• จีนปรับท่าทีด้านเทคโนโลยีเอไอ หลังสหรัฐฯภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดทางให้สามารถซื้อชิป Nvidia H200 ได้ โดยปักกิ่งตั้งเป้าใช้ชิประดับไฮเอนด์ดังกล่าวเพื่อเร่งงานวิจัยและพัฒนาเอไอในระยะเร่งด่วน
    .
    รายงานระบุว่า จีนเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “สองเส้นทาง” คือ ใช้ H200 สำหรับการเทรนนิ่งโมเดลเอไอที่ต้องการพลังประมวลผลสูง ขณะเดียวกันยังคงผลักดันการพัฒนาชิปภายในประเทศสำหรับการใช้งานระยะยาว เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ
    .
    นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ H200 จะช่วยคลี่คลายปัญหาคอขวดด้านพลังคำนวณในระยะสั้น แต่จีนยังให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางเทคโนโลยี และการพึ่งพาตนเองเป็นหลักในอนาคต
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121221
    .
    #News1live #News1 #จีน #เอไอ #Nvidia #H200 #ชิปเอไอ #เทคโนโลยีโลก #สงครามชิป
    จีนปรับท่าทีด้านเทคโนโลยีเอไอ หลังสหรัฐฯภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดทางให้สามารถซื้อชิป Nvidia H200 ได้ โดยปักกิ่งตั้งเป้าใช้ชิประดับไฮเอนด์ดังกล่าวเพื่อเร่งงานวิจัยและพัฒนาเอไอในระยะเร่งด่วน . รายงานระบุว่า จีนเลือกใช้ยุทธศาสตร์ “สองเส้นทาง” คือ ใช้ H200 สำหรับการเทรนนิ่งโมเดลเอไอที่ต้องการพลังประมวลผลสูง ขณะเดียวกันยังคงผลักดันการพัฒนาชิปภายในประเทศสำหรับการใช้งานระยะยาว เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ . นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ H200 จะช่วยคลี่คลายปัญหาคอขวดด้านพลังคำนวณในระยะสั้น แต่จีนยังให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางเทคโนโลยี และการพึ่งพาตนเองเป็นหลักในอนาคต . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121221 . #News1live #News1 #จีน #เอไอ #Nvidia #H200 #ชิปเอไอ #เทคโนโลยีโลก #สงครามชิป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar

    นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่”
    เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้
    https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears

    “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time
    ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why

    สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN
    ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children

    อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน
    รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data

    หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน
    งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions

    Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่
    สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา
    https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform

    กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง
    กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม
    https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware

    วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ
    ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี
    https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time

    รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด
    รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech

    Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11
    ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น
    https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store

    Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย
    เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
    https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia

    Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย
    แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที
    https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams

    EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware
    สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน
    https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition

    Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce
    https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm

    พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ
    https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools

    iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ
    Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย
    https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone

    AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต
    บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it

    YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย
    Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น
    https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades

    Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด
    Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง
    https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia

    แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้
    มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data

    AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก
    AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp

    Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว
    Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง
    https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition

    อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์
    ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ
    https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud

    สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI
    รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ
    https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china

    ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด
    OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is

    AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน
    รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย
    https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims

    ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง”
    OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar 📰 นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่” เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears 👥 “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why 🔒 สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children 🇮🇳 อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data ⚠️ หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions 🛡️ Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform 💻 กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware 💾 วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time 🌐 รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech 🎨 Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11 ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store 📰 Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia 🤖 Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams ⚖️ EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition 💵 Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce 🔗 https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm 🛡️ พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools 📱 iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย 🔗 https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone 🤖 AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it 📺 YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades 💻 Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง 🔗 https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia 🛡️ แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้ มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data 🖥️ AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp 💻 Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition ⚖️ อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์ ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud 🌐 สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china 🤖 ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is 🧑‍💻 AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims 🤖 ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง” OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 685 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลยุทธ์ใหม่ของ Intel

    Intel วางแผนจะหันไปเน้นการผลิต ASIC สำหรับงาน inference และการใช้งานเฉพาะทาง แทนที่จะทุ่มแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ในตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล กลยุทธ์นี้คล้ายกับ Broadcom ที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง ASIC สำหรับลูกค้ารายใหญ่ เช่น Google และ Meta

    ลดการพึ่งพาตลาด GPU Training
    ตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ถูกครอบครองโดย Nvidia ที่มี CUDA ecosystem และ H100/H200 GPUs ที่ทรงพลัง Intel มองว่าการแข่งขันตรงนี้เป็นเรื่องยาก จึงเลือกที่จะเน้นไปที่ การใช้งานจริง (inference) ซึ่งมีตลาดกว้างและต้องการโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

    การใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่
    Intel มีจุดแข็งในด้าน Foundry Services และ Packaging ซึ่งสามารถนำมาใช้สร้าง ASIC ที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Intel สามารถสร้างรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลเพื่อแข่งขันในตลาด GPU training ที่มีต้นทุนสูง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    หาก Intel เดินหน้ากลยุทธ์นี้จริง จะทำให้ตลาด AI มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีผู้เล่นที่เน้น ASIC สำหรับงานเฉพาะทาง ควบคู่ไปกับ GPU ของ Nvidia และ AMD ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับองค์กรที่ต้องการโซลูชัน AI ที่เหมาะสมกับงานของตน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    กลยุทธ์ใหม่ของ Intel
    เน้น ASIC สำหรับงาน inference
    คล้ายกับ Broadcom ที่ทำสำเร็จในตลาด

    ลดการพึ่งพาตลาด GPU Training
    Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI
    Intel หันไปเน้นตลาดที่กว้างกว่าและคุ้มค่ากว่า

    ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่
    Foundry Services และ Packaging เป็นจุดแข็ง
    สร้างรายได้โดยไม่ต้องแข่งขันตรงกับ Nvidia

    ผลกระทบเชิงบวก
    เพิ่มความหลากหลายในตลาด AI
    ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับองค์กร

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ตลาด ASIC ยังต้องพิสูจน์ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
    หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรง อาจเสียเปรียบต่อ Nvidia

    https://wccftech.com/intel-ai-strategy-will-favor-a-broadcom-like-asic-model-over-the-training-hype/
    🏭 กลยุทธ์ใหม่ของ Intel Intel วางแผนจะหันไปเน้นการผลิต ASIC สำหรับงาน inference และการใช้งานเฉพาะทาง แทนที่จะทุ่มแข่งขันกับ Nvidia และ AMD ในตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล กลยุทธ์นี้คล้ายกับ Broadcom ที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง ASIC สำหรับลูกค้ารายใหญ่ เช่น Google และ Meta ⚡ ลดการพึ่งพาตลาด GPU Training ตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ถูกครอบครองโดย Nvidia ที่มี CUDA ecosystem และ H100/H200 GPUs ที่ทรงพลัง Intel มองว่าการแข่งขันตรงนี้เป็นเรื่องยาก จึงเลือกที่จะเน้นไปที่ การใช้งานจริง (inference) ซึ่งมีตลาดกว้างและต้องการโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า 🔧 การใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ Intel มีจุดแข็งในด้าน Foundry Services และ Packaging ซึ่งสามารถนำมาใช้สร้าง ASIC ที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Intel สามารถสร้างรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลเพื่อแข่งขันในตลาด GPU training ที่มีต้นทุนสูง 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI หาก Intel เดินหน้ากลยุทธ์นี้จริง จะทำให้ตลาด AI มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมีผู้เล่นที่เน้น ASIC สำหรับงานเฉพาะทาง ควบคู่ไปกับ GPU ของ Nvidia และ AMD ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับองค์กรที่ต้องการโซลูชัน AI ที่เหมาะสมกับงานของตน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Intel ➡️ เน้น ASIC สำหรับงาน inference ➡️ คล้ายกับ Broadcom ที่ทำสำเร็จในตลาด ✅ ลดการพึ่งพาตลาด GPU Training ➡️ Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับการฝึกโมเดล AI ➡️ Intel หันไปเน้นตลาดที่กว้างกว่าและคุ้มค่ากว่า ✅ ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ➡️ Foundry Services และ Packaging เป็นจุดแข็ง ➡️ สร้างรายได้โดยไม่ต้องแข่งขันตรงกับ Nvidia ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ เพิ่มความหลากหลายในตลาด AI ➡️ ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับองค์กร ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ตลาด ASIC ยังต้องพิสูจน์ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ⛔ หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรง อาจเสียเปรียบต่อ Nvidia https://wccftech.com/intel-ai-strategy-will-favor-a-broadcom-like-asic-model-over-the-training-hype/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s AI Strategy Will Favor a “Broadcom-Like” ASIC Model Over the Training Hype, Offering Customers Foundry & Packaging Services
    Intel's AI plans have been under uncertainity, but it appears that the firm is expected to target two main segments: ASICs and edge AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia H200: ความต้องการล้นตลาด

    หลังจากสหรัฐฯ อนุญาตให้ส่งออก H200 GPU ไปยังจีนภายใต้กรอบที่มีค่าธรรมเนียม 25% ความต้องการจากบริษัทใหญ่ เช่น Alibaba และ ByteDance พุ่งสูงทันที จนเกินกำลังผลิตที่ Nvidia มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้บริษัทต้องพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ

    ข้อจำกัดด้านการผลิต
    แม้ H200 จะเป็นชิปที่ทรงพลังที่สุดในตระกูล Hopper แต่กำลังการผลิตยังจำกัด เนื่องจาก Nvidia กำลังทุ่มทรัพยากรไปที่ Blackwell GPUs และ Rubin platform ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าและเป็นอนาคตของบริษัท การแข่งขันด้านทรัพยากรที่โรงงาน TSMC ทำให้การเพิ่มกำลังผลิต H200 ไม่ใช่เรื่องง่าย

    ความเสี่ยงด้านนโยบายและการส่งออก
    แม้สหรัฐฯ จะเปิดไฟเขียว แต่เส้นทางการส่งออกยังไม่ชัดเจน เพราะจีนยังไม่ได้อนุมัติการนำเข้าอย่างเป็นทางการ และมีการหารือว่าจะจำกัดปริมาณการซื้อของบริษัทจีนตามสัดส่วนการใช้ชิปในประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตท้องถิ่น ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ Nvidia ต้องระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มกำลังผลิต

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    H200 ถือเป็นชิปที่ทรงพลังที่สุดที่จีนสามารถเข้าถึงได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 (รุ่นเฉพาะตลาดจีน) ถึง 2–3 เท่า ทำให้ความต้องการยังคงแรง แม้จะมีความเสี่ยงด้านนโยบาย หาก Nvidia สามารถขยายการผลิตได้ จะช่วยรักษาตลาดจีนและเสริมความแข็งแกร่งของ CUDA ecosystem ในภูมิภาค

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความต้องการสูง
    Alibaba และ ByteDance สั่งซื้อจำนวนมาก
    ความต้องการเกินกำลังผลิตปัจจุบัน

    ข้อจำกัดการผลิต
    ทรัพยากรแข่งขันกับ Blackwell และ Rubin
    กำลังการผลิตที่ TSMC มีจำกัด

    ความเสี่ยงด้านนโยบาย
    สหรัฐฯ อนุญาตส่งออกพร้อมค่าธรรมเนียม 25%
    จีนยังไม่อนุมัติการนำเข้าอย่างเป็นทางการ

    ผลกระทบเชิงบวก
    H200 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า H20 ถึง 2–3 เท่า
    เสริมความแข็งแกร่งของ CUDA ecosystem ในจีน

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ความไม่แน่นอนด้านนโยบายจีน-สหรัฐฯ
    การแข่งขันทรัพยากรกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Nvidia

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-weighs-expanding-h200-production-as-demand-outstrips-supply
    ⚡ Nvidia H200: ความต้องการล้นตลาด หลังจากสหรัฐฯ อนุญาตให้ส่งออก H200 GPU ไปยังจีนภายใต้กรอบที่มีค่าธรรมเนียม 25% ความต้องการจากบริษัทใหญ่ เช่น Alibaba และ ByteDance พุ่งสูงทันที จนเกินกำลังผลิตที่ Nvidia มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้บริษัทต้องพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับคำสั่งซื้อ 🏭 ข้อจำกัดด้านการผลิต แม้ H200 จะเป็นชิปที่ทรงพลังที่สุดในตระกูล Hopper แต่กำลังการผลิตยังจำกัด เนื่องจาก Nvidia กำลังทุ่มทรัพยากรไปที่ Blackwell GPUs และ Rubin platform ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงกว่าและเป็นอนาคตของบริษัท การแข่งขันด้านทรัพยากรที่โรงงาน TSMC ทำให้การเพิ่มกำลังผลิต H200 ไม่ใช่เรื่องง่าย 🌐 ความเสี่ยงด้านนโยบายและการส่งออก แม้สหรัฐฯ จะเปิดไฟเขียว แต่เส้นทางการส่งออกยังไม่ชัดเจน เพราะจีนยังไม่ได้อนุมัติการนำเข้าอย่างเป็นทางการ และมีการหารือว่าจะจำกัดปริมาณการซื้อของบริษัทจีนตามสัดส่วนการใช้ชิปในประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตท้องถิ่น ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ Nvidia ต้องระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มกำลังผลิต 🔮 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI H200 ถือเป็นชิปที่ทรงพลังที่สุดที่จีนสามารถเข้าถึงได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีประสิทธิภาพสูงกว่า H20 (รุ่นเฉพาะตลาดจีน) ถึง 2–3 เท่า ทำให้ความต้องการยังคงแรง แม้จะมีความเสี่ยงด้านนโยบาย หาก Nvidia สามารถขยายการผลิตได้ จะช่วยรักษาตลาดจีนและเสริมความแข็งแกร่งของ CUDA ecosystem ในภูมิภาค 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความต้องการสูง ➡️ Alibaba และ ByteDance สั่งซื้อจำนวนมาก ➡️ ความต้องการเกินกำลังผลิตปัจจุบัน ✅ ข้อจำกัดการผลิต ➡️ ทรัพยากรแข่งขันกับ Blackwell และ Rubin ➡️ กำลังการผลิตที่ TSMC มีจำกัด ✅ ความเสี่ยงด้านนโยบาย ➡️ สหรัฐฯ อนุญาตส่งออกพร้อมค่าธรรมเนียม 25% ➡️ จีนยังไม่อนุมัติการนำเข้าอย่างเป็นทางการ ✅ ผลกระทบเชิงบวก ➡️ H200 มีประสิทธิภาพเหนือกว่า H20 ถึง 2–3 เท่า ➡️ เสริมความแข็งแกร่งของ CUDA ecosystem ในจีน ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายจีน-สหรัฐฯ ⛔ การแข่งขันทรัพยากรกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Nvidia https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nvidia-weighs-expanding-h200-production-as-demand-outstrips-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเติบโตของชิป Huawei Ascend 910C อาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ พลิกนโยบายส่งออก NVIDIA H200

    รายงานล่าสุดเผยว่า การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C AI Accelerator ซึ่งถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก Ascend 910 ที่เปิดตัวในปี 2019 ได้สร้างแรงกดดันต่อสหรัฐฯ จนทำให้เกิดการทบทวนและกลับคำสั่งห้ามส่งออกชิป NVIDIA H200 ไปยังจีน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ที่ร้อนแรงระหว่างสองประเทศ และความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ

    ความก้าวหน้าของ Huawei Ascend 910C
    Huawei ได้พัฒนาชิป Ascend 910C ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผลเชิงลึก (deep learning) ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าจีนสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร

    ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ
    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อ Huawei แสดงศักยภาพในการผลิตชิปที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA การห้ามส่งออกกลับกลายเป็นการผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น การกลับคำสั่งครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดและอิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    มิติทางภูมิรัฐศาสตร์
    การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังเกี่ยวพันกับความมั่นคงและอำนาจทางเศรษฐกิจในระดับโลก การที่จีนสามารถพัฒนาชิป AI ได้เองถือเป็นการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ขณะที่สหรัฐฯ ต้องหาทางรักษาความได้เปรียบโดยไม่ผลักดันคู่แข่งให้แข็งแกร่งขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ

    การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C
    ชิป AI รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับงาน deep learning
    แสดงศักยภาพจีนในการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

    ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ
    การห้ามส่งออก H200 เดิมกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาเอง
    การกลับคำสั่งช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA

    มิติทางภูมิรัฐศาสตร์
    จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก
    สหรัฐฯ ต้องหากลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความได้เปรียบ

    คำเตือนและความเสี่ยง
    การแข่งขันด้าน AI อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง
    การพัฒนาเทคโนโลยีคู่ขนานอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกในห่วงโซ่อุปทานโลก

    https://www.techpowerup.com/343932/huawei-ascend-910c-accelerators-maturation-allegedly-spurred-nvidia-h200-export-reversal
    ⚡ การเติบโตของชิป Huawei Ascend 910C อาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ พลิกนโยบายส่งออก NVIDIA H200 รายงานล่าสุดเผยว่า การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C AI Accelerator ซึ่งถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก Ascend 910 ที่เปิดตัวในปี 2019 ได้สร้างแรงกดดันต่อสหรัฐฯ จนทำให้เกิดการทบทวนและกลับคำสั่งห้ามส่งออกชิป NVIDIA H200 ไปยังจีน การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ที่ร้อนแรงระหว่างสองประเทศ และความพยายามของจีนในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ 🖥️ ความก้าวหน้าของ Huawei Ascend 910C Huawei ได้พัฒนาชิป Ascend 910C ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม โดยมุ่งเน้นการใช้งานในศูนย์ข้อมูลและการประมวลผลเชิงลึก (deep learning) ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าจีนสามารถสร้างฮาร์ดแวร์ที่แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร 🔬 ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้จำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อควบคุมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง แต่เมื่อ Huawei แสดงศักยภาพในการผลิตชิปที่ใกล้เคียงกับ NVIDIA การห้ามส่งออกกลับกลายเป็นการผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเร็วขึ้น การกลับคำสั่งครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาส่วนแบ่งตลาดและอิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ 🌍 มิติทางภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังเกี่ยวพันกับความมั่นคงและอำนาจทางเศรษฐกิจในระดับโลก การที่จีนสามารถพัฒนาชิป AI ได้เองถือเป็นการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ขณะที่สหรัฐฯ ต้องหาทางรักษาความได้เปรียบโดยไม่ผลักดันคู่แข่งให้แข็งแกร่งขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาของ Huawei Ascend 910C ➡️ ชิป AI รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับงาน deep learning ➡️ แสดงศักยภาพจีนในการแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ✅ ผลกระทบต่อ NVIDIA และสหรัฐฯ ➡️ การห้ามส่งออก H200 เดิมกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนพัฒนาเอง ➡️ การกลับคำสั่งช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดของ NVIDIA ✅ มิติทางภูมิรัฐศาสตร์ ➡️ จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก ➡️ สหรัฐฯ ต้องหากลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความได้เปรียบ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ การแข่งขันด้าน AI อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมือง ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีคู่ขนานอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกในห่วงโซ่อุปทานโลก https://www.techpowerup.com/343932/huawei-ascend-910c-accelerators-maturation-allegedly-spurred-nvidia-h200-export-reversal
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Huawei Ascend 910C Accelerator's Maturation Allegedly Spurred NVIDIA H200 Export Reversal
    Earlier this week, the US government approved exports of NVIDIA H200 data center-grade accelerators to China. This reverses a previous decision, to prevent "full fat" H200 hardware reaching Chinese shores. Team Green engineers were reportedly working on a severely reduced "H20" alternative—whispers ...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200

    หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด

    ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย
    แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การประชุมฉุกเฉินของจีน
    NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ
    ประเมินความต้องการชิป H200

    ความขัดแย้งด้านนโยบาย
    H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20
    รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend

    ผลกระทบต่อ Nvidia
    สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100
    หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด

    ความหมายต่อการแข่งขัน AI
    จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง
    อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน
    การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน
    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    🇨🇳 การประชุมฉุกเฉินของรัฐบาลจีน พิจารณาจำกัดการนำเข้าชิป Nvidia H200 หน่วยงานกำกับดูแลของจีน เช่น National Development and Reform Commission (NDRC) และ Ministry of Industry and Information Technology (MIIT) ได้จัดประชุมกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ Alibaba, ByteDance และ Tencent เพื่อสอบถามความต้องการชิป H200 หลังสหรัฐอนุญาตให้ส่งออก โดยจีนกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ซื้อในปริมาณเท่าใด ⚡ ความขัดแย้งระหว่างความต้องการและนโยบาย แม้ H200 จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับตลาดจีน แต่รัฐบาลยังคงกดดันให้บริษัทหันไปใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend การนำเข้า H200 จึงถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เสี่ยงต่อการลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีนเอง 💹 ผลกระทบต่อ Nvidia ก่อนหน้านี้ Nvidia สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% เมื่อไม่สามารถขาย H100 ได้ แต่หากจีนอนุญาตให้ซื้อ H200 ความต้องการคาดว่าจะสูงมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการจำกัด เช่น กำหนดโควตาการซื้อ หรือห้ามใช้ในอุตสาหกรรมที่ถือว่า “มีความอ่อนไหวเชิงกลยุทธ์” เช่น การเงินและพลังงาน 🔍 ความหมายต่อการแข่งขัน AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีต่างชาติและการสร้างความพึ่งพาตนเอง หากจีนจำกัดการนำเข้า H200 จะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทหันไปลงทุนในชิปภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจเร่งการพัฒนา ecosystem AI ของจีนในระยะยาว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การประชุมฉุกเฉินของจีน ➡️ NDRC และ MIIT เรียก Alibaba, ByteDance, Tencent เข้าหารือ ➡️ ประเมินความต้องการชิป H200 ✅ ความขัดแย้งด้านนโยบาย ➡️ H200 มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิป H20 ➡️ รัฐบาลจีนกดดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend ✅ ผลกระทบต่อ Nvidia ➡️ สูญเสียรายได้ในจีนกว่า 63% หลังห้ามขาย H100 ➡️ หากอนุญาต H200 ความต้องการจะสูง แต่มีโควตาจำกัด ✅ ความหมายต่อการแข่งขัน AI ➡️ จีนพยายามหาสมดุลระหว่างการนำเข้าและการพึ่งพาตนเอง ➡️ อาจเร่งการพัฒนาชิปและ ecosystem AI ภายในประเทศ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ อาจห้ามใช้ H200 ในอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น การเงินและพลังงาน ⛔ การนำเข้า H200 มากเกินไปอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาชิปจีน ⛔ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-weighs-import-limits-on-nvidias-h200-after-us-export-rules-relaxed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน

    ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell

    ความท้าทายจาก Huawei
    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การกลับลำของสหรัฐ
    อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน
    เก็บค่าธรรมเนียม 25%

    ความท้าทายจาก Huawei
    เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C
    แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด
    เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA
    Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    🇺🇸 การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell 🇨🇳 ความท้าทายจาก Huawei Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia ⚡ กลยุทธ์ของสหรัฐ รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การกลับลำของสหรัฐ ➡️ อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน ➡️ เก็บค่าธรรมเนียม 25% ✅ ความท้าทายจาก Huawei ➡️ เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C ➡️ แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ กลยุทธ์ของสหรัฐ ➡️ พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด ➡️ เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ➡️ Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA ➡️ Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251210 #TechRadar

    ความฝัน AGI ที่ยังไกลเกินเอื้อม
    นักวิจัย AI ในงานประชุม NeurIPS 2025 ออกมาเตือนว่า แม้ Google จะฉลองความสำเร็จของ Gemini 3 แต่ความจริงแล้วการสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” หรือ AGI ยังห่างไกลมาก ปัญหาคือการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำให้มันฉลาดขึ้นจริง ๆ แต่กลับติดกำแพงที่เรียกว่า “scaling wall” ทั้งเรื่องข้อมูลที่เริ่มหมดคุณภาพ การใช้พลังงานมหาศาล และที่สำคัญคือโมเดลยังไม่เข้าใจเหตุและผลอย่างแท้จริง หลายคนเสนอแนวทางใหม่ เช่น สถาปัตยกรรมแบบ neurosymbolic ที่ผสมผสานการเรียนรู้เชิงสถิติและตรรกะ หรือ “world models” ที่จำลองการรับรู้โลกแบบมนุษย์ เพื่อให้ AI ไม่ใช่แค่ตอบได้ แต่เข้าใจจริง ๆ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/agi-is-a-pipe-dream-until-we-solve-one-big-problem-ai-experts-say-even-as-google-celebrates-geminis-success

    เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ 14 ปีในอินโดนีเซียถูกโค่น
    นักวิจัย Malanta.ai พบโครงสร้างอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดมหึมาในอินโดนีเซียที่ดำเนินการต่อเนื่องกว่า 14 ปี มีการควบคุมโดเมนกว่า 320,000 แห่ง รวมถึงซับโดเมนของรัฐบาลที่ถูกแฮ็ก ใช้แพลตฟอร์มคลาวด์อย่าง AWS และ Firebase ในการสั่งการมัลแวร์ และสร้างแอป Android ปลอมที่กระจายไปทั่ว ผลคือข้อมูลล็อกอินการพนันกว่า 50,000 รายการถูกขโมยไป นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่านี่อาจไม่ใช่แค่กลุ่มอาชญากรทั่วไป แต่มีลักษณะคล้ายปฏิบัติการระดับรัฐ https://www.techradar.com/pro/security/national-cybercrime-network-operating-for-14-years-dismantled-in-indonesia

    บอร์ด Framework เก่าถูกชุบชีวิตเป็นคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์
    โครงการ Kickstarter ที่ชื่อ FrameCluster เสนอไอเดียเปลี่ยนเมนบอร์ด Framework ที่ไม่ได้ใช้แล้วให้กลายเป็นระบบคลัสเตอร์ขนาดเล็ก โดยใช้ชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3D ทั้งหมด มันไม่ได้เน้นพลังประมวลผลสูงสุด แต่เน้นการจัดระเบียบและการนำฮาร์ดแวร์เก่ามาใช้ใหม่ เหมาะสำหรับงานทดลองหรือโฮสต์เซอร์วิสเล็ก ๆ แม้จะยังระดมทุนได้ไม่มาก แต่ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการรีไซเคิลเทคโนโลยีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง https://www.techradar.com/pro/your-own-supercomputer-made-up-of-old-framework-motherboards-this-kickstarter-project-aims-to-achieve-just-that

    รีวิว Fairphone Fairbuds XL 2025 หูฟังรักษ์โลก
    Fairphone เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ Fairbuds XL 2025 ที่ยังคงจุดขายด้านความยั่งยืน ใช้วัสดุรีไซเคิลและแร่ธาตุที่ได้จากการทำเหมืองอย่างเป็นธรรม จุดเด่นคือการควบคุมด้วยจอยสติ๊กเล็ก ๆ ที่ใช้งานง่ายและสนุก เสียงออกมาแนวสนุกสนาน มีพลังเบส แต่ยังไม่ละเอียดเท่าคู่แข่งรายใหญ่ จุดที่อาจทำให้ลังเลคือราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่น และฟีเจอร์เสริมที่ยังไม่ครบ แต่ถ้ามองเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้งานระยะยาว หูฟังนี้ถือว่าโดดเด่นมาก https://www.techradar.com/audio/wireless-headphones/fairphone-fairbuds-xl-2025-review

    7 มือถือแนะนำสำหรับของขวัญคริสต์มาส
    TechRadar รวบรวมมือถือที่เหมาะจะซื้อเป็นของขวัญคริสต์มาสปีนี้ โดยแบ่งตามกลุ่มผู้ใช้ เช่น สำหรับทุกคนทั่วไปมีตัวเลือกอย่าง iPhone 17, Samsung Galaxy S25 และ Google Pixel 10 ส่วนวัยรุ่นเหมาะกับ iPhone 16 ที่ยังเร็วและรองรับอัปเดตอีกหลายปี สำหรับพ่อแม่แนะนำ Samsung Galaxy A36 ที่จอใหญ่ แบตอึด และราคาคุ้มค่า ถ้าเป็นแฟน Apple ก็มี iPhone 17 Pro ที่ครบเครื่อง หรือถ้าเป็นสาย Android ตัวแรง OnePlus 15 ก็เป็นดาวเด่นปีนี้ เรียกว่ามีตัวเลือกสำหรับทุกสไตล์และงบประมาณ https://www.techradar.com/phones/buying-someone-a-new-phone-this-christmas-here-are-my-7-expert-recommendations-for-every-type-of-person

    โฆษณาใน Gemini ยังไม่มา แต่อนาคตอาจเลี่ยงไม่พ้น
    ช่วงนี้โลก AI กำลังถูกจับตามองเรื่องโฆษณาในแชตบอท หลังจากที่ผู้ใช้ ChatGPT แบบโปรราคา 200 ดอลลาร์ต่อเดือนเจอ “app suggestions” โผล่มาเหมือนโฆษณา จนบริษัทต้องรีบถอดออกและยอมรับว่าพลาดไป ขณะที่คู่แข่งอย่าง Google Gemini รีบออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าไม่มีแผนจะใส่โฆษณาในแอปตอนนี้ แต่คำว่า “ตอนนี้” ก็ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัย เพราะค่าใช้จ่ายมหาศาลในการดูแลระบบ AI อาจทำให้วันหนึ่งโฆษณากลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้สะท้อนว่าอนาคตของผู้ช่วย AI อาจไม่พ้นการกลายเป็นพื้นที่โฆษณา เพียงแต่จะมาเมื่อไหร่เท่านั้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/ads-arent-coming-to-gemini-google-says-but-openai-has-shown-that-the-inevitable-is-coming

    Xiaomi และ Motorola เตรียมส่งแท็กคู่แข่ง AirTag
    ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 ก็แทบจะครองตลาดอุปกรณ์ติดตามของหาย ล่าสุดมีข่าวลือว่า Xiaomi และ Motorola กำลังจะเปิดตัวแท็กของตัวเอง โดยทั้งคู่จะรองรับเทคโนโลยี ultra wide-band ที่แม่นยำกว่าเดิม Xiaomi อาจเปิดตัวพร้อมมือถือรุ่นใหม่ปลายปี ส่วน Motorola ก็มีภาพหลุดของ Moto Tag 2 ที่จะมาพร้อมสีใหม่และกันน้ำได้ด้วย ราคายังไม่ประกาศ แต่คาดว่าจะใกล้เคียงกับรุ่นก่อนที่ขายราว 40 ดอลลาร์ ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ Android ที่อยากได้ตัวเลือกใหม่ในการติดตามของสำคัญ https://www.techradar.com/phones/android/forget-apple-airtags-motorola-and-xiaomi-are-rumored-to-be-launching-android-equivalents-soon

    Dyson V8 Cyclone รุ่นพื้นฐานที่ทำความสะอาดได้เกินคาด
    นักรีวิวเครื่องดูดฝุ่นจาก TechRadar ได้ลอง Dyson V8 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐาน ไม่มีฟีเจอร์ล้ำ ๆ เหมือนรุ่นใหม่ ๆ แต่กลับทำความสะอาดได้ดีจนเหนือความคาดหมาย ในการทดสอบเปรียบเทียบกับรุ่นไฮเทคอย่าง Dyson V16 และ Shark Detect Pro รุ่น V8 Cyclone กลับทำคะแนนสูงกว่า จุดเด่นคือแรงดูดและหัวดูดที่ออกแบบเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ทำให้ตั้งคำถามว่าบางครั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกออกแบบซับซ้อนเกินไปอาจไม่ได้ช่วยให้ใช้งานดีขึ้นเสมอไป https://www.techradar.com/home/vacuums/i-was-blown-away-by-this-basic-dyson-vacuums-cleaning-powers-and-im-wondering-if-modern-vacs-are-over-engineered

      IKEA เปิดตัวไฟอัจฉริยะราคาถูกที่สุด
    IKEA เปิดตัวไฟ LED รุ่นใหม่ชื่อ Gömpyssling ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เปิดปุ๊บติดปั๊บ เหมาะสำหรับติดในตู้หรือชั้นวางของ จุดเด่นคือราคาถูกมาก แค่สองชิ้นราคาเพียง 3 ปอนด์ในอังกฤษ และ 4 ยูโรในหลายประเทศยุโรป ตัวไฟทำจากพลาสติกรีไซเคิล ใช้แบตเตอรี่ AA เพียงก้อนเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแอปใด ๆ ถือเป็นอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในบ้านโดยไม่ต้องลงทุนเยอะ https://www.techradar.com/home/smart-home/ikea-quietly-launches-a-new-smart-light-and-its-the-simplest-and-most-affordable-one-yet

    Asus ROG Raikiri Pro คอนโทรลเลอร์พร้อมจอ OLED ลดราคาหนัก
    สำหรับสายเกมเมอร์ Asus ROG Raikiri Pro เป็นคอนโทรลเลอร์ไร้สายที่มีจอ OLED ในตัว สามารถปรับโปรไฟล์ปุ่มและตั้งค่าต่าง ๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเมนูในเกม ล่าสุดมีโปรลดราคาจาก 149.99 ปอนด์เหลือเพียง 89.99 ปอนด์ ถือเป็นราคาต่ำสุดที่เคยมี ดีไซน์โดดเด่นด้วยไฟ RGB รอบปุ่มและตัวเครื่องกึ่งโปร่งใส เหมาะกับคนที่ชอบปรับแต่งละเอียดหรืออยากได้คอนโทรลเลอร์ที่แตกต่างจากทั่วไป https://www.techradar.com/gaming/this-asus-controller-comes-with-a-screen-and-right-now-its-cheaper-than-ever

      Meta ลดการแชร์ข้อมูลผู้ใช้ในยุโรป
    Meta ประกาศว่าจะลดการแชร์ข้อมูลของผู้ใช้ในสหภาพยุโรปภายในปี 2026 เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนปรับตามกฎหมาย GDPR การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ข้อมูลที่ส่งต่อระหว่างบริการต่าง ๆ ของ Meta เช่น Facebook และ Instagram ถูกจำกัดมากขึ้น ถือเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปที่เข้มงวดเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ https://www.techradar.com/pro/meta-promises-to-reduce-data-sharing-for-eu-users-by-2026-to-avoid-eu-gdpr-fines

      รีวิวกล้องติดรถ Thinkware U3000 Pro
    กล้องติดรถ Thinkware U3000 Pro รุ่นใหม่มาพร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม เช่น การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง และระบบช่วยตรวจจับเหตุการณ์ แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย รีวิวจาก TechRadar ระบุว่าถึงแม้คุณภาพดี แต่คู่แข่งที่ราคาถูกกว่ากลับทำได้ใกล้เคียงหรือบางรุ่นดีกว่า ทำให้ U3000 Pro อาจเหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบ ๆ และไม่กังวลเรื่องงบประมาณ https://www.techradar.com/vehicle-tech/dash-cams/i-tested-the-thinkware-u3000-pro-dash-cam-and-it-has-heaps-of-potential-but-its-outshone-by-affordable-rivals

    สร้างห้องทำงานที่บ้านให้สมบูรณ์แบบ
    เรื่องนี้พูดถึงการจัดห้องทำงานที่บ้านให้กลายเป็นพื้นที่ทำงานที่ทรงพลังและสะดวกสบายที่สุด เขาแนะนำอุปกรณ์สำคัญตั้งแต่แล็ปท็อปที่แรงพอสำหรับงานหนักอย่าง Dell 16 Premium ไปจนถึงเก้าอี้ Branch Verve ที่นั่งได้นานโดยไม่เมื่อย รวมถึงโต๊ะยืน FlexiSpot E7 ที่ปรับระดับได้ง่าย เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ที่ประหยัดหมึก และจอมอนิเตอร์ Dell UltraSharp ที่ภาพคมชัด นอกจากนี้ยังมีเมาส์ Logitech MX Master 3S ที่ใช้งานได้เงียบและแม่นยำ รวมถึงระบบ Wi-Fi 7 จาก TP-Link Deco ที่ทำให้การเชื่อมต่อเสถียร สุดท้ายยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Docking Station, SSD พกพา Samsung T9, Cloud Storage iDrive และหูฟัง Jabra Evolve2 75 ที่ช่วยให้การประชุมออนไลน์ชัดเจน ทั้งหมดนี้คือการรวมอุปกรณ์ที่ทำให้การทำงานจากบ้านมีประสิทธิภาพและสบายใจมากขึ้น https://www.techradar.com/home/create-the-ultimate-work-from-home-setup

    LinkedIn เดินหน้าตรวจสอบตัวตนผู้ใช้ทุกคน
    LinkedIn ประกาศความสำเร็จในการทำให้มีผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนกว่า 100 ล้านบัญชี และยังตั้งเป้าว่าจะทำให้ทุกบัญชี ทุกบริษัท และทุกตำแหน่งงานมีการยืนยันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น การยืนยันนี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมมากขึ้นถึงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ LinkedIn ยังเปิด API ให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Zoom นำสถานะการยืนยันไปแสดงในโปรไฟล์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการประชุมออนไลน์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ LinkedIn ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ของความน่าเชื่อถือบนโลกดิจิทัล https://www.techradar.com/pro/linkedin-wants-every-user-to-be-verified

    โน้ตบุ๊กเกมมิ่งจอ OLED ขยายได้จาก Lenovo
    มีข่าวลือว่า Lenovo เตรียมเปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งรุ่นใหม่ชื่อ Legion Pro Rollable ที่มาพร้อมจอ OLED แบบขยายได้ในแนวนอน ซึ่งจะกลายเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งจอ Ultrawide รุ่นแรกของโลก หากเป็นจริงจะเปิดตัวในงาน CES 2026 จุดเด่นคือหน้าจอสามารถขยายออกไปด้านข้างเพื่อเพิ่มพื้นที่การเล่นเกมหรือทำงานแบบมัลติทาสก์ คาดว่าจะใช้ซีพียู Intel Core Ultra แต่ยังไม่เปิดเผยการ์ดจอ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องราคาและน้ำหนัก แต่ถ้า Lenovo ทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง https://www.techradar.com/computing/gaming-laptops/lenovo-legion-pro-rollable-leak-reveals-the-worlds-first-ultrawide-oled-gaming-laptop-and-i-cant-wait-to-try-it

    การโจมตีแบบ Prompt Injection อาจไม่มีวันแก้ได้
    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักร (NCSC) เตือนว่าการโจมตีแบบ Prompt Injection ซึ่งเป็นการฝังคำสั่งแอบแฝงในข้อความเพื่อหลอกให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ทำงานผิด อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์เหมือนที่เคยแก้ปัญหา SQL Injection เพราะโมเดลไม่สามารถแยกแยะระหว่างข้อมูลกับคำสั่งได้อย่างแท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักพัฒนามองโมเดลเหล่านี้เป็น “ผู้ช่วยที่สับสนได้” และออกแบบระบบให้จำกัดผลกระทบหากถูกโจมตี นี่เป็นการเตือนว่าการใช้ AI ต้องระวังและไม่ควรคาดหวังว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ https://www.techradar.com/pro/security/prompt-injection-attacks-might-never-be-properly-mitigated-uk-ncsc-warns

    ออสเตรเลียห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย
    กฎหมายใหม่ในออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้แล้ว โดยห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น YouTube, Instagram, TikTok และ Snapchat หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย มาตรการนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ปกครองและนักปกป้องเด็ก แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและความเป็นส่วนตัวที่กังวลว่าจะกระทบสิทธิของประชาชน เด็กบางคนเริ่มหันไปใช้แอปอื่นที่ไม่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เช่น Discord หรือ Roblox และมีแนวโน้มว่าการค้นหา VPN จะเพิ่มขึ้นเพื่อหาทางเลี่ยงข้อจำกัด https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/under-16s-social-media-ban-lands-in-australia

    Pebble Index 01 อุปกรณ์ใหม่รวมแหวนอัจฉริยะกับผู้ช่วยเสียง
    Pebble เปิดตัวอุปกรณ์ที่รวมฟังก์ชันผู้ช่วยเสียงเข้ากับสมาร์ทริงในชื่อ Pebble Index 01 จุดเด่นคือสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้โดยตรงจากแหวน เช่น เปิดเพลง ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม หรือเช็กข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดีไซน์เรียบง่ายและทันสมัย ทำให้เป็นทั้งเครื่องประดับและอุปกรณ์เทคโนโลยีในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการพยายามสร้างหมวดหมู่ใหม่ที่ผสมผสาน wearable กับ AI voice assistant เข้าด้วยกัน https://www.techradar.com/health-fitness/pebble-is-reinventing-voice-assistants-and-smart-rings-in-one-device-meet-the-pebble-index-01

     รัฐบาลสหรัฐฯ มองโลกในแง่ดีหลังยอดจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์ลดลง
    ช่วงปี 2023 ถือเป็นปีที่การโจมตี ransomware พุ่งสูงสุด มีการจ่ายค่าไถ่รวมกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถจัดการกับแก๊งใหญ่ ๆ อย่าง ALPHV และ LockBit ได้ ทำให้ปี 2024 ยอดการโจมตีและจำนวนเงินที่เหยื่อจ่ายลดลงเหลือประมาณ 734 ล้านดอลลาร์ แม้ยังมีแก๊งอย่าง Akira ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ แต่ภาพรวมถือว่าการปราบปรามครั้งนี้สร้างผลกระทบชัดเจนต่อวงการอาชญากรรมไซเบอร์ https://www.techradar.com/pro/security/us-treasury-offers-cautious-optimism-as-ransomware-payments-decline

     Spotify เดินหน้าสู่ยุคใหม่ เพิ่มมิวสิกวิดีโอในแอป
    Spotify กำลังพยายามกลายเป็นเหมือน MTV ยุคดิจิทัล โดยล่าสุดเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงอีกหลายประเทศ สามารถดูมิวสิกวิดีโอได้โดยตรงในแอป ไม่ใช่แค่ฟังเพลงอย่างเดียว ผู้ใช้สามารถกดสลับจากโหมดเสียงไปเป็นวิดีโอได้ทันที ฟีเจอร์นี้สร้างความตื่นเต้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าประสบการณ์ดูวิดีโอยังไม่ลื่นไหลเท่า YouTube อย่างไรก็ตาม Spotify ยังคงเดินหน้าต่อยอดเพื่อขยายบริการให้ครบวงจรทั้งภาพและเสียง https://www.techradar.com/audio/spotify/spotify-steps-up-its-plan-to-be-the-new-mtv-music-videos-are-rolling-out-whether-you-want-them-or-not

     โลกการเขียนโค้ดกับเทรนด์ใหม่ “Vibe-Coding”
    คำว่า “Vibe-Coding” ถูกยกให้เป็นคำแห่งปี 2025 หมายถึงการเขียนโปรแกรมที่เน้นความรู้สึกและความคิดสร้างสรรค์มากกว่ากฎเกณฑ์ทางเทคนิค โดยใช้ AI เป็นตัวช่วยให้โค้ดเกิดขึ้นแทบจะอัตโนมัติ แนวทางนี้เปิดโอกาสให้คนที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเสี่ยงจากโค้ดที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด นักพัฒนาจึงต้องปรับบทบาทจากการเขียนโค้ดเองไปสู่การควบคุมคุณภาพและกำกับ AI ให้ทำงานอย่างถูกต้อง https://www.techradar.com/pro/the-future-of-coding-has-a-vibe-problem-balancing-creativity-with-control

     AMD เตรียมเปิดตัวชิปเกมมิ่งรุ่นใหม่ Ryzen 9850X3D
    มีภาพหลุดจาก BIOS ที่เผยให้เห็นชิป AMD Ryzen 9850X3D ซึ่งคาดว่าจะเป็นรุ่นอัปเกรดจาก 9800X3D โดยเพิ่มความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 5.6GHz ทำให้แรงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 400MHz แม้ผลทดสอบเบื้องต้นยังไม่ชัดเจน แต่ถ้าชิปนี้เปิดตัวจริงในงาน CES 2026 จะเป็นข่าวดีสำหรับนักเล่นเกม เพราะนอกจากจะได้รุ่นใหม่ที่แรงขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้รุ่นเก่าราคาเริ่มถูกลงด้วย https://www.techradar.com/computing/gpu/the-fastest-gaming-cpu-could-get-a-supercharged-version-soon-as-new-amd-ryzen-9850x3d-leak-pops-up

     สหราชอาณาจักรต้องเร่งสร้างเครือข่ายอัจฉริยะเพื่อแข่งขันในยุค AI
    รายงานล่าสุดชี้ว่า AI สามารถเพิ่ม GDP ของสหราชอาณาจักรได้กว่า 550 พันล้านปอนด์ภายในปี 2035 แต่ปัญหาคือโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายยังล้าหลังมาก โดยปัจจุบันสหราชอาณาจักรถือครองพลังการประมวลผล AI เพียง 3% ของโลก ขณะที่สหรัฐฯ ครองถึง 75% หากไม่เร่งลงทุนในเครือข่ายที่เร็ว ปลอดภัย และปรับตัวได้ทันที ประเทศอาจเสียโอกาสในการแข่งขัน เครือข่ายอัจฉริยะจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคต https://www.techradar.com/pro/the-uk-must-build-smarter-networks-to-lead-in-ai

      IBM ทุ่มเงิน 11 พันล้านเหรียญซื้อกิจการ Confluent IBM
    กำลังเดินหน้าขยายธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล โดยล่าสุดมีรายงานว่าเตรียมเข้าซื้อ Confluent ด้วยมูลค่ากว่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ IBM ที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรยุค AI และคลาวด์ หากดีลนี้สำเร็จ IBM จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและกระจายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techradar.com/pro/ibm-looks-to-secure-data-infrastructure-with-usd11bn-bid-for-confluent

      สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปจีน
    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงรุ่น H200 ไปยังจีน หลังจากก่อนหน้านี้มีการจำกัดการขายเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในงานด้าน AI และการทหาร การผ่อนปรนครั้งนี้อาจช่วยให้ Nvidia ขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ https://www.techradar.com/pro/trump-set-to-allow-nvidia-h200-chips-to-be-exported-to-china
    📌📡🟢 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟢📡📌 #รวมข่าวIT #20251210 #TechRadar 🧠 ความฝัน AGI ที่ยังไกลเกินเอื้อม นักวิจัย AI ในงานประชุม NeurIPS 2025 ออกมาเตือนว่า แม้ Google จะฉลองความสำเร็จของ Gemini 3 แต่ความจริงแล้วการสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” หรือ AGI ยังห่างไกลมาก ปัญหาคือการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ทำให้มันฉลาดขึ้นจริง ๆ แต่กลับติดกำแพงที่เรียกว่า “scaling wall” ทั้งเรื่องข้อมูลที่เริ่มหมดคุณภาพ การใช้พลังงานมหาศาล และที่สำคัญคือโมเดลยังไม่เข้าใจเหตุและผลอย่างแท้จริง หลายคนเสนอแนวทางใหม่ เช่น สถาปัตยกรรมแบบ neurosymbolic ที่ผสมผสานการเรียนรู้เชิงสถิติและตรรกะ หรือ “world models” ที่จำลองการรับรู้โลกแบบมนุษย์ เพื่อให้ AI ไม่ใช่แค่ตอบได้ แต่เข้าใจจริง ๆ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/agi-is-a-pipe-dream-until-we-solve-one-big-problem-ai-experts-say-even-as-google-celebrates-geminis-success 🕵️ เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ 14 ปีในอินโดนีเซียถูกโค่น นักวิจัย Malanta.ai พบโครงสร้างอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดมหึมาในอินโดนีเซียที่ดำเนินการต่อเนื่องกว่า 14 ปี มีการควบคุมโดเมนกว่า 320,000 แห่ง รวมถึงซับโดเมนของรัฐบาลที่ถูกแฮ็ก ใช้แพลตฟอร์มคลาวด์อย่าง AWS และ Firebase ในการสั่งการมัลแวร์ และสร้างแอป Android ปลอมที่กระจายไปทั่ว ผลคือข้อมูลล็อกอินการพนันกว่า 50,000 รายการถูกขโมยไป นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่านี่อาจไม่ใช่แค่กลุ่มอาชญากรทั่วไป แต่มีลักษณะคล้ายปฏิบัติการระดับรัฐ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/national-cybercrime-network-operating-for-14-years-dismantled-in-indonesia 🖥️ บอร์ด Framework เก่าถูกชุบชีวิตเป็นคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ โครงการ Kickstarter ที่ชื่อ FrameCluster เสนอไอเดียเปลี่ยนเมนบอร์ด Framework ที่ไม่ได้ใช้แล้วให้กลายเป็นระบบคลัสเตอร์ขนาดเล็ก โดยใช้ชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3D ทั้งหมด มันไม่ได้เน้นพลังประมวลผลสูงสุด แต่เน้นการจัดระเบียบและการนำฮาร์ดแวร์เก่ามาใช้ใหม่ เหมาะสำหรับงานทดลองหรือโฮสต์เซอร์วิสเล็ก ๆ แม้จะยังระดมทุนได้ไม่มาก แต่ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการรีไซเคิลเทคโนโลยีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/your-own-supercomputer-made-up-of-old-framework-motherboards-this-kickstarter-project-aims-to-achieve-just-that 🎧 รีวิว Fairphone Fairbuds XL 2025 หูฟังรักษ์โลก Fairphone เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ Fairbuds XL 2025 ที่ยังคงจุดขายด้านความยั่งยืน ใช้วัสดุรีไซเคิลและแร่ธาตุที่ได้จากการทำเหมืองอย่างเป็นธรรม จุดเด่นคือการควบคุมด้วยจอยสติ๊กเล็ก ๆ ที่ใช้งานง่ายและสนุก เสียงออกมาแนวสนุกสนาน มีพลังเบส แต่ยังไม่ละเอียดเท่าคู่แข่งรายใหญ่ จุดที่อาจทำให้ลังเลคือราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่น และฟีเจอร์เสริมที่ยังไม่ครบ แต่ถ้ามองเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้งานระยะยาว หูฟังนี้ถือว่าโดดเด่นมาก 🔗 https://www.techradar.com/audio/wireless-headphones/fairphone-fairbuds-xl-2025-review 🎄 7 มือถือแนะนำสำหรับของขวัญคริสต์มาส TechRadar รวบรวมมือถือที่เหมาะจะซื้อเป็นของขวัญคริสต์มาสปีนี้ โดยแบ่งตามกลุ่มผู้ใช้ เช่น สำหรับทุกคนทั่วไปมีตัวเลือกอย่าง iPhone 17, Samsung Galaxy S25 และ Google Pixel 10 ส่วนวัยรุ่นเหมาะกับ iPhone 16 ที่ยังเร็วและรองรับอัปเดตอีกหลายปี สำหรับพ่อแม่แนะนำ Samsung Galaxy A36 ที่จอใหญ่ แบตอึด และราคาคุ้มค่า ถ้าเป็นแฟน Apple ก็มี iPhone 17 Pro ที่ครบเครื่อง หรือถ้าเป็นสาย Android ตัวแรง OnePlus 15 ก็เป็นดาวเด่นปีนี้ เรียกว่ามีตัวเลือกสำหรับทุกสไตล์และงบประมาณ 🔗 https://www.techradar.com/phones/buying-someone-a-new-phone-this-christmas-here-are-my-7-expert-recommendations-for-every-type-of-person 📰 โฆษณาใน Gemini ยังไม่มา แต่อนาคตอาจเลี่ยงไม่พ้น ช่วงนี้โลก AI กำลังถูกจับตามองเรื่องโฆษณาในแชตบอท หลังจากที่ผู้ใช้ ChatGPT แบบโปรราคา 200 ดอลลาร์ต่อเดือนเจอ “app suggestions” โผล่มาเหมือนโฆษณา จนบริษัทต้องรีบถอดออกและยอมรับว่าพลาดไป ขณะที่คู่แข่งอย่าง Google Gemini รีบออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าไม่มีแผนจะใส่โฆษณาในแอปตอนนี้ แต่คำว่า “ตอนนี้” ก็ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัย เพราะค่าใช้จ่ายมหาศาลในการดูแลระบบ AI อาจทำให้วันหนึ่งโฆษณากลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้สะท้อนว่าอนาคตของผู้ช่วย AI อาจไม่พ้นการกลายเป็นพื้นที่โฆษณา เพียงแต่จะมาเมื่อไหร่เท่านั้น 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/ads-arent-coming-to-gemini-google-says-but-openai-has-shown-that-the-inevitable-is-coming 📱 Xiaomi และ Motorola เตรียมส่งแท็กคู่แข่ง AirTag ตั้งแต่ Apple เปิดตัว AirTag ในปี 2021 ก็แทบจะครองตลาดอุปกรณ์ติดตามของหาย ล่าสุดมีข่าวลือว่า Xiaomi และ Motorola กำลังจะเปิดตัวแท็กของตัวเอง โดยทั้งคู่จะรองรับเทคโนโลยี ultra wide-band ที่แม่นยำกว่าเดิม Xiaomi อาจเปิดตัวพร้อมมือถือรุ่นใหม่ปลายปี ส่วน Motorola ก็มีภาพหลุดของ Moto Tag 2 ที่จะมาพร้อมสีใหม่และกันน้ำได้ด้วย ราคายังไม่ประกาศ แต่คาดว่าจะใกล้เคียงกับรุ่นก่อนที่ขายราว 40 ดอลลาร์ ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ Android ที่อยากได้ตัวเลือกใหม่ในการติดตามของสำคัญ 🔗 https://www.techradar.com/phones/android/forget-apple-airtags-motorola-and-xiaomi-are-rumored-to-be-launching-android-equivalents-soon 🧹 Dyson V8 Cyclone รุ่นพื้นฐานที่ทำความสะอาดได้เกินคาด นักรีวิวเครื่องดูดฝุ่นจาก TechRadar ได้ลอง Dyson V8 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐาน ไม่มีฟีเจอร์ล้ำ ๆ เหมือนรุ่นใหม่ ๆ แต่กลับทำความสะอาดได้ดีจนเหนือความคาดหมาย ในการทดสอบเปรียบเทียบกับรุ่นไฮเทคอย่าง Dyson V16 และ Shark Detect Pro รุ่น V8 Cyclone กลับทำคะแนนสูงกว่า จุดเด่นคือแรงดูดและหัวดูดที่ออกแบบเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ทำให้ตั้งคำถามว่าบางครั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกออกแบบซับซ้อนเกินไปอาจไม่ได้ช่วยให้ใช้งานดีขึ้นเสมอไป 🔗 https://www.techradar.com/home/vacuums/i-was-blown-away-by-this-basic-dyson-vacuums-cleaning-powers-and-im-wondering-if-modern-vacs-are-over-engineered 💡  IKEA เปิดตัวไฟอัจฉริยะราคาถูกที่สุด IKEA เปิดตัวไฟ LED รุ่นใหม่ชื่อ Gömpyssling ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เปิดปุ๊บติดปั๊บ เหมาะสำหรับติดในตู้หรือชั้นวางของ จุดเด่นคือราคาถูกมาก แค่สองชิ้นราคาเพียง 3 ปอนด์ในอังกฤษ และ 4 ยูโรในหลายประเทศยุโรป ตัวไฟทำจากพลาสติกรีไซเคิล ใช้แบตเตอรี่ AA เพียงก้อนเดียว ไม่ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแอปใด ๆ ถือเป็นอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในบ้านโดยไม่ต้องลงทุนเยอะ 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/ikea-quietly-launches-a-new-smart-light-and-its-the-simplest-and-most-affordable-one-yet 🎮 Asus ROG Raikiri Pro คอนโทรลเลอร์พร้อมจอ OLED ลดราคาหนัก สำหรับสายเกมเมอร์ Asus ROG Raikiri Pro เป็นคอนโทรลเลอร์ไร้สายที่มีจอ OLED ในตัว สามารถปรับโปรไฟล์ปุ่มและตั้งค่าต่าง ๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเมนูในเกม ล่าสุดมีโปรลดราคาจาก 149.99 ปอนด์เหลือเพียง 89.99 ปอนด์ ถือเป็นราคาต่ำสุดที่เคยมี ดีไซน์โดดเด่นด้วยไฟ RGB รอบปุ่มและตัวเครื่องกึ่งโปร่งใส เหมาะกับคนที่ชอบปรับแต่งละเอียดหรืออยากได้คอนโทรลเลอร์ที่แตกต่างจากทั่วไป 🔗 https://www.techradar.com/gaming/this-asus-controller-comes-with-a-screen-and-right-now-its-cheaper-than-ever 🌐  Meta ลดการแชร์ข้อมูลผู้ใช้ในยุโรป Meta ประกาศว่าจะลดการแชร์ข้อมูลของผู้ใช้ในสหภาพยุโรปภายในปี 2026 เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนปรับตามกฎหมาย GDPR การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ข้อมูลที่ส่งต่อระหว่างบริการต่าง ๆ ของ Meta เช่น Facebook และ Instagram ถูกจำกัดมากขึ้น ถือเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปที่เข้มงวดเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/meta-promises-to-reduce-data-sharing-for-eu-users-by-2026-to-avoid-eu-gdpr-fines 🚗  รีวิวกล้องติดรถ Thinkware U3000 Pro กล้องติดรถ Thinkware U3000 Pro รุ่นใหม่มาพร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม เช่น การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง และระบบช่วยตรวจจับเหตุการณ์ แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย รีวิวจาก TechRadar ระบุว่าถึงแม้คุณภาพดี แต่คู่แข่งที่ราคาถูกกว่ากลับทำได้ใกล้เคียงหรือบางรุ่นดีกว่า ทำให้ U3000 Pro อาจเหมาะกับคนที่ต้องการฟีเจอร์ครบ ๆ และไม่กังวลเรื่องงบประมาณ 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/dash-cams/i-tested-the-thinkware-u3000-pro-dash-cam-and-it-has-heaps-of-potential-but-its-outshone-by-affordable-rivals 🖥️ สร้างห้องทำงานที่บ้านให้สมบูรณ์แบบ เรื่องนี้พูดถึงการจัดห้องทำงานที่บ้านให้กลายเป็นพื้นที่ทำงานที่ทรงพลังและสะดวกสบายที่สุด เขาแนะนำอุปกรณ์สำคัญตั้งแต่แล็ปท็อปที่แรงพอสำหรับงานหนักอย่าง Dell 16 Premium ไปจนถึงเก้าอี้ Branch Verve ที่นั่งได้นานโดยไม่เมื่อย รวมถึงโต๊ะยืน FlexiSpot E7 ที่ปรับระดับได้ง่าย เครื่องพิมพ์ Epson EcoTank ที่ประหยัดหมึก และจอมอนิเตอร์ Dell UltraSharp ที่ภาพคมชัด นอกจากนี้ยังมีเมาส์ Logitech MX Master 3S ที่ใช้งานได้เงียบและแม่นยำ รวมถึงระบบ Wi-Fi 7 จาก TP-Link Deco ที่ทำให้การเชื่อมต่อเสถียร สุดท้ายยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Docking Station, SSD พกพา Samsung T9, Cloud Storage iDrive และหูฟัง Jabra Evolve2 75 ที่ช่วยให้การประชุมออนไลน์ชัดเจน ทั้งหมดนี้คือการรวมอุปกรณ์ที่ทำให้การทำงานจากบ้านมีประสิทธิภาพและสบายใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/home/create-the-ultimate-work-from-home-setup 🔒 LinkedIn เดินหน้าตรวจสอบตัวตนผู้ใช้ทุกคน LinkedIn ประกาศความสำเร็จในการทำให้มีผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนกว่า 100 ล้านบัญชี และยังตั้งเป้าว่าจะทำให้ทุกบัญชี ทุกบริษัท และทุกตำแหน่งงานมีการยืนยันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น การยืนยันนี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมมากขึ้นถึงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ LinkedIn ยังเปิด API ให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Zoom นำสถานะการยืนยันไปแสดงในโปรไฟล์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการประชุมออนไลน์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ LinkedIn ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ของความน่าเชื่อถือบนโลกดิจิทัล 🔗 https://www.techradar.com/pro/linkedin-wants-every-user-to-be-verified 🎮 โน้ตบุ๊กเกมมิ่งจอ OLED ขยายได้จาก Lenovo มีข่าวลือว่า Lenovo เตรียมเปิดตัวโน้ตบุ๊กเกมมิ่งรุ่นใหม่ชื่อ Legion Pro Rollable ที่มาพร้อมจอ OLED แบบขยายได้ในแนวนอน ซึ่งจะกลายเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งจอ Ultrawide รุ่นแรกของโลก หากเป็นจริงจะเปิดตัวในงาน CES 2026 จุดเด่นคือหน้าจอสามารถขยายออกไปด้านข้างเพื่อเพิ่มพื้นที่การเล่นเกมหรือทำงานแบบมัลติทาสก์ คาดว่าจะใช้ซีพียู Intel Core Ultra แต่ยังไม่เปิดเผยการ์ดจอ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องราคาและน้ำหนัก แต่ถ้า Lenovo ทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 🔗 https://www.techradar.com/computing/gaming-laptops/lenovo-legion-pro-rollable-leak-reveals-the-worlds-first-ultrawide-oled-gaming-laptop-and-i-cant-wait-to-try-it ⚠️ การโจมตีแบบ Prompt Injection อาจไม่มีวันแก้ได้ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งสหราชอาณาจักร (NCSC) เตือนว่าการโจมตีแบบ Prompt Injection ซึ่งเป็นการฝังคำสั่งแอบแฝงในข้อความเพื่อหลอกให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ทำงานผิด อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์เหมือนที่เคยแก้ปัญหา SQL Injection เพราะโมเดลไม่สามารถแยกแยะระหว่างข้อมูลกับคำสั่งได้อย่างแท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักพัฒนามองโมเดลเหล่านี้เป็น “ผู้ช่วยที่สับสนได้” และออกแบบระบบให้จำกัดผลกระทบหากถูกโจมตี นี่เป็นการเตือนว่าการใช้ AI ต้องระวังและไม่ควรคาดหวังว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/prompt-injection-attacks-might-never-be-properly-mitigated-uk-ncsc-warns 🚫 ออสเตรเลียห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย กฎหมายใหม่ในออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้แล้ว โดยห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปีใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น YouTube, Instagram, TikTok และ Snapchat หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย มาตรการนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ปกครองและนักปกป้องเด็ก แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและความเป็นส่วนตัวที่กังวลว่าจะกระทบสิทธิของประชาชน เด็กบางคนเริ่มหันไปใช้แอปอื่นที่ไม่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เช่น Discord หรือ Roblox และมีแนวโน้มว่าการค้นหา VPN จะเพิ่มขึ้นเพื่อหาทางเลี่ยงข้อจำกัด 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/under-16s-social-media-ban-lands-in-australia 💍 Pebble Index 01 อุปกรณ์ใหม่รวมแหวนอัจฉริยะกับผู้ช่วยเสียง Pebble เปิดตัวอุปกรณ์ที่รวมฟังก์ชันผู้ช่วยเสียงเข้ากับสมาร์ทริงในชื่อ Pebble Index 01 จุดเด่นคือสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้โดยตรงจากแหวน เช่น เปิดเพลง ควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม หรือเช็กข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดีไซน์เรียบง่ายและทันสมัย ทำให้เป็นทั้งเครื่องประดับและอุปกรณ์เทคโนโลยีในเวลาเดียวกัน ถือเป็นการพยายามสร้างหมวดหมู่ใหม่ที่ผสมผสาน wearable กับ AI voice assistant เข้าด้วยกัน 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/pebble-is-reinventing-voice-assistants-and-smart-rings-in-one-device-meet-the-pebble-index-01 🛡️ รัฐบาลสหรัฐฯ มองโลกในแง่ดีหลังยอดจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์ลดลง ช่วงปี 2023 ถือเป็นปีที่การโจมตี ransomware พุ่งสูงสุด มีการจ่ายค่าไถ่รวมกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ แต่หลังจากที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถจัดการกับแก๊งใหญ่ ๆ อย่าง ALPHV และ LockBit ได้ ทำให้ปี 2024 ยอดการโจมตีและจำนวนเงินที่เหยื่อจ่ายลดลงเหลือประมาณ 734 ล้านดอลลาร์ แม้ยังมีแก๊งอย่าง Akira ที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ แต่ภาพรวมถือว่าการปราบปรามครั้งนี้สร้างผลกระทบชัดเจนต่อวงการอาชญากรรมไซเบอร์ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/us-treasury-offers-cautious-optimism-as-ransomware-payments-decline 🎵 Spotify เดินหน้าสู่ยุคใหม่ เพิ่มมิวสิกวิดีโอในแอป Spotify กำลังพยายามกลายเป็นเหมือน MTV ยุคดิจิทัล โดยล่าสุดเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงอีกหลายประเทศ สามารถดูมิวสิกวิดีโอได้โดยตรงในแอป ไม่ใช่แค่ฟังเพลงอย่างเดียว ผู้ใช้สามารถกดสลับจากโหมดเสียงไปเป็นวิดีโอได้ทันที ฟีเจอร์นี้สร้างความตื่นเต้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าประสบการณ์ดูวิดีโอยังไม่ลื่นไหลเท่า YouTube อย่างไรก็ตาม Spotify ยังคงเดินหน้าต่อยอดเพื่อขยายบริการให้ครบวงจรทั้งภาพและเสียง 🔗 https://www.techradar.com/audio/spotify/spotify-steps-up-its-plan-to-be-the-new-mtv-music-videos-are-rolling-out-whether-you-want-them-or-not 💻 โลกการเขียนโค้ดกับเทรนด์ใหม่ “Vibe-Coding” คำว่า “Vibe-Coding” ถูกยกให้เป็นคำแห่งปี 2025 หมายถึงการเขียนโปรแกรมที่เน้นความรู้สึกและความคิดสร้างสรรค์มากกว่ากฎเกณฑ์ทางเทคนิค โดยใช้ AI เป็นตัวช่วยให้โค้ดเกิดขึ้นแทบจะอัตโนมัติ แนวทางนี้เปิดโอกาสให้คนที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเสี่ยงจากโค้ดที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด นักพัฒนาจึงต้องปรับบทบาทจากการเขียนโค้ดเองไปสู่การควบคุมคุณภาพและกำกับ AI ให้ทำงานอย่างถูกต้อง 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-future-of-coding-has-a-vibe-problem-balancing-creativity-with-control ⚡ AMD เตรียมเปิดตัวชิปเกมมิ่งรุ่นใหม่ Ryzen 9850X3D มีภาพหลุดจาก BIOS ที่เผยให้เห็นชิป AMD Ryzen 9850X3D ซึ่งคาดว่าจะเป็นรุ่นอัปเกรดจาก 9800X3D โดยเพิ่มความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 5.6GHz ทำให้แรงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 400MHz แม้ผลทดสอบเบื้องต้นยังไม่ชัดเจน แต่ถ้าชิปนี้เปิดตัวจริงในงาน CES 2026 จะเป็นข่าวดีสำหรับนักเล่นเกม เพราะนอกจากจะได้รุ่นใหม่ที่แรงขึ้นแล้ว ยังอาจทำให้รุ่นเก่าราคาเริ่มถูกลงด้วย 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/the-fastest-gaming-cpu-could-get-a-supercharged-version-soon-as-new-amd-ryzen-9850x3d-leak-pops-up 🌐 สหราชอาณาจักรต้องเร่งสร้างเครือข่ายอัจฉริยะเพื่อแข่งขันในยุค AI รายงานล่าสุดชี้ว่า AI สามารถเพิ่ม GDP ของสหราชอาณาจักรได้กว่า 550 พันล้านปอนด์ภายในปี 2035 แต่ปัญหาคือโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายยังล้าหลังมาก โดยปัจจุบันสหราชอาณาจักรถือครองพลังการประมวลผล AI เพียง 3% ของโลก ขณะที่สหรัฐฯ ครองถึง 75% หากไม่เร่งลงทุนในเครือข่ายที่เร็ว ปลอดภัย และปรับตัวได้ทันที ประเทศอาจเสียโอกาสในการแข่งขัน เครือข่ายอัจฉริยะจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจและนวัตกรรมในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-uk-must-build-smarter-networks-to-lead-in-ai 💼  IBM ทุ่มเงิน 11 พันล้านเหรียญซื้อกิจการ Confluent IBM กำลังเดินหน้าขยายธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล โดยล่าสุดมีรายงานว่าเตรียมเข้าซื้อ Confluent ด้วยมูลค่ากว่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ IBM ที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรยุค AI และคลาวด์ หากดีลนี้สำเร็จ IBM จะมีเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและกระจายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/ibm-looks-to-secure-data-infrastructure-with-usd11bn-bid-for-confluent 🇨🇳  สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปจีน รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงรุ่น H200 ไปยังจีน หลังจากก่อนหน้านี้มีการจำกัดการขายเพื่อป้องกันการนำไปใช้ในงานด้าน AI และการทหาร การผ่อนปรนครั้งนี้อาจช่วยให้ Nvidia ขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ 🔗 https://www.techradar.com/pro/trump-set-to-allow-nvidia-h200-chips-to-be-exported-to-china
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 815 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทรัมป์อนุมัติส่งออก Nvidia H200 ไปจีน พร้อมค่าธรรมเนียม 25%"
    รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิป H200 Hopper-class AI accelerators ไปยังลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติในจีน . การตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมเงื่อนไขว่าต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และชิปจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยในสหรัฐก่อนส่งต่อไปจีน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    ชิป H200 ถือเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ที่จีนเคยได้รับอนุญาตให้ใช้ แต่ยังต่ำกว่ารุ่น Blackwell ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด . การอนุมัติครั้งนี้ช่วยให้บริษัทจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการฝึกและดูแลโมเดล AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องพึ่งพาการประมวลผลในต่างประเทศ

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้จะเป็นการเปิดตลาด แต่หลายฝ่ายในสหรัฐฯ มองว่าการส่งออก H200 อาจเป็น ภัยต่อความมั่นคง เพราะยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนา AI กลุ่มวุฒิสมาชิกได้เสนอร่างกฎหมาย SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีนเป็นเวลา 30 เดือน

    มุมมองจากจีน
    ฝ่ายจีนเองยังคงระมัดระวัง โดยมีรายงานว่ากำลังพิจารณาอนุญาตให้ใช้ H200 เฉพาะในกรณีที่ชิปภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ . นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะห้ามหน่วยงานภาครัฐซื้อชิป Nvidia เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    การอนุมัติส่งออก H200
    ต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย

    ศักยภาพของ H200
    แรงกว่ารุ่น H20 แต่ยังต่ำกว่า Blackwell

    ผลต่อบริษัทจีน
    Alibaba, Tencent, ByteDance ได้ประโยชน์ในการฝึกโมเดล AI

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอ SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออก

    คำเตือนจากจีน
    อาจจำกัดการใช้งาน H200 และห้ามภาครัฐซื้อชิป Nvidia

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/trump-approves-nvidia-h20-exports-to-china-25percent-fee-applies
    🏛️ "ทรัมป์อนุมัติส่งออก Nvidia H200 ไปจีน พร้อมค่าธรรมเนียม 25%" รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิป H200 Hopper-class AI accelerators ไปยังลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติในจีน . การตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมเงื่อนไขว่าต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และชิปจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยในสหรัฐก่อนส่งต่อไปจีน ⚡ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ชิป H200 ถือเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ที่จีนเคยได้รับอนุญาตให้ใช้ แต่ยังต่ำกว่ารุ่น Blackwell ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด . การอนุมัติครั้งนี้ช่วยให้บริษัทจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการฝึกและดูแลโมเดล AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องพึ่งพาการประมวลผลในต่างประเทศ 🛡️ ความกังวลด้านความมั่นคง แม้จะเป็นการเปิดตลาด แต่หลายฝ่ายในสหรัฐฯ มองว่าการส่งออก H200 อาจเป็น ภัยต่อความมั่นคง เพราะยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนา AI กลุ่มวุฒิสมาชิกได้เสนอร่างกฎหมาย SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีนเป็นเวลา 30 เดือน 🌍 มุมมองจากจีน ฝ่ายจีนเองยังคงระมัดระวัง โดยมีรายงานว่ากำลังพิจารณาอนุญาตให้ใช้ H200 เฉพาะในกรณีที่ชิปภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ . นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะห้ามหน่วยงานภาครัฐซื้อชิป Nvidia เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอนุมัติส่งออก H200 ➡️ ต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ✅ ศักยภาพของ H200 ➡️ แรงกว่ารุ่น H20 แต่ยังต่ำกว่า Blackwell ✅ ผลต่อบริษัทจีน ➡️ Alibaba, Tencent, ByteDance ได้ประโยชน์ในการฝึกโมเดล AI ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอ SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออก ‼️ คำเตือนจากจีน ⛔ อาจจำกัดการใช้งาน H200 และห้ามภาครัฐซื้อชิป Nvidia https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/trump-approves-nvidia-h20-exports-to-china-25percent-fee-applies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • "จับเพิ่มอีก 2 รายในคดีลักลอบชิป Nvidia ไปจีน"

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) รายงานว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้า Nvidia H100 และ H200 ไปยังจีน . ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาที่ฮูสตันยอมรับผิดแล้ว ทำให้คดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องรวมอย่างน้อย 3 ราย .

    วิธีการลักลอบ: "ปลอมฉลากเป็นแบรนด์ Sandkyan"
    กลุ่มผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าใช้วิธี เปลี่ยนฉลากบนกล่องและพาเลทของชิป Nvidia ให้เป็นชื่อแบรนด์สมมติ “Sandkyan” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร . พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำชิปผ่านด่านควบคุม .

    ปฏิบัติการ Gatekeeper: "สกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI"
    การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Operation Gatekeeper ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ของสหรัฐไปยังประเทศที่อาจใช้เป็นภัยต่อความมั่นคง . แม้ชิป H100 และ H200 จะถือเป็นรุ่นเก่ากว่าชิป Blackwell ที่กำลังเป็นที่ต้องการ แต่ก็ยังมีศักยภาพสูงในการประมวลผล AI .

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและความมั่นคง
    การลักลอบครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการมหาศาลของจีนต่อชิป AI แม้จะถูกจำกัดการนำเข้า . สหรัฐมองว่าการผ่อนปรนให้จีนเข้าถึงชิป Hopper รุ่นเก่าอาจไม่กระทบต่อความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ และตลาดมืดของชิป AI กำลังเติบโต .

    สรุปสาระสำคัญ
    การจับกุมเพิ่มเติม
    ผู้ต้องหาใหม่ 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ

    วิธีการลักลอบ
    เปลี่ยนฉลากเป็นแบรนด์สมมติ “Sandkyan”
    ร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีน

    Operation Gatekeeper
    ปฏิบัติการของ DOJ เพื่อสกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI

    สถานะชิป Nvidia
    H100 และ H200 เป็นรุ่น Hopper ที่ยังมีศักยภาพสูง แม้จะไม่ทันสมัยเท่า Blackwell

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การลักลอบอาจช่วยจีนเสริมศักยภาพ AI และการทหาร

    คำเตือนด้านตลาดมืด
    ความต้องการชิป AI สูงทำให้ตลาดมืดเติบโตและยากต่อการควบคุม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-more-perps-apprehended-over-smuggling-of-usd160-million-of-nvidia-chips-to-china-doj-says-h100-and-h200-shipments-were-relabelled-with-a-fictional-brand-to-dodge-export-controls
    🚨 "จับเพิ่มอีก 2 รายในคดีลักลอบชิป Nvidia ไปจีน" กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) รายงานว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้า Nvidia H100 และ H200 ไปยังจีน . ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาที่ฮูสตันยอมรับผิดแล้ว ทำให้คดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องรวมอย่างน้อย 3 ราย . 🕵️ วิธีการลักลอบ: "ปลอมฉลากเป็นแบรนด์ Sandkyan" กลุ่มผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าใช้วิธี เปลี่ยนฉลากบนกล่องและพาเลทของชิป Nvidia ให้เป็นชื่อแบรนด์สมมติ “Sandkyan” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร . พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำชิปผ่านด่านควบคุม . 🛡️ ปฏิบัติการ Gatekeeper: "สกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI" การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Operation Gatekeeper ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ของสหรัฐไปยังประเทศที่อาจใช้เป็นภัยต่อความมั่นคง . แม้ชิป H100 และ H200 จะถือเป็นรุ่นเก่ากว่าชิป Blackwell ที่กำลังเป็นที่ต้องการ แต่ก็ยังมีศักยภาพสูงในการประมวลผล AI . 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและความมั่นคง การลักลอบครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการมหาศาลของจีนต่อชิป AI แม้จะถูกจำกัดการนำเข้า . สหรัฐมองว่าการผ่อนปรนให้จีนเข้าถึงชิป Hopper รุ่นเก่าอาจไม่กระทบต่อความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ และตลาดมืดของชิป AI กำลังเติบโต . 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การจับกุมเพิ่มเติม ➡️ ผู้ต้องหาใหม่ 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ ✅ วิธีการลักลอบ ➡️ เปลี่ยนฉลากเป็นแบรนด์สมมติ “Sandkyan” ➡️ ร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีน ✅ Operation Gatekeeper ➡️ ปฏิบัติการของ DOJ เพื่อสกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ✅ สถานะชิป Nvidia ➡️ H100 และ H200 เป็นรุ่น Hopper ที่ยังมีศักยภาพสูง แม้จะไม่ทันสมัยเท่า Blackwell ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การลักลอบอาจช่วยจีนเสริมศักยภาพ AI และการทหาร ‼️ คำเตือนด้านตลาดมืด ⛔ ความต้องการชิป AI สูงทำให้ตลาดมืดเติบโตและยากต่อการควบคุม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-more-perps-apprehended-over-smuggling-of-usd160-million-of-nvidia-chips-to-china-doj-says-h100-and-h200-shipments-were-relabelled-with-a-fictional-brand-to-dodge-export-controls
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออก H200 GPU ไปจีน

    ตามรายงานจาก Tom’s Hardware และแหล่งข่าวของ Semafor กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DoC) เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 AI GPU ไปยังจีน แม้ยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายควบคุมการส่งออกปี 2023 แต่จะมีการตีความที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น

    รายละเอียดของ H200
    เปิดตัวปี 2022 เป็นรุ่น Hopper architecture
    มาพร้อม 144 GB HBM3 memory เหมาะสำหรับการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ประสิทธิภาพเหนือกว่า HGX H20 ที่ถูกออกแบบให้ “ลดสเปก” เพื่อตามข้อจำกัดการส่งออก

    เหตุผลที่สหรัฐฯ ผ่อนปรน
    การจำกัดการส่งออกก่อนหน้านี้ไม่ได้หยุดความก้าวหน้าของจีน
    บริษัทอย่าง Alibaba, DeepSeek และ Huawei ยังคงพัฒนาโมเดล AI ขั้นสูงได้
    จีนสามารถผลิตฮาร์ดแวร์ทดแทนเองและเผยแพร่มาตรฐาน AI ของตน

    การอนุญาต H200 จึงเป็นการ “ยกเพดานประสิทธิภาพ” โดยไม่แก้ไขกฎหมายเดิม แต่ให้ใบอนุญาตพิเศษ

    ปฏิกิริยาจากจีน
    จีนเคยปฏิเสธ H20 เพราะมองว่าเป็นรุ่นลดสเปกที่ “ไม่จริงใจ”
    H200 เป็นรุ่นเต็มสมรรถนะ จึงมีโอกาสที่จีนจะยอมรับมากกว่า
    อย่างไรก็ตาม จีนอาจลังเล เพราะการพึ่งพา Nvidia อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกตัดขาดอีกครั้ง และอาจชะลอการพัฒนาฮาร์ดแวร์ในประเทศ เช่นของ Huawei

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DoC สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 GPU ไปจีน
    H200 มี 144 GB HBM3 และแรงกว่ารุ่น H20 ที่ถูกลดสเปก
    การผ่อนปรนสะท้อนว่าข้อจำกัดเดิมไม่หยุดความก้าวหน้าของจีน
    จีนอาจยอมรับ H200 แต่ยังเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ
    การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลต่อการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-wins-h200-exports-to-china-us-department-of-commerce-set-to-ease-restrictions-for-full-hopper-ai-gpu
    🇨🇳 Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออก H200 GPU ไปจีน ตามรายงานจาก Tom’s Hardware และแหล่งข่าวของ Semafor กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DoC) เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 AI GPU ไปยังจีน แม้ยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายควบคุมการส่งออกปี 2023 แต่จะมีการตีความที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น ⚙️ รายละเอียดของ H200 💠 เปิดตัวปี 2022 เป็นรุ่น Hopper architecture 💠 มาพร้อม 144 GB HBM3 memory เหมาะสำหรับการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ 💠 ประสิทธิภาพเหนือกว่า HGX H20 ที่ถูกออกแบบให้ “ลดสเปก” เพื่อตามข้อจำกัดการส่งออก 🎯 เหตุผลที่สหรัฐฯ ผ่อนปรน การจำกัดการส่งออกก่อนหน้านี้ไม่ได้หยุดความก้าวหน้าของจีน 🎗️ บริษัทอย่าง Alibaba, DeepSeek และ Huawei ยังคงพัฒนาโมเดล AI ขั้นสูงได้ 🎗️ จีนสามารถผลิตฮาร์ดแวร์ทดแทนเองและเผยแพร่มาตรฐาน AI ของตน การอนุญาต H200 จึงเป็นการ “ยกเพดานประสิทธิภาพ” โดยไม่แก้ไขกฎหมายเดิม แต่ให้ใบอนุญาตพิเศษ 🇨🇳 ปฏิกิริยาจากจีน 🎗️ จีนเคยปฏิเสธ H20 เพราะมองว่าเป็นรุ่นลดสเปกที่ “ไม่จริงใจ” 🎗️ H200 เป็นรุ่นเต็มสมรรถนะ จึงมีโอกาสที่จีนจะยอมรับมากกว่า 🎗️ อย่างไรก็ตาม จีนอาจลังเล เพราะการพึ่งพา Nvidia อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกตัดขาดอีกครั้ง และอาจชะลอการพัฒนาฮาร์ดแวร์ในประเทศ เช่นของ Huawei 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DoC สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 GPU ไปจีน ✅ H200 มี 144 GB HBM3 และแรงกว่ารุ่น H20 ที่ถูกลดสเปก ✅ การผ่อนปรนสะท้อนว่าข้อจำกัดเดิมไม่หยุดความก้าวหน้าของจีน ✅ จีนอาจยอมรับ H200 แต่ยังเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ ✅ การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลต่อการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-wins-h200-exports-to-china-us-department-of-commerce-set-to-ease-restrictions-for-full-hopper-ai-gpu
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia reportedly wins H200 exports to China
    The U.S. government is reportedly preparing to let Nvidia ship its H200 accelerators to China, a move that could restore Nvidia in the Chinese AI market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด"

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้.

    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์.

    แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ.

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด
    จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์
    H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่

    คำเตือนจากข่าว
    Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ
    การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป
    ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    💡 "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด" Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้. ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์. แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ. สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด ➡️ จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์ ➡️ H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200 ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป ⛔ ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mistral 3 – ยกระดับ AI Open Source สู่ยุค Multimodal และ Reasoning”

    Mistral AI ประกาศเปิดตัว Mistral 3 ซึ่งเป็นเจเนอเรชันใหม่ของโมเดล AI ที่เน้นความเปิดกว้างและการเข้าถึง โดยมีทั้งรุ่นเล็กที่เหมาะกับการใช้งาน edge (Ministral 3B, 8B, 14B) และรุ่นใหญ่ Mistral Large 3 ที่ถือเป็นโมเดล Mixture-of-Experts รุ่นแรกของบริษัทนับตั้งแต่ Mixtral series จุดเด่นคือการใช้ 41B active parameters จากทั้งหมด 675B ทำให้สามารถรองรับงาน reasoning และ multilingual ได้ในระดับสูงสุด

    Mistral Large 3 ถูกเทรนจากศูนย์ด้วย GPU NVIDIA H200 จำนวน 3000 ตัว และหลังการปรับแต่ง (post-training) สามารถทำงานได้ทัดเทียมกับโมเดล instruction-tuned ชั้นนำในตลาด ทั้งด้านการเข้าใจภาพ (image understanding) และการสนทนาแบบหลายภาษา โดยติดอันดับ #2 ในหมวด OSS non-reasoning models และ #6 รวมทั้งหมดบน LMArena leaderboard

    นอกจากนี้ Mistral ยังร่วมมือกับ NVIDIA, vLLM และ Red Hat เพื่อทำให้การใช้งาน Mistral 3 มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การรองรับ speculative decoding, Blackwell attention และการ deploy บน edge devices อย่าง Jetson และ RTX PCs ได้อย่างราบรื่น จุดนี้ทำให้ Mistral 3 ไม่เพียงแต่เป็นโมเดลสำหรับ data center แต่ยังสามารถใช้งานในหุ่นยนต์หรืออุปกรณ์พกพาได้ด้วย

    สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป Mistral 3 พร้อมให้ใช้งานแล้วบนหลายแพลตฟอร์ม เช่น Hugging Face, Amazon Bedrock, Azure Foundry, IBM WatsonX และ OpenRouter รวมถึงบริการ API ของ Mistral AI เอง อีกทั้งยังมีบริการ custom training สำหรับองค์กรที่ต้องการปรับแต่งโมเดลให้เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์เอกสาร, coding, หรือ creative collaboration

    สรุปเป็นหัวข้อ
    คุณสมบัติหลักของ Mistral 3
    มีทั้งรุ่นเล็ก (3B, 8B, 14B) และรุ่นใหญ่ Mistral Large 3
    รองรับ multimodal (ข้อความ + ภาพ) และ multilingual (40+ ภาษา)
    ใช้ Mixture-of-Experts พร้อม 41B active parameters จากทั้งหมด 675B

    ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
    เทรนด้วย NVIDIA H200 GPUs กว่า 3000 ตัว
    รองรับ speculative decoding และ Blackwell attention
    ใช้งานได้ทั้ง data center และ edge devices เช่น Jetson, RTX PCs

    การเข้าถึงและการใช้งาน
    เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face, Amazon Bedrock, Azure Foundry, IBM WatsonX
    มีบริการ API และ custom training สำหรับองค์กร
    โมเดลทั้งหมดเปิดภายใต้ Apache 2.0 license

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    แม้จะเป็น open-source แต่การ deploy บนระบบใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงมาก
    การใช้งาน reasoning model อาจมี latency สูงกว่า instruct model
    องค์กรต้องมีการกำกับดูแลเพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์

    https://mistral.ai/news/mistral-3
    🤖 “Mistral 3 – ยกระดับ AI Open Source สู่ยุค Multimodal และ Reasoning” Mistral AI ประกาศเปิดตัว Mistral 3 ซึ่งเป็นเจเนอเรชันใหม่ของโมเดล AI ที่เน้นความเปิดกว้างและการเข้าถึง โดยมีทั้งรุ่นเล็กที่เหมาะกับการใช้งาน edge (Ministral 3B, 8B, 14B) และรุ่นใหญ่ Mistral Large 3 ที่ถือเป็นโมเดล Mixture-of-Experts รุ่นแรกของบริษัทนับตั้งแต่ Mixtral series จุดเด่นคือการใช้ 41B active parameters จากทั้งหมด 675B ทำให้สามารถรองรับงาน reasoning และ multilingual ได้ในระดับสูงสุด Mistral Large 3 ถูกเทรนจากศูนย์ด้วย GPU NVIDIA H200 จำนวน 3000 ตัว และหลังการปรับแต่ง (post-training) สามารถทำงานได้ทัดเทียมกับโมเดล instruction-tuned ชั้นนำในตลาด ทั้งด้านการเข้าใจภาพ (image understanding) และการสนทนาแบบหลายภาษา โดยติดอันดับ #2 ในหมวด OSS non-reasoning models และ #6 รวมทั้งหมดบน LMArena leaderboard นอกจากนี้ Mistral ยังร่วมมือกับ NVIDIA, vLLM และ Red Hat เพื่อทำให้การใช้งาน Mistral 3 มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น การรองรับ speculative decoding, Blackwell attention และการ deploy บน edge devices อย่าง Jetson และ RTX PCs ได้อย่างราบรื่น จุดนี้ทำให้ Mistral 3 ไม่เพียงแต่เป็นโมเดลสำหรับ data center แต่ยังสามารถใช้งานในหุ่นยนต์หรืออุปกรณ์พกพาได้ด้วย สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป Mistral 3 พร้อมให้ใช้งานแล้วบนหลายแพลตฟอร์ม เช่น Hugging Face, Amazon Bedrock, Azure Foundry, IBM WatsonX และ OpenRouter รวมถึงบริการ API ของ Mistral AI เอง อีกทั้งยังมีบริการ custom training สำหรับองค์กรที่ต้องการปรับแต่งโมเดลให้เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น การวิเคราะห์เอกสาร, coding, หรือ creative collaboration 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ คุณสมบัติหลักของ Mistral 3 ➡️ มีทั้งรุ่นเล็ก (3B, 8B, 14B) และรุ่นใหญ่ Mistral Large 3 ➡️ รองรับ multimodal (ข้อความ + ภาพ) และ multilingual (40+ ภาษา) ➡️ ใช้ Mixture-of-Experts พร้อม 41B active parameters จากทั้งหมด 675B ✅ ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ➡️ เทรนด้วย NVIDIA H200 GPUs กว่า 3000 ตัว ➡️ รองรับ speculative decoding และ Blackwell attention ➡️ ใช้งานได้ทั้ง data center และ edge devices เช่น Jetson, RTX PCs ✅ การเข้าถึงและการใช้งาน ➡️ เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face, Amazon Bedrock, Azure Foundry, IBM WatsonX ➡️ มีบริการ API และ custom training สำหรับองค์กร ➡️ โมเดลทั้งหมดเปิดภายใต้ Apache 2.0 license ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ แม้จะเป็น open-source แต่การ deploy บนระบบใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรสูงมาก ⛔ การใช้งาน reasoning model อาจมี latency สูงกว่า instruct model ⛔ องค์กรต้องมีการกำกับดูแลเพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์ https://mistral.ai/news/mistral-3
    MISTRAL.AI
    Introducing Mistral 3 | Mistral AI
    A family of frontier open-source multimodal models
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน

    มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน
    การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน

    ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง

    บทเรียนและผลกระทบ
    แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho

    ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ
    พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม
    มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์
    มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor

    สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง
    เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
    การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน

    ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก
    อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    ⚖️ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน 💰 มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน 🌐 ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง 🚨 บทเรียนและผลกระทบ แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho ✅ ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ ➡️ พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม ➡️ มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี ✅ มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor ✅ สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ➡️ เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน ‼️ ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก ⛔ อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่

    รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก

    คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้

    ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ
    จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ

    แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่

    การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง

    คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ
    มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ
    ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก

    ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม
    Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน
    แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ

    การผลักดันชิปในประเทศ
    ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี
    เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ

    ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด
    โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
    โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน
    ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    🏛️⚠️ “ห้ามใช้ชิปต่างชาติ” — จีนเดินหน้าควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วยนโยบายใหม่ รัฐบาลจีนออกคำสั่งห้ามใช้ชิป AI จากต่างประเทศในศูนย์ข้อมูลที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ โดยมีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า ชิปจาก Nvidia, AMD และ Intel ที่ติดตั้งไปแล้วอาจต้องถูกถอดออก คำสั่งนี้ยังรวมถึงชิปที่ออกแบบมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ เช่น Nvidia H20 ก็ถูกห้ามใช้งานเช่นกัน แม้จะเคยได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้ 🇨🇳 ผลักดันชิปในประเทศเต็มรูปแบบ จีนกำหนดให้ใช้เฉพาะชิปที่ผลิตในประเทศ เช่นจาก Huawei, Cambricon และ Enflame ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยข้อมูล” ที่เน้นการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลภายในประเทศ แม้ผู้ผลิตจีนจะมีความก้าวหน้า แต่ยังตามหลัง Nvidia และ AMD ในด้าน ซอฟต์แวร์และความหนาแน่นของประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Huawei Ascend ที่ยังไม่สามารถเทียบเท่า CUDA stack ได้อย่างเต็มที่ 💸 การลงทุนกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนลงทุนมากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ ในโครงการ AI ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งทำให้คำสั่งนี้มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ✅ คำสั่งห้ามใช้ชิปต่างชาติในศูนย์ข้อมูลรัฐ ➡️ มีผลย้อนหลังกับโครงการที่ยังไม่เสร็จ ➡️ ชิปจาก Nvidia, AMD, Intel ต้องถูกถอดออก ✅ ชิปที่ถูกห้ามแม้จะผ่านข้อจำกัดเดิม ➡️ Nvidia H20, H200, B200 ถูกห้ามใช้งาน ➡️ แม้จะออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐ ✅ การผลักดันชิปในประเทศ ➡️ ใช้ชิปจาก Huawei, Cambricon, Enflame ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูล ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ➡️ มากกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปี ➡️ เน้นการสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีในประเทศ ‼️ ผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติ ⛔ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนเกือบทั้งหมด ⛔ โอกาสกลับเข้าสู่ตลาดจีนลดลงอย่างมาก ‼️ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ⛔ โครงการที่ใช้ชิปต่างชาติอาจต้องยกเลิกหรือปรับเปลี่ยน ⛔ ความไม่แน่นอนว่าจะขยายไปถึงโครงการเอกชนหรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-bans-foreign-ai-chips-from-state-funded-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Solidigm เปิดตัวคลัสเตอร์ SSD ขนาด 23.6PB ในพื้นที่แค่ 16U — ปลดล็อกศักยภาพ AI ด้วยความหนาแน่นระดับใหม่”

    Solidigm บริษัทในเครือ SK hynix ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ได้เปิดตัว AI Central Lab ที่เมือง Rancho Cordova รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้ SSD ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็นคลัสเตอร์ขนาด 23.6PB ในพื้นที่เพียง 16U ของแร็คเซิร์ฟเวอร์

    คลัสเตอร์นี้ใช้ SSD รุ่น D5-P5336 สำหรับความจุ และ D7-PS1010 สำหรับความเร็ว โดยสามารถทำ throughput ได้สูงถึง 116GB/s ต่อ node ในการทดสอบ MLPerf Storage ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับงานฝึกโมเดล AI แม้จะเป็นการทดสอบแบบ synthetic แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบในการรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงมาก

    AI Central Lab ยังใช้ GPU ระดับสูงอย่าง NVIDIA B200 และ H200 พร้อมระบบเครือข่าย Ethernet 800Gbps เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่า “การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ได้มากแค่ไหน

    หนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือกับ Metrum AI ซึ่งพัฒนาเทคนิคการ offload ข้อมูลจาก DRAM ไปยัง SSD เพื่อลดการใช้หน่วยความจำลงถึง 57% ในงาน inference แบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมในงาน AI สมัยใหม่

    Solidigm ระบุว่า AI Central Lab ไม่ใช่แค่พื้นที่ทดสอบ แต่เป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมร่วมกับนักพัฒนาและพันธมิตร เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านพลังงาน ความเร็ว และต้นทุนต่อ token

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Solidigm เปิดตัว AI Central Lab ที่ Rancho Cordova, California
    ใช้ SSD D5-P5336 ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็น 23.6PB ในพื้นที่ 16U
    ใช้ SSD D7-PS1010 สำหรับความเร็ว throughput สูงสุด 116GB/s ต่อ node
    ใช้ GPU NVIDIA B200 และ H200 พร้อมเครือข่าย Ethernet 800Gbps
    ทดสอบงาน AI จริง เช่น training, inference, KV cache offload และ VectorDB tuning
    ร่วมมือกับ Metrum AI เพื่อลดการใช้ DRAM ลง 57% ด้วยการ offload ไปยัง SSD
    ศูนย์นี้ช่วยแปลงสเปก SSD ให้เป็น metric ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น tokens per watt
    Solidigm เป็นบริษัทในเครือ SK hynix ที่เน้นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ขนาดใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในงาน AI ที่ใช้ GPU หนัก
    MLPerf Storage เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลในงาน AI
    RAG เป็นเทคนิคที่ใช้ข้อมูลภายนอกมาช่วยตอบคำถามในโมเดล AI
    การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU ช่วยลด bottleneck และเพิ่ม utilization ของ accelerator
    การใช้ SSD แทน DRAM ช่วยลดต้นทุนและพลังงานในระบบขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/solidigm-packed-usd2-7-million-worth-of-ssds-into-the-biggest-storage-cluster-ive-ever-seen-nearly-200-192tb-ssds-used-to-build-a-23-6pb-cluster-in-16u-rackspace
    📦 “Solidigm เปิดตัวคลัสเตอร์ SSD ขนาด 23.6PB ในพื้นที่แค่ 16U — ปลดล็อกศักยภาพ AI ด้วยความหนาแน่นระดับใหม่” Solidigm บริษัทในเครือ SK hynix ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ได้เปิดตัว AI Central Lab ที่เมือง Rancho Cordova รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยใช้ SSD ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็นคลัสเตอร์ขนาด 23.6PB ในพื้นที่เพียง 16U ของแร็คเซิร์ฟเวอร์ คลัสเตอร์นี้ใช้ SSD รุ่น D5-P5336 สำหรับความจุ และ D7-PS1010 สำหรับความเร็ว โดยสามารถทำ throughput ได้สูงถึง 116GB/s ต่อ node ในการทดสอบ MLPerf Storage ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับงานฝึกโมเดล AI แม้จะเป็นการทดสอบแบบ synthetic แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบในการรองรับงาน AI ที่ต้องการความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงมาก AI Central Lab ยังใช้ GPU ระดับสูงอย่าง NVIDIA B200 และ H200 พร้อมระบบเครือข่าย Ethernet 800Gbps เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาว่า “การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ได้มากแค่ไหน หนึ่งในความร่วมมือที่น่าสนใจคือกับ Metrum AI ซึ่งพัฒนาเทคนิคการ offload ข้อมูลจาก DRAM ไปยัง SSD เพื่อลดการใช้หน่วยความจำลงถึง 57% ในงาน inference แบบ RAG (Retrieval-Augmented Generation) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมในงาน AI สมัยใหม่ Solidigm ระบุว่า AI Central Lab ไม่ใช่แค่พื้นที่ทดสอบ แต่เป็นเวทีสำหรับนวัตกรรมร่วมกับนักพัฒนาและพันธมิตร เพื่อสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในด้านพลังงาน ความเร็ว และต้นทุนต่อ token ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Solidigm เปิดตัว AI Central Lab ที่ Rancho Cordova, California ➡️ ใช้ SSD D5-P5336 ขนาด 122TB จำนวน 192 ตัว รวมเป็น 23.6PB ในพื้นที่ 16U ➡️ ใช้ SSD D7-PS1010 สำหรับความเร็ว throughput สูงสุด 116GB/s ต่อ node ➡️ ใช้ GPU NVIDIA B200 และ H200 พร้อมเครือข่าย Ethernet 800Gbps ➡️ ทดสอบงาน AI จริง เช่น training, inference, KV cache offload และ VectorDB tuning ➡️ ร่วมมือกับ Metrum AI เพื่อลดการใช้ DRAM ลง 57% ด้วยการ offload ไปยัง SSD ➡️ ศูนย์นี้ช่วยแปลงสเปก SSD ให้เป็น metric ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น tokens per watt ➡️ Solidigm เป็นบริษัทในเครือ SK hynix ที่เน้นโซลูชันจัดเก็บข้อมูลระดับองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ขนาดใหญ่ช่วยลด latency และเพิ่ม throughput ในงาน AI ที่ใช้ GPU หนัก ➡️ MLPerf Storage เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลในงาน AI ➡️ RAG เป็นเทคนิคที่ใช้ข้อมูลภายนอกมาช่วยตอบคำถามในโมเดล AI ➡️ การจัดเก็บข้อมูลใกล้ GPU ช่วยลด bottleneck และเพิ่ม utilization ของ accelerator ➡️ การใช้ SSD แทน DRAM ช่วยลดต้นทุนและพลังงานในระบบขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/solidigm-packed-usd2-7-million-worth-of-ssds-into-the-biggest-storage-cluster-ive-ever-seen-nearly-200-192tb-ssds-used-to-build-a-23-6pb-cluster-in-16u-rackspace
    WWW.TECHRADAR.COM
    Solidigm unveils dense cluster pushing storage limits
    Performance tests remain synthetic, raising doubts about real workloads
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 355 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรก — ปลดล็อกพลังประมวลผลเพื่อยุค AI อย่างแท้จริง”

    ในเดือนตุลาคม 2025 นิวยอร์กซิตี้ได้กลายเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่มีการติดตั้งระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Oxford Quantum Circuits (OQC) จากสหราชอาณาจักร, Digital Realty ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับโลก และ NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล AI

    ระบบที่ติดตั้งคือ GENESIS ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี superconducting qubit และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ การสร้างข้อมูล และการวิเคราะห์ความเสี่ยงในภาคการเงินและความมั่นคง

    ศูนย์ข้อมูลนี้ตั้งอยู่ที่ JFK10 ในนิวยอร์ก และใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips เพื่อเร่งการประมวลผลแบบ hybrid ระหว่างควอนตัมและคลาสสิก โดยระบบทั้งหมดถูกฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกได้อย่างปลอดภัย

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยีระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้งานควอนตัมในระดับองค์กร และเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงพลังประมวลผลที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer (Quantum Transformer) และ Quantum Tensor Networks ซึ่งสามารถทำงานด้านภาษาและลำดับข้อมูลได้เทียบเท่ากับระบบคลาสสิก แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 30,000 เท่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรกในศูนย์ข้อมูล JFK10
    ใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ GENESIS จาก Oxford Quantum Circuits
    ใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips สำหรับงาน hybrid computing
    ฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty
    รองรับงาน AI เช่น การฝึกโมเดล, การสร้างข้อมูล, การวิเคราะห์ความเสี่ยง
    เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยี UK–US Tech Trade Partnership
    เปิดให้บริษัทกลุ่มแรกใช้งานในปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าทั่วไปในปีหน้า
    พัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer และ Quantum Tensor Networks
    ระบบควอนตัมมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าระบบคลาสสิกถึง 30,000 เท่า
    คาดว่า GENESIS รุ่นต่อไปจะมาพร้อม NVIDIA CUDA-Q เป็นมาตรฐาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Quantum computing ใช้หลักการ superposition และ entanglement เพื่อประมวลผลแบบขนาน
    NVIDIA CUDA-Q เป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอป hybrid ระหว่าง GPU และ QPU
    Digital Realty เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีเครือข่ายทั่วโลก
    Quixer เป็นโมเดลควอนตัมที่จำลองโครงสร้างของ transformer ใน AI
    Quantum Tensor Networks ช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูลในระบบควอนตัม

    https://www.slashgear.com/1985009/new-york-city-first-quantum-computer-data-center/
    🧠 “นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรก — ปลดล็อกพลังประมวลผลเพื่อยุค AI อย่างแท้จริง” ในเดือนตุลาคม 2025 นิวยอร์กซิตี้ได้กลายเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่มีการติดตั้งระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Oxford Quantum Circuits (OQC) จากสหราชอาณาจักร, Digital Realty ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับโลก และ NVIDIA ผู้นำด้านชิปประมวลผล AI ระบบที่ติดตั้งคือ GENESIS ซึ่งเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี superconducting qubit และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ การสร้างข้อมูล และการวิเคราะห์ความเสี่ยงในภาคการเงินและความมั่นคง ศูนย์ข้อมูลนี้ตั้งอยู่ที่ JFK10 ในนิวยอร์ก และใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips เพื่อเร่งการประมวลผลแบบ hybrid ระหว่างควอนตัมและคลาสสิก โดยระบบทั้งหมดถูกฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายระดับโลกได้อย่างปลอดภัย ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยีระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้งานควอนตัมในระดับองค์กร และเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ เข้าถึงพลังประมวลผลที่เคยเป็นไปไม่ได้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer (Quantum Transformer) และ Quantum Tensor Networks ซึ่งสามารถทำงานด้านภาษาและลำดับข้อมูลได้เทียบเท่ากับระบบคลาสสิก แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 30,000 เท่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ นิวยอร์กเปิดตัว Quantum-AI Data Centre แห่งแรกในศูนย์ข้อมูล JFK10 ➡️ ใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ GENESIS จาก Oxford Quantum Circuits ➡️ ใช้ NVIDIA GH200 Grace Hopper Superchips สำหรับงาน hybrid computing ➡️ ฝังอยู่ในแพลตฟอร์ม PlatformDIGITAL® ของ Digital Realty ➡️ รองรับงาน AI เช่น การฝึกโมเดล, การสร้างข้อมูล, การวิเคราะห์ความเสี่ยง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรเทคโนโลยี UK–US Tech Trade Partnership ➡️ เปิดให้บริษัทกลุ่มแรกใช้งานในปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าทั่วไปในปีหน้า ➡️ พัฒนาโมเดลควอนตัมใหม่ เช่น Quixer และ Quantum Tensor Networks ➡️ ระบบควอนตัมมีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่าระบบคลาสสิกถึง 30,000 เท่า ➡️ คาดว่า GENESIS รุ่นต่อไปจะมาพร้อม NVIDIA CUDA-Q เป็นมาตรฐาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Quantum computing ใช้หลักการ superposition และ entanglement เพื่อประมวลผลแบบขนาน ➡️ NVIDIA CUDA-Q เป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาแอป hybrid ระหว่าง GPU และ QPU ➡️ Digital Realty เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่มีเครือข่ายทั่วโลก ➡️ Quixer เป็นโมเดลควอนตัมที่จำลองโครงสร้างของ transformer ใน AI ➡️ Quantum Tensor Networks ช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูลในระบบควอนตัม https://www.slashgear.com/1985009/new-york-city-first-quantum-computer-data-center/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NYC's First Quantum Computer Is Officially Online (And It Has A Clear AI Directive) - SlashGear
    UK-based company Oxford Quantum Circuits just activated NYC’s first quantum computer, designed to accelerate AI training and improve energy efficiency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel Gaudi 3 ฝ่าด่านตลาด AI ด้วยการจับมือ Dell — เปิดตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge XE7740 พร้อมความหวังใหม่ในยุคที่ NVIDIA ครองเกม

    หลังจากที่ Intel พยายามผลักดันไลน์ผลิตภัณฑ์ด้าน AI มาหลายปีโดยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ล่าสุด Gaudi 3 ซึ่งเป็นชิปเร่งความเร็ว AI รุ่นใหม่ของ Intel ได้รับการบรรจุในเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740 อย่างเป็นทางการ ถือเป็นหนึ่งใน “ชัยชนะเล็ก ๆ” ที่อาจพลิกเกมให้ Intel กลับมาแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ได้อีกครั้ง

    PowerEdge XE7740 เป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ รองรับ Gaudi 3 ได้สูงสุด 8 ตัวในระบบเดียว พร้อมระบบเครือข่ายแบบ 1:1 ระหว่าง accelerator และ NIC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลและการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังรองรับโมเดล AI ยอดนิยม เช่น Llama4, Deepseek, Phi4 และ Falcon3

    Dell ชูจุดเด่นของ Gaudi 3 ว่า “คุ้มค่า” และ “ปรับขนาดได้ง่าย” โดยเฉพาะในองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและระบบระบายความร้อน ซึ่ง Gaudi 3 ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีในแร็คขนาด ~10kW ที่พบได้ทั่วไปในดาต้าเซ็นเตอร์

    แม้ Dell ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่จากการทดสอบก่อนหน้านี้ Gaudi 3 เคยแสดงผลลัพธ์ที่เร็วกว่า NVIDIA H100 และ H200 ในบางงาน inferencing ซึ่งหากเป็นจริง ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Intel ในตลาด AI ที่เคยถูกมองว่า “ช้าเกินไป”

    Intel Gaudi 3 ได้รับการบรรจุในเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740
    ถือเป็นการบุกตลาดองค์กรครั้งสำคัญของ Intel
    Dell เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายแรกที่นำ Gaudi 3 มาใช้ในระบบจริง

    PowerEdge XE7740 รองรับงาน AI เต็มรูปแบบ
    รองรับ Gaudi 3 ได้สูงสุด 8 ตัวในระบบเดียว
    มีระบบเครือข่ายแบบ 1:1 ระหว่าง accelerator และ NIC
    รองรับโมเดล AI ยอดนิยม เช่น Llama4, Phi4, Falcon3

    จุดเด่นของ Gaudi 3 คือความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น
    เหมาะกับองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและระบบระบายความร้อน
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ RoCE v2 สำหรับงานขนาดใหญ่

    Dell ชูจุดเด่นด้านการปรับขนาดและการติดตั้งง่าย
    ใช้แชสซีแบบ 4U ที่ระบายความร้อนได้ดี
    รองรับการติดตั้งในแร็คมาตรฐาน ~10kW โดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง

    Gaudi 3 เคยแสดงผลลัพธ์ดีกว่า NVIDIA H100/H200 ในบางงาน
    โดยเฉพาะงาน inferencing ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    ยังต้องรอผลการทดสอบจาก Dell เพื่อยืนยัน

    https://wccftech.com/intel-gaudi-3-ai-chips-secure-rare-integration-in-dell-poweredge-servers/
    📰 Intel Gaudi 3 ฝ่าด่านตลาด AI ด้วยการจับมือ Dell — เปิดตัวในเซิร์ฟเวอร์ PowerEdge XE7740 พร้อมความหวังใหม่ในยุคที่ NVIDIA ครองเกม หลังจากที่ Intel พยายามผลักดันไลน์ผลิตภัณฑ์ด้าน AI มาหลายปีโดยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ล่าสุด Gaudi 3 ซึ่งเป็นชิปเร่งความเร็ว AI รุ่นใหม่ของ Intel ได้รับการบรรจุในเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740 อย่างเป็นทางการ ถือเป็นหนึ่งใน “ชัยชนะเล็ก ๆ” ที่อาจพลิกเกมให้ Intel กลับมาแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ได้อีกครั้ง PowerEdge XE7740 เป็นเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ รองรับ Gaudi 3 ได้สูงสุด 8 ตัวในระบบเดียว พร้อมระบบเครือข่ายแบบ 1:1 ระหว่าง accelerator และ NIC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลและการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังรองรับโมเดล AI ยอดนิยม เช่น Llama4, Deepseek, Phi4 และ Falcon3 Dell ชูจุดเด่นของ Gaudi 3 ว่า “คุ้มค่า” และ “ปรับขนาดได้ง่าย” โดยเฉพาะในองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและระบบระบายความร้อน ซึ่ง Gaudi 3 ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีในแร็คขนาด ~10kW ที่พบได้ทั่วไปในดาต้าเซ็นเตอร์ แม้ Dell ยังไม่เปิดเผยตัวเลขประสิทธิภาพอย่างเป็นทางการ แต่จากการทดสอบก่อนหน้านี้ Gaudi 3 เคยแสดงผลลัพธ์ที่เร็วกว่า NVIDIA H100 และ H200 ในบางงาน inferencing ซึ่งหากเป็นจริง ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Intel ในตลาด AI ที่เคยถูกมองว่า “ช้าเกินไป” ✅ Intel Gaudi 3 ได้รับการบรรจุในเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge XE7740 ➡️ ถือเป็นการบุกตลาดองค์กรครั้งสำคัญของ Intel ➡️ Dell เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายแรกที่นำ Gaudi 3 มาใช้ในระบบจริง ✅ PowerEdge XE7740 รองรับงาน AI เต็มรูปแบบ ➡️ รองรับ Gaudi 3 ได้สูงสุด 8 ตัวในระบบเดียว ➡️ มีระบบเครือข่ายแบบ 1:1 ระหว่าง accelerator และ NIC ➡️ รองรับโมเดล AI ยอดนิยม เช่น Llama4, Phi4, Falcon3 ✅ จุดเด่นของ Gaudi 3 คือความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น ➡️ เหมาะกับองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านพลังงานและระบบระบายความร้อน ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ RoCE v2 สำหรับงานขนาดใหญ่ ✅ Dell ชูจุดเด่นด้านการปรับขนาดและการติดตั้งง่าย ➡️ ใช้แชสซีแบบ 4U ที่ระบายความร้อนได้ดี ➡️ รองรับการติดตั้งในแร็คมาตรฐาน ~10kW โดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง ✅ Gaudi 3 เคยแสดงผลลัพธ์ดีกว่า NVIDIA H100/H200 ในบางงาน ➡️ โดยเฉพาะงาน inferencing ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ ยังต้องรอผลการทดสอบจาก Dell เพื่อยืนยัน https://wccftech.com/intel-gaudi-3-ai-chips-secure-rare-integration-in-dell-poweredge-servers/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Gaudi 3 AI Chips Secure Integration in Dell’s PowerEdge Servers, Marking One of the Few Wins for the Struggling Lineup
    Intel's Gaudi 3 AI chips have seen a rather 'rare' feature from Dell's AI servers, which are claimed to be cost-efficient and scalable.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ETH Zurich ถึง 1811 ภาษา: เมื่อโมเดลภาษาไม่ได้ถูกสร้างเพื่อแข่งขัน แต่เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้

    Apertus เป็นโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดย Swiss National AI Institute (SNAI) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ETH Zurich และ EPFL โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโมเดลที่เปิดทุกส่วน—ตั้งแต่โค้ด, น้ำหนักโมเดล, ข้อมูลเทรน, ไปจนถึงสูตรการเทรนเอง

    โมเดลมีสองขนาดคือ 8B และ 70B พารามิเตอร์ โดยเวอร์ชัน 70B ถูกเทรนด้วยข้อมูล 15 ล้านล้าน token จากเว็บ, โค้ด, และคณิตศาสตร์ ผ่านกระบวนการ curriculum learning ที่จัดลำดับเนื้อหาอย่างเป็นระบบ

    Apertus รองรับภาษามากถึง 1811 ภาษา โดย 40% ของข้อมูลเทรนเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เช่น Swiss German, Romansh และภาษาอื่น ๆ ที่มักถูกละเลยในโมเดลทั่วไป

    โมเดลใช้สถาปัตยกรรม decoder-only transformer พร้อมฟังก์ชัน activation ใหม่ชื่อ xIELU และ optimizer แบบ AdEMAMix ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรนในระดับ bfloat16 บน GPU GH200 จำนวน 4096 ตัว

    หลังการเทรน โมเดลยังผ่านการ fine-tune แบบมีผู้ดูแล และ alignment ด้วยเทคนิค QRPO เพื่อให้ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ดีขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นกลางหรือความปลอดภัย

    สิ่งที่โดดเด่นคือ Apertus เคารพสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลอย่างเข้มงวด โดยใช้ระบบ opt-out ที่สามารถย้อนกลับได้ และมีระบบ output filter ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดทุก 6 เดือน เพื่อกรองข้อมูลส่วนบุคคลออกจากผลลัพธ์ของโมเดล

    นอกจากนี้ Apertus ยังถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายความโปร่งใสของ EU AI Act และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเอกสารสาธารณะและโค้ดการเทรนให้ตรวจสอบได้ทั้งหมด

    ข้อมูลพื้นฐานของ Apertus
    พัฒนาโดย SNAI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ETH Zurich และ EPFL
    มีสองขนาด: 8B และ 70B พารามิเตอร์
    เทรนด้วยข้อมูล 15T token จากเว็บ, โค้ด, และคณิตศาสตร์

    สถาปัตยกรรมและเทคนิคการเทรน
    ใช้ decoder-only transformer พร้อมฟังก์ชัน xIELU
    ใช้ optimizer AdEMAMix และ precision แบบ bfloat16
    เทรนบน GPU GH200 จำนวน 4096 ตัว

    ความสามารถด้านภาษาและความโปร่งใส
    รองรับ 1811 ภาษา โดย 40% เป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
    ใช้ข้อมูลที่เปิดและเคารพ opt-out ของเจ้าของข้อมูล
    มีระบบ output filter สำหรับลบข้อมูลส่วนบุคคลจากผลลัพธ์

    การใช้งานและการ deploy
    รองรับ context ยาวถึง 65,536 token
    ใช้งานผ่าน Transformers v4.56.0, vLLM, SGLang และ MLX
    มีอินเทอร์เฟซผ่าน Swisscom และ PublicAI สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    การปฏิบัติตามกฎหมายและจริยธรรม
    สอดคล้องกับ EU AI Act และกฎหมายสวิตเซอร์แลนด์
    มีเอกสารสาธารณะและโค้ดการเทรนให้ตรวจสอบได้
    ไม่ใช้ข้อมูลที่ละเมิดสิทธิ์หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

    https://huggingface.co/swiss-ai/Apertus-70B-2509
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ETH Zurich ถึง 1811 ภาษา: เมื่อโมเดลภาษาไม่ได้ถูกสร้างเพื่อแข่งขัน แต่เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ Apertus เป็นโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดย Swiss National AI Institute (SNAI) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ETH Zurich และ EPFL โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโมเดลที่เปิดทุกส่วน—ตั้งแต่โค้ด, น้ำหนักโมเดล, ข้อมูลเทรน, ไปจนถึงสูตรการเทรนเอง โมเดลมีสองขนาดคือ 8B และ 70B พารามิเตอร์ โดยเวอร์ชัน 70B ถูกเทรนด้วยข้อมูล 15 ล้านล้าน token จากเว็บ, โค้ด, และคณิตศาสตร์ ผ่านกระบวนการ curriculum learning ที่จัดลำดับเนื้อหาอย่างเป็นระบบ Apertus รองรับภาษามากถึง 1811 ภาษา โดย 40% ของข้อมูลเทรนเป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เช่น Swiss German, Romansh และภาษาอื่น ๆ ที่มักถูกละเลยในโมเดลทั่วไป โมเดลใช้สถาปัตยกรรม decoder-only transformer พร้อมฟังก์ชัน activation ใหม่ชื่อ xIELU และ optimizer แบบ AdEMAMix ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรนในระดับ bfloat16 บน GPU GH200 จำนวน 4096 ตัว หลังการเทรน โมเดลยังผ่านการ fine-tune แบบมีผู้ดูแล และ alignment ด้วยเทคนิค QRPO เพื่อให้ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ดีขึ้น โดยไม่ละเมิดความเป็นกลางหรือความปลอดภัย สิ่งที่โดดเด่นคือ Apertus เคารพสิทธิ์ของเจ้าของข้อมูลอย่างเข้มงวด โดยใช้ระบบ opt-out ที่สามารถย้อนกลับได้ และมีระบบ output filter ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดทุก 6 เดือน เพื่อกรองข้อมูลส่วนบุคคลออกจากผลลัพธ์ของโมเดล นอกจากนี้ Apertus ยังถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายความโปร่งใสของ EU AI Act และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเอกสารสาธารณะและโค้ดการเทรนให้ตรวจสอบได้ทั้งหมด ✅ ข้อมูลพื้นฐานของ Apertus ➡️ พัฒนาโดย SNAI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ETH Zurich และ EPFL ➡️ มีสองขนาด: 8B และ 70B พารามิเตอร์ ➡️ เทรนด้วยข้อมูล 15T token จากเว็บ, โค้ด, และคณิตศาสตร์ ✅ สถาปัตยกรรมและเทคนิคการเทรน ➡️ ใช้ decoder-only transformer พร้อมฟังก์ชัน xIELU ➡️ ใช้ optimizer AdEMAMix และ precision แบบ bfloat16 ➡️ เทรนบน GPU GH200 จำนวน 4096 ตัว ✅ ความสามารถด้านภาษาและความโปร่งใส ➡️ รองรับ 1811 ภาษา โดย 40% เป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ➡️ ใช้ข้อมูลที่เปิดและเคารพ opt-out ของเจ้าของข้อมูล ➡️ มีระบบ output filter สำหรับลบข้อมูลส่วนบุคคลจากผลลัพธ์ ✅ การใช้งานและการ deploy ➡️ รองรับ context ยาวถึง 65,536 token ➡️ ใช้งานผ่าน Transformers v4.56.0, vLLM, SGLang และ MLX ➡️ มีอินเทอร์เฟซผ่าน Swisscom และ PublicAI สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ✅ การปฏิบัติตามกฎหมายและจริยธรรม ➡️ สอดคล้องกับ EU AI Act และกฎหมายสวิตเซอร์แลนด์ ➡️ มีเอกสารสาธารณะและโค้ดการเทรนให้ตรวจสอบได้ ➡️ ไม่ใช้ข้อมูลที่ละเมิดสิทธิ์หรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม https://huggingface.co/swiss-ai/Apertus-70B-2509
    HUGGINGFACE.CO
    swiss-ai/Apertus-70B-2509 · Hugging Face
    We’re on a journey to advance and democratize artificial intelligence through open source and open science.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก H100/H200: เมื่อคำพูดของ CEO กลายเป็นกระแสที่บริษัทต้องรีบดับไฟ

    ในช่วงต้นกันยายน 2025 เกิดกระแสข่าวว่า GPU รุ่น H100 และ H200 ของ Nvidia ขายหมดเกลี้ยงทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่ม AI startup และ cloud provider ที่กำลังเร่งเทรนโมเดล reasoning ขนาดใหญ่ ซึ่งกระแสนี้เริ่มต้นจากคำพูดของ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่กล่าวใน earnings call ว่า “ทุกอย่างขายหมดแล้ว” และ “AI native startups กำลังแย่งกันหาความจุเพื่อเทรนโมเดล”

    แต่หลังจากข่าวแพร่กระจาย Nvidia ต้องรีบออกแถลงการณ์ผ่านหลายช่องทางว่า “ไม่จริง” โดยระบุว่า “เรามีมากพอที่จะรองรับทุกคำสั่งซื้อ” และ “การที่ cloud provider ให้เช่า GPU ทั้งหมดที่มี ไม่ได้แปลว่าเราขาดแคลน”

    บริษัทยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า GPU รุ่น H20 ซึ่งผลิตเฉพาะสำหรับจีนตามข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตของ H100/H200 หรือ Blackwell รุ่นใหม่แต่อย่างใด

    นักวิเคราะห์มองว่า ความสับสนนี้เกิดจากการที่ Jensen ใช้คำว่า “sold out” เพื่อสะท้อน demand ที่สูงมาก แต่ไม่ได้หมายถึง “ไม่มีของเหลือ” จริง ๆ และการที่ cloud provider ต้องเช่าความจุจากกันเอง ก็เป็นเรื่องปกติในช่วงที่ AI workload พุ่งขึ้นแบบไม่หยุด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-its-h100-h200-gpus-are-not-sold-out-despite-jensen-alluding-otherwise-during-earnings-call-company-clarifies-it-has-plenty-of-gpu-supply
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100/H200: เมื่อคำพูดของ CEO กลายเป็นกระแสที่บริษัทต้องรีบดับไฟ ในช่วงต้นกันยายน 2025 เกิดกระแสข่าวว่า GPU รุ่น H100 และ H200 ของ Nvidia ขายหมดเกลี้ยงทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่ม AI startup และ cloud provider ที่กำลังเร่งเทรนโมเดล reasoning ขนาดใหญ่ ซึ่งกระแสนี้เริ่มต้นจากคำพูดของ Jensen Huang CEO ของ Nvidia ที่กล่าวใน earnings call ว่า “ทุกอย่างขายหมดแล้ว” และ “AI native startups กำลังแย่งกันหาความจุเพื่อเทรนโมเดล” แต่หลังจากข่าวแพร่กระจาย Nvidia ต้องรีบออกแถลงการณ์ผ่านหลายช่องทางว่า “ไม่จริง” โดยระบุว่า “เรามีมากพอที่จะรองรับทุกคำสั่งซื้อ” และ “การที่ cloud provider ให้เช่า GPU ทั้งหมดที่มี ไม่ได้แปลว่าเราขาดแคลน” บริษัทยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า GPU รุ่น H20 ซึ่งผลิตเฉพาะสำหรับจีนตามข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตของ H100/H200 หรือ Blackwell รุ่นใหม่แต่อย่างใด นักวิเคราะห์มองว่า ความสับสนนี้เกิดจากการที่ Jensen ใช้คำว่า “sold out” เพื่อสะท้อน demand ที่สูงมาก แต่ไม่ได้หมายถึง “ไม่มีของเหลือ” จริง ๆ และการที่ cloud provider ต้องเช่าความจุจากกันเอง ก็เป็นเรื่องปกติในช่วงที่ AI workload พุ่งขึ้นแบบไม่หยุด https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-its-h100-h200-gpus-are-not-sold-out-despite-jensen-alluding-otherwise-during-earnings-call-company-clarifies-it-has-plenty-of-gpu-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Peoria: เมื่อ Amkor สร้างโรงงานแพ็กชิปมูลค่า 2 พันล้าน เพื่ออุดช่องโหว่ของอเมริกา

    ในขณะที่สหรัฐฯ ทุ่มงบมหาศาลเพื่อดึงการผลิตชิปกลับสู่ประเทศผ่าน CHIPS Act โรงงานผลิตเวเฟอร์ของ TSMC และ Intel ก็เริ่มตั้งหลักในแอริโซนาแล้ว แต่ปัญหาคือ “หลังบ้าน” อย่างการประกอบ ทดสอบ และแพ็กเกจชิปยังต้องส่งกลับไปทำที่ไต้หวันหรือเกาหลีใต้ ทำให้เกิดคอขวดที่กระทบต่อทั้ง AI server และ GPU ระดับสูง

    Amkor Technology จึงประกาศสร้างโรงงานใหม่ใน Peoria, Arizona บนพื้นที่ 104 เอเคอร์ ด้วยงบลงทุนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยมี Apple เป็นลูกค้ารายแรก และ TSMC เซ็น MOU เพื่อส่งเวเฟอร์จากโรงงานในฟีนิกซ์มาประกอบที่นี่โดยตรง ลดเวลารอจากหลายสัปดาห์เหลือไม่กี่วัน

    โรงงานนี้จะรองรับเทคโนโลยีแพ็กเกจระดับสูง เช่น CoWoS และ InFO ซึ่งเป็นหัวใจของชิป AI อย่าง Nvidia H100/H200 และ AMD MI300 รวมถึงชิป Apple M-series ที่ใช้ใน Mac และ iPad โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กว่า 407 ล้านดอลลาร์ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลกลาง

    แต่แม้จะเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรม โรงงานนี้จะเริ่มผลิตจริงในปี 2028 ซึ่งหมายความว่าคอขวดของการแพ็กชิปจะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี และที่น่าห่วงกว่าคือปัญหาขาดแคลนแรงงาน—คาดว่าจะขาดคนงานถึง 70,000–90,000 คนทั่วสหรัฐฯ แม้จะมีระบบอัตโนมัติช่วยก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/amkor-arizona-plant-plans-approved
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Peoria: เมื่อ Amkor สร้างโรงงานแพ็กชิปมูลค่า 2 พันล้าน เพื่ออุดช่องโหว่ของอเมริกา ในขณะที่สหรัฐฯ ทุ่มงบมหาศาลเพื่อดึงการผลิตชิปกลับสู่ประเทศผ่าน CHIPS Act โรงงานผลิตเวเฟอร์ของ TSMC และ Intel ก็เริ่มตั้งหลักในแอริโซนาแล้ว แต่ปัญหาคือ “หลังบ้าน” อย่างการประกอบ ทดสอบ และแพ็กเกจชิปยังต้องส่งกลับไปทำที่ไต้หวันหรือเกาหลีใต้ ทำให้เกิดคอขวดที่กระทบต่อทั้ง AI server และ GPU ระดับสูง Amkor Technology จึงประกาศสร้างโรงงานใหม่ใน Peoria, Arizona บนพื้นที่ 104 เอเคอร์ ด้วยงบลงทุนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยมี Apple เป็นลูกค้ารายแรก และ TSMC เซ็น MOU เพื่อส่งเวเฟอร์จากโรงงานในฟีนิกซ์มาประกอบที่นี่โดยตรง ลดเวลารอจากหลายสัปดาห์เหลือไม่กี่วัน โรงงานนี้จะรองรับเทคโนโลยีแพ็กเกจระดับสูง เช่น CoWoS และ InFO ซึ่งเป็นหัวใจของชิป AI อย่าง Nvidia H100/H200 และ AMD MI300 รวมถึงชิป Apple M-series ที่ใช้ใน Mac และ iPad โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act กว่า 407 ล้านดอลลาร์ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลกลาง แต่แม้จะเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรม โรงงานนี้จะเริ่มผลิตจริงในปี 2028 ซึ่งหมายความว่าคอขวดของการแพ็กชิปจะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี และที่น่าห่วงกว่าคือปัญหาขาดแคลนแรงงาน—คาดว่าจะขาดคนงานถึง 70,000–90,000 คนทั่วสหรัฐฯ แม้จะมีระบบอัตโนมัติช่วยก็ตาม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/amkor-arizona-plant-plans-approved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล”

    จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน

    หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก

    และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์

    แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด

    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล
    การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง
    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า

    ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน
    ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน
    การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง

    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI
    ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง
    ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI
    ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI
    การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร
    ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming

    ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า
    การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล” จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์ แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด ✅ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล ➡️ การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง ➡️ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า ✅ ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน ➡️ ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน ➡️ การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง ✅ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง ➡️ ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI ➡️ ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล ➡️ การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ⛔ การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร ⛔ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming ‼️ ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

    การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
    - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025
    - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7%
    - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น

    ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ

    ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง?

    AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025
    ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง

    Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้
    โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200

    คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia
    คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน

    แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment
    ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services

    ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม
    เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft

    หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1%
    แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย

    การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น
    เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก

    โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย
    ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว

    การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง
    มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก

    การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่”
    หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต

    https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น: - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025 - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7% - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง? ✅ AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025 ➡️ ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง ✅ Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้ ➡️ โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200 ✅ คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia ➡️ คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน ✅ แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment ➡️ ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services ✅ ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม ➡️ เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft ✅ หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1% ➡️ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย ‼️ การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น ⛔ เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก ‼️ โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย ⛔ ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว ‼️ การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง ⛔ มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก ‼️ การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่” ⛔ หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    PAULKEDROSKY.COM
    Honey, AI Capex is Eating the Economy
    AI capex is so big that it's affecting economic statistics, boosting the economy, and beginning to approach the railroad boom
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia กลับมาขาย H20 ให้จีน – สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป AI อีกครั้ง

    หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามการส่งออกชิป AI รุ่น H100 และ H200 ไปยังจีนในปี 2023 Nvidia ได้เปิดตัวรุ่น H20 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่ก็ยังถูกแบนในเดือนเมษายน 2024 ภายใต้กฎ AI diffusion rule และมาตรการเสริมจากฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี Trump

    ล่าสุด Nvidia ยืนยันว่าได้รับคำมั่นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติใบอนุญาตส่งออกสำหรับ H20 และหวังว่าจะเริ่มส่งมอบได้เร็ว ๆ นี้

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เดินทางระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งเพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ โดยเน้นว่า AI จะสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคมทั่วโลก และการจำกัดเทคโนโลยีจะทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบต่อคู่แข่งอย่าง Huawei

    แม้จะยังไม่ใช่การยกเลิกการแบนทั้งหมด แต่การอนุมัติใบอนุญาตส่งออก H20 ถือเป็นสัญญาณบวก และอาจเป็นผลจากข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น การกลับมาส่งออกแร่หายากจากจีน และการยกเลิกข้อจำกัดด้าน EDA (Electronic Design Automation)

    เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน Nvidia ยังเปิดตัว RTX Pro GPU ที่ออกแบบให้เหมาะกับงาน AI ในโรงงานอัจฉริยะ และเตรียมรุ่น HGX H20 แบบลดสเปกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-to-resume-h20-sales-in-china-says-u-s-government-has-promised-to-grant-licenses-deliveries-to-start-soon
    Nvidia กลับมาขาย H20 ให้จีน – สหรัฐฯ ไฟเขียวส่งออกชิป AI อีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามการส่งออกชิป AI รุ่น H100 และ H200 ไปยังจีนในปี 2023 Nvidia ได้เปิดตัวรุ่น H20 ซึ่งเป็นเวอร์ชันลดสเปกเพื่อให้ผ่านข้อจำกัด แต่ก็ยังถูกแบนในเดือนเมษายน 2024 ภายใต้กฎ AI diffusion rule และมาตรการเสริมจากฝ่ายบริหารของอดีตประธานาธิบดี Trump ล่าสุด Nvidia ยืนยันว่าได้รับคำมั่นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะอนุมัติใบอนุญาตส่งออกสำหรับ H20 และหวังว่าจะเริ่มส่งมอบได้เร็ว ๆ นี้ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้เดินทางระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งเพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศ โดยเน้นว่า AI จะสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคมทั่วโลก และการจำกัดเทคโนโลยีจะทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบต่อคู่แข่งอย่าง Huawei แม้จะยังไม่ใช่การยกเลิกการแบนทั้งหมด แต่การอนุมัติใบอนุญาตส่งออก H20 ถือเป็นสัญญาณบวก และอาจเป็นผลจากข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น การกลับมาส่งออกแร่หายากจากจีน และการยกเลิกข้อจำกัดด้าน EDA (Electronic Design Automation) เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอน Nvidia ยังเปิดตัว RTX Pro GPU ที่ออกแบบให้เหมาะกับงาน AI ในโรงงานอัจฉริยะ และเตรียมรุ่น HGX H20 แบบลดสเปกเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-to-resume-h20-sales-in-china-says-u-s-government-has-promised-to-grant-licenses-deliveries-to-start-soon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts