• “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ”

    Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่

    Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ

    MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์

    แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น

    การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028
    ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ
    มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่
    มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด
    ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming
    MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้
    เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล
    คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า
    Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ
    Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย
    MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8
    Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน

    https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    📶 “Wi-Fi 8 มาแน่ปี 2028 — ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นความนิ่ง ลื่นไหล และเชื่อมต่อได้แม้ในจุดอับสัญญาณ” Wi-Fi 8 หรือชื่อทางเทคนิค IEEE 802.11bn กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจังโดยบริษัทชั้นนำอย่าง MediaTek และ Qualcomm โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า “ไม่เน้นความเร็วสูงสุด” แต่จะเน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีสัญญาณรบกวนสูง, จุดอับสัญญาณ, หรือการใช้งานขณะเคลื่อนที่ Wi-Fi 8 จะมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น “Single Mobility Domain” ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง access point เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ ไม่เกิดการหลุดหรือดีเลย์ระหว่างการย้ายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีระบบ “Multi-AP Coordination” ที่ทำให้ access point หลายตัวทำงานร่วมกันได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สัญญาณครอบคลุมเหมือนผ้าห่มไร้รอยต่อ MediaTek และ Qualcomm ต่างเน้นว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบสาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การประชุมทางไกล, การควบคุมอุปกรณ์ IoT, หรือการใช้งาน AI แบบเรียลไทม์ แม้จะไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดจาก Wi-Fi 7 แต่ Wi-Fi 8 จะเพิ่ม “ความเร็วเฉลี่ย” และลด latency ได้ถึง 25% ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อาคารที่มีหลายชั้นหรือพื้นที่สาธารณะที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น การเปิดตัว Wi-Fi 8 คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2028 โดยอุปกรณ์รุ่นแรกอาจเริ่มผ่านการรับรองในช่วงปลายปี 2027 ซึ่งหมายความว่า Wi-Fi 7 จะยังคงเป็นมาตรฐานหลักไปอีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wi-Fi 8 คือมาตรฐานใหม่ IEEE 802.11bn ที่จะเปิดตัวในปี 2028 ➡️ ไม่เน้นความเร็วสูงสุด แต่เน้นความเสถียรและความลื่นไหลของการเชื่อมต่อ ➡️ มีฟีเจอร์ Single Mobility Domain สำหรับการเชื่อมต่อขณะเคลื่อนที่ ➡️ มีระบบ Multi-AP Coordination ให้ access point ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ➡️ ลด latency ได้ถึง 25% และลดการหลุดสัญญาณระหว่าง roaming ➡️ MediaTek และ Qualcomm เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานนี้ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น AI, IoT, การประชุมทางไกล ➡️ คาดว่าอุปกรณ์ Wi-Fi 8 จะเริ่มผ่านการรับรองในปลายปี 2027 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi 7 ยังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยคาดว่าจะมีการใช้งานถึง 30–40% ภายในปีหน้า ➡️ Wi-Fi 8 ใช้แนวคิด Ultra High Reliability (UHR) เป็นแกนหลักในการออกแบบ ➡️ Qualcomm ระบุว่า Wi-Fi 8 จะให้ประสบการณ์ “เหมือนเชื่อมต่อด้วยสาย” แม้ใช้งานแบบไร้สาย ➡️ MediaTek กำลังทดสอบร่วมกับพันธมิตร เช่น Dafa ที่ใช้ 25G PON ร่วมกับ Wi-Fi 8 ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยลดปัญหา jitter และ packet loss ที่เกิดขึ้นใน Wi-Fi รุ่นก่อน https://www.techradar.com/pro/wi-fi-8-is-a-go-as-key-nvidia-partner-confirms-there-wont-be-much-difference-in-speed-ahead-of-expected-launch-in-2028
    WWW.TECHRADAR.COM
    The next-gen Wi-Fi 8 standard skips blazing peaks to fix dead zones and shaky edges that ruin streaming in crowded spaces
    The new wireless standard is all about stable connections, seamless roaming, and edge performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fenghua No.3 GPU จากจีนเปิดตัวแรง — เคลมรองรับ CUDA, Ray Tracing, และมี HBM กว่า 112GB สำหรับ AI ขนาดใหญ่”

    Innosilicon บริษัทผู้ผลิตชิปจากจีนเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ “Fenghua No.3” ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม GPU ในประเทศ โดยชูจุดเด่นว่าเป็น GPU แบบ “all-function” ที่รองรับทั้งงาน AI, การประมวลผลทางวิทยาศาสตร์, CAD, การแพทย์ และเกม พร้อมเคลมว่า “รองรับ CUDA” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia — หากเป็นจริง จะถือเป็นครั้งแรกที่ GPU จากจีนสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ที่พัฒนาบน CUDA ได้โดยตรง

    Fenghua No.3 ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบ open-source แทน PowerVR ที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้า และมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในประเทศ โดยอ้างว่าใช้เทคโนโลยีจากโครงการ Nanhu V3 ของ OpenCore Institute

    ด้านการเล่นเกม Fenghua No.3 รองรับ API สมัยใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan 1.2 และ OpenGL 4.6 พร้อมฟีเจอร์ Ray Tracing และสามารถรันเกมอย่าง Tomb Raider, Delta Force และ Valorant ได้อย่างลื่นไหลในการสาธิต แม้จะไม่มีข้อมูลเฟรมเรตหรือความละเอียดที่ใช้ในการทดสอบ

    สำหรับงาน AI Fenghua No.3 มาพร้อมหน่วยความจำ HBM มากกว่า 112GB ซึ่งสามารถรันโมเดลขนาด 32B และ 72B ได้ด้วยการ์ดเดียว และสามารถรันโมเดลขนาด 671B และ 685B ได้เมื่อใช้การ์ด 8 ใบร่วมกัน โดยรองรับโมเดล DeepSeek V3, R1, V3.1 และ Qwen 2.5, Qwen 3 อย่างเต็มรูปแบบ

    นอกจากนี้ยังเป็น GPU ตัวแรกของจีนที่รองรับฟอร์แมต YUV444 สำหรับงานภาพละเอียดสูง และสามารถแสดงผลบนจอ 8K ได้พร้อมกันถึง 6 จอที่ 30Hz อีกทั้งยังรองรับ DICOM สำหรับการแสดงผลภาพทางการแพทย์ เช่น MRI และ CT scan โดยไม่ต้องใช้จอ grayscale เฉพาะทาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fenghua No.3 เป็น GPU รุ่นใหม่จาก Innosilicon ประเทศจีน
    ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และออกแบบใหม่ทั้งหมดภายในประเทศ
    เคลมว่ารองรับ CUDA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia
    รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.2, OpenGL 4.6 และ Ray Tracing
    รันเกม Tomb Raider, Delta Force, Valorant ได้ในการสาธิต
    มาพร้อม HBM มากกว่า 112GB สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    รองรับโมเดล DeepSeek และ Qwen หลายเวอร์ชัน
    รองรับ YUV444 สำหรับงาน CAD และวิดีโอ
    แสดงผล 8K ได้พร้อมกัน 6 จอที่ 30Hz
    รองรับ DICOM สำหรับภาพทางการแพทย์โดยไม่ต้องใช้จอเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ Nvidia ใช้สำหรับงาน AI และ HPC โดยทั่วไปไม่เปิดให้ GPU อื่นใช้งาน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่กำลังได้รับความนิยมในจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพา IP จากตะวันตก
    HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่เร็วและเหมาะกับงาน AI มากกว่า GDDR
    YUV444 ให้ความละเอียดสีสูงกว่าฟอร์แมตทั่วไป เช่น YUV420 ซึ่งใช้ในวิดีโอสตรีมมิ่ง
    DICOM เป็นมาตรฐานภาพทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-latest-gpu-arrives-with-claims-of-cuda-compatibility-and-rt-support-fenghua-no-3-also-boasts-112gb-of-hbm-memory-for-ai
    🚀 “Fenghua No.3 GPU จากจีนเปิดตัวแรง — เคลมรองรับ CUDA, Ray Tracing, และมี HBM กว่า 112GB สำหรับ AI ขนาดใหญ่” Innosilicon บริษัทผู้ผลิตชิปจากจีนเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ “Fenghua No.3” ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม GPU ในประเทศ โดยชูจุดเด่นว่าเป็น GPU แบบ “all-function” ที่รองรับทั้งงาน AI, การประมวลผลทางวิทยาศาสตร์, CAD, การแพทย์ และเกม พร้อมเคลมว่า “รองรับ CUDA” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia — หากเป็นจริง จะถือเป็นครั้งแรกที่ GPU จากจีนสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ที่พัฒนาบน CUDA ได้โดยตรง Fenghua No.3 ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบ open-source แทน PowerVR ที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้า และมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในประเทศ โดยอ้างว่าใช้เทคโนโลยีจากโครงการ Nanhu V3 ของ OpenCore Institute ด้านการเล่นเกม Fenghua No.3 รองรับ API สมัยใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan 1.2 และ OpenGL 4.6 พร้อมฟีเจอร์ Ray Tracing และสามารถรันเกมอย่าง Tomb Raider, Delta Force และ Valorant ได้อย่างลื่นไหลในการสาธิต แม้จะไม่มีข้อมูลเฟรมเรตหรือความละเอียดที่ใช้ในการทดสอบ สำหรับงาน AI Fenghua No.3 มาพร้อมหน่วยความจำ HBM มากกว่า 112GB ซึ่งสามารถรันโมเดลขนาด 32B และ 72B ได้ด้วยการ์ดเดียว และสามารถรันโมเดลขนาด 671B และ 685B ได้เมื่อใช้การ์ด 8 ใบร่วมกัน โดยรองรับโมเดล DeepSeek V3, R1, V3.1 และ Qwen 2.5, Qwen 3 อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังเป็น GPU ตัวแรกของจีนที่รองรับฟอร์แมต YUV444 สำหรับงานภาพละเอียดสูง และสามารถแสดงผลบนจอ 8K ได้พร้อมกันถึง 6 จอที่ 30Hz อีกทั้งยังรองรับ DICOM สำหรับการแสดงผลภาพทางการแพทย์ เช่น MRI และ CT scan โดยไม่ต้องใช้จอ grayscale เฉพาะทาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fenghua No.3 เป็น GPU รุ่นใหม่จาก Innosilicon ประเทศจีน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และออกแบบใหม่ทั้งหมดภายในประเทศ ➡️ เคลมว่ารองรับ CUDA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia ➡️ รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.2, OpenGL 4.6 และ Ray Tracing ➡️ รันเกม Tomb Raider, Delta Force, Valorant ได้ในการสาธิต ➡️ มาพร้อม HBM มากกว่า 112GB สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ รองรับโมเดล DeepSeek และ Qwen หลายเวอร์ชัน ➡️ รองรับ YUV444 สำหรับงาน CAD และวิดีโอ ➡️ แสดงผล 8K ได้พร้อมกัน 6 จอที่ 30Hz ➡️ รองรับ DICOM สำหรับภาพทางการแพทย์โดยไม่ต้องใช้จอเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ Nvidia ใช้สำหรับงาน AI และ HPC โดยทั่วไปไม่เปิดให้ GPU อื่นใช้งาน ➡️ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่กำลังได้รับความนิยมในจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพา IP จากตะวันตก ➡️ HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่เร็วและเหมาะกับงาน AI มากกว่า GDDR ➡️ YUV444 ให้ความละเอียดสีสูงกว่าฟอร์แมตทั่วไป เช่น YUV420 ซึ่งใช้ในวิดีโอสตรีมมิ่ง ➡️ DICOM เป็นมาตรฐานภาพทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วโลก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-latest-gpu-arrives-with-claims-of-cuda-compatibility-and-rt-support-fenghua-no-3-also-boasts-112gb-of-hbm-memory-for-ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI โตเร็วเกินทุน — รายงานชี้ต้องมีรายได้ $2 ล้านล้านต่อปีถึงจะพอเลี้ยงระบบ แต่ยังขาดอีก $800 พันล้านทั่วโลก”

    รายงานล่าสุดจาก Bain & Company เปิดเผยว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเติบโตเร็วกว่าที่โครงสร้างพื้นฐานจะรองรับได้ โดยเฉพาะในด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ รายงานระบุว่าเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการด้านการประมวลผล AI ได้อย่างยั่งยืนภายในปี 2030 โลกจะต้องมีรายได้จาก AI สูงถึง $2 ล้านล้านต่อปี แต่แม้จะมองในแง่ดี ก็ยังขาดอยู่ถึง $800 พันล้าน

    ความต้องการ compute สำหรับ AI ทั้งการฝึกโมเดลและการใช้งานจริง (inference) เติบโตเร็วกว่ากฎของ Moore’s Law ถึง 2 เท่า ทำให้ผู้ให้บริการ data center ต้องขยายระบบแบบ brute-force โดยไม่สามารถพึ่งพาประสิทธิภาพของชิปได้อีกต่อไป คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการพลังงานของ AI จะสูงถึง 200 กิกะวัตต์ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐฯ

    รายงานยังเตือนว่าการขาดแคลน GPU, หน่วยความจำ HBM, และเทคโนโลยี CoWoS จะยังคงเป็นปัญหาไปอีกหลายปี แม้บริษัทใหญ่จะลงทุนมหาศาล เช่น Microsoft ที่เพิ่มงบสร้าง data center ในรัฐวิสคอนซินเป็น $7 พันล้าน หรือ xAI ของ Elon Musk ที่ตั้งเป้าจะใช้ GPU เทียบเท่า H100 ถึง 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี

    หากเงินทุนไม่พอ อุตสาหกรรมจะหันไปใช้ระบบที่ให้ผลตอบแทนต่อวัตต์และพื้นที่สูงที่สุด เช่น rack GPU ขนาดใหญ่ของ Nvidia และ AMD ซึ่งอาจทำให้ชิประดับ workstation หายากขึ้น และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI ต้องการรายได้ $2 ล้านล้านต่อปีเพื่อรองรับการเติบโตภายในปี 2030
    แม้มองในแง่ดี ยังขาดทุนอยู่ $800 พันล้าน
    ความต้องการ compute เติบโตเร็วกว่าประสิทธิภาพชิปถึง 2 เท่า
    คาดว่า AI จะใช้พลังงานถึง 200 กิกะวัตต์ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐฯ
    GPU, HBM, และ CoWoS ยังขาดแคลนต่อเนื่อง
    Microsoft ลงทุน $7 พันล้านใน data center ใหม่ในวิสคอนซิน
    xAI ตั้งเป้าใช้ GPU เทียบเท่า H100 ถึง 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี
    ระบบ rack GPU เช่น GB200 NVL72 และ MI300X จะได้รับความสำคัญมากขึ้น
    การประมวลผลที่ edge เช่น laptop ที่มี NPU จะได้รับความนิยมมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Moore’s Law คือหลักการที่ประสิทธิภาพของชิปจะเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี แต่เริ่มชะลอตัวแล้ว
    HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    CoWoS (Chip-on-Wafer-on-Substrate) เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่อชิปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    Edge AI ช่วยลดค่าใช้จ่ายและ latency โดยไม่ต้องพึ่ง cloud
    Sovereign AI กลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติในหลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐฯ และ EU

