• "ไชยชนก ชิดชอบ" ลาออกจากกรรมาธิการศึกษา MOU 43 - 44 สภาฯ ตั้ง "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เป็น กมธ.แทนในโควตาภูมิใจไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103853

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมสภา #สภาผู้แทนราษฎร #MOU2543 #MOU2544 #ไทยกัมพูชา #ภูมิใจไทย #ปานเทพพัวพงษ์พันธ์ #ยามเฝ้าแผ่นดิน #ไชยาพรหมา #ไชยชนกชิดชอบ #สยามเพ็งทอง #ข่าวการเมือง #ข่าวสภา
    "ไชยชนก ชิดชอบ" ลาออกจากกรรมาธิการศึกษา MOU 43 - 44 สภาฯ ตั้ง "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” เป็น กมธ.แทนในโควตาภูมิใจไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103853 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมสภา #สภาผู้แทนราษฎร #MOU2543 #MOU2544 #ไทยกัมพูชา #ภูมิใจไทย #ปานเทพพัวพงษ์พันธ์ #ยามเฝ้าแผ่นดิน #ไชยาพรหมา #ไชยชนกชิดชอบ #สยามเพ็งทอง #ข่าวการเมือง #ข่าวสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.ชิดตะวัน" จวก "อนุทิน" ไม่ยึดประโยชน์ของชาติตาม รธน. 2560 มาตรา 52 หลังให้สัมภาษณ์ “ดินแดนที่ไทยรุกล้ำเข้าไปในกัมพูชาก็มี...” ยก รธน. มาตรา 5 และมาตรา 3 วรรค 2 ยันคำสั่งนายกฯ ที่เกี่ยวพันกับการลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 มีผลให้ใช้บังคับไม่ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103840

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #อนุทิน #ดรชิดตะวัน #อธิปไตยไทย #รัฐธรรมนูญ2560 #ไทยกัมพูชา #เขตแดน #ผลประโยชน์ชาติ
    "ดร.ชิดตะวัน" จวก "อนุทิน" ไม่ยึดประโยชน์ของชาติตาม รธน. 2560 มาตรา 52 หลังให้สัมภาษณ์ “ดินแดนที่ไทยรุกล้ำเข้าไปในกัมพูชาก็มี...” ยก รธน. มาตรา 5 และมาตรา 3 วรรค 2 ยันคำสั่งนายกฯ ที่เกี่ยวพันกับการลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 มีผลให้ใช้บังคับไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103840 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #อนุทิน #ดรชิดตะวัน #อธิปไตยไทย #รัฐธรรมนูญ2560 #ไทยกัมพูชา #เขตแดน #ผลประโยชน์ชาติ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 2 “ป้ายปลอม”
    ตอน 1

    ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง

    หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents”

    Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า

    นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม
    เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า

    “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน
    สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ

    ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น)

    Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks

    เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร

    ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ

    แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง

    ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation

    นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย

    ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน

    ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้
    Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 2 “ป้ายปลอม” ตอน 1 ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents” Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น) Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้ Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองกำลังบูรพา เดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วต่อเนื่อง วันนี้พบทุ่นระเบิด POMZ-2 ในพื้นที่บ้านหนองจานโซน A เพิ่มอีกหนึ่ง ขณะผลตรวจระเบิดสะสม บ้านหนองจาน เจอแล้ว 5 ทุ่น เคลียร์พื้นที่แล้ว 5,367 ตารางเมตร ส่วนบ้านหนองหญ้าแก้วเจอ 11 ทุ่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103814

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #กองกำลังบูรพา #กู้ทุ่นระเบิด #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #กองทัพภาคที่1
    กองกำลังบูรพา เดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วต่อเนื่อง วันนี้พบทุ่นระเบิด POMZ-2 ในพื้นที่บ้านหนองจานโซน A เพิ่มอีกหนึ่ง ขณะผลตรวจระเบิดสะสม บ้านหนองจาน เจอแล้ว 5 ทุ่น เคลียร์พื้นที่แล้ว 5,367 ตารางเมตร ส่วนบ้านหนองหญ้าแก้วเจอ 11 ทุ่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103814 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #กองกำลังบูรพา #กู้ทุ่นระเบิด #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #กองทัพภาคที่1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI Superintelligence” กับเสียงเตือนจากคนดัง: เมื่อเทคโนโลยีอาจล้ำเส้นมนุษย์

    เสียงเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และคนดังทั่วโลกกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ AI กำลังพัฒนาไปสู่ระดับ “Superintelligence” — ปัญญาประดิษฐ์ที่อาจฉลาดกว่ามนุษย์ในทุกด้าน และนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรือการพูดคุยกับแชตบอต แต่เบื้องหลังความสะดวกนั้นคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI และ xAI กำลังพัฒนา “Superintelligence” — AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์

    กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และคนดัง เช่น Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle, Joseph Gordon-Levitt และ will.i.am ได้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ “Statement on Superintelligence” เพื่อเรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว จนกว่าจะมี “ฉันทามติทางวิทยาศาสตร์” ว่าจะสามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย และมี “การยอมรับจากสาธารณชน” อย่างชัดเจน

    Superintelligent AI ไม่เหมือนกับ AI ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เพราะมันไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการสั่งงานอีกต่อไป มันสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง และอาจมีเป้าหมายที่มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จ — โดยไม่สนใจผลกระทบต่อมนุษย์

    ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่การแย่งงาน การควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ไปจนถึงการสูญพันธุ์ของมนุษย์ ฟังดูเหมือนนิยายไซไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเรากำลังเดินเข้าสู่ “พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน” และควรเตรียมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

    AI Superintelligence คืออะไร
    ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์
    ไม่ต้องพึ่งพาการสั่งงานจากมนุษย์อีกต่อไป
    สามารถพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อจำกัด

    แถลงการณ์ Statement on Superintelligence
    เรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว
    ต้องมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัย
    ต้องได้รับการยอมรับจากสาธารณชนก่อนเปิดใช้งาน

    ผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์
    Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle
    Joseph Gordon-Levitt, will.i.am, Yoshua Bengio, Stuart Russell

    ความเสี่ยงจาก AI Superintelligence
    อาจถูกควบคุมโดยผู้ไม่หวังดี
    มีโอกาส “หลุดจากการควบคุม” ของมนุษย์
    อาจใช้ทรัพยากรทางปัญญาเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจผลกระทบ

    ผลกระทบต่อมนุษย์
    การแย่งงานในหลายอุตสาหกรรม
    การเฝ้าระวังและควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี
    ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์

    https://www.slashgear.com/2010667/superintelligence-ban-ai-experts-public-figures/
    🧠 “AI Superintelligence” กับเสียงเตือนจากคนดัง: เมื่อเทคโนโลยีอาจล้ำเส้นมนุษย์ เสียงเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และคนดังทั่วโลกกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ AI กำลังพัฒนาไปสู่ระดับ “Superintelligence” — ปัญญาประดิษฐ์ที่อาจฉลาดกว่ามนุษย์ในทุกด้าน และนั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นภาพที่สร้างจาก AI หรือการพูดคุยกับแชตบอต แต่เบื้องหลังความสะดวกนั้นคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI และ xAI กำลังพัฒนา “Superintelligence” — AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และคนดัง เช่น Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle, Joseph Gordon-Levitt และ will.i.am ได้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ “Statement on Superintelligence” เพื่อเรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว จนกว่าจะมี “ฉันทามติทางวิทยาศาสตร์” ว่าจะสามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย และมี “การยอมรับจากสาธารณชน” อย่างชัดเจน Superintelligent AI ไม่เหมือนกับ AI ที่เราใช้กันในปัจจุบัน เพราะมันไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ในการสั่งงานอีกต่อไป มันสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง และอาจมีเป้าหมายที่มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จ — โดยไม่สนใจผลกระทบต่อมนุษย์ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีตั้งแต่การแย่งงาน การควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ไปจนถึงการสูญพันธุ์ของมนุษย์ ฟังดูเหมือนนิยายไซไฟ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเรากำลังเดินเข้าสู่ “พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน” และควรเตรียมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ✅ AI Superintelligence คืออะไร ➡️ ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ได้เหนือกว่ามนุษย์ ➡️ ไม่ต้องพึ่งพาการสั่งงานจากมนุษย์อีกต่อไป ➡️ สามารถพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อจำกัด ✅ แถลงการณ์ Statement on Superintelligence ➡️ เรียกร้องให้หยุดการพัฒนา AI ประเภทนี้ชั่วคราว ➡️ ต้องมีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ว่าปลอดภัย ➡️ ต้องได้รับการยอมรับจากสาธารณชนก่อนเปิดใช้งาน ✅ ผู้ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ ➡️ Richard Branson, Steve Wozniak, Prince Harry, Meghan Markle ➡️ Joseph Gordon-Levitt, will.i.am, Yoshua Bengio, Stuart Russell ‼️ ความเสี่ยงจาก AI Superintelligence ⛔ อาจถูกควบคุมโดยผู้ไม่หวังดี ⛔ มีโอกาส “หลุดจากการควบคุม” ของมนุษย์ ⛔ อาจใช้ทรัพยากรทางปัญญาเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่สนใจผลกระทบ ‼️ ผลกระทบต่อมนุษย์ ⛔ การแย่งงานในหลายอุตสาหกรรม ⛔ การเฝ้าระวังและควบคุมสังคมผ่านเทคโนโลยี ⛔ ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์ https://www.slashgear.com/2010667/superintelligence-ban-ai-experts-public-figures/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    AI Experts & Celebrities Are Sounding The Alarm Bell - They Want A 'Superintelligence' Ban - SlashGear
    Figures like Steve Wozniak and Richard Branson, and will.i.am have signed the Statement on Superintelligence, urging a pause on AI superintelligence research.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด!

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ

    Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด

    เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร

    ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก

    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด

    แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว

    ความหมายของ Collate
    คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ
    ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง

    ประโยชน์ของการใช้ Collate
    ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด
    ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร
    เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก

    วิธีเปิดใช้งาน Collate
    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย
    บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์

    https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    🖨️ “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด! ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว ✅ ความหมายของ Collate ➡️ คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ ➡️ ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง ✅ ประโยชน์ของการใช้ Collate ➡️ ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด ➡️ ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร ➡️ เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก ✅ วิธีเปิดใช้งาน Collate ➡️ เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย ➡️ บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์ https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does Collate Mean When Printing? - SlashGear
    Most printers have an option to "collate," but what does the function do? It's really handy if you're printing multiple copies of multi-page documents.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี

    ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่

    Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง

    มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง

    มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง

    นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง

    และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI
    ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง
    แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
    ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์
    ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์

    ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง
    ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก
    ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด
    ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้

    Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories”
    เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้
    ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน
    เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน
    สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้
    ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล
    ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง
    ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป
    อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ

    ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI
    มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI
    มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas

    https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    🧠 Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่ Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ➡️ ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง ➡️ แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ➡️ ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์ ➡️ ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ✅ ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง ➡️ ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก ➡️ ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ➡️ ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้ ✅ Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories” ➡️ เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้ ➡️ ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน ➡️ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้ ⛔ ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง ‼️ ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล ⛔ ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง ⛔ ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ ‼️ ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI ⛔ มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI ⛔ มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3

    AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู

    ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods

    แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน

    ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม

    Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่

    จุดเด่นของ AirPods Pro 3
    ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
    เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม
    ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L

    ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน
    เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด
    เกิด feedback loop จากระบบ ANC
    ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป
    การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร

    https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    ✈️🎧 “เสียงหวีดกลางฟ้า” – ปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ AirPods Pro 3 AirPods Pro 3 ได้รับคำชมมากมายเรื่องคุณภาพเสียง การตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สุขภาพใหม่อย่างการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้งานจริงบนเครื่องบินที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต กลับพบปัญหาเสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายที่ดังจนเจ็บหู ต้นเหตุของปัญหานี้คือการที่ซีลของหูฟังหลุดเล็กน้อย ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) เกิดการวนลูปของเสียงและสร้างเสียงหวีดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เผลอแตะไมโครโฟนภายนอกของ AirPods แม้จะเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังจาก M เป็น XS ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร และเมื่อบินอีกครั้ง เสียงหวีดก็กลับมาอีกครั้งในช่วงไต่ระดับและลดระดับของเครื่องบิน ผู้ใช้หลายคนใน Reddit ก็รายงานปัญหาเดียวกัน โดยเฉพาะกับหูฟังข้างซ้าย และพบว่าเสียงจะลดลงเมื่อเปิดโหมด Transparency หรือ Adaptive แต่จะกลับมาเมื่อใช้ ANC แบบเต็ม Apple ยังไม่ออกแถลงการณ์หรือเรียกคืนสินค้า และแม้จะเปลี่ยนหูฟังใหม่จากศูนย์บริการ ปัญหาก็ยังคงอยู่ ✅ จุดเด่นของ AirPods Pro 3 ➡️ ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ดีขึ้นจากรุ่นก่อน ➡️ เพิ่มฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ➡️ คุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม ➡️ ขนาดจุกหูฟังมีให้เลือกตั้งแต่ XXS ถึง L ✅ ปัญหาที่พบในการใช้งานบนเครื่องบิน ➡️ เสียงหวีดแหลมจากหูฟังข้างซ้ายเมื่อซีลหลุด ➡️ เกิด feedback loop จากระบบ ANC ➡️ ปัญหาเกิดเฉพาะบนเครื่องบิน ไม่พบในการใช้งานทั่วไป ➡️ การเปลี่ยนขนาดจุกหูฟังช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ถาวร https://basicappleguy.com/basicappleblog/the-airpods-pro-3-flight-problem
    BASICAPPLEGUY.COM
    The AirPods Pro 3 Flight Problem — Basic Apple Guy
    Testing Apple’s latest noise-cancelling earbuds at 39,000 feet reveals a potential flaw most users won’t notice, until they fly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตู้เย็นก็มีโฆษณา” – Samsung เปิดทางโฆษณาบน Smart Fridge รุ่นแพง

    Samsung ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตู้เย็นอัจฉริยะ Family Hub และ Bespoke ที่มีหน้าจอสัมผัสจะเริ่มแสดงโฆษณาในหน้าจอผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์เร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาสูงถึง $3,499 ก็ไม่เว้น

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีการทดลองแสดงโฆษณาในบางประเทศ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในระดับสากล โดย Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” และ “แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” ผ่าน SmartThings ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะของบริษัท

    ผู้ใช้สามารถเลือกปิดโฆษณาบางประเภทได้ แต่ไม่สามารถปิดทั้งหมดได้ และยังไม่มีการเสนอรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าระดับพรีเมียม

    การเปลี่ยนแปลงจาก Samsung
    ตู้เย็น Family Hub และ Bespoke จะเริ่มแสดงโฆษณาบนหน้าจอ
    โฆษณาจะมาจาก SmartThings และแสดงในหน้า Home Screen
    ผู้ใช้สามารถเลือกปิดบางโฆษณาได้ แต่ไม่ทั้งหมด
    ไม่มีรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าราคา $3,499

    เหตุผลของบริษัท
    Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้”
    ใช้เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
    เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างรายได้จากอุปกรณ์ IoT

    คำเตือนและข้อควรพิจารณา
    ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกในการซื้อรุ่นที่ไม่มีโฆษณา
    โฆษณาอาจปรากฏแม้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
    การแสดงโฆษณาในอุปกรณ์ที่ซื้อขาดอาจสร้างความไม่พอใจ
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโฆษณาในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น เตาอบ เครื่องซักผ้า หรือเครื่องปรับอากาศ

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/samsung-makes-ads-on-3499-smart-fridges-official-with-upcoming-software-update/
    🧊📺 “ตู้เย็นก็มีโฆษณา” – Samsung เปิดทางโฆษณาบน Smart Fridge รุ่นแพง Samsung ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตู้เย็นอัจฉริยะ Family Hub และ Bespoke ที่มีหน้าจอสัมผัสจะเริ่มแสดงโฆษณาในหน้าจอผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์เร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะรุ่นที่มีราคาสูงถึง $3,499 ก็ไม่เว้น แม้ก่อนหน้านี้จะมีการทดลองแสดงโฆษณาในบางประเทศ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในระดับสากล โดย Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” และ “แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง” ผ่าน SmartThings ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะของบริษัท ผู้ใช้สามารถเลือกปิดโฆษณาบางประเภทได้ แต่ไม่สามารถปิดทั้งหมดได้ และยังไม่มีการเสนอรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าระดับพรีเมียม ✅ การเปลี่ยนแปลงจาก Samsung ➡️ ตู้เย็น Family Hub และ Bespoke จะเริ่มแสดงโฆษณาบนหน้าจอ ➡️ โฆษณาจะมาจาก SmartThings และแสดงในหน้า Home Screen ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกปิดบางโฆษณาได้ แต่ไม่ทั้งหมด ➡️ ไม่มีรุ่น “ไม่มีโฆษณา” แม้จะเป็นสินค้าราคา $3,499 ✅ เหตุผลของบริษัท ➡️ Samsung ระบุว่าโฆษณาจะช่วย “ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้” ➡️ ใช้เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การสร้างรายได้จากอุปกรณ์ IoT ‼️ คำเตือนและข้อควรพิจารณา ⛔ ผู้ใช้ไม่มีทางเลือกในการซื้อรุ่นที่ไม่มีโฆษณา ⛔ โฆษณาอาจปรากฏแม้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ⛔ การแสดงโฆษณาในอุปกรณ์ที่ซื้อขาดอาจสร้างความไม่พอใจ ⛔ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงโฆษณาในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น เตาอบ เครื่องซักผ้า หรือเครื่องปรับอากาศ https://arstechnica.com/gadgets/2025/10/samsung-makes-ads-on-3499-smart-fridges-official-with-upcoming-software-update/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal

    บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน

    สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ

    การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้

    ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:
    ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี
    ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors”
    ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993%
    เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure
    ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation
    ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier

    สรุปเนื้อหาสำคัญ
    ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS
    ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี
    ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe
    เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993%
    ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy

    กลยุทธ์ด้านเทคนิค
    ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production
    เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes
    ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation
    ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider

    การจัดการต้นทุนและ CapEx
    เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM
    วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี
    มี cold spares และ extended warranty จาก OEM
    สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS

    การจัดการความปลอดภัยและ compliance
    ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001
    ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง
    ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit

    การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล
    ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing
    เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ
    Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable

    คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย
    หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์
    หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์
    หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal
    การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ

    https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view
    🧠💻 “จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้ ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ: 🎗️ ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี 🎗️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors” 🎗️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993% 🎗️ เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure 🎗️ ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation 🎗️ ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ ✅ ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS ➡️ ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี ➡️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe ➡️ เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993% ➡️ ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy ✅ กลยุทธ์ด้านเทคนิค ➡️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ➡️ เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes ➡️ ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation ➡️ ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider ✅ การจัดการต้นทุนและ CapEx ➡️ เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM ➡️ วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี ➡️ มี cold spares และ extended warranty จาก OEM ➡️ สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS ✅ การจัดการความปลอดภัยและ compliance ➡️ ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001 ➡️ ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง ➡️ ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit ✅ การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล ➡️ ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing ➡️ เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ ➡️ Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย ⛔ หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์ ⛔ หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์ ⛔ หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal ⛔ การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view
    ONEUPTIME.COM
    AWS to Bare Metal Two Years Later: Answering Your Toughest Questions About Leaving AWS
    Two years after our AWS-to-bare-metal migration, we revisit the numbers, share what changed, and address the biggest questions from Hacker News and Reddit.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “uv” เครื่องมือเปลี่ยนโลก Python ที่นักพัฒนาไม่ควรพลาด

    ลองจินตนาการว่า...การติดตั้ง Python, จัดการ virtual environment และแก้ dependency conflict ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป! นั่นคือสิ่งที่ “uv” ทำได้ และทำได้ดีมากจนกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนยกให้เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับ ecosystem ของ Python ในรอบทศวรรษ”

    Dr. Emily L. Hunt นักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ตรงว่า “uv” ไม่เพียงแค่เร็วและง่าย แต่ยังปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับทีมที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน

    นอกจากความสามารถพื้นฐานอย่างติดตั้ง Python และแพ็กเกจแล้ว “uv” ยังมีฟีเจอร์เด็ดอย่าง:
    การสร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย uv init
    การซิงค์ environment ด้วย uv sync
    การเพิ่ม dependency ด้วย uv add
    การ pin เวอร์ชัน Python ด้วย uv python pin
    การรันเครื่องมือแบบ one-off ด้วย uvx

    และทั้งหมดนี้เขียนด้วยภาษา Rust ทำให้เร็วและเสถียรอย่างน่าทึ่ง

    นอกเหนือจากเนื้อหาในบล็อก ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ:
    “uv” เป็นผลงานของ Astral ผู้สร้างเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Ruff
    รองรับการทำงานบน GitHub Actions และ production server ได้อย่างดีเยี่ยม
    ใช้ pyproject.toml ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Python packaging ที่กำลังมาแรงแทน requirements.txt

    https://emily.space/posts/251023-uv
    🐍✨ “uv” เครื่องมือเปลี่ยนโลก Python ที่นักพัฒนาไม่ควรพลาด ลองจินตนาการว่า...การติดตั้ง Python, จัดการ virtual environment และแก้ dependency conflict ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป! นั่นคือสิ่งที่ “uv” ทำได้ และทำได้ดีมากจนกลายเป็นเครื่องมือที่หลายคนยกให้เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับ ecosystem ของ Python ในรอบทศวรรษ” Dr. Emily L. Hunt นักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ตรงว่า “uv” ไม่เพียงแค่เร็วและง่าย แต่ยังปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับทีมที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างกัน นอกจากความสามารถพื้นฐานอย่างติดตั้ง Python และแพ็กเกจแล้ว “uv” ยังมีฟีเจอร์เด็ดอย่าง: 💠 การสร้างโปรเจกต์ใหม่ด้วย uv init 💠 การซิงค์ environment ด้วย uv sync 💠 การเพิ่ม dependency ด้วย uv add 💠 การ pin เวอร์ชัน Python ด้วย uv python pin 💠 การรันเครื่องมือแบบ one-off ด้วย uvx และทั้งหมดนี้เขียนด้วยภาษา Rust ทำให้เร็วและเสถียรอย่างน่าทึ่ง นอกเหนือจากเนื้อหาในบล็อก ยังมีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจ: 💠 “uv” เป็นผลงานของ Astral ผู้สร้างเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Ruff 💠 รองรับการทำงานบน GitHub Actions และ production server ได้อย่างดีเยี่ยม 💠 ใช้ pyproject.toml ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของ Python packaging ที่กำลังมาแรงแทน requirements.txt https://emily.space/posts/251023-uv
    EMILY.SPACE
    uv is the best thing to happen to the Python ecosystem in a decade - Blog - Dr. Emily L. Hunt
    Released in 2024, uv is hands-down the best tool for managing Python installations and dependencies. Here's why.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ubuntu 25.10 พร้อมแล้ว! ผู้ใช้ Plucky Puffin สามารถอัปเกรดเป็น Questing Quokka ได้ทันที

    Canonical เปิดทางให้อัปเกรดจาก Ubuntu 25.04 สู่เวอร์ชันล่าสุด 25.10 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ผ่าน Software Updater หรือ Terminal พร้อมคำเตือนสำคัญก่อนเริ่มกระบวนการ

    หลังจาก Ubuntu 25.10 (ชื่อรหัส Questing Quokka) เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ใช้ Ubuntu 25.04 (Plucky Puffin) ก็เฝ้ารอช่องทางอัปเกรดอย่างเป็นทางการ และในที่สุด Canonical ก็เปิดให้ใช้งานแล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025

    ก่อนหน้านี้ผู้ใช้สามารถบังคับอัปเกรดด้วยคำสั่ง update-manager -d แต่ไม่แนะนำ เพราะอาจทำให้ระบบเสียหายได้ หากคุณรออย่างอดทน ตอนนี้สามารถอัปเกรดได้อย่างปลอดภัยผ่าน Software Updater หรือใช้คำสั่ง update-manager -c ใน Terminal

    ขั้นตอนการอัปเกรด:

    1️⃣ รวจสอบให้แน่ใจว่า Ubuntu 25.04 ของคุณอัปเดตล่าสุดแล้ว
    2️⃣ สำรองข้อมูลสำคัญก่อนเริ่ม
    3️⃣ เปิด Software Updater แล้วคลิก “Upgrade” เมื่อมีแจ้งเตือน
    4️⃣ ระบบจะตรวจสอบแพ็กเกจและแจ้งเตือนหากมี third-party ที่อาจขัดขวางการอัปเกรด
    5️⃣ ระบบจะแสดงรายการแพ็กเกจที่จะติดตั้ง ลบ หรืออัปเดต พร้อมขนาดไฟล์
    6️⃣ ระหว่างอัปเกรด lock screen จะถูกปิดชั่วคราว
    7️⃣ เมื่อเสร็จสิ้น จะมีการลบแพ็กเกจที่ล้าสมัย และแจ้งให้ restart เครื่อง

    สิ่งที่ควรระวัง:
    แพ็กเกจจาก third-party อาจขัดขวางการอัปเกรด
    repository ภายนอกจะถูกปิดการใช้งานชั่วคราว
    ควรลบแพ็กเกจที่ล้าสมัยหลังอัปเกรดเพื่อความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/ubuntu-25-04-users-can-now-upgrade-to-ubuntu-25-10-heres-how
    🦘 Ubuntu 25.10 พร้อมแล้ว! ผู้ใช้ Plucky Puffin สามารถอัปเกรดเป็น Questing Quokka ได้ทันที Canonical เปิดทางให้อัปเกรดจาก Ubuntu 25.04 สู่เวอร์ชันล่าสุด 25.10 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ผ่าน Software Updater หรือ Terminal พร้อมคำเตือนสำคัญก่อนเริ่มกระบวนการ หลังจาก Ubuntu 25.10 (ชื่อรหัส Questing Quokka) เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ผู้ใช้ Ubuntu 25.04 (Plucky Puffin) ก็เฝ้ารอช่องทางอัปเกรดอย่างเป็นทางการ และในที่สุด Canonical ก็เปิดให้ใช้งานแล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 ก่อนหน้านี้ผู้ใช้สามารถบังคับอัปเกรดด้วยคำสั่ง update-manager -d แต่ไม่แนะนำ เพราะอาจทำให้ระบบเสียหายได้ หากคุณรออย่างอดทน ตอนนี้สามารถอัปเกรดได้อย่างปลอดภัยผ่าน Software Updater หรือใช้คำสั่ง update-manager -c ใน Terminal ขั้นตอนการอัปเกรด: 1️⃣ รวจสอบให้แน่ใจว่า Ubuntu 25.04 ของคุณอัปเดตล่าสุดแล้ว 2️⃣ สำรองข้อมูลสำคัญก่อนเริ่ม 3️⃣ เปิด Software Updater แล้วคลิก “Upgrade” เมื่อมีแจ้งเตือน 4️⃣ ระบบจะตรวจสอบแพ็กเกจและแจ้งเตือนหากมี third-party ที่อาจขัดขวางการอัปเกรด 5️⃣ ระบบจะแสดงรายการแพ็กเกจที่จะติดตั้ง ลบ หรืออัปเดต พร้อมขนาดไฟล์ 6️⃣ ระหว่างอัปเกรด lock screen จะถูกปิดชั่วคราว 7️⃣ เมื่อเสร็จสิ้น จะมีการลบแพ็กเกจที่ล้าสมัย และแจ้งให้ restart เครื่อง สิ่งที่ควรระวัง: 💠 แพ็กเกจจาก third-party อาจขัดขวางการอัปเกรด 💠 repository ภายนอกจะถูกปิดการใช้งานชั่วคราว 💠 ควรลบแพ็กเกจที่ล้าสมัยหลังอัปเกรดเพื่อความปลอดภัย https://9to5linux.com/ubuntu-25-04-users-can-now-upgrade-to-ubuntu-25-10-heres-how
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu 25.04 Users Can Now Upgrade to Ubuntu 25.10, Here's How - 9to5Linux
    A step-by-step and easy-to-follow tutorial (with screenshots) on how to upgrade your Ubuntu 25.04 installations to Ubuntu 25.10.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • โมเดลเล็กแต่เก่งเกินตัว

    หลังจากเปิดตัว Granite 4.0 รุ่น Micro, Tiny และ Small ไปเมื่อต้นเดือน IBM ก็เดินหน้าต่อด้วยการเปิดตัว Granite 4.0 Nano ซึ่งเป็นโมเดลที่เล็กที่สุดในซีรีส์นี้ โดยมีจุดเด่นคือ ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง และเปิดให้ใช้งานฟรีในเชิงพาณิชย์

    โมเดล Nano นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสถานการณ์ที่โมเดลขนาดใหญ่ไม่เหมาะสม เช่น:
    อุปกรณ์ edge ที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร
    แอปพลิเคชันที่ต้องการ latency ต่ำ
    การ deploy แบบ local โดยไม่ต้องพึ่ง cloud

    รายละเอียดโมเดล:
    ใช้ข้อมูลฝึกกว่า 15 ล้านล้าน token
    รองรับ runtime ยอดนิยม เช่น vLLM, llama.cpp, MLX
    ได้รับการรับรอง ISO 42001 ด้านการพัฒนา AI อย่างรับผิดชอบ

    มีทั้งหมด 8 รุ่นย่อย ได้แก่:
    Granite 4.0 H 1B และ H 350M (hybrid-SSM)
    Granite 4.0 1B และ 350M (transformer แบบดั้งเดิม)
    แต่ละรุ่นมีทั้งแบบ base และ instruct

    ผลการทดสอบ:
    Granite Nano ทำคะแนนเหนือกว่าหลายโมเดลขนาดใกล้เคียง เช่น Qwen ของ Alibaba, LFM ของ LiquidAI และ Gemma ของ Google
    โดดเด่นในงานที่ต้องใช้ agentic workflows เช่น IFEval และ BFCLv3

    https://news.itsfoss.com/ibm-granite-4-nano/
    🧩 โมเดลเล็กแต่เก่งเกินตัว หลังจากเปิดตัว Granite 4.0 รุ่น Micro, Tiny และ Small ไปเมื่อต้นเดือน IBM ก็เดินหน้าต่อด้วยการเปิดตัว Granite 4.0 Nano ซึ่งเป็นโมเดลที่เล็กที่สุดในซีรีส์นี้ โดยมีจุดเด่นคือ ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง และเปิดให้ใช้งานฟรีในเชิงพาณิชย์ โมเดล Nano นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสถานการณ์ที่โมเดลขนาดใหญ่ไม่เหมาะสม เช่น: 🎗️ อุปกรณ์ edge ที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร 🎗️ แอปพลิเคชันที่ต้องการ latency ต่ำ 🎗️ การ deploy แบบ local โดยไม่ต้องพึ่ง cloud รายละเอียดโมเดล: 🎗️ ใช้ข้อมูลฝึกกว่า 15 ล้านล้าน token 🎗️ รองรับ runtime ยอดนิยม เช่น vLLM, llama.cpp, MLX 🎗️ ได้รับการรับรอง ISO 42001 ด้านการพัฒนา AI อย่างรับผิดชอบ มีทั้งหมด 8 รุ่นย่อย ได้แก่: 🎗️ Granite 4.0 H 1B และ H 350M (hybrid-SSM) 🎗️ Granite 4.0 1B และ 350M (transformer แบบดั้งเดิม) 🎗️ แต่ละรุ่นมีทั้งแบบ base และ instruct ผลการทดสอบ: 🎗️ Granite Nano ทำคะแนนเหนือกว่าหลายโมเดลขนาดใกล้เคียง เช่น Qwen ของ Alibaba, LFM ของ LiquidAI และ Gemma ของ Google 🎗️ โดดเด่นในงานที่ต้องใช้ agentic workflows เช่น IFEval และ BFCLv3 https://news.itsfoss.com/ibm-granite-4-nano/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระแสแรง! “จุลพันธ์” มาแรงเต็งหนึ่งนั่งหัวหน้าเพื่อไทย มองความสามารถรอบด้านเป็นประโยชน์ต่อการดีเบต ด้าน “ประเสริฐ” หวนนั่งเก้าอี้เลขาฯพรรค

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103779

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    กระแสแรง! “จุลพันธ์” มาแรงเต็งหนึ่งนั่งหัวหน้าเพื่อไทย มองความสามารถรอบด้านเป็นประโยชน์ต่อการดีเบต ด้าน “ประเสริฐ” หวนนั่งเก้าอี้เลขาฯพรรค อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103779 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jenkins Plugin Flaws: เมื่อระบบ CI/CD กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของแฮกเกอร์

    Jenkins เจอคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่: SAML Auth Bypass เสี่ยงยึดระบบ CI/CD ทั้งองค์กร ช่องโหว่ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ของ Jenkins เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมย session และสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที พร้อมช่องโหว่อื่น ๆ อีกกว่า 10 รายการที่ยังไม่มีแพตช์

    Jenkins ซึ่งเป็นเครื่องมือ CI/CD ยอดนิยมในองค์กรทั่วโลก กำลังเผชิญกับคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่ โดยมีการเปิดเผยช่องโหว่รวม 14 รายการใน advisory ล่าสุด ซึ่งหลายรายการยังไม่มีแพตช์แก้ไข

    จุดที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ที่ใช้สำหรับ Single Sign-On (SSO) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการไม่เก็บ replay cache ทำให้แฮกเกอร์สามารถ reuse token ที่เคยใช้แล้วเพื่อสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที แม้จะเป็นผู้ดูแลระบบก็ตาม

    ผลกระทบของช่องโหว่นี้:
    แฮกเกอร์สามารถขโมย session และเข้าถึง Jenkins โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    หาก Jenkins มีสิทธิ์เชื่อมต่อกับ GitHub, Docker, หรือ cloud provider แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ downstream ได้ทันที
    เป็นภัยคุกคามต่อระบบ DevOps pipeline และความปลอดภัยของซอร์สโค้ด

    นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่น่ากังวล เช่น:
    CVE-2025-64132: Missing permission checks ใน MCP Server Plugin
    CVE-2025-64133: CSRF ใน Extensible Choice Parameter Plugin
    CVE-2025-64134: XXE ใน JDepend Plugin
    CVE-2025-64140: Command Injection ใน Azure CLI Plugin
    CVE-2025-64143–64147: Secrets ถูกเก็บในไฟล์ config แบบ plaintext
    CVE-2025-64148–64150: Missing permission checks ใน Publish to Bitbucket Plugin

    ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่ และอัปเดตหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่มีช่องโหว่ทันที

    https://securityonline.info/jenkins-faces-wave-of-plugin-flaws-including-saml-authentication-bypass-cve-2025-64131/
    🧨 Jenkins Plugin Flaws: เมื่อระบบ CI/CD กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของแฮกเกอร์ Jenkins เจอคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่: SAML Auth Bypass เสี่ยงยึดระบบ CI/CD ทั้งองค์กร ช่องโหว่ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ของ Jenkins เปิดทางให้แฮกเกอร์ขโมย session และสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที พร้อมช่องโหว่อื่น ๆ อีกกว่า 10 รายการที่ยังไม่มีแพตช์ Jenkins ซึ่งเป็นเครื่องมือ CI/CD ยอดนิยมในองค์กรทั่วโลก กำลังเผชิญกับคลื่นช่องโหว่ปลั๊กอินครั้งใหญ่ โดยมีการเปิดเผยช่องโหว่รวม 14 รายการใน advisory ล่าสุด ซึ่งหลายรายการยังไม่มีแพตช์แก้ไข จุดที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-64131 ในปลั๊กอิน SAML ที่ใช้สำหรับ Single Sign-On (SSO) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการไม่เก็บ replay cache ทำให้แฮกเกอร์สามารถ reuse token ที่เคยใช้แล้วเพื่อสวมรอยผู้ใช้ได้ทันที แม้จะเป็นผู้ดูแลระบบก็ตาม ผลกระทบของช่องโหว่นี้: 🪲 แฮกเกอร์สามารถขโมย session และเข้าถึง Jenkins โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 🪲 หาก Jenkins มีสิทธิ์เชื่อมต่อกับ GitHub, Docker, หรือ cloud provider แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบ downstream ได้ทันที 🪲 เป็นภัยคุกคามต่อระบบ DevOps pipeline และความปลอดภัยของซอร์สโค้ด นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่อื่น ๆ ที่น่ากังวล เช่น: 🪲 CVE-2025-64132: Missing permission checks ใน MCP Server Plugin 🪲 CVE-2025-64133: CSRF ใน Extensible Choice Parameter Plugin 🪲 CVE-2025-64134: XXE ใน JDepend Plugin 🪲 CVE-2025-64140: Command Injection ใน Azure CLI Plugin 🪲 CVE-2025-64143–64147: Secrets ถูกเก็บในไฟล์ config แบบ plaintext 🪲 CVE-2025-64148–64150: Missing permission checks ใน Publish to Bitbucket Plugin ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่ และอัปเดตหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่มีช่องโหว่ทันที https://securityonline.info/jenkins-faces-wave-of-plugin-flaws-including-saml-authentication-bypass-cve-2025-64131/
    SECURITYONLINE.INFO
    Jenkins Faces Wave of Plugin Flaws, Including SAML Authentication Bypass (CVE-2025-64131)
    Jenkins warned of a Critical SAML Plugin flaw (CVE-2025-64131) that allows session replay/hijacking due to a missing cache. Multiple plugins also expose API tokens in plaintext.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kea DHCPv4 ล่มได้เพราะ hostname ผิดรูปแบบ

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Kea DHCPv4: แพ็กเกจแจก IP อาจล่มทั้งระบบเพราะ hostname ผิดรูปแบบ ISC ออกแพตช์ด่วนเพื่ออุดช่องโหว่ CVE-2025-11232 ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ส่ง DHCP request พิเศษเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ Kea DHCPv4 ล่มทันที ส่งผลกระทบต่อระบบแจก IP ในองค์กรขนาดใหญ่

    ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ “High Severity” ด้วยคะแนน CVSS 7.5 โดยเกิดจากการจัดการ hostname ที่ไม่ปลอดภัยใน Kea DHCPv4 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์แจก IP แบบ dynamic ที่นิยมใช้ในองค์กรและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

    รายละเอียดช่องโหว่:

    หากมีการตั้งค่าดังนี้:
    hostname-char-set เป็นค่าเริ่มต้น [^A-Za-z0-9.-]
    hostname-char-replacement เป็นค่าว่าง
    ddns-qualifying-suffix ไม่ว่าง

    แล้วมี client ส่ง DHCP request ที่มี hostname ผิดรูปแบบ จะทำให้ Kea crash ทันที

    แม้ว่า Dynamic DNS (DDNS) จะไม่ถูกเปิดใช้งาน ช่องโหว่นี้ก็ยังสามารถถูกโจมตีได้ เพราะเกิดจากการตรวจสอบ hostname ที่ไม่รัดกุมใน component kea-dhcp4

    ผลกระทบ:
    เซิร์ฟเวอร์ DHCP ล่มทันที
    ระบบแจก IP หยุดทำงาน
    อุปกรณ์ในเครือข่ายอาจไม่สามารถเชื่อมต่อได้
    หากถูกโจมตีซ้ำ ๆ จะเกิด DoS แบบต่อเนื่อง

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ:
    3.0.1 → 3.0.1
    3.1.1 → 3.1.2

    วิธีแก้ไข:
    อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0.2 หรือ 3.1.3
    หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ให้ตั้งค่า hostname-char-replacement เป็นค่าอื่น เช่น “x” เพื่อหลีกเลี่ยงการ crash

    https://securityonline.info/isc-patches-high-severity-kea-dhcpv4-dos-cve-2025-11232-flaw-allows-crash-via-malformed-hostname/
    🧨 Kea DHCPv4 ล่มได้เพราะ hostname ผิดรูปแบบ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Kea DHCPv4: แพ็กเกจแจก IP อาจล่มทั้งระบบเพราะ hostname ผิดรูปแบบ ISC ออกแพตช์ด่วนเพื่ออุดช่องโหว่ CVE-2025-11232 ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ส่ง DHCP request พิเศษเพื่อทำให้เซิร์ฟเวอร์ Kea DHCPv4 ล่มทันที ส่งผลกระทบต่อระบบแจก IP ในองค์กรขนาดใหญ่ ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ “High Severity” ด้วยคะแนน CVSS 7.5 โดยเกิดจากการจัดการ hostname ที่ไม่ปลอดภัยใน Kea DHCPv4 ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์แจก IP แบบ dynamic ที่นิยมใช้ในองค์กรและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต รายละเอียดช่องโหว่: 🔖 หากมีการตั้งค่าดังนี้: 🪲 hostname-char-set เป็นค่าเริ่มต้น [^A-Za-z0-9.-] 🪲 hostname-char-replacement เป็นค่าว่าง 🪲 ddns-qualifying-suffix ไม่ว่าง 🔖 แล้วมี client ส่ง DHCP request ที่มี hostname ผิดรูปแบบ จะทำให้ Kea crash ทันที แม้ว่า Dynamic DNS (DDNS) จะไม่ถูกเปิดใช้งาน ช่องโหว่นี้ก็ยังสามารถถูกโจมตีได้ เพราะเกิดจากการตรวจสอบ hostname ที่ไม่รัดกุมใน component kea-dhcp4 🔖 ผลกระทบ: 🪲 เซิร์ฟเวอร์ DHCP ล่มทันที 🪲 ระบบแจก IP หยุดทำงาน 🪲 อุปกรณ์ในเครือข่ายอาจไม่สามารถเชื่อมต่อได้ 🪲 หากถูกโจมตีซ้ำ ๆ จะเกิด DoS แบบต่อเนื่อง 🚦 เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ: 💠 3.0.1 → 3.0.1 💠 3.1.1 → 3.1.2 🔨 วิธีแก้ไข: 💠 อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0.2 หรือ 3.1.3 💠 หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ให้ตั้งค่า hostname-char-replacement เป็นค่าอื่น เช่น “x” เพื่อหลีกเลี่ยงการ crash https://securityonline.info/isc-patches-high-severity-kea-dhcpv4-dos-cve-2025-11232-flaw-allows-crash-via-malformed-hostname/
    SECURITYONLINE.INFO
    ISC Patches High-Severity Kea DHCPv4 DoS (CVE-2025-11232) Flaw, Allows Crash via Malformed Hostname
    ISC warned of a High-severity DoS flaw (CVE-2025-11232) in Kea DHCPv4. A crafted DHCP packet can crash the server due to improper hostname validation, disrupting IP assignment. Patch to v3.0.2/3.1.3.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ

    Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก
    Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก

    ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที

    Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง

    ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี:
    POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register
    Content-Type: application/x-www-form-urlencoded
    role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx

    เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ:
    อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor
    แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย
    ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา

    IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น:
    35.178.249.28
    13.239.253.194
    3.25.204.16
    18.220.143.136

    Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน


    https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    🔓 WP Freeio CVE-2025-11533: เมื่อการสมัครสมาชิกกลายเป็นช่องทางยึดเว็บ Wordfence เตือนภัยด่วน: ช่องโหว่ WP Freeio เปิดทางให้แฮกเกอร์ยึดเว็บไซต์ WordPress ได้ทันที ปลั๊กอิน WP Freeio ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-11533 ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress จำนวนมากทั่วโลก Wordfence Threat Intelligence รายงานช่องโหว่ระดับวิกฤต (CVSS 9.8) ในปลั๊กอิน WP Freeio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธีม Freeio ที่ขายบน ThemeForest โดยช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน process_register() ของคลาส WP_Freeio_User ที่ใช้จัดการการสมัครสมาชิก ปัญหาเกิดจากการที่ฟังก์ชันนี้อนุญาตให้ผู้ใช้กำหนด role ได้เองผ่านฟิลด์ $_POST['role'] โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้ผู้โจมตีสามารถระบุ role เป็น “administrator” และสร้างบัญชีผู้ดูแลระบบได้ทันที Wordfence ตรวจพบการโจมตีทันทีหลังการเปิดเผยช่องโหว่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 และบล็อกการโจมตีไปแล้วกว่า 33,200 ครั้ง 🔖 ตัวอย่างคำขอที่ใช้โจมตี: POST /?wpfi-ajax=wp_freeio_ajax_register&action=wp_freeio_ajax_register Content-Type: application/x-www-form-urlencoded role=administrator&email=attacker@gmail.com&password=xxx&confirmpassword=xxx เมื่อได้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบแล้ว ผู้โจมตีสามารถ: 💠 อัปโหลดปลั๊กอินหรือธีมที่มี backdoor 💠 แก้ไขโพสต์หรือหน้าเว็บเพื่อ redirect ไปยังเว็บไซต์อันตราย 💠 ฝังสแปมหรือมัลแวร์ในเนื้อหา IP ที่พบว่ามีการโจมตีจำนวนมาก เช่น: 💠 35.178.249.28 💠 13.239.253.194 💠 3.25.204.16 💠 18.220.143.136 Wordfence แนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต WP Freeio เป็นเวอร์ชัน 1.2.22 หรือใหม่กว่าโดยด่วน https://securityonline.info/wordfence-warns-of-active-exploits-targeting-critical-privilege-escalation-flaw-in-wp-freeio-cve-2025-11533/
    SECURITYONLINE.INFO
    Wordfence Warns of Active Exploits Targeting Critical Privilege Escalation Flaw in WP Freeio (CVE-2025-11533)
    Urgent patch for WP Freeio plugin (v.< 1.2.22). Unauthenticated attackers can gain admin control instantly via a registration flaw. Update immediately to v.1.2.22.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • WSO2 Auth Bypass: เมื่อ regex กลายเป็นจุดอ่อนของระบบ

    WSO2 เจอช่องโหว่ร้ายแรง: แฮกเกอร์สามารถข้ามการยืนยันตัวตนและเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ 3 รายการใน WSO2 API Manager และ Identity Server ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมความเสี่ยงในการขโมยข้อมูลและรันโค้ดจากระยะไกล

    นักวิจัย Crnkovic ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-9152, CVE-2025-10611, และ CVE-2025-9804 โดยแต่ละรายการมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “วิกฤต” และสามารถใช้โจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    จุดอ่อนหลักมาจากการใช้ regex ในการกำหนดสิทธิ์เข้าถึง ที่แยกออกจากตรรกะของแอปพลิเคชัน ทำให้เกิดช่องโหว่หลายรูปแบบ เช่น:
    การใช้เครื่องหมาย / เพื่อหลบเลี่ยง regex
    การใช้ HTTP method แบบตัวพิมพ์เล็ก เช่น “Post” แทน “POST”
    การใช้ path ที่ถูก normalize โดย Java เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    ตัวอย่างการโจมตี:
    เข้าถึง endpoint /keymanager-operations/dcr/register/<client_id> เพื่อขโมย OAuth client secrets
    ใช้ HTTP method “Post” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบสิทธิ์
    ใช้ URL encoding เพื่อเข้าถึง endpoint ที่ควรต้องมีการยืนยันตัวตน เช่น /scim2/Users

    ช่องโหว่ CVE-2025-9804 ยังเปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถสร้างบัญชีและยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที หากระบบเปิดให้สมัครสมาชิกด้วยตนเอง

    WSO2 ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ Crnkovic เตือนว่า “การใช้ regex ในการควบคุมสิทธิ์เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงสูง” และควรหลีกเลี่ยงในระบบที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง

    https://securityonline.info/researcher-details-critical-authentication-bypasses-in-wso2-api-manager-and-identity-server/
    🔓 WSO2 Auth Bypass: เมื่อ regex กลายเป็นจุดอ่อนของระบบ WSO2 เจอช่องโหว่ร้ายแรง: แฮกเกอร์สามารถข้ามการยืนยันตัวตนและเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบได้ทันที นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ 3 รายการใน WSO2 API Manager และ Identity Server ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมความเสี่ยงในการขโมยข้อมูลและรันโค้ดจากระยะไกล นักวิจัย Crnkovic ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการ ได้แก่ CVE-2025-9152, CVE-2025-10611, และ CVE-2025-9804 โดยแต่ละรายการมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.8 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “วิกฤต” และสามารถใช้โจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน จุดอ่อนหลักมาจากการใช้ regex ในการกำหนดสิทธิ์เข้าถึง ที่แยกออกจากตรรกะของแอปพลิเคชัน ทำให้เกิดช่องโหว่หลายรูปแบบ เช่น: 🪲 การใช้เครื่องหมาย / เพื่อหลบเลี่ยง regex 🪲 การใช้ HTTP method แบบตัวพิมพ์เล็ก เช่น “Post” แทน “POST” 🪲 การใช้ path ที่ถูก normalize โดย Java เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ตัวอย่างการโจมตี: 🪲 เข้าถึง endpoint /keymanager-operations/dcr/register/<client_id> เพื่อขโมย OAuth client secrets 🪲 ใช้ HTTP method “Post” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบสิทธิ์ 🪲 ใช้ URL encoding เพื่อเข้าถึง endpoint ที่ควรต้องมีการยืนยันตัวตน เช่น /scim2/Users ช่องโหว่ CVE-2025-9804 ยังเปิดทางให้ผู้ใช้ระดับต่ำสามารถสร้างบัญชีและยกระดับสิทธิ์เป็นผู้ดูแลระบบได้ทันที หากระบบเปิดให้สมัครสมาชิกด้วยตนเอง WSO2 ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว แต่ Crnkovic เตือนว่า “การใช้ regex ในการควบคุมสิทธิ์เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงสูง” และควรหลีกเลี่ยงในระบบที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง https://securityonline.info/researcher-details-critical-authentication-bypasses-in-wso2-api-manager-and-identity-server/
    SECURITYONLINE.INFO
    Researcher Details Critical Authentication Bypasses in WSO2 API Manager and Identity Server
    WSO2 patched three Critical flaws (CVSS 9.8) in API Manager/Identity Server. Flaws in regex access control and case-sensitive HTTP methods allow unauthenticated administrative takeover.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม

    Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา

    Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที

    Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน

    OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่

    สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ:
    ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง
    ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง
    มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต

    นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ

    https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    🎭 เมื่อชื่อ “Cameo” กลายเป็นสนามรบระหว่างของจริงกับของปลอม Cameo ฟ้อง OpenAI ปมฟีเจอร์ “Cameo” ใน Sora ละเมิดเครื่องหมายการค้าและสร้าง Deepfake ดารา แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดัง Cameo ยื่นฟ้อง OpenAI ฐานใช้ชื่อ “Cameo” ในฟีเจอร์ใหม่ของ Sora ที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI โดยใส่ใบหน้าตนเองหรือคนอื่น ซึ่งอาจสร้างความสับสนและละเมิดสิทธิ์ของดารา Cameo เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อรับวิดีโอส่วนตัวจากคนดัง เช่น Jon Gruden หรือ Lisa Vanderpump โดยมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “Cameo” อย่างถูกต้อง แต่เมื่อ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Sora ที่ใช้ชื่อเดียวกันว่า “Cameo” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ใส่ใบหน้าตัวเองหรือคนอื่นลงในวิดีโอ AI ได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทันที Cameo กล่าวหาว่า OpenAI “จงใจละเมิดเครื่องหมายการค้า” และ “เพิกเฉยต่อความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค” พร้อมระบุว่าเกิด “ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้” ต่อแบรนด์ของตน OpenAI ตอบกลับว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของคำว่า Cameo” และกำลังพิจารณาคำฟ้องอยู่ สิ่งที่ทำให้คดีนี้น่าสนใจคือ: 🎗️ ฟีเจอร์ “Cameo” ของ Sora สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนจริงโดยใช้ใบหน้าคนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนดัง 🎗️ ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม Cameo เพื่อรับวิดีโอจากคนดังจริง หรือใช้ Sora เพื่อสร้างวิดีโอปลอมที่เหมือนจริง 🎗️ มีการกล่าวอ้างว่า Sora ใช้ likeness ของคนดัง เช่น Mark Cuban และ Jake Paul โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ Sora ยังถูกวิจารณ์เรื่องการใช้ข้อมูลฝึก AI ที่อาจละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น อนิเมะ บุคคลที่เสียชีวิต และเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองอื่น ๆ https://securityonline.info/ai-vs-authenticity-cameo-sues-openai-over-soras-cameo-deepfake-feature/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI vs. Authenticity: Cameo Sues OpenAI Over Sora’s ‘Cameo’ Deepfake Feature
    The Cameo celebrity platform sued OpenAI for trademark infringement over its Sora feature, arguing the name for AI-generated likenesses causes confusion and harms its brand.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • สนธิสงสัยหนัก นายกอนุทินอาจจะแค่โx่โดนกต.วางงาน (30/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อนุทิน #กระทรวงการต่างประเทศ #MOU43 #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    สนธิสงสัยหนัก นายกอนุทินอาจจะแค่โx่โดนกต.วางงาน (30/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สนธิ #อนุทิน #กระทรวงการต่างประเทศ #MOU43 #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Superhuman: จากผู้ช่วยเขียนสู่แพลตฟอร์ม AI ครบวงจร
    Grammarly ก่อตั้งในปี 2009 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ช่วยเขียนที่ใช้ AI อย่างแพร่หลาย ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “Superhuman” หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Superhuman Mail และ Coda ในปี 2025 โดยเลือกใช้ชื่อของบริษัทที่ถูกซื้อมาแทนชื่อเดิม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาในวงการเทคโนโลยี

    ภายใต้ชื่อใหม่ Superhuman จะรวม:
    Grammarly (ผู้ช่วยเขียน)
    Superhuman Mail (แพลตฟอร์มอีเมลระดับพรีเมียม)
    Coda (ผู้ช่วยงานที่ใช้ AI)

    ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ระบบ subscription เดียว พร้อมเปิดตัวผู้ช่วย AI ใหม่ชื่อว่า Superhuman Go ที่จะทำงานแบบเบื้องหลังโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใช้

    Superhuman Go จะสามารถ:
    เขียนและปรับแต่งอีเมลอัตโนมัติ
    สรุปข้อมูลจากข้อความหรือเอกสาร
    จัดการตารางงานและการประชุม
    เชื่อมต่อกับ Google Workspace และ Microsoft Outlook

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว เช่น:
    แปลงบันทึกการประชุมเป็นร่างเอกสาร
    จัดระเบียบกล่องอีเมลตามปฏิทินและ workflow ของผู้ใช้

    แพ็กเกจ subscription มีให้เลือก 2 ระดับ:

    Pro Plan ($12/เดือน): เขียนใหม่และแปลข้อความได้ไม่จำกัดใน 19 ภาษา
    Business Plan ($33/เดือน): รวมทุกฟีเจอร์ของ Pro พร้อมใช้งาน Superhuman Mail เต็มรูปแบบ

    https://securityonline.info/grammarly-is-now-superhuman-unifying-mail-and-ai-in-new-productivity-suite/
    🚀 Superhuman: จากผู้ช่วยเขียนสู่แพลตฟอร์ม AI ครบวงจร Grammarly ก่อตั้งในปี 2009 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ช่วยเขียนที่ใช้ AI อย่างแพร่หลาย ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “Superhuman” หลังจากเข้าซื้อกิจการของ Superhuman Mail และ Coda ในปี 2025 โดยเลือกใช้ชื่อของบริษัทที่ถูกซื้อมาแทนชื่อเดิม ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาในวงการเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อใหม่ Superhuman จะรวม: 💠 Grammarly (ผู้ช่วยเขียน) 💠 Superhuman Mail (แพลตฟอร์มอีเมลระดับพรีเมียม) 💠 Coda (ผู้ช่วยงานที่ใช้ AI) ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ระบบ subscription เดียว พร้อมเปิดตัวผู้ช่วย AI ใหม่ชื่อว่า Superhuman Go ที่จะทำงานแบบเบื้องหลังโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใช้ Superhuman Go จะสามารถ: 💠 เขียนและปรับแต่งอีเมลอัตโนมัติ 💠 สรุปข้อมูลจากข้อความหรือเอกสาร 💠 จัดการตารางงานและการประชุม 💠 เชื่อมต่อกับ Google Workspace และ Microsoft Outlook นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว เช่น: 💠 แปลงบันทึกการประชุมเป็นร่างเอกสาร 💠 จัดระเบียบกล่องอีเมลตามปฏิทินและ workflow ของผู้ใช้ แพ็กเกจ subscription มีให้เลือก 2 ระดับ: 🎗️ Pro Plan ($12/เดือน): เขียนใหม่และแปลข้อความได้ไม่จำกัดใน 19 ภาษา 🎗️ Business Plan ($33/เดือน): รวมทุกฟีเจอร์ของ Pro พร้อมใช้งาน Superhuman Mail เต็มรูปแบบ https://securityonline.info/grammarly-is-now-superhuman-unifying-mail-and-ai-in-new-productivity-suite/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grammarly is Now Superhuman, Unifying Mail and AI in New Productivity Suite
    Grammarly has rebranded to Superhuman and launched Superhuman Go, a new AI assistant that unifies Grammarly, Superhuman Mail, and Coda for cross-app automation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • จับโกง!! คนละครึ่งพลัส : [Biz Talk]

    เปิดปฏิบัติการปิดเกม ‘รับ–แลก–ลวง’ ตำรวจสอบสวนกลาง ผนึกกระทรวงการคลัง สกัดขบวนการโกง ‘คนละครึ่งพลัส’ นำสิทธิแลกเงินสด ซื้อขายสินค้าทิพย์ เข้าข่ายฉ้อโกงโครงการรัฐ จับผู้ต้องหาแล้ว 3 ราย วอนอย่าเห็นแค่เงินส่วนต่างเพียงเล็กน้อย ผิดทั้งผู้แลก&ผู้รับแลก
    จับโกง!! คนละครึ่งพลัส : [Biz Talk] เปิดปฏิบัติการปิดเกม ‘รับ–แลก–ลวง’ ตำรวจสอบสวนกลาง ผนึกกระทรวงการคลัง สกัดขบวนการโกง ‘คนละครึ่งพลัส’ นำสิทธิแลกเงินสด ซื้อขายสินค้าทิพย์ เข้าข่ายฉ้อโกงโครงการรัฐ จับผู้ต้องหาแล้ว 3 ราย วอนอย่าเห็นแค่เงินส่วนต่างเพียงเล็กน้อย ผิดทั้งผู้แลก&ผู้รับแลก
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Chrome 154: ปิดประตู HTTP เปิดทางสู่เว็บปลอดภัย

    Google ประกาศว่าในอีกหนึ่งปีข้างหน้า Chrome เวอร์ชัน 154 จะเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Always Use Secure Connections” เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใช้พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ใช้ HTTPS เบราว์เซอร์จะขออนุญาตก่อนเข้าถึง และแสดงคำเตือนทันที

    แม้ว่า 95% ของทราฟฟิกเว็บทั่วโลกจะใช้ HTTPS แล้ว แต่ Google ชี้ว่า “เพียงหนึ่งการเข้าถึงแบบไม่เข้ารหัส ก็อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์ดักจับหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้” โดยเฉพาะการ redirect หรือการโหลด resource ที่ฝังอยู่ในหน้าเว็บ

    ฟีเจอร์นี้เคยเปิดให้ใช้งานแบบ opt-in ตั้งแต่ปี 2022 แต่ตอนนี้ Google เชื่อว่า ecosystem พร้อมสำหรับการบังคับใช้แบบเต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มจากผู้ใช้ที่เปิด Enhanced Safe Browsing ใน Chrome 147 (เมษายน 2026) ก่อนจะขยายไปยังผู้ใช้ทั่วไปใน Chrome 154 (ตุลาคม 2026)

    เพื่อไม่ให้เกิดความรำคาญจากคำเตือนซ้ำ ๆ Chrome จะใช้ระบบ “smart warning logic” ที่จะแสดงคำเตือนเฉพาะการเข้าถึงเว็บไซต์ HTTP ครั้งแรกหรือแบบไม่บ่อยเท่านั้น

    ยกเว้นเฉพาะเว็บไซต์ที่อยู่ใน private network เช่น 192.168.0.1 หรือหน้า router setup ซึ่งจะไม่แสดงคำเตือน เพราะไม่ใช่โดเมนสาธารณะ

    Chrome 154 จะเปิดใช้งาน “Always Use Secure Connections” เป็นค่าเริ่มต้น
    เริ่มใช้งานจริงในเดือนตุลาคม 2026
    Chrome จะเตือนผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ใช้ HTTPS
    ฟีเจอร์นี้เคยเป็น opt-in ตั้งแต่ปี 2022
    เริ่มจากผู้ใช้ Enhanced Safe Browsing ใน Chrome 147 (เมษายน 2026)
    ใช้ smart warning logic เพื่อลดคำเตือนซ้ำ
    เว็บไซต์ใน private network จะไม่ถูกเตือน

    https://securityonline.info/major-shift-chrome-154-will-default-to-always-use-secure-connections-warning-users-before-insecure-http-sites/
    🔐 Chrome 154: ปิดประตู HTTP เปิดทางสู่เว็บปลอดภัย Google ประกาศว่าในอีกหนึ่งปีข้างหน้า Chrome เวอร์ชัน 154 จะเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Always Use Secure Connections” เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใช้พยายามเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ใช้ HTTPS เบราว์เซอร์จะขออนุญาตก่อนเข้าถึง และแสดงคำเตือนทันที แม้ว่า 95% ของทราฟฟิกเว็บทั่วโลกจะใช้ HTTPS แล้ว แต่ Google ชี้ว่า “เพียงหนึ่งการเข้าถึงแบบไม่เข้ารหัส ก็อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์ดักจับหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้” โดยเฉพาะการ redirect หรือการโหลด resource ที่ฝังอยู่ในหน้าเว็บ ฟีเจอร์นี้เคยเปิดให้ใช้งานแบบ opt-in ตั้งแต่ปี 2022 แต่ตอนนี้ Google เชื่อว่า ecosystem พร้อมสำหรับการบังคับใช้แบบเต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มจากผู้ใช้ที่เปิด Enhanced Safe Browsing ใน Chrome 147 (เมษายน 2026) ก่อนจะขยายไปยังผู้ใช้ทั่วไปใน Chrome 154 (ตุลาคม 2026) เพื่อไม่ให้เกิดความรำคาญจากคำเตือนซ้ำ ๆ Chrome จะใช้ระบบ “smart warning logic” ที่จะแสดงคำเตือนเฉพาะการเข้าถึงเว็บไซต์ HTTP ครั้งแรกหรือแบบไม่บ่อยเท่านั้น ยกเว้นเฉพาะเว็บไซต์ที่อยู่ใน private network เช่น 192.168.0.1 หรือหน้า router setup ซึ่งจะไม่แสดงคำเตือน เพราะไม่ใช่โดเมนสาธารณะ ✅ Chrome 154 จะเปิดใช้งาน “Always Use Secure Connections” เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ เริ่มใช้งานจริงในเดือนตุลาคม 2026 ➡️ Chrome จะเตือนผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ใช้ HTTPS ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยเป็น opt-in ตั้งแต่ปี 2022 ➡️ เริ่มจากผู้ใช้ Enhanced Safe Browsing ใน Chrome 147 (เมษายน 2026) ➡️ ใช้ smart warning logic เพื่อลดคำเตือนซ้ำ ➡️ เว็บไซต์ใน private network จะไม่ถูกเตือน https://securityonline.info/major-shift-chrome-154-will-default-to-always-use-secure-connections-warning-users-before-insecure-http-sites/
    SECURITYONLINE.INFO
    Major Shift: Chrome 154 Will Default to “Always Use Secure Connections,” Warning Users Before Insecure HTTP Sites
    Google announced Chrome 154 (Oct 2026) will automatically enable “Always Use Secure Connections,” marking a major security push to combat MitM attacks by warning users before visiting unencrypted HTTP sites.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยช้ำ อนุทินเซ็นแล้วแก้ตัวมั่วซั่ว !!? (30/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #การเมืองไทย #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ฮุนเซน #รัฐบาลไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    คนไทยช้ำ อนุทินเซ็นแล้วแก้ตัวมั่วซั่ว !!? (30/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อนุทิน #การเมืองไทย #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ฮุนเซน #รัฐบาลไทย #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts