ สถานการณ์ของ Globalstar ➡️ ปัจจุบันให้บริการ Emergency SOS บน iPhone ➡️ Apple ลงทุนกว่า $2 พันล้าน แต่ไม่ต้องการซื้อกิจการ ➡️ Globalstar อาจขายกิจการในราคาเกิน $10 พันล้าน ➡️ ความสัมพันธ์กับ Apple เริ่มห่างเหิน ✅ อุปสรรคที่อาจขัดขวางความร่วมมือ ➡️ ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Tim Cook ➡️ Apple เคยปฏิเสธข้อเสนอของ Musk ในปี 2022 ➡️ Musk เคยเสนอให้ SpaceX เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมแต่เพียงผู้เดียว พร้อมเรียกเงินล่วงหน้า $5 พันล้าน https://wccftech.com/tantalizing-signs-of-a-possible-tie-up-between-apple-and-spacex/
    WCCFTECH.COM
    Tantalizing Signs Of A Possible Tie-Up Between Apple And SpaceX
    This previously incorporeal Apple-SpaceX tie-up idea seems closer to getting realized, courtesy of a few tantalizing developments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ”

    ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo

    แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ

    เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink

    แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

    รายละเอียดของการควบรวม
    Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม
    ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo
    สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3
    ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ

    เป้าหมายของดีล
    สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด
    ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3
    แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin
    เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX

    ความท้าทายและความล่าช้า
    การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย
    ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ
    ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน
    เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน

    สภาพตลาดดาวเทียม
    ตลาด geostationary กำลังหดตัว
    ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว
    Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband
    ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    🛰️ “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ” ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง ✅ รายละเอียดของการควบรวม ➡️ Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม ➡️ ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo ➡️ สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3 ➡️ ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ ✅ เป้าหมายของดีล ➡️ สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด ➡️ ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3 ➡️ แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin ➡️ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX ✅ ความท้าทายและความล่าช้า ➡️ การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย ➡️ ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ ➡️ ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน ➡️ เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน ✅ สภาพตลาดดาวเทียม ➡️ ตลาด geostationary กำลังหดตัว ➡️ ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว ➡️ Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband ➡️ ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Europe satellite merger intact as announcement slips, sources say
    PARIS/ROME (Reuters) -Europe's aerospace giants kept investors waiting an extra day for details of a new space champion on Wednesday as lawyers and advisers pored over the smallprint, but merger plans remained intact, people familiar with the talks said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.”

    Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป

    ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์”

    หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่

    นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ

    ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม

    ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink
    ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink
    ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม.
    ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์
    ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon
    เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027

    ภารกิจและการใช้งาน
    FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที
    ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่
    รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ
    สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก

    ความปลอดภัยและความเสถียร
    ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication
    ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99%
    รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ

    https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    🚀 “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.” Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์” หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม ✅ ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink ➡️ ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink ➡️ ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม. ➡️ ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์ ➡️ ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ➡️ เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027 ✅ ภารกิจและการใช้งาน ➡️ FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที ➡️ ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ ➡️ สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก ✅ ความปลอดภัยและความเสถียร ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication ➡️ ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99% ➡️ รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Starlink and Muon fuse space lasers and satellites to deliver ‘industry-first’ persistent optical connectivity in orbit — will enable 25 Gbps data transfer at distances up to 4,000km
    Traditional comms satellites rely on intermittent links with ground stations, but Muon Halo satellites will stay continuously connected with integrated Starlink Mini lasers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jensen Huang ส่ง DGX Spark ด้วยตัวเองให้ Elon Musk และ Sam Altman — สะท้อนความแตกแยกในวงการ AI”

    Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กลับมาสวมบทบาท “พนักงานส่งของ” อีกครั้ง โดยนำ DGX Spark — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 — ไปส่งให้ Elon Musk และ Sam Altman ด้วยตัวเอง แต่ที่น่าสนใจคือเขาส่งให้ “แยกกัน” เพราะทั้งสองเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI แต่ปัจจุบันกลายเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด

    DGX Spark มีพลังประมวลผลถึง 1 petaflop และหน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาด 200B parameters ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในระดับนักวิจัยหรือผู้พัฒนา AI ชั้นนำ

    Huang ส่งเครื่องให้ Musk ที่ฐาน Starbase ของ SpaceX พร้อมแซวว่า “ส่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เล็กที่สุดให้กับจรวดที่ใหญ่ที่สุด” ส่วนฝั่ง Altman เขาไปส่งถึง OpenAI และถ่ายภาพร่วมกับ Greg Brockman และ Altman เหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีก่อนที่เขาเคยส่ง DGX-1 ให้ Musk ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI

    นอกจาก Musk และ Altman แล้ว DGX Spark ยังถูกส่งให้กับนักวิจัยจากบริษัทชั้นนำ เช่น Google, Meta, Microsoft, Hugging Face, JetBrains, Docker, Anaconda, LM Studio และ ComfyUI

    DGX Spark วางจำหน่ายในราคา $3,999 ผ่าน NVIDIA, Micro Center และพาร์ตเนอร์อื่น ๆ โดยมีผู้ผลิตหลายราย เช่น Acer, Asus, Dell, Gigabyte, Lenovo, MSI และ HPI เตรียมออกเวอร์ชันของตัวเอง แต่ไม่มี “บริการส่งโดย Jensen” แน่นอน

    Jensen Huang ส่ง DGX Spark ให้ Elon Musk และ Sam Altman ด้วยตัวเอง
    สะท้อนความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปจากผู้ร่วมก่อตั้งสู่คู่แข่ง

    DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200
    มีพลัง 1 petaflop และหน่วยความจำ unified 128GB

    รองรับโมเดลขนาด 200B parameters แบบ local
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ในการรันโมเดลใหญ่

    ส่งให้บริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Google, Meta, Microsoft ฯลฯ
    รวมถึง Hugging Face, JetBrains, Docker และ ComfyUI

    วางจำหน่ายในราคา $3,999
    ผ่าน NVIDIA, Micro Center และพาร์ตเนอร์อื่น ๆ

    ผู้ผลิตหลายรายเตรียมออกเวอร์ชันของตัวเอง
    เช่น Acer, Asus, Dell, Gigabyte, Lenovo, MSI และ HPI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-personally-delivers-dgx-spark-mini-pcs-to-elon-musk-and-sam-altman-separately
    🚚 “Jensen Huang ส่ง DGX Spark ด้วยตัวเองให้ Elon Musk และ Sam Altman — สะท้อนความแตกแยกในวงการ AI” Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA กลับมาสวมบทบาท “พนักงานส่งของ” อีกครั้ง โดยนำ DGX Spark — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 — ไปส่งให้ Elon Musk และ Sam Altman ด้วยตัวเอง แต่ที่น่าสนใจคือเขาส่งให้ “แยกกัน” เพราะทั้งสองเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI แต่ปัจจุบันกลายเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด DGX Spark มีพลังประมวลผลถึง 1 petaflop และหน่วยความจำ unified 128GB รองรับโมเดลขนาด 200B parameters ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในระดับนักวิจัยหรือผู้พัฒนา AI ชั้นนำ Huang ส่งเครื่องให้ Musk ที่ฐาน Starbase ของ SpaceX พร้อมแซวว่า “ส่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เล็กที่สุดให้กับจรวดที่ใหญ่ที่สุด” ส่วนฝั่ง Altman เขาไปส่งถึง OpenAI และถ่ายภาพร่วมกับ Greg Brockman และ Altman เหมือนย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีก่อนที่เขาเคยส่ง DGX-1 ให้ Musk ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI นอกจาก Musk และ Altman แล้ว DGX Spark ยังถูกส่งให้กับนักวิจัยจากบริษัทชั้นนำ เช่น Google, Meta, Microsoft, Hugging Face, JetBrains, Docker, Anaconda, LM Studio และ ComfyUI DGX Spark วางจำหน่ายในราคา $3,999 ผ่าน NVIDIA, Micro Center และพาร์ตเนอร์อื่น ๆ โดยมีผู้ผลิตหลายราย เช่น Acer, Asus, Dell, Gigabyte, Lenovo, MSI และ HPI เตรียมออกเวอร์ชันของตัวเอง แต่ไม่มี “บริการส่งโดย Jensen” แน่นอน ✅ Jensen Huang ส่ง DGX Spark ให้ Elon Musk และ Sam Altman ด้วยตัวเอง ➡️ สะท้อนความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปจากผู้ร่วมก่อตั้งสู่คู่แข่ง ✅ DGX Spark ใช้ชิป Grace Blackwell GB200 ➡️ มีพลัง 1 petaflop และหน่วยความจำ unified 128GB ✅ รองรับโมเดลขนาด 200B parameters แบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ในการรันโมเดลใหญ่ ✅ ส่งให้บริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Google, Meta, Microsoft ฯลฯ ➡️ รวมถึง Hugging Face, JetBrains, Docker และ ComfyUI ✅ วางจำหน่ายในราคา $3,999 ➡️ ผ่าน NVIDIA, Micro Center และพาร์ตเนอร์อื่น ๆ ✅ ผู้ผลิตหลายรายเตรียมออกเวอร์ชันของตัวเอง ➡️ เช่น Acer, Asus, Dell, Gigabyte, Lenovo, MSI และ HPI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-personally-delivers-dgx-spark-mini-pcs-to-elon-musk-and-sam-altman-separately
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Jensen Huang personally delivers DGX Spark Mini PCs to Elon Musk and Sam Altman — separately
    Huang also ensured some of the first batch of DGX Spark systems got to top researchers at Cadence, Google, Meta, Microsoft, and others.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3” — อินเทอร์เน็ตระดับกิกะบิตจากอวกาศ พร้อมขยายความจุเครือข่ายถึง 60 Tbps

    SpaceX เผยโฉมดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ V3 ที่มาพร้อมขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักมากขึ้น และความสามารถในการส่งข้อมูลที่เหนือชั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกะบิตแก่ผู้ใช้ทั่วโลก

    ดาวเทียม V3 หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารุ่น V2 Mini ที่หนักไม่ถึง 600 กิโลกรัม และ V1 ที่หนักประมาณ 300 กิโลกรัม ด้วยขนาดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น SpaceX จึงใช้ยาน Starship ที่ทรงพลังมากกว่ารุ่น Falcon 9 เพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร โดยแต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ซึ่งเพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini

    ดาวเทียม V3 มีความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงถึง 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง รวมกันแล้วสามารถเพิ่มความจุเครือข่าย Starlink ได้ถึง 60 Tbps ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำให้วิสัยทัศน์ของ Elon Musk ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นจริง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วที่ดาวเทียม V3 สามารถให้บริการได้ และ SpaceX ยืนยันว่าดาวเทียม V3 จะถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อลดปัญหาขยะอวกาศ

    ข้อมูลในข่าว
    SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3 ขนาดใหญ่และหนักถึง 2,000 กิโลกรัม
    ใช้ยาน Starship ส่งขึ้นสู่วงโคจร แทน Falcon 9
    แต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง
    เพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini
    ความสามารถดาวน์โหลด 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง
    เพิ่มความจุเครือข่ายรวมถึง 60 Tbps
    ผู้ใช้ต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วระดับกิกะบิต
    ดาวเทียม V3 ถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/spacex-shows-off-massive-new-v3-starlink-satellites-expanded-technology-will-deliver-gigabit-internet-to-customers-for-the-first-time-and-enable-60-tera-bits-per-second-downlink-capacity
    🛰️ “SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3” — อินเทอร์เน็ตระดับกิกะบิตจากอวกาศ พร้อมขยายความจุเครือข่ายถึง 60 Tbps SpaceX เผยโฉมดาวเทียม Starlink รุ่นใหม่ V3 ที่มาพร้อมขนาดใหญ่ขึ้น น้ำหนักมากขึ้น และความสามารถในการส่งข้อมูลที่เหนือชั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับกิกะบิตแก่ผู้ใช้ทั่วโลก ดาวเทียม V3 หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่ารุ่น V2 Mini ที่หนักไม่ถึง 600 กิโลกรัม และ V1 ที่หนักประมาณ 300 กิโลกรัม ด้วยขนาดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น SpaceX จึงใช้ยาน Starship ที่ทรงพลังมากกว่ารุ่น Falcon 9 เพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร โดยแต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ซึ่งเพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini ดาวเทียม V3 มีความสามารถในการดาวน์โหลดข้อมูลสูงถึง 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง รวมกันแล้วสามารถเพิ่มความจุเครือข่าย Starlink ได้ถึง 60 Tbps ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำให้วิสัยทัศน์ของ Elon Musk ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นจริง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วที่ดาวเทียม V3 สามารถให้บริการได้ และ SpaceX ยืนยันว่าดาวเทียม V3 จะถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อลดปัญหาขยะอวกาศ ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ SpaceX เปิดตัวดาวเทียม Starlink V3 ขนาดใหญ่และหนักถึง 2,000 กิโลกรัม ➡️ ใช้ยาน Starship ส่งขึ้นสู่วงโคจร แทน Falcon 9 ➡️ แต่ละเที่ยวบินสามารถบรรทุกดาวเทียม V3 ได้ถึง 60 ดวง ➡️ เพิ่มความจุเครือข่ายมากกว่า 20 เท่าต่อเที่ยวบินเมื่อเทียบกับ V2 Mini ➡️ ความสามารถดาวน์โหลด 1,000 Gbps และอัปโหลด 200 Gbps ต่อดวง ➡️ เพิ่มความจุเครือข่ายรวมถึง 60 Tbps ➡️ ผู้ใช้ต้องมีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความเร็วระดับกิกะบิต ➡️ ดาวเทียม V3 ถูกออกแบบให้เผาไหม้หมดเมื่อหมดอายุการใช้งาน https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/spacex-shows-off-massive-new-v3-starlink-satellites-expanded-technology-will-deliver-gigabit-internet-to-customers-for-the-first-time-and-enable-60-tera-bits-per-second-downlink-capacity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว”

    Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ

    เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน:

    นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่
    วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ
    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล

    Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย

    เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน

    นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists)
    ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน

    วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์”
    พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง

    มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ
    มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD

    นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก
    มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม

    วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์
    เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI

    ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด
    ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง

    นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง
    เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น

    การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง
    ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง

    https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    🧪 “ไม่มีวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีสตาร์ทอัพ — เมื่อเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมกำลังถูกปิดโดยไม่รู้ตัว” Steve Blank ผู้บุกเบิกแนวคิด Lean Startup ได้เขียนบทความสะท้อนถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา — การลดงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรรมและความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ เขาอธิบายว่า “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่แค่การทดลองในห้องแล็บ แต่คือระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (ทั้งทฤษฎีและทดลอง), วิศวกร, ผู้ประกอบการ และนักลงทุน โดยแต่ละบทบาทมีหน้าที่เฉพาะที่เสริมกันอย่างกลมกลืน: ⭐ นักวิทยาศาสตร์สร้างองค์ความรู้ใหม่ ⭐ วิศวกรนำความรู้นั้นไปสร้างสิ่งของ ⭐ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ⭐ นักลงทุนให้ทุนเพื่อขยายผล Blank เตือนว่า หากตัดบทบาทใดบทบาทหนึ่งออก โดยเฉพาะ “นักวิทยาศาสตร์” ที่มักถูกมองข้ามเพราะไม่สร้างรายได้ทันที ระบบนวัตกรรมทั้งหมดจะล่มสลาย เขายกตัวอย่างว่า เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT, SpaceX, หรือแม้แต่วัคซีน ล้วนมีรากฐานจากการวิจัยขั้นพื้นฐานที่เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยหรือห้องแล็บของรัฐเมื่อหลายสิบปีก่อน ✅ นักวิทยาศาสตร์มี 2 ประเภทหลัก: ทฤษฎี (Theorists) และทดลอง (Experimentalists) ➡️ ทฤษฎีสร้างแบบจำลองความจริง ส่วนทดลองทดสอบสมมติฐาน ✅ วิทยาศาสตร์แบ่งเป็น “พื้นฐาน” และ “ประยุกต์” ➡️ พื้นฐานเพื่อความเข้าใจโลก ประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ✅ มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เป็นแหล่งวิจัยหลักของประเทศ ➡️ มีระบบสนับสนุนจากรัฐ เช่น NIH, NSF, DoD ✅ นักวิจัยในมหาวิทยาลัยทำงานเหมือนสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ➡️ มีการเขียน proposal, บริหารทีม, สร้างนวัตกรรม ✅ วิศวกรสร้างสิ่งของจากองค์ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ ➡️ เช่น ชิป Nvidia, จรวด SpaceX, อัลกอริทึม AI ✅ ผู้ประกอบการนำสิ่งของไปทดสอบตลาด ➡️ ใช้หลักการทดลองแบบวิทยาศาสตร์เพื่อหาความต้องการจริง ✅ นักลงทุน (VC) สนับสนุนผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง ➡️ เพราะต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น ✅ การลดงบวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศอ่อนแอลง ➡️ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความมั่นคง https://steveblank.com/2025/10/13/no-science-no-startups-the-unseen-engine-were-switching-off/
    STEVEBLANK.COM
    No Science, No Startups: The Innovation Engine We’re Switching Off
    Tons of words have been written about the Trump Administrations war on Science in Universities. But few people have asked what, exactly, is science? How does it work? Who are the scientists? What d…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ”

    ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ

    แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง

    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ

    นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย

    แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025
    คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม
    อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้
    ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink
    บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง
    มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้
    Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น
    NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina
    นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่
    การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน
    การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่
    การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่”

    https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    🌌 “ดาวเทียม Starlink ตกทุกวัน — นักวิทยาศาสตร์เตือนภัยเงียบจากขยะอวกาศและผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ” ในปี 2025 นี้ นักดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics อย่าง Dr. Jonathan McDowell เปิดเผยว่า “มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวง และอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันในอนาคต” เนื่องจากอายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 5 ปี ก่อนจะถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แม้ SpaceX จะออกแบบให้ดาวเทียม Starlink เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่ก็มีบางกรณีที่ชิ้นส่วนหลงเหลือ เช่น แคปซูล Dragon ที่เคยตกลงในพื้นที่ห่างไกลของ North Carolina ซึ่ง NASA ยืนยันว่าเป็นเศษซากจากภารกิจจริง ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink และมีแผนจะเพิ่มเป็น 30,000 ดวงในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และ ESpace ก็มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวงเช่นกัน รวมถึงจีนที่มีแผนสร้างระบบสื่อสารอิสระในอวกาศ นอกจากดาวเทียม ยังมีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรอีกกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “Kessler Syndrome” หรือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ จนวงโคจรกลายเป็นพื้นที่อันตราย แม้การตกของ Starlink จะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อมนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ เช่น อนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเคมีและอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีดาวเทียม Starlink ตกกลับสู่โลกวันละ 1–2 ดวงในปี 2025 ➡️ คาดว่าอาจเพิ่มเป็น 5 ดวงต่อวันเมื่อมีการส่งดาวเทียมเพิ่ม ➡️ อายุการใช้งานเฉลี่ยของดาวเทียมคือ 5 ปี ก่อนถูกลดวงโคจรและเผาไหม้ ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียมในวงโคจรต่ำประมาณ 12,000 ดวง โดย 8,500 ดวงเป็นของ Starlink ➡️ บริษัทอื่น เช่น Amazon Kuiper และจีน มีแผนส่งดาวเทียมหลายหมื่นดวง ➡️ มีเศษขยะอวกาศขนาดเซนติเมตรกว่า 1 ล้านชิ้นที่ไม่สามารถติดตามได้ ➡️ Starlink ออกแบบให้เผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นโลก แต่บางชิ้นส่วนอาจตกถึงพื้น ➡️ NASA ยืนยันว่ามีชิ้นส่วนจากแคปซูล Dragon ตกลงใน North Carolina ➡️ นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาผลกระทบจากอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ต่อชั้นบรรยากาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kessler Syndrome คือปรากฏการณ์ที่การชนกันของวัตถุในอวกาศทำให้เกิดเศษซากเพิ่มขึ้นแบบลูกโซ่ ➡️ การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดที่ระดับประมาณ 40 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ดาวเทียม Starlink มีขนาดประมาณ 30 เมตร และหนักถึง 1 ตัน ➡️ การแยกแยะดาวเทียมกับอุกกาบาตในท้องฟ้าทำได้จากความเร็วและทิศทางการเคลื่อนที่ ➡️ การควบคุมการตกของดาวเทียมยังเป็น “การช่วยเหลือแบบไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่” https://www.tomshardware.com/networking/concerns-grow-after-spate-of-social-media-posts-showing-spacex-starlink-satellites-burning-in-the-sky-we-are-currently-seeing-a-couple-of-satellite-re-entries-a-day-says-respected-astrophysicist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร”

    หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร

    แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก

    หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura

    นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต

    การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025
    ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT
    บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม.
    เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39
    ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง
    บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก
    อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura
    SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas
    Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร
    การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
    เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX
    Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน
    การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA
    การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    🚀 “SpaceX เตรียมปล่อยดาวเทียม Starlink กลุ่มใหม่ — พร้อมทดสอบ Starship ครั้งที่ 5 เพื่อภารกิจสู่ดวงจันทร์และดาวอังคาร” หลังจากเพิ่งปล่อยดาวเทียม Starlink ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน SpaceX ก็ไม่รอช้า เตรียมภารกิจใหม่ในวันที่ 3 ตุลาคม 2025 โดยจะปล่อยจรวด Falcon 9 จากฐานยิง SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base รัฐแคลิฟอร์เนีย เวลา 6:00 น. PDT (13:00 UTC) ภารกิจนี้มีชื่อว่า Starlink Group 11-39 ซึ่งจะนำดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวงเข้าสู่วงโคจรระดับต่ำที่ความสูงประมาณ 595 กิโลเมตร แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ของกลุ่มนี้ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพและขยายพื้นที่ครอบคลุมของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Starlink ที่ปัจจุบันมีดาวเทียมทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวงทั่วโลก หลังจากปล่อยดาวเทียมแล้ว บูสเตอร์ขั้นแรกของ Falcon 9 จะพยายามลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura นอกจากภารกิจ Starlink แล้ว SpaceX ยังเตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 ในวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากฐาน Starbase ในรัฐเท็กซัส โดยจรวด Starship ถือเป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก และเป็นหัวใจของแผนการพามนุษย์กลับไปดวงจันทร์และเดินทางสู่ดาวอังคารในอนาคต การทดสอบครั้งก่อนในเดือนสิงหาคมประสบความสำเร็จ ขณะที่การทดสอบในเดือนมิถุนายนจบลงด้วยการระเบิด แต่ Elon Musk ยืนยันว่าจะเร่งรอบการทดสอบให้เร็วขึ้น หลังได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ผู้สนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV หรือบัญชี @SpaceX บนแพลตฟอร์ม X โดยการถ่ายทอดจะเริ่มประมาณ 5 นาทีก่อนปล่อยจรวด และสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Satellite Tracker, SkySafari หรือ Stellarium เพื่อติดตามตำแหน่งของดาวเทียม Starlink ได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX เตรียมปล่อยจรวด Falcon 9 ภารกิจ Starlink Group 11-39 วันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ ปล่อยจากฐาน SLC-4E ที่ Vandenberg Space Force Base เวลา 6:00 น. PDT ➡️ บรรทุกดาวเทียม Starlink V2 Mini จำนวน 28 ดวง เข้าสู่วงโคจรต่ำที่ 595 กม. ➡️ เป็นการปล่อยครั้งที่ 15 สำหรับวงโคจรเฉพาะนี้ แม้จะเป็นภารกิจลำดับที่ 39 ➡️ ปัจจุบันมีดาวเทียม Starlink ทำงานอยู่แล้วกว่า 8,460 ดวง ➡️ บูสเตอร์ขั้นแรกจะลงจอดบนเรือโดรน “Of Course I Still Love You” ในมหาสมุทรแปซิฟิก ➡️ อาจเกิดเสียงโซนิคบูมในพื้นที่ Santa Barbara, San Luis Obispo และ Ventura ➡️ SpaceX เตรียมทดสอบจรวด Starship ครั้งที่ 5 วันที่ 13 ตุลาคม 2025 ที่ Starbase, Texas ➡️ Starship เป็นจรวดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใช้สำหรับภารกิจดวงจันทร์และดาวอังคาร ➡️ การถ่ายทอดสดสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ SpaceX, แอป X TV และบัญชี @SpaceX ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink V2 Mini มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล ➡️ เรือโดรน “Of Course I Still Love You” เป็นหนึ่งในระบบลงจอดอัตโนมัติของ SpaceX ➡️ Starship มีความสูงกว่า 120 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า 100 ตัน ➡️ การทดสอบ Starship เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนภารกิจ Artemis ของ NASA ➡️ การติดตามดาวเทียม Starlink สามารถทำได้ผ่านแอปมือถือและเว็บไซต์เฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1984666/how-to-see-when-and-where-next-spacex-launch-is/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Interested In Seeing The Next SpaceX Launch? Here's What We Know About When And Where It Is - SlashGear
    SpaceX’s next Falcon 9 launch is scheduled for Oct. 3, 2025, from Vandenberg SFB in California, carrying 28 Starlink V2 Mini satellites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX”

    Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง

    หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย

    ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3
    คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง
    หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar
    EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้
    FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
    ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์
    ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026
    การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G
    การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย
    SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต
    การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล
    การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    📡 “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX” Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3 ➡️ คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง ➡️ หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar ➡️ EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้ ➡️ FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ➡️ ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026 ➡️ การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G ➡️ การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย ➡️ SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต ➡️ การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล ➡️ การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Verizon in talks to buy EchoStar wireless spectrum, Bloomberg News reports
    (Reuters) -U.S. telecom company Verizon Communications is in discussions with EchoStar about purchasing some of its wireless spectrum, Bloomberg News reported on Monday, citing people familiar with the matter.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DOGE ปฏิบัติการล้างระบบราชการสหรัฐฯ — เมื่อ Elon Musk นำทีมปลดพนักงานรัฐกว่า 300,000 คนในปีเดียว”

    ในปี 2025 หน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ DOGE ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบราชการสหรัฐฯ โดยมี Elon Musk เป็นผู้นำภายใต้การแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี Donald Trump เป้าหมายของ DOGE คือการลดขนาดรัฐบาลกลางให้ “เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” โดยใช้กลยุทธ์ที่รวดเร็วและรุนแรง

    ผลลัพธ์คือการลาออกและปลดพนักงานกว่า 300,000 คนภายในปีเดียว คิดเป็นหนึ่งในแปดของแรงงานภาครัฐทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจให้ลาออก เช่น โปรแกรม “Fork in the Road” ที่เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือนชั่วคราว

    หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ GSA (General Services Administration) ซึ่งดูแลพื้นที่สำนักงานของรัฐบาลกลาง ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่ง และมีการยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

    นอกจากนี้ ยังมีการลาออกของทีมเทคโนโลยีจาก US Digital Service (USDS) ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น DOGE โดยพนักงานกว่า 21 คนประกาศลาออกพร้อมกัน โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สามารถใช้ทักษะเพื่อทำลายบริการสาธารณะได้” และวิจารณ์ว่า DOGE ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่มีอุดมการณ์ทางการเมือง

    หลังจาก Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งในกลางปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มพยายามเรียกพนักงานที่ถูกปลดกลับเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญ เช่น IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DOGE เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีเป้าหมายลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
    Elon Musk เป็นผู้นำ DOGE โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Donald Trump
    มีการปลดและลาออกของพนักงานภาครัฐกว่า 300,000 คนในปี 2025
    GSA ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่งและยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง
    โปรแกรม “Fork in the Road” เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือน
    ทีมเทคโนโลยีจาก USDS ลาออกพร้อมกัน 21 คนโดยให้เหตุผลด้านจริยธรรม
    หลัง Musk ลาออก รัฐบาลเริ่มเรียกพนักงานกลับเข้าทำงานในหลายหน่วยงาน
    IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติได้รับผลกระทบจนต้องเรียกคนกลับ
    CISA ระบุว่าการปลดพนักงานจำนวนมากส่งผลต่อความมั่นคงของระบบราชการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GSA เป็นหน่วยงานสำคัญที่ดูแลพื้นที่สำนักงานและการจัดซื้อของรัฐบาลกลาง
    USDS ก่อตั้งในปี 2014 เพื่อปรับปรุงบริการดิจิทัลของรัฐบาล
    การลดขนาดรัฐบาลเป็นแนวคิดที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านในสหรัฐฯ
    Elon Musk มีสัญญากับรัฐบาลหลายฉบับ เช่น SpaceX และ Starlink
    การปลดพนักงานจำนวนมากอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของโครงการระดับชาติ

    https://www.wired.com/story/oral-history-doge-federal-workers/
    🏛️ “DOGE ปฏิบัติการล้างระบบราชการสหรัฐฯ — เมื่อ Elon Musk นำทีมปลดพนักงานรัฐกว่า 300,000 คนในปีเดียว” ในปี 2025 หน่วยงานใหม่ชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ DOGE ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบราชการสหรัฐฯ โดยมี Elon Musk เป็นผู้นำภายใต้การแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี Donald Trump เป้าหมายของ DOGE คือการลดขนาดรัฐบาลกลางให้ “เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” โดยใช้กลยุทธ์ที่รวดเร็วและรุนแรง ผลลัพธ์คือการลาออกและปลดพนักงานกว่า 300,000 คนภายในปีเดียว คิดเป็นหนึ่งในแปดของแรงงานภาครัฐทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจให้ลาออก เช่น โปรแกรม “Fork in the Road” ที่เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือนชั่วคราว หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ GSA (General Services Administration) ซึ่งดูแลพื้นที่สำนักงานของรัฐบาลกลาง ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่ง และมีการยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ยังมีการลาออกของทีมเทคโนโลยีจาก US Digital Service (USDS) ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น DOGE โดยพนักงานกว่า 21 คนประกาศลาออกพร้อมกัน โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สามารถใช้ทักษะเพื่อทำลายบริการสาธารณะได้” และวิจารณ์ว่า DOGE ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่มีอุดมการณ์ทางการเมือง หลังจาก Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งในกลางปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มพยายามเรียกพนักงานที่ถูกปลดกลับเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญ เช่น IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งหลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DOGE เป็นหน่วยงานใหม่ที่มีเป้าหมายลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ➡️ Elon Musk เป็นผู้นำ DOGE โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี Donald Trump ➡️ มีการปลดและลาออกของพนักงานภาครัฐกว่า 300,000 คนในปี 2025 ➡️ GSA ถูกลดพนักงานลงครึ่งหนึ่งและยกเลิกสัญญาเช่าอาคารกว่า 7,500 แห่ง ➡️ โปรแกรม “Fork in the Road” เสนอเงินชดเชยและการพักงานแบบมีเงินเดือน ➡️ ทีมเทคโนโลยีจาก USDS ลาออกพร้อมกัน 21 คนโดยให้เหตุผลด้านจริยธรรม ➡️ หลัง Musk ลาออก รัฐบาลเริ่มเรียกพนักงานกลับเข้าทำงานในหลายหน่วยงาน ➡️ IRS, กรมแรงงาน และอุทยานแห่งชาติได้รับผลกระทบจนต้องเรียกคนกลับ ➡️ CISA ระบุว่าการปลดพนักงานจำนวนมากส่งผลต่อความมั่นคงของระบบราชการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GSA เป็นหน่วยงานสำคัญที่ดูแลพื้นที่สำนักงานและการจัดซื้อของรัฐบาลกลาง ➡️ USDS ก่อตั้งในปี 2014 เพื่อปรับปรุงบริการดิจิทัลของรัฐบาล ➡️ การลดขนาดรัฐบาลเป็นแนวคิดที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านในสหรัฐฯ ➡️ Elon Musk มีสัญญากับรัฐบาลหลายฉบับ เช่น SpaceX และ Starlink ➡️ การปลดพนักงานจำนวนมากอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของโครงการระดับชาติ https://www.wired.com/story/oral-history-doge-federal-workers/
    WWW.WIRED.COM
    The Story of DOGE, as Told by Federal Workers
    WIRED spoke with more than 200 federal workers in dozens of agencies to learn what happened as the Department of Government Efficiency tore through their offices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน”

    วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย

    ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026

    โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025
    เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ
    ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps
    สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี
    ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย
    ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย
    มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ
    คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย
    อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
    การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
    ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024
    โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    🚀 “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน” วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026 โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ ➡️ ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ➡️ สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี ➡️ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ➡️ ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย ➡️ มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ➡️ คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย ➡️ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ➡️ การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง ➡️ ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024 ➡️ โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Here's What To Know About The SpaceX Launch For Nusantara Lima Mission - SlashGear
    SpaceX's Nusantara Lima mission, which launched the Nusantara Lima satellite for Indonesia's PT Pasifik Satelit Nusantara, went off without a hitch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Starlink vs Viasat: อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับบ้าน — ความเร็ว, ราคา, และข้อจำกัดที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง”

    ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายไฟเบอร์หรือมือถือได้ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญ โดยสองผู้ให้บริการที่โดดเด่นที่สุดคือ Starlink จาก SpaceX และ Viasat ซึ่งต่างมีแนวทางและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการให้บริการ

    Starlink ใช้เครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ที่อยู่ห่างจากโลกเพียง 340 ไมล์ ทำให้มีความหน่วงต่ำเพียง 20–40 มิลลิวินาที เหมาะสำหรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกมออนไลน์หรือวิดีโอคอล ส่วน Viasat ใช้ดาวเทียมแบบ geostationary ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 22,000 ไมล์ แม้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า แต่มีความหน่วงสูงถึง 600 มิลลิวินาที และความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า

    ด้านความเร็ว Starlink ให้ดาวน์โหลดได้ระหว่าง 45–280 Mbps ขณะที่ Viasat อยู่ที่ 25–150 Mbps และอาจลดลงในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขีดจำกัดข้อมูลรายเดือน

    ในแง่ของราคา Starlink มีแผน Residential Lite ที่ $80/เดือน และแผนเต็มที่ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้งอุปกรณ์ $349 ส่วน Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน สำหรับแผน Essential และ $79.90/เดือน สำหรับแผน Unleashed แต่มีข้อจำกัดเรื่อง data cap และต้องติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ

    Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อผ่านบัญชีออนไลน์ ขณะที่ Viasatมีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดประมาณ $15 ต่อเดือนที่เหลือ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ความหน่วงต่ำ 20–40 ms
    Viasat ใช้ดาวเทียม geostationary ความหน่วงสูง ~600 ms
    Starlink ให้ความเร็วดาวน์โหลด 45–280 Mbps
    Viasat ให้ความเร็วดาวน์โหลด 25–150 Mbps

    ด้านราคาและการติดตั้ง
    Starlink มีแผน $80 และ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้ง $349
    Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน และต้องติดตั้งโดยช่าง
    Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ยกเลิกได้ทันที
    Viasat มีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Starlink มีแผนหลากหลาย เช่น Roam, Maritime, Aviation สำหรับผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม
    Viasat ให้บริการใน 99% ของพื้นที่ในสหรัฐฯ และบางส่วนของละตินอเมริกา
    Starlink มีการขยายพื้นที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก
    Viasat มีบริการเสริมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ผ่าน Bitdefender

    https://www.slashgear.com/1969514/starlink-vs-viasat-home-satellite-internet-services-comparison/
    📡 “Starlink vs Viasat: อินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับบ้าน — ความเร็ว, ราคา, และข้อจำกัดที่คุณควรรู้ก่อนติดตั้ง” ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังมีหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายไฟเบอร์หรือมือถือได้ อินเทอร์เน็ตดาวเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญ โดยสองผู้ให้บริการที่โดดเด่นที่สุดคือ Starlink จาก SpaceX และ Viasat ซึ่งต่างมีแนวทางและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการให้บริการ Starlink ใช้เครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ที่อยู่ห่างจากโลกเพียง 340 ไมล์ ทำให้มีความหน่วงต่ำเพียง 20–40 มิลลิวินาที เหมาะสำหรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกมออนไลน์หรือวิดีโอคอล ส่วน Viasat ใช้ดาวเทียมแบบ geostationary ที่อยู่ห่างจากโลกถึง 22,000 ไมล์ แม้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่า แต่มีความหน่วงสูงถึง 600 มิลลิวินาที และความเร็วเฉลี่ยต่ำกว่า ด้านความเร็ว Starlink ให้ดาวน์โหลดได้ระหว่าง 45–280 Mbps ขณะที่ Viasat อยู่ที่ 25–150 Mbps และอาจลดลงในช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขีดจำกัดข้อมูลรายเดือน ในแง่ของราคา Starlink มีแผน Residential Lite ที่ $80/เดือน และแผนเต็มที่ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้งอุปกรณ์ $349 ส่วน Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน สำหรับแผน Essential และ $79.90/เดือน สำหรับแผน Unleashed แต่มีข้อจำกัดเรื่อง data cap และต้องติดตั้งโดยช่างมืออาชีพ Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ผู้ใช้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อผ่านบัญชีออนไลน์ ขณะที่ Viasatมีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนดประมาณ $15 ต่อเดือนที่เหลือ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Starlink ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ความหน่วงต่ำ 20–40 ms ➡️ Viasat ใช้ดาวเทียม geostationary ความหน่วงสูง ~600 ms ➡️ Starlink ให้ความเร็วดาวน์โหลด 45–280 Mbps ➡️ Viasat ให้ความเร็วดาวน์โหลด 25–150 Mbps ✅ ด้านราคาและการติดตั้ง ➡️ Starlink มีแผน $80 และ $120/เดือน พร้อมค่าติดตั้ง $349 ➡️ Viasat เริ่มต้นที่ $49.99/เดือน และต้องติดตั้งโดยช่าง ➡️ Starlink ไม่มีสัญญาระยะยาว ยกเลิกได้ทันที ➡️ Viasat มีสัญญา 24 เดือน และค่าปรับหากยกเลิกก่อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Starlink มีแผนหลากหลาย เช่น Roam, Maritime, Aviation สำหรับผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม ➡️ Viasat ให้บริการใน 99% ของพื้นที่ในสหรัฐฯ และบางส่วนของละตินอเมริกา ➡️ Starlink มีการขยายพื้นที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ➡️ Viasat มีบริการเสริมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ผ่าน Bitdefender https://www.slashgear.com/1969514/starlink-vs-viasat-home-satellite-internet-services-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Starlink Vs. Viasat: How Do These Home Satellite Internet Services Compare? - SlashGear
    Starlink is faster with lower latency and flexible contracts, while Viasat offers wider coverage but slower speeds and long-term contracts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม”

    Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้

    สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps

    Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล

    แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink

    ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน
    Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล
    Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ
    Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา
    Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps

    ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น
    Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว
    Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน
    Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน
    Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.)
    Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink
    Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง
    Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง

    https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    🛰️ “อินเทอร์เน็ตดาวเทียมไม่ได้มีแค่ Starlink — เปิดทางเลือกใหม่สำหรับพื้นที่ห่างไกล พร้อมคู่แข่งที่กำลังไล่ตาม” Starlink จาก SpaceX ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมด้วยการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) จำนวนมาก ทำให้ได้ความเร็วสูงและ latency ต่ำกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกลที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตแบบสาย อย่างไรก็ตาม แม้ Starlink จะโดดเด่น แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวในตลาดนี้ สองคู่แข่งหลักที่ยังคงอยู่ในสนามคือ Hughesnet และ Viasat ซึ่งใช้ดาวเทียมแบบ geostationary (GEO) ที่อยู่ไกลจากโลกมากกว่า ทำให้มีความครอบคลุมกว้างแต่แลกกับความเร็วและ latency ที่ต่ำกว่า Starlink อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น Hughesnet มี latency เฉลี่ย 683 ms และความเร็วดาวน์โหลดเฉลี่ย 47 Mbps ขณะที่ Starlink อยู่ที่ 45 ms และ 104 Mbps Viasat ก็มีปัญหาคล้ายกัน แม้จะมีแผน Unleashed ที่โฆษณาว่าความเร็วสูงถึง 150 Mbps แต่การทดสอบจริงได้เพียง 37 Mbps เท่านั้น และ latency อยู่ที่ประมาณ 676 ms ทั้งสองบริษัทยังมีข้อจำกัดเรื่องสัญญาระยะยาว ค่าปรับหากยกเลิกก่อนกำหนด และการลดความเร็วเมื่อใช้เกินโควต้าข้อมูล แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือ Amazon Project Kuiper ซึ่งกำลังพัฒนาเครือข่ายดาวเทียม LEO เช่นเดียวกับ Starlink โดยมีเป้าหมายส่งดาวเทียมกว่า 3,200 ดวงขึ้นสู่วงโคจร และให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps พร้อม latency ต่ำเพียง 20–40 ms หากเปิดให้บริการจริงภายในปี 2025 ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Starlink ✅ ตัวเลือกอินเทอร์เน็ตดาวเทียมในปัจจุบัน ➡️ Starlink ใช้ดาวเทียม LEO ให้ความเร็วสูงและ latency ต่ำ เหมาะกับพื้นที่ห่างไกล ➡️ Hughesnet ใช้ดาวเทียม GEO — ความครอบคลุมกว้างแต่ latency สูงและความเร็วต่ำ ➡️ Viasat ใช้ทั้ง GEO และ HEO — มีแผนหลายระดับแต่ความเร็วจริงต่ำกว่าที่โฆษณา ➡️ Amazon Kuiper กำลังพัฒนาเครือข่าย LEO ที่อาจให้ความเร็วสูงถึง 400 Mbps ✅ ข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้น ➡️ Starlink: latency ~45 ms / ความเร็ว ~104 Mbps / ไม่มีสัญญาระยะยาว ➡️ Hughesnet: latency ~683 ms / ความเร็ว ~47 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเมื่อใช้เกิน ➡️ Viasat: latency ~676 ms / ความเร็วจริง ~37 Mbps / มีสัญญาและลดความเร็วเช่นกัน ➡️ Kuiper: latency ~20–40 ms / ความเร็วเป้าหมาย ~400 Mbps / ยังไม่เปิดเผยราคา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม LEO อยู่ใกล้โลก (~500–1,200 กม.) ทำให้ตอบสนองเร็วกว่า GEO (~35,000 กม.) ➡️ Hughesnet และ Viasat กำลังสูญเสียลูกค้าอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันของ Starlink ➡️ Starlink ใช้จรวดรีไซเคิลจาก SpaceX ทำให้ต้นทุนการขยายเครือข่ายต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ Kuiper มีสัญญาให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบิน JetBlue ในปี 2027 — เริ่มเจาะตลาดเฉพาะทาง https://www.slashgear.com/1965463/best-starlink-alternatives-satellite-internet/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Are The Best (And Only) Starlink Alternative Options Out There - SlashGear
    Starlink dominates satellite internet, but Hughesnet, Viasat, and Amazon’s upcoming Kuiper offer the few real alternatives worth knowing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน

    แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด

    Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว

    แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    ความสำเร็จของ Starship Flight 10
    เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ
    ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย
    ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง

    ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา
    แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา
    เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย
    grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด

    คำอธิบายจาก Elon Musk
    สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile
    จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ
    ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง

    ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ
    เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว
    Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง
    ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX

    https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Flight 10: เมื่อจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับสู่โลกพร้อมรอยไหม้และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ปลายเดือนสิงหาคม 2025 SpaceX ปล่อยภาพชุดใหม่จากการทดสอบ Starship Flight 10 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ โดยภาพที่ปล่อยออกมาแสดงให้เห็นการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา, รอยไหม้สีส้มบน heat shield และความเสียหายที่ชัดเจนบริเวณ flaps ด้านท้ายของยาน แม้ Elon Musk จะออกมาอธิบายว่า “สีแดง” ที่เห็นนั้นเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile แบบใหม่ ซึ่ง SpaceX ตั้งใจทดสอบโดยเว้นบางจุดไว้โดยไม่มีฉนวน แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ “เหตุการณ์พลังงานสูง” ในห้องเครื่อง และ “อาการวูบ” ของ grid fin บน Super Heavy booster ที่ทำให้เกิดการแกว่งตัวผิดปกติระหว่างการลงจอด Flight 10 ถือเป็นก้าวกระโดดจาก Flight 7–9 ที่ล้มเหลวในการกลับสู่โลก โดยเฉพาะการทดสอบ heat shield ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรุ่นที่สองของ Starship ซึ่ง SpaceX ใช้แผ่นฉนวนที่ผลิตเองจำนวนหลายหมื่นชิ้นเพื่อรองรับการใช้งานซ้ำแบบรวดเร็ว แม้จะมีความเสียหาย แต่ยานสามารถลงจอดในมหาสมุทรอินเดียได้ภายในระยะห่างเพียง 3 เมตรจากจุดเป้าหมาย และยังสามารถทำ flip maneuver และ landing burn ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงถึงความแม่นยำของระบบควบคุมที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ✅ ความสำเร็จของ Starship Flight 10 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ยานส่วนบนสามารถกลับสู่โลกและลงน้ำได้สำเร็จ ➡️ ทำ flip maneuver และ landing burn ได้แม่นยำภายใน 3 เมตรจากเป้าหมาย ➡️ ทดสอบ heat shield tile แบบใหม่ที่ผลิตโดย SpaceX เอง ✅ ภาพและข้อมูลที่ SpaceX ปล่อยออกมา ➡️ แสดงการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลาสมา ➡️ เห็นรอยไหม้สีส้มและความเสียหายที่ flaps ด้านท้าย ➡️ grid fin ของ booster มีอาการวูบระหว่างการลงจอด ✅ คำอธิบายจาก Elon Musk ➡️ สีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของแผ่นโลหะที่ใช้เป็น heat shield tile ➡️ จุดสีขาวเกิดจากบริเวณที่ไม่มีฉนวนตามแผนการทดสอบ ➡️ ยังไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์พลังงานสูงในห้องเครื่อง ✅ ความสำคัญของ heat shield ในการใช้งานซ้ำ ➡️ เป็นหัวใจของการทำให้ Starship สามารถบินซ้ำได้รวดเร็ว ➡️ Flight 10 เป็นครั้งแรกที่สามารถทดสอบ heat shield ได้จริง ➡️ ใช้แผ่นฉนวนหลายหมื่นชิ้นที่ผลิตในโรงงานของ SpaceX https://wccftech.com/spacexs-red-hot-starship-mars-rocket-images-share-stunning-flight-10-views-but-dont-answer-key-questions-related-to-the-mega-test-flight/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX's Red Hot Starship Mars Rocket Images Share Stunning Flight 10 Views But Don't Answer Key Questions Related To The Mega Test Flight
    SpaceX released new images from Starship Flight 10, showcasing its heat shield and grid fin during reentry, marking significant test progress.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย

    SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม

    Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น

    นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์

    การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy
    ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น

    Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น
    ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง

    ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย
    ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ

    ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน

    Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล
    เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่

    Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3
    เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป

    https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    🚀🛠️ เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy ➡️ ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น ✅ Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น ➡️ ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง ✅ ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย ➡️ ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ ✅ ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน ✅ Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล ➡️ เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่ ✅ Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Reveals Humongous Grid Fins To Catch World's Largest Rocket With The Launch Tower
    SpaceX unveils 50% larger grid fins for Starship Super Heavy, enhancing performance with three fins and other upgrades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอวกาศปลอม: เมื่อ Starlink ถูกแอบอ้างเพื่อหลอกเงินผู้บริโภค