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bain-says-compute-demand-is-outpacing-capital
    ⚡ “AI โตเร็วเกินทุน — รายงานชี้ต้องมีรายได้ $2 ล้านล้านต่อปีถึงจะพอเลี้ยงระบบ แต่ยังขาดอีก $800 พันล้านทั่วโลก” รายงานล่าสุดจาก Bain & Company เปิดเผยว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเติบโตเร็วกว่าที่โครงสร้างพื้นฐานจะรองรับได้ โดยเฉพาะในด้านพลังงานและฮาร์ดแวร์ รายงานระบุว่าเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการด้านการประมวลผล AI ได้อย่างยั่งยืนภายในปี 2030 โลกจะต้องมีรายได้จาก AI สูงถึง $2 ล้านล้านต่อปี แต่แม้จะมองในแง่ดี ก็ยังขาดอยู่ถึง $800 พันล้าน ความต้องการ compute สำหรับ AI ทั้งการฝึกโมเดลและการใช้งานจริง (inference) เติบโตเร็วกว่ากฎของ Moore’s Law ถึง 2 เท่า ทำให้ผู้ให้บริการ data center ต้องขยายระบบแบบ brute-force โดยไม่สามารถพึ่งพาประสิทธิภาพของชิปได้อีกต่อไป คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการพลังงานของ AI จะสูงถึง 200 กิกะวัตต์ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐฯ รายงานยังเตือนว่าการขาดแคลน GPU, หน่วยความจำ HBM, และเทคโนโลยี CoWoS จะยังคงเป็นปัญหาไปอีกหลายปี แม้บริษัทใหญ่จะลงทุนมหาศาล เช่น Microsoft ที่เพิ่มงบสร้าง data center ในรัฐวิสคอนซินเป็น $7 พันล้าน หรือ xAI ของ Elon Musk ที่ตั้งเป้าจะใช้ GPU เทียบเท่า H100 ถึง 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี หากเงินทุนไม่พอ อุตสาหกรรมจะหันไปใช้ระบบที่ให้ผลตอบแทนต่อวัตต์และพื้นที่สูงที่สุด เช่น rack GPU ขนาดใหญ่ของ Nvidia และ AMD ซึ่งอาจทำให้ชิประดับ workstation หายากขึ้น และส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI ต้องการรายได้ $2 ล้านล้านต่อปีเพื่อรองรับการเติบโตภายในปี 2030 ➡️ แม้มองในแง่ดี ยังขาดทุนอยู่ $800 พันล้าน ➡️ ความต้องการ compute เติบโตเร็วกว่าประสิทธิภาพชิปถึง 2 เท่า ➡️ คาดว่า AI จะใช้พลังงานถึง 200 กิกะวัตต์ โดยครึ่งหนึ่งอยู่ในสหรัฐฯ ➡️ GPU, HBM, และ CoWoS ยังขาดแคลนต่อเนื่อง ➡️ Microsoft ลงทุน $7 พันล้านใน data center ใหม่ในวิสคอนซิน ➡️ xAI ตั้งเป้าใช้ GPU เทียบเท่า H100 ถึง 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี ➡️ ระบบ rack GPU เช่น GB200 NVL72 และ MI300X จะได้รับความสำคัญมากขึ้น ➡️ การประมวลผลที่ edge เช่น laptop ที่มี NPU จะได้รับความนิยมมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Moore’s Law คือหลักการที่ประสิทธิภาพของชิปจะเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี แต่เริ่มชะลอตัวแล้ว ➡️ HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ CoWoS (Chip-on-Wafer-on-Substrate) เป็นเทคโนโลยีเชื่อมต่อชิปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Edge AI ช่วยลดค่าใช้จ่ายและ latency โดยไม่ต้องพึ่ง cloud ➡️ Sovereign AI กลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติในหลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐฯ และ EU https://www.tomshardware.com/tech-industry/bain-says-compute-demand-is-outpacing-capital
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AI buildouts need $2 trillion in annual revenue to sustain growth, but massive cash shortfall looms — even generous forecasts highlight $800 billion black hole, says report
    A new Bain report says AI buildout will need $2 trillion in annual revenue just to sustain its growth, and the shortfall could keep GPUs scarce and energy grids strained through 2030.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย”

    Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง

    ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google

    การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8
    CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว
    CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow
    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google
    การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง
    ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ
    ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium
    Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง
    Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level
    AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่
    การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์

    https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    🛡️ “Google Chrome อัปเดตด่วน! แก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 — หนึ่งในนั้นอาจทำให้ข้อมูลรั่วโดยไม่ต้องคลิกอะไรเลย” Google ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชันใหม่ของ Chrome สำหรับ Windows, macOS และ Linux (140.0.7339.207/.208) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการใน V8 ซึ่งเป็นเอนจิน JavaScript ที่ขับเคลื่อนเว็บแอปทั่วโลก โดยช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบทั้งจากนักวิจัยอิสระและระบบ AI ของ Google เอง ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-10890 ซึ่งเป็นการรั่วไหลข้อมูลแบบ side-channel — หมายถึงการที่ผู้โจมตีสามารถสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของระบบ เช่น เวลาในการประมวลผล หรือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในหน่วยความจำ เพื่อสกัดข้อมูลลับ เช่น session ID หรือคีย์เข้ารหัส โดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ช่องโหว่ที่สองและสาม (CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892) เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ซึ่งเกิดจากการคำนวณที่เกินขนาดหน่วยความจำ ทำให้สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยความจำและอาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกค้นพบโดยระบบ AI ที่ชื่อว่า Big Sleep ซึ่งพัฒนาโดย DeepMind และทีม Project Zero ของ Google การค้นพบโดย AI แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการใช้ระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบช่องโหว่ โดยเฉพาะในเอนจินที่ซับซ้อนอย่าง V8 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเบราว์เซอร์และแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google Chrome อัปเดตเวอร์ชัน 140.0.7339.207/.208 เพื่อแก้ 3 ช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 ➡️ CVE-2025-10890 เป็นช่องโหว่แบบ side-channel ที่อาจทำให้ข้อมูลลับรั่ว ➡️ CVE-2025-10891 และ CVE-2025-10892 เป็นช่องโหว่แบบ integer overflow ➡️ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยอิสระและระบบ AI “Big Sleep” ของ Google ➡️ การโจมตีแบบ side-channel สามารถขโมยข้อมูลโดยไม่ต้องเจาะระบบโดยตรง ➡️ ช่องโหว่แบบ overflow อาจนำไปสู่การรันโค้ดอันตรายในหน่วยความจำ ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดต Chrome ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ V8 เป็นเอนจิน JavaScript ที่ใช้ใน Chrome, Edge, Brave และเบราว์เซอร์อื่น ๆ ที่ใช้ Chromium ➡️ Side-channel attack เคยถูกใช้ในการขโมยคีย์เข้ารหัสจาก CPU โดยไม่ต้องเข้าถึงระบบโดยตรง ➡️ Integer overflow เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่จัดการหน่วยความจำแบบ low-level ➡️ AI อย่าง Big Sleep ใช้เทคนิค fuzzing และ symbolic execution เพื่อค้นหาช่องโหว่ ➡️ การอัปเดต Chrome สามารถทำได้โดยไปที่ Settings > About Chrome แล้วรีสตาร์ตเบราว์เซอร์ https://securityonline.info/google-chrome-patches-three-high-severity-flaws-in-v8-engine/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Chrome Patches Three High-Severity Flaws in V8 Engine
    Google has released an urgent update for Chrome, patching three high-severity flaws in its V8 JavaScript engine, two of which were discovered by AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • “6 วิธีใหม่ในการใช้ AI ปกป้ององค์กรจากภัยไซเบอร์ — จากการคาดการณ์ล่วงหน้า สู่การหลอกลวงผู้โจมตีแบบสร้างสรรค์”

    ในยุคที่ภัยไซเบอร์มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 6 วิธีใหม่ที่องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์

    1️⃣ Anticipating Attacks Before They Occur — คาดการณ์การโจมตีก่อนเกิดจริง
    AI แบบ “Predictive” จะวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, DNS, พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อคาดเดาว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจากที่ใด โดยใช้เทคนิค random forest ซึ่งเป็นอัลกอริธึมที่เรียนรู้จากฐานข้อมูล “ground truth” ที่บันทึกโครงสร้างดีและไม่ดีของระบบ

    จุดเด่นคือสามารถตอบสนองอัตโนมัติได้ทันที โดยไม่ต้องรอมนุษย์ตัดสินใจ

    เหมาะกับองค์กรที่มี alert จำนวนมาก และต้องการลด false positive

    เสริม: ระบบนี้คล้ายกับการมี “เรดาร์ล่วงหน้า” ที่สามารถบอกได้ว่าใครกำลังจะยิงมิสไซล์ใส่เรา ก่อนที่มันจะถูกปล่อยจริง

    2️⃣ Generative Adversarial Networks (GANs) — ฝึกระบบด้วยการจำลองภัยใหม่
    GANs ประกอบด้วยสองส่วน:

    Generator สร้างสถานการณ์โจมตีใหม่ เช่น malware, phishing, intrusion

    Discriminator เรียนรู้แยกแยะว่าอะไรคือภัยจริง

    ระบบจะฝึกตัวเองผ่านการจำลองโจมตีหลายล้านรูปแบบ ทำให้สามารถรับมือกับภัยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นได้

    เสริม: เหมือนฝึกนักมวยให้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เคยเจอ โดยใช้ AI สร้างคู่ซ้อมที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ

    3️⃣ AI Analyst Assistant — ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ที่ไม่หลับไม่นอน
    AI จะทำหน้าที่ตรวจสอบ alert จากหลายแหล่งข้อมูล เช่น log, threat intel, user behavior แล้วสรุปเป็น “เรื่องราว” ที่พร้อมให้มนุษย์ตัดสินใจ

    ลดเวลาการตรวจสอบจาก 1 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่กี่นาที

    ช่วยให้ทีม SOC รับมือกับ alert จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่คอยเตรียมเอกสารให้คุณก่อนประชุม โดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมเอง

    4️⃣ Micro-Deviation Detection — ตรวจจับความเบี่ยงเบนเล็ก ๆ ที่มนุษย์มองไม่เห็น
    AI จะเรียนรู้พฤติกรรมปกติของระบบ เช่น เวลา login, รูปแบบการใช้งาน แล้วแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เช่น login จากประเทศใหม่ หรือการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่เคยแตะ

    ไม่ต้องพึ่ง rule-based หรือ signature แบบเดิม

    ระบบจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับข้อมูลมากขึ้น

    เสริม: เหมือนมี AI ที่รู้ว่า “พฤติกรรมปกติ” ของคุณคืออะไร และจะเตือนทันทีเมื่อคุณทำอะไรแปลกไป

    5️⃣ Automated Alert Triage — ตรวจสอบและตอบสนอง alert แบบอัตโนมัติ
    AI จะตรวจสอบ alert ทีละตัว แล้วตัดสินใจว่าเป็นภัยจริงหรือไม่ โดยพูดคุยกับเครื่องมืออื่นในระบบ เช่น EDR, SIEM เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

    หากเป็นภัยจริง จะแจ้งทีมงานทันที พร้อมแนะนำวิธีแก้ไข

    ลดภาระงานของนักวิเคราะห์ และเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง

    เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่ไม่เพียงแต่บอกว่า “มีปัญหา” แต่ยังบอกว่า “ควรแก้ยังไง” ด้วย

    6️⃣ Proactive Generative Deception — สร้างโลกปลอมให้แฮกเกอร์หลงทาง
    AI จะสร้างเครือข่ายปลอม, ข้อมูลปลอม, พฤติกรรมผู้ใช้ปลอม เพื่อหลอกล่อผู้โจมตีให้เสียเวลาและทรัพยากรกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายจริง

    เก็บข้อมูลจากการกระทำของผู้โจมตีได้แบบเรียลไทม์

    เปลี่ยนจาก “ตั้งรับ” เป็น “รุกกลับ” โดยใช้ AI สร้างกับดักอัจฉริยะ

    เสริม: เหมือนสร้างบ้านปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง เพื่อให้ขโมยเข้าไปแล้วติดอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ว่าไม่ได้ขโมยอะไรเลย

    https://www.csoonline.com/article/4059116/6-novel-ways-to-use-ai-in-cybersecurity.html
    🧠 “6 วิธีใหม่ในการใช้ AI ปกป้ององค์กรจากภัยไซเบอร์ — จากการคาดการณ์ล่วงหน้า สู่การหลอกลวงผู้โจมตีแบบสร้างสรรค์” ในยุคที่ภัยไซเบอร์มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกวัน เทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทความจาก CSO Online ได้รวบรวม 6 วิธีใหม่ที่องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อเสริมความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ 1️⃣ Anticipating Attacks Before They Occur — คาดการณ์การโจมตีก่อนเกิดจริง AI แบบ “Predictive” จะวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต เช่น IP, DNS, พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อคาดเดาว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจากที่ใด โดยใช้เทคนิค random forest ซึ่งเป็นอัลกอริธึมที่เรียนรู้จากฐานข้อมูล “ground truth” ที่บันทึกโครงสร้างดีและไม่ดีของระบบ ✔️ จุดเด่นคือสามารถตอบสนองอัตโนมัติได้ทันที โดยไม่ต้องรอมนุษย์ตัดสินใจ ✔️เหมาะกับองค์กรที่มี alert จำนวนมาก และต้องการลด false positive 🧠 เสริม: ระบบนี้คล้ายกับการมี “เรดาร์ล่วงหน้า” ที่สามารถบอกได้ว่าใครกำลังจะยิงมิสไซล์ใส่เรา ก่อนที่มันจะถูกปล่อยจริง 2️⃣ Generative Adversarial Networks (GANs) — ฝึกระบบด้วยการจำลองภัยใหม่ GANs ประกอบด้วยสองส่วน: ✔️ Generator สร้างสถานการณ์โจมตีใหม่ เช่น malware, phishing, intrusion ✔️ Discriminator เรียนรู้แยกแยะว่าอะไรคือภัยจริง ระบบจะฝึกตัวเองผ่านการจำลองโจมตีหลายล้านรูปแบบ ทำให้สามารถรับมือกับภัยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นได้ 🧠 เสริม: เหมือนฝึกนักมวยให้รับมือกับคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เคยเจอ โดยใช้ AI สร้างคู่ซ้อมที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ 3️⃣ AI Analyst Assistant — ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ที่ไม่หลับไม่นอน AI จะทำหน้าที่ตรวจสอบ alert จากหลายแหล่งข้อมูล เช่น log, threat intel, user behavior แล้วสรุปเป็น “เรื่องราว” ที่พร้อมให้มนุษย์ตัดสินใจ ✔️ ลดเวลาการตรวจสอบจาก 1 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่กี่นาที ✔️ ช่วยให้ทีม SOC รับมือกับ alert จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🧠 เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่คอยเตรียมเอกสารให้คุณก่อนประชุม โดยไม่ต้องเสียเวลารวบรวมเอง 4️⃣ Micro-Deviation Detection — ตรวจจับความเบี่ยงเบนเล็ก ๆ ที่มนุษย์มองไม่เห็น AI จะเรียนรู้พฤติกรรมปกติของระบบ เช่น เวลา login, รูปแบบการใช้งาน แล้วแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เช่น login จากประเทศใหม่ หรือการเข้าถึงไฟล์ที่ไม่เคยแตะ ✔️ ไม่ต้องพึ่ง rule-based หรือ signature แบบเดิม ✔️ ระบบจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับข้อมูลมากขึ้น 🧠 เสริม: เหมือนมี AI ที่รู้ว่า “พฤติกรรมปกติ” ของคุณคืออะไร และจะเตือนทันทีเมื่อคุณทำอะไรแปลกไป 5️⃣ Automated Alert Triage — ตรวจสอบและตอบสนอง alert แบบอัตโนมัติ AI จะตรวจสอบ alert ทีละตัว แล้วตัดสินใจว่าเป็นภัยจริงหรือไม่ โดยพูดคุยกับเครื่องมืออื่นในระบบ เช่น EDR, SIEM เพื่อรวบรวมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ✔️ หากเป็นภัยจริง จะแจ้งทีมงานทันที พร้อมแนะนำวิธีแก้ไข ✔️ ลดภาระงานของนักวิเคราะห์ และเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง 🧠 เสริม: เหมือนมีผู้ช่วยที่ไม่เพียงแต่บอกว่า “มีปัญหา” แต่ยังบอกว่า “ควรแก้ยังไง” ด้วย 6️⃣ Proactive Generative Deception — สร้างโลกปลอมให้แฮกเกอร์หลงทาง AI จะสร้างเครือข่ายปลอม, ข้อมูลปลอม, พฤติกรรมผู้ใช้ปลอม เพื่อหลอกล่อผู้โจมตีให้เสียเวลาและทรัพยากรกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายจริง ✔️ เก็บข้อมูลจากการกระทำของผู้โจมตีได้แบบเรียลไทม์ ✔️ เปลี่ยนจาก “ตั้งรับ” เป็น “รุกกลับ” โดยใช้ AI สร้างกับดักอัจฉริยะ 🧠 เสริม: เหมือนสร้างบ้านปลอมที่ดูเหมือนจริงทุกอย่าง เพื่อให้ขโมยเข้าไปแล้วติดอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ว่าไม่ได้ขโมยอะไรเลย https://www.csoonline.com/article/4059116/6-novel-ways-to-use-ai-in-cybersecurity.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    6 novel ways to use AI in cybersecurity
    AI is changing everything, including cybersecurity. Here are six creative AI methods you can use to help protect your enterprise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Gemini Nano Banana — สร้างภาพเหมือนจริงด้วยคำสั่งเดียว พร้อมฟีเจอร์แก้ไขภาพที่แม่นยำที่สุดในโลก AI”

    ในยุคที่การสร้างภาพไม่ต้องใช้กล้องหรือโปรแกรมแต่งภาพอีกต่อไป Google ได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ในชื่อ “Nano Banana” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Gemini 2.5 Flash ที่สามารถสร้างภาพเหมือนจริงจากคำสั่งข้อความได้ทันที และยังแก้ไขภาพที่มีอยู่ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายรายละเอียดเดิม

    Nano Banana ใช้เทคโนโลยี Imagen 4 ซึ่งเป็นโมเดล text-to-image ล่าสุดจาก Google DeepMind โดยผสานการทำงานของ LLMs กับ diffusion model เพื่อสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 2048x2048 พิกเซล พร้อมความสามารถในการรักษาโครงสร้างใบหน้า, แสง, มุมกล้อง และองค์ประกอบเดิมของภาพได้อย่างแม่นยำ

    ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Nano Banana ได้ผ่านแอป Gemini ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึง API สำหรับนักพัฒนา โดยสามารถสร้างภาพจาก prompt เดียว หรืออัปโหลดภาพเพื่อแก้ไข เช่น เปลี่ยนทรงผม, เพิ่มคนเข้าไปในภาพ, รวมภาพสองใบให้กลายเป็นภาพเดียว หรือแม้แต่แปลงภาพเป็นสไตล์ของสติ๊กเกอร์, ภาพย้อนยุค หรือภาพ 3D figurine

    Google ยังเพิ่มระบบความปลอดภัย เช่น SynthID watermark ที่ฝังในภาพแบบมองไม่เห็น และ Content Credentials (C2PA) เพื่อป้องกันการนำภาพไปใช้ในทางที่ผิด พร้อมเปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้มีบัญชี Google โดยมีข้อจำกัดจำนวนคำสั่งต่อวันสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ฟีเจอร์เด่นของ Nano Banana
    สร้างภาพเหมือนจริงจากข้อความด้วยโมเดล Imagen 4
    รองรับความละเอียดสูงสุด 2048x2048 พิกเซล
    รักษาโครงสร้างใบหน้า, แสง, มุมกล้อง และองค์ประกอบเดิมของภาพ
    แก้ไขภาพได้แม่นยำ เช่น เปลี่ยนทรงผม, เสื้อผ้า, ฉากหลัง หรือเพิ่มคนเข้าไป
    รองรับการรวมภาพหลายใบให้กลายเป็นภาพเดียว
    มีฟีเจอร์สร้างภาพสไตล์ 3D figurine, สติ๊กเกอร์, ภาพย้อนยุค ฯลฯ
    ใช้งานได้ผ่านแอป Gemini, API, และ Google AI Studio
    มีระบบ SynthID watermark และ Content Credentials เพื่อความปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nano Banana ได้รับความนิยมสูงสุดในอินเดีย โดยมีผู้ใช้กว่า 23 ล้านคนภายใน 2 สัปดาห์แรก
    สามารถใช้งานผ่าน WhatsApp ผ่านบอตของ Perplexity AI ได้แล้ว
    Prompt ที่ละเอียด เช่น “Create a photorealistic image of…” ให้ผลลัพธ์แม่นยำมากขึ้น
    สามารถใช้เพื่อสร้างภาพโฮโลกราฟิก, ภาพโฆษณา, หรือภาพโปรดักต์แบบหลายมุม
    เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักออกแบบมืออาชีพ

    https://www.slashgear.com/1974425/how-to-use-google-gemini-ai-to-create-realistic-photos-guide/
    🎨 “Google Gemini Nano Banana — สร้างภาพเหมือนจริงด้วยคำสั่งเดียว พร้อมฟีเจอร์แก้ไขภาพที่แม่นยำที่สุดในโลก AI” ในยุคที่การสร้างภาพไม่ต้องใช้กล้องหรือโปรแกรมแต่งภาพอีกต่อไป Google ได้เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ในชื่อ “Nano Banana” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Gemini 2.5 Flash ที่สามารถสร้างภาพเหมือนจริงจากคำสั่งข้อความได้ทันที และยังแก้ไขภาพที่มีอยู่ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายรายละเอียดเดิม Nano Banana ใช้เทคโนโลยี Imagen 4 ซึ่งเป็นโมเดล text-to-image ล่าสุดจาก Google DeepMind โดยผสานการทำงานของ LLMs กับ diffusion model เพื่อสร้างภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 2048x2048 พิกเซล พร้อมความสามารถในการรักษาโครงสร้างใบหน้า, แสง, มุมกล้อง และองค์ประกอบเดิมของภาพได้อย่างแม่นยำ ผู้ใช้สามารถเข้าถึง Nano Banana ได้ผ่านแอป Gemini ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ รวมถึง API สำหรับนักพัฒนา โดยสามารถสร้างภาพจาก prompt เดียว หรืออัปโหลดภาพเพื่อแก้ไข เช่น เปลี่ยนทรงผม, เพิ่มคนเข้าไปในภาพ, รวมภาพสองใบให้กลายเป็นภาพเดียว หรือแม้แต่แปลงภาพเป็นสไตล์ของสติ๊กเกอร์, ภาพย้อนยุค หรือภาพ 3D figurine Google ยังเพิ่มระบบความปลอดภัย เช่น SynthID watermark ที่ฝังในภาพแบบมองไม่เห็น และ Content Credentials (C2PA) เพื่อป้องกันการนำภาพไปใช้ในทางที่ผิด พร้อมเปิดให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้มีบัญชี Google โดยมีข้อจำกัดจำนวนคำสั่งต่อวันสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Nano Banana ➡️ สร้างภาพเหมือนจริงจากข้อความด้วยโมเดล Imagen 4 ➡️ รองรับความละเอียดสูงสุด 2048x2048 พิกเซล ➡️ รักษาโครงสร้างใบหน้า, แสง, มุมกล้อง และองค์ประกอบเดิมของภาพ ➡️ แก้ไขภาพได้แม่นยำ เช่น เปลี่ยนทรงผม, เสื้อผ้า, ฉากหลัง หรือเพิ่มคนเข้าไป ➡️ รองรับการรวมภาพหลายใบให้กลายเป็นภาพเดียว ➡️ มีฟีเจอร์สร้างภาพสไตล์ 3D figurine, สติ๊กเกอร์, ภาพย้อนยุค ฯลฯ ➡️ ใช้งานได้ผ่านแอป Gemini, API, และ Google AI Studio ➡️ มีระบบ SynthID watermark และ Content Credentials เพื่อความปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nano Banana ได้รับความนิยมสูงสุดในอินเดีย โดยมีผู้ใช้กว่า 23 ล้านคนภายใน 2 สัปดาห์แรก ➡️ สามารถใช้งานผ่าน WhatsApp ผ่านบอตของ Perplexity AI ได้แล้ว ➡️ Prompt ที่ละเอียด เช่น “Create a photorealistic image of…” ให้ผลลัพธ์แม่นยำมากขึ้น ➡️ สามารถใช้เพื่อสร้างภาพโฮโลกราฟิก, ภาพโฆษณา, หรือภาพโปรดักต์แบบหลายมุม ➡️ เหมาะสำหรับทั้งผู้ใช้ทั่วไปและนักออกแบบมืออาชีพ https://www.slashgear.com/1974425/how-to-use-google-gemini-ai-to-create-realistic-photos-guide/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Use Google Gemini AI To Create Realistic Photos: A Step-By-Step Guide - SlashGear
    You can use Google's Gemini AI to do lots of things, but many have found it's good at generating realistic photos or touching up existing ones. Here's how.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นักวิทยาศาสตร์สร้างชิป 6G ตัวแรก — เร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า พร้อมครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ไมโครเวฟถึงเทราเฮิร์ตซ์”

    ในเดือนสิงหาคม 2025 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและ City University of Hong Kong ได้เผยแพร่ผลงานในวารสาร Nature ว่าพวกเขาได้สร้างชิป 6G ตัวแรกของโลก ซึ่งมีขนาดเพียง 11 x 1.7 มิลลิเมตร แต่สามารถทำงานได้ครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 GHz ไปจนถึง 115 GHz — ครอบคลุมทั้งไมโครเวฟ, มิลลิเมตรเวฟ และเทราเฮิร์ตซ์ ซึ่งถือว่า “กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

    ชิปนี้ใช้วัสดุใหม่ชื่อ thin-film lithium niobate (TFLN) ซึ่งช่วยให้สามารถรวมระบบไฟฟ้าและแสงเข้าไว้ด้วยกันในพื้นที่เล็กมาก โดยใช้เทคนิค broadband electro-optic modulator เพื่อแปลงสัญญาณไร้สายเป็นสัญญาณแสง และส่งผ่าน optoelectronic oscillator เพื่อสร้างคลื่นวิทยุที่เสถียรและสะอาด

    ความเร็วของชิปนี้สามารถแตะระดับ 100 Gbps ซึ่งมากกว่า 5G ที่ทำได้เฉลี่ยเพียง 150–300 Mbps และสูงสุดที่ 10 Gbps ในทางทฤษฎี นั่นหมายความว่า 6G อาจเร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า และยังมี latency ต่ำมากจนสามารถใช้กับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การผ่าตัดทางไกล, ยานยนต์อัตโนมัติ หรือการสื่อสารแบบโฮโลกราฟิก

    แม้จะยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ชิปนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่าย 6G ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2030 โดยต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่, กำหนดมาตรฐานระดับโลก และพัฒนาอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีใหม่นี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    นักวิจัยสร้างชิป 6G ตัวแรก ขนาดเพียง 11 x 1.7 มม.
    ใช้วัสดุ thin-film lithium niobate (TFLN) เพื่อรวมระบบไฟฟ้าและแสง
    ครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 GHz ถึง 115 GHz
    ใช้ broadband electro-optic modulator และ optoelectronic oscillator
    ความเร็วสูงสุด 100 Gbps — เร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า
    latency ต่ำมาก เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง คาดว่าเครือข่าย 6G จะเริ่มใช้งานจริงในปี 2030

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G ใช้คลื่น sub-6GHz และ mmWave แต่ยังไม่ครอบคลุมเทราเฮิร์ตซ์
    ชิป 6G นี้สามารถแทนระบบวิทยุ 9 ตัวที่ต้องใช้ในปัจจุบัน
    6G จะรวม AI เข้าไปในระบบเครือข่ายเพื่อปรับตัวอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบโฮโลกราฟิกและ IoT อุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์จาก 6G
    การปรับคลื่นความถี่ของชิปใช้เวลาเพียง 180 ไมโครวินาที

    https://www.slashgear.com/1976834/scientists-have-created-6g-chip-how-does-it-compare-to-5g/
    📡 “นักวิทยาศาสตร์สร้างชิป 6G ตัวแรก — เร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า พร้อมครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ไมโครเวฟถึงเทราเฮิร์ตซ์” ในเดือนสิงหาคม 2025 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและ City University of Hong Kong ได้เผยแพร่ผลงานในวารสาร Nature ว่าพวกเขาได้สร้างชิป 6G ตัวแรกของโลก ซึ่งมีขนาดเพียง 11 x 1.7 มิลลิเมตร แต่สามารถทำงานได้ครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 GHz ไปจนถึง 115 GHz — ครอบคลุมทั้งไมโครเวฟ, มิลลิเมตรเวฟ และเทราเฮิร์ตซ์ ซึ่งถือว่า “กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ชิปนี้ใช้วัสดุใหม่ชื่อ thin-film lithium niobate (TFLN) ซึ่งช่วยให้สามารถรวมระบบไฟฟ้าและแสงเข้าไว้ด้วยกันในพื้นที่เล็กมาก โดยใช้เทคนิค broadband electro-optic modulator เพื่อแปลงสัญญาณไร้สายเป็นสัญญาณแสง และส่งผ่าน optoelectronic oscillator เพื่อสร้างคลื่นวิทยุที่เสถียรและสะอาด ความเร็วของชิปนี้สามารถแตะระดับ 100 Gbps ซึ่งมากกว่า 5G ที่ทำได้เฉลี่ยเพียง 150–300 Mbps และสูงสุดที่ 10 Gbps ในทางทฤษฎี นั่นหมายความว่า 6G อาจเร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า และยังมี latency ต่ำมากจนสามารถใช้กับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การผ่าตัดทางไกล, ยานยนต์อัตโนมัติ หรือการสื่อสารแบบโฮโลกราฟิก แม้จะยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่ชิปนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่าย 6G ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2030 โดยต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่, กำหนดมาตรฐานระดับโลก และพัฒนาอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีใหม่นี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ นักวิจัยสร้างชิป 6G ตัวแรก ขนาดเพียง 11 x 1.7 มม. ➡️ ใช้วัสดุ thin-film lithium niobate (TFLN) เพื่อรวมระบบไฟฟ้าและแสง ➡️ ครอบคลุมคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 GHz ถึง 115 GHz ➡️ ใช้ broadband electro-optic modulator และ optoelectronic oscillator ความเร็วสูงสุด 100 Gbps — เร็วกว่า 5G ถึง 500 เท่า ➡️ latency ต่ำมาก เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ➡️ คาดว่าเครือข่าย 6G จะเริ่มใช้งานจริงในปี 2030 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G ใช้คลื่น sub-6GHz และ mmWave แต่ยังไม่ครอบคลุมเทราเฮิร์ตซ์ ➡️ ชิป 6G นี้สามารถแทนระบบวิทยุ 9 ตัวที่ต้องใช้ในปัจจุบัน ➡️ 6G จะรวม AI เข้าไปในระบบเครือข่ายเพื่อปรับตัวอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบโฮโลกราฟิกและ IoT อุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์จาก 6G ➡️ การปรับคลื่นความถี่ของชิปใช้เวลาเพียง 180 ไมโครวินาที https://www.slashgear.com/1976834/scientists-have-created-6g-chip-how-does-it-compare-to-5g/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Scientists Have Created A 6G Chip (And It Can Be Way Faster Than 5G) - SlashGear
    Scientists have developed the first 6G wireless chip, and it promises to be a large leap over 5G technology. It might be a while before it's available, though.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อม 10 เครื่องมือแฮกใหม่ และรองรับ Nexmon บน Raspberry Pi — ยกระดับการเจาะระบบแบบพกพา”

    Offensive Security ได้ประกาศเปิดตัว Kali Linux 2025.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเดตที่สามของปีนี้ โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับสายเจาะระบบและนักวิจัยด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการรองรับ Nexmon บน Raspberry Pi ที่ช่วยให้สามารถใช้งาน monitor mode และ packet injection ได้โดยไม่ต้องพึ่ง USB Wi-Fi dongle อีกต่อไป

    Nexmon คือเฟิร์มแวร์ที่ถูก patch สำหรับชิป Broadcom ซึ่งช่วยปลดล็อกความสามารถของ Wi-Fi บน Raspberry Pi ให้สามารถทำงานในโหมดตรวจสอบและส่งแพ็กเก็ตได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Raspberry Pi กลายเป็นอุปกรณ์เจาะระบบแบบพกพาที่ทรงพลัง โดย Kali Linux ได้รวมแพ็กเกจ brcmfmac-nexmon-dkms และ firmware-nexmon เข้ามาในระบบแล้ว

    นอกจากนี้ Kali Linux 2025.3 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่อีก 10 รายการ เช่น Caido และ Caido-cli สำหรับตรวจสอบความปลอดภัยเว็บ, Gemini CLI ที่นำ AI Gemini มาใช้งานในเทอร์มินัล, ligolo-mp สำหรับ pivoting แบบ multiplayer, vwifi-dkms สำหรับสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลอง, krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos, llm-tools-nmap ที่ให้ LLM ใช้ nmap ได้, และ patchleaks สำหรับตรวจสอบช่องโหว่จากแพตช์

    ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น ปลั๊กอินใหม่บน Xfce ที่แสดง IP ของ VPN, การปรับปรุง CARsenal และระบบ wireless injection บน Kali NetHunter รวมถึงการยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม ARMel

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Kali Linux 2025.3
    รองรับ Nexmon บน Raspberry Pi สำหรับ monitor mode และ packet injection
    รวมแพ็กเกจ brcmfmac-nexmon-dkms และ firmware-nexmon สำหรับ Broadcom Wi-Fi
    Raspberry Pi 5 ได้รับการรองรับอย่างเป็นทางการ
    ไม่จำกัดเฉพาะ Raspberry Pi — อุปกรณ์อื่นที่ใช้ Broadcom ก็สามารถใช้ Nexmon ได้

    เครื่องมือใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
    Caido และ Caido-cli สำหรับ web auditing
    Gemini CLI นำ AI Gemini มาใช้ในเทอร์มินัล
    ligolo-mp สำหรับ pivoting แบบหลายผู้ใช้
    vwifi-dkms สำหรับสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลอง
    krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos delegation
    llm-tools-nmap ให้ LLM ใช้ nmap ได้
    mcp-kali-server สำหรับเชื่อม AI agent กับ Kali
    patchleaks สำหรับตรวจสอบและวิเคราะห์แพตช์ด้านความปลอดภัย

    การปรับปรุงอื่น ๆ
    ปลั๊กอิน Xfce ใหม่แสดง IP ของ VPN ได้ทันที
    ปรับปรุง CARsenal และ wireless injection บน Kali NetHunter
    ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม ARMel
    รองรับการติดตั้งบน 64-bit, ARM, VM, Cloud, WSL และมือถือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nexmon พัฒนาโดย SEEMOO Lab ใช้เทคนิค patch firmware เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์ Wi-Fi
    ก่อนหน้านี้ Raspberry Pi ต้องใช้ USB Wi-Fi dongle เพื่อทำ monitor mode
    การใช้ Nexmon ทำให้สามารถตั้งห้องแล็บเจาะระบบแบบพกพาได้ง่ายขึ้น
    เครื่องมืออย่าง patchleaks ช่วยให้วิเคราะห์แพตช์เพื่อหาช่องโหว่ได้เร็วขึ้น
    การนำ AI มาใช้ใน CLI เช่น Gemini CLI และ llm-tools-nmap เป็นแนวทางใหม่ที่น่าจับตามอง

    https://9to5linux.com/kali-linux-2025-3-penetration-testing-distro-introduces-10-new-hacking-tools
    🛡️ “Kali Linux 2025.3 เปิดตัวพร้อม 10 เครื่องมือแฮกใหม่ และรองรับ Nexmon บน Raspberry Pi — ยกระดับการเจาะระบบแบบพกพา” Offensive Security ได้ประกาศเปิดตัว Kali Linux 2025.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเดตที่สามของปีนี้ โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับสายเจาะระบบและนักวิจัยด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะการรองรับ Nexmon บน Raspberry Pi ที่ช่วยให้สามารถใช้งาน monitor mode และ packet injection ได้โดยไม่ต้องพึ่ง USB Wi-Fi dongle อีกต่อไป Nexmon คือเฟิร์มแวร์ที่ถูก patch สำหรับชิป Broadcom ซึ่งช่วยปลดล็อกความสามารถของ Wi-Fi บน Raspberry Pi ให้สามารถทำงานในโหมดตรวจสอบและส่งแพ็กเก็ตได้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ Raspberry Pi กลายเป็นอุปกรณ์เจาะระบบแบบพกพาที่ทรงพลัง โดย Kali Linux ได้รวมแพ็กเกจ brcmfmac-nexmon-dkms และ firmware-nexmon เข้ามาในระบบแล้ว นอกจากนี้ Kali Linux 2025.3 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่อีก 10 รายการ เช่น Caido และ Caido-cli สำหรับตรวจสอบความปลอดภัยเว็บ, Gemini CLI ที่นำ AI Gemini มาใช้งานในเทอร์มินัล, ligolo-mp สำหรับ pivoting แบบ multiplayer, vwifi-dkms สำหรับสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลอง, krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos, llm-tools-nmap ที่ให้ LLM ใช้ nmap ได้, และ patchleaks สำหรับตรวจสอบช่องโหว่จากแพตช์ ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น ปลั๊กอินใหม่บน Xfce ที่แสดง IP ของ VPN, การปรับปรุง CARsenal และระบบ wireless injection บน Kali NetHunter รวมถึงการยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม ARMel ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Kali Linux 2025.3 ➡️ รองรับ Nexmon บน Raspberry Pi สำหรับ monitor mode และ packet injection ➡️ รวมแพ็กเกจ brcmfmac-nexmon-dkms และ firmware-nexmon สำหรับ Broadcom Wi-Fi ➡️ Raspberry Pi 5 ได้รับการรองรับอย่างเป็นทางการ ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะ Raspberry Pi — อุปกรณ์อื่นที่ใช้ Broadcom ก็สามารถใช้ Nexmon ได้ ✅ เครื่องมือใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ➡️ Caido และ Caido-cli สำหรับ web auditing ➡️ Gemini CLI นำ AI Gemini มาใช้ในเทอร์มินัล ➡️ ligolo-mp สำหรับ pivoting แบบหลายผู้ใช้ ➡️ vwifi-dkms สำหรับสร้างเครือข่าย Wi-Fi จำลอง ➡️ krbrelayx สำหรับโจมตี Kerberos delegation ➡️ llm-tools-nmap ให้ LLM ใช้ nmap ได้ ➡️ mcp-kali-server สำหรับเชื่อม AI agent กับ Kali ➡️ patchleaks สำหรับตรวจสอบและวิเคราะห์แพตช์ด้านความปลอดภัย ✅ การปรับปรุงอื่น ๆ ➡️ ปลั๊กอิน Xfce ใหม่แสดง IP ของ VPN ได้ทันที ➡️ ปรับปรุง CARsenal และ wireless injection บน Kali NetHunter ➡️ ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม ARMel ➡️ รองรับการติดตั้งบน 64-bit, ARM, VM, Cloud, WSL และมือถือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nexmon พัฒนาโดย SEEMOO Lab ใช้เทคนิค patch firmware เพื่อปลดล็อกฟีเจอร์ Wi-Fi ➡️ ก่อนหน้านี้ Raspberry Pi ต้องใช้ USB Wi-Fi dongle เพื่อทำ monitor mode ➡️ การใช้ Nexmon ทำให้สามารถตั้งห้องแล็บเจาะระบบแบบพกพาได้ง่ายขึ้น ➡️ เครื่องมืออย่าง patchleaks ช่วยให้วิเคราะห์แพตช์เพื่อหาช่องโหว่ได้เร็วขึ้น ➡️ การนำ AI มาใช้ใน CLI เช่น Gemini CLI และ llm-tools-nmap เป็นแนวทางใหม่ที่น่าจับตามอง https://9to5linux.com/kali-linux-2025-3-penetration-testing-distro-introduces-10-new-hacking-tools
    9TO5LINUX.COM
    Kali Linux 2025.3 Penetration Testing Distro Introduces 10 New Hacking Tools - 9to5Linux
    Kali Linux 2025.3 ethical hacking and penetration testing distribution is now available for download with 10 new tools and other updates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร”

    หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ

    PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง

    PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA)
    ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale
    ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres
    Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์
    มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต
    รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน
    ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres
    มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน
    PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability
    ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
    Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า
    การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่

    https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    🛠️ “PlanetScale เปิดตัวบริการ Postgres อย่างเป็นทางการ — พร้อมระบบ sharding ใหม่ ‘Neki’ ที่เขย่าตลาดฐานข้อมูลระดับองค์กร” หลังจากอยู่ในช่วง private preview มานาน ในที่สุด PlanetScale ก็เปิดตัวบริการ PlanetScale for Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2025 โดยเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์ม PlanetScale ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์นักพัฒนาที่เหนือระดับ PlanetScale ซึ่งเดิมเน้นการให้บริการฐานข้อมูล MySQL ผ่านระบบ sharding ที่ชื่อว่า Vitess ได้ขยายความสามารถมาสู่โลกของ Postgres โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า “Neki” ซึ่งไม่ใช่การ fork Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ เพื่อให้รองรับการทำงานแบบกระจายข้อมูล (sharding) บน Postgres ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Neki ถูกพัฒนาร่วมกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และมีแผนจะเปิดเป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ workload ที่มีความซับซ้อนสูง เช่น real-time analytics, multi-tenant SaaS, หรือระบบฐานข้อมูลที่ต้องการความพร้อมใช้งานระดับสูง PlanetScale for Postgres ยังมาพร้อมระบบ Metal ที่ให้ IOPS ไม่จำกัด และระบบ migration guide สำหรับผู้ที่ต้องการย้ายจากผู้ให้บริการ Postgres รายอื่น โดยมีทีมขายพร้อมช่วยเหลือการย้ายระบบขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PlanetScale เปิดตัวบริการฐานข้อมูล Postgres อย่างเป็นทางการ (GA) ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูล Postgres ได้ทันทีผ่านระบบ PlanetScale ➡️ ใช้เทคโนโลยีใหม่ชื่อ “Neki” สำหรับการทำ sharding บน Postgres ➡️ Neki ไม่ใช่ fork ของ Vitess แต่เป็นการออกแบบใหม่จากศูนย์ ➡️ มีแผนเปิด Neki เป็นโอเพ่นซอร์สในอนาคต ➡️ รองรับการใช้งานกับ workload ขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ ระบบ Metal ให้ IOPS ไม่จำกัดสำหรับฐานข้อมูล Postgres ➡️ มี migration guide และทีมขายช่วยเหลือการย้ายระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vitess เป็นระบบ sharding ที่พัฒนาโดย YouTube และใช้กับ MySQL มานาน ➡️ PlanetScale เป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่เน้น developer experience และ scalability ➡️ ตลาดฐานข้อมูล Postgres เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ➡️ Supabase และ Neon เป็นคู่แข่งที่เน้น Postgres เช่นกัน แต่ยังไม่มีระบบ sharding ที่เทียบเท่า ➡️ การเปิดตัว Neki อาจเปลี่ยนแนวทางการออกแบบระบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดใหญ่ https://planetscale.com/blog/planetscale-for-postgres-is-generally-available
    PLANETSCALE.COM
    PlanetScale for Postgres is now GA — PlanetScale
    PlanetScale for Postgres is now generally available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    สัทธรรมลำดับที่ : 756
    ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน
    หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่.
    --ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร
    จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?”
    --จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน
    หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่
    มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด
    นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด
    เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด,
    +--เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง
    ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า
    “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา”
    http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=เนตํ+มุํ+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ
    ดังนี้,
    การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น
    การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น
    ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.-

    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/52/100-101.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/52/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๒/๑๐๐-๑๐๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=756
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58
    ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก สัทธรรมลำดับที่ : 756 ชื่อบทธรรม :- การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756 เนื้อความทั้งหมด :- --การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่. --ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?” --จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่ มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด, +--เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา” http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=เนตํ+มุํ+เนโสหมสฺมิ+เมโส+อตฺตาติ ดังนี้, การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.- #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/52/100-101. http://etipitaka.com/read/thai/12/52/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๒/๑๐๐-๑๐๑. http://etipitaka.com/read/pali/12/72/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=756 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58&id=756 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=58 ลำดับสาธยายธรรม : 58 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_58.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก
    -(การพิจารณาเห็นอายตนิกธรรม โดยลักษณะทั้งสาม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังกล่าวมาใน ๓ หัวข้อข้างบนนี้ ก็จัดเป็นสัมมาทิฏฐิแบบหนึ่ง จึงนำมาใส่ไว้ในหมวดนี้). การเห็นชนิดที่ละมิจฉาทิฏฐิที่ปรารภอัตตาและโลก “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่า ตน หรือประกอบด้วยวาทะว่า โลก เกิดขึ้นในโลกมีอยู่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ภิกษุ จะตั้งต้นกระทำในใจอย่างไร จึงจะละทิฏฐิเหล่านั้นได้ จึงจะสลัดคืนทิฏฐิเหล่านั้นได้ พระเจ้าข้า ?” จุนทะ ! บรรดาทิฏฐิที่ประกอบด้วยวาทะว่าตน หรือประกอบด้วยวาทะว่าโลก เกิดขึ้นในโลก มีอยู่ มันเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนตามอยู่ในอารมณ์ใด เรียกร้องอยู่ในอารมณ์ใด, เมื่อภิกษุเห็นอยู่ด้วยปัญญาโดยชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งอารมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า “นั่นมิใช่ของเรา นั่นมิใช่เรา นั่นมิใช่อัตตาของเรา” ดังนี้, การละซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดคืนซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ก็ย่อมมี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​มี “สิ่งนั้น” (ความดับไม่เหลือแห่งโลกธาตุ)​หาพบในกายนี้
    สัทธรรมลำดับที่ : 387
    ชื่อบทธรรม :- “สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=387
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --“สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้
    --“แน่ะเธอ !
    ที่สุดโลก แห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด
    ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ;
    เราไม่กล่าวว่าใคร ๆ อาจรู้ อาจเห็น อาจถึง #ที่สุดแห่งโลกนั้น
    http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=โลกสฺส+อนฺตํ
    ด้วยการไป.
    --“แน่ะเธอ !
    ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้
    ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง,
    http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=สสญฺญมฺหิ+สมนเก
    เราได้บัญญัติโลก,
    เหตุให้เกิดโลก,
    ความดับสนิท ไม่เหลือของโลก,
    และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลก ไว้”
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขนิโรธ#อริยสัจสี่#สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/48/45-46.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/47/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๒/๔๕-๔๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=387
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=25&id=387
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=25
    ลำดับสาธยายธรรม : 25 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_25.mp3
    อริยสาวกพึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​มี “สิ่งนั้น” (ความดับไม่เหลือแห่งโลกธาตุ)​หาพบในกายนี้ สัทธรรมลำดับที่ : 387 ชื่อบทธรรม :- “สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=387 เนื้อความทั้งหมด :- --“สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้ --“แน่ะเธอ ! ที่สุดโลก แห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ; เราไม่กล่าวว่าใคร ๆ อาจรู้ อาจเห็น อาจถึง #ที่สุดแห่งโลกนั้น http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=โลกสฺส+อนฺตํ ด้วยการไป. --“แน่ะเธอ ! ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง, http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=สสญฺญมฺหิ+สมนเก เราได้บัญญัติโลก, เหตุให้เกิดโลก, ความดับสนิท ไม่เหลือของโลก, และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลก ไว้” ดังนี้แล.- #ทุกขนิโรธ​ #อริยสัจสี่​ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/48/45-46. http://etipitaka.com/read/thai/21/47/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๒/๔๕-๔๖. http://etipitaka.com/read/pali/21/61/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=387 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=25&id=387 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=25 ลำดับสาธยายธรรม : 25 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_25.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - “สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้
    -“สิ่งนั้น” หาพบในกายนี้ “แน่ะเธอ ! ที่สุดโลก แห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ; เราไม่กล่าวว่าใคร ๆ อาจรู้ อาจเห็น อาจถึง ที่สุดแห่งโลกนั้น ด้วยการไป. “แน่ะเธอ ! ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง, เราได้บัญญัติโลก, เหตุให้เกิดโลก, ความดับสนิท ไม่เหลือของโลก, และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลก ไว้” ดังนี้แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน

    เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568
    เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD

    รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด
    ฟรี Wi-fi บนเรือ
    แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน 📅 เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568 📍 เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 💸 ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD ✔️ รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด ✔️ ฟรี Wi-fi บนเรือ ✔️ แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น 🍷🍴 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน

    เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568
    เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD

    รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด
    ฟรี Wi-fi บนเรือ
    แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef

    ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/bb9b58

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือUniworldRiverCruise #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    🛳 เปิดประสบการณ์เรือล่องแม่น้ำแซน Paris & Normandy บนเรือ S.S. Joie de Vivre กับสายเรือ Uniworld พร้อมแพ็คเกจ All inclusive 8 วัน 7 คืน 📅 เดินทางวันที่ 3-10 พ.ย. 2568 📍 เส้นทาง ปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 💸 ปกติเริ่มต้น 4,199 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 2,939 USD ✔️ รวมทัวร์ชายฝั่งตามเมืองที่เรือจอด ✔️ ฟรี Wi-fi บนเรือ ✔️ แพ็คเกจเครื่องดื่ม และอาหารจัดเต็มไม่อั้น 🍷🍴 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2511031 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e50bef ดูเรือ Uniworld River Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/bb9b58 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือUniworldRiverCruise #เรือUniworldRiverCruise #UniworldRiverCruise #SSJoiedeVivre #Paris #France #SeineRiver #Normandy #Versaillespalace #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #Cruisedomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา
    ==================

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    =================================

    นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น

    …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ

    ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)

    ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ

    - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว

    - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9

    ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี

    ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่

    ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
    ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

    ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ

    ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

    ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

    ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน

    ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า

    ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

    ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย"

    ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

    ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

    ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก

    ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

    ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

    ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
    ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา ================== ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ================================= นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่ ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง) ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้ ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Montblanc Digital Paper — สมุดโน้ตดิจิทัลสุดหรูราคาเกือบพันเหรียญ ที่ผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีอย่างมีสไตล์”

    Montblanc แบรนด์เครื่องเขียนหรูจากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องปากกาหมึกซึมระดับตำนาน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในโลกดิจิทัลอย่างเป็นทางการ — “Montblanc Digital Paper” สมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่หลงใหลในความสง่างามของการเขียนด้วยมือ แต่ต้องการความสะดวกของเทคโนโลยีสมัยใหม่

    ตัวเครื่องใช้หน้าจอ E Ink ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว (แม้ยังไม่มีการยืนยันขนาดอย่างเป็นทางการ) พร้อมปากกาดิจิทัลที่มีแรงกดถึง 4,000 ระดับ เพื่อให้สัมผัสการเขียนใกล้เคียงกับปากกาจริงที่สุด ตัวเครื่องมีหน่วยความจำ 64GB และแบตเตอรี่ขนาด 3740 mAh รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 (สำหรับเชื่อมต่อปากกา) พร้อมพอร์ต USB-C สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล

    Montblanc ยังออกแบบซอฟต์แวร์ให้สามารถค้นหาข้อความจากลายมือ, จัดโครงสร้างความคิดด้วยเทมเพลตดิจิทัล และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion บน iOS และ Android ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ของบุคคลที่สาม

    ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ พร้อมสีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Cool Grey, Mystery Black และ Elixir Gold ส่วนเคส Folio ที่ขายแยกมีให้เลือก 4 สี ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 โดยมีหัวปากกาให้เลือกหลายแบบ เช่น linen, matte และ smooth เพื่อจำลองสัมผัสการเขียนที่แตกต่างกัน

    แม้ราคาจะสูงถึง $905 แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ Montblanc และต้องการประสบการณ์การเขียนที่เหนือระดับ นี่อาจเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลที่ตอบโจทย์ที่สุดในตลาดตอนนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Montblanc เปิดตัว Digital Paper สมุดโน้ตดิจิทัลระดับพรีเมียม
    ราคาอยู่ที่ $905 / £750 / AU$1,490 พร้อมปากกาและหัวสำรอง
    หน่วยความจำ 64GB, แบตเตอรี่ 3740 mAh, รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4
    ใช้หน้าจอ E Ink ขาวดำ ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว
    ปากกามีแรงกด 4,000 ระดับ พร้อมปุ่มควบคุมฟีเจอร์
    รองรับการค้นหาข้อความจากลายมือ และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion
    ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ มีให้เลือก 3 สี
    เคส Folio ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 พร้อมหัวปากกาแบบต่าง ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ซอฟต์แวร์ทำงานบน Android แต่ไม่รองรับการติดตั้งแอปหรือ Google Play
    การออกแบบเน้นประสบการณ์การเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาจริง
    Montblanc เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในวงการเครื่องเขียน
    คู่แข่งในตลาด เช่น Kindle Scribe และ Kobo Elipsa มีราคาถูกกว่าครึ่ง แต่สเปกใกล้เคียงกัน
    ตลาด e-notebook กำลังเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการลดการใช้กระดาษแต่ยังรักการเขียนด้วยมือ

    https://www.techradar.com/tablets/ereaders/montblanc-just-released-an-e-notebook-and-yes-its-staggeringly-expensive
    🖋️ “Montblanc Digital Paper — สมุดโน้ตดิจิทัลสุดหรูราคาเกือบพันเหรียญ ที่ผสานความคลาสสิกกับเทคโนโลยีอย่างมีสไตล์” Montblanc แบรนด์เครื่องเขียนหรูจากเยอรมนีที่ขึ้นชื่อเรื่องปากกาหมึกซึมระดับตำนาน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในโลกดิจิทัลอย่างเป็นทางการ — “Montblanc Digital Paper” สมุดโน้ตอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่หลงใหลในความสง่างามของการเขียนด้วยมือ แต่ต้องการความสะดวกของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตัวเครื่องใช้หน้าจอ E Ink ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว (แม้ยังไม่มีการยืนยันขนาดอย่างเป็นทางการ) พร้อมปากกาดิจิทัลที่มีแรงกดถึง 4,000 ระดับ เพื่อให้สัมผัสการเขียนใกล้เคียงกับปากกาจริงที่สุด ตัวเครื่องมีหน่วยความจำ 64GB และแบตเตอรี่ขนาด 3740 mAh รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 (สำหรับเชื่อมต่อปากกา) พร้อมพอร์ต USB-C สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล Montblanc ยังออกแบบซอฟต์แวร์ให้สามารถค้นหาข้อความจากลายมือ, จัดโครงสร้างความคิดด้วยเทมเพลตดิจิทัล และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion บน iOS และ Android ได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ของบุคคลที่สาม ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ พร้อมสีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Cool Grey, Mystery Black และ Elixir Gold ส่วนเคส Folio ที่ขายแยกมีให้เลือก 4 สี ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 โดยมีหัวปากกาให้เลือกหลายแบบ เช่น linen, matte และ smooth เพื่อจำลองสัมผัสการเขียนที่แตกต่างกัน แม้ราคาจะสูงถึง $905 แต่สำหรับผู้ที่หลงใหลในแบรนด์ Montblanc และต้องการประสบการณ์การเขียนที่เหนือระดับ นี่อาจเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลที่ตอบโจทย์ที่สุดในตลาดตอนนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Montblanc เปิดตัว Digital Paper สมุดโน้ตดิจิทัลระดับพรีเมียม ➡️ ราคาอยู่ที่ $905 / £750 / AU$1,490 พร้อมปากกาและหัวสำรอง ➡️ หน่วยความจำ 64GB, แบตเตอรี่ 3740 mAh, รองรับ Wi-Fi และ Bluetooth 5.4 ➡️ ใช้หน้าจอ E Ink ขาวดำ ขนาดประมาณ 10.3 นิ้ว ➡️ ปากกามีแรงกด 4,000 ระดับ พร้อมปุ่มควบคุมฟีเจอร์ ➡️ รองรับการค้นหาข้อความจากลายมือ และแชร์ไฟล์ผ่านแอป companion ➡️ ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมและหนังแท้ มีให้เลือก 3 สี ➡️ เคส Folio ราคา $205 และปากกาสำรองราคา $275 พร้อมหัวปากกาแบบต่าง ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ซอฟต์แวร์ทำงานบน Android แต่ไม่รองรับการติดตั้งแอปหรือ Google Play ➡️ การออกแบบเน้นประสบการณ์การเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาจริง ➡️ Montblanc เป็นแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในวงการเครื่องเขียน ➡️ คู่แข่งในตลาด เช่น Kindle Scribe และ Kobo Elipsa มีราคาถูกกว่าครึ่ง แต่สเปกใกล้เคียงกัน ➡️ ตลาด e-notebook กำลังเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการลดการใช้กระดาษแต่ยังรักการเขียนด้วยมือ https://www.techradar.com/tablets/ereaders/montblanc-just-released-an-e-notebook-and-yes-its-staggeringly-expensive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Zen Browser 1.16b อัปเดตใหม่ เพิ่ม Command Bar และฟีเจอร์ Productivity — เบราว์เซอร์สายมินิมอลที่ไม่หยุดพัฒนา”

    Zen Browser ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก Firefox และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายและเน้นการทำงาน ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 1.16b โดยมีการเปลี่ยนฐานจาก Firefox 142 เป็น Firefox 143 พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านคีย์บอร์ดและการจัดการแท็บอย่างมีประสิทธิภาพ

    ฟีเจอร์เด่นของเวอร์ชันนี้คือ “Command Bar” ซึ่งคล้ายกับ Command Palette ที่ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งลงในช่อง URL เพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น เปิดแท็บใหม่, สลับโหมด Compact, เปิดส่วนขยาย, แบ่งหน้าจอแบบ Split View หรือปักหมุดแท็บ โดยไม่ต้องใช้เมาส์เลย

    Split View ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับแบ่งหน้าจอ พร้อมปรับปรุง UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มความลื่นไหลในการลากวางแท็บเพื่อสร้างมุมมองแบบหลายหน้าต่าง

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการแสดงผล เช่น การเปลี่ยนโหมด Compact แบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่, การปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นขึ้น และการออกแบบช่อง URL ใหม่ให้แสดงผลได้ชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น

    Zen Browser ยังคงรักษาคำมั่นในการเป็นเบราว์เซอร์ที่เน้น productivity และ UI ที่ปรับแต่งได้ โดยเปิดรับการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Zen Browser 1.16b
    เพิ่ม Command Bar สำหรับพิมพ์คำสั่งตรงในช่อง URL เช่น toggle compact mode, เปิดแท็บ, เปิด extension
    รองรับการเปิดส่วนขยายด้วยการพิมพ์ชื่อในช่อง URL โดยตรง
    เพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับสร้าง Split View
    ปรับปรุง UI ของ Split View ให้ใช้งานง่ายขึ้นและลากวางแท็บได้ลื่นขึ้น
    ปรับปรุงการเปลี่ยนโหมด Compact ให้เปลี่ยนแบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่
    ปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นและเร็วขึ้น
    ออกแบบช่อง URL ใหม่ให้ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ชัดเจน
    ปรับปรุงคีย์ลัดบน macOS ให้ใช้สัญลักษณ์ระบบแบบ native
    ปรับปรุงการลากเพื่อแบ่งหน้าจอให้ลื่นขึ้นและแม่นยำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Split View รองรับการแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 4 แท็บพร้อมกัน
    ผู้ใช้สามารถปรับ layout ของ Split View เป็นแนวนอน แนวตั้ง หรือแบบ grid ได้
    Zen Browser ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Linux และผู้ที่เลิกใช้เบราว์เซอร์แบบ Chromium
    Command Bar ช่วยให้ผู้ใช้ที่เน้นคีย์บอร์ดสามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมาส์
    Zen Browser เปิดให้ผู้ใช้เสนอฟีเจอร์ใหม่ผ่าน GitHub และ Reddit

    https://www.techpowerup.com/341237/zen-browser-1-16b-adds-command-bar-and-updates-to-firefox-143
    🧭 “Zen Browser 1.16b อัปเดตใหม่ เพิ่ม Command Bar และฟีเจอร์ Productivity — เบราว์เซอร์สายมินิมอลที่ไม่หยุดพัฒนา” Zen Browser ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่พัฒนาต่อยอดจาก Firefox และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่ายและเน้นการทำงาน ได้ปล่อยอัปเดตเวอร์ชัน 1.16b โดยมีการเปลี่ยนฐานจาก Firefox 142 เป็น Firefox 143 พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านคีย์บอร์ดและการจัดการแท็บอย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์เด่นของเวอร์ชันนี้คือ “Command Bar” ซึ่งคล้ายกับ Command Palette ที่ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งลงในช่อง URL เพื่อเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น เปิดแท็บใหม่, สลับโหมด Compact, เปิดส่วนขยาย, แบ่งหน้าจอแบบ Split View หรือปักหมุดแท็บ โดยไม่ต้องใช้เมาส์เลย Split View ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับแบ่งหน้าจอ พร้อมปรับปรุง UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มความลื่นไหลในการลากวางแท็บเพื่อสร้างมุมมองแบบหลายหน้าต่าง นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและการแสดงผล เช่น การเปลี่ยนโหมด Compact แบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่, การปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นขึ้น และการออกแบบช่อง URL ใหม่ให้แสดงผลได้ชัดเจนและใช้งานง่ายขึ้น Zen Browser ยังคงรักษาคำมั่นในการเป็นเบราว์เซอร์ที่เน้น productivity และ UI ที่ปรับแต่งได้ โดยเปิดรับการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Zen Browser 1.16b ➡️ เพิ่ม Command Bar สำหรับพิมพ์คำสั่งตรงในช่อง URL เช่น toggle compact mode, เปิดแท็บ, เปิด extension ➡️ รองรับการเปิดส่วนขยายด้วยการพิมพ์ชื่อในช่อง URL โดยตรง ➡️ เพิ่มคีย์ลัดใหม่ (cmd+alt+=) สำหรับสร้าง Split View ➡️ ปรับปรุง UI ของ Split View ให้ใช้งานง่ายขึ้นและลากวางแท็บได้ลื่นขึ้น ➡️ ปรับปรุงการเปลี่ยนโหมด Compact ให้เปลี่ยนแบบนุ่มนวลเมื่อสลับพื้นที่ ➡️ ปรับปรุงการเลื่อนในหน้าต่าง Glance ให้ลื่นและเร็วขึ้น ➡️ ออกแบบช่อง URL ใหม่ให้ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ชัดเจน ➡️ ปรับปรุงคีย์ลัดบน macOS ให้ใช้สัญลักษณ์ระบบแบบ native ➡️ ปรับปรุงการลากเพื่อแบ่งหน้าจอให้ลื่นขึ้นและแม่นยำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Split View รองรับการแบ่งหน้าจอได้สูงสุด 4 แท็บพร้อมกัน ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับ layout ของ Split View เป็นแนวนอน แนวตั้ง หรือแบบ grid ได้ ➡️ Zen Browser ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Linux และผู้ที่เลิกใช้เบราว์เซอร์แบบ Chromium ➡️ Command Bar ช่วยให้ผู้ใช้ที่เน้นคีย์บอร์ดสามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมาส์ ➡️ Zen Browser เปิดให้ผู้ใช้เสนอฟีเจอร์ใหม่ผ่าน GitHub และ Reddit https://www.techpowerup.com/341237/zen-browser-1-16b-adds-command-bar-and-updates-to-firefox-143
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Zen Browser 1.16b Adds Command Bar and Updates to Firefox 143
    Zen browser, the Firefox-based desktop web browser often recommended to those fleeing the abandoned Arc browser, has received its latest update, which adds an interesting text-based control feature and a number of smaller updates and security fixes. The latest version of Zen Browser (version 1.16b) ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ubiquiti เปิดตัว UniFi UNAS 2 และ UNAS 4 — NAS Desktop รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน PoE พร้อม RAID และ NVMe สำหรับสายเน็ตเวิร์กมืออาชีพ”

    Ubiquiti ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ในซีรีส์ UniFi UNAS ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ พร้อมการจัดการผ่านระบบ UniFi ที่หลายคนคุ้นเคย

    UNAS 4 เป็นรุ่นใหญ่ มาพร้อมช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 4 ช่อง รองรับทั้งขนาด 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้ว และยังมีช่อง M.2 NVMe SSD อีก 2 ช่องสำหรับใช้เป็น cache หรือจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง ใช้ชิป Arm Cortex-A55 แบบ quad-core ความเร็ว 1.7 GHz พร้อม RAM 4 GB และรองรับการตั้งค่า RAID รวมถึง hot-spare และ hot-swap ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง

    UNAS 2 เป็นรุ่นเล็กกว่า มีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap แต่ใช้สเปกเดียวกันกับรุ่นใหญ่ในด้าน CPU, RAM และระบบเครือข่าย โดยทั้งสองรุ่นรองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE (Power over Ethernet) — UNAS 2 ใช้ PoE++ ที่จ่ายไฟได้ 60W ส่วน UNAS 4 ใช้ PoE+++ ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 90W

    ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอสีขนาด 1.47 นิ้วสำหรับแสดงสถานะการทำงาน รองรับ Bluetooth 4.1 และใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนตในการผลิต ตัวเครื่องสามารถจัดการผ่านระบบ UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เพิ่มเติม และเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ได้ทันที

    ราคาของ UNAS 2 เริ่มต้นที่ $199 ส่วน UNAS 4 อยู่ที่ $379 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubiquiti เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4
    UNAS 4 รองรับฮาร์ดดิสก์ 2.5/3.5 นิ้ว 4 ช่อง และ M.2 NVMe SSD 2 ช่อง
    UNAS 2 รองรับฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap
    ทั้งสองรุ่นใช้ชิป Arm Cortex-A55 quad-core 1.7 GHz และ RAM 4 GB
    รองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE — UNAS 2 ใช้ PoE++ และ UNAS 4 ใช้ PoE+++
    มีหน้าจอสี 1.47 นิ้ว, Bluetooth 4.1 และวัสดุโพลีคาร์บอเนต
    จัดการผ่าน UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
    ราคาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับ UNAS 2 และ $379 สำหรับ UNAS 4
    เริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UniFi Drive เป็นระบบจัดการ NAS ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ Ubiquiti ได้โดยตรง
    PoE+++ สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 90W เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง
    NAS แบบ desktop เหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก
    NVMe SSD ช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและลดเวลาในการ backup

    คำเตือนและข้อจำกัด
    UNAS 2 ไม่รองรับ hot-swap และไม่มีช่อง NVMe SSD
    การใช้งาน PoE+++ ต้องใช้สวิตช์ที่รองรับการจ่ายไฟระดับสูง
    ไม่มีการรองรับ disk encryption ในรุ่น UNAS 2
    ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบไฟล์หรือเวอร์ชันของ Linux kernel ที่ใช้งาน
    ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Plex Server หรือ 10GbE ยังไม่รองรับในรุ่นนี้

    https://www.techpowerup.com/341223/ubiquiti-launches-unifi-unas-dual-and-quad-bay-desktop-nas-series
    🗄️ “Ubiquiti เปิดตัว UniFi UNAS 2 และ UNAS 4 — NAS Desktop รุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน PoE พร้อม RAID และ NVMe สำหรับสายเน็ตเวิร์กมืออาชีพ” Ubiquiti ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบเครือข่าย เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ในซีรีส์ UniFi UNAS ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ พร้อมการจัดการผ่านระบบ UniFi ที่หลายคนคุ้นเคย UNAS 4 เป็นรุ่นใหญ่ มาพร้อมช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 4 ช่อง รองรับทั้งขนาด 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้ว และยังมีช่อง M.2 NVMe SSD อีก 2 ช่องสำหรับใช้เป็น cache หรือจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง ใช้ชิป Arm Cortex-A55 แบบ quad-core ความเร็ว 1.7 GHz พร้อม RAM 4 GB และรองรับการตั้งค่า RAID รวมถึง hot-spare และ hot-swap ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่อง UNAS 2 เป็นรุ่นเล็กกว่า มีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap แต่ใช้สเปกเดียวกันกับรุ่นใหญ่ในด้าน CPU, RAM และระบบเครือข่าย โดยทั้งสองรุ่นรองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE (Power over Ethernet) — UNAS 2 ใช้ PoE++ ที่จ่ายไฟได้ 60W ส่วน UNAS 4 ใช้ PoE+++ ที่จ่ายไฟได้สูงสุด 90W ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอสีขนาด 1.47 นิ้วสำหรับแสดงสถานะการทำงาน รองรับ Bluetooth 4.1 และใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนตในการผลิต ตัวเครื่องสามารถจัดการผ่านระบบ UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เพิ่มเติม และเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายผ่าน Ethernet ได้ทันที ราคาของ UNAS 2 เริ่มต้นที่ $199 ส่วน UNAS 4 อยู่ที่ $379 โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubiquiti เปิดตัว NAS desktop รุ่นใหม่ ได้แก่ UNAS 2 และ UNAS 4 ➡️ UNAS 4 รองรับฮาร์ดดิสก์ 2.5/3.5 นิ้ว 4 ช่อง และ M.2 NVMe SSD 2 ช่อง ➡️ UNAS 2 รองรับฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว 2 ช่อง ไม่มี NVMe และไม่รองรับ hot-swap ➡️ ทั้งสองรุ่นใช้ชิป Arm Cortex-A55 quad-core 1.7 GHz และ RAM 4 GB ➡️ รองรับการจ่ายไฟผ่าน PoE — UNAS 2 ใช้ PoE++ และ UNAS 4 ใช้ PoE+++ ➡️ มีหน้าจอสี 1.47 นิ้ว, Bluetooth 4.1 และวัสดุโพลีคาร์บอเนต ➡️ จัดการผ่าน UniFi Drive โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ➡️ ราคาเริ่มต้นที่ $199 สำหรับ UNAS 2 และ $379 สำหรับ UNAS 4 ➡️ เริ่มวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UniFi Drive เป็นระบบจัดการ NAS ที่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ Ubiquiti ได้โดยตรง ➡️ PoE+++ สามารถจ่ายไฟได้สูงถึง 90W เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง ➡️ NAS แบบ desktop เหมาะกับการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก ➡️ NVMe SSD ช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและลดเวลาในการ backup ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ UNAS 2 ไม่รองรับ hot-swap และไม่มีช่อง NVMe SSD ⛔ การใช้งาน PoE+++ ต้องใช้สวิตช์ที่รองรับการจ่ายไฟระดับสูง ⛔ ไม่มีการรองรับ disk encryption ในรุ่น UNAS 2 ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบไฟล์หรือเวอร์ชันของ Linux kernel ที่ใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น Plex Server หรือ 10GbE ยังไม่รองรับในรุ่นนี้ https://www.techpowerup.com/341223/ubiquiti-launches-unifi-unas-dual-and-quad-bay-desktop-nas-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Ubiquiti Launches UniFi UNAS Dual and Quad Bay Desktop NAS Series
    Ubiquiti has unveiled its UniFi UNAS desktop NAS series that includes the UNAS 2 (two-bay) and UNAS 4 (four-bay) models each targeting different storage and performance needs. The UNAS 4 with its four bays, stands as the top model in the series featuring a quad-core Arm Cortex-A55 processor operatin...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Biwin เปิดตัว Amber CB500 การ์ด CFexpress Type B ตัวแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐาน VPG800 — เขียน 8K RAW ได้ลื่นไหลไม่สะดุด”

    Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำระดับมืออาชีพจากจีน ประกาศเปิดตัวการ์ด CFexpress 4.0 Type B รุ่นใหม่ในชื่อ Amber CB500 ซึ่งกลายเป็นการ์ดตัวแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน VPG800 จาก CompactFlash Association โดยสามารถเขียนข้อมูลต่อเนื่องได้ที่ความเร็ว 800 MB/s อย่างมั่นคง เหมาะสำหรับงานวิดีโอระดับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรสูงสุด

    Amber CB500 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K, 6K, 8K และแม้แต่ 12K RAW ด้วยความเร็วอ่านสูงสุด 3750 MB/s และเขียนสูงสุด 3500 MB/s เมื่อใช้งานร่วมกับเครื่องอ่าน Biwin Amber RB510 จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วถึง 40 Gb/s ช่วยลดเวลาในขั้นตอน post-production ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การ์ดรุ่นนี้ยังมาพร้อมโครงสร้างอลูมิเนียมอัลลอยด์และเจลนำความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนสะสมระหว่างการใช้งานต่อเนื่อง พร้อมระบบป้องกันระดับสูง เช่น ทนความร้อน -12°C ถึง +72°C, กันกระแทก, กันรอย, กันแม่เหล็ก และกันรังสี X-ray

    นอกจากนี้ Amber CB500 ยังรองรับการใช้งานกับกล้องระดับโปรหลากหลายแบรนด์ เช่น Canon, Nikon, RED, Blackmagic, DJI, Hasselblad และ Panasonic ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความเร็ว ความเสถียร และความทนทานในทุกสถานการณ์

    จุดเด่นของ Biwin Amber CB500
    เป็นการ์ด CFexpress Type B ตัวแรกที่ได้รับการรับรอง VPG800
    รองรับการเขียนต่อเนื่องที่ 800 MB/s สำหรับงานวิดีโอระดับมืออาชีพ
    ความเร็วอ่านสูงสุด 3750 MB/s และเขียนสูงสุด 3500 MB/s
    รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K, 6K, 8K และ 12K RAW แบบไม่สะดุด

    การออกแบบเพื่อความทนทานและประสิทธิภาพ
    โครงสร้างอลูมิเนียมอัลลอยด์และเจลนำความร้อนช่วยระบายความร้อน
    ทนต่ออุณหภูมิ -12°C ถึง +72°C และป้องกันแรงกระแทก
    กันรอยขีดข่วน, กันแม่เหล็ก, กันรังสี X-ray และทนต่อการใช้งานหนัก
    รองรับการใช้งานกับกล้องระดับโปรหลายแบรนด์

    การใช้งานในสายงานมืออาชีพ
    เหมาะสำหรับงานถ่ายวิดีโอแบบ multi-camera, live broadcast และ virtual production
    ลดเวลาในการถ่ายโอนข้อมูลและเร่งขั้นตอน post-production
    มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 128 GB ถึง 1 TB
    รองรับการใช้งานกับเครื่องอ่าน Biwin Amber RB510 ที่ให้ความเร็วสูงถึง 40 Gb/s

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    VPG800 เป็นมาตรฐานใหม่ใน Video Performance Guarantee Profile 5.0
    การ์ด CFexpress 4.0 Type B ใช้ PCIe Gen 4×2 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์
    Biwin เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรม
    การ์ดนี้ผ่านการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงโดย Biwin Labs

    https://www.techpowerup.com/341218/biwin-introduces-amber-cb500-cfexpress-type-b-card
    📸 “Biwin เปิดตัว Amber CB500 การ์ด CFexpress Type B ตัวแรกของโลกที่ผ่านมาตรฐาน VPG800 — เขียน 8K RAW ได้ลื่นไหลไม่สะดุด” Biwin ผู้ผลิตหน่วยความจำระดับมืออาชีพจากจีน ประกาศเปิดตัวการ์ด CFexpress 4.0 Type B รุ่นใหม่ในชื่อ Amber CB500 ซึ่งกลายเป็นการ์ดตัวแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน VPG800 จาก CompactFlash Association โดยสามารถเขียนข้อมูลต่อเนื่องได้ที่ความเร็ว 800 MB/s อย่างมั่นคง เหมาะสำหรับงานวิดีโอระดับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรสูงสุด Amber CB500 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K, 6K, 8K และแม้แต่ 12K RAW ด้วยความเร็วอ่านสูงสุด 3750 MB/s และเขียนสูงสุด 3500 MB/s เมื่อใช้งานร่วมกับเครื่องอ่าน Biwin Amber RB510 จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วถึง 40 Gb/s ช่วยลดเวลาในขั้นตอน post-production ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ์ดรุ่นนี้ยังมาพร้อมโครงสร้างอลูมิเนียมอัลลอยด์และเจลนำความร้อน เพื่อป้องกันความร้อนสะสมระหว่างการใช้งานต่อเนื่อง พร้อมระบบป้องกันระดับสูง เช่น ทนความร้อน -12°C ถึง +72°C, กันกระแทก, กันรอย, กันแม่เหล็ก และกันรังสี X-ray นอกจากนี้ Amber CB500 ยังรองรับการใช้งานกับกล้องระดับโปรหลากหลายแบรนด์ เช่น Canon, Nikon, RED, Blackmagic, DJI, Hasselblad และ Panasonic ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการความเร็ว ความเสถียร และความทนทานในทุกสถานการณ์ ✅ จุดเด่นของ Biwin Amber CB500 ➡️ เป็นการ์ด CFexpress Type B ตัวแรกที่ได้รับการรับรอง VPG800 ➡️ รองรับการเขียนต่อเนื่องที่ 800 MB/s สำหรับงานวิดีโอระดับมืออาชีพ ➡️ ความเร็วอ่านสูงสุด 3750 MB/s และเขียนสูงสุด 3500 MB/s ➡️ รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K, 6K, 8K และ 12K RAW แบบไม่สะดุด ✅ การออกแบบเพื่อความทนทานและประสิทธิภาพ ➡️ โครงสร้างอลูมิเนียมอัลลอยด์และเจลนำความร้อนช่วยระบายความร้อน ➡️ ทนต่ออุณหภูมิ -12°C ถึง +72°C และป้องกันแรงกระแทก ➡️ กันรอยขีดข่วน, กันแม่เหล็ก, กันรังสี X-ray และทนต่อการใช้งานหนัก ➡️ รองรับการใช้งานกับกล้องระดับโปรหลายแบรนด์ ✅ การใช้งานในสายงานมืออาชีพ ➡️ เหมาะสำหรับงานถ่ายวิดีโอแบบ multi-camera, live broadcast และ virtual production ➡️ ลดเวลาในการถ่ายโอนข้อมูลและเร่งขั้นตอน post-production ➡️ มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 128 GB ถึง 1 TB ➡️ รองรับการใช้งานกับเครื่องอ่าน Biwin Amber RB510 ที่ให้ความเร็วสูงถึง 40 Gb/s ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ VPG800 เป็นมาตรฐานใหม่ใน Video Performance Guarantee Profile 5.0 ➡️ การ์ด CFexpress 4.0 Type B ใช้ PCIe Gen 4×2 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์ ➡️ Biwin เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหน่วยความจำที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรม ➡️ การ์ดนี้ผ่านการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงโดย Biwin Labs https://www.techpowerup.com/341218/biwin-introduces-amber-cb500-cfexpress-type-b-card
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Biwin Introduces Amber CB500 CFexpress Type B Card
    Biwin announces that its Amber CB500 CFexpress Type B card has become the world's first CFexpress Type B card to receive VPG800 certification from the CompactFlash Association. With sustained write speeds of 800 MB/s guaranteed, the CB500 empowers filmmakers, cinematographers, and content creators t...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตาลีบันสั่งตัดไฟเบอร์อินเทอร์เน็ตทั่วอัฟกานิสถาน — อ้าง ‘ป้องกันความผิดศีลธรรม’ แต่ผลกระทบกระจายถึงการศึกษา ธุรกิจ และสิทธิสตรี”

    ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2025 รัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถานเริ่มดำเนินการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติกในหลายจังหวัด โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อ “ป้องกันความผิดศีลธรรม” ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงเนื้อหาลามก การพูดคุยระหว่างชายหญิง และการใช้งานสื่อที่ไม่เหมาะสม

    คำสั่งนี้มาจากผู้นำสูงสุดของตาลีบัน Hibatullah Akhundzada และเริ่มมีผลในจังหวัด Balkh ก่อนจะขยายไปยังอีกอย่างน้อย 10 จังหวัด เช่น Kunduz, Badakhshan, Baghlan, Takhar และ Nangarhar โดยมีแนวโน้มว่าจะบังคับใช้ทั่วประเทศในไม่ช้า

    แม้เครือข่ายมือถือยังคงใช้งานได้ แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจ ธนาคาร และหน่วยงานราชการประสบปัญหาในการดำเนินงานอย่างรุนแรง

    ผลกระทบที่น่าห่วงที่สุดคือด้านการศึกษา โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ถูกห้ามเข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2021 การเรียนออนไลน์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเธอพึ่งพาได้ และการตัดอินเทอร์เน็ตครั้งนี้อาจทำลายโอกาสนั้นอย่างสิ้นเชิง

    องค์กรสื่อและสิทธิมนุษยชน เช่น NetBlocks และ CPJ ต่างออกมาเตือนว่าการตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์คือการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นการเพิ่มระดับการเซ็นเซอร์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ตาลีบันเริ่มตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ในหลายจังหวัดของอัฟกานิสถานตั้งแต่กลางกันยายน 2025
    เหตุผลที่ให้คือ “ป้องกันความผิดศีลธรรม” เช่น การเข้าถึงเนื้อหาลามกและการพูดคุยระหว่างชายหญิง
    จังหวัดที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ Balkh, Kunduz, Badakhshan, Baghlan, Takhar, Nangarhar และอื่น ๆ
    เครือข่ายมือถือยังใช้งานได้ แต่ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง

    ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
    ธุรกิจ ธนาคาร และหน่วยงานราชการไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ
    การเรียนออนไลน์ของเด็กผู้หญิงถูกตัดขาด ซึ่งเป็นทางเลือกเดียวหลังถูกห้ามเข้าเรียน
    สื่อมวลชนไม่สามารถรายงานข่าวได้อย่างอิสระ และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม
    การตัดอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อการเชื่อมต่อระหว่างประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อัฟกานิสถานมีเครือข่ายไฟเบอร์กว่า 1,800 กิโลเมตร และเคยอนุมัติเพิ่มอีก 488 กิโลเมตร
    การตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์คล้ายกับระบบอินเทอร์เน็ตภายในประเทศแบบปิด เช่นในเกาหลีเหนือ
    ผู้หญิงในอัฟกานิสถานใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้ เชื่อมต่อ และหลบหนีจากการกดขี่
    การตัดอินเทอร์เน็ตอาจเป็นการป้องกันการประท้วงและการเผยแพร่ข้อมูลที่ตาลีบันไม่ต้องการให้ประชาชนเห็น

    https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/the-taliban-begins-implementing-fiber-optic-internet-ban-to-prevent-immorality-in-afghanistan-swathes-of-the-country-plunged-into-cyberspace-darkness
    🌐 “ตาลีบันสั่งตัดไฟเบอร์อินเทอร์เน็ตทั่วอัฟกานิสถาน — อ้าง ‘ป้องกันความผิดศีลธรรม’ แต่ผลกระทบกระจายถึงการศึกษา ธุรกิจ และสิทธิสตรี” ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2025 รัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถานเริ่มดำเนินการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ออปติกในหลายจังหวัด โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อ “ป้องกันความผิดศีลธรรม” ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงเนื้อหาลามก การพูดคุยระหว่างชายหญิง และการใช้งานสื่อที่ไม่เหมาะสม คำสั่งนี้มาจากผู้นำสูงสุดของตาลีบัน Hibatullah Akhundzada และเริ่มมีผลในจังหวัด Balkh ก่อนจะขยายไปยังอีกอย่างน้อย 10 จังหวัด เช่น Kunduz, Badakhshan, Baghlan, Takhar และ Nangarhar โดยมีแนวโน้มว่าจะบังคับใช้ทั่วประเทศในไม่ช้า แม้เครือข่ายมือถือยังคงใช้งานได้ แต่ก็มีข้อจำกัดด้านความเร็วและค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจ ธนาคาร และหน่วยงานราชการประสบปัญหาในการดำเนินงานอย่างรุนแรง ผลกระทบที่น่าห่วงที่สุดคือด้านการศึกษา โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ถูกห้ามเข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2021 การเรียนออนไลน์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเธอพึ่งพาได้ และการตัดอินเทอร์เน็ตครั้งนี้อาจทำลายโอกาสนั้นอย่างสิ้นเชิง องค์กรสื่อและสิทธิมนุษยชน เช่น NetBlocks และ CPJ ต่างออกมาเตือนว่าการตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์คือการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นการเพิ่มระดับการเซ็นเซอร์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ตาลีบันเริ่มตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ในหลายจังหวัดของอัฟกานิสถานตั้งแต่กลางกันยายน 2025 ➡️ เหตุผลที่ให้คือ “ป้องกันความผิดศีลธรรม” เช่น การเข้าถึงเนื้อหาลามกและการพูดคุยระหว่างชายหญิง ➡️ จังหวัดที่ได้รับผลกระทบแล้ว ได้แก่ Balkh, Kunduz, Badakhshan, Baghlan, Takhar, Nangarhar และอื่น ๆ ➡️ เครือข่ายมือถือยังใช้งานได้ แต่ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง ✅ ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ ➡️ ธุรกิจ ธนาคาร และหน่วยงานราชการไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ➡️ การเรียนออนไลน์ของเด็กผู้หญิงถูกตัดขาด ซึ่งเป็นทางเลือกเดียวหลังถูกห้ามเข้าเรียน ➡️ สื่อมวลชนไม่สามารถรายงานข่าวได้อย่างอิสระ และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม ➡️ การตัดอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อการเชื่อมต่อระหว่างประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อัฟกานิสถานมีเครือข่ายไฟเบอร์กว่า 1,800 กิโลเมตร และเคยอนุมัติเพิ่มอีก 488 กิโลเมตร ➡️ การตัดอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์คล้ายกับระบบอินเทอร์เน็ตภายในประเทศแบบปิด เช่นในเกาหลีเหนือ ➡️ ผู้หญิงในอัฟกานิสถานใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้ เชื่อมต่อ และหลบหนีจากการกดขี่ ➡️ การตัดอินเทอร์เน็ตอาจเป็นการป้องกันการประท้วงและการเผยแพร่ข้อมูลที่ตาลีบันไม่ต้องการให้ประชาชนเห็น https://www.tomshardware.com/service-providers/network-providers/the-taliban-begins-implementing-fiber-optic-internet-ban-to-prevent-immorality-in-afghanistan-swathes-of-the-country-plunged-into-cyberspace-darkness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung ได้รับการรับรอง HBM3E จาก Nvidia — หุ้นพุ่ง 5% พร้อมเร่งเครื่องสู่สนาม HBM4 แข่งกับ SK hynix และ Micron”

    หลังจากรอคอยมานานกว่า 18 เดือน Samsung ก็ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิปหน่วยความจำ HBM3E แบบ 12 ชั้น ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการ์ดเร่ง AI รุ่นสูงอย่าง DGX B300 ของ Nvidia และ MI350 ของ AMD ข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของ Samsung พุ่งขึ้นทันที 5% สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนว่าบริษัทสามารถกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูงได้อีกครั้ง

    ก่อนหน้านี้ SK hynix และ Micron ได้รับการรับรองและเริ่มส่งมอบ HBM3E ให้ Nvidia ไปแล้ว ทำให้ Samsungกลายเป็นผู้ผลิตรายที่สามที่เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานนี้ โดยแม้จะยังไม่สามารถส่งมอบในปริมาณมากจนถึงปี 2026 แต่การผ่านการรับรองถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Samsung กลับมาอยู่ในเกม

    HBM3E เป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงสุดในตลาดปัจจุบัน โดยมีแบนด์วิดธ์ถึง 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง HBM3 ที่มีเพียง 8 ชั้น

    ขณะเดียวกัน Samsung ก็เร่งพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นหน่วยความจำรุ่นถัดไปที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ทำให้สามารถเพิ่มความจุเป็น 64 GB ต่อชิป พร้อมลดการใช้พลังงานลงถึง 30%

    แม้ SK hynix จะประกาศเสร็จสิ้นการพัฒนา HBM4 ไปก่อนแล้ว แต่ Samsung ก็อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้ Nvidia และตั้งเป้าเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการแซงคู่แข่งทั้งด้านประสิทธิภาพและปริมาณการผลิต

    ความคืบหน้าของ Samsung ในตลาด HBM
    Samsung ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิป HBM3E แบบ 12 ชั้น
    หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวการรับรองเผยแพร่
    ชิป HBM3E จะถูกใช้ใน Nvidia DGX B300 และ AMD MI350
    Samsung เป็นผู้ผลิตรายที่สามที่ได้รับการรับรอง ต่อจาก SK hynix และ Micron

    คุณสมบัติของ HBM3E และ HBM4
    HBM3E มีแบนด์วิดธ์ 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM
    HBM4 จะมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s และความจุ 64 GB ต่อชิป
    ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ลดการใช้พลังงานลง 20–30%
    Samsung ตั้งเป้าเริ่มผลิต HBM4 จำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia กำหนดมาตรฐาน HBM4 ที่สูงขึ้น เช่น 10–11 Gbps ต่อ pin
    Samsung แสดงความสามารถถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่า SK hynix ที่ทำได้ 10 Gbps
    Micron ยังประสบปัญหาในการผ่านมาตรฐาน HBM4 ของ Nvidia2
    ตลาด HBM คาดว่าจะเติบโต 30% ต่อปีจนถึงปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ SK hynix

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-earns-nvidias-certification-for-its-hbm3-memory-stock-jumps-5-percent-as-company-finally-catches-up-to-sk-hynix-and-micron-in-hbm3e-production
    🚀 “Samsung ได้รับการรับรอง HBM3E จาก Nvidia — หุ้นพุ่ง 5% พร้อมเร่งเครื่องสู่สนาม HBM4 แข่งกับ SK hynix และ Micron” หลังจากรอคอยมานานกว่า 18 เดือน Samsung ก็ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิปหน่วยความจำ HBM3E แบบ 12 ชั้น ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการ์ดเร่ง AI รุ่นสูงอย่าง DGX B300 ของ Nvidia และ MI350 ของ AMD ข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของ Samsung พุ่งขึ้นทันที 5% สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนว่าบริษัทสามารถกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูงได้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ SK hynix และ Micron ได้รับการรับรองและเริ่มส่งมอบ HBM3E ให้ Nvidia ไปแล้ว ทำให้ Samsungกลายเป็นผู้ผลิตรายที่สามที่เข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานนี้ โดยแม้จะยังไม่สามารถส่งมอบในปริมาณมากจนถึงปี 2026 แต่การผ่านการรับรองถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ Samsung กลับมาอยู่ในเกม HBM3E เป็นหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงสุดในตลาดปัจจุบัน โดยมีแบนด์วิดธ์ถึง 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ซึ่งเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง HBM3 ที่มีเพียง 8 ชั้น ขณะเดียวกัน Samsung ก็เร่งพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นหน่วยความจำรุ่นถัดไปที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ทำให้สามารถเพิ่มความจุเป็น 64 GB ต่อชิป พร้อมลดการใช้พลังงานลงถึง 30% แม้ SK hynix จะประกาศเสร็จสิ้นการพัฒนา HBM4 ไปก่อนแล้ว แต่ Samsung ก็อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้ Nvidia และตั้งเป้าเริ่มผลิตจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการแซงคู่แข่งทั้งด้านประสิทธิภาพและปริมาณการผลิต ✅ ความคืบหน้าของ Samsung ในตลาด HBM ➡️ Samsung ได้รับการรับรองจาก Nvidia สำหรับชิป HBM3E แบบ 12 ชั้น ➡️ หุ้น Samsung พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวการรับรองเผยแพร่ ➡️ ชิป HBM3E จะถูกใช้ใน Nvidia DGX B300 และ AMD MI350 ➡️ Samsung เป็นผู้ผลิตรายที่สามที่ได้รับการรับรอง ต่อจาก SK hynix และ Micron ✅ คุณสมบัติของ HBM3E และ HBM4 ➡️ HBM3E มีแบนด์วิดธ์ 1.2 TB/s ต่อ stack และใช้เทคโนโลยี 12-layer DRAM ➡️ HBM4 จะมีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2 TB/s และความจุ 64 GB ต่อชิป ➡️ ใช้กระบวนการผลิตระดับ 3–4 นาโนเมตร ลดการใช้พลังงานลง 20–30% ➡️ Samsung ตั้งเป้าเริ่มผลิต HBM4 จำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia กำหนดมาตรฐาน HBM4 ที่สูงขึ้น เช่น 10–11 Gbps ต่อ pin ➡️ Samsung แสดงความสามารถถึง 11 Gbps ซึ่งเหนือกว่า SK hynix ที่ทำได้ 10 Gbps ➡️ Micron ยังประสบปัญหาในการผ่านมาตรฐาน HBM4 ของ Nvidia2 ➡️ ตลาด HBM คาดว่าจะเติบโต 30% ต่อปีจนถึงปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ SK hynix https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-earns-nvidias-certification-for-its-hbm3-memory-stock-jumps-5-percent-as-company-finally-catches-up-to-sk-hynix-and-micron-in-hbm3e-production
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เกม BlockBlasters บน Steam กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — สตรีมเมอร์สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 พร้อมเหยื่อรวมกว่า 478 ราย”

    เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ Raivo “RastalandTV” สตรีมเมอร์บน Twitch ที่กำลังระดมทุนเพื่อรักษามะเร็งขั้นรุนแรง กลับต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเกมที่มีชื่อว่า “BlockBlasters” บน Steam ซึ่งดูเหมือนเกม 2D ธรรมดา กลับกลายเป็นมัลแวร์ที่ขโมยเงินคริปโตจากกระเป๋าเงินของเขาไปกว่า $32,000 ระหว่างการไลฟ์สดในวันที่ 30 กันยายน 2025

    เกม BlockBlasters เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมและดูปลอดภัยในช่วงแรก แต่หลังจากอัปเดตเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม มัลแวร์ถูกฝังเข้ามาในตัวเกมโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้ผู้เล่นที่ดาวน์โหลดเกมในช่วงนั้นตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

    มัลแวร์ในเกมสามารถขโมยข้อมูลล็อกอิน Steam, ที่อยู่ IP และข้อมูลกระเป๋าคริปโต จากนั้นส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิค dropper script, Python backdoor และ payload ที่ชื่อว่า StealC ซึ่งมีความสามารถในการเจาะระบบอย่างลึก

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากกลุ่ม vx-underground และ ZachXBT ระบุว่ามีผู้เสียหายรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ Steam ที่มีคริปโตในบัญชี และถูกชักชวนให้ลองเกมผ่านช่องทางเช่น Twitter หรือ Discord

    แม้เกมจะถูกถอดออกจาก Steam แล้ว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่ในการตรวจสอบเนื้อหาเกมบนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจอย่างสูง และยังไม่มีคำตอบจาก Valve ถึงมาตรการป้องกันในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกม BlockBlasters บน Steam ถูกฝังมัลแวร์หลังอัปเดตเมื่อ 30 สิงหาคม 2025
    สตรีมเมอร์ RastalandTV สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 ระหว่างไลฟ์สด
    มัลแวร์ขโมยข้อมูล Steam, IP และกระเป๋าคริปโต แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    นักวิจัยพบเหยื่อรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000
    เกมถูกถอดออกจาก Steam หลังเกิดเหตุการณ์ แต่ไม่มีคำชี้แจงจาก Valve

    เทคนิคที่ใช้ในการโจมตี
    ใช้ dropper script ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนขโมยข้อมูล
    ใช้ Python backdoor และ payload StealC เพื่อเจาะระบบ
    เหยื่อถูกชักชวนผ่าน Twitter และ Discord โดยเน้นกลุ่มที่ถือคริปโต
    Telegram bot ของผู้โจมตีถูกเปิดเผย พร้อม token ที่ใช้ควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เกมที่มีรีวิว “Very Positive” และอยู่ในหมวด Early Access อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี
    การโจมตีแบบนี้คล้ายกับกรณี Chemia, PirateFi และ Sniper: Phantom’s Resolution ที่เคยเกิดขึ้นบน Steam
    การใช้มัลแวร์ในเกมเพื่อขโมยคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025
    ผู้ใช้ควรเปลี่ยนรหัส Steam และย้ายคริปโตไปยังกระเป๋าใหม่ทันทีหากเคยติดตั้งเกม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/twitch-streamer-raising-money-for-cancer-treatment-has-funds-stolen-by-malware-ridden-steam-game-blockblasters-title-stole-usd150-000-from-hundreds-of-players
    🎮 “เกม BlockBlasters บน Steam กลายเป็นกับดักมัลแวร์ — สตรีมเมอร์สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 พร้อมเหยื่อรวมกว่า 478 ราย” เรื่องราวสุดสะเทือนใจของ Raivo “RastalandTV” สตรีมเมอร์บน Twitch ที่กำลังระดมทุนเพื่อรักษามะเร็งขั้นรุนแรง กลับต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเกมที่มีชื่อว่า “BlockBlasters” บน Steam ซึ่งดูเหมือนเกม 2D ธรรมดา กลับกลายเป็นมัลแวร์ที่ขโมยเงินคริปโตจากกระเป๋าเงินของเขาไปกว่า $32,000 ระหว่างการไลฟ์สดในวันที่ 30 กันยายน 2025 เกม BlockBlasters เปิดตัวในเดือนกรกฎาคมและดูปลอดภัยในช่วงแรก แต่หลังจากอัปเดตเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม มัลแวร์ถูกฝังเข้ามาในตัวเกมโดยไม่แจ้งเตือน ทำให้ผู้เล่นที่ดาวน์โหลดเกมในช่วงนั้นตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว มัลแวร์ในเกมสามารถขโมยข้อมูลล็อกอิน Steam, ที่อยู่ IP และข้อมูลกระเป๋าคริปโต จากนั้นส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิค dropper script, Python backdoor และ payload ที่ชื่อว่า StealC ซึ่งมีความสามารถในการเจาะระบบอย่างลึก นักวิจัยด้านความปลอดภัยจากกลุ่ม vx-underground และ ZachXBT ระบุว่ามีผู้เสียหายรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ Steam ที่มีคริปโตในบัญชี และถูกชักชวนให้ลองเกมผ่านช่องทางเช่น Twitter หรือ Discord แม้เกมจะถูกถอดออกจาก Steam แล้ว แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงช่องโหว่ในการตรวจสอบเนื้อหาเกมบนแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจอย่างสูง และยังไม่มีคำตอบจาก Valve ถึงมาตรการป้องกันในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกม BlockBlasters บน Steam ถูกฝังมัลแวร์หลังอัปเดตเมื่อ 30 สิงหาคม 2025 ➡️ สตรีมเมอร์ RastalandTV สูญเงินบริจาครักษามะเร็งกว่า $32,000 ระหว่างไลฟ์สด ➡️ มัลแวร์ขโมยข้อมูล Steam, IP และกระเป๋าคริปโต แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ➡️ นักวิจัยพบเหยื่อรวมกว่า 478 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า $150,000 ➡️ เกมถูกถอดออกจาก Steam หลังเกิดเหตุการณ์ แต่ไม่มีคำชี้แจงจาก Valve ✅ เทคนิคที่ใช้ในการโจมตี ➡️ ใช้ dropper script ตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนขโมยข้อมูล ➡️ ใช้ Python backdoor และ payload StealC เพื่อเจาะระบบ ➡️ เหยื่อถูกชักชวนผ่าน Twitter และ Discord โดยเน้นกลุ่มที่ถือคริปโต ➡️ Telegram bot ของผู้โจมตีถูกเปิดเผย พร้อม token ที่ใช้ควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เกมที่มีรีวิว “Very Positive” และอยู่ในหมวด Early Access อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ➡️ การโจมตีแบบนี้คล้ายกับกรณี Chemia, PirateFi และ Sniper: Phantom’s Resolution ที่เคยเกิดขึ้นบน Steam ➡️ การใช้มัลแวร์ในเกมเพื่อขโมยคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ➡️ ผู้ใช้ควรเปลี่ยนรหัส Steam และย้ายคริปโตไปยังกระเป๋าใหม่ทันทีหากเคยติดตั้งเกม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/twitch-streamer-raising-money-for-cancer-treatment-has-funds-stolen-by-malware-ridden-steam-game-blockblasters-title-stole-usd150-000-from-hundreds-of-players
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง”

    เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป

    ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ

    สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน

    แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม

    นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง
    เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้
    เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น.
    ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก

    จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง
    หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ
    ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี
    ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ
    นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา
    จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก
    การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม
    หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้

    https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    📱 “เมืองโทโยอาเกะจำกัดเวลาเล่นมือถือวันละ 2 ชั่วโมง — กฎหมายใหม่ที่ไม่มีโทษ แต่หวังเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเมือง” เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ได้ผ่านร่างข้อบัญญัติที่แปลกใหม่และกล้าหาญ — จำกัดการใช้สมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงของประชาชนทุกคนไว้ที่วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้มีโทษหรือการบังคับใช้ตามกฎหมาย แต่เป็นแนวทางเชิงแนะนำที่หวังให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้หน้าจอในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่อาจส่งผลต่อการนอนหลับและพัฒนาการทางสุขภาพ สำหรับเด็กประถมและต่ำกว่า เมืองแนะนำให้หยุดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21.00 น. ส่วนเด็กมัธยมต้นขึ้นไปควรหยุดใช้หลัง 22.00 น. โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการใช้งานเพื่อการเรียนหรือการทำงาน แม้จะมีเสียงคัดค้านจากบางสมาชิกสภาเมืองที่มองว่าการใช้มือถือควรเป็นเรื่องของวินัยในครอบครัว หรือบางคนชี้ว่ามือถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่มีปัญหาครอบครัว แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อบัญญัตินี้จะช่วยลดการเสพติดหน้าจอ และเป็นโอกาสให้ครอบครัวได้พูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม นายกเทศมนตรีมาซาฟูมิ โคกิ กล่าวว่าข้อบัญญัตินี้ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ แต่เป็น “แนวทางอ่อนโยน” เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเรื่องสุขภาพ การนอนหลับ และการเลี้ยงดูเด็กในยุคดิจิทัล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เมืองโทโยอาเกะออกข้อบัญญัติจำกัดการใช้มือถือเพื่อความบันเทิงวันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง ➡️ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยไม่มีโทษหรือการบังคับใช้ ➡️ เด็กประถมควรหยุดใช้มือถือหลัง 21.00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปหลัง 22.00 น. ➡️ ข้อบัญญัตินี้ครอบคลุมประชาชนทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็ก ✅ จุดประสงค์และแนวคิดเบื้องหลัง ➡️ หวังลดผลกระทบจากการใช้มือถือเกินขนาด เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ ➡️ ส่งเสริมให้ครอบครัวพูดคุยกันเรื่องการใช้เทคโนโลยี ➡️ ใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กลดเวลาอยู่หน้าจอ ➡️ นายกเทศมนตรีระบุว่าเป็น “แนวทางอ่อนโยน” ไม่ใช่การจำกัดสิทธิ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เด็กญี่ปุ่นใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมงในวันธรรมดา ➡️ จังหวัดคางาวะเคยออกข้อบัญญัติคล้ายกันในปี 2020 จำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก ➡️ การใช้มือถือมากเกินไปมีผลต่อสุขภาพจิตและการพัฒนาทางสังคม ➡️ หลายประเทศเริ่มออกแนวทางจำกัดการใช้หน้าจอในเด็ก เช่น ฝรั่งเศสและเกาหลีใต้ https://www.tomshardware.com/phones/japanese-city-implements-two-hour-daily-recreational-smartphone-usage-limit-ordinance-comes-into-effect-from-october-1-no-enforcement-or-penalties-proposed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ”

    กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว

    ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง

    ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา

    อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI
    พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
    ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ
    ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี
    รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI

    การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย
    เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน
    เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
    การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน
    การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ
    การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    🌾 “Stargate of China: เมื่อจีนเปลี่ยนผืนนาเป็นศูนย์กลาง AI — แผน 37 พันล้านดอลลาร์เพื่อท้าทายอำนาจคอมพิวต์ของสหรัฐฯ” กลางลุ่มแม่น้ำแยงซี บนเกาะขนาด 760 เอเคอร์ในเมืองอู่ฮู่ ประเทศจีน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ — จากพื้นที่ปลูกข้าว สู่ “Data Island” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางประมวลผล AI ขนาดมหึมา ภายใต้โครงการที่ถูกขนานนามว่า “Stargate of China” ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 37 พันล้านดอลลาร์ เป้าหมายของโครงการนี้คือการรวมศูนย์พลังการประมวลผล AI ที่กระจัดกระจายทั่วประเทศให้เป็นเครือข่ายเดียว โดยใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์จากหลายภูมิภาคเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลแบบ “inference” ให้เร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว หนานจิง และซูโจว ในขณะที่สหรัฐฯ ครองสัดส่วนพลังคอมพิวต์ AI กว่า 75% ของโลก จีนมีเพียง 15% เท่านั้น การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นการ “ไล่ตาม” ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำเซิร์ฟเวอร์ที่เคยถูกทิ้งไว้ในพื้นที่ห่างไกลกลับมาใช้งานใหม่ โดยเชื่อมโยงกับศูนย์ข้อมูลในเมืองผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ศูนย์ข้อมูลในอู่ฮู่จะถูกใช้โดยบริษัทใหญ่ของจีน ได้แก่ Huawei, China Mobile, China Telecom และ China Unicom โดยรัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI เพื่อเร่งการพัฒนา อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญกับข้อจำกัดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทอย่าง Nvidia, TSMC และ Samsung ส่งมอบชิป AI ขั้นสูงให้กับลูกค้าจีน ทำให้จีนต้องพึ่งพาชิปภายในประเทศที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ และบางส่วนต้องพึ่งพาตลาดมืดในการจัดหา GPU ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนลงทุน $37 พันล้านในโครงการ “Stargate of China” เพื่อรวมศูนย์พลังคอมพิวต์ AI ➡️ พื้นที่เกษตรในเมืองอู่ฮู่ถูกเปลี่ยนเป็น “Data Island” สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ ใช้เทคโนโลยี UB-Mesh ของ Huawei เชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ทั่วประเทศ ➡️ ศูนย์ข้อมูลจะรองรับการประมวลผลแบบ inference สำหรับเมืองใหญ่ในลุ่มแม่น้ำแยงซี ➡️ รัฐบาลท้องถิ่นเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 30% สำหรับการจัดซื้อชิป AI ✅ การจัดการทรัพยากรและการขยายเครือข่าย ➡️ เซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ห่างไกล เช่น มองโกเลียใน กุ้ยโจว และกานซู่ จะถูกนำกลับมาใช้งาน ➡️ เครือข่ายใหม่จะช่วยลดปัญหาการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ➡️ การกระจายศูนย์ข้อมูลใกล้เมืองใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ใน 15 แห่งทั่วเมืองอู่ฮู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Stargate” ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ากว่า $500 พันล้าน ➡️ การประมวลผลแบบ inference คือการตอบสนองของ AI เช่น chatbot หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ การรวมศูนย์ข้อมูลช่วยให้สามารถจัดการพลังงานและทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ การลงทุนใน AI compute เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-is-converting-farmland-into-data-centers-as-part-of-usd37-billion-effort-to-centralize-ai-compute-power-project-dubbed-stargate-of-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Forensics ช่วย Europol ระบุตัวเด็ก 51 คนในคดีล่วงละเมิดออนไลน์ — เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นอาวุธของความยุติธรรม”

    ในปฏิบัติการระหว่างประเทศที่น่าทึ่ง Europol ร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก 18 ประเทศ ได้ใช้เทคโนโลยี AI forensics เพื่อระบุตัวเหยื่อเด็ก 51 คน และผู้ต้องสงสัย 60 รายในคดีล่วงละเมิดทางเพศออนไลน์ระดับโลก การสืบสวนครั้งนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ Europol ณ กรุงเฮก โดยผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์สื่อที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดเด็กกว่า 5,000 ชิ้นภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์

    สิ่งที่ทำให้การสืบสวนครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูงคือการผสานระหว่างทักษะตำรวจแบบดั้งเดิมกับเครื่องมือ AI ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ภาพ การเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายประเทศ หรือการตรวจสอบ metadata ที่ซ่อนอยู่ในไฟล์

    ข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนถูกจัดทำเป็น intelligence packages จำนวน 276 ชุด ซึ่งถูกส่งต่อให้หน่วยงานในแต่ละประเทศดำเนินการต่อ และนำไปสู่การจับกุมในหลายพื้นที่แล้ว

    ที่น่าตระหนักคือ สื่อที่ใช้ในการล่วงละเมิดมักถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ประเทศหนึ่ง ส่งผ่านแพลตฟอร์มอีกประเทศ และเชื่อมโยงกับเหยื่อในอีกประเทศหนึ่ง ทำให้การสืบสวนต้องอาศัยการแบ่งปันข้อมูลแบบ real-time และการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

    Europol ระบุว่ารูปแบบการทำงานของ task force นี้จะถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการในอนาคต พร้อมลงทุนในเทคนิค forensic และเครื่องมือ AI ที่ล้ำหน้ากว่าเดิม เพื่อรับมือกับการซ่อนตัวของผู้กระทำผิดที่ใช้การเข้ารหัส การไม่เปิดเผยตัวตน และการกระจายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Europol และ 18 ประเทศร่วมกันใช้ AI forensics ระบุตัวเหยื่อเด็ก 51 คน
    พบผู้ต้องสงสัย 60 ราย และมีการจับกุมในหลายประเทศ
    วิเคราะห์สื่อกว่า 5,000 ชิ้นภายในสองสัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่ Europol
    สร้าง intelligence packages 276 ชุดเพื่อส่งต่อให้หน่วยงานท้องถิ่น

    การใช้เทคโนโลยีในการสืบสวน
    ผสานทักษะตำรวจแบบดั้งเดิมกับ AI-driven forensic tools
    ลดเวลาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเหยื่อกับหลักฐาน
    ใช้การแบ่งปันข้อมูลแบบ real-time ระหว่างประเทศ
    เตรียมลงทุนในเทคนิคใหม่เพื่อรับมือกับการซ่อนตัวของผู้กระทำผิด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การล่วงละเมิดเด็กออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มสื่อสารและบันเทิง
    AI forensics สามารถวิเคราะห์ metadata, facial recognition และ pattern matching ได้รวดเร็ว
    การใช้ deepfake และภาพที่สร้างด้วย AI ทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
    Internet Watch Foundation พบภาพล่วงละเมิดเด็กที่สร้างด้วย AI กว่า 3,500 ภาพในเดือนเดียว

    https://hackread.com/ai-forensics-europol-track-children-online-abuse-case/
    🧠 “AI Forensics ช่วย Europol ระบุตัวเด็ก 51 คนในคดีล่วงละเมิดออนไลน์ — เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นอาวุธของความยุติธรรม” ในปฏิบัติการระหว่างประเทศที่น่าทึ่ง Europol ร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก 18 ประเทศ ได้ใช้เทคโนโลยี AI forensics เพื่อระบุตัวเหยื่อเด็ก 51 คน และผู้ต้องสงสัย 60 รายในคดีล่วงละเมิดทางเพศออนไลน์ระดับโลก การสืบสวนครั้งนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ Europol ณ กรุงเฮก โดยผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์สื่อที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดเด็กกว่า 5,000 ชิ้นภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ สิ่งที่ทำให้การสืบสวนครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูงคือการผสานระหว่างทักษะตำรวจแบบดั้งเดิมกับเครื่องมือ AI ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ภาพ การเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายประเทศ หรือการตรวจสอบ metadata ที่ซ่อนอยู่ในไฟล์ ข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนถูกจัดทำเป็น intelligence packages จำนวน 276 ชุด ซึ่งถูกส่งต่อให้หน่วยงานในแต่ละประเทศดำเนินการต่อ และนำไปสู่การจับกุมในหลายพื้นที่แล้ว ที่น่าตระหนักคือ สื่อที่ใช้ในการล่วงละเมิดมักถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ประเทศหนึ่ง ส่งผ่านแพลตฟอร์มอีกประเทศ และเชื่อมโยงกับเหยื่อในอีกประเทศหนึ่ง ทำให้การสืบสวนต้องอาศัยการแบ่งปันข้อมูลแบบ real-time และการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด Europol ระบุว่ารูปแบบการทำงานของ task force นี้จะถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการในอนาคต พร้อมลงทุนในเทคนิค forensic และเครื่องมือ AI ที่ล้ำหน้ากว่าเดิม เพื่อรับมือกับการซ่อนตัวของผู้กระทำผิดที่ใช้การเข้ารหัส การไม่เปิดเผยตัวตน และการกระจายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Europol และ 18 ประเทศร่วมกันใช้ AI forensics ระบุตัวเหยื่อเด็ก 51 คน ➡️ พบผู้ต้องสงสัย 60 ราย และมีการจับกุมในหลายประเทศ ➡️ วิเคราะห์สื่อกว่า 5,000 ชิ้นภายในสองสัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่ Europol ➡️ สร้าง intelligence packages 276 ชุดเพื่อส่งต่อให้หน่วยงานท้องถิ่น ✅ การใช้เทคโนโลยีในการสืบสวน ➡️ ผสานทักษะตำรวจแบบดั้งเดิมกับ AI-driven forensic tools ➡️ ลดเวลาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเหยื่อกับหลักฐาน ➡️ ใช้การแบ่งปันข้อมูลแบบ real-time ระหว่างประเทศ ➡️ เตรียมลงทุนในเทคนิคใหม่เพื่อรับมือกับการซ่อนตัวของผู้กระทำผิด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การล่วงละเมิดเด็กออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มสื่อสารและบันเทิง ➡️ AI forensics สามารถวิเคราะห์ metadata, facial recognition และ pattern matching ได้รวดเร็ว ➡️ การใช้ deepfake และภาพที่สร้างด้วย AI ทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ➡️ Internet Watch Foundation พบภาพล่วงละเมิดเด็กที่สร้างด้วย AI กว่า 3,500 ภาพในเดือนเดียว https://hackread.com/ai-forensics-europol-track-children-online-abuse-case/
    HACKREAD.COM
    AI Forensics Help Europol Track 51 Children in Global Online Abuse Case
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ShadowLeak: ช่องโหว่ Zero-Click ที่ทำให้ ChatGPT ส่งข้อมูล Gmail โดยไม่รู้ตัว — เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางรั่วไหลข้อมูล”

    Radware บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Deep Research agent ของ ChatGPT ซึ่งสามารถถูกโจมตีแบบ “Zero-Click” โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ช่องโหว่นี้ถูกตั้งชื่อว่า “ShadowLeak” และถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวจาก Gmail โดยอาศัยเทคนิคที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection”

    การโจมตีเริ่มจากอีเมลที่ดูปกติ เช่นหัวข้อ “Restructuring Package – Action Items” แต่ภายในซ่อนคำสั่งลับด้วยเทคนิค CSS เช่น ตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว หรือฟอนต์ขนาดเล็ก เมื่อผู้ใช้สั่งให้ Deep Research agent วิเคราะห์อีเมลเหล่านี้ ตัว agent จะอ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลภายในองค์กร ไปยัง URL ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี โดยใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อให้ดูเหมือนปลอดภัย

    ที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้เกิดขึ้น “ฝั่งเซิร์ฟเวอร์” ของ OpenAI โดยตรง ไม่ผ่านเครื่องของผู้ใช้ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ และไม่มีหลักฐานหลงเหลือให้วิเคราะห์ย้อนหลัง

    แม้ช่องโหว่นี้จะถูกแจ้งไปยัง OpenAI ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และได้รับการแก้ไขในเดือนสิงหาคม 2025 แต่ Radware เตือนว่าการโจมตีแบบเดียวกันสามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research ได้ เช่น Google Drive, Microsoft Teams, GitHub และอื่น ๆ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ “ShadowLeak” เป็นการโจมตีแบบ Zero-Click ผ่าน ChatGPT Deep Research agent
    ใช้เทคนิค Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในอีเมลที่ดูปกติ
    Agent อ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่แจ้งผู้ใช้
    ใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อหลอกระบบว่าเป็นการส่งข้อมูลที่ปลอดภัย
    การโจมตีเกิดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้

    การตอบสนองและการแก้ไข
    Radware แจ้งช่องโหว่ไปยัง OpenAI ในเดือนมิถุนายน 2025
    OpenAI แก้ไขช่องโหว่ในเดือนสิงหาคม และประกาศว่าได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายน
    ช่องโหว่นี้สามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research เช่น Google Drive, GitHub, Microsoft Outlook

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deep Research agent เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหลายขั้นตอน
    การโจมตีแบบ Zero-Click เป็นภัยที่ร้ายแรงเพราะไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้
    Prompt Injection เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในระบบ AI ที่รับข้อมูลจากภายนอก
    การเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 ไม่ได้ปลอดภัยจริง แต่ช่วยให้ข้อมูลดูไม่เป็นอันตราย

    https://hackread.com/shadowleak-exploit-exposed-gmail-data-chatgpt-agent/
    🕵️‍♂️ “ShadowLeak: ช่องโหว่ Zero-Click ที่ทำให้ ChatGPT ส่งข้อมูล Gmail โดยไม่รู้ตัว — เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางรั่วไหลข้อมูล” Radware บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Deep Research agent ของ ChatGPT ซึ่งสามารถถูกโจมตีแบบ “Zero-Click” โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ช่องโหว่นี้ถูกตั้งชื่อว่า “ShadowLeak” และถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวจาก Gmail โดยอาศัยเทคนิคที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” การโจมตีเริ่มจากอีเมลที่ดูปกติ เช่นหัวข้อ “Restructuring Package – Action Items” แต่ภายในซ่อนคำสั่งลับด้วยเทคนิค CSS เช่น ตัวอักษรสีขาวบนพื้นขาว หรือฟอนต์ขนาดเล็ก เมื่อผู้ใช้สั่งให้ Deep Research agent วิเคราะห์อีเมลเหล่านี้ ตัว agent จะอ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลส่วนตัว เช่นชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลภายในองค์กร ไปยัง URL ที่ควบคุมโดยผู้โจมตี โดยใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อให้ดูเหมือนปลอดภัย ที่น่ากังวลคือการโจมตีนี้เกิดขึ้น “ฝั่งเซิร์ฟเวอร์” ของ OpenAI โดยตรง ไม่ผ่านเครื่องของผู้ใช้ ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ และไม่มีหลักฐานหลงเหลือให้วิเคราะห์ย้อนหลัง แม้ช่องโหว่นี้จะถูกแจ้งไปยัง OpenAI ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และได้รับการแก้ไขในเดือนสิงหาคม 2025 แต่ Radware เตือนว่าการโจมตีแบบเดียวกันสามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research ได้ เช่น Google Drive, Microsoft Teams, GitHub และอื่น ๆ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ “ShadowLeak” เป็นการโจมตีแบบ Zero-Click ผ่าน ChatGPT Deep Research agent ➡️ ใช้เทคนิค Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในอีเมลที่ดูปกติ ➡️ Agent อ่านคำสั่งลับและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่แจ้งผู้ใช้ ➡️ ใช้ browser.open() และเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 เพื่อหลอกระบบว่าเป็นการส่งข้อมูลที่ปลอดภัย ➡️ การโจมตีเกิดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI ทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ ✅ การตอบสนองและการแก้ไข ➡️ Radware แจ้งช่องโหว่ไปยัง OpenAI ในเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ OpenAI แก้ไขช่องโหว่ในเดือนสิงหาคม และประกาศว่าได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายน ➡️ ช่องโหว่นี้สามารถใช้กับบริการอื่นที่เชื่อมต่อกับ Deep Research เช่น Google Drive, GitHub, Microsoft Outlook ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deep Research agent เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหลายขั้นตอน ➡️ การโจมตีแบบ Zero-Click เป็นภัยที่ร้ายแรงเพราะไม่ต้องอาศัยการกระทำจากผู้ใช้ ➡️ Prompt Injection เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในระบบ AI ที่รับข้อมูลจากภายนอก ➡️ การเข้ารหัสข้อมูลด้วย Base64 ไม่ได้ปลอดภัยจริง แต่ช่วยให้ข้อมูลดูไม่เป็นอันตราย https://hackread.com/shadowleak-exploit-exposed-gmail-data-chatgpt-agent/
    HACKREAD.COM
    ShadowLeak Exploit Exposed Gmail Data Through ChatGPT Agent
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts