• เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่

    ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร

    AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์

    ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม

    ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล

    แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ

    การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย
    เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม
    บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก
    ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง

    การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท”
    บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน
    ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม
    ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน

    การลดลงของการมีส่วนร่วม
    อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย
    Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง

    การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ
    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon
    พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต
    แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว

    แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม
    เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด
    แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement
    การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด

    การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค
    เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส
    ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals
    สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย

    การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล
    เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก
    เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว
    สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

    https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก “คลิกเพื่อดูรูปฟรี” ถึง “เราสร้างพื้นที่ของเราเอง”: เมื่อโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครอยากอยู่ ในยุคแรกของโซเชียลมีเดีย เราเข้ามาเพื่อดูรูปงานแต่งของเพื่อน, สุนัขของญาติ, หรือโพสต์ที่มีความหมายจากคนที่เรารู้จักจริง ๆ แต่วันนี้ ฟีดของเรากลับเต็มไปด้วยโพสต์ซ้ำ ๆ จากบอท, รูปโปรไฟล์ปลอม, และคลิป AI ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดคลิก ไม่ใช่เพื่อสื่อสาร AI ไม่ได้แค่สร้างเนื้อหา แต่ยังสร้าง “ตัวตน” ที่ดูเหมือนมนุษย์—สาวสวยที่ตอบกลับโพสต์ด้วยคำพูดหวาน ๆ พร้อมลิงก์ไปยัง OnlyFans หรือบริการคล้ายกัน ซึ่งบางครั้งเธอเป็นคนจริง บางครั้งเป็นบอท และบางครั้งเป็นผู้ชายในห้องทำงานที่เมียนมาร์ ในขณะที่เนื้อหาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การมีส่วนร่วมกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่ได้พูดคุยกันอีกต่อไป แต่แค่เลื่อนผ่านเนื้อหาที่ดูเหมือนภาษาแต่ไม่มีความหมาย ความจริงถูกแทนที่ด้วยความบันเทิงแบบไร้ราก และความสัมพันธ์ถูกแทนที่ด้วยการตลาดแบบอัลกอริธึม ผู้คนเริ่มหนีออกจากแพลตฟอร์มใหญ่ ไปสู่พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีความตั้งใจ เช่น Discord, Substack, Patreon และกลุ่มแชตส่วนตัว ที่เน้นความสัมพันธ์มากกว่าการเติบโตแบบไวรัล แม้แต่ผู้สร้างเนื้อหาเองก็เริ่มเหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันกับ AI ที่ไม่หลับไม่พัก และสามารถสร้างโพสต์ที่ “ดูดี” ได้ในไม่กี่วินาที หลายคนจึงเลือกหยุด หรือหันไปใช้ Dumbphone เพื่อหลีกหนีจากการเสพติดหน้าจอ ✅ การเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย ➡️ เนื้อหาจริงจากมนุษย์ถูกลดความสำคัญลงโดยอัลกอริธึม ➡️ บอทและ AI สร้างโพสต์ซ้ำ ๆ เพื่อดึงดูดคลิก ➡️ ความแตกต่างระหว่างคนจริงกับบอทเริ่มเลือนลาง ✅ การเกิดขึ้นของ “เศรษฐกิจสาวบอท” ➡️ บอทที่ดูเหมือนมนุษย์ใช้เพื่อดึงดูดผู้ชายเข้าสู่บริการแบบเสียเงิน ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาบางคนเริ่มทำตัวเหมือนอัลกอริธึมเพื่อรักษาการมีส่วนร่วม ➡️ ความสัมพันธ์กลายเป็นธุรกรรมที่แลกเปลี่ยนความสนใจกับเงิน ✅ การลดลงของการมีส่วนร่วม ➡️ อัตราการมีส่วนร่วมใน Facebook และ X เหลือเพียง 0.15% โดยเฉลี่ย ➡️ Instagram ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ ผู้ใช้เลื่อนฟีดแบบครึ่งรู้สึกครึ่งหลงลืม ไม่ได้มีเป้าหมายจริง ✅ การย้ายไปสู่พื้นที่ที่มีความตั้งใจ ➡️ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้กลุ่มแชต, Discord, Substack และ Patreon ➡️ พื้นที่เหล่านี้เน้นความสัมพันธ์และความไว้วางใจมากกว่าการเติบโต ➡️ แพลตฟอร์มใหญ่เริ่มปรับตัว เช่น Instagram เน้น DMs, TikTok ทดลองกลุ่มส่วนตัว ✅ แนวคิดใหม่ในการออกแบบแพลตฟอร์ม ➡️ เสนอให้เพิ่ม “friction” เช่น หน่วงเวลาโพสต์, แสดงเวลาที่ใช้ก่อนอัปโหลด ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Are.na ไม่มีฟีดอัลกอริธึมหรือระบบ engagement ➡️ การออกแบบเพื่อเจตนาแทนการเสพติด ✅ การผลักดันให้โซเชียลมีเดียเป็นสาธารณูปโภค ➡️ เสนอให้มีการตรวจสอบอัลกอริธึมแบบโปร่งใส ➡️ ให้ผู้ใช้เลือกอัลกอริธึมที่ต้องการ เช่น ฟีดตามเวลา, ฟีดจาก mutuals ➡️ สร้างแพลตฟอร์มที่มี governance แบบประชาธิปไตย ✅ การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล ➡️ เสนอให้สอน digital literacy ตั้งแต่เด็ก ➡️ เน้นความเข้าใจอัลกอริธึมและการจัดการข้อมูลส่วนตัว ➡️ สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน https://www.noemamag.com/the-last-days-of-social-media/
    WWW.NOEMAMAG.COM
    The Last Days Of Social Media
    Social media promised connection, but it has delivered exhaustion.
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • ทหารภาค2ยึดอำนาจเลย,สุดจะทนนักการเมืองพวกห่านี้แล้ว,ทนกับอดีตนายกฯอังเคิลอยากได้อะไรเดียวจัดให้,ต้องมาทนพวกเจรจานี้จัดให้อีก,เข้าทรงเดิมชัดเจน,ไล่รัฐบาลนายกฯหนูอาจเร็วกว่ากำหนดอีก,เรา..ประชาชนไม่ทนกับรัฐบาลเก่าก็สมควรเกินบรรยายแล้ว,รัฐบาลใหม่ไม่ต่างอะไรด้วย,ไร้จุดยืนชัดเจน สร้างบาลีและวาทะกรรม บริบทแหกตาประชาชนได้ตลอด,เปิดด่าน เปิดผ่อนปรนห่าอะไรก็ไม่ได้ ไม่สมควรตอนนี้,เราปิดด่านแล้วมันมายิงปืนใส่ก็ให้มันทำเลย,เราไล่เขมรถีบออกจากแผ่นดินไทย ถ้ามันยิงใส่เราก็ให้มันยิงเลย,เราสร้างรั้วสร้างกำแพงรั้วลวดหนามในแผ่นดินบนแผ่นดินในเขตไทยเราเอง ห่างจากเส้นเสาหมุดสยามเรา5เมตรตลอดแนวพรมแดนเป็นพื้นมาตราฐานงานสร้าง ถ้ามันยิงใส่เรา ก็ให้มันยิงเลย จะกว่าอะไร กลัวทำไม มันมาวางกับระเบิดใหม่ก็ยิงคนมาวางทิ้งเลย ข้ามเขตแนวเสาหมุดตลิดแนวพรมแดน800กม.ก็ยิงทิ้งทหารเขมรทันทีเลย.,ทั้งหมดเราปิดก็ปิดด่านในส่วนเรา มันอยากเปิดก็เรื่องของมัน,ตัดน้ำมันบนบกและในทะเลตัดกันจริงๆมั้ย,ตัดไฟฟ้า ตัดซิมตัดเน็ตไทย ตัดจริงๆมั้ย ใครไปตรวจจับคลื่นเสาสัญญาณเลย,ลงคลิปแฉรัฐบาลหนูด้วยเลย,ปากเอาแต่พูด ส่วนค่าจริงไม่ทำจริงใดๆอะไรเลย,
    ..คดีฮั่วอาจดำเนินการอย่างรวดเร็ว คดียุบพรรคก็ด้วย คดีเขากระโดงก็ด้วย ถ้ายิ่งอยู่นานหลายวันแล้วเสียของขนาดนี้ก็ไปเถอะ,ไปทั้งครม.นั้นล่ะ.
    ..น่าผิดหวังมากๆ ยุทธปืนคอก็เหี้ยแล้ว โทรบอกบิ๊กกุ้งอย่าตอบโต้ยิ่งเหี้ยไปอีก,4เดือนนานไป,4วัน4อาทิตย์ก็พอแล้วล่ะ.
    ..ให้นายกฯคนที่33มาทำต่อก็ได้. มลทินเยอะเกินไป.
    ..เรา..ประชาชนดูจากเนื้องานและค่าจริง,ผลที่เกิดขึ้นจริง.
    #การเปิดด่านคือการทรยศคนที่ตายของไทย.
    #การเปิดด่านคือทางไม่แก้ปัญหาที่ยั่งยืน.
    #การเปิดด่านคือสนับสนุนเขมรให้มีกำลัง.
    #การเปิดด่านคือการทรยศคนไทยทั้งประเทศ.
    #พวกเจรจาคือพวกกบฎทรยศต่อน้ำใจคนไทย.
    #พวกเจรจาต้องให้ตายเกือบหมดครอบครัวบ้าง.
    #คณะเจรจาคนทั้งครอบครัวตนตายเกือบหมดอาจจะซึ้งเช่นผู้บริสุทธิ์เรา.
    ..
    #การเปิดด่านคือการพยายามก่อสงคราม.
    #การเปิดด่านคือการส่งเสบียงให้ศัตรูมีแรง.
    #การเปิดด่านมีแต่ไส้ศึกศัตรูเท่านั้นต้องการจะทำ.
    #ไส้ศึกเท่านั้นจะเปิดประตูให้โจรศัตรู.
    #คนทรยศเท่านั้นจะเปิดโอกาสให้ศัตรู.


    https://youtube.com/shorts/6wH99tZKmFA?si=6-LxcOKa_bW2mUtK
    ทหารภาค2ยึดอำนาจเลย,สุดจะทนนักการเมืองพวกห่านี้แล้ว,ทนกับอดีตนายกฯอังเคิลอยากได้อะไรเดียวจัดให้,ต้องมาทนพวกเจรจานี้จัดให้อีก,เข้าทรงเดิมชัดเจน,ไล่รัฐบาลนายกฯหนูอาจเร็วกว่ากำหนดอีก,เรา..ประชาชนไม่ทนกับรัฐบาลเก่าก็สมควรเกินบรรยายแล้ว,รัฐบาลใหม่ไม่ต่างอะไรด้วย,ไร้จุดยืนชัดเจน สร้างบาลีและวาทะกรรม บริบทแหกตาประชาชนได้ตลอด,เปิดด่าน เปิดผ่อนปรนห่าอะไรก็ไม่ได้ ไม่สมควรตอนนี้,เราปิดด่านแล้วมันมายิงปืนใส่ก็ให้มันทำเลย,เราไล่เขมรถีบออกจากแผ่นดินไทย ถ้ามันยิงใส่เราก็ให้มันยิงเลย,เราสร้างรั้วสร้างกำแพงรั้วลวดหนามในแผ่นดินบนแผ่นดินในเขตไทยเราเอง ห่างจากเส้นเสาหมุดสยามเรา5เมตรตลอดแนวพรมแดนเป็นพื้นมาตราฐานงานสร้าง ถ้ามันยิงใส่เรา ก็ให้มันยิงเลย จะกว่าอะไร กลัวทำไม มันมาวางกับระเบิดใหม่ก็ยิงคนมาวางทิ้งเลย ข้ามเขตแนวเสาหมุดตลิดแนวพรมแดน800กม.ก็ยิงทิ้งทหารเขมรทันทีเลย.,ทั้งหมดเราปิดก็ปิดด่านในส่วนเรา มันอยากเปิดก็เรื่องของมัน,ตัดน้ำมันบนบกและในทะเลตัดกันจริงๆมั้ย,ตัดไฟฟ้า ตัดซิมตัดเน็ตไทย ตัดจริงๆมั้ย ใครไปตรวจจับคลื่นเสาสัญญาณเลย,ลงคลิปแฉรัฐบาลหนูด้วยเลย,ปากเอาแต่พูด ส่วนค่าจริงไม่ทำจริงใดๆอะไรเลย, ..คดีฮั่วอาจดำเนินการอย่างรวดเร็ว คดียุบพรรคก็ด้วย คดีเขากระโดงก็ด้วย ถ้ายิ่งอยู่นานหลายวันแล้วเสียของขนาดนี้ก็ไปเถอะ,ไปทั้งครม.นั้นล่ะ. ..น่าผิดหวังมากๆ ยุทธปืนคอก็เหี้ยแล้ว โทรบอกบิ๊กกุ้งอย่าตอบโต้ยิ่งเหี้ยไปอีก,4เดือนนานไป,4วัน4อาทิตย์ก็พอแล้วล่ะ. ..ให้นายกฯคนที่33มาทำต่อก็ได้. มลทินเยอะเกินไป. ..เรา..ประชาชนดูจากเนื้องานและค่าจริง,ผลที่เกิดขึ้นจริง. #การเปิดด่านคือการทรยศคนที่ตายของไทย. #การเปิดด่านคือทางไม่แก้ปัญหาที่ยั่งยืน. #การเปิดด่านคือสนับสนุนเขมรให้มีกำลัง. #การเปิดด่านคือการทรยศคนไทยทั้งประเทศ. #พวกเจรจาคือพวกกบฎทรยศต่อน้ำใจคนไทย. #พวกเจรจาต้องให้ตายเกือบหมดครอบครัวบ้าง. #คณะเจรจาคนทั้งครอบครัวตนตายเกือบหมดอาจจะซึ้งเช่นผู้บริสุทธิ์เรา. .. #การเปิดด่านคือการพยายามก่อสงคราม. #การเปิดด่านคือการส่งเสบียงให้ศัตรูมีแรง. #การเปิดด่านมีแต่ไส้ศึกศัตรูเท่านั้นต้องการจะทำ. #ไส้ศึกเท่านั้นจะเปิดประตูให้โจรศัตรู. #คนทรยศเท่านั้นจะเปิดโอกาสให้ศัตรู. https://youtube.com/shorts/6wH99tZKmFA?si=6-LxcOKa_bW2mUtK
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “MostereRAT: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ AnyDesk และ TightVNC ยึดเครื่อง Windows แบบเงียบๆ!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเปิดอีเมลจากลูกค้าใหม่ที่ดูน่าเชื่อถือ มีไฟล์แนบเป็นเอกสาร Word ดูไม่มีพิษภัย แต่ทันทีที่คุณเปิดไฟล์นั้น…คุณได้เปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามานั่งอยู่ในเครื่องคุณโดยไม่รู้ตัว

    นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “MostereRAT” ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก FortiGuard Labs และกำลังโจมตีผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นผ่านแคมเปญฟิชชิ่งที่แนบเนียนมาก

    เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล มัลแวร์จะดาวน์โหลดไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่ภายใน และเมื่อเปิดไฟล์นั้น โปรแกรมอันตรายจะถูกติดตั้งทันที โดยใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับขั้นสูง เช่น เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) ซึ่งเป็นภาษาสำหรับผู้ใช้จีนที่เครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ทั่วไปไม่ค่อยรองรับ

    จากนั้น MostereRAT จะปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัส, บล็อกการอัปเดต Windows และใช้การเข้ารหัสแบบ mutual TLS (mTLS) เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้แทบไม่มีใครตรวจจับได้

    ที่น่ากลัวคือ มันใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องของเหยื่อแบบเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ เพื่อให้กลับเข้ามาได้แม้เหยื่อจะพยายามลบมัลแวร์ออกไปแล้ว

    ลักษณะของ MostereRAT
    เป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่ให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    ถูกส่งผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นธุรกิจจริง
    ใช้ไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิด
    เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) เพื่อหลบการตรวจจับ
    ปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันและบล็อกการอัปเดต Windows
    ใช้การเข้ารหัสแบบ mTLS เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ติดตั้งโปรแกรม AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องเหยื่อ
    สร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับ admin เพื่อรักษาการเข้าถึง
    พัฒนามาจาก banking trojan ที่เคยพบในปี 2020

    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรตั้งค่าบราวเซอร์ให้ถามก่อนดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก
    จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ ไม่ควรให้สิทธิ์ระดับ SYSTEM หรือ TrustedInstaller
    ใช้นโยบายควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันการรันโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต
    อัปเดตระบบและโปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows
    การคลิกลิงก์ในอีเมลที่ดูน่าเชื่อถืออาจเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามา
    โปรแกรม AnyDesk และ TightVNC แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่สามารถถูกใช้ในทางร้ายได้
    การปิดการทำงานของ Windows Security โดยมัลแวร์จะทำให้ระบบไร้การป้องกัน
    บัญชีผู้ใช้ลับที่ถูกสร้างขึ้นอาจยังอยู่แม้จะลบมัลแวร์ไปแล้ว
    การใช้ภาษา EPL ทำให้เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้

    https://hackread.com/mostererat-windows-anydesk-tightvnc-access/
    🕵️‍♂️ “MostereRAT: มัลแวร์สายลับยุคใหม่ ใช้ AnyDesk และ TightVNC ยึดเครื่อง Windows แบบเงียบๆ!” ลองจินตนาการว่าคุณเปิดอีเมลจากลูกค้าใหม่ที่ดูน่าเชื่อถือ มีไฟล์แนบเป็นเอกสาร Word ดูไม่มีพิษภัย แต่ทันทีที่คุณเปิดไฟล์นั้น…คุณได้เปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามานั่งอยู่ในเครื่องคุณโดยไม่รู้ตัว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า “MostereRAT” ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก FortiGuard Labs และกำลังโจมตีผู้ใช้ Windows โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นผ่านแคมเปญฟิชชิ่งที่แนบเนียนมาก เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ในอีเมล มัลแวร์จะดาวน์โหลดไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่ภายใน และเมื่อเปิดไฟล์นั้น โปรแกรมอันตรายจะถูกติดตั้งทันที โดยใช้เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับขั้นสูง เช่น เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) ซึ่งเป็นภาษาสำหรับผู้ใช้จีนที่เครื่องมือวิเคราะห์มัลแวร์ทั่วไปไม่ค่อยรองรับ จากนั้น MostereRAT จะปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันไวรัส, บล็อกการอัปเดต Windows และใช้การเข้ารหัสแบบ mutual TLS (mTLS) เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ทำให้แทบไม่มีใครตรวจจับได้ ที่น่ากลัวคือ มันใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องของเหยื่อแบบเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ เพื่อให้กลับเข้ามาได้แม้เหยื่อจะพยายามลบมัลแวร์ออกไปแล้ว ✅ ลักษณะของ MostereRAT ➡️ เป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่ให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ ถูกส่งผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่ปลอมเป็นธุรกิจจริง ➡️ ใช้ไฟล์ Word ที่มี archive ซ่อนอยู่เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิด ➡️ เขียนด้วยภาษา Easy Programming Language (EPL) เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ ปิดการทำงานของโปรแกรมป้องกันและบล็อกการอัปเดต Windows ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ mTLS เพื่อซ่อนการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ติดตั้งโปรแกรม AnyDesk และ TightVNC เพื่อควบคุมเครื่องเหยื่อ ➡️ สร้างบัญชีผู้ใช้ลับที่มีสิทธิ์ระดับ admin เพื่อรักษาการเข้าถึง ➡️ พัฒนามาจาก banking trojan ที่เคยพบในปี 2020 ✅ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรตั้งค่าบราวเซอร์ให้ถามก่อนดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก ➡️ จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ในระบบ ไม่ควรให้สิทธิ์ระดับ SYSTEM หรือ TrustedInstaller ➡️ ใช้นโยบายควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อป้องกันการรันโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ➡️ อัปเดตระบบและโปรแกรมป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Windows ⛔ การคลิกลิงก์ในอีเมลที่ดูน่าเชื่อถืออาจเปิดทางให้มัลแวร์เข้ามา ⛔ โปรแกรม AnyDesk และ TightVNC แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่สามารถถูกใช้ในทางร้ายได้ ⛔ การปิดการทำงานของ Windows Security โดยมัลแวร์จะทำให้ระบบไร้การป้องกัน ⛔ บัญชีผู้ใช้ลับที่ถูกสร้างขึ้นอาจยังอยู่แม้จะลบมัลแวร์ไปแล้ว ⛔ การใช้ภาษา EPL ทำให้เครื่องมือวิเคราะห์ทั่วไปไม่สามารถตรวจจับได้ https://hackread.com/mostererat-windows-anydesk-tightvnc-access/
    HACKREAD.COM
    MostereRAT Targets Windows, Uses AnyDesk and TightVNC for Full Access
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 Reviews
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    บทสรุป
    อันที่จริงเราแทบไม่ต้องรอดูเลยว่า National Security Strategy ของอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2014 จะบอกว่าอย่างไร และอเมริกาจะเลือก การบริหารจัดการกับฐานทัพของตน ที่สร้างไว้ทั่วโลกอย่างไร
    กระบวนยุทธของอเมริกาในช่วง 2-3 ปีนี้ มันฟ้องออกมาแล้วว่าอเมริกาไม่มีวันเลิก
สันดานนักล่า และเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะกระเป๋าขาดแค่ไหน ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะอเมริกาสามารถแต่งเรื่อง พิมพ์เงินกระดาษออกมาได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แต่ที่จะปล่อยให้มีนักล่าหน้าใหม่ ขึ้นมาชิงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งนั้น เป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ นอกจากนั้น ในทศวรรษนี้ อเมริกาต้องตามล่าหาน้ำมันและก๊าซ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อชิงไม่ให้ใครได้ไป เพราะน้ำมันเป็นอาวุธเลี้ยงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและกองทัพของทุกประเทศ
และอเมริกาไม่มีทางปล่อยให้จีนโตไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือทางกองทัพ
    เพราะฉะนั้นการย้ายฐานทัพ ไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก โดยเฉพาะฐานทัพใบบัวกบกระโดดมาทาง AsiaPacific นี้ คือการล้อมกรอบจีน (containment) ทางทะเลอย่างสมบูรณ์แบบ
    นอกจากนี้ทะเลจีนใต้ มีความสำคัญกับอเมริกาไม่ต่างกับจีน ฝ่ายใดคุมทะเลจีนใต้ ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ
    – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางสัญจรทางทะเลที่คับคั่งอันดับ 2 ของโลก
    – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 1 ใน 3 ของโลก และขนส่งก๊าซครึ่งหนึ่งของโลก
การขนส่งผ่านมาทางช่องแคบมะละกา และอ่าวไทย ภายหลังวิกฤติ Fukushima ที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องสั่งก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขนส่งมาตามเส้นทางนี้ อเมริกาจะปล่อยให้ญี่ปุ่นเสี่ยงกับการ black out ทั้งเกาะไหวไหม ?
    – ความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิ บนพื้นที่เกาะบริเวณทะเลจีนใต้กำลังเข้มข้นระหว่างจีนกับ
เหล่าลูกหาบของอเมริกา สิทธิบนพื้นที่ยอมโยงกับทรัพยากรใต้พื้นที่ อเมริกาจะยืนดูลูกหาบทำสงครามแย่งชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ โดยไม่เข้าไปกำกับการแสดงหรือ ผิดสันดานไปหน่อย
    – ทะเลจีนใต้เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันและก๊าซที่อุดมสมบูรณ์มากมาก ตามรายงานของ
IEA (US Energy Information Administration)
    – จีนเพิ่งประกาศ Air Defense Identification Zone (ADIZ) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2013 นี่เอง โดยไม่บอกกล่าวเล่าสิบแก่ใคร สำหรับจีนการประกาศ ADIZ นี้เป็นครั้งแรก แต่สำหรับอเมริกาทำมาแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาบอกว่า จีนกำลังขยายสิทธิในอาณาเขตของตัวเองออกไป เพื่อยื่นขาไปเตะญี่ปุ่นให้ออกไปจากหมู่เกาะ ที่ญี่ปุ่นเรียก Senkakuแต่จีนเรียก Diaoyu
    การประกาศ ADIZ ของจีน ทำให้นักล่ากำลังสะอึก นึกไม่ถึง สั่งให้สมุนออกมา
ช่วยกันประนามจีน ว่ากำลังทำเกิน โดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใคร แต่จีนก็ทำ แล้วถามว่าต้องถามใคร ? กำลังเป็นเรื่องที่น่าติดตามปฎิกิริยาของนักล่าและลูกหาบและสมุน
    ส่วนสมันน้อยมีทางเลือกอะไร เซ็นสัญญาเสียอธิปไตยในส่วนนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ปีมะโว้ ควร
จะมีการเจรจาแก้ไขกันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาล และทหารหาญทั้งหลาย คงยืนโก้งโค้งมอง ถึงได้เห็นผลลัพท์กลับหัวกลับหาง ไม่มีใครเจรจาแก้ไข ปล่อยมาถึงทุกวันนี้ วันที่สนามประลองเขี้ยวนักล่ากำลังฝุ่นตลบ ไหน ๆ ก็จะปฎิรูปประเทศแล้ว มวลมหาประชาชนก็ลองศึกษาเรื่องนี้ดูกันบ้าง จะแก้ไข หรือปล่อยคาไว้อีก 50 ปี!
    ขอจบด้วยการเล่าเรื่องฐานทัพอเมริกาที่ Okinawa ดูผ่าน ๆ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับ สมันน้อย แต่มันอาจจะเกี่ยว และน่าสนใจ อยากเล่าครับ
    ญี่ปุ่นที่เคยอยู่แต่ในโอวาทของอเมริกา เกิดมีปัญหาขัดใจ เรื่องฐานทัอากาศ
Futenma ที่ตั้งอยู่ที่เกาะ Okinawa
ปี ค.ศ. 1995 ทหารอเมริกัน 3 คน ไปลักพาเด็กนักเรียนหญิงชาวญี่ปุ่น
อายุสิบสอง ไปรุมข่มขืนและทิ้งให้เด็กหญิงนอนอยู่ข้างถนน แล้วทหาร 3 คน ก็หนีกลับเข้าฐานทัพ
ชาวญี่ปุ่นประท้วงอยู่นาน กว่ากองทัพอเมริกาจะยอมดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิด
แม้จะได้ตัวคนทำความผิดมาแล้ว ตอนแรกอเมริกาก็คิดจะนำกลับไปดำเนินคดีในบ้านตัวเอง เพราะมีข้อตกลงในเรื่องนี้กันไว้แล้วกับญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยทำสัญญากับราชอาณาจักรไทยสมัยสงครามเวียตนาม ทำให้เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต) แต่ชาวญี่ปุ่นไม่ยอม ทั้งประนามและประท้วงอย่างรุนแรง ให้มีการดำเนินคดีที่ญี่ปุ่น และยื่นคำขาดให้อเมริกาย้ายฐานทัพออกไปจากเกาะ Okinawa
    ทั้งอเมริกาและรัฐบาลญี่ปุ่นถ่วงการเจรจาอยู่ 17 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมองในแง่เศรษฐกิจว่า การมีฐานทัพอยู่ในบริเวณนั้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่น และที่สำคัญภายใต้สัญญา Treaty of Mutual Cooperation ที่ญี่ปุ่นทำไว้กับอเมริกา (ประเภทสัญญาทาสเหมือนกัน !)
ถ้ามีการย้ายฐานทัพอเมริกาออกไปจาก Okinawa ซึ่งเป็นบริเวณที่อเมริกาเจาะจงเลือก เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีนและเกาหลีเหนือที่สุด ญี่ปุ่นจะต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนในการย้ายฐานทัพ ให้แก่อเมริกา (ไม่ใช่ย้ายทิ้ง แค่ย้ายที่ยังต้องจ่าย มันโหดจริง ๆ)
ปี ค.ศ. 2006 อเมริกากับญี่ปุ่นได้ข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะปิดฐานทัพนี้ และย้ายไปอยู่ทางเหนือของเกาะแทน แล้วเรื่องก็ค้างคา (อย่างจงใจจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย)
    ล่าสุด เพิ่งมาตกลงกันได้ เมื่อปลายปี ค.ศ. 2013 โดยญี่ปุ่นจะต้องจ่ายเงินมหาศาลให้แก่อเมริกาเป็นค่าย้าย โดยปี ค.ศ. 2014 ต้องจ่ายเงินประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ หลังจากนั้นจ่ายเป็นรายปี อีกปีละ 2.85 พันล้านเหรียญ จนถึงปี ค.ศ. 2021 ญี่ปุ่นซึ่งกำลังกรอบจากเศรษฐกิจและวิกฤติ Fukushima จะมีปัญญาจ่ายไหม ?
    นอกจากนี้ ตามข้อตกลงใหม่ ฐานใหม่จะไปสร้างที่อ่าว Nago ทางเหนือของ Okinawa
ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีของ Nago ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาในตำแหน่ง เมื่อเดือนมกรานี้เอง หลังจากประกาศตอนหาเสียงว่า จะทำทุกอย่างไม่ให้อเมริกามาตั้งฐานทัพที่ Nago
ข่าวนี้ทำให้ทั้งวอชิงตันและนายกรัฐมนตรี Abe ออกมาโต้ นายกเทศมนตรีหมาด ๆ ว่าเป็นแค่นายกฯ เมืองเล็ก ๆ จะทะลึ่งมาล้มแผนย้ายฐานทัพได้อย่างไร นายกเล็ก บอกว่าล้มแผนได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่นายกเล็ก มีสิทธิ สั่งห้ามการใช้ถนนและสาธารณูปโภคทั้งปวงของเมือง Nago ได้
    เป็นการต่อต้านการสร้างฐานทัพ ที่น่าสนใจครับ และน่าสนใจว่าการย้ายฐานทัพจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 กพ 57
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” บทสรุป อันที่จริงเราแทบไม่ต้องรอดูเลยว่า National Security Strategy ของอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2014 จะบอกว่าอย่างไร และอเมริกาจะเลือก การบริหารจัดการกับฐานทัพของตน ที่สร้างไว้ทั่วโลกอย่างไร กระบวนยุทธของอเมริกาในช่วง 2-3 ปีนี้ มันฟ้องออกมาแล้วว่าอเมริกาไม่มีวันเลิก
สันดานนักล่า และเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะกระเป๋าขาดแค่ไหน ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะอเมริกาสามารถแต่งเรื่อง พิมพ์เงินกระดาษออกมาได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แต่ที่จะปล่อยให้มีนักล่าหน้าใหม่ ขึ้นมาชิงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งนั้น เป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ นอกจากนั้น ในทศวรรษนี้ อเมริกาต้องตามล่าหาน้ำมันและก๊าซ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อชิงไม่ให้ใครได้ไป เพราะน้ำมันเป็นอาวุธเลี้ยงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและกองทัพของทุกประเทศ
และอเมริกาไม่มีทางปล่อยให้จีนโตไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือทางกองทัพ เพราะฉะนั้นการย้ายฐานทัพ ไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก โดยเฉพาะฐานทัพใบบัวกบกระโดดมาทาง AsiaPacific นี้ คือการล้อมกรอบจีน (containment) ทางทะเลอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ทะเลจีนใต้ มีความสำคัญกับอเมริกาไม่ต่างกับจีน ฝ่ายใดคุมทะเลจีนใต้ ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางสัญจรทางทะเลที่คับคั่งอันดับ 2 ของโลก – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 1 ใน 3 ของโลก และขนส่งก๊าซครึ่งหนึ่งของโลก
การขนส่งผ่านมาทางช่องแคบมะละกา และอ่าวไทย ภายหลังวิกฤติ Fukushima ที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องสั่งก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขนส่งมาตามเส้นทางนี้ อเมริกาจะปล่อยให้ญี่ปุ่นเสี่ยงกับการ black out ทั้งเกาะไหวไหม ? – ความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิ บนพื้นที่เกาะบริเวณทะเลจีนใต้กำลังเข้มข้นระหว่างจีนกับ
เหล่าลูกหาบของอเมริกา สิทธิบนพื้นที่ยอมโยงกับทรัพยากรใต้พื้นที่ อเมริกาจะยืนดูลูกหาบทำสงครามแย่งชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ โดยไม่เข้าไปกำกับการแสดงหรือ ผิดสันดานไปหน่อย – ทะเลจีนใต้เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันและก๊าซที่อุดมสมบูรณ์มากมาก ตามรายงานของ
IEA (US Energy Information Administration) – จีนเพิ่งประกาศ Air Defense Identification Zone (ADIZ) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2013 นี่เอง โดยไม่บอกกล่าวเล่าสิบแก่ใคร สำหรับจีนการประกาศ ADIZ นี้เป็นครั้งแรก แต่สำหรับอเมริกาทำมาแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาบอกว่า จีนกำลังขยายสิทธิในอาณาเขตของตัวเองออกไป เพื่อยื่นขาไปเตะญี่ปุ่นให้ออกไปจากหมู่เกาะ ที่ญี่ปุ่นเรียก Senkakuแต่จีนเรียก Diaoyu การประกาศ ADIZ ของจีน ทำให้นักล่ากำลังสะอึก นึกไม่ถึง สั่งให้สมุนออกมา
ช่วยกันประนามจีน ว่ากำลังทำเกิน โดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใคร แต่จีนก็ทำ แล้วถามว่าต้องถามใคร ? กำลังเป็นเรื่องที่น่าติดตามปฎิกิริยาของนักล่าและลูกหาบและสมุน ส่วนสมันน้อยมีทางเลือกอะไร เซ็นสัญญาเสียอธิปไตยในส่วนนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ปีมะโว้ ควร
จะมีการเจรจาแก้ไขกันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาล และทหารหาญทั้งหลาย คงยืนโก้งโค้งมอง ถึงได้เห็นผลลัพท์กลับหัวกลับหาง ไม่มีใครเจรจาแก้ไข ปล่อยมาถึงทุกวันนี้ วันที่สนามประลองเขี้ยวนักล่ากำลังฝุ่นตลบ ไหน ๆ ก็จะปฎิรูปประเทศแล้ว มวลมหาประชาชนก็ลองศึกษาเรื่องนี้ดูกันบ้าง จะแก้ไข หรือปล่อยคาไว้อีก 50 ปี! ขอจบด้วยการเล่าเรื่องฐานทัพอเมริกาที่ Okinawa ดูผ่าน ๆ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับ สมันน้อย แต่มันอาจจะเกี่ยว และน่าสนใจ อยากเล่าครับ ญี่ปุ่นที่เคยอยู่แต่ในโอวาทของอเมริกา เกิดมีปัญหาขัดใจ เรื่องฐานทัอากาศ
Futenma ที่ตั้งอยู่ที่เกาะ Okinawa
ปี ค.ศ. 1995 ทหารอเมริกัน 3 คน ไปลักพาเด็กนักเรียนหญิงชาวญี่ปุ่น
อายุสิบสอง ไปรุมข่มขืนและทิ้งให้เด็กหญิงนอนอยู่ข้างถนน แล้วทหาร 3 คน ก็หนีกลับเข้าฐานทัพ
ชาวญี่ปุ่นประท้วงอยู่นาน กว่ากองทัพอเมริกาจะยอมดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิด
แม้จะได้ตัวคนทำความผิดมาแล้ว ตอนแรกอเมริกาก็คิดจะนำกลับไปดำเนินคดีในบ้านตัวเอง เพราะมีข้อตกลงในเรื่องนี้กันไว้แล้วกับญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยทำสัญญากับราชอาณาจักรไทยสมัยสงครามเวียตนาม ทำให้เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต) แต่ชาวญี่ปุ่นไม่ยอม ทั้งประนามและประท้วงอย่างรุนแรง ให้มีการดำเนินคดีที่ญี่ปุ่น และยื่นคำขาดให้อเมริกาย้ายฐานทัพออกไปจากเกาะ Okinawa ทั้งอเมริกาและรัฐบาลญี่ปุ่นถ่วงการเจรจาอยู่ 17 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมองในแง่เศรษฐกิจว่า การมีฐานทัพอยู่ในบริเวณนั้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่น และที่สำคัญภายใต้สัญญา Treaty of Mutual Cooperation ที่ญี่ปุ่นทำไว้กับอเมริกา (ประเภทสัญญาทาสเหมือนกัน !)
ถ้ามีการย้ายฐานทัพอเมริกาออกไปจาก Okinawa ซึ่งเป็นบริเวณที่อเมริกาเจาะจงเลือก เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีนและเกาหลีเหนือที่สุด ญี่ปุ่นจะต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนในการย้ายฐานทัพ ให้แก่อเมริกา (ไม่ใช่ย้ายทิ้ง แค่ย้ายที่ยังต้องจ่าย มันโหดจริง ๆ)
ปี ค.ศ. 2006 อเมริกากับญี่ปุ่นได้ข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะปิดฐานทัพนี้ และย้ายไปอยู่ทางเหนือของเกาะแทน แล้วเรื่องก็ค้างคา (อย่างจงใจจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย) ล่าสุด เพิ่งมาตกลงกันได้ เมื่อปลายปี ค.ศ. 2013 โดยญี่ปุ่นจะต้องจ่ายเงินมหาศาลให้แก่อเมริกาเป็นค่าย้าย โดยปี ค.ศ. 2014 ต้องจ่ายเงินประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ หลังจากนั้นจ่ายเป็นรายปี อีกปีละ 2.85 พันล้านเหรียญ จนถึงปี ค.ศ. 2021 ญี่ปุ่นซึ่งกำลังกรอบจากเศรษฐกิจและวิกฤติ Fukushima จะมีปัญญาจ่ายไหม ? นอกจากนี้ ตามข้อตกลงใหม่ ฐานใหม่จะไปสร้างที่อ่าว Nago ทางเหนือของ Okinawa
ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีของ Nago ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาในตำแหน่ง เมื่อเดือนมกรานี้เอง หลังจากประกาศตอนหาเสียงว่า จะทำทุกอย่างไม่ให้อเมริกามาตั้งฐานทัพที่ Nago
ข่าวนี้ทำให้ทั้งวอชิงตันและนายกรัฐมนตรี Abe ออกมาโต้ นายกเทศมนตรีหมาด ๆ ว่าเป็นแค่นายกฯ เมืองเล็ก ๆ จะทะลึ่งมาล้มแผนย้ายฐานทัพได้อย่างไร นายกเล็ก บอกว่าล้มแผนได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่นายกเล็ก มีสิทธิ สั่งห้ามการใช้ถนนและสาธารณูปโภคทั้งปวงของเมือง Nago ได้ เป็นการต่อต้านการสร้างฐานทัพ ที่น่าสนใจครับ และน่าสนใจว่าการย้ายฐานทัพจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 กพ 57
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: Rust กับพลังที่ซ่อนอยู่ของความมั่นใจ