    ช่วงกลางปี 2025 มีโฆษณาบน Facebook ที่อ้างว่าเสนอ “แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต Starlink ตลอดชีพ” ในราคาเพียง $127 หรือแม้แต่ “แผนรายปี $67” พร้อมจานรับสัญญาณ Starlink Mini ฟรี ฟังดูคุ้มเกินจริงใช่ไหม? เพราะมันคือ “หลอกลวงเต็มรูปแบบ”2

    เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาและโลโก้ของ Starlink อย่างแนบเนียน เช่น “ministarnt.xyz” หรือ “starlinkoficial.com” ซึ่งใช้ภาพจริงและคำพูดจาก SpaceX เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    เว็บไซต์เหล่านี้หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตและที่อยู่จัดส่ง โดยไม่มีการส่งสินค้าใด ๆ หรือส่งอุปกรณ์ปลอมที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้เลย บางรายยังถูกขโมยข้อมูลและพบธุรกรรมแปลก ๆ ในบัญชีธนาคารภายหลัง

    SpaceX เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงลักษณะนี้ และย้ำว่าโปรโมชั่นจริงจะมีเฉพาะบนเว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลทางการเท่านั้น เช่น การแจกจานฟรีเมื่อสมัครใช้งาน 12 เดือน

    มีการหลอกลวงผ่าน Facebook โดยอ้างว่าเป็นแพ็กเกจ Starlink ตลอดชีพ
    ราคาเพียง $127 หรือ $67 ต่อปี พร้อมจาน Starlink Mini ฟรี
    ดูเหมือนถูกมากเมื่อเทียบกับค่าบริการจริงที่ $120 ต่อเดือน

    เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบหน้าตา Starlink อย่างแนบเนียน
    ใช้ชื่อโดเมนคล้ายของจริง เช่น “starlinkoficial.com”
    มีโลโก้ ภาพสินค้า และคำพูดจาก SpaceX เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

    เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูล จะถูกขโมยเงินหรือข้อมูลส่วนตัว
    บางรายไม่ได้รับสินค้าเลย หรือได้อุปกรณ์ปลอมที่ใช้ไม่ได้
    พบธุรกรรมแปลก ๆ ในบัญชีหลังจากซื้อสินค้า

    SpaceX เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงลักษณะนี้
    โปรโมชั่นจริงจะมีเฉพาะบนเว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลทางการ
    ตัวอย่างโปรจริง: แจกจานฟรีเมื่อสมัครใช้งาน 12 เดือน (มูลค่า $499)

    ผู้ใช้ทั่วโลกเริ่มร้องเรียนบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
    PCMag พบหลายรูปแบบของโฆษณาหลอกลวงเมื่อค้นคำว่า “Starlink” บน Facebook

    วิธีตรวจสอบว่าโปรโมชั่นจริงหรือไม่
    เข้าเว็บไซต์ทางการของบริษัทเพื่อตรวจสอบ
    ตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียที่ได้รับการยืนยัน
    โทรสอบถามฝ่ายบริการลูกค้าโดยตรง

    https://www.techspot.com/news/108874-viral-lifetime-starlink-offer-facebook-total-scam.html
    🧠 เรื่องเล่าจากอวกาศปลอม: เมื่อ Starlink ถูกแอบอ้างเพื่อหลอกเงินผู้บริโภค ช่วงกลางปี 2025 มีโฆษณาบน Facebook ที่อ้างว่าเสนอ “แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต Starlink ตลอดชีพ” ในราคาเพียง $127 หรือแม้แต่ “แผนรายปี $67” พร้อมจานรับสัญญาณ Starlink Mini ฟรี ฟังดูคุ้มเกินจริงใช่ไหม? เพราะมันคือ “หลอกลวงเต็มรูปแบบ”2 เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาและโลโก้ของ Starlink อย่างแนบเนียน เช่น “ministarnt.xyz” หรือ “starlinkoficial.com” ซึ่งใช้ภาพจริงและคำพูดจาก SpaceX เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์เหล่านี้หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตและที่อยู่จัดส่ง โดยไม่มีการส่งสินค้าใด ๆ หรือส่งอุปกรณ์ปลอมที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้เลย บางรายยังถูกขโมยข้อมูลและพบธุรกรรมแปลก ๆ ในบัญชีธนาคารภายหลัง SpaceX เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงลักษณะนี้ และย้ำว่าโปรโมชั่นจริงจะมีเฉพาะบนเว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลทางการเท่านั้น เช่น การแจกจานฟรีเมื่อสมัครใช้งาน 12 เดือน ✅ มีการหลอกลวงผ่าน Facebook โดยอ้างว่าเป็นแพ็กเกจ Starlink ตลอดชีพ ➡️ ราคาเพียง $127 หรือ $67 ต่อปี พร้อมจาน Starlink Mini ฟรี ➡️ ดูเหมือนถูกมากเมื่อเทียบกับค่าบริการจริงที่ $120 ต่อเดือน ✅ เว็บไซต์ปลอมเลียนแบบหน้าตา Starlink อย่างแนบเนียน ➡️ ใช้ชื่อโดเมนคล้ายของจริง เช่น “starlinkoficial.com” ➡️ มีโลโก้ ภาพสินค้า และคำพูดจาก SpaceX เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ✅ เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูล จะถูกขโมยเงินหรือข้อมูลส่วนตัว ➡️ บางรายไม่ได้รับสินค้าเลย หรือได้อุปกรณ์ปลอมที่ใช้ไม่ได้ ➡️ พบธุรกรรมแปลก ๆ ในบัญชีหลังจากซื้อสินค้า ✅ SpaceX เคยออกคำเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงลักษณะนี้ ➡️ โปรโมชั่นจริงจะมีเฉพาะบนเว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลทางการ ➡️ ตัวอย่างโปรจริง: แจกจานฟรีเมื่อสมัครใช้งาน 12 เดือน (มูลค่า $499) ✅ ผู้ใช้ทั่วโลกเริ่มร้องเรียนบนโซเชียลมีเดียตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ➡️ PCMag พบหลายรูปแบบของโฆษณาหลอกลวงเมื่อค้นคำว่า “Starlink” บน Facebook ✅ วิธีตรวจสอบว่าโปรโมชั่นจริงหรือไม่ ➡️ เข้าเว็บไซต์ทางการของบริษัทเพื่อตรวจสอบ ➡️ ตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียที่ได้รับการยืนยัน ➡️ โทรสอบถามฝ่ายบริการลูกค้าโดยตรง https://www.techspot.com/news/108874-viral-lifetime-starlink-offer-facebook-total-scam.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    That viral lifetime Starlink offer on Facebook is a total scam
    The latest scam making the rounds on Facebook promises a lifetime subscription to SpaceX's Starlink satellite Internet service for as low as $127 – roughly as much...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts