“จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal
บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน
สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ
การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:
ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี
ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors”
ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993%
เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure
ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation
ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier
สรุปเนื้อหาสำคัญ
ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS
ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี
ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe
เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993%
ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy
กลยุทธ์ด้านเทคนิค
ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production
เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes
ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation
ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider
การจัดการต้นทุนและ CapEx
เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM
วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี
มี cold spares และ extended warranty จาก OEM
สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS
การจัดการความปลอดภัยและ compliance
ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001
ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง
ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit
การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล
ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing
เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ
Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable
คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย
หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์
หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์
หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal
การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ
https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view 🧠💻 “จากคลาวด์สู่เหล็กจริง” – บทเรียน 2 ปีหลังย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal
บริษัท OneUptime เผยเบื้องหลังการย้ายจาก AWS สู่ Bare Metal ที่ช่วยประหยัดกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์ต่อปี พร้อมเปิดเผยกลยุทธ์และบทเรียนที่นักพัฒนาและองค์กรควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน
สองปีหลังจาก OneUptime ตัดสินใจย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก AWS ไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Bare Metal บริษัทได้เปิดเผยผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ทั้งด้านความคุ้มค่า ความเสถียร และความสามารถในการควบคุมระบบอย่างเต็มรูปแบบ
การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน โดย OneUptime ได้ตอบคำถามจาก Hacker News และ Reddit อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเปิดเผยตัวเลขจริงและกลยุทธ์ที่ใช้
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ:
🎗️ ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก AWS ได้กว่า $1.2 ล้านต่อปี เทียบกับเดิมที่ประหยัด $230,000 ต่อปี
🎗️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe และไม่มี “noisy neighbors”
🎗️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production ด้วย uptime 99.993%
🎗️ เพิ่ม rack ที่ Frankfurt เพื่อแก้ปัญหา single point of failure
🎗️ ใช้ Talos, Tinkerbell, Flux และ Terraform เพื่อจัดการ automation
🎗️ ยังคงใช้ AWS สำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่น เช่น CloudFront และ Glacier
📌 สรุปเนื้อหาสำคัญ
✅ ผลลัพธ์หลังย้ายจาก AWS
➡️ ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า $1.2 ล้านต่อปี
➡️ ลด latency ลง 19% ด้วย NVMe
➡️ เพิ่มความเสถียรของระบบด้วย uptime 99.993%
➡️ ขยาย rack ไปยัง Frankfurt เพื่อ redundancy
✅ กลยุทธ์ด้านเทคนิค
➡️ ใช้ MicroK8s + Ceph ใน production
➡️ เตรียมย้ายไปใช้ Talos เพื่อจัดการ Kubernetes
➡️ ใช้ Tinkerbell PXE boot, Flux และ Terraform สำหรับ automation
➡️ ไม่มีทีม onsite แต่ใช้บริการ remote hands จาก colo provider
✅ การจัดการต้นทุนและ CapEx
➡️ เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่: 2× AMD EPYC 9654, 1TB RAM
➡️ วางแผน amortize 5 ปี แต่สามารถใช้งานได้ถึง 7–8 ปี
➡️ มี cold spares และ extended warranty จาก OEM
➡️ สามารถ refresh 40% ของ fleet ทุก 2 ปีโดยยังประหยัดกว่าบิล AWS
✅ การจัดการความปลอดภัยและ compliance
➡️ ยังคงรักษา SOC 2 Type II และ ISO 27001
➡️ ใช้ Terraform และ Talos config เป็นหลักฐานการเปลี่ยนแปลง
➡️ ใช้รายงานจาก colo provider สำหรับ audit
✅ การใช้คลาวด์อย่างมีเหตุผล
➡️ ใช้ AWS สำหรับ Glacier, CloudFront และ load testing
➡️ เลือกใช้คลาวด์เมื่อ elasticity สำคัญ
➡️ Bare metal เหมาะกับ workload ที่ steady และ predictable
‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะย้าย
⛔ หาก workload มีลักษณะ burst หรือ seasonal ควรอยู่บนคลาวด์
⛔ หากพึ่งพา managed services อย่าง Aurora หรือ Step Functions ควรอยู่บนคลาวด์
⛔ หากไม่มีทีมที่เชี่ยวชาญ Kubernetes, Ceph และ observability อาจไม่เหมาะกับ bare metal
⛔ การย้ายต้องมีการวางแผนด้าน compliance และ audit อย่างรอบคอบ
https://oneuptime.com/blog/post/2025-10-29-aws-to-bare-metal-two-years-later/view