    Bernard Kolobara ผู้พัฒนาเบื้องหลัง Lubeno ได้แชร์ประสบการณ์ตรงว่า Rust ไม่ได้แค่ปลอดภัย แต่ยังช่วยให้เขาทำงานได้เร็วขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโค้ดเบสเติบโตจนไม่สามารถจำทุกส่วนได้หมด การ refactor โค้ดในภาษาทั่วไปมักทำให้เกิดความลังเล แต่ Rust กลับให้ความมั่นใจว่า “ถ้ามันคอมไพล์ผ่าน ก็ปลอดภัยแล้ว”

    เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เจอ bug จากการใช้ mutex ร่วมกับ async await ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย แต่ Rust กลับตรวจจับได้ว่า mutex guard ถูกถือข้าม await point ซึ่งอาจทำให้เกิด undefined behavior เพราะ scheduler อาจย้าย thread ไปปลดล็อก mutex บน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ซึ่ง Rust ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

    ในขณะที่ TypeScript กลับปล่อยให้ bug แบบ race condition หลุดไปถึง production โดยไม่เตือนอะไรเลย เช่น การ redirect ด้วย window.location.href ที่ไม่ได้หยุดการทำงานทันที ทำให้คำสั่ง redirect ถัดไปเขียนทับคำสั่งแรกโดยไม่รู้ตัว

    Rust เพิ่ม productivity ผ่านความมั่นใจ
    เมื่อโค้ดเบสใหญ่ขึ้น Rust ช่วยให้กล้า refactor โดยไม่กลัวผลกระทบ
    ความปลอดภัยของ type system และ borrow checker ทำให้มั่นใจว่าโค้ดไม่พัง
    Productivity เพิ่มขึ้นแม้โค้ดจะซับซ้อนขึ้น

    ปัญหา mutex guard กับ async await
    Rust ไม่อนุญาตให้ถือ mutex guard ข้าม await point
    Scheduler อาจย้าย thread ทำให้ unlock เกิดบน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม
    การแก้ไขคือปลดล็อกก่อน await เพื่อหลีกเลี่ยง undefined behavior

    ความสามารถของ Rust compiler
    ตรวจจับ bug ที่เกิดจากการจัดการ thread และ lifetime ได้แม่นยำ
    บังคับให้เขียนโค้ดที่ปลอดภัยแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
    ระบบ type และ lifetime ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

    ตัวอย่าง bug ใน TypeScript
    การใช้ window.location.href ไม่หยุดการทำงานทันที
    เกิด race condition ที่ redirect ถูกเขียนทับ
    การแก้ไขคือใช้ return เพื่อหยุดการทำงานหลัง redirect

    มุมมองเรื่องการทดสอบ
    Rust ลดความจำเป็นในการเขียน test เพื่อป้องกัน regression
    Compiler ทำหน้าที่เป็น safety net ที่แข็งแกร่ง
    แต่ในบางกรณีที่ type system ไม่ครอบคลุม การเขียน test ก็ยังจำเป็น

    https://lubeno.dev/blog/rusts-productivity-curve
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามโค้ด: Rust กับพลังที่ซ่อนอยู่ของความมั่นใจ Bernard Kolobara ผู้พัฒนาเบื้องหลัง Lubeno ได้แชร์ประสบการณ์ตรงว่า Rust ไม่ได้แค่ปลอดภัย แต่ยังช่วยให้เขาทำงานได้เร็วขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อโค้ดเบสเติบโตจนไม่สามารถจำทุกส่วนได้หมด การ refactor โค้ดในภาษาทั่วไปมักทำให้เกิดความลังเล แต่ Rust กลับให้ความมั่นใจว่า “ถ้ามันคอมไพล์ผ่าน ก็ปลอดภัยแล้ว” เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เจอ bug จากการใช้ mutex ร่วมกับ async await ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย แต่ Rust กลับตรวจจับได้ว่า mutex guard ถูกถือข้าม await point ซึ่งอาจทำให้เกิด undefined behavior เพราะ scheduler อาจย้าย thread ไปปลดล็อก mutex บน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ซึ่ง Rust ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ในขณะที่ TypeScript กลับปล่อยให้ bug แบบ race condition หลุดไปถึง production โดยไม่เตือนอะไรเลย เช่น การ redirect ด้วย window.location.href ที่ไม่ได้หยุดการทำงานทันที ทำให้คำสั่ง redirect ถัดไปเขียนทับคำสั่งแรกโดยไม่รู้ตัว ✅ Rust เพิ่ม productivity ผ่านความมั่นใจ ➡️ เมื่อโค้ดเบสใหญ่ขึ้น Rust ช่วยให้กล้า refactor โดยไม่กลัวผลกระทบ ➡️ ความปลอดภัยของ type system และ borrow checker ทำให้มั่นใจว่าโค้ดไม่พัง ➡️ Productivity เพิ่มขึ้นแม้โค้ดจะซับซ้อนขึ้น ✅ ปัญหา mutex guard กับ async await ➡️ Rust ไม่อนุญาตให้ถือ mutex guard ข้าม await point ➡️ Scheduler อาจย้าย thread ทำให้ unlock เกิดบน thread ที่ไม่ใช่ตัวเดิม ➡️ การแก้ไขคือปลดล็อกก่อน await เพื่อหลีกเลี่ยง undefined behavior ✅ ความสามารถของ Rust compiler ➡️ ตรวจจับ bug ที่เกิดจากการจัดการ thread และ lifetime ได้แม่นยำ ➡️ บังคับให้เขียนโค้ดที่ปลอดภัยแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ➡️ ระบบ type และ lifetime ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ✅ ตัวอย่าง bug ใน TypeScript ➡️ การใช้ window.location.href ไม่หยุดการทำงานทันที ➡️ เกิด race condition ที่ redirect ถูกเขียนทับ ➡️ การแก้ไขคือใช้ return เพื่อหยุดการทำงานหลัง redirect ✅ มุมมองเรื่องการทดสอบ ➡️ Rust ลดความจำเป็นในการเขียน test เพื่อป้องกัน regression ➡️ Compiler ทำหน้าที่เป็น safety net ที่แข็งแกร่ง ➡️ แต่ในบางกรณีที่ type system ไม่ครอบคลุม การเขียน test ก็ยังจำเป็น https://lubeno.dev/blog/rusts-productivity-curve
    LUBENO.DEV
    The unexpected productivity boost of Rust
    Rust is known for having a steep learning curve, but in this post we will be looking at another curve, the one showing developer productivity in relation to the project size.
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • 19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others

    Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before.

    1. dragon’s blood
    This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s.

    2. quercitron
    Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.”

    3. ultramarine
    If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s.

    4. annatto
    Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib.

    5. Tyrian purple
    Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s.

    6. Mazarine
    Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential.

    7. cerulean
    Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s.

    8. greige
    What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk.

    9. citreous
    If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865.

    10. ponceau
    You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825.

    11. sepia
    If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia).

    12. gamboge
    Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s.

    13. lovat
    Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters.

    14. smaragdine
    If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350.

    15. puce
    In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s.

    16. Viridian
    Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s.

    17. heliotrope
    Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.”

    18. sable
    Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s.

    19. wheaten
    What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before. 1. dragon’s blood This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s. 2. quercitron Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.” 3. ultramarine If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s. 4. annatto Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib. 5. Tyrian purple Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s. 6. Mazarine Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential. 7. cerulean Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s. 8. greige What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk. 9. citreous If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865. 10. ponceau You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825. 11. sepia If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia). 12. gamboge Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s. 13. lovat Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters. 14. smaragdine If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350. 15. puce In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s. 16. Viridian Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s. 17. heliotrope Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.” 18. sable Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s. 19. wheaten What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • รถไฟฟ้า LRT สายแรกในปีนัง ต้นทุนก่อสร้างพุ่ง 68%

    โครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายมูเทียรา (LRT Mutiara Line) สายแรกบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นที่วิจารณ์ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่า 68% เมื่อนายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวต่อที่ประชุมสรุปแผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 13 เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ว่า ต้นทุนโครงการจะถูกจำกัดไว้ที่ราว 16,000-17,000 ล้านริงกิต ไม่ใช่ 10,000 ล้านริงกิต ตามที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เคยประกาศไว้ในงบประมาณปี 2024 โดยให้เหตุผลว่าขณะนั้นคาดการณ์เบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าการบริหารจัดการโครงการ และการประเมินทางวิศวกรรม

    ต่อมาวันที่ 21 ส.ค. MRT Corp ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลกลางมาเลเซียให้เป็นผู้พัฒนาโครงการชี้แจงว่า เดิมโครงการ Penang LRT สายบายัน เลปาส (Bayan Lepas) เส้นทางเกาะซิลิคอน (Silicon Island) ถึงคอมตาร์ (Komtar) เมื่อปี 2559 ประเมินไว้ที่ 10,000 ล้านริงกิต แต่ได้ขยายเส้นทางจากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ถึงสถานีปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านริงกิต อีกทั้งอ้างอิงจากข้อมูลตลาดในปี 2567 จำเป็นต้องปรับปรุงงบประมาณ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น และงานก่อสร้างเพิ่มเติม ที่แมคคัลลัมและเกาะซิลิคอน

    แต่รัฐบาลได้มอบหมายให้ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ต่ำกว่า จากการประกวดราคา โดยสัญญาที่ 1 งานโยธาช่วงเกาะซิลิคอนถึงคอมตาร์ ระยะทาง 24 กิโลเมตร บริษัท เอสอาร์เอส คอนซอร์เตียม เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ได้ปรับลดมูลค่าสัญญาจาก 8,310 ล้านริงกิต เหลือ 7,930 ล้านริงกิต ซึ่งงบประมาณ 16,800 ล้านริงกิตยังรวมถึงค่าเวนคืนที่ดิน ประเมินไว้ที่ 2 พันล้านริงกิต ส่วนที่เหลือครอบคลุมสัญญาที่ 2 งานโยธาช่วงสถานีแมคคัลลัมถึงสถานีปีนังเซ็นทรัล ศูนย์ซ่อมบำรุงที่สุไหงนิบง (Sungai Nibong) และสัญญาที่ 3 เหมาจ้างทำระบบรถไฟฟ้าแบบเบ็ดเสร็จ ยืนยันว่าไม่ใช่ควบคุมงบประมาณไม่ได้ แต่สะท้อนสภาพตลาดปัจจุบัน

    โครงการ LRT Mutiara Line มีระยะทาง 29.5 กิโลเมตร ประกอบด้วยสถานียกระดับ 21 สถานี มีสะพานข้ามทะเลความยาว 5 กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างเกาะปีนังกับฝั่งแผ่นดินใหญ่ เมืองบัตเตอร์เวอร์ธ ใช้เวลาเดินทาง 49 นาที เริ่มต้นที่สถานี PSR-A (โครงการถมทะเลปีนังตอนใต้ เกาะ A) ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง (PEN) เขตอุตสาหกรรมเสรีบายันเลปาส อาคารคอมตาร์ และสถานีปีนังเซ็นทรัล ที่เชื่อมต่อรถทัวร์ รถไฟ ETS ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรถไฟ KTM Komuter ไปปาดังเบซาร์ และอิโปห์ โดยมีเป้าหมายเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค.2574

    #Newskit
    รถไฟฟ้า LRT สายแรกในปีนัง ต้นทุนก่อสร้างพุ่ง 68% โครงการรถไฟฟ้ารางเบาสายมูเทียรา (LRT Mutiara Line) สายแรกบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย เป็นที่วิจารณ์ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นกว่า 68% เมื่อนายแอนโทนี โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวต่อที่ประชุมสรุปแผนพัฒนามาเลเซียฉบับที่ 13 เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ว่า ต้นทุนโครงการจะถูกจำกัดไว้ที่ราว 16,000-17,000 ล้านริงกิต ไม่ใช่ 10,000 ล้านริงกิต ตามที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เคยประกาศไว้ในงบประมาณปี 2024 โดยให้เหตุผลว่าขณะนั้นคาดการณ์เบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าการบริหารจัดการโครงการ และการประเมินทางวิศวกรรม ต่อมาวันที่ 21 ส.ค. MRT Corp ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลกลางมาเลเซียให้เป็นผู้พัฒนาโครงการชี้แจงว่า เดิมโครงการ Penang LRT สายบายัน เลปาส (Bayan Lepas) เส้นทางเกาะซิลิคอน (Silicon Island) ถึงคอมตาร์ (Komtar) เมื่อปี 2559 ประเมินไว้ที่ 10,000 ล้านริงกิต แต่ได้ขยายเส้นทางจากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ถึงสถานีปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านริงกิต อีกทั้งอ้างอิงจากข้อมูลตลาดในปี 2567 จำเป็นต้องปรับปรุงงบประมาณ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น และงานก่อสร้างเพิ่มเติม ที่แมคคัลลัมและเกาะซิลิคอน แต่รัฐบาลได้มอบหมายให้ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ต่ำกว่า จากการประกวดราคา โดยสัญญาที่ 1 งานโยธาช่วงเกาะซิลิคอนถึงคอมตาร์ ระยะทาง 24 กิโลเมตร บริษัท เอสอาร์เอส คอนซอร์เตียม เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ได้ปรับลดมูลค่าสัญญาจาก 8,310 ล้านริงกิต เหลือ 7,930 ล้านริงกิต ซึ่งงบประมาณ 16,800 ล้านริงกิตยังรวมถึงค่าเวนคืนที่ดิน ประเมินไว้ที่ 2 พันล้านริงกิต ส่วนที่เหลือครอบคลุมสัญญาที่ 2 งานโยธาช่วงสถานีแมคคัลลัมถึงสถานีปีนังเซ็นทรัล ศูนย์ซ่อมบำรุงที่สุไหงนิบง (Sungai Nibong) และสัญญาที่ 3 เหมาจ้างทำระบบรถไฟฟ้าแบบเบ็ดเสร็จ ยืนยันว่าไม่ใช่ควบคุมงบประมาณไม่ได้ แต่สะท้อนสภาพตลาดปัจจุบัน โครงการ LRT Mutiara Line มีระยะทาง 29.5 กิโลเมตร ประกอบด้วยสถานียกระดับ 21 สถานี มีสะพานข้ามทะเลความยาว 5 กิโลเมตร เชื่อมต่อระหว่างเกาะปีนังกับฝั่งแผ่นดินใหญ่ เมืองบัตเตอร์เวอร์ธ ใช้เวลาเดินทาง 49 นาที เริ่มต้นที่สถานี PSR-A (โครงการถมทะเลปีนังตอนใต้ เกาะ A) ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง (PEN) เขตอุตสาหกรรมเสรีบายันเลปาส อาคารคอมตาร์ และสถานีปีนังเซ็นทรัล ที่เชื่อมต่อรถทัวร์ รถไฟ ETS ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ และรถไฟ KTM Komuter ไปปาดังเบซาร์ และอิโปห์ โดยมีเป้าหมายเปิดให้บริการในเดือน ธ.ค.2574 #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • Big O — ภาษาลับของนักพัฒนาเพื่อเข้าใจ “ความเร็ว” ของโค้ด

    ลองจินตนาการว่าคุณมีฟังก์ชันที่ต้องทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก เช่น การหาผลรวมของตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 1 พันล้าน ถ้าคุณใช้ลูปธรรมดา มันจะใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของข้อมูล นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “เวลาในการทำงาน” หรือ time complexity

    Big O notation คือวิธีที่นักพัฒนาใช้บอกว่า “ฟังก์ชันนี้จะช้าขึ้นแค่ไหนเมื่อข้อมูลเพิ่มขึ้น” โดยไม่ต้องบอกเวลาที่แน่นอน แต่บอก “อัตราการเติบโต” เช่น O(n) หมายถึงเวลาทำงานจะเพิ่มตามจำนวนข้อมูล n

    บทความนี้พาเราไปรู้จักกับ 4 รูปแบบหลักของ Big O:

    - O(1): เวลาคงที่ เช่น การใช้สูตร (n*(n+1))/2 เพื่อหาผลรวม — ไม่ว่าจะใส่เลขเท่าไหร่ เวลาก็เท่าเดิม
    - O(log n): เวลาลดลงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง เช่น การเดาตัวเลขด้วย binary search
    - O(n): เวลาทำงานเพิ่มตามจำนวนข้อมูล เช่น การหาผลรวมด้วยลูป
    - O(n²): เวลาทำงานเพิ่มเป็นกำลังสอง เช่น bubble sort ที่ต้องเปรียบเทียบทุกคู่ในอาร์เรย์

    นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการเขียนโค้ดที่ทำให้ประสิทธิภาพแย่ลงโดยไม่รู้ตัว เช่น การใช้ indexOf ในลูป ซึ่งทำให้กลายเป็น O(n²) ทั้งที่ควรจะเป็น O(n)

    บทความยังแนะนำเทคนิคการปรับปรุง เช่น การใช้ Map หรือ Set เพื่อ lookup แบบ O(1) และการใช้ cache เพื่อหลีกเลี่ยงการคำนวณซ้ำใน recursive function อย่าง factorial

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Big O notation ใช้บอกอัตราการเติบโตของเวลาทำงานของฟังก์ชันตามขนาดข้อมูล
    O(n): เวลาทำงานเพิ่มตามจำนวนข้อมูล เช่น การใช้ลูปบวกเลข
    O(1): เวลาคงที่ เช่น การใช้สูตรคำนวณผลรวม
    O(log n): เวลาลดลงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง เช่น binary search
    O(n²): เวลาทำงานเพิ่มเป็นกำลังสอง เช่น bubble sort
    Bubble sort มี worst-case เป็น O(n²) แม้บางกรณีจะเร็ว
    Binary search ใช้เดาเลขโดยลดช่วงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง
    การใช้ indexOf ในลูปทำให้ฟังก์ชันกลายเป็น O(n²)
    การใช้ Map หรือ Set ช่วยให้ lookup เป็น O(1)
    การใช้ cache ใน recursive function ช่วยลดการคำนวณซ้ำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Big O notation ถูกคิดค้นโดย Paul Bachmann ในปี 1894
    O(n log n) เป็นความซับซ้อนของอัลกอริธึม sorting ที่มีประสิทธิภาพ เช่น merge sort
    O(2ⁿ) และ O(n!) เป็นความซับซ้อนที่เติบโตเร็วมาก เช่น brute-force หรือ permutation
    Big O ใช้บอก worst-case เป็นหลัก แต่สามารถใช้กับ best และ average case ได้
    การเลือกอัลกอริธึมที่เหมาะสมช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการทำงานของโปรแกรม

    การวัดเวลาจาก wall-clock อาจไม่แม่นยำ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของเครื่อง
    O(1) ไม่ได้หมายถึง “เร็วเสมอ” แต่หมายถึง “ไม่เปลี่ยนตามขนาดข้อมูล”
    ฟังก์ชันที่ดูเร็วในบางกรณีอาจช้าลงอย่างมากเมื่อข้อมูลเพิ่มขึ้น
    การใช้โครงสร้างข้อมูลผิดประเภทอาจทำให้ประสิทธิภาพแย่ลงโดยไม่รู้ตัว
    การปรับปรุงโค้ดต้องทดสอบจริง ไม่ควรเชื่อแค่ทฤษฎี

    https://samwho.dev/big-o/
    🧠 Big O — ภาษาลับของนักพัฒนาเพื่อเข้าใจ “ความเร็ว” ของโค้ด ลองจินตนาการว่าคุณมีฟังก์ชันที่ต้องทำงานกับข้อมูลจำนวนมาก เช่น การหาผลรวมของตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 1 พันล้าน ถ้าคุณใช้ลูปธรรมดา มันจะใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของข้อมูล นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “เวลาในการทำงาน” หรือ time complexity Big O notation คือวิธีที่นักพัฒนาใช้บอกว่า “ฟังก์ชันนี้จะช้าขึ้นแค่ไหนเมื่อข้อมูลเพิ่มขึ้น” โดยไม่ต้องบอกเวลาที่แน่นอน แต่บอก “อัตราการเติบโต” เช่น O(n) หมายถึงเวลาทำงานจะเพิ่มตามจำนวนข้อมูล n บทความนี้พาเราไปรู้จักกับ 4 รูปแบบหลักของ Big O: - O(1): เวลาคงที่ เช่น การใช้สูตร (n*(n+1))/2 เพื่อหาผลรวม — ไม่ว่าจะใส่เลขเท่าไหร่ เวลาก็เท่าเดิม - O(log n): เวลาลดลงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง เช่น การเดาตัวเลขด้วย binary search - O(n): เวลาทำงานเพิ่มตามจำนวนข้อมูล เช่น การหาผลรวมด้วยลูป - O(n²): เวลาทำงานเพิ่มเป็นกำลังสอง เช่น bubble sort ที่ต้องเปรียบเทียบทุกคู่ในอาร์เรย์ นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการเขียนโค้ดที่ทำให้ประสิทธิภาพแย่ลงโดยไม่รู้ตัว เช่น การใช้ indexOf ในลูป ซึ่งทำให้กลายเป็น O(n²) ทั้งที่ควรจะเป็น O(n) บทความยังแนะนำเทคนิคการปรับปรุง เช่น การใช้ Map หรือ Set เพื่อ lookup แบบ O(1) และการใช้ cache เพื่อหลีกเลี่ยงการคำนวณซ้ำใน recursive function อย่าง factorial 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Big O notation ใช้บอกอัตราการเติบโตของเวลาทำงานของฟังก์ชันตามขนาดข้อมูล ➡️ O(n): เวลาทำงานเพิ่มตามจำนวนข้อมูล เช่น การใช้ลูปบวกเลข ➡️ O(1): เวลาคงที่ เช่น การใช้สูตรคำนวณผลรวม ➡️ O(log n): เวลาลดลงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง เช่น binary search ➡️ O(n²): เวลาทำงานเพิ่มเป็นกำลังสอง เช่น bubble sort ➡️ Bubble sort มี worst-case เป็น O(n²) แม้บางกรณีจะเร็ว ➡️ Binary search ใช้เดาเลขโดยลดช่วงครึ่งหนึ่งทุกครั้ง ➡️ การใช้ indexOf ในลูปทำให้ฟังก์ชันกลายเป็น O(n²) ➡️ การใช้ Map หรือ Set ช่วยให้ lookup เป็น O(1) ➡️ การใช้ cache ใน recursive function ช่วยลดการคำนวณซ้ำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Big O notation ถูกคิดค้นโดย Paul Bachmann ในปี 1894 ➡️ O(n log n) เป็นความซับซ้อนของอัลกอริธึม sorting ที่มีประสิทธิภาพ เช่น merge sort ➡️ O(2ⁿ) และ O(n!) เป็นความซับซ้อนที่เติบโตเร็วมาก เช่น brute-force หรือ permutation ➡️ Big O ใช้บอก worst-case เป็นหลัก แต่สามารถใช้กับ best และ average case ได้ ➡️ การเลือกอัลกอริธึมที่เหมาะสมช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการทำงานของโปรแกรม ⛔ การวัดเวลาจาก wall-clock อาจไม่แม่นยำ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของเครื่อง ⛔ O(1) ไม่ได้หมายถึง “เร็วเสมอ” แต่หมายถึง “ไม่เปลี่ยนตามขนาดข้อมูล” ⛔ ฟังก์ชันที่ดูเร็วในบางกรณีอาจช้าลงอย่างมากเมื่อข้อมูลเพิ่มขึ้น ⛔ การใช้โครงสร้างข้อมูลผิดประเภทอาจทำให้ประสิทธิภาพแย่ลงโดยไม่รู้ตัว ⛔ การปรับปรุงโค้ดต้องทดสอบจริง ไม่ควรเชื่อแค่ทฤษฎี https://samwho.dev/big-o/
    SAMWHO.DEV
    Big O
    A visual introduction to big O notation.
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้

    แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์

    MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ

    ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้
    บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ
    ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์
    ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้
    MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย
    เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
    รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม
    ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้
    การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน
    การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้
    การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง
    การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    🚍 เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้ แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์ MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้ ➡️ บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ ➡️ ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์ ➡️ ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ➡️ รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม ➡️ ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้ ➡️ การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน ➡️ การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้ ➡️ การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง ➡️ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ขบวนนี้คงไม่ขายฝัน?

    การประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) และการรถไฟมาลายา (KTMB) ประเทศมาเลเซีย ครั้งที่ 43 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. ที่ จ.นนทบุรี ภายใต้แนวคิด Railnaissance หรือ การฟื้นคืนพลังของระบบราง สาระสำคัญอยู่ที่การยกระดับความร่วมมือระบบรางระหว่างสองประเทศ ได้แก่ การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง การพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ การบูรณาการระบบตั๋วโดยสาร การตรวจสอบและรับรองรถโดยสารข้ามแดน การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟร่วมกัน และการจัดทำ Joint SOP ในภาวะฉุกเฉิน

    การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ เคยเป็นที่พูดถึงในการประชุม SRT-KTMB ครั้งที่ 42 ที่รัฐซาบาห์ เมื่อปี 2567 แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แม้นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวว่าจะเดินรถในเดือน ก.ค.นี้ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือน ก.ค.การรถไฟฯ และ KTMB จัดการเดินรถขบวนพิเศษทดสอบ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ไปแล้ว โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศของ KTMB จำนวน 2 คัน รถ Power Car ของ KTMB จำนวน 1 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ของ รฟท. จำนวน 3 คัน รถนั่งชั้น 3 (บชส.) จำนวน 1 คัน และรถ SRT Prestige จำนวน 2 คัน

    อุปสรรคสำคัญในการให้บริการก็คือ การรถไฟฯ ไม่มีขบวนรถโดยสารที่ทันสมัยเพียงพอ และอาจไม่ได้ใช้รถโดยสาร ชุด 115 คัน (CNR) ที่ทันสมัยที่สุด แม้จะเก่ามา 9 ปีนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เพราะนำไปใช้เดินรถในเส้นทางเชียงใหม่ หนองคาย อุบลราชธานี และชุมทางหาดใหญ่หมดแล้ว เหลือสำรองเพียงไม่กี่คัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจใช้รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 รุ่นเก่าของการรถไฟฯ ร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ KTMB โดยช่วงที่เดินรถในประเทศไทยใช้หัวรถจักรของการรถไฟฯ และช่วงที่เดินรถในประเทศมาเลเซียใช้หัวรถจักรของ KTMB

    การรถไฟฯ เคยเดินรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ มาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2465 จากสถานีบางกอกน้อย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2470 แต่หยุดเดินรถชั่วคราวช่วงที่สะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง โดยเดินรถแบบวันเว้นวัน ก่อนเปิดให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยว กระทั่งประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟ และให้บริการรถไฟ ETS และ KTM Komuter ทำให้การรถไฟฯ ยกเลิกเดินรถถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2559 เป็นต้นมา โดยหมดระยะที่สถานีปาดังเบซาร์

    #Newskit
    กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ขบวนนี้คงไม่ขายฝัน? การประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (SRT) และการรถไฟมาลายา (KTMB) ประเทศมาเลเซีย ครั้งที่ 43 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. ที่ จ.นนทบุรี ภายใต้แนวคิด Railnaissance หรือ การฟื้นคืนพลังของระบบราง สาระสำคัญอยู่ที่การยกระดับความร่วมมือระบบรางระหว่างสองประเทศ ได้แก่ การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ (Butterworth) รัฐปีนัง การพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ การบูรณาการระบบตั๋วโดยสาร การตรวจสอบและรับรองรถโดยสารข้ามแดน การส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถไฟร่วมกัน และการจัดทำ Joint SOP ในภาวะฉุกเฉิน การฟื้นฟูเดินรถข้ามแดน กรุงเทพ-บัตเตอร์เวอร์ธ เคยเป็นที่พูดถึงในการประชุม SRT-KTMB ครั้งที่ 42 ที่รัฐซาบาห์ เมื่อปี 2567 แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แม้นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เคยกล่าวว่าจะเดินรถในเดือน ก.ค.นี้ก็ตาม โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือน ก.ค.การรถไฟฯ และ KTMB จัดการเดินรถขบวนพิเศษทดสอบ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ ไปแล้ว โดยใช้รถโดยสารปรับอากาศของ KTMB จำนวน 2 คัน รถ Power Car ของ KTMB จำนวน 1 คัน รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 ของ รฟท. จำนวน 3 คัน รถนั่งชั้น 3 (บชส.) จำนวน 1 คัน และรถ SRT Prestige จำนวน 2 คัน อุปสรรคสำคัญในการให้บริการก็คือ การรถไฟฯ ไม่มีขบวนรถโดยสารที่ทันสมัยเพียงพอ และอาจไม่ได้ใช้รถโดยสาร ชุด 115 คัน (CNR) ที่ทันสมัยที่สุด แม้จะเก่ามา 9 ปีนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2559 เพราะนำไปใช้เดินรถในเส้นทางเชียงใหม่ หนองคาย อุบลราชธานี และชุมทางหาดใหญ่หมดแล้ว เหลือสำรองเพียงไม่กี่คัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจใช้รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 รุ่นเก่าของการรถไฟฯ ร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ KTMB โดยช่วงที่เดินรถในประเทศไทยใช้หัวรถจักรของการรถไฟฯ และช่วงที่เดินรถในประเทศมาเลเซียใช้หัวรถจักรของ KTMB การรถไฟฯ เคยเดินรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ-บัตเตอร์เวอร์ธ มาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2465 จากสถานีบางกอกน้อย ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันเสาร์ ก่อนย้ายมาที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2470 แต่หยุดเดินรถชั่วคราวช่วงที่สะพานพระราม 6 ถูกทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วจึงกลับมาเดินรถอีกครั้ง โดยเดินรถแบบวันเว้นวัน ก่อนเปิดให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยว กระทั่งประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟ และให้บริการรถไฟ ETS และ KTM Komuter ทำให้การรถไฟฯ ยกเลิกเดินรถถึงสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2559 เป็นต้นมา โดยหมดระยะที่สถานีปาดังเบซาร์ #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 415 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง

    Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า:
    - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux
    - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ

    เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น:
    - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client
    - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ

    เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ:
    - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ
    - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์
    - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock
    - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน
    - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง

    FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น:
    - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย
    - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด
    - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด
    - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย
    - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup)

    FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
    ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล

    Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM
    ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix

    ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง
    เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ

    หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล
    รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์

    ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock
    โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor

    หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable
    พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware

    https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ที่ปลอมตัวเป็น Chrome: เมื่อ Interlock แรนซัมแวร์ใช้ CAPTCHA หลอกให้รันคำสั่งเอง Interlock ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนกันยายน 2024 และมีการโจมตีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2025 โดย FBI พบว่า: - กลุ่มนี้พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับทั้ง Windows และ Linux - เน้นโจมตีระบบ virtual machine (VM) และใช้เทคนิคใหม่ในการเข้าถึงระบบ เทคนิคที่ใช้มีความแปลกใหม่ เช่น: - “Drive-by download” จากเว็บไซต์ที่ถูกแฮก โดยปลอมเป็นอัปเดตของ Chrome, Edge, FortiClient หรือ Cisco Secure Client - “ClickFix” — หลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วคัดลอกคำสั่งไปวางในหน้าต่าง Run ของระบบ เมื่อเข้าระบบได้แล้ว Interlock จะ: - ใช้ web shell และ Cobalt Strike เพื่อควบคุมระบบ - ขโมยข้อมูล เช่น username, password และใช้ keylogger บันทึกการพิมพ์ - เข้ารหัสไฟล์และเปลี่ยนนามสกุลเป็น .interlock หรือ .1nt3rlock - ส่งโน้ตร้องขอค่าไถ่ผ่านเว็บไซต์ .onion โดยไม่ระบุจำนวนเงิน - ข่มขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่เป็น Bitcoin — และเคยทำจริงหลายครั้ง FBI, CISA, HHS และ MS-ISAC แนะนำให้ทุกองค์กรเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน เช่น: - ใช้ DNS filtering และ firewall เพื่อป้องกันการเข้าถึงเว็บอันตราย - อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ทั้งหมด - ใช้ MFA และจัดการสิทธิ์การเข้าถึงอย่างเข้มงวด - แบ่งเครือข่ายเพื่อลดการแพร่กระจาย - สำรองข้อมูลแบบ offline และไม่สามารถแก้ไขได้ (immutable backup) ✅ FBI และ CISA เตือนภัย Interlock ransomware ที่โจมตีองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ➡️ ใช้เทคนิค double extortion คือทั้งเข้ารหัสและข่มขู่เปิดเผยข้อมูล ✅ Interlock พัฒนาแรนซัมแวร์สำหรับ Windows และ Linux โดยเน้นโจมตี VM ➡️ ใช้เทคนิคใหม่ เช่น drive-by download และ ClickFix ✅ ClickFix คือการหลอกให้ผู้ใช้คลิก CAPTCHA ปลอม แล้วรันคำสั่งอันตรายเอง ➡️ เป็นการใช้ social engineering ที่แยบยลและยากต่อการตรวจจับ ✅ หลังเข้าระบบ Interlock ใช้ Cobalt Strike และ web shell เพื่อควบคุมและขโมยข้อมูล ➡️ รวมถึงการใช้ keylogger เพื่อดักจับการพิมพ์ ✅ ไฟล์ที่ถูกเข้ารหัสจะมีนามสกุล .interlock หรือ .1nt3rlock ➡️ โน้ตร้องขอค่าไถ่ไม่ระบุจำนวนเงิน แต่ให้ติดต่อผ่าน Tor ✅ หน่วยงานแนะนำให้ใช้ DNS filtering, MFA, network segmentation และ backup แบบ immutable ➡️ พร้อมทรัพยากรฟรีจากโครงการ #StopRansomware https://hackread.com/fbi-cisa-interlock-ransomware-target-critical-infrastructure/
    HACKREAD.COM
    FBI and CISA Warn of Interlock Ransomware Targeting Critical Infrastructure
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews
  • KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ

    หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย

    โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย

    พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง

    Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet

    #Newskit
    KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet #Newskit
    0 Comments 0 Shares 596 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณคือองค์กรที่ uptime สำคัญกว่าทุกสิ่ง เช่น ธนาคารที่ระบบต้องออนไลน์ตลอด 24/7 แบบไม่มีหลุด → IBM Power11 ถูกออกแบบมาเพื่อลุยงานแบบนี้เต็มตัว → ด้วยความเสถียรระดับ 99.9999% uptime (six nines) และระบบอัตโนมัติที่อัปเดตได้ โดยไม่ต้องดับเครื่อง!

    Power11 ไม่ได้แค่แรง แต่ฉลาดและปลอดภัย → มี Cyber Vault ที่สร้าง snapshot ไม่เปลี่ยนแปลงได้เองอัตโนมัติ → ป้องกัน ransomware, การเข้ารหัส, การทุจริต firmware → IBM เคลมว่า “ตรวจจับภัยคุกคาม ransomware ได้ในเวลาไม่ถึง 1 นาที”

    ด้าน AI ก็ไม่น้อยหน้า → มี Spyre Accelerator แบบ built-in บนชิป → และเตรียมผนวก watsonx.data เข้ามาสิ้นปีนี้ รองรับงาน AI/Data แบบยืดหยุ่น → ส่วนประสิทธิภาพต่อพลังงานก็ขยับขึ้นกว่าเซิร์ฟเวอร์ x86 ทั่วไปถึง 2 เท่า ในโหมดประหยัดพลังงาน

    IBM เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ Power11 ใช้ซีพียูและสถาปัตยกรรมใหม่ พร้อม virtualization software stack รุ่นปรับปรุง
    • เปิดตัว 25 กรกฎาคม 2025  
    • รองรับ physical และ virtual deployment ทุกระดับ ตั้งแต่ entry → mid → high-end

    ความเสถียรระดับ “six nines” (99.9999% uptime)  
    • มีระบบ workload migration และ auto-patching โดยไม่ต้องปิดระบบ

    มาพร้อม Power Cyber Vault  
    • สร้าง snapshot แบบ immutable อัตโนมัติ  
    • มี quantum-safe cryptography ป้องกันการขโมยข้อมูลไว้ถอดรหัสในอนาคต  
    • ตรวจ ransomware ได้ใน <1 นาที

    มี AI accelerator (Spyre) แบบฝังชิป → เร่งการประมวลผล AI ได้โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ภายนอก  
    • รองรับ watsonx.data สิ้นปีนี้

    ประสิทธิภาพดีขึ้น:  
    • เร็วกว่า Power9 สูงสุด 55%  
    • มี core มากขึ้นและความจุสูงกว่า Power10 ถึง 45%  
    • ประสิทธิภาพต่อพลังงานดีกว่าเซิร์ฟเวอร์ x86 2 เท่า  
    • โหมด Energy Efficient เร็วกว่าโหมดเต็มกำลังอีก 28%

    ยังไม่มีข้อมูลว่า Power11 รองรับ GPU accelerator ภายนอกเต็มรูปแบบหรือไม่ → ผู้ใช้ AI ต้องพิจารณาว่างานของตนเหมาะกับ Spyre หรือยังต้องใช้ GPU

    เนื่องจากระบบมีความปลอดภัยสูง → ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจ Cyber Vault อย่างลึกเพื่อไม่ให้การ restore หรือ snapshot กลายเป็นคอขวด

    https://www.techspot.com/news/108599-ibm-introduces-power11-servers-boosts-uptime-security-energy.html
    ถ้าคุณคือองค์กรที่ uptime สำคัญกว่าทุกสิ่ง เช่น ธนาคารที่ระบบต้องออนไลน์ตลอด 24/7 แบบไม่มีหลุด → IBM Power11 ถูกออกแบบมาเพื่อลุยงานแบบนี้เต็มตัว → ด้วยความเสถียรระดับ 99.9999% uptime (six nines) และระบบอัตโนมัติที่อัปเดตได้ โดยไม่ต้องดับเครื่อง! 😮 Power11 ไม่ได้แค่แรง แต่ฉลาดและปลอดภัย → มี Cyber Vault ที่สร้าง snapshot ไม่เปลี่ยนแปลงได้เองอัตโนมัติ → ป้องกัน ransomware, การเข้ารหัส, การทุจริต firmware → IBM เคลมว่า “ตรวจจับภัยคุกคาม ransomware ได้ในเวลาไม่ถึง 1 นาที” ด้าน AI ก็ไม่น้อยหน้า → มี Spyre Accelerator แบบ built-in บนชิป → และเตรียมผนวก watsonx.data เข้ามาสิ้นปีนี้ รองรับงาน AI/Data แบบยืดหยุ่น → ส่วนประสิทธิภาพต่อพลังงานก็ขยับขึ้นกว่าเซิร์ฟเวอร์ x86 ทั่วไปถึง 2 เท่า ในโหมดประหยัดพลังงาน ✅ IBM เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ Power11 ใช้ซีพียูและสถาปัตยกรรมใหม่ พร้อม virtualization software stack รุ่นปรับปรุง • เปิดตัว 25 กรกฎาคม 2025   • รองรับ physical และ virtual deployment ทุกระดับ ตั้งแต่ entry → mid → high-end ✅ ความเสถียรระดับ “six nines” (99.9999% uptime)   • มีระบบ workload migration และ auto-patching โดยไม่ต้องปิดระบบ ✅ มาพร้อม Power Cyber Vault   • สร้าง snapshot แบบ immutable อัตโนมัติ   • มี quantum-safe cryptography ป้องกันการขโมยข้อมูลไว้ถอดรหัสในอนาคต   • ตรวจ ransomware ได้ใน <1 นาที ✅ มี AI accelerator (Spyre) แบบฝังชิป → เร่งการประมวลผล AI ได้โดยไม่ต้องพึ่ง GPU ภายนอก   • รองรับ watsonx.data สิ้นปีนี้ ✅ ประสิทธิภาพดีขึ้น:   • เร็วกว่า Power9 สูงสุด 55%   • มี core มากขึ้นและความจุสูงกว่า Power10 ถึง 45%   • ประสิทธิภาพต่อพลังงานดีกว่าเซิร์ฟเวอร์ x86 2 เท่า   • โหมด Energy Efficient เร็วกว่าโหมดเต็มกำลังอีก 28% ‼️ ยังไม่มีข้อมูลว่า Power11 รองรับ GPU accelerator ภายนอกเต็มรูปแบบหรือไม่ → ผู้ใช้ AI ต้องพิจารณาว่างานของตนเหมาะกับ Spyre หรือยังต้องใช้ GPU ‼️ เนื่องจากระบบมีความปลอดภัยสูง → ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจ Cyber Vault อย่างลึกเพื่อไม่ให้การ restore หรือ snapshot กลายเป็นคอขวด https://www.techspot.com/news/108599-ibm-introduces-power11-servers-boosts-uptime-security-energy.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    IBM introduces Power11 servers with boosts in uptime, security, and energy efficiency
    To achieve that level of uptime, IBM has implemented advanced technologies like automated workload movement and autonomous patching that enable planned system maintenance to take place without...
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000

    คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย

    (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process,

    1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567

    * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด

    * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน

    * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน


    (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step.

    2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference)
    ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ

    (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed,

    3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI)

    เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team)

    สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว


    (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps.


    4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6”

    มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto

    พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ

    พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554


    แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ

    ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา

    คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

    จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process, 1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step. 2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference) ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed, 3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI) เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team) สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps. 4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6” มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    0 Comments 0 Shares 497 Views 0 Reviews
  • openSUSE Tumbleweed เป็นดิสโทรแนว rolling release นะครับ — นั่นคือไม่ต้องรอเวอร์ชันใหม่รายปีเหมือน Ubuntu หรือ Fedora แต่มีของใหม่ไหลมาเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนนี้คือรอบใหญ่ที่แฟน KDE รอคอย เพราะได้อัปเกรดเป็น KDE Plasma 6.4 ตัวเต็ม พร้อม UI ลื่นขึ้น ดีไซน์ใหม่ และมีฟีเจอร์ที่คอ productivity น่าจะชอบ:

    - ระบบ จัดหน้าต่างแบบ Tiling (เหมือน BSPWM หรือ Win+Arrow ใน Windows)
    - ปรับระบบแจ้งเตือนใหม่: ติดตั้งอัปเดตตรงจากโนติ, มี Do Not Disturb เต็มจอ, บอกเมื่อ mute ไมค์
    - KRunner รองรับโค้ดสีแบบเห็นภาพ
    - System Monitor เพิ่มกราฟ GPU
    - Spectacle ถ่ายภาพหน้าจอแบบใหม่
    - Accessibility ดีขึ้นทั้งทางแป้นพิมพ์และ Wayland

    แต่ไม่ได้มีแค่ Plasma — ด้านล่างยังมีของใหม่อีก:

    - Linux kernel 6.15 → 6.15.3 → รองรับ PCIe hotplug, Wi-Fi ชิปใหม่ และ I/O scheduler ที่ดีขึ้น
    - GCC 15 เพิ่มภาษา Modula-2, COBOL (!), และประสิทธิภาพดีขึ้น
    - Mesa 25.1.3 แก้ปัญหาเกม DOOM: The Dark Ages กับไดรเวอร์
    - PipeWire 1.4.6 ลดดีเลย์เสียง, แก้ ALSA crash
    - Python 3.13.5 และ 3.11 (ความปลอดภัย+เสถียรภาพ), พร้อมบอกลา Python 2.7

    และที่สำคัญมาก — มีการอุดช่องโหว่ความปลอดภัย (CVE) หลายตัวใน Firefox, Python, libssh, ClamAV, gdm ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็น “เดือนที่ควรอัปเดตทันที” เลยครับ

    https://www.neowin.net/news/opensuse-tumbleweeds-june-update-brings-kde-plasma-64-and-critical-security-fixes/
    openSUSE Tumbleweed เป็นดิสโทรแนว rolling release นะครับ — นั่นคือไม่ต้องรอเวอร์ชันใหม่รายปีเหมือน Ubuntu หรือ Fedora แต่มีของใหม่ไหลมาเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนนี้คือรอบใหญ่ที่แฟน KDE รอคอย เพราะได้อัปเกรดเป็น KDE Plasma 6.4 ตัวเต็ม พร้อม UI ลื่นขึ้น ดีไซน์ใหม่ และมีฟีเจอร์ที่คอ productivity น่าจะชอบ: - ระบบ จัดหน้าต่างแบบ Tiling (เหมือน BSPWM หรือ Win+Arrow ใน Windows) - ปรับระบบแจ้งเตือนใหม่: ติดตั้งอัปเดตตรงจากโนติ, มี Do Not Disturb เต็มจอ, บอกเมื่อ mute ไมค์ - KRunner รองรับโค้ดสีแบบเห็นภาพ - System Monitor เพิ่มกราฟ GPU - Spectacle ถ่ายภาพหน้าจอแบบใหม่ - Accessibility ดีขึ้นทั้งทางแป้นพิมพ์และ Wayland แต่ไม่ได้มีแค่ Plasma — ด้านล่างยังมีของใหม่อีก: - Linux kernel 6.15 → 6.15.3 → รองรับ PCIe hotplug, Wi-Fi ชิปใหม่ และ I/O scheduler ที่ดีขึ้น - GCC 15 เพิ่มภาษา Modula-2, COBOL (!), และประสิทธิภาพดีขึ้น - Mesa 25.1.3 แก้ปัญหาเกม DOOM: The Dark Ages กับไดรเวอร์ - PipeWire 1.4.6 ลดดีเลย์เสียง, แก้ ALSA crash - Python 3.13.5 และ 3.11 (ความปลอดภัย+เสถียรภาพ), พร้อมบอกลา Python 2.7 และที่สำคัญมาก — มีการอุดช่องโหว่ความปลอดภัย (CVE) หลายตัวใน Firefox, Python, libssh, ClamAV, gdm ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็น “เดือนที่ควรอัปเดตทันที” เลยครับ https://www.neowin.net/news/opensuse-tumbleweeds-june-update-brings-kde-plasma-64-and-critical-security-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    openSUSE Tumbleweed's June update brings KDE Plasma 6.4 and critical security fixes
    If you're looking to try out the new KDE Plasma 6.4, you can check out openSUSE Tumbleweed, as it was one of many bleeding-edge updates the distribution got in June.
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • https://www.youtube.com/live/CJWmwNYuLqs?si=78T4MPl3FO5vNMUt
    https://www.youtube.com/live/CJWmwNYuLqs?si=78T4MPl3FO5vNMUt
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์
    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI

    Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing

    ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล

    ข้อมูลจากข่าว
    - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026
    - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์
    - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม
    - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว
    - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร
    - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต

    Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง

    https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    🚀 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna: ก้าวใหม่ของ AI และวิทยาศาสตร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศแผนสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Doudna ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ AI Doudna ได้รับการตั้งชื่อตาม Jennifer Doudna นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CRISPR gene editing ซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้จะใช้ แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยใช้ ซีพียู Arm-based และ ชิป Rubin AI ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI และการจำลองข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - Doudna จะตั้งอยู่ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory และเริ่มใช้งานในปี 2026 - Dell Technologies ได้รับเลือกให้สร้างระบบนี้ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการซูเปอร์คอมพิวเตอร์ - ใช้แพลตฟอร์ม Vera Rubin ของ Nvidia ซึ่งรวมพลังของ AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ - Doudna จะเร็วกว่า Perlmutter ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นปัจจุบันกว่า 10 เท่า - ระบบนี้จะช่วยนักวิทยาศาสตร์กว่า 11,000 คนในการวิจัยด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพและควอนตัมคอมพิวติ้ง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการจำลองข้อมูลอาจต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการคำนวณแบบดั้งเดิม - การเปลี่ยนจากซีพียู Intel และ AMD ไปใช้ Arm-based อาจมีผลต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องปรับตัว - ต้องติดตามว่าการรวม AI เข้ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์จะส่งผลต่อความแม่นยำของการจำลองข้อมูลอย่างไร - การลงทุนในระบบนี้อาจส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในอนาคต Doudna เป็นตัวอย่างของการผสานรวม AI และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากระบบนี้สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง https://www.techspot.com/news/108119-energy-department-doudna-supercomputer-signals-new-era-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Dell, Nvidia, and Department of Energy join forces on "Doudna" supercomputer for science and AI
    The advanced system, to be housed at Lawrence Berkeley National Laboratory and scheduled to become operational in 2026, will be named "Doudna" in honor of Nobel laureate...
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE
    .
    วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด
    .
    โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย
    .
    นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด
    .
    ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
    .
    ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล"
    .
    "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    มทร.อีสาน จัดประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE . วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมแคนา 1 ชั้น 3 อาคารสำนักงานอธิการบดี (อาคาร 19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา มทร.อีสาน จัดการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการและการส่งมอบป้ายการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดยมี รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวต้อนรับ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธานการประชุมฯ, นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) พร้อมคณะ, นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน พร้อมคณะ, นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด พร้อมคณะ, คุณธนากร ประพฤทธิพงษ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, นายบุญส่ง สุทธิโตคร ผู้อำนวยการสำนักช่าง สำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา, ดร.ธีรพงศ์ คณาศักดิ์ รองประธานฝ่ายบริหารและสื่อสารองค์กร หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณไพสิทธิ์ ปิติทรงสวัสดิ์ ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา, คุณอาทิตย์ ชามขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด, นายจำนงค์ แสงเงิน หัวหน้ากองจัดการเดินรถเขต 2, คุณบัญชา กันหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครราชสีมา, คุณขจร ศิวรังสรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมระบบราง, คุณวัฒนา สมานจิตร อุปนายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย, ดร.สุรวุฒิ เชิดชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัยคอร์ปอเรชั่น จำกัด . โดยในการประชุมครั้งนี้ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.อภิชิต คำภาหล้า คณบดีคณะระบบรางและการขนส่ง ได้ร่วมกัน นำเสนอจุดประสงค์ของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ และนำเสนอศูนย์ความร่วมมือทางวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE และทางด้าน บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) โดย นายเฮ้อไจ้เฉียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC) ได้นำเสนอจุดเด่นทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ระบบขนส่ง DRT และรถไฟฟ้ารางเบา รวมถึงแนวคิดความร่วมมือด้านการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของขบวนรถไฟ จากนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ได้กล่าวถึง ภาพรวมของสถาบัน NIRT จุดแข็งของหลักสูตร และแนวทางการจัดตั้งวิทยาลัยระบบรางจีน–ไทย (NIRT สาขาต่างประเทศ) โดย นายฉ๋าว กั๋วฮ๋ง รองอธิการบดีสถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ประเทศจีน ทั้งนี้ นอกจากจะร่วมประชุมหารือด้านความร่วมมือระหว่างกันแล้วยังได้มี การการหารือการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) และ แผนรถไฟฟ้ารางเบาในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด โดย นายฮว๋าง หย๋ง เจี๋ย ประธานบริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด ยังได้นำเสนอ เรื่อง การวางแผนผลักดันจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นจังหวัดหลักด้านอุตสาหกรรมระบบราง โดยอาศัยโอกาสความร่วมมือจากทั้ง 4 ฝ่าย และการดำเนินโครงการระบบ DRT สำหรับมหกรรมพืชสวนโลกอีกด้วย . นอกจากนี้ นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ยังได้ให้เกียรติเป็นประธานมอบป้ายสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE แก่ทั้ง 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. (CRRC), สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT), บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด . ภายหลังการประชุม นายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า “ในนามของจังหวัดนครราชสีมา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ภายใต้การนำของ รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือในวันนี้ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่า ก่อให้เกิดแนวทางความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในระดับประเทศและนานาชาติ ทั้งยังได้ริเริ่มสานสัมพันธ์อันดีระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา พันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประกาศเจตจำนงมุ่งมั่นในการร่วมพัฒนาด้านเทคโนโลยีและระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมระบบราง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง จนได้ร่วมมือกันในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในด้านระบบคมนาคมขนส่ง การมีสถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบรางในพื้นที่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของจังหวัดและภูมิภาค ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” . ด้าน รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้เปิดเผยว่า "สำหรับการประชุมปรึกษาหารือความร่วมมือทางวิชาการ และพิธีส่งมอบป้ายการจัดตั้ง สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE ในวันนี้ เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ต้องขอขอบคุณจังหวัดนครราชสีมาที่ได้ให้ความสำคัญกับ มทร.อีสาน เสมอมา ในความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม และภาควิจัย ทั้งในและต่างประเทศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านระบบรางให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล" . "ทั้งนี้ การที่ มทร.อีสาน ได้พันธมิตรในการร่วมพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า EV เช่น บริษัท CHELOVE International Education Group จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และเป็นผู้นำในการให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ด้านการขนส่งทางราง เช่น บริษัท Nanjing Puzhen Co., Ltd. หรือ CRRC เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและการผลิตอุปกรณ์ขนส่งทางราง และเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์รถไฟของจีน และสถาบันที่ผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีและการจัดการระบบราง เช่น สถาบันอาชีวศึกษาเทคโนโลยีรถไฟหนานจิง (NIRT) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนในของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองและมีระดับการพัฒนาระบบรถไฟสูงที่สุดในประเทศจีน ดังนั้น การจัดตั้ง “สถาบันความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบราง RMUTI–CRRC–NIRT–CHELOVE” แห่งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติต่อไป" รศ.ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน กล่าวเพิ่มเติม
    0 Comments 0 Shares 750 Views 0 Reviews
  • กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง

    สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป

    จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย

    ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา

    การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

    #Newskit
    กัวลาลัมเปอร์ใกล้ฉัน บาติกแอร์บินตรงดอนเมือง-ซูบัง สนามบินเก่าเมืองหลวงของมาเลเซียอย่าง ท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ ซูบัง (SZB) ในเมืองซูบัง รัฐสลังงอร์ ทางทิศตะวันตกของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กำลังจะมีเที่ยวบินไปยังกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เมื่อสายการบินบาติกแอร์ (Batik Air) เตรียมเปิดเส้นทางใหม่ จากท่าอากาศยานซูบัง ไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ (DMK) วันละ 1 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินที่ OD532 ออกจากซูบัง 09.25 น. ถึงดอนเมือง 10.40 น. เที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ OD533 ออกจากดอนเมือง 11.40 น. ถึงซูบัง 14.45 น. ค่าโดยสารราคาเริ่มต้นที่ 259 ริงกิต เริ่มให้บริการในวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป จันทราน รามา มูร์ธี (Chandran Rama Muthy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบาติกแอร์ กล่าวกับสื่อในมาเลเซียว่า การเปิดเที่ยวบินดังกล่าวจะมอบความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง และเข้าถึงเครือข่ายเส้นทางบินที่กำลังเติบโต โดยจะเปลี่ยนท่าอากาศยานซูบังให้กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ทันสมัย ซึ่งเส้นทางบินกรุงเทพฯ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเปิดเส้นทางไปยังเมืองกูชิ่ง (KCH) ในรัฐซาราวักบนเกาะบอร์เนียว ที่จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อภายในประเทศมาเลเซียจากกูชิ่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บาติกแอร์ยังให้บริการจากท่าอากาศยานสุบัง ไปยังปีนัง โกตาบาห์รู และโกตากินาบาลูอีกด้วย ท่าอากาศยานซูบังจะเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) เชื่อว่าจะจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตต่ออุตสาหกรรมการบินในมาเลเซีย และใกล้ชิดกับผู้โดยสารในพื้นที่แคลงวัลเลย์ (Klang Valley) มากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต่างๆ อาทิ เปตาลิง จายา, ชาห์ อลาม และกัวลาลัมเปอร์ ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านแคลงวัลเลย์ สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับสนามบินใหญ่ที่อยู่ห่างไกล คาดว่าเส้นทางซูบัง-ดอนเมือง จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเลเซียมายังกรุงเทพฯ ที่มีวัฒนธรรม อาหาร ช้อปปิ้ง และการผจญภัยอันมีชีวิตชีวา การเดินทางจากสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังท่าอากาศยานซูบัง ด้วยระบบขนส่งมวลชน ได้แก่ รถไฟฟ้า LRT สาย Kelana Jaya จากสถานี KL Sentral ไปลงที่สถานี Pasar Seni ต่อรถไฟฟ้า MRT สาย Kajang ลงที่สถานี Kwasa Sentral จากนั้นต่อรถเมล์สาย T804 ไปลงที่ป้าย Subang Airport รถออกทุก 40-60 นาที ส่วนรถประจำทาง RapidKL สาย 772 จากป้ายหยุดรถประจำทาง KL1760 Suasana Sentral Loft ไปลงที่ป้าย SA909 Subang Skypark Terminal ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที #Newskit
    0 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 Comments 0 Shares 979 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/SiGjJmUTE4k?si=iIhSZGf5OGLNj07z
    https://youtube.com/shorts/SiGjJmUTE4k?si=iIhSZGf5OGLNj07z
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • Ubuntu 25.10: การอัปเดตครั้งสำคัญก่อนเข้าสู่ LTS รุ่นใหม่

    Canonical ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Ubuntu 25.10 "Questing Quokka" ซึ่งเป็นเวอร์ชันสุดท้ายก่อนที่ Ubuntu 26.04 LTS จะเปิดตัว โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น GNOME 49, เครื่องมือใหม่ และการรองรับฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Ubuntu 25.10
    Ubuntu 25.10 จะมาพร้อมกับ GNOME 49
    - มี ส่วนขยาย shell ที่ปรับปรุงใหม่ และ UI ที่สอดคล้องกับ GNOME upstream

    เพิ่มแอป Loupe image viewer และ Ptyxis terminal emulator
    - เพื่อ ปรับปรุงชุดแอปพลิเคชันเริ่มต้นให้ทันสมัยขึ้น

    ปรับปรุงฟีเจอร์ด้าน Accessibility เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายยุโรป (EAA)
    - เนื่องจาก EU จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายนี้ในเดือนมิถุนายน 2025

    Canonical ร่วมมือกับ NVIDIA และ GNOME เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ Wayland
    - Wayland เป็นเซิร์ฟเวอร์แสดงผลที่ปลอดภัยและทันสมัยกว่าระบบ X.org

    รองรับ Variable Refresh Rate (VRR) ใน Mutter และ Window Manager
    - ช่วยให้ ภาพลื่นไหลขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่มีจอภาพรองรับ VRR

    เพิ่มการผสานรวมกับ Microsoft Entra ID สำหรับองค์กร
    - ทำให้ Ubuntu สามารถลงทะเบียนอุปกรณ์กับ Entra ID ได้โดยตรง

    รองรับสถาปัตยกรรม RISC-V อย่างเต็มรูปแบบ
    - ช่วยให้ Ubuntu สามารถทำงานบนฮาร์ดแวร์ RISC-V ได้ดีขึ้น

    Landscape integration จะถูกเพิ่มเข้าไปใน Ubuntu Desktop Installer
    - เพื่อ ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตั้งและจัดการอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้น

    ปรับปรุงเอกสารคู่มือ Ubuntu Desktop ให้เข้าถึงง่ายขึ้น
    - ทำให้ ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้สะดวกกว่าเดิม

    https://www.neowin.net/news/canonical-sets-out-what-it-plans-to-include-in-ubuntu-2510/
    Ubuntu 25.10: การอัปเดตครั้งสำคัญก่อนเข้าสู่ LTS รุ่นใหม่ Canonical ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Ubuntu 25.10 "Questing Quokka" ซึ่งเป็นเวอร์ชันสุดท้ายก่อนที่ Ubuntu 26.04 LTS จะเปิดตัว โดยมีการปรับปรุงหลายด้าน เช่น GNOME 49, เครื่องมือใหม่ และการรองรับฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Ubuntu 25.10 ✅ Ubuntu 25.10 จะมาพร้อมกับ GNOME 49 - มี ส่วนขยาย shell ที่ปรับปรุงใหม่ และ UI ที่สอดคล้องกับ GNOME upstream ✅ เพิ่มแอป Loupe image viewer และ Ptyxis terminal emulator - เพื่อ ปรับปรุงชุดแอปพลิเคชันเริ่มต้นให้ทันสมัยขึ้น ✅ ปรับปรุงฟีเจอร์ด้าน Accessibility เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายยุโรป (EAA) - เนื่องจาก EU จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายนี้ในเดือนมิถุนายน 2025 ✅ Canonical ร่วมมือกับ NVIDIA และ GNOME เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ Wayland - Wayland เป็นเซิร์ฟเวอร์แสดงผลที่ปลอดภัยและทันสมัยกว่าระบบ X.org ✅ รองรับ Variable Refresh Rate (VRR) ใน Mutter และ Window Manager - ช่วยให้ ภาพลื่นไหลขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่มีจอภาพรองรับ VRR ✅ เพิ่มการผสานรวมกับ Microsoft Entra ID สำหรับองค์กร - ทำให้ Ubuntu สามารถลงทะเบียนอุปกรณ์กับ Entra ID ได้โดยตรง ✅ รองรับสถาปัตยกรรม RISC-V อย่างเต็มรูปแบบ - ช่วยให้ Ubuntu สามารถทำงานบนฮาร์ดแวร์ RISC-V ได้ดีขึ้น ✅ Landscape integration จะถูกเพิ่มเข้าไปใน Ubuntu Desktop Installer - เพื่อ ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตั้งและจัดการอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้น ✅ ปรับปรุงเอกสารคู่มือ Ubuntu Desktop ให้เข้าถึงง่ายขึ้น - ทำให้ ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้สะดวกกว่าเดิม https://www.neowin.net/news/canonical-sets-out-what-it-plans-to-include-in-ubuntu-2510/
    WWW.NEOWIN.NET
    Canonical sets out what it plans to include in Ubuntu 25.10
    Canonical has given an overview of the improvements it wants to include in Ubuntu 25.10 later this year, including GNOME 49.
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • ภาพวิดีโออีกหนึ่งมุมจากการถล่มตำแหน่งที่มั่นของยูเครนด้วยระบบจรวดหลายลำกล้องของกองทัพรัสเซียใน Chasiv Yar ทิศทาง Bakhmut เมื่อวานนี้
    ภาพวิดีโออีกหนึ่งมุมจากการถล่มตำแหน่งที่มั่นของยูเครนด้วยระบบจรวดหลายลำกล้องของกองทัพรัสเซียใน Chasiv Yar ทิศทาง Bakhmut เมื่อวานนี้
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • สถานีต่อไป กรุงเทพอภิวัฒน์ - KL Sentral

    การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ของมาเลเซีย จะร่วมกันกลับมาเปิดให้บริการรถไฟ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม คาดว่าจะเปิดให้บริการเที่ยวแรกภายในเดือน ก.ค. 2568 เป็นผลมาจากการประชุมร่วมระหว่าง ร.ฟ.ท. และ KTM Berhad ครั้งที่ 42 (KTMB-SRT Joint Conference) เมื่อเดือน ส.ค.2567

    ถือเป็นการฟื้นการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปีนัง กลับมาอีกครั้ง หลังเคยเปิดการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.2465 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 94 ปี ก่อนยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2559 เป็นต้นมา หลังจากประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟทางคู่ระบบปิด ก่อนให้บริการรถไฟแบบ ETS ซึ่งเป็นรถไฟด่วนพิเศษ และ KTM Komuter ซึ่งเป็นรถไฟธรรมดา ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ขบวนรถที่ 45/46 จากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปลายทางของรถไฟทางไกลในปัจจุบัน ไปยังสถานีปลายทางปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เท่านั้น

    ที่น่าสนใจก็คือ รายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ของมาเลเซีย นายโลค เปิดเผยว่า มีแผนจะกลับมาเปิดให้บริการรถไฟทางไกล ระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กับกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย อีกครั้งในปี 2568 ซึ่ง KTM Berhad และ ร.ฟ.ท. จะใช้เวลาเตรียมการเบื้องต้น 3 เดือน แม้การดำเนินการดังกล่าวไม่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ แต่จำเป็นต้องมีการประสานงาน การทำการตลาดร่วมกัน และการออกตั๋วโดยสารร่วมกันระหว่างสองประเทศ

    ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยได้เสนอให้ขยายบริการรถไฟทางไกล จากสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) และเมืองปาเซร์มัส (Pasir Mas) รัฐกลันตันในมาเลเซีย ซึ่งตนยินดีรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และปรับปรุงคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน แต่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อฟื้นฟูเส้นทางรถไฟระหว่างสุไหงโก-ลก รันเตาปันยัง และปาเซร์มัส เนื่องจากต้องมีการบูรณะรางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งานมานานในเมืองรันเตาปันยังและสุไหงโก-ลก

    ปัจจุบัน สถานีปาดังเบซาร์ ประเทศมาเลเซีย มีบริการรถไฟ ETS (Electric Train Service) ไปยังสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ วันละ 5 ขบวน ปลายทางไกลที่สุดคือสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์

    #Newskit

    หมายเหตุ : ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ทาง Facebook และ Instagram วันที่ 12 พ.ค. 2568
    สถานีต่อไป กรุงเทพอภิวัฒน์ - KL Sentral การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) ของมาเลเซีย จะร่วมกันกลับมาเปิดให้บริการรถไฟ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม คาดว่าจะเปิดให้บริการเที่ยวแรกภายในเดือน ก.ค. 2568 เป็นผลมาจากการประชุมร่วมระหว่าง ร.ฟ.ท. และ KTM Berhad ครั้งที่ 42 (KTMB-SRT Joint Conference) เมื่อเดือน ส.ค.2567 ถือเป็นการฟื้นการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปีนัง กลับมาอีกครั้ง หลังเคยเปิดการเดินรถมาตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.2465 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 94 ปี ก่อนยกเลิกจำหน่ายตั๋วรถไฟไปสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2559 เป็นต้นมา หลังจากประเทศมาเลเซียได้ปรับปรุงทางรถไฟทางคู่ระบบปิด ก่อนให้บริการรถไฟแบบ ETS ซึ่งเป็นรถไฟด่วนพิเศษ และ KTM Komuter ซึ่งเป็นรถไฟธรรมดา ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ขบวนรถที่ 45/46 จากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปลายทางของรถไฟทางไกลในปัจจุบัน ไปยังสถานีปลายทางปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส เท่านั้น ที่น่าสนใจก็คือ รายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอร์นามา (Bernama) ของมาเลเซีย นายโลค เปิดเผยว่า มีแผนจะกลับมาเปิดให้บริการรถไฟทางไกล ระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กับกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย อีกครั้งในปี 2568 ซึ่ง KTM Berhad และ ร.ฟ.ท. จะใช้เวลาเตรียมการเบื้องต้น 3 เดือน แม้การดำเนินการดังกล่าวไม่จำเป็นต้องสร้างเส้นทางรถไฟใหม่ แต่จำเป็นต้องมีการประสานงาน การทำการตลาดร่วมกัน และการออกตั๋วโดยสารร่วมกันระหว่างสองประเทศ ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยได้เสนอให้ขยายบริการรถไฟทางไกล จากสถานีสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ไปยังเมืองรันเตาปันยัง (Rantau Panjang) และเมืองปาเซร์มัส (Pasir Mas) รัฐกลันตันในมาเลเซีย ซึ่งตนยินดีรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และปรับปรุงคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน แต่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อฟื้นฟูเส้นทางรถไฟระหว่างสุไหงโก-ลก รันเตาปันยัง และปาเซร์มัส เนื่องจากต้องมีการบูรณะรางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งานมานานในเมืองรันเตาปันยังและสุไหงโก-ลก ปัจจุบัน สถานีปาดังเบซาร์ ประเทศมาเลเซีย มีบริการรถไฟ ETS (Electric Train Service) ไปยังสถานี KL Sentral กรุงกัวลาลัมเปอร์ วันละ 5 ขบวน ปลายทางไกลที่สุดคือสถานีเซกามัต (Segamat) รัฐยะโฮร์ #Newskit หมายเหตุ : ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ทาง Facebook และ Instagram วันที่ 12 พ.ค. 2568
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 745 Views 0 Reviews
  • เมื่อนักท่องเที่ยวไทยใช้บริการ Rapid Penang On-Demand

    บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสารประจำทาง แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประเทศมาเลเซีย เปิดให้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ภายใต้ชื่อ Rapid Penang On-Demand มาตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 โดยใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ ในพื้นที่ประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เชื่อมต่อไปยังป้ายรถเมล์ Rapid Penang คิดค่าโดยสาร 1 ริงกิตต่อเที่ยว

    เฟซบุ๊ก "แซม ญาณบ้าน" นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ทดลองใช้บริการ Rapid Penang On-Demand เปิดเผยว่า เป็นขนส่งสาธารณะที่เป็นการเรียกยานพาหนะที่ใช้รถร่วมกัน หรือ คาร์พูล (Carpool) ในพื้นที่ให้บริการ โดยใช้รถตู้ 13 ที่นั่ง แต่ต้องเรียกผ่านแอปพลิเคชัน Kummute เมื่อเรียกรถ ระบบจะเรียกรถตู้ที่มีจุดหมายหรือทางผ่านเดียวกันที่ใกล้ที่สุด ถ้ามีคนไปทางเดียวกันก็เป็นคาร์พูลไปโดยปริยาย

    เขาใช้บริการ Rapid Penang On-Demand ในช่วงเช้า จาก George Town ไปยัง Karpal Singh Drive ซึ่งพบว่ามีรถแสดงผลในระบบ 5 คัน อารมณ์คล้ายรถตุ๊กตุ๊กในเมืองหาดใหญ่ ที่รับผู้โดยสารตามรายทางไปเรื่อยๆ แต่เปลี่ยนเป็นเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถจัดการเส้นทางคาร์พูลได้ดีกว่า ที่สำคัญราคาช่วงโปรโมชัน 1 ริงกิต แต่ถ้าหากหมดโปรโมชัน ขึ้นค่าโดยสารเป็น 2-3 ริงกิต คนที่เดินทางคนเดียวแบบ Solo Trip ก็ถือว่ายังถูกอยู่

    วิธีการเรียกรถ ให้เลือกจุดรับ (Pick-Up) จุดลง (Drop-Off) เลือกช่องทางการชำระเงิน (Payment) เลือกจำนวนผู้โดยสาร (Passenger) กดที่ "Choose drop-off time" เลือก As soon as possible (เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้) จากนั้นกด Continue แล้วรอรถตู้มารับ แล้วชำระเงินที่รถเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป

    สำหรับการชำระเงิน สามารถใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่เครื่อง EDC ที่อยู่กับคนขับรถ ซึ่งบัตรเครดิตที่ออกในประเทศไทยสามารถใช้ได้ ส่วนเครื่อง EDC ที่อยู่หน้ารถสำหรับบัตร Rapid Penang บัตรมูเทียราพาส (Mutiara Pass) และบัตรสำหรับผู้พิการ (OKU Smile Pass) เฉพาะชาวมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังรองรับคิวอาร์โค้ด DuitNow และ E-Wallet ของมาเลเซียอีกด้วย

    ส่วนข้อจำกัดก็คือ ผู้โดยสารต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน Kummute ซึ่งใช้เบอร์มือถือมาเลเซียยืนยันตัวตนผ่าน OTP นอกจากนี้ในบางช่วงเวลายังไม่สามารถเรียกรถได้ โดยระบุคำเตือน "High service demand" ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้โดยสารมีปริมาณความต้องการสูง รวมทั้งปัญหาการจราจรติดขัดบนเกาะปีนังที่ยังแก้ไม่ได้

    #Newskit

    หมายเหตุ : ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ทาง Facebook และ Instagram วันที่ 12 พ.ค. 2568
    เมื่อนักท่องเที่ยวไทยใช้บริการ Rapid Penang On-Demand บริษัทแรพิดบัส (Rapid Bus) ผู้ให้บริการรถโดยสารประจำทาง แรพิด ปีนัง (Rapid Penang) ประเทศมาเลเซีย เปิดให้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทาง หรือ DRT (Demand Responsive Transport) ภายใต้ชื่อ Rapid Penang On-Demand มาตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2567 โดยใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ ในพื้นที่ประชากรหนาแน่นและย่านที่อยู่อาศัยที่เพิ่งพัฒนา แต่ยังขาดการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เชื่อมต่อไปยังป้ายรถเมล์ Rapid Penang คิดค่าโดยสาร 1 ริงกิตต่อเที่ยว เฟซบุ๊ก "แซม ญาณบ้าน" นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ทดลองใช้บริการ Rapid Penang On-Demand เปิดเผยว่า เป็นขนส่งสาธารณะที่เป็นการเรียกยานพาหนะที่ใช้รถร่วมกัน หรือ คาร์พูล (Carpool) ในพื้นที่ให้บริการ โดยใช้รถตู้ 13 ที่นั่ง แต่ต้องเรียกผ่านแอปพลิเคชัน Kummute เมื่อเรียกรถ ระบบจะเรียกรถตู้ที่มีจุดหมายหรือทางผ่านเดียวกันที่ใกล้ที่สุด ถ้ามีคนไปทางเดียวกันก็เป็นคาร์พูลไปโดยปริยาย เขาใช้บริการ Rapid Penang On-Demand ในช่วงเช้า จาก George Town ไปยัง Karpal Singh Drive ซึ่งพบว่ามีรถแสดงผลในระบบ 5 คัน อารมณ์คล้ายรถตุ๊กตุ๊กในเมืองหาดใหญ่ ที่รับผู้โดยสารตามรายทางไปเรื่อยๆ แต่เปลี่ยนเป็นเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถจัดการเส้นทางคาร์พูลได้ดีกว่า ที่สำคัญราคาช่วงโปรโมชัน 1 ริงกิต แต่ถ้าหากหมดโปรโมชัน ขึ้นค่าโดยสารเป็น 2-3 ริงกิต คนที่เดินทางคนเดียวแบบ Solo Trip ก็ถือว่ายังถูกอยู่ วิธีการเรียกรถ ให้เลือกจุดรับ (Pick-Up) จุดลง (Drop-Off) เลือกช่องทางการชำระเงิน (Payment) เลือกจำนวนผู้โดยสาร (Passenger) กดที่ "Choose drop-off time" เลือก As soon as possible (เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้) จากนั้นกด Continue แล้วรอรถตู้มารับ แล้วชำระเงินที่รถเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป สำหรับการชำระเงิน สามารถใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่เครื่อง EDC ที่อยู่กับคนขับรถ ซึ่งบัตรเครดิตที่ออกในประเทศไทยสามารถใช้ได้ ส่วนเครื่อง EDC ที่อยู่หน้ารถสำหรับบัตร Rapid Penang บัตรมูเทียราพาส (Mutiara Pass) และบัตรสำหรับผู้พิการ (OKU Smile Pass) เฉพาะชาวมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังรองรับคิวอาร์โค้ด DuitNow และ E-Wallet ของมาเลเซียอีกด้วย ส่วนข้อจำกัดก็คือ ผู้โดยสารต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน Kummute ซึ่งใช้เบอร์มือถือมาเลเซียยืนยันตัวตนผ่าน OTP นอกจากนี้ในบางช่วงเวลายังไม่สามารถเรียกรถได้ โดยระบุคำเตือน "High service demand" ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้โดยสารมีปริมาณความต้องการสูง รวมทั้งปัญหาการจราจรติดขัดบนเกาะปีนังที่ยังแก้ไม่ได้ #Newskit หมายเหตุ : ลงวันที่ล่วงหน้า เพราะจะเผยแพร่ทาง Facebook และ Instagram วันที่ 12 พ.ค. 2568
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
More Results