• เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์

    ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า”

    แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp

    ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที”

    แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด
    อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า
    โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล

    ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp
    เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน

    ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด”
    เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว
    คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp

    Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้
    ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล
    ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง

    การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB
    Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Everest Ransomware กับการโจมตี Mailchimp ที่กลายเป็นเรื่องตลกในวงการไซเบอร์ ปลายเดือนกรกฎาคม 2025 กลุ่ม Everest ransomware ได้โพสต์บนเว็บไซต์มืดว่า พวกเขาเจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลชื่อดัง—และขโมยข้อมูลขนาด 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ซึ่งอ้างว่าเป็น “เอกสารภายในบริษัท” และ “ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า” แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ตรวจสอบตัวอย่างข้อมูล พบว่าเป็นเพียงข้อมูลธุรกิจทั่วไป เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เมือง, ประเทศ, ลิงก์โซเชียลมีเดีย และเทคโนโลยีที่ใช้ ไม่ใช่ข้อมูลลับหรือข้อมูลภายในที่สำคัญของ Mailchimp ชุมชนไซเบอร์จึงพากันหัวเราะเยาะการโจมตีครั้งนี้ โดยเปรียบเทียบว่า “เหมือนข้อมูลของลูกค้าคนเดียว” หรือ “แค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่ Mailchimp ส่งออกในหนึ่งวินาที” แม้จะดูเล็กน้อย แต่การโจมตีนี้ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวล—การเพิ่มขึ้นของ ransomware ทั่วโลกในเดือนกรกฎาคม โดยมีหลายกลุ่มโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น Dollar Tree, Albavision และ NASCAR ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 767 MB รวม 943,536 บรรทัด ➡️ อ้างว่าเป็นเอกสารภายในและข้อมูลลูกค้า ➡️ โพสต์บนเว็บไซต์มืดพร้อมตัวอย่างข้อมูล ✅ ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่ข้อมูลลับของ Mailchimp ➡️ เช่น อีเมลบริษัท, โดเมน, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ ดูเหมือนมาจากการ export จากระบบ CRM มากกว่าระบบภายใน ✅ ชุมชนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เยาะเย้ยการโจมตีครั้งนี้ว่า “เล็กเกินคาด” ➡️ เปรียบเทียบว่าเป็นข้อมูลของลูกค้าคนเดียว ➡️ คาดหวังว่าจะมีข้อมูลระดับ GB หรือ TB จากบริษัทใหญ่แบบ Mailchimp ✅ Everest ransomware เคยโจมตีบริษัทใหญ่มาแล้ว เช่น Coca-Cola และรัฐบาลในอเมริกาใต้ ➡️ ใช้โมเดล double extortion: เข้ารหัสไฟล์ + ขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ ล่าสุดเริ่มขายสิทธิ์เข้าถึงระบบให้กลุ่มอื่นแทนการโจมตีเอง ✅ การโจมตี Mailchimp เป็นส่วนหนึ่งของคลื่น ransomware ที่พุ่งสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ INC ransomware อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP โจมตี Albavision ได้ข้อมูล 400 GB ➡️ Medusa ransomware เรียกค่าไถ่ NASCAR มูลค่า $4 ล้าน https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา

    Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก

    ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ)

    แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน

    Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ
    ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web
    ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp

    ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้
    มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting
    จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า

    Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล
    เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน
    ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ

    Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021
    มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3
    การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา
    INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree
    GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB
    Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล

    https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “Mailchimp โดนเจาะ” กับเบื้องหลังของ Everest ที่ไม่ธรรมดา Everest ransomware เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ใช้โมเดล “double extortion” คือเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ และขโมยข้อมูลไปเผยแพร่เพื่อกดดันให้จ่ายค่าไถ่ ล่าสุดพวกเขาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Mailchimp—แพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมลที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านรายทั่วโลก ข้อมูลที่ถูกขโมยมีขนาด 767 MB รวมกว่า 943,536 บรรทัด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อมูลจากระบบ CRM หรือการส่งออกจากฐานข้อมูลลูกค้า มากกว่าจะเป็นข้อมูลภายในของ Mailchimp เอง เช่น ชื่อบริษัท, อีเมล, เบอร์โทร, โดเมน, เทคโนโลยีที่ใช้ (Shopify, WordPress, Google Cloud ฯลฯ) แม้จะไม่ใช่การเจาะระบบหลัก แต่การโจมตีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่แรนซัมแวร์กำลังระบาดหนัก—ในเวลาใกล้กัน INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree และ GLOBAL GROUP อ้างว่าเจาะ Albavisión ได้ 400 GB ส่วน Medusa ก็เรียกค่าไถ่ NASCAR ถึง $4 ล้าน ✅ Everest ransomware อ้างว่าเจาะระบบ Mailchimp และขโมยข้อมูล 943,536 รายการ ➡️ ขนาดไฟล์รวม 767 MB ถูกเผยแพร่บน dark web ➡️ ข้อมูลดูเหมือนมาจากระบบ CRM ไม่ใช่ระบบภายในของ Mailchimp ✅ ข้อมูลที่รั่วไหลประกอบด้วยข้อมูลธุรกิจ เช่น โดเมน, อีเมล, เบอร์โทร, เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ มีข้อมูลเกี่ยวกับ GDPR, โซเชียลมีเดีย, และผู้ให้บริการ hosting ➡️ จัดเรียงแบบ spreadsheet แสดงว่าอาจมาจากการส่งออกข้อมูลลูกค้า ✅ Everest ใช้โมเดล double extortion—เข้ารหัสไฟล์และขู่เปิดเผยข้อมูล ➡️ เคยโจมตี Coca-Cola ในเดือนพฤษภาคม 2025 และเผยแพร่ข้อมูลพนักงาน ➡️ ใช้ dark web leak site เป็นเครื่องมือกดดันเหยื่อ ✅ Mailchimp เป็นบริษัทใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 14 ล้านราย และถูก Intuit ซื้อกิจการในปี 2021 ➡️ มีรายได้ปีละ $61 พันล้าน และถือครองตลาดอีเมลถึง 2 ใน 3 ➡️ การโจมตีแม้จะเล็ก แต่กระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น ✅ ในเดือนกรกฎาคม 2025 มีการโจมตีหลายกรณีที่น่าจับตา ➡️ INC Ransom อ้างว่าได้ข้อมูล 1.2 TB จาก Dollar Tree ➡️ GLOBAL GROUP เจาะ Albavisión ได้ 400 GB ➡️ Medusa เรียกค่าไถ่ NASCAR $4 ล้าน พร้อมขู่เปิดเผยข้อมูล https://hackread.com/everest-ransomware-claims-mailchimp-small-breach/
    HACKREAD.COM
    Everest Ransomware Claims Mailchimp as New Victim in Relatively Small Breach
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว


  • ฮุนเซนกับจักรวาลทุนสีเทา

    บทความโดย สุรวิชช์ วีรวรรณ

    และคำแปลเขมร

    ហ៊ុន សែន និងចក្រវិថីទុនពណ៌ប្រផេះ

    ក្នុងរយៈពេលប៉ុន្មានឆ្នាំចុងក្រោយនេះ ពិភពលោកបានផ្តោតទស្សនៈទៅលើប្រទេសកម្ពុជា មិនមែនថាជាប្រទេសដែលរួចផុតពីសង្គ្រាមស៊ីវិលទេ ប៉ុន្តែជាស្តាប់នៃអាជីវកម្មឧក្រិដ្ឋកម្មសាយបឺ និងបណ្តាញទុនប្រផេះដែលកំពុងលើកកំពស់អំណាចឲ្យក្រុមមនុស្សមួយចំនួននៅក្រោមរបាំងនៃ “សេដ្ឋកិច្ចពិសេស” និងកាស៊ីណូតាមព្រំដែន។ ប្រជាជនជាងម៉ឺននាក់ពីចិន ថៃ មីយ៉ាន់ម៉ា ឡាវ វៀតណាម និងហ្វ៊ីលីពីន ត្រូវបានបញ្ឆោតឲ្យធ្វើការនៅក្នុងមជ្ឈមណ្ឌលបោកប្រាស់តាមអនឡាញ និងត្រូវគេបង្ខំទុកឲ្យធ្វើការដូចជាឈ្លក់បម្រើក្នុងប្រព័ន្ធពាណិជ្ជកម្មទំនើបដែលមិនស្មើភាពនឹងសិទ្ធិមនុស្សទេ។

    នៅកណ្តាលប្រព័ន្ធនេះគឺជាគ្រួសាររបស់អតីតនាយករដ្ឋមន្ត្រី ហ៊ុន សែន ដែលគ្រប់គ្រងប្រទេសកម្ពុជាមកជិត៤០ឆ្នាំ។ ទោះបីជានៅឆ្នាំ២០២៣ លោកបានបញ្ជូនអំណាចទៅឲ្យកូនប្រុសឈ្មោះ ហ៊ុន ម៉ាណែត ក៏ដោយ តែលោកនៅតែជាអ្នកគ្រប់គ្រងខាងក្រោយនៃរបប “ទុនកូនចៅ” និងការផ្តល់អំណាចដល់ក្រុមមនុស្សមួយតិចតួច។ សេដ្ឋកិច្ចកម្ពុជា ត្រូវបានប្រើជាឧបករណ៍សេដ្ឋកិច្ចប្រផេះ និងអំណាច “ឧកញ៉ា” បានក្លាយជានិមិត្តសញ្ញានៃសិទ្ធិពិសេស និងភាពលើសច្បាប់។

    មជ្ឈមណ្ឌលដ៏សំខាន់មួយនៃទុនប្រផេះ គឺក្រុមហ៊ុន “Huione Group” ដែលមានមូលដ្ឋាននៅភ្នំពេញ។ ក្រុមហ៊ុននេះមានអាជីវកម្មសំខាន់ៗដូចជា Huione Pay, Huione Crypto និង Huione Guarantee ដែលត្រូវបានប្រើប្រាស់ដើម្បីលាងប្រាក់ និងផ្លាស់ប្តូរព័ត៌មានបោកប្រាស់ជាសកល។ អង្គការសហប្រជាជាតិ និងយោងតាមរបាយការណ៍សន្តិសុខសហរដ្ឋអាមេរិក បានបង្ហាញថា Huione Guarantee មានប្រតិបត្តិការពាណិជ្ជកម្មរហូតដល់ ២៤,០០០–២៧,០០០លានដុល្លារចាប់តាំងពីឆ្នាំ ២០២១ ហើយគឺជាមជ្ឈមណ្ឌលលាងប្រាក់ធំបំផុតលើពិភពលោក។ មនុស្សដែលពាក់ពន្ធ័ជាមួយក្រុមនេះគឺ “ហ៊ុន តូ” ប្អូនបង្កាត់នាយករដ្ឋមន្ត្រី ហ៊ុន ម៉ាណែត និងជាហៅថ្លៃរបស់ ហ៊ុន សែន។

    ក្រៅពី ហ៊ុន តូ មានក្រុមទុនធំៗទៀតដែលជាប់ទាក់ទងជាមួយគ្រួសារហ៊ុន រួមមាន “លី យុងផាត់” (Ly Yong Phat) ដែលជាអ្នកលេងអាជីវកម្មជនជាតិភាគច្រើនកម្ពុជា-ថៃ។ គាត់ជាម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន LYP Group និងសេដ្ឋកិច្ចពិសេសនៅខេត្ត Koh Kong និងបើកដំណើរការកាស៊ីណូជាច្រើន។ ក្នុងឆ្នាំ២០២៤ រដ្ឋាភិបាលអាមេរិកបានចេញវិធានការផ្ដន្ទាទោសលី យុងផាត់ក្រោមច្បាប់ Global Magnitsky Act ដោយសារ ជាប់ពាក់ពន្ធ័នឹងការបង្ខំឲ្យប្រើប្រាស់កម្លាំងពលកម្មក្នុងមជ្ឈមណ្ឌលស្កែម (scam center)។

    លី យុងផាត់ មិនមែនត្រឹមជាអ្នកគាំទ្ររដ្ឋាភិបាលទេ ប៉ុន្តែគាត់មានការតភ្ជាប់គ្រួសារនឹង ហ៊ុន សែន តាមរយៈកូនស្រីរបស់គាត់ដែលរៀបការជាមួយហ៊ុន ជា (Hun Chea) ដែលជាកូនប្រុសរបស់ហ៊ុន សែន។ គាត់ក្លាយជាសមាជិកសំខាន់ម្នាក់នៃ “រាជវង្សអំណាច” ដែលទទួលបានសិទ្ធិពិសេសគ្រប់វិស័យ។

    អ្នកមានឥទ្ធិពលទៀតគឺ “កុក អាន” (Kok An) ជាជនជាតិចិន ដែលជាសមាជិកព្រឹទ្ធសភា CPP និងម្ចាស់កាស៊ីណូ Crown Casino នៅទីក្រុង Poipet និង Sihanoukville។ គាត់ត្រូវបានចោទថាពាក់ពន្ធ័នឹងការជួញដូរមនុស្ស និងកម្លាំងពលកម្មខុសច្បាប់ ប៉ុន្តែម្ចាស់អំណាចមិនសូវចាត់ការណ៍ទេ។

    Try Pheap គឺជាអ្នកធ្វើអាជីវកម្មធំម្នាក់ទៀតដែលបានទទួលសិទិ្ធប្រើប្រាស់ដីព្រៃធំៗ និងធនធានធម្មជាតិ។ គាត់ជាម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន Try Pheap Group និងដឹកនាំសេដ្ឋកិច្ចពិសេស Thmor Da ដែលត្រូវបានយោងថាជាគេហដ្ឋានស្កែម។ គាត់ត្រូវបានអាមេរិកផ្ដន្ទាទោសនៅឆ្នាំ ២០១៩ ដោយសារ ទោសកាត់បន្ថយព្រៃឈើខុសច្បាប់ លាងប្រាក់ និងការគំរាមដល់សហគមន៍ជនជាតិដើម។

    Chen Zhi ជាជនជាតិចិនទទួលសញ្ជាតិកម្ពុជា និងជាប្រធានក្រុមហ៊ុន Prince Group។ គាត់បានទទួលតំណែងឧកញ៉ា និងសិទ្ធិពិសេសក្នុងគម្រោងអភិវឌ្ឍន៍នៅតាមបណ្តាខេត្ត ជាពិសេស Sihanoukville ដែលត្រូវបានចោទថាជាគេហដ្ឋាននៃមជ្ឈមណ្ឌលស្កែមធំបំផុតក្នុងប្រទេស។

    តំណែង “ឧកញ៉ា” ដែលអោយដល់មនុស្សទាំងនេះ គឺជាការពង្រឹងសិទ្ធិពិសេសលើច្បាប់។ ទោះបីជាតំណែងនេះជាសិទ្ធិផ្ដល់ដោយព្រះមហាក្សត្រដល់អ្នកឧបត្ថម្ភសាធារណៈ ក្នុងជាក់ស្ដែង វាបានក្លាយជារបប “ទិញអំណាច” ហើយជាសញ្ញានៃការបំប្លែងរដ្ឋឲ្យក្លាយជាគ្រឿងចក្រ សេដ្ឋកិច្ចប្រផេះ។

    ក្រៅពីក្រុមដែលជាប់នឹងគ្រួសារ ហ៊ុន នៅមានឧកញ៉ាផ្សេងទៀតដែលពាក់ពន្ធ័នឹងការលួចលេចដូចជា:

    Choeung Sopheap និង Lau Meng Khin ម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន Pheapimex ដែលត្រូវបានចោទថាបង្ខំរំលោភដីសហគមន៍
    Leng Channa ដែលត្រូវដកឋានៈឧកញ៉ា ពីបទលួចលះលុយក្នុងគម្រោងអចលនទ្រព្យ
    Heng Sithy ដែលបង្ហាញអំពើអាសន្នក្នុងប្រព័ន្ធកាស៊ីណូ
    Srey Sina ដែលត្រូវទោសជាប់ជាប់ពន្ធនាគារៗជីវិតពីបទបាញ់សម្លាប់ពលរដ្ឋ

    នេះជាភស្តុតាងថា “ឧកញ៉ា” មិនមែនជាតំណែងសេដ្ឋកិច្ចសង្គមទេ ប៉ុន្តែជាឧបករណ៍អោយអំណាចប្រើច្បាប់ទៅរកផលប្រយោជន៍ផ្ទាល់ខ្លួន។

    អង្គការ UNODC, Human Rights Watch, Humanity Research Consultancy និងសារព័ត៌មានអន្តរជាតិមួយចំនួនរួមទាំង The Times, Reuters, Asia Financial, Wired និង The Guardian បានរាយការណ៍ថា ប្រព័ន្ធស្កែមនេះពាក់ពន្ធ័ជាស្ថាពរជាមួយរដ្ឋកម្ពុជា និងត្រូវការការពារដោយច្បាប់។ វាមានការប្រើប្រាស់បច្ចេកវិទ្យាចុងក្រោយដូចជា AI និង Deepfake ដើម្បីបង្កើនភាពជឿជាក់ និងរបៀបលាងប្រាក់តាមតម្លៃឌីជីថលរួមមាន Huione Pay និង Huione Crypto។

    ចំណាត់ការរដ្ឋបាលរបស់កម្ពុជា មិនសូវបង្ហាញភាពស្មោះត្រង់នៃការតវ៉ា ស្កែមទេ។ ជាធម្មតា រដ្ឋធ្វើការចាប់ឲ្យឃុំខ្លួនតែពលកម្មក្រោម ប៉ុន្តែឱ្យអ្នកដឹកនាំស្កែមគេចផុតពីការចោទប្រកាន់ ទោះមានភស្តុតាងពីជនរងគ្រោះក៏ដោយ។

    អ្វីដែលគួរឱ្យបារម្ភខ្លាំងនោះគឺ ប្រព័ន្ធនយោបាយកំពុងរលាយចូលទៅក្នុងទុនប្រផេះ។ ការត្រួតពិនិត្យដោយអង្គការឯករាជ្យមិនអាចដំណើរការបានពេញលេញទេ ព្រោះក្រុមទុននេះគឺជាអ្នកជួយជ្រោមជ្រែង CPP និងគ្រួសារហ៊ុនតាមរយៈទុនគាំទ្រការអភិវឌ្ឍន៍ និងសេដ្ឋកិច្ចរដ្ឋ។

    ក្រោមរូបរាងនៃសេដ្ឋកិច្ចបើកចំហនិងការអភិវឌ្ឍ ប្រទេសកម្ពុជាកំពុងដើរចូលទៅក្នុងរដ្ឋដែលក្លាយជាឧបករណ៍របស់ទុនឯកជនដែលគ្មានការទទួលខុសត្រូវ ខណៈពលរដ្ឋកំពុងរងគ្រោះនិងគ្មាននរណារងចាំ ក្នុងភាពងងឹតនៃពាណិជ្ជកម្មបោកប្រាស់ដែលមាន “ក្សត្រជាព្រះវិញ្ញាណ” និង “ទុនប្រផេះ” ជាអ្នកនាំផ្លូវ។


    Surawich Verawan

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000072299
    ฮุนเซนกับจักรวาลทุนสีเทา บทความโดย สุรวิชช์ วีรวรรณ และคำแปลเขมร ហ៊ុន សែន និងចក្រវិថីទុនពណ៌ប្រផេះ ក្នុងរយៈពេលប៉ុន្មានឆ្នាំចុងក្រោយនេះ ពិភពលោកបានផ្តោតទស្សនៈទៅលើប្រទេសកម្ពុជា មិនមែនថាជាប្រទេសដែលរួចផុតពីសង្គ្រាមស៊ីវិលទេ ប៉ុន្តែជាស្តាប់នៃអាជីវកម្មឧក្រិដ្ឋកម្មសាយបឺ និងបណ្តាញទុនប្រផេះដែលកំពុងលើកកំពស់អំណាចឲ្យក្រុមមនុស្សមួយចំនួននៅក្រោមរបាំងនៃ “សេដ្ឋកិច្ចពិសេស” និងកាស៊ីណូតាមព្រំដែន។ ប្រជាជនជាងម៉ឺននាក់ពីចិន ថៃ មីយ៉ាន់ម៉ា ឡាវ វៀតណាម និងហ្វ៊ីលីពីន ត្រូវបានបញ្ឆោតឲ្យធ្វើការនៅក្នុងមជ្ឈមណ្ឌលបោកប្រាស់តាមអនឡាញ និងត្រូវគេបង្ខំទុកឲ្យធ្វើការដូចជាឈ្លក់បម្រើក្នុងប្រព័ន្ធពាណិជ្ជកម្មទំនើបដែលមិនស្មើភាពនឹងសិទ្ធិមនុស្សទេ។ នៅកណ្តាលប្រព័ន្ធនេះគឺជាគ្រួសាររបស់អតីតនាយករដ្ឋមន្ត្រី ហ៊ុន សែន ដែលគ្រប់គ្រងប្រទេសកម្ពុជាមកជិត៤០ឆ្នាំ។ ទោះបីជានៅឆ្នាំ២០២៣ លោកបានបញ្ជូនអំណាចទៅឲ្យកូនប្រុសឈ្មោះ ហ៊ុន ម៉ាណែត ក៏ដោយ តែលោកនៅតែជាអ្នកគ្រប់គ្រងខាងក្រោយនៃរបប “ទុនកូនចៅ” និងការផ្តល់អំណាចដល់ក្រុមមនុស្សមួយតិចតួច។ សេដ្ឋកិច្ចកម្ពុជា ត្រូវបានប្រើជាឧបករណ៍សេដ្ឋកិច្ចប្រផេះ និងអំណាច “ឧកញ៉ា” បានក្លាយជានិមិត្តសញ្ញានៃសិទ្ធិពិសេស និងភាពលើសច្បាប់។ មជ្ឈមណ្ឌលដ៏សំខាន់មួយនៃទុនប្រផេះ គឺក្រុមហ៊ុន “Huione Group” ដែលមានមូលដ្ឋាននៅភ្នំពេញ។ ក្រុមហ៊ុននេះមានអាជីវកម្មសំខាន់ៗដូចជា Huione Pay, Huione Crypto និង Huione Guarantee ដែលត្រូវបានប្រើប្រាស់ដើម្បីលាងប្រាក់ និងផ្លាស់ប្តូរព័ត៌មានបោកប្រាស់ជាសកល។ អង្គការសហប្រជាជាតិ និងយោងតាមរបាយការណ៍សន្តិសុខសហរដ្ឋអាមេរិក បានបង្ហាញថា Huione Guarantee មានប្រតិបត្តិការពាណិជ្ជកម្មរហូតដល់ ២៤,០០០–២៧,០០០លានដុល្លារចាប់តាំងពីឆ្នាំ ២០២១ ហើយគឺជាមជ្ឈមណ្ឌលលាងប្រាក់ធំបំផុតលើពិភពលោក។ មនុស្សដែលពាក់ពន្ធ័ជាមួយក្រុមនេះគឺ “ហ៊ុន តូ” ប្អូនបង្កាត់នាយករដ្ឋមន្ត្រី ហ៊ុន ម៉ាណែត និងជាហៅថ្លៃរបស់ ហ៊ុន សែន។ ក្រៅពី ហ៊ុន តូ មានក្រុមទុនធំៗទៀតដែលជាប់ទាក់ទងជាមួយគ្រួសារហ៊ុន រួមមាន “លី យុងផាត់” (Ly Yong Phat) ដែលជាអ្នកលេងអាជីវកម្មជនជាតិភាគច្រើនកម្ពុជា-ថៃ។ គាត់ជាម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន LYP Group និងសេដ្ឋកិច្ចពិសេសនៅខេត្ត Koh Kong និងបើកដំណើរការកាស៊ីណូជាច្រើន។ ក្នុងឆ្នាំ២០២៤ រដ្ឋាភិបាលអាមេរិកបានចេញវិធានការផ្ដន្ទាទោសលី យុងផាត់ក្រោមច្បាប់ Global Magnitsky Act ដោយសារ ជាប់ពាក់ពន្ធ័នឹងការបង្ខំឲ្យប្រើប្រាស់កម្លាំងពលកម្មក្នុងមជ្ឈមណ្ឌលស្កែម (scam center)។ លី យុងផាត់ មិនមែនត្រឹមជាអ្នកគាំទ្ររដ្ឋាភិបាលទេ ប៉ុន្តែគាត់មានការតភ្ជាប់គ្រួសារនឹង ហ៊ុន សែន តាមរយៈកូនស្រីរបស់គាត់ដែលរៀបការជាមួយហ៊ុន ជា (Hun Chea) ដែលជាកូនប្រុសរបស់ហ៊ុន សែន។ គាត់ក្លាយជាសមាជិកសំខាន់ម្នាក់នៃ “រាជវង្សអំណាច” ដែលទទួលបានសិទ្ធិពិសេសគ្រប់វិស័យ។ អ្នកមានឥទ្ធិពលទៀតគឺ “កុក អាន” (Kok An) ជាជនជាតិចិន ដែលជាសមាជិកព្រឹទ្ធសភា CPP និងម្ចាស់កាស៊ីណូ Crown Casino នៅទីក្រុង Poipet និង Sihanoukville។ គាត់ត្រូវបានចោទថាពាក់ពន្ធ័នឹងការជួញដូរមនុស្ស និងកម្លាំងពលកម្មខុសច្បាប់ ប៉ុន្តែម្ចាស់អំណាចមិនសូវចាត់ការណ៍ទេ។ Try Pheap គឺជាអ្នកធ្វើអាជីវកម្មធំម្នាក់ទៀតដែលបានទទួលសិទិ្ធប្រើប្រាស់ដីព្រៃធំៗ និងធនធានធម្មជាតិ។ គាត់ជាម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន Try Pheap Group និងដឹកនាំសេដ្ឋកិច្ចពិសេស Thmor Da ដែលត្រូវបានយោងថាជាគេហដ្ឋានស្កែម។ គាត់ត្រូវបានអាមេរិកផ្ដន្ទាទោសនៅឆ្នាំ ២០១៩ ដោយសារ ទោសកាត់បន្ថយព្រៃឈើខុសច្បាប់ លាងប្រាក់ និងការគំរាមដល់សហគមន៍ជនជាតិដើម។ Chen Zhi ជាជនជាតិចិនទទួលសញ្ជាតិកម្ពុជា និងជាប្រធានក្រុមហ៊ុន Prince Group។ គាត់បានទទួលតំណែងឧកញ៉ា និងសិទ្ធិពិសេសក្នុងគម្រោងអភិវឌ្ឍន៍នៅតាមបណ្តាខេត្ត ជាពិសេស Sihanoukville ដែលត្រូវបានចោទថាជាគេហដ្ឋាននៃមជ្ឈមណ្ឌលស្កែមធំបំផុតក្នុងប្រទេស។ តំណែង “ឧកញ៉ា” ដែលអោយដល់មនុស្សទាំងនេះ គឺជាការពង្រឹងសិទ្ធិពិសេសលើច្បាប់។ ទោះបីជាតំណែងនេះជាសិទ្ធិផ្ដល់ដោយព្រះមហាក្សត្រដល់អ្នកឧបត្ថម្ភសាធារណៈ ក្នុងជាក់ស្ដែង វាបានក្លាយជារបប “ទិញអំណាច” ហើយជាសញ្ញានៃការបំប្លែងរដ្ឋឲ្យក្លាយជាគ្រឿងចក្រ សេដ្ឋកិច្ចប្រផេះ។ ក្រៅពីក្រុមដែលជាប់នឹងគ្រួសារ ហ៊ុន នៅមានឧកញ៉ាផ្សេងទៀតដែលពាក់ពន្ធ័នឹងការលួចលេចដូចជា: Choeung Sopheap និង Lau Meng Khin ម្ចាស់ក្រុមហ៊ុន Pheapimex ដែលត្រូវបានចោទថាបង្ខំរំលោភដីសហគមន៍ Leng Channa ដែលត្រូវដកឋានៈឧកញ៉ា ពីបទលួចលះលុយក្នុងគម្រោងអចលនទ្រព្យ Heng Sithy ដែលបង្ហាញអំពើអាសន្នក្នុងប្រព័ន្ធកាស៊ីណូ Srey Sina ដែលត្រូវទោសជាប់ជាប់ពន្ធនាគារៗជីវិតពីបទបាញ់សម្លាប់ពលរដ្ឋ នេះជាភស្តុតាងថា “ឧកញ៉ា” មិនមែនជាតំណែងសេដ្ឋកិច្ចសង្គមទេ ប៉ុន្តែជាឧបករណ៍អោយអំណាចប្រើច្បាប់ទៅរកផលប្រយោជន៍ផ្ទាល់ខ្លួន។ អង្គការ UNODC, Human Rights Watch, Humanity Research Consultancy និងសារព័ត៌មានអន្តរជាតិមួយចំនួនរួមទាំង The Times, Reuters, Asia Financial, Wired និង The Guardian បានរាយការណ៍ថា ប្រព័ន្ធស្កែមនេះពាក់ពន្ធ័ជាស្ថាពរជាមួយរដ្ឋកម្ពុជា និងត្រូវការការពារដោយច្បាប់។ វាមានការប្រើប្រាស់បច្ចេកវិទ្យាចុងក្រោយដូចជា AI និង Deepfake ដើម្បីបង្កើនភាពជឿជាក់ និងរបៀបលាងប្រាក់តាមតម្លៃឌីជីថលរួមមាន Huione Pay និង Huione Crypto។ ចំណាត់ការរដ្ឋបាលរបស់កម្ពុជា មិនសូវបង្ហាញភាពស្មោះត្រង់នៃការតវ៉ា ស្កែមទេ។ ជាធម្មតា រដ្ឋធ្វើការចាប់ឲ្យឃុំខ្លួនតែពលកម្មក្រោម ប៉ុន្តែឱ្យអ្នកដឹកនាំស្កែមគេចផុតពីការចោទប្រកាន់ ទោះមានភស្តុតាងពីជនរងគ្រោះក៏ដោយ។ អ្វីដែលគួរឱ្យបារម្ភខ្លាំងនោះគឺ ប្រព័ន្ធនយោបាយកំពុងរលាយចូលទៅក្នុងទុនប្រផេះ។ ការត្រួតពិនិត្យដោយអង្គការឯករាជ្យមិនអាចដំណើរការបានពេញលេញទេ ព្រោះក្រុមទុននេះគឺជាអ្នកជួយជ្រោមជ្រែង CPP និងគ្រួសារហ៊ុនតាមរយៈទុនគាំទ្រការអភិវឌ្ឍន៍ និងសេដ្ឋកិច្ចរដ្ឋ។ ក្រោមរូបរាងនៃសេដ្ឋកិច្ចបើកចំហនិងការអភិវឌ្ឍ ប្រទេសកម្ពុជាកំពុងដើរចូលទៅក្នុងរដ្ឋដែលក្លាយជាឧបករណ៍របស់ទុនឯកជនដែលគ្មានការទទួលខុសត្រូវ ខណៈពលរដ្ឋកំពុងរងគ្រោះនិងគ្មាននរណារងចាំ ក្នុងភាពងងឹតនៃពាណិជ្ជកម្មបោកប្រាស់ដែលមាន “ក្សត្រជាព្រះវិញ្ញាណ” និង “ទុនប្រផេះ” ជាអ្នកនាំផ្លូវ។ — Surawich Verawan คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000072299
    MGRONLINE.COM
    ฮุนเซนกับจักรวาลทุนสีเทา
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโลกเริ่มจับตา “กัมพูชา” ไม่ใช่ในฐานะประเทศที่พ้นจากสงครามกลางเมืองแต่ในฐานะ “ศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์” และ “ธุรกิจสแกม”ระดับโลกซึ่งมีเครือข่ายทุนแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากของนักธุรกิจสัมปทานเขตเศรษฐกิจพิเศษและ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV

    หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา

    Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้

    ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ

    Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025
    เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ
    เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส

    ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก
    ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย
    ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน

    Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร
    ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี
    มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ

    WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน
    เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน”

    Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP
    ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง
    เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง

    ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ
    ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท
    แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ

    การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ
    โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์
    ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว

    การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา
    ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง
    หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที

    ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง
    ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน
    ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล

    https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    🧬 เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้ ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ ✅ Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ➡️ เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส ✅ ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน ✅ Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี ➡️ มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ ✅ WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน ➡️ เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน” ✅ Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP ➡️ ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง ➡️ เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง ‼️ ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ ⛔ ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท ⛔ แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ ‼️ การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ ⛔ โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์ ⛔ ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว ‼️ การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ⛔ ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง ⛔ หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที ‼️ ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง ⛔ ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน ⛔ ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    NEWATLAS.COM
    The first 100% effective HIV prevention drug is approved and going global
    An epidemic that's been sustained for 44 years might finally be quelled, with the milestone approval of the first HIV drug that offers 100% protection with its twice-yearly injections. It's a landmark achievement that stands to save millions of lives across the globe. The makers are also providing…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP

    Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด

    แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา

    กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์

    Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB
    เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี
    ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา

    GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025
    ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ
    รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก

    กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน
    ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล
    มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล

    GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ
    รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์)
    สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน

    ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์
    เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร
    การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

    https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังจอ: เมื่อ Albavisión ถูกโจมตีโดย GLOBAL GROUP Albavisión คือเครือข่ายสื่อขนาดใหญ่ที่มีสถานีโทรทัศน์ 45 ช่อง, สถานีวิทยุ 68 แห่ง, โรงภาพยนตร์กว่า 65 แห่ง และสื่อสิ่งพิมพ์ในกว่า 14 ประเทศทั่วละตินอเมริกา ก่อตั้งโดย Remigio Ángel González นักธุรกิจผู้พลิกฟื้นสื่อที่กำลังล้มให้กลับมาทำกำไรด้วยละครท้องถิ่นและภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 GLOBAL GROUP ซึ่งเป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ได้อ้างว่าเจาะระบบของ Albavisión และขโมยข้อมูลกว่า 400 GB โดยใช้เทคนิคการเจรจาแบบใหม่ผ่านแชตบอท AI ที่รองรับหลายภาษา กลุ่มนี้ยังเคยเรียกค่าไถ่สูงถึง 9.5 BTC (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์) จากเหยื่อรายอื่น และมีประวัติการโจมตีองค์กรสื่ออื่น ๆ เช่น RTC ในอิตาลี และ RTE ที่อาจหมายถึงสถานีในไอร์แลนด์ ✅ Albavisión ถูกโจมตีโดยกลุ่ม GLOBAL GROUP และถูกขโมยข้อมูล 400 GB ➡️ เป็นบริษัทสื่อภาษาสเปนขนาดใหญ่ มีฐานอยู่ที่ไมอามี ➡️ ดำเนินกิจการในกว่า 14 ประเทศในละตินอเมริกา ✅ GLOBAL GROUP เป็นกลุ่มแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่เปิดตัวในมิถุนายน 2025 ➡️ ใช้แชตบอท AI เพื่อเจรจากับเหยื่อโดยอัตโนมัติ ➡️ รองรับหลายภาษาเพื่อขยายเป้าหมายทั่วโลก ✅ กลุ่มนี้ขู่จะเปิดเผยข้อมูลหาก Albavisión ไม่เจรจาภายใน 15 วัน ➡️ ใช้เว็บไซต์บนเครือข่าย Tor สำหรับการเจรจาและเผยแพร่ข้อมูล ➡️ มีประวัติการเปิดเผยข้อมูลเหยื่อแล้ว 18 ราย รวมถึงโรงพยาบาล ✅ GLOBAL GROUP มีแนวโน้มมุ่งเป้าไปที่องค์กรสื่อโดยเฉพาะ ➡️ รายชื่อเหยื่อรวมถึง RTC (อิตาลี) และ RTE (อาจเป็นไอร์แลนด์) ➡️ สะท้อนความพยายามในการโจมตีโครงสร้างสื่อสารมวลชน ✅ ผู้ก่อตั้ง Albavisión คือ Remigio Ángel González มูลค่าส่วนตัวราว 2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในการซื้อกิจการสื่อที่ล้มเหลวแล้วพลิกฟื้นให้ทำกำไร ➡️ การโจมตีจึงอาจเป็นการเลือกเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ https://hackread.com/global-group-ransomware-media-giant-albavision-breach/
    HACKREAD.COM
    GLOBAL GROUP Ransomware Claims Breach of Media Giant Albavisión
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง

    ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI”

    ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล

    Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ
    ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai
    ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026

    ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2
    รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI
    ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน

    เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน
    เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
    ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง
    ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์

    เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis
    เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030
    รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045

    Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ
    ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI
    ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7%

    https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล ✅ Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ ➡️ ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai ➡️ ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026 ✅ ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2 ➡️ รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI ➡️ ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน ✅ เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน ➡️ เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ➡️ ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง ➡️ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis ➡️ เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030 ➡️ รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045 ✅ Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ ➡️ ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7% https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “แพนด้าน่ารัก” ที่แอบขุดคริปโตในเครื่องคุณ

    ลองจินตนาการว่าคุณเปิดภาพแพนด้าน่ารักจากเว็บแชร์รูปภาพ แล้วเบื้องหลังภาพนั้นกลับมีมัลแวร์ที่กำลังใช้ CPU และ GPU ของคุณขุดคริปโตอยู่เงียบ ๆ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า Koske

    Koske เป็นมัลแวร์บน Linux ที่ใช้เทคนิค “polyglot file” คือไฟล์ที่สามารถเป็นได้ทั้งภาพและโค้ดในเวลาเดียวกัน โดยแฮกเกอร์จะฝัง shell script และโค้ด C สำหรับ rootkit ไว้ท้ายไฟล์ JPEG ที่ดูเหมือนภาพแพนด้าธรรมดา เมื่อเปิดด้วยโปรแกรม interpreter มันจะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์

    เป้าหมายของ Koske คือการขุดคริปโตมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa และ Zano โดยเลือกใช้ miner ที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ GPU และสามารถสลับเหรียญหรือพูลได้อัตโนมัติหากมีปัญหา

    ที่น่ากลัวคือ Koske แสดงพฤติกรรมที่ “คล้าย AI” เช่น การตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub หลายชั้น การแก้ไข DNS และ proxy อัตโนมัติ และการค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub — ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจมีการใช้ LLM หรือระบบอัตโนมัติช่วยพัฒนาโค้ด

    Koske เป็นมัลแวร์ Linux ที่ใช้ภาพแพนด้าเป็นตัวหลอก
    ใช้เทคนิค polyglot file ฝังโค้ดไว้ท้ายไฟล์ JPEG
    เมื่อเปิดด้วย interpreter จะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที

    เป้าหมายหลักคือการขุดคริปโต
    รองรับมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa, Zano
    เลือก miner ตามฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ (CPU/GPU)
    สลับพูลหรือเหรียญอัตโนมัติหากมีปัญหา

    ใช้ภาพจากเว็บแชร์รูปภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    เช่น OVH images, freeimage, postimage
    ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย

    แสดงพฤติกรรมคล้าย AI ในการปรับตัว
    ตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub ด้วย curl, wget, TCP
    รีเซ็ต proxy, flush iptables, เปลี่ยน DNS เป็น Cloudflare/Google
    ค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub lists

    พบร่องรอยของต้นทางจากเซอร์เบียและสโลวัก
    IP จากเซอร์เบีย, สคริปต์มีคำเซอร์เบีย, GitHub repo ใช้ภาษาสโลวัก
    ชื่อ “Koske” อาจมาจากคำว่า “กระดูก” ในภาษาท้องถิ่น

    นักวิจัยเชื่อว่าโค้ดถูกช่วยเขียนโดย AI
    โค้ดมีโครงสร้างดี ความเห็นชัดเจน และใช้เทคนิคป้องกันตัวเอง
    ทำให้การวิเคราะห์และระบุผู้เขียนยากขึ้น

    มัลแวร์ Koske สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    รันในหน่วยความจำโดยไม่เขียนลงดิสก์
    ใช้ rootkit ซ่อน process และไฟล์จากเครื่องมือทั่วไป

    การเปิดภาพจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจเป็นช่องทางติดมัลแวร์
    ภาพที่ดู “น่ารัก” อาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่
    ไม่ควรเปิดไฟล์จาก URL ที่ไม่รู้จักผ่าน interpreter หรือ shell

    มัลแวร์นี้ใช้ทรัพยากรเครื่องอย่างหนัก
    ทำให้ค่าไฟและค่า cloud compute สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบและความปลอดภัย

    เป็นตัวอย่างของภัยคุกคามยุคใหม่ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ
    การใช้ LLM ในการสร้างมัลแวร์ทำให้มันปรับตัวได้ดีขึ้น
    อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมัลแวร์ที่ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” ได้แบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/security/a-damaging-new-linux-malware-is-hiding-in-cute-animal-photos
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “แพนด้าน่ารัก” ที่แอบขุดคริปโตในเครื่องคุณ ลองจินตนาการว่าคุณเปิดภาพแพนด้าน่ารักจากเว็บแชร์รูปภาพ แล้วเบื้องหลังภาพนั้นกลับมีมัลแวร์ที่กำลังใช้ CPU และ GPU ของคุณขุดคริปโตอยู่เงียบ ๆ — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมัลแวร์ตัวใหม่ชื่อว่า Koske Koske เป็นมัลแวร์บน Linux ที่ใช้เทคนิค “polyglot file” คือไฟล์ที่สามารถเป็นได้ทั้งภาพและโค้ดในเวลาเดียวกัน โดยแฮกเกอร์จะฝัง shell script และโค้ด C สำหรับ rootkit ไว้ท้ายไฟล์ JPEG ที่ดูเหมือนภาพแพนด้าธรรมดา เมื่อเปิดด้วยโปรแกรม interpreter มันจะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที โดยไม่ทิ้งร่องรอยบนดิสก์ เป้าหมายของ Koske คือการขุดคริปโตมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa และ Zano โดยเลือกใช้ miner ที่เหมาะกับฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น CPU หรือ GPU และสามารถสลับเหรียญหรือพูลได้อัตโนมัติหากมีปัญหา ที่น่ากลัวคือ Koske แสดงพฤติกรรมที่ “คล้าย AI” เช่น การตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub หลายชั้น การแก้ไข DNS และ proxy อัตโนมัติ และการค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub — ทั้งหมดนี้ชี้ว่าอาจมีการใช้ LLM หรือระบบอัตโนมัติช่วยพัฒนาโค้ด ✅ Koske เป็นมัลแวร์ Linux ที่ใช้ภาพแพนด้าเป็นตัวหลอก ➡️ ใช้เทคนิค polyglot file ฝังโค้ดไว้ท้ายไฟล์ JPEG ➡️ เมื่อเปิดด้วย interpreter จะรันโค้ดในหน่วยความจำทันที ✅ เป้าหมายหลักคือการขุดคริปโต ➡️ รองรับมากกว่า 18 สกุล เช่น Monero, Ravencoin, Nexa, Zano ➡️ เลือก miner ตามฮาร์ดแวร์ของเหยื่อ (CPU/GPU) ➡️ สลับพูลหรือเหรียญอัตโนมัติหากมีปัญหา ✅ ใช้ภาพจากเว็บแชร์รูปภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ เช่น OVH images, freeimage, postimage ➡️ ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย ✅ แสดงพฤติกรรมคล้าย AI ในการปรับตัว ➡️ ตรวจสอบการเชื่อมต่อ GitHub ด้วย curl, wget, TCP ➡️ รีเซ็ต proxy, flush iptables, เปลี่ยน DNS เป็น Cloudflare/Google ➡️ ค้นหา proxy ที่ใช้งานได้จาก GitHub lists ✅ พบร่องรอยของต้นทางจากเซอร์เบียและสโลวัก ➡️ IP จากเซอร์เบีย, สคริปต์มีคำเซอร์เบีย, GitHub repo ใช้ภาษาสโลวัก ➡️ ชื่อ “Koske” อาจมาจากคำว่า “กระดูก” ในภาษาท้องถิ่น ✅ นักวิจัยเชื่อว่าโค้ดถูกช่วยเขียนโดย AI ➡️ โค้ดมีโครงสร้างดี ความเห็นชัดเจน และใช้เทคนิคป้องกันตัวเอง ➡️ ทำให้การวิเคราะห์และระบุผู้เขียนยากขึ้น ‼️ มัลแวร์ Koske สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ⛔ รันในหน่วยความจำโดยไม่เขียนลงดิสก์ ⛔ ใช้ rootkit ซ่อน process และไฟล์จากเครื่องมือทั่วไป ‼️ การเปิดภาพจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจเป็นช่องทางติดมัลแวร์ ⛔ ภาพที่ดู “น่ารัก” อาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่ ⛔ ไม่ควรเปิดไฟล์จาก URL ที่ไม่รู้จักผ่าน interpreter หรือ shell ‼️ มัลแวร์นี้ใช้ทรัพยากรเครื่องอย่างหนัก ⛔ ทำให้ค่าไฟและค่า cloud compute สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบและความปลอดภัย ‼️ เป็นตัวอย่างของภัยคุกคามยุคใหม่ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ ⛔ การใช้ LLM ในการสร้างมัลแวร์ทำให้มันปรับตัวได้ดีขึ้น ⛔ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมัลแวร์ที่ “เรียนรู้” และ “ปรับตัว” ได้แบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/security/a-damaging-new-linux-malware-is-hiding-in-cute-animal-photos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อดาวเทียมของ Elon Musk “หลุดลิงก์” ทั่วโลก

    เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้ใช้บน Reddit ที่สังเกตว่า Starlink มีปัญหาในการเชื่อมต่อ และพบข้อความแจ้งเตือนบนหน้าเว็บไซต์หลักของ Starlink ว่า:

    “Starlink is currently experiencing a service outage. Our team is investigating.”

    แต่เมื่อพยายามเข้าเว็บไซต์กลับพบข้อความผิดพลาด เช่น:
    - Error 503: Request timed out
    - Error 54113: Server overloaded

    ซึ่งแสดงว่าเซิร์ฟเวอร์ของ Starlink อาจถูกโหลดหนักจากผู้ใช้ที่พยายามตรวจสอบสถานะบริการ

    จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมจาก SpaceX หรือ Elon Musk ว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบดาวเทียมที่ครอบคลุมทั่วโลกนี้

    Starlink เกิดเหตุขัดข้องทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม 2025
    ผู้ใช้หลายพันรายรายงานว่าไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

    เว็บไซต์ Starlink แสดงข้อความแจ้งเตือนว่ากำลังตรวจสอบปัญหา
    “Starlink is currently experiencing a service outage. Our team is investigating.”

    เว็บไซต์หลักของ Starlink ไม่สามารถเข้าถึงได้
    แสดงข้อความ Error 503 และ Error 54113 ซึ่งอาจเกิดจากเซิร์ฟเวอร์ล่ม

    การรายงานเริ่มต้นจากผู้ใช้ Reddit และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
    แสดงถึงความนิยมและการพึ่งพา Starlink ในหลายพื้นที่

    https://www.neowin.net/news/elon-musks-starlink-loses-all-links-as-it-goes-down-with-a-global-outage/
    🎙️ เรื่องเล่าจากอวกาศ: เมื่อดาวเทียมของ Elon Musk “หลุดลิงก์” ทั่วโลก เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้ใช้บน Reddit ที่สังเกตว่า Starlink มีปัญหาในการเชื่อมต่อ และพบข้อความแจ้งเตือนบนหน้าเว็บไซต์หลักของ Starlink ว่า: 🔖 “Starlink is currently experiencing a service outage. Our team is investigating.” แต่เมื่อพยายามเข้าเว็บไซต์กลับพบข้อความผิดพลาด เช่น: - Error 503: Request timed out - Error 54113: Server overloaded ซึ่งแสดงว่าเซิร์ฟเวอร์ของ Starlink อาจถูกโหลดหนักจากผู้ใช้ที่พยายามตรวจสอบสถานะบริการ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมจาก SpaceX หรือ Elon Musk ว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบดาวเทียมที่ครอบคลุมทั่วโลกนี้ ✅ Starlink เกิดเหตุขัดข้องทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ➡️ ผู้ใช้หลายพันรายรายงานว่าไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ✅ เว็บไซต์ Starlink แสดงข้อความแจ้งเตือนว่ากำลังตรวจสอบปัญหา ➡️ “Starlink is currently experiencing a service outage. Our team is investigating.” ✅ เว็บไซต์หลักของ Starlink ไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ แสดงข้อความ Error 503 และ Error 54113 ซึ่งอาจเกิดจากเซิร์ฟเวอร์ล่ม ✅ การรายงานเริ่มต้นจากผู้ใช้ Reddit และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ➡️ แสดงถึงความนิยมและการพึ่งพา Starlink ในหลายพื้นที่ https://www.neowin.net/news/elon-musks-starlink-loses-all-links-as-it-goes-down-with-a-global-outage/
    WWW.NEOWIN.NET
    Elon Musk's Starlink loses all links as it goes down with a global outage
    Starlink services are currently down and out, as users worldwide are reporting they are unable to access such services as a result of a possible global outage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวมฤตยู โคจรเข้าภพราศีการเงินของโลก
    ยังไม่ได้หา vampire currency method ของสกุลเงิน กลุ่ม BRICS โดยคุณ เจมส์ ริคาร์ดส์

    Currency Wars: The Making of the Next Global Crisis - James Rickards - Google Books https://share.google/IOJU41PZsVylz1CiH
    ดาวมฤตยู โคจรเข้าภพราศีการเงินของโลก ยังไม่ได้หา vampire currency method ของสกุลเงิน กลุ่ม BRICS โดยคุณ เจมส์ ริคาร์ดส์ Currency Wars: The Making of the Next Global Crisis - James Rickards - Google Books https://share.google/IOJU41PZsVylz1CiH
    SHARE.GOOGLE
    Currency Wars
    Dive into the gripping world of international ecocomics through American lawyer, investment banker, media commentator, and author, James G. Rickards's expertise and thought-provoking insights.From collapsed paper currencies and hidden agendas of soveriegn wealth funds to the very real threats of national security, James G. Rickards scrutinizes the history and disastrous outcomes of currency wars, shedding light on the potential crisis that looms over the United States and the world. Rickards dissects failed paradigms and conventional theories while offering a course of action to steer away from impending disaster.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากช่องโหว่ที่ไม่มีใครรู้: เมื่อ SharePoint กลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์

    Microsoft ระบุว่า:
    - ช่องโหว่นี้เกิดใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises (ที่องค์กรติดตั้งเอง) ไม่ใช่เวอร์ชัน cloud
    - กลุ่มแฮกเกอร์จีนที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603
    - ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ
    - แฮกเกอร์สามารถ bypass authentication และปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์

    Google CTO ก็ออกมายืนยันว่าอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มมีความเชื่อมโยงกับจีน และ Microsoft ประเมินว่า “กลุ่มอื่น ๆ จะเร่งนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ”

    แม้สถานทูตจีนจะออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีหลักฐาน” และ “จีนต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทุกรูปแบบ” แต่ Microsoft ยังคงเดินหน้าปล่อยแพตช์ฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ และเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบอย่างเร่งด่วน

    Microsoft พบช่องโหว่ zero-day ใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises ที่ถูกใช้โจมตีองค์กรทั่วโลก
    กลุ่มแฮกเกอร์สามารถปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    กลุ่มที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603
    มีประวัติเกี่ยวข้องกับ ransomware และการจารกรรมไซเบอร์

    ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ
    แสดงถึงการโจมตีแบบ targeted และมีการเตรียมการล่วงหน้า

    SharePoint เวอร์ชัน cloud-hosted ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้
    ปัญหาเกิดเฉพาะในระบบที่องค์กรติดตั้งและดูแลเอง

    Microsoft ปล่อยแพตช์ฉุกเฉินและเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบทันที
    พร้อมประเมินว่ากลุ่มแฮกเกอร์อื่นจะนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ

    Google CTO ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับจีนในอย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม
    เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อกล่าวหาของ Microsoft

    https://wccftech.com/microsoft-accuses-chinese-hackers-of-exploiting-critical-sharepoint-zero-day-vulnerability-in-massive-global-cyberattack-targeting-government-agencies-businesses-and-sensitive-infrastructure/
    🎙️ เรื่องเล่าจากช่องโหว่ที่ไม่มีใครรู้: เมื่อ SharePoint กลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์ Microsoft ระบุว่า: - ช่องโหว่นี้เกิดใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises (ที่องค์กรติดตั้งเอง) ไม่ใช่เวอร์ชัน cloud - กลุ่มแฮกเกอร์จีนที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603 - ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ - แฮกเกอร์สามารถ bypass authentication และปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์ Google CTO ก็ออกมายืนยันว่าอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มมีความเชื่อมโยงกับจีน และ Microsoft ประเมินว่า “กลุ่มอื่น ๆ จะเร่งนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ” แม้สถานทูตจีนจะออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีหลักฐาน” และ “จีนต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ทุกรูปแบบ” แต่ Microsoft ยังคงเดินหน้าปล่อยแพตช์ฉุกเฉินเพื่ออุดช่องโหว่ และเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบอย่างเร่งด่วน ✅ Microsoft พบช่องโหว่ zero-day ใน SharePoint เวอร์ชัน on-premises ที่ถูกใช้โจมตีองค์กรทั่วโลก ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์สามารถปลอมตัวเป็นผู้ใช้ที่ได้รับสิทธิ์โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ กลุ่มที่ถูกกล่าวหาคือ Linen Typhoon, Violent Typhoon และ Storm-2603 ➡️ มีประวัติเกี่ยวข้องกับ ransomware และการจารกรรมไซเบอร์ ✅ ช่องโหว่ถูกใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ก่อนที่ Microsoft จะเปิดเผยต่อสาธารณะ ➡️ แสดงถึงการโจมตีแบบ targeted และมีการเตรียมการล่วงหน้า ✅ SharePoint เวอร์ชัน cloud-hosted ไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้ ➡️ ปัญหาเกิดเฉพาะในระบบที่องค์กรติดตั้งและดูแลเอง ✅ Microsoft ปล่อยแพตช์ฉุกเฉินและเตือนผู้ใช้ให้ตรวจสอบระบบทันที ➡️ พร้อมประเมินว่ากลุ่มแฮกเกอร์อื่นจะนำช่องโหว่นี้ไปใช้ต่อ ✅ Google CTO ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับจีนในอย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม ➡️ เพิ่มน้ำหนักให้กับข้อกล่าวหาของ Microsoft https://wccftech.com/microsoft-accuses-chinese-hackers-of-exploiting-critical-sharepoint-zero-day-vulnerability-in-massive-global-cyberattack-targeting-government-agencies-businesses-and-sensitive-infrastructure/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปเล็กจิ๋ว: เมื่อแสงควอนตัมถูกผลิตบนซิลิคอนแบบเดียวกับ CPU

    ชิปนี้ใช้โครงสร้างที่เรียกว่า microring resonators จำนวน 12 วง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม — โดยปกติการผลิตโฟตอนแบบนี้ต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้เกิดขึ้นบนชิปขนาดเท่าเล็บนิ้ว

    ความท้าทายคือ microring resonators มีความไวต่ออุณหภูมิและความคลาดเคลื่อนในการผลิต — หากไม่ปรับจูนอย่างแม่นยำจะไม่สามารถผลิตโฟตอนได้ ทีมจึงสร้างระบบ feedback บนชิป:
    - มี photodiode ตรวจสอบการทำงานของแต่ละ resonator
    - มี heater และวงจรควบคุมปรับจูนอัตโนมัติ
    - ทำให้ทั้ง 12 วงทำงานร่วมกันได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก

    ชิปนี้ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ซึ่งแม้จะไม่ใช่ระดับ cutting-edge แต่มีความเสถียรและสามารถผลิตจำนวนมากได้ในโรงงานทั่วไป เช่นของ GlobalFoundries และ Ayar Labs

    Nvidia CEO ยังเคยกล่าวว่า microring resonators คือ “หัวใจของการเชื่อมต่อแบบ optical สำหรับ AI” — และงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน

    นักวิจัยสร้าง “โรงงานแสงควอนตัม” บนชิปขนาด 1 มม² โดยใช้ CMOS 45nm
    เป็นการรวม photonics, electronics และ quantum optics บนแพลตฟอร์มเดียว

    ใช้ microring resonators 12 วงเพื่อผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม
    โดยปกติการผลิตโฟตอนต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน

    มีระบบ feedback บนชิปเพื่อปรับจูน resonator แบบเรียลไทม์
    ใช้ photodiode, heater และวงจรควบคุมเพื่อให้ทำงานเสถียร

    ผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ที่ใช้ใน CPU และ GPU ทั่วไป
    ทำให้สามารถผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทาง

    ชิปนี้ถูกพัฒนาร่วมกับ GlobalFoundries และ Ayar Labs
    บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน optical interconnects สำหรับ AI และ HPC

    Nvidia เคยกล่าวว่า microring resonators คือกุญแจสำคัญของการเชื่อมต่อ AI แบบ optical
    งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน

    นักวิจัยบางคนในทีมได้เข้าร่วมบริษัทเชิงพาณิชย์ เช่น PsiQuantum, Ayar Labs และ Google X
    แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์จริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/researchers-pack-a-quantum-light-factory-into-a-1mm-square-chip-combines-photonics-electronics-and-quantum-hardware-with-traditional-silicon-manufacturing
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปเล็กจิ๋ว: เมื่อแสงควอนตัมถูกผลิตบนซิลิคอนแบบเดียวกับ CPU ชิปนี้ใช้โครงสร้างที่เรียกว่า microring resonators จำนวน 12 วง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม — โดยปกติการผลิตโฟตอนแบบนี้ต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้เกิดขึ้นบนชิปขนาดเท่าเล็บนิ้ว ความท้าทายคือ microring resonators มีความไวต่ออุณหภูมิและความคลาดเคลื่อนในการผลิต — หากไม่ปรับจูนอย่างแม่นยำจะไม่สามารถผลิตโฟตอนได้ ทีมจึงสร้างระบบ feedback บนชิป: - มี photodiode ตรวจสอบการทำงานของแต่ละ resonator - มี heater และวงจรควบคุมปรับจูนอัตโนมัติ - ทำให้ทั้ง 12 วงทำงานร่วมกันได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก ชิปนี้ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ซึ่งแม้จะไม่ใช่ระดับ cutting-edge แต่มีความเสถียรและสามารถผลิตจำนวนมากได้ในโรงงานทั่วไป เช่นของ GlobalFoundries และ Ayar Labs Nvidia CEO ยังเคยกล่าวว่า microring resonators คือ “หัวใจของการเชื่อมต่อแบบ optical สำหรับ AI” — และงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน ✅ นักวิจัยสร้าง “โรงงานแสงควอนตัม” บนชิปขนาด 1 มม² โดยใช้ CMOS 45nm ➡️ เป็นการรวม photonics, electronics และ quantum optics บนแพลตฟอร์มเดียว ✅ ใช้ microring resonators 12 วงเพื่อผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม ➡️ โดยปกติการผลิตโฟตอนต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน ✅ มีระบบ feedback บนชิปเพื่อปรับจูน resonator แบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้ photodiode, heater และวงจรควบคุมเพื่อให้ทำงานเสถียร ✅ ผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ที่ใช้ใน CPU และ GPU ทั่วไป ➡️ ทำให้สามารถผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทาง ✅ ชิปนี้ถูกพัฒนาร่วมกับ GlobalFoundries และ Ayar Labs ➡️ บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน optical interconnects สำหรับ AI และ HPC ✅ Nvidia เคยกล่าวว่า microring resonators คือกุญแจสำคัญของการเชื่อมต่อ AI แบบ optical ➡️ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน ✅ นักวิจัยบางคนในทีมได้เข้าร่วมบริษัทเชิงพาณิชย์ เช่น PsiQuantum, Ayar Labs และ Google X ➡️ แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์จริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/researchers-pack-a-quantum-light-factory-into-a-1mm-square-chip-combines-photonics-electronics-and-quantum-hardware-with-traditional-silicon-manufacturing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป

    Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย

    เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น:
    - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ
    - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก
    - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่

    ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง
    ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม

    Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น
    ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

    Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier
    เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน

    Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง
    ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน

    ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30%
    เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี

    Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต
    โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์

    Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์
    ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้

    การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ
    หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก

    การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
    ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง

    ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป
    ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    🎙️ เรื่องเล่าจากตู้เย็นแห่งอนาคต: เมื่อความเย็นไม่ต้องพึ่งสารเคมีอีกต่อไป Samsung ได้พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบางร่วมกับ Johns Hopkins APL ซึ่งใช้หลักการ “Peltier effect” คือการถ่ายเทความร้อนผ่านกระแสไฟฟ้า — ด้านหนึ่งดูดความร้อน อีกด้านปล่อยออก โดยไม่ต้องใช้สารทำความเย็นเลย เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในตู้เย็นรุ่น Bespoke AI Hybrid Refrigerator ที่เปิดตัวในปี 2024 ซึ่งใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier โดยเลือกใช้งานตามสถานการณ์ เช่น: - ใช้คอมเพรสเซอร์ในสภาวะปกติ - ใช้ Peltier เมื่อมีการแช่ของร้อนหรือปริมาณมาก - ใช้ Peltier ระหว่างการละลายน้ำแข็ง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ล่าสุด Samsung ได้พัฒนา Peltier แบบฟิล์มบางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 75% และลดการใช้พลังงานได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับมาตรฐานประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี เป้าหมายระยะยาวคือการสร้างตู้เย็นที่ใช้ Peltier เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องพึ่งสารทำความเย็นเลย — เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Samsung ร่วมกับ Johns Hopkins APL พัฒนาอุปกรณ์ Peltier แบบฟิล์มบาง ➡️ ใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความร้อนสะสม ✅ Peltier cooling ใช้ไฟฟ้าในการถ่ายเทความร้อน ไม่ต้องใช้สารทำความเย็น ➡️ ทำให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและออกแบบตู้เย็นได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ✅ Bespoke AI Hybrid Refrigerator ใช้ระบบไฮบริดระหว่างคอมเพรสเซอร์และ Peltier ➡️ เลือกใช้งานตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดพลังงาน ✅ Peltier ถูกติดตั้งด้านบนของตู้เย็น ส่วนคอมเพรสเซอร์อยู่ด้านล่าง ➡️ ลดการรบกวนกันของความร้อนและเพิ่มความเสถียรของอุณหภูมิภายใน ✅ ประสิทธิภาพของ Peltier รุ่นใหม่สูงขึ้น 75% และลดพลังงานได้ถึง 30% ➡️ เมื่อเทียบกับเกณฑ์ประหยัดพลังงานระดับสูงสุดของเกาหลี ✅ Samsung ตั้งเป้าพัฒนา “ตู้เย็นที่ไม่มีสารทำความเย็นเลย” ในอนาคต ➡️ โดยใช้ Peltier cooling ร่วมกับ AI, การพิมพ์ 3D และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ‼️ Peltier cooling ยังมีข้อจำกัดด้านกำลังทำความเย็นเมื่อเทียบกับคอมเพรสเซอร์ ⛔ ต้องใช้ร่วมกับระบบอื่นในช่วงแรกก่อนจะพัฒนาให้ใช้เดี่ยวได้ ‼️ การถ่ายเทความร้อนของ Peltier ต้องควบคุมอุณหภูมิทั้งสองด้านอย่างแม่นยำ ⛔ หากไม่จัดการดี ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก ‼️ การใช้วัสดุฟิล์มบางอาจมีปัญหาเรื่องความทนทานและการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ⛔ ต้องพัฒนาเทคนิคการประกอบและวัสดุเสริมเพื่อให้ใช้งานได้จริง ‼️ ตู้เย็นรุ่นใหม่ยังจำกัดเฉพาะบางประเทศ เช่น เกาหลี สหรัฐฯ และยุโรป ⛔ ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่นในอินเดียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://news.samsung.com/global/interview-staying-cool-without-refrigerants-how-samsung-is-pioneering-next-generation-peltier-cooling
    NEWS.SAMSUNG.COM
    [Interview] Staying Cool Without Refrigerants: How Samsung Is Pioneering Next-Generation Peltier Cooling
    On June 28, Samsung Electronics, together with the Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory (APL), published a paper on next-generation Peltier
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก LLMs: พาไปส่องโครงสร้างภายในของโมเดล AI ยักษ์ยุคใหม่

    7 ปีผ่านไปจาก GPT-2 ถึงวันนี้ แม้โมเดลจะดูคล้ายกันมาก แต่ภายใต้ “กลไกเล็ก ๆ” กลับมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องประสิทธิภาพและหน่วยความจำ เช่น:
    - เปลี่ยนจาก Multi-Head Attention (MHA) เป็น Grouped-Query Attention (GQA)
    - ใช้ Multi-Head Latent Attention (MLA) ในบางโมเดล เช่น DeepSeek V3
    - การใช้ Mixture-of-Experts (MoE) เพื่อเพิ่มพารามิเตอร์โดยไม่เพิ่มต้นทุน inference
    - การปรับตำแหน่งของ Normalization Layer เพื่อให้โมเดลเสถียรขึ้น
    - ใช้ Sliding Window Attention และ QK-Norm เพื่อประหยัด KV cache และเร่งการเรียนรู้
    - ลดขนาดโมเดลโดยยังให้ความสามารถสูง เช่น SmolLM3 กับ Gemma 3n

    DeepSeek V3 ใช้ Multi-Head Latent Attention (MLA) แทน GQA เพื่อประหยัด KV cache
    ขณะเดียวกันยังให้ผลลัพธ์ดีกว่า MHA และใช้พารามิเตอร์น้อยลง
    MLA แม้มีผลดี แต่ยังใหม่และซับซ้อนในการ implement
    ต้องใช้การบีบอัดและ projection ซึ่งเพิ่มขั้นตอนในการ inference

    DeepSeek V3 ใช้ Mixture-of-Experts (MoE) ที่มี 256 expert layers
    ใช้เพียง 9 expert ต่อ token ขณะ inference ทำให้ประหยัดพลังงาน
    การใช้ MoE ทำให้ parameter ทั้งหมดเยอะมาก แม้จะใช้จริงเพียงส่วนน้อย
    หากระบบ routing ไม่ดีหรือไม่เสถียร อาจเกิด undertraining ในบาง expert

    OLMo 2 ใช้ Post-Norm แบบใหม่ และเพิ่ม QK-Norm ภายใน attention block
    ช่วยเสถียรภาพในการฝึกและลด loss
    QK-Norm และการสลับ Pre/Post-Norm ต้องทดลองอย่างระวัง
    ถ้าใช้ผิดจังหวะอาจทำให้ training loss แปรปรวน

    Gemma 3 ใช้ Sliding Window Attention เพื่อลดการใช้หน่วยความจำ
    ลดขนาด window เหลือ 1024 token และมี Global Attention เฉพาะบางชั้น
    Sliding Window Attention ลด memory แต่ไม่ลด latency เสมอไป
    เพราะยังต้องประมวลผลแบบ local ซึ่งไม่สามารถใช้ FlashAttention ได้เต็มที่

    Gemma 3n ใช้ Per-Layer Embedding เพื่อให้ inference บนอุปกรณ์เล็ก
    แยก parameter บางส่วนไว้บน CPU หรือ SSD แล้วโหลดตามต้องการ
    Per-Layer Embedding ทำให้พารามิเตอร์ถูกสตรีมจากอุปกรณ์ภายนอก
    ถ้า bandwidth หรือ latency สูงเกินไปจะกระทบต่อการ inference อย่างหนัก

    Mistral Small 3.1 เลิกใช้ Sliding Attention เพื่อรองรับ FlashAttention แบบเต็ม
    ทำให้ inference เร็วขึ้นแม้จะมีพารามิเตอร์ใกล้เคียงกับ Gemma 3

    Llama 4 ใช้ MoE แบบ alternated (สลับชั้น MoE กับ Dense)
    Active parameter มีแค่ 17B แม้ model จะมี 400B

    Qwen3 มีรุ่น dense ขนาดเล็กมาก (เช่น 0.6B) และ MoE ขนาดใหญ่ถึง 235B
    รุ่น MoE ไม่มี shared expert แต่ยังใช้ GQA เหมือนรุ่นก่อน

    SmolLM3 ใช้ NoPE (No Positional Embeddings) แบบไม่ระบุตำแหน่งเลย
    แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้ embedding ก็สามารถเรียนรู้ลำดับได้บางส่วน
    การไม่มี Positional Embedding (เช่น NoPE) อาจกระทบโมเดลใน task ที่ต้องอิงลำดับ
    เช่นการสรุปเนื้อหายาว หรือการจัดเรียงข้อมูลตามเวลา

    https://magazine.sebastianraschka.com/p/the-big-llm-architecture-comparison
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก LLMs: พาไปส่องโครงสร้างภายในของโมเดล AI ยักษ์ยุคใหม่ 7 ปีผ่านไปจาก GPT-2 ถึงวันนี้ แม้โมเดลจะดูคล้ายกันมาก แต่ภายใต้ “กลไกเล็ก ๆ” กลับมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องประสิทธิภาพและหน่วยความจำ เช่น: - เปลี่ยนจาก Multi-Head Attention (MHA) เป็น Grouped-Query Attention (GQA) - ใช้ Multi-Head Latent Attention (MLA) ในบางโมเดล เช่น DeepSeek V3 - การใช้ Mixture-of-Experts (MoE) เพื่อเพิ่มพารามิเตอร์โดยไม่เพิ่มต้นทุน inference - การปรับตำแหน่งของ Normalization Layer เพื่อให้โมเดลเสถียรขึ้น - ใช้ Sliding Window Attention และ QK-Norm เพื่อประหยัด KV cache และเร่งการเรียนรู้ - ลดขนาดโมเดลโดยยังให้ความสามารถสูง เช่น SmolLM3 กับ Gemma 3n ✅ DeepSeek V3 ใช้ Multi-Head Latent Attention (MLA) แทน GQA เพื่อประหยัด KV cache ➡️ ขณะเดียวกันยังให้ผลลัพธ์ดีกว่า MHA และใช้พารามิเตอร์น้อยลง ‼️ MLA แม้มีผลดี แต่ยังใหม่และซับซ้อนในการ implement ⛔ ต้องใช้การบีบอัดและ projection ซึ่งเพิ่มขั้นตอนในการ inference ✅ DeepSeek V3 ใช้ Mixture-of-Experts (MoE) ที่มี 256 expert layers ➡️ ใช้เพียง 9 expert ต่อ token ขณะ inference ทำให้ประหยัดพลังงาน ‼️ การใช้ MoE ทำให้ parameter ทั้งหมดเยอะมาก แม้จะใช้จริงเพียงส่วนน้อย ⛔ หากระบบ routing ไม่ดีหรือไม่เสถียร อาจเกิด undertraining ในบาง expert ✅ OLMo 2 ใช้ Post-Norm แบบใหม่ และเพิ่ม QK-Norm ภายใน attention block ➡️ ช่วยเสถียรภาพในการฝึกและลด loss ‼️ QK-Norm และการสลับ Pre/Post-Norm ต้องทดลองอย่างระวัง ⛔ ถ้าใช้ผิดจังหวะอาจทำให้ training loss แปรปรวน ✅ Gemma 3 ใช้ Sliding Window Attention เพื่อลดการใช้หน่วยความจำ ➡️ ลดขนาด window เหลือ 1024 token และมี Global Attention เฉพาะบางชั้น ‼️ Sliding Window Attention ลด memory แต่ไม่ลด latency เสมอไป ⛔ เพราะยังต้องประมวลผลแบบ local ซึ่งไม่สามารถใช้ FlashAttention ได้เต็มที่ ✅ Gemma 3n ใช้ Per-Layer Embedding เพื่อให้ inference บนอุปกรณ์เล็ก ➡️ แยก parameter บางส่วนไว้บน CPU หรือ SSD แล้วโหลดตามต้องการ ‼️ Per-Layer Embedding ทำให้พารามิเตอร์ถูกสตรีมจากอุปกรณ์ภายนอก ⛔ ถ้า bandwidth หรือ latency สูงเกินไปจะกระทบต่อการ inference อย่างหนัก ✅ Mistral Small 3.1 เลิกใช้ Sliding Attention เพื่อรองรับ FlashAttention แบบเต็ม ➡️ ทำให้ inference เร็วขึ้นแม้จะมีพารามิเตอร์ใกล้เคียงกับ Gemma 3 ✅ Llama 4 ใช้ MoE แบบ alternated (สลับชั้น MoE กับ Dense) ➡️ Active parameter มีแค่ 17B แม้ model จะมี 400B ✅ Qwen3 มีรุ่น dense ขนาดเล็กมาก (เช่น 0.6B) และ MoE ขนาดใหญ่ถึง 235B ➡️ รุ่น MoE ไม่มี shared expert แต่ยังใช้ GQA เหมือนรุ่นก่อน ✅ SmolLM3 ใช้ NoPE (No Positional Embeddings) แบบไม่ระบุตำแหน่งเลย ➡️ แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้ embedding ก็สามารถเรียนรู้ลำดับได้บางส่วน ‼️ การไม่มี Positional Embedding (เช่น NoPE) อาจกระทบโมเดลใน task ที่ต้องอิงลำดับ ⛔ เช่นการสรุปเนื้อหายาว หรือการจัดเรียงข้อมูลตามเวลา https://magazine.sebastianraschka.com/p/the-big-llm-architecture-comparison
    MAGAZINE.SEBASTIANRASCHKA.COM
    The Big LLM Architecture Comparison
    From DeepSeek-V3 to Kimi K2: A Look At Modern LLM Architecture Design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดี⭐️⭐️
    HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

    วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568—
    วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO-
    “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว

    “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป”
    รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“
    คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว

    “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก
    เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)”
    วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว

    “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว

    “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว

    “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว

    การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ

    HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations

    WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable.
    https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html
    July 18, 2025
    ☘️🌿 ข่าวดี⭐️⭐️ HHS และกระทรวงการต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาปฏิเสธการแก้ไขกฎระเบียบด้านสุขภาพระหว่างประเทศ วอชิงตัน—18 กรกฎาคม 2568— วันนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา และ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการแก้ไขข้อบังคับด้านสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ปี 2567 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการกฎหมายสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขนี้จะทำให้ WHO สามารถสั่งปิดประเทศทั่วโลก จำกัดการเดินทาง หรือมาตรการอื่นใดที่ WHO เห็นสมควร เพื่อรับมือกับ “ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้น” ที่คลุมเครือ กฎระเบียบเหล่านี้จะมีผลผูกพันหากไม่ได้รับการปฏิเสธภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 โดยไม่คำนึงถึงการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจาก WHO- “การแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เสนอขึ้นนี้เปิดโอกาสให้เกิดการจัดการเรื่องเล่า การโฆษณาชวนเชื่อ และการเซ็นเซอร์แบบที่เราพบเห็นในช่วงการระบาดของโควิด-19” รัฐมนตรีเคนเนดีกล่าว “สหรัฐอเมริกาสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นๆ โดยไม่กระทบต่อเสรีภาพพลเมืองของเรา โดยไม่บ่อนทำลายรัฐธรรมนูญของเรา และโดยไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตยอันล้ำค่าของอเมริกาไป” รัฐมนตรีเคนเนดียังเผยแพร่วิดีโอ ด้วยอธิบายการกระทำดังกล่าวให้ชาวอเมริกันทราบ“ คำศัพท์ที่ใช้ตลอดทั้งฉบับแก้ไขเพิ่มเติมกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2567 นั้นคลุมเครือและกว้างเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองระหว่างประเทศที่ประสานงานโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทางการเมือง เช่น ความสามัคคี มากกว่าการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” รัฐมนตรีรูบิโอกล่าว “หน่วยงานของเราได้ดำเนินการอย่างชัดเจนมาโดยตลอดและจะยังคงดำเนินการต่อไป นั่นคือ เราจะให้ความสำคัญกับชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกในทุกการกระทำของเรา และเราจะไม่ยอมให้มีนโยบายระหว่างประเทศที่ละเมิดสิทธิในการพูด ความเป็นส่วนตัว หรือเสรีภาพส่วนบุคคลของชาวอเมริกัน”เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สมัชชาอนามัยโลก (WHA) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของ WHO ได้นำข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศฉบับแก้ไขมาใช้โดยผ่านกระบวนการเร่งรีบ ขาดการอภิปรายและการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะอย่างเพียงพอคำชื่นชมต่อการกระทำในวันนี้จากสมาชิกรัฐสภา:การระบาดใหญ่ของโควิด-19 เผยให้เห็นว่าความไร้ประสิทธิภาพและการคอร์รัปชันขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอย่างครอบคลุม แทนที่จะจัดการกับนโยบายสาธารณสุขที่ย่ำแย่ในช่วงโควิด องค์การอนามัยโลกกลับต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎระเบียบสุขภาพระหว่างประเทศและสนธิสัญญาโรคระบาดเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในประเทศสมาชิก ซึ่งอาจรวมถึงการตอบสนองที่เข้มงวดแต่ล้มเหลว เช่น การปิดธุรกิจและโรงเรียน และคำสั่งให้ฉีดวัคซีน ตั้งแต่ปี 2565 ผมได้นำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการไม่เตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดขององค์การอนามัยโลกโดยปราศจากการอนุมัติจากวุฒิสภาซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาจะไม่อนุญาตให้องค์การอนามัยโลกใช้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อทำลายล้างประเทศชาติ ผมสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศ (IHR)” วุฒิสมาชิกรอน จอห์นสันกล่าว “นโยบายสาธารณสุขของอเมริกาเป็นของชาวอเมริกัน และไม่ควรถูกกำหนดโดยนักโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์การอนามัยโลกหรือสหประชาชาติ WHO ได้แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า WHO ไม่สามารถไว้วางใจได้ และผมรู้สึกขอบคุณที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยของอเมริกา” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทอม ทิฟฟานี กล่าว “สหรัฐอเมริกาต้องไม่สละอำนาจอธิปไตยของเราให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมรัฐมนตรีเคนเนดีและรัฐมนตรีรูบิโอที่ปฏิเสธการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสุขภาพระหว่างประเทศ (IHR) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ไม่รอบคอบ ผมสนับสนุนให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก WHO และตัดงบประมาณองค์กรที่กระหายอำนาจของตนมานานแล้ว กฎหมายของผม HR 401 ซึ่งนำเสนอครั้งแรกในรัฐสภาชุดที่ 117 ถือเป็นการกระทำเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมพันธกิจของอเมริกาต้องมาก่อนและเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพ WHO ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือที่อาจเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเราต้องมั่นใจว่าจะไม่มีรัฐบาลชุดใดในอนาคตที่จะมอบความชอบธรรมหรืออำนาจใดๆ ให้แก่พวกเขาเหนือสุขภาพของชาวอเมริกัน” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิป รอยกล่าว “รัฐมนตรีเคนเนดีและประธานาธิบดีทรัมป์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก WHO เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ปราศจากความรับผิดชอบ ซึ่งมอบสิทธิเสรีภาพด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนให้กับข้าราชการที่ทุจริต ผมรู้สึกขอบคุณรัฐมนตรีเคนเนดีที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อข้อตกลงโรคระบาดของ WHO ซึ่งจะปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน เรามาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และมีสุขภาพดีอีกครั้งกันเถอะ” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแอนดี บิ๊กส์ กล่าว การประกาศในวันนี้ถือเป็นการดำเนินการล่าสุดของรัฐมนตรีเคนเนดีและ HHS ในการให้ WHOรับผิดชอบ HHS & State Department: The United States Rejects Amendments to International Health Regulations WASHINGTON—JULY 18, 2025—U.S. Health and Human Services Secretary Robert F. Kennedy, Jr. and Secretary of State Marco Rubio today issued a Joint Statement of formal rejection by the United States of the 2024 International Heath Regulations (IHR) Amendments by the World Health Organization (WHO).The amended IHR would give the WHO the ability to order global lockdowns, travel restrictions, or any other measures it sees fit to respond to nebulous “potential public health risks.” These regulations are set to become binding if not rejected by July 19, 2025, regardless of the United States’ withdrawal from the WHO.“The proposed amendments to the International Health Regulations open the door to the kind of narrative management, propaganda, and censorship that we saw during the COVID pandemic,” Secretary Kennedy said. “The United States can cooperate with other nations without jeopardizing our civil liberties, without undermining our Constitution, and without ceding away America’s treasured sovereignty.”Secretary Kennedy also released a video explaining the action to the American people.“Terminology throughout the amendments to the 2024 International Health Regulations is vague and broad, risking WHO-coordinated international responses that focus on political issues like solidarity, rather than rapid and effective actions,” Secretary Rubio said. “Our Agencies have been and will continue to be clear: we will put Americans first in all our actions and we will not tolerate international policies that infringe on Americans’ speech, privacy, or personal liberties.”On June 1, 2024, the World Health Assembly (WHA), the highest decision-making body of the WHO, adopted a revised version of the International Health Regulations through a rushed process lacking sufficient debate and public input.Praise for today’s action from members of Congress:“The COVID-19 pandemic exposed how the incompetency and corruption at the WHO demands comprehensive reforms. Instead of addressing its disastrous public health policies during COVID, the WHO wants International Health Regulation amendments and a pandemic treaty to declare public health emergencies in member states, which could include failed draconian responses like business and school closures and vaccine mandates. Since 2022, I have led the No WHO Pandemic Preparedness Treaty Without Senate Approval Act, which the House passed last year. The United States will not allow the WHO to use public health emergencies to devastate our nation. I fully support the Trump administration’s decision to reject the IHR amendments,” said Senator Ron Johnson.“America’s public health policy belongs to the American people and should never be dictated by unelected globalists at the WHO or the UN. Time and time again, the WHO has demonstrated it cannot be trusted, and I am grateful that the Trump administration is standing strong to protect American sovereignty,” said Congressman Tom Tiffany.“The United States must never cede our sovereignty to any international entity or organization. I applaud Secretary Kennedy and Secretary Rubio for rejecting the World Health Organization’s (WHO) ill-advised International Health Regulations (IHR) amendments. I have long supported the U.S. withdrawing from the WHO and defunding their power-hungry organization. My legislation, H.R. 401, first introduced in the 117th Congress, does just that while advancing the mission statements of America First and Healthcare Freedom. The WHO, a widely discredited international organization, lost any potential credibility during the COVID-19 pandemic, and we must ensure no future administration grants them any legitimacy or further power over the health of Americans," said Congressman Chip Roy.“Secretary Kennedy and President Trump have proven their commitment to putting America First. WHO is an unaccountable international organization that hands individuals’ healthcare freedoms to corrupt bureaucrats. I’m thankful for Secretary Kennedy’s firm stance against WHO’s Pandemic Agreement that will protect Americans’ health freedom and privacy. Let’s Make America Great and Healthy Again,” said Congressman Andy Biggs.Today’s announcement is the latest action by Secretary Kennedy and HHS to hold the WHO accountable. https://www.hhs.gov/press-room/state-department-hhs-rejects-amendments-to-international-health-regulations.html July 18, 2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries

    ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz

    MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น:
    - Workstation ของ Silicon Graphics
    - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก
    - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA

    แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส

    แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ

    ข้อมูลจากข่าว
    - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA
    - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988
    - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD
    - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries
    - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing
    - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด
    - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ”

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง
    - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ
    - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์
    - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่
    - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    MIPS จากตำนาน RISC สู่การเริ่มต้นใหม่ในอ้อมแขนของ GlobalFoundries ย้อนกลับไปในยุค 1980s MIPS คือหนึ่งในผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรม RISC (Reduced Instruction Set Computing) โดยมี John Hennessy จาก Stanford เป็นผู้ร่วมออกแบบ และเปิดตัว CPU รุ่นแรกคือ R2000 ซึ่งมีเพียง 110,000 ทรานซิสเตอร์ แต่สามารถทำงานได้เร็วถึง 15MHz MIPS เคยเป็นคู่แข่งของ Intel และ Arm และมีบทบาทสำคัญในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น: - Workstation ของ Silicon Graphics - เครื่องเล่นเกม Sony PlayStation รุ่นแรก - ยานสำรวจอวกาศ New Horizons ของ NASA แต่หลังจากนั้น MIPS ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง—ผ่าน Silicon Graphics, Imagination Technologies, Tallwood Ventures และ Wave Computing ก่อนจะล้มละลายและกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยหันไปใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบโอเพนซอร์ส แม้จะเปิดตัวซีรีส์ eVocore และ Atlas Explorer เพื่อเจาะตลาด AI และ edge computing แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากนัก จนล่าสุด GlobalFoundries เข้าซื้อกิจการ และจะให้ MIPS ดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระที่เน้น AI, อุตสาหกรรม และระบบอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลจากข่าว - MIPS เคยเป็นผู้นำด้าน RISC และอยู่เบื้องหลัง PlayStation รุ่นแรกและภารกิจของ NASA - เปิดตัว CPU รุ่นแรก R2000 ในปี 1986 และ R3000 ในปี 1988 - ถูกซื้อโดย GlobalFoundries ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตชิปของ AMD - MIPS จะดำเนินงานเป็นหน่วยธุรกิจอิสระภายใต้ GlobalFoundries - เป้าหมายใหม่คือ AI, ระบบอัตโนมัติ และ edge computing - เคยเปลี่ยนมาใช้ RISC-V architecture เพื่อกลับเข้าสู่ตลาด - CEO ของ MIPS มองว่าการเข้าร่วม GlobalFoundries คือ “การเริ่มต้นบทใหม่ที่กล้าหาญ” ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - แม้จะมีประวัติยิ่งใหญ่ แต่ MIPS ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด AI ได้จริง - การเปลี่ยนมือบ่อยครั้งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของโมเดลธุรกิจ - RISC-V แม้จะเป็นมาตรฐานเปิด แต่ยังมีความไม่แน่นอนในด้าน ecosystem และการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ - การพึ่งพา GlobalFoundries อาจทำให้ MIPS ต้องปรับตัวตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่ - ผู้พัฒนาและองค์กรที่ใช้ IP ของ MIPS ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว https://www.techradar.com/pro/arms-legendary-rival-was-in-the-original-playstation-now-in-a-twist-of-fate-mips-has-been-sold-to-amds-former-foundry
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 365 มุมมอง 0 รีวิว
  • Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย

    จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์

    หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น:
    - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด
    - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง
    - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก
    - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้
    - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023

    สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่:
    - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D
    - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight
    - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง
    - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ
    - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    Zombie Fabs – ความฝันชิปจีนที่กลายเป็นฝันร้าย จีนพยายามผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่ตั้งเป้าให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก แต่เบื้องหลังความคืบหน้ากลับมีโครงการล้มเหลวมากมายที่เผาเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ หลายโครงการสร้างโรงงานผลิตชิป (fabs) ขนาดใหญ่ แต่ไม่เคยติดตั้งเครื่องจักรหรือเริ่มผลิตจริง กลายเป็น “zombie fabs” ที่ถูกทิ้งร้าง เช่น: - HSMC ลงทุน $19B เพื่อสร้างโรงงาน 14nm/7nm แต่ถูกยึดโดยรัฐบาลท้องถิ่นหลังเงินหมด - QXIC พยายามสร้างโรงงาน 14nm โดยไม่มีเครื่องจักรหรืออาคารจริง - Tsinghua Unigroup ล้มเหลวทั้งโครงการ DRAM และ 3D NAND หลังขาดทุนและผู้บริหารลาออก - JHICC ถูกสหรัฐฯ แบนหลังขโมยเทคโนโลยีจาก Micron ทำให้ไม่สามารถพัฒนา DRAM ต่อได้ - GlobalFoundries ลงทุน $10B ใน Chengdu แต่ต้องยกเลิกกลางทาง ก่อนถูก HLMC เข้าซื้อในปี 2023 สาเหตุหลักของความล้มเหลวเหล่านี้ ได้แก่: - ขาดความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและ R&D - พึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นโดยไม่มี oversight - การบริหารผิดพลาดและการฉ้อโกง - ถูกจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือผลิตชิประดับสูงจากมาตรการแบนของสหรัฐฯ - ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ supply chain ไม่มั่นคง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/zombie-fabs-plague-chinas-chipmaking-ambitions-failures-burning-tens-of-billions-of-dollars
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • GlobalFoundries เคยเป็นโรงงานผลิตชิปที่เปิดให้ใครก็ได้มาออกแบบชิป แล้วให้ GF ผลิตให้ (เช่น AMD เคยใช้บริการช่วงแรก) → แต่ตอนนี้ GF ไม่อยากเป็นแค่ “โรงงาน” อีกต่อไป → จึงคว้าตัว MIPS มาเสริมทัพ เพื่อให้สามารถ “ออกแบบและขายซีพียูเองได้” โดยเฉพาะบนพื้นฐานสถาปัตยกรรม RISC-V ที่กำลังมาแรงมาก

    MIPS เคยโด่งดังจากชิปฝังตัวบนอุปกรณ์เครือข่าย และตอนนี้ก็หันมาใช้ RISC-V เต็มตัว โดยมีซีพียูตระกูล Atlas ที่ครอบคลุมทั้ง
    - งานทั่วไป (general-purpose)
    - งานเรียลไทม์ (real-time)
    - และงาน AI บน edge

    ประโยชน์สำคัญของดีลนี้คือ → MIPS จะได้ใช้งานสายการผลิตของ GF ที่มีความปลอดภัยระดับกลาโหมสหรัฐฯ → ส่วน GF จะสามารถเสนอ “ชิปแบบเบ็ดเสร็จ” ที่รวม IP ซีพียู + AI + การผลิต ไว้ที่เดียวกัน → โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะกับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์, โรงงานอัจฉริยะ และ edge computing

    GlobalFoundries ประกาศซื้อกิจการ MIPS เพื่อเสริมพอร์ตผลิตภัณฑ์ซีพียู RISC-V และ AI  
    • ไม่เปิดเผยมูลค่าดีล  
    • MIPS จะยังดำเนินงานแยกเป็นธุรกิจอิสระภายใน GF

    เทคโนโลยีจาก MIPS ที่ GF จะได้รับ:  
    • ซีพียู IP แบบ general-purpose  
    • หน่วยเร่ง AI inference  
    • เทคโนโลยีสำหรับระบบเซ็นเซอร์แบบฝังตัว

    RISC-V จาก MIPS รองรับทั้งงานทั่วไป–เรียลไทม์–AI edge  
    • ประหยัดพลังงาน และเหมาะกับระบบฝังตัวที่โหลดหนัก

    GF จะสามารถผลิตชิป RISC-V + AI ได้ครบวงจรในโรงงานของตัวเอง  
    • ช่วยให้ลูกค้าบางกลุ่ม (เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) มั่นใจในความปลอดภัย  
    • ลดระยะเวลานำสินค้าออกสู่ตลาด

    ดีลนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ของ GF → ไม่ใช่แค่โรงงานรับจ้างผลิต แต่เป็น “ผู้พัฒนาโซลูชันแบบครบวงจร” สำหรับอุตสาหกรรม

    คาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2025 (รอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับ)

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/globalfoundries-to-make-risc-v-cpus-fab-acquires-mips-will-integrate-risc-v-and-ai-ip-into-its-portfolio
    GlobalFoundries เคยเป็นโรงงานผลิตชิปที่เปิดให้ใครก็ได้มาออกแบบชิป แล้วให้ GF ผลิตให้ (เช่น AMD เคยใช้บริการช่วงแรก) → แต่ตอนนี้ GF ไม่อยากเป็นแค่ “โรงงาน” อีกต่อไป → จึงคว้าตัว MIPS มาเสริมทัพ เพื่อให้สามารถ “ออกแบบและขายซีพียูเองได้” โดยเฉพาะบนพื้นฐานสถาปัตยกรรม RISC-V ที่กำลังมาแรงมาก MIPS เคยโด่งดังจากชิปฝังตัวบนอุปกรณ์เครือข่าย และตอนนี้ก็หันมาใช้ RISC-V เต็มตัว โดยมีซีพียูตระกูล Atlas ที่ครอบคลุมทั้ง - งานทั่วไป (general-purpose) - งานเรียลไทม์ (real-time) - และงาน AI บน edge ประโยชน์สำคัญของดีลนี้คือ → MIPS จะได้ใช้งานสายการผลิตของ GF ที่มีความปลอดภัยระดับกลาโหมสหรัฐฯ → ส่วน GF จะสามารถเสนอ “ชิปแบบเบ็ดเสร็จ” ที่รวม IP ซีพียู + AI + การผลิต ไว้ที่เดียวกัน → โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะกับลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์, โรงงานอัจฉริยะ และ edge computing ✅ GlobalFoundries ประกาศซื้อกิจการ MIPS เพื่อเสริมพอร์ตผลิตภัณฑ์ซีพียู RISC-V และ AI   • ไม่เปิดเผยมูลค่าดีล   • MIPS จะยังดำเนินงานแยกเป็นธุรกิจอิสระภายใน GF ✅ เทคโนโลยีจาก MIPS ที่ GF จะได้รับ:   • ซีพียู IP แบบ general-purpose   • หน่วยเร่ง AI inference   • เทคโนโลยีสำหรับระบบเซ็นเซอร์แบบฝังตัว ✅ RISC-V จาก MIPS รองรับทั้งงานทั่วไป–เรียลไทม์–AI edge   • ประหยัดพลังงาน และเหมาะกับระบบฝังตัวที่โหลดหนัก ✅ GF จะสามารถผลิตชิป RISC-V + AI ได้ครบวงจรในโรงงานของตัวเอง   • ช่วยให้ลูกค้าบางกลุ่ม (เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) มั่นใจในความปลอดภัย   • ลดระยะเวลานำสินค้าออกสู่ตลาด ✅ ดีลนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ของ GF → ไม่ใช่แค่โรงงานรับจ้างผลิต แต่เป็น “ผู้พัฒนาโซลูชันแบบครบวงจร” สำหรับอุตสาหกรรม ✅ คาดว่าการควบรวมจะเสร็จสิ้นช่วงครึ่งหลังของปี 2025 (รอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับ) https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/globalfoundries-to-make-risc-v-cpus-fab-acquires-mips-will-integrate-risc-v-and-ai-ip-into-its-portfolio
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในโลกการเงินการลงทุน ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจะได้เปรียบอย่างมาก เพราะดีลในสายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมไปถึงความเข้าใจในโครงสร้าง IT, Cloud, Cybersecurity ฯลฯ → JPMorgan รู้เรื่องนี้ดี และตอนนี้พวกเขากำลัง “เสริมเกราะ” ด้วยการดึง Mike Amez เข้ามา

    Mike เคยเป็น Managing Director ที่ Guggenheim Securities ฝั่ง Tech Investment Banking → เชี่ยวชาญด้าน IT Services, Cybersecurity และ Hyperscale Cloud → เขาจะประจำอยู่ที่ชิคาโก และเริ่มงานในเดือนกันยายน 2025

    การย้ายเข้ามาของเขาเกิดขึ้นไม่ถึง 6 สัปดาห์ หลัง JPMorgan เพิ่งดึงผู้บริหารจาก Goldman Sachs, Bank of America และ Lazard อีก 4 คนเข้าสู่ทีม West Coast → สะท้อนว่า JPMorgan กำลังจัดทัพชุดใหญ่เพื่อปิดดีลเทคโนโลยีระดับโลก

    และก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ JPMorgan เพิ่งช่วยปิดดีลใหญ่ ๆ เช่น → Global Payments ซื้อ Worldpay ที่มูลค่า 24.25 พันล้านเหรียญ → Turn/River ซื้อ SolarWinds ในดีล 4.4 พันล้าน → DoorDash ซื้อ Deliveroo 3.9 พันล้าน → และ CoreWeave เข้าตลาดด้วยมูลค่ากว่า 23 พันล้าน

    JPMorgan จ้าง Mike Amez จาก Guggenheim มานั่งตำแหน่ง “Head of Mid-Cap Technology Services”  
    • เริ่มงาน ก.ย. 2025 ที่ชิคาโก  
    • มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่ม mid-size (เทคโนโลยีระดับกลาง–กำลังโต)

    Amez เชี่ยวชาญในสามสายหลัก:  
    • IT Services  • Cybersecurity  
    • Hyperscale Cloud Infrastructure

    เกิดขึ้นหลัง JPMorgan เพิ่งดึง 4 ผู้บริหารจาก Goldman Sachs, BofA และ Lazard เสริมทีมฝั่ง West Coast

    JPMorgan เป็นหนึ่งในธนาคารที่ “ครองตลาด tech investment banking” อยู่แล้ว  
    • ตามข้อมูลจาก Dealogic  
    • รับบทบาทสำคัญในหลายดีลขนาดพันล้านดอลลาร์

    ดีลใหญ่ที่ JPMorgan มีบทบาทช่วงที่ผ่านมา:  
    • Global Payments ซื้อ Worldpay ($24.25B)  
    • Turn/River ซื้อ SolarWinds ($4.4B)  
    • DoorDash ซื้อ Deliveroo ($3.9B)  
    • CoreWeave เข้าตลาด ($23B)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/jpmorgan-expands-tech-team-with-guggenheim-veteran-memo-says
    ในโลกการเงินการลงทุน ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจะได้เปรียบอย่างมาก เพราะดีลในสายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมไปถึงความเข้าใจในโครงสร้าง IT, Cloud, Cybersecurity ฯลฯ → JPMorgan รู้เรื่องนี้ดี และตอนนี้พวกเขากำลัง “เสริมเกราะ” ด้วยการดึง Mike Amez เข้ามา Mike เคยเป็น Managing Director ที่ Guggenheim Securities ฝั่ง Tech Investment Banking → เชี่ยวชาญด้าน IT Services, Cybersecurity และ Hyperscale Cloud → เขาจะประจำอยู่ที่ชิคาโก และเริ่มงานในเดือนกันยายน 2025 การย้ายเข้ามาของเขาเกิดขึ้นไม่ถึง 6 สัปดาห์ หลัง JPMorgan เพิ่งดึงผู้บริหารจาก Goldman Sachs, Bank of America และ Lazard อีก 4 คนเข้าสู่ทีม West Coast → สะท้อนว่า JPMorgan กำลังจัดทัพชุดใหญ่เพื่อปิดดีลเทคโนโลยีระดับโลก และก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ JPMorgan เพิ่งช่วยปิดดีลใหญ่ ๆ เช่น → Global Payments ซื้อ Worldpay ที่มูลค่า 24.25 พันล้านเหรียญ → Turn/River ซื้อ SolarWinds ในดีล 4.4 พันล้าน → DoorDash ซื้อ Deliveroo 3.9 พันล้าน → และ CoreWeave เข้าตลาดด้วยมูลค่ากว่า 23 พันล้าน ✅ JPMorgan จ้าง Mike Amez จาก Guggenheim มานั่งตำแหน่ง “Head of Mid-Cap Technology Services”   • เริ่มงาน ก.ย. 2025 ที่ชิคาโก   • มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่ม mid-size (เทคโนโลยีระดับกลาง–กำลังโต) ✅ Amez เชี่ยวชาญในสามสายหลัก:   • IT Services  • Cybersecurity   • Hyperscale Cloud Infrastructure ✅ เกิดขึ้นหลัง JPMorgan เพิ่งดึง 4 ผู้บริหารจาก Goldman Sachs, BofA และ Lazard เสริมทีมฝั่ง West Coast ✅ JPMorgan เป็นหนึ่งในธนาคารที่ “ครองตลาด tech investment banking” อยู่แล้ว   • ตามข้อมูลจาก Dealogic   • รับบทบาทสำคัญในหลายดีลขนาดพันล้านดอลลาร์ ✅ ดีลใหญ่ที่ JPMorgan มีบทบาทช่วงที่ผ่านมา:   • Global Payments ซื้อ Worldpay ($24.25B)   • Turn/River ซื้อ SolarWinds ($4.4B)   • DoorDash ซื้อ Deliveroo ($3.9B)   • CoreWeave เข้าตลาด ($23B) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/jpmorgan-expands-tech-team-with-guggenheim-veteran-memo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    JPMorgan expands tech team with Guggenheim veteran, memo says
    NEW YORK (Reuters) -JPMorgan Chase is hiring Guggenheim Securities executive Mike Amez, as the country's biggest bank continues to expand its technology investment banking team and to provide specific expertise to medium-sized companies, according to a staff memo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot

    https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_

    จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด

    Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน  
    • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11  
    • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่

    มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:  
    • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่  
    • File Explorer คล้าย Windows XP  
    • Screensaver 3D pipes ในตำนาน  
    • Widgets สไตล์ยุค 2000  
    • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI

    สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว  
    • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel  
    • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft

    จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง”

    นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง  
    • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้  
    • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง

    https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    ใครที่รู้สึกว่า Windows 11 “ดูสวยแต่ไม่ถนัด” หรือเสียดายหน้าตาแบบ Windows XP กับ 98 บอกเลยว่า Windows CR อาจโดนใจคุณ → ในวิดีโอคอนเซปต์นี้ เราจะเห็น การผสมผสานของอินเทอร์เฟซยุคเก่า เข้ากับลูกเล่นใหม่ → เช่น Start Menu ที่มีทั้งแบบ XP กับแบบ 11, File Explorer ดีไซน์คลาสสิก, Widgets แบบ 2000s และ Clippy กลับมารับบทผู้ช่วย AI แทน Copilot https://youtu.be/YB6H0gLochM?si=7ZJMuaQnmcJ9lc2_ จุดเด่นอีกอย่างคือ screensaver ท่อ 3 มิติในตำนานก็กลับมา พร้อมเสียงและแอนิเมชันที่ชวนให้นึกถึงคอมพิวเตอร์ยุคก่อน → ทั้งหมดนี้ถูกยกเครื่องให้ดูเนียนตากับดีไซน์ยุคปัจจุบัน → แม้ว่าจะยังมีจุดไม่เรียบร้อย เช่น สะกดผิดในบางหน้าจอ หรือตอนโหลดไฟล์ที่ช้าไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงแนวคิด ✅ Windows CR คือแนวคิดระบบปฏิบัติการที่รวม Windows ยุคต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน   • มีองค์ประกอบจาก Windows 98, XP, 10 และ 11   • รวม aesthetic คลาสสิกกับฟีเจอร์สมัยใหม่ ✅ มีฟีเจอร์เด่นที่ปรับปรุงใหม่ เช่น:   • Start Menu ที่รวมดีไซน์ยุคเก่าและใหม่   • File Explorer คล้าย Windows XP   • Screensaver 3D pipes ในตำนาน   • Widgets สไตล์ยุค 2000   • Clippy กลับมาเป็นผู้ช่วย AI ✅ สร้างโดยนักออกแบบแนวคิด “AR 4789” ผู้เคยออกแบบ Windows 12 และ Windows 11X มาแล้ว   • เผยแพร่ผ่าน YouTube Channel   • ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริงจาก Microsoft ✅ จุดประสงค์คือ “ปลุกความทรงจำ + เสริมฟังก์ชันใหม่ในแบบที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง” ‼️ นี่เป็นแค่ “คอนเซปต์” ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จริง   • Microsoft ไม่มีแผนเปิดตัว Windows ลักษณะนี้   • ผู้ใช้อย่าคาดหวังว่าจะสามารถดาวน์โหลดหรือใช้งานได้จริง https://www.neowin.net/news/windows-classic-remastered-concept-is-the-fusion-of-your-favorite-versions-of-windows/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Classic Remastered concept is the fusion of your favorite versions of Windows
    Windows Classic Remastered is the fusion of Windows 95, Windows 98, Windows XP, Windows 10, Windows 11, and more in one fun concept video.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณเป็นร้านค้าหรือ SME ที่อยากขายของออนไลน์ + นำเข้าสินค้าจากโรงงานโลก—ปกติคงต้องเปิดหลายเว็บ จัดการหลายระบบ → ตอนนี้คุณทำผ่านที่เดียวได้แล้ว:

    - ถ้าคุณใช้ Wix → แค่ติดตั้ง “Alibaba Seller App” ก็เข้าถึงสินค้าใน Alibaba B2B Marketplace ได้เลย
    - ถ้าคุณขายของอยู่บน Alibaba.com → สร้างเว็บร้านของตัวเองผ่าน Wix แบบไม่ต้องเขียนโค้ด พร้อมเครื่องมือ AI ช่วยตั้งร้าน–ทำแบรนด์–ยิงโฆษณา

    ถือเป็นดีลที่ทำให้ทั้งสองฝั่งได้ของที่ตัวเองเคยขาดมาก่อน: → ฝั่ง Wix ได้สินค้ามาขาย → ฝั่ง Alibaba ได้ storefront สวย ๆ แบบ no-code + brand power เพิ่ม

    Wix ผู้ใช้สามารถติดตั้ง “Alibaba Seller App” ได้จาก Wix Marketplace  
    • เข้าถึงสินค้าและซัพพลายเออร์จากทั่วโลก  
    • สมัครเป็น “Global Gold Supplier” เพื่อเข้าถึงลูกค้า B2B ทั่วโลก

    ผู้ขายใน Alibaba สามารถสร้างเว็บ B2B/D2C ด้วย Wix ได้ง่าย  
    • ใช้เครื่องมือ AI ของ Wix ช่วยสร้างหน้าเว็บ, สินค้า, ข้อความโฆษณา  
    • ทำการตลาดอัตโนมัติ ช่วยเปิดร้านค้าสากลได้เร็วขึ้น

    ความร่วมมือเน้น 3 เสาหลัก:  
    • Integration ผ่าน seller app → เชื่อมสินค้า/คำสั่งซื้อข้ามแพลตฟอร์ม  
    • “Curated sourcing” → แนะนำสินค้าน่าสนใจจาก Alibaba ให้กับร้านค้าบน Wix  
    • ให้ผู้ขาย Alibaba ใช้ “ชุดเครื่องมือ AI จาก Wix” สร้างร้านค้าทันสมัย

    ทั้งสองฝ่ายระบุชัด: การร่วมมือคือโอกาสทองของ SME และผู้ประกอบการที่ต้องการขยายไปต่างประเทศ  
    • Alibaba: “ลดความซับซ้อนของการทำการค้าระหว่างประเทศ”  
    • Wix: “ช่วยให้ลูกค้าเราสร้างแบรนด์และขายของระดับโลกได้เร็วขึ้น”

    อยู่ในช่วง rollout แบบเฟส–เปิดฟีเจอร์เพิ่มเรื่อย ๆ  
    • เตรียมเพิ่มระบบ “AI product discovery”, ระบบจับคู่สินค้าอัตโนมัติ, การ onboarding แบบ auto

    https://www.techradar.com/pro/website-building/alibaba-and-wix-join-forces-promise-great-things-for-smbs
    ถ้าคุณเป็นร้านค้าหรือ SME ที่อยากขายของออนไลน์ + นำเข้าสินค้าจากโรงงานโลก—ปกติคงต้องเปิดหลายเว็บ จัดการหลายระบบ → ตอนนี้คุณทำผ่านที่เดียวได้แล้ว: - ถ้าคุณใช้ Wix → แค่ติดตั้ง “Alibaba Seller App” ก็เข้าถึงสินค้าใน Alibaba B2B Marketplace ได้เลย - ถ้าคุณขายของอยู่บน Alibaba.com → สร้างเว็บร้านของตัวเองผ่าน Wix แบบไม่ต้องเขียนโค้ด พร้อมเครื่องมือ AI ช่วยตั้งร้าน–ทำแบรนด์–ยิงโฆษณา ถือเป็นดีลที่ทำให้ทั้งสองฝั่งได้ของที่ตัวเองเคยขาดมาก่อน: → ฝั่ง Wix ได้สินค้ามาขาย → ฝั่ง Alibaba ได้ storefront สวย ๆ แบบ no-code + brand power เพิ่ม ✅ Wix ผู้ใช้สามารถติดตั้ง “Alibaba Seller App” ได้จาก Wix Marketplace   • เข้าถึงสินค้าและซัพพลายเออร์จากทั่วโลก   • สมัครเป็น “Global Gold Supplier” เพื่อเข้าถึงลูกค้า B2B ทั่วโลก ✅ ผู้ขายใน Alibaba สามารถสร้างเว็บ B2B/D2C ด้วย Wix ได้ง่าย   • ใช้เครื่องมือ AI ของ Wix ช่วยสร้างหน้าเว็บ, สินค้า, ข้อความโฆษณา   • ทำการตลาดอัตโนมัติ ช่วยเปิดร้านค้าสากลได้เร็วขึ้น ✅ ความร่วมมือเน้น 3 เสาหลัก:   • Integration ผ่าน seller app → เชื่อมสินค้า/คำสั่งซื้อข้ามแพลตฟอร์ม   • “Curated sourcing” → แนะนำสินค้าน่าสนใจจาก Alibaba ให้กับร้านค้าบน Wix   • ให้ผู้ขาย Alibaba ใช้ “ชุดเครื่องมือ AI จาก Wix” สร้างร้านค้าทันสมัย ✅ ทั้งสองฝ่ายระบุชัด: การร่วมมือคือโอกาสทองของ SME และผู้ประกอบการที่ต้องการขยายไปต่างประเทศ   • Alibaba: “ลดความซับซ้อนของการทำการค้าระหว่างประเทศ”   • Wix: “ช่วยให้ลูกค้าเราสร้างแบรนด์และขายของระดับโลกได้เร็วขึ้น” ✅ อยู่ในช่วง rollout แบบเฟส–เปิดฟีเจอร์เพิ่มเรื่อย ๆ   • เตรียมเพิ่มระบบ “AI product discovery”, ระบบจับคู่สินค้าอัตโนมัติ, การ onboarding แบบ auto https://www.techradar.com/pro/website-building/alibaba-and-wix-join-forces-promise-great-things-for-smbs
    WWW.TECHRADAR.COM
    Alibaba and Wix join forces, promise great things for SMBs
    New partnership fuses the wholesale ecosystem with website building
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงแม้สหรัฐจะคว่ำบาตรจีน ห้ามส่งออกเครื่องจักรลิธอกราฟีรุ่นใหม่ หรือซอฟต์แวร์ออกแบบชิป แต่จีนกลับใช้วิธี “ลงทุนสร้างโรงงานมากขึ้น” เพื่อเร่งความพึ่งพาตนเอง

    ตอนนี้จีนมีโรงงานผลิตเวเฟอร์ (fab) จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Huahong Semiconductor ที่เพิ่งเปิดโรงงานขนาด 12 นิ้วที่เมือง Wuxi และแค่ในปี 2024 ปีเดียว จีนผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 8.85 ล้านแผ่นต่อเดือน เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว และคาดว่าจะทะลุ 10.1 ล้านแผ่น/เดือนในปี 2025

    บริษัทวิจัย Yole Group คาดว่าภายในปี 2030 จีนจะถือกำลังการผลิตเวเฟอร์ทั่วโลกถึง 30% แซงหน้าไต้หวัน (23%) และเกาหลีใต้ (19%) ซึ่งหมายความว่า จีนจะกลายเป็น hub การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก

    แม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการผลิต “ชิประดับแนวหน้า” (เพราะถูกจำกัดเทคโนโลยี) แต่การที่จีนควบคุมการผลิต “จำนวนมาก” ได้ ย่อมสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลกอย่างมหาศาล

    จีนคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำลังผลิตเวเฟอร์ทั่วโลกถึง 30% ภายในปี 2030  
    • แซงหน้าไต้หวัน (23%) และเกาหลีใต้ (19%)  
    • ตามข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ Yole Group

    ปัจจุบันจีนมีส่วนแบ่งการผลิตเวเฟอร์อยู่ที่ 21% (ไต้หวันนำที่ 23%)  
    • ญี่ปุ่น 13%, สหรัฐ 10%, ยุโรป 8%

    จีนผลิตเวเฟอร์ได้ 8.85 ล้านแผ่น/เดือนในปี 2024 → คาดว่าจะเพิ่มเป็น 10.1 ล้านในปี 2025  
    • เติบโต ~15% ต่อปี แม้เผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร

    มีการเปิดโรงงานใหม่อย่างน้อย 18 แห่งในปีที่ผ่านมา  
    • รวมถึงโรงงานใหม่ของ Huahong Semiconductor ในเมือง Wuxi

    สหรัฐใช้เซมิคอนดักเตอร์มากที่สุด (57% ของความต้องการโลก) แต่ผลิตได้แค่ 10% ของโลก  
    • ต้องนำเข้าจากจีน, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ เป็นหลัก

    ยุโรปและญี่ปุ่นผลิตพอใช้ภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่  
    • ขณะที่สิงคโปร์และมาเลเซียมีส่วนแบ่ง ~6% โดยส่วนใหญ่ผลิตให้ตลาดต่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-could-be-the-worlds-top-semiconductor-foundry-hub-by-2030-despite-us-curbs-nation-to-hold-30-percent-of-global-installed-capacity-surpassing-taiwan
    ถึงแม้สหรัฐจะคว่ำบาตรจีน ห้ามส่งออกเครื่องจักรลิธอกราฟีรุ่นใหม่ หรือซอฟต์แวร์ออกแบบชิป แต่จีนกลับใช้วิธี “ลงทุนสร้างโรงงานมากขึ้น” เพื่อเร่งความพึ่งพาตนเอง ตอนนี้จีนมีโรงงานผลิตเวเฟอร์ (fab) จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Huahong Semiconductor ที่เพิ่งเปิดโรงงานขนาด 12 นิ้วที่เมือง Wuxi และแค่ในปี 2024 ปีเดียว จีนผลิตเวเฟอร์ได้ถึง 8.85 ล้านแผ่นต่อเดือน เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว และคาดว่าจะทะลุ 10.1 ล้านแผ่น/เดือนในปี 2025 บริษัทวิจัย Yole Group คาดว่าภายในปี 2030 จีนจะถือกำลังการผลิตเวเฟอร์ทั่วโลกถึง 30% แซงหน้าไต้หวัน (23%) และเกาหลีใต้ (19%) ซึ่งหมายความว่า จีนจะกลายเป็น hub การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก แม้จะมีจุดอ่อนเรื่องการผลิต “ชิประดับแนวหน้า” (เพราะถูกจำกัดเทคโนโลยี) แต่การที่จีนควบคุมการผลิต “จำนวนมาก” ได้ ย่อมสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลกอย่างมหาศาล ✅ จีนคาดว่าจะมีส่วนแบ่งกำลังผลิตเวเฟอร์ทั่วโลกถึง 30% ภายในปี 2030   • แซงหน้าไต้หวัน (23%) และเกาหลีใต้ (19%)   • ตามข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ Yole Group ✅ ปัจจุบันจีนมีส่วนแบ่งการผลิตเวเฟอร์อยู่ที่ 21% (ไต้หวันนำที่ 23%)   • ญี่ปุ่น 13%, สหรัฐ 10%, ยุโรป 8% ✅ จีนผลิตเวเฟอร์ได้ 8.85 ล้านแผ่น/เดือนในปี 2024 → คาดว่าจะเพิ่มเป็น 10.1 ล้านในปี 2025   • เติบโต ~15% ต่อปี แม้เผชิญข้อจำกัดจากการคว่ำบาตร ✅ มีการเปิดโรงงานใหม่อย่างน้อย 18 แห่งในปีที่ผ่านมา   • รวมถึงโรงงานใหม่ของ Huahong Semiconductor ในเมือง Wuxi ✅ สหรัฐใช้เซมิคอนดักเตอร์มากที่สุด (57% ของความต้องการโลก) แต่ผลิตได้แค่ 10% ของโลก   • ต้องนำเข้าจากจีน, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ เป็นหลัก ✅ ยุโรปและญี่ปุ่นผลิตพอใช้ภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่   • ขณะที่สิงคโปร์และมาเลเซียมีส่วนแบ่ง ~6% โดยส่วนใหญ่ผลิตให้ตลาดต่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-could-be-the-worlds-top-semiconductor-foundry-hub-by-2030-despite-us-curbs-nation-to-hold-30-percent-of-global-installed-capacity-surpassing-taiwan
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าคุณคิดว่าเรื่องคริปโตคือแค่เทรนด์การลงทุน... FATF อยากให้เราคิดใหม่ เพราะตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่า คริปโตกลายเป็นช่องทางหลักของการฟอกเงิน, การหลอกลวง, และการสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ

    จากรายงานล่าสุดของ FATF ระบุว่า:
    - มีเงินคริปโตที่อาจมาจากกิจกรรมผิดกฎหมายสูงถึง $51,000 ล้านในปี 2024
    - แต่จาก 138 ประเทศที่ FATF ตรวจสอบ มีแค่ 40 ประเทศเท่านั้น ที่มีระบบควบคุมตามมาตรฐาน
    - ทำให้การ “หลบกฎหมาย” สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย — เพราะคริปโตเคลื่อนข้ามพรมแดนได้เร็วมาก

    เรื่องนี้ไม่ได้แค่ในเชิงสถิติ เพราะ FATF ยังเตือนว่า พวกที่ใช้ stablecoin (เหรียญที่ผูกกับเงินจริง) กลายเป็นกลไกหลักของกลุ่มผิดกฎหมาย เช่น เกาหลีเหนือ, ผู้ก่อการร้าย, และขบวนการค้ายาเสพติด

    ตัวอย่างล่าสุดคือ FBI ยืนยันว่า เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า $1.5 พันล้านจาก ByBit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ — เป็นการโจรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/global-financial-crime-watchdog-calls-for-action-on-crypto-risks
    ถ้าคุณคิดว่าเรื่องคริปโตคือแค่เทรนด์การลงทุน... FATF อยากให้เราคิดใหม่ เพราะตอนนี้พวกเขาเห็นแล้วว่า คริปโตกลายเป็นช่องทางหลักของการฟอกเงิน, การหลอกลวง, และการสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ จากรายงานล่าสุดของ FATF ระบุว่า: - มีเงินคริปโตที่อาจมาจากกิจกรรมผิดกฎหมายสูงถึง $51,000 ล้านในปี 2024 - แต่จาก 138 ประเทศที่ FATF ตรวจสอบ มีแค่ 40 ประเทศเท่านั้น ที่มีระบบควบคุมตามมาตรฐาน - ทำให้การ “หลบกฎหมาย” สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย — เพราะคริปโตเคลื่อนข้ามพรมแดนได้เร็วมาก เรื่องนี้ไม่ได้แค่ในเชิงสถิติ เพราะ FATF ยังเตือนว่า พวกที่ใช้ stablecoin (เหรียญที่ผูกกับเงินจริง) กลายเป็นกลไกหลักของกลุ่มผิดกฎหมาย เช่น เกาหลีเหนือ, ผู้ก่อการร้าย, และขบวนการค้ายาเสพติด ตัวอย่างล่าสุดคือ FBI ยืนยันว่า เกาหลีเหนือขโมยคริปโตมูลค่ากว่า $1.5 พันล้านจาก ByBit เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ — เป็นการโจรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/26/global-financial-crime-watchdog-calls-for-action-on-crypto-risks
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Global financial crime watchdog calls for action on crypto risks
    PARIS (Reuters) -The Financial Action Task Force (FATF), a global financial crime watchdog, on Thursday called on countries to take stronger action to combat illicit finance in crypto assets, warning that gaps in regulation could have global repercussions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ข่าวอีกมุม.

    ..เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2025 หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทหารภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการสโตนไฟร์ได้ทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มดีพสเตตในเจนีวา เทลอาวีฟ และเทือกเขาร็อกกี้โคโลราโด

    ภายในพื้นที่สีแดงเหล่านี้ ได้แก่ ห้องโคลนนิ่งมนุษย์ ศูนย์ควบคุมจิตใจของอาร์พาเน็ต และบันทึกการค้ามนุษย์นอกโลก ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของหน่วยข่าวกรองทางทหารของทรัมป์แล้ว

    ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ถูกดักจับได้เผยให้เห็นการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วางแผนไว้สำหรับวันเสาร์ที่ 21 หรือวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน เป้าหมายคือ ดัลลาส แอตแลนตา ชิคาโก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายระบบ QFS ปิดเมือง และทำให้การสื่อสารเป็นอัมพาต มีการเตรียมเชื้อโรคสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงด้วย mRNA

    ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน กองทัพได้สกัดกั้นขบวนรถอาวุธชีวภาพสองขบวนใกล้กับเอลปาโซระหว่างทางไปยังไซต์ใต้ดินที่เชื่อมโยงกับโซรอสในออสติน เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกจากอิหร่านซึ่งปลอมตัวเป็นผู้รับจ้างถูกจับกุมตามพิธีสาร GITMO

    21 มิถุนายน 2025: ทรัมป์อนุมัติการโจมตีเต็มรูปแบบต่อสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน - ฟอร์โดว์ นาตันซ์ อิสฟาฮาน เรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ได้ประจำการอยู่แล้ว ในเวลาเดียวกัน ระบบป้องกัน Star Link ก็เปิดใช้งานเพื่อต่อต้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการโจมตีทางไซเบอร์

    Cyber ​​Command ปิดช่องโหว่เฟิร์มแวร์ที่เชื่อมโยงกับไฟฟ้าดับล่าสุดในฟีนิกซ์ ดีทรอยต์ และฟลอริดา - ซ้อมรบเพื่อไฟฟ้าดับทั่วประเทศ

    วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน: ทรัมป์รักษาสันติภาพระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
    วันอังคารที่ 24 มิถุนายน: อิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยทิ้งระเบิดที่เตหะราน อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่ระบอบการปกครองก็ล่มสลายไปแล้ว พลเรือนอิหร่านปฏิเสธสงคราม ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและเข้าร่วม GCR

    ทรัมป์รู้ดีว่าความโกลาหลดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดเตียงพยาบาล ทำลาย GESARA และปิดกั้นการออกอากาศฉุกเฉิน

    แต่กลับกระตุ้นให้เกิดการไต่สวนของ GITMO โหนด AI ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของวาติกันถูกทำลาย เครือข่ายต่อต้านถูกเปิดใช้งานทั่วโลก

    ความพยายามของเนทันยาฮูในการสร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น — สงครามกับจอร์แดน เลบานอน และปาเลสไตน์ — ถูกปฏิเสธโดยพันธมิตรในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วม Global Currency Reset สงครามไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป

    วันอังคารที่ 10 มิถุนายน การเปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันโดย QFS เริ่มต้นขึ้น ไม่มี CNN ไม่มี BBC มีเพียงหลักฐานดิบๆ เช่น การโคลนนิ่ง การค้ามนุษย์ การฟ้องร้องที่ปิดผนึก ทุกชื่อ ทุกอาชญากรรม

    ขณะนี้ทรัมป์ยืนเป็นผู้บัญชาการที่การประชุมสุดยอดนาโต ไม่ใช่หุ่นเชิด มีการจับกุมเกิดขึ้นทั่วประเทศ Five Eyes ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง พิธีกรสื่อ ผู้อำนวยการเอ็นจีโอ — ถูกตั้งข้อหาอาวุธชีวภาพ การทดลองกับมนุษย์ การโจรกรรมทางการเงิน

    เจ้าหน้าที่สหรัฐอย่างน้อย 14 คนและผู้บริหาร 5 คนถูกควบคุมตัวแล้ว
    EBS เตรียมพร้อมแล้ว: 87+ ประเทศพร้อมแล้ว การทดสอบครั้งสุดท้าย: 5 มิถุนายน

    การซ้อมดับไฟ 72 ชั่วโมงกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
    ทรัมป์นำ ผู้รักชาติเตรียมพร้อม
    ..ข่าวอีกมุม. ..เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2025 หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทหารภายใต้ชื่อรหัสปฏิบัติการสโตนไฟร์ได้ทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มดีพสเตตในเจนีวา เทลอาวีฟ และเทือกเขาร็อกกี้โคโลราโด ภายในพื้นที่สีแดงเหล่านี้ ได้แก่ ห้องโคลนนิ่งมนุษย์ ศูนย์ควบคุมจิตใจของอาร์พาเน็ต และบันทึกการค้ามนุษย์นอกโลก ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดอยู่ในมือของหน่วยข่าวกรองทางทหารของทรัมป์แล้ว ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ถูกดักจับได้เผยให้เห็นการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วางแผนไว้สำหรับวันเสาร์ที่ 21 หรือวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน เป้าหมายคือ ดัลลาส แอตแลนตา ชิคาโก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายระบบ QFS ปิดเมือง และทำให้การสื่อสารเป็นอัมพาต มีการเตรียมเชื้อโรคสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงด้วย mRNA ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน กองทัพได้สกัดกั้นขบวนรถอาวุธชีวภาพสองขบวนใกล้กับเอลปาโซระหว่างทางไปยังไซต์ใต้ดินที่เชื่อมโยงกับโซรอสในออสติน เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกจากอิหร่านซึ่งปลอมตัวเป็นผู้รับจ้างถูกจับกุมตามพิธีสาร GITMO 21 มิถุนายน 2025: ทรัมป์อนุมัติการโจมตีเต็มรูปแบบต่อสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่าน - ฟอร์โดว์ นาตันซ์ อิสฟาฮาน เรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ได้ประจำการอยู่แล้ว ในเวลาเดียวกัน ระบบป้องกัน Star Link ก็เปิดใช้งานเพื่อต่อต้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการโจมตีทางไซเบอร์ Cyber ​​Command ปิดช่องโหว่เฟิร์มแวร์ที่เชื่อมโยงกับไฟฟ้าดับล่าสุดในฟีนิกซ์ ดีทรอยต์ และฟลอริดา - ซ้อมรบเพื่อไฟฟ้าดับทั่วประเทศ วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน: ทรัมป์รักษาสันติภาพระหว่างอิหร่านและอิสราเอล วันอังคารที่ 24 มิถุนายน: อิสราเอลละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยทิ้งระเบิดที่เตหะราน อิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่ระบอบการปกครองก็ล่มสลายไปแล้ว พลเรือนอิหร่านปฏิเสธสงคราม ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและเข้าร่วม GCR ทรัมป์รู้ดีว่าความโกลาหลดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดเตียงพยาบาล ทำลาย GESARA และปิดกั้นการออกอากาศฉุกเฉิน แต่กลับกระตุ้นให้เกิดการไต่สวนของ GITMO โหนด AI ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการของวาติกันถูกทำลาย เครือข่ายต่อต้านถูกเปิดใช้งานทั่วโลก ความพยายามของเนทันยาฮูในการสร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น — สงครามกับจอร์แดน เลบานอน และปาเลสไตน์ — ถูกปฏิเสธโดยพันธมิตรในตะวันออกกลาง เพื่อเข้าร่วม Global Currency Reset สงครามไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป วันอังคารที่ 10 มิถุนายน การเปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันโดย QFS เริ่มต้นขึ้น ไม่มี CNN ไม่มี BBC มีเพียงหลักฐานดิบๆ เช่น การโคลนนิ่ง การค้ามนุษย์ การฟ้องร้องที่ปิดผนึก ทุกชื่อ ทุกอาชญากรรม ขณะนี้ทรัมป์ยืนเป็นผู้บัญชาการที่การประชุมสุดยอดนาโต ไม่ใช่หุ่นเชิด มีการจับกุมเกิดขึ้นทั่วประเทศ Five Eyes ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง พิธีกรสื่อ ผู้อำนวยการเอ็นจีโอ — ถูกตั้งข้อหาอาวุธชีวภาพ การทดลองกับมนุษย์ การโจรกรรมทางการเงิน เจ้าหน้าที่สหรัฐอย่างน้อย 14 คนและผู้บริหาร 5 คนถูกควบคุมตัวแล้ว EBS เตรียมพร้อมแล้ว: 87+ ประเทศพร้อมแล้ว การทดสอบครั้งสุดท้าย: 5 มิถุนายน การซ้อมดับไฟ 72 ชั่วโมงกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ทรัมป์นำ ผู้รักชาติเตรียมพร้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Madison - เดอะ เมดิสัน
    near BTS Phrom Phong 100 m. / ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ 100 ม.
    - rent 75,000 baht/month (1 year contract)
    - 110 sq.m.
    - 2 bedrooms / 2 bathrooms
    Near
    - BTS Phrom Phong , BTS Thong Lor
    - Emporium dept. store
    - BBH Hospital
    map/แผนที่ https://maps.app.goo.gl/noBLfJ7itxTSYiEV6
    _______________________________
    - เช่า 75,000 บาท/เดือน (สัญญา 1 ปี)
    - 110 ตร.ม.
    - 2 ห้องนอน / 2 ห้องน้ำ
    ใกล้
    - BTS พร้อมพงษ์ , BTS ทองหล่อ
    - ห้าง เอ็มโพเรียม
    - รพ. บีบีเอช สุขุมวิท 39
    _______________________________
    I OK Condo – everything OK
    Mr. Sittipol (Meng)
    นาย สิทธิพล (เหม่ง)
    Tel : 0886060125
    Wechat : IOKcondo
    Line : 0886060125 / yggdrasiltree
    Line QR :
    https://line.me/ti/p/Tm8FV72ejK
    #TheMadison #เดอะเมดิสัน #condoPhromPhong #condoThongLor
    #คอนโดพร้อมพงษ์ #คอนโดbtsพร้อมพงษ์ #PhromPhong
    #ThongLor #ทองหล่อ #พร้อมพงษ์ #คอนโดใกล้bts #condobts
    🏢 The Madison - เดอะ เมดิสัน 🚟 near BTS Phrom Phong 100 m. / ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ 100 ม. - 💥rent 75,000 baht/month (1 year contract) - 110 sq.m. - 2 bedrooms / 2 bathrooms Near - BTS Phrom Phong , BTS Thong Lor - Emporium dept. store - BBH Hospital map/แผนที่ https://maps.app.goo.gl/noBLfJ7itxTSYiEV6 _______________________________ - 💖 เช่า 75,000 บาท/เดือน (สัญญา 1 ปี) - 110 ตร.ม. - 2 ห้องนอน / 2 ห้องน้ำ ใกล้ - BTS พร้อมพงษ์ , BTS ทองหล่อ - ห้าง เอ็มโพเรียม - รพ. บีบีเอช สุขุมวิท 39 _______________________________ I OK Condo – everything OK Mr. Sittipol (Meng) นาย สิทธิพล (เหม่ง) Tel : 0886060125 Wechat : IOKcondo Line : 0886060125 / yggdrasiltree Line QR : https://line.me/ti/p/Tm8FV72ejK #TheMadison #เดอะเมดิสัน #condoPhromPhong #condoThongLor #คอนโดพร้อมพงษ์ #คอนโดbtsพร้อมพงษ์ #PhromPhong #ThongLor #ทองหล่อ #พร้อมพงษ์ #คอนโดใกล้bts #condobts
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!!

    .. BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก

    การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้

    อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    ..ว่าด้วยเรื่องตังดิจิดัลและสินทรัพย์ดิจิดัลที่อีลิทต้องการผลักดันในยุคอนาคตเพื่อควบคุมมนุษย์ทุกๆคน ติดตามทุกๆกิจกรรมบริบทของมนุษย์,นี้คือผลงานการแฮ็กให้ดูเล่นๆพื้นๆของกิจการแอปอีลิทที่มันเก็บข้อมูลคนทั่วโลกไว้ที่เข้าไปใช้บริการของแอปพวกมันเครือข่ายพวกมัน,มันรู้ตัวตนคุณทุกๆคนนะ.,คุณไม่ปลอดภัยหรอก!!! ..🚨 BREAKING: รหัสผ่าน 16,000 ล้านรหัสรั่วไหล — ความตื่นตระหนกทางดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉินทางไซเบอร์ระดับโลก 🚨 การรั่วไหลของรหัสผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้ว: ข้อมูลประจำตัว 16,000 ล้านรหัสถูกเปิดเผยและแพร่กระจาย ผู้ใช้ Apple, Google, Facebook — ไม่มีใครปลอดภัย นี่ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นเส้นทางตรงสู่การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การแฮ็กบัญชี และการสูญเสียทางการเงิน ปกป้องชีวิตดิจิทัลของคุณตอนนี้ 👉 อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่นี่: https://amg-news.com/breaking-16-billion-passwords-leaked-digital-panic-has-begun-this-is-a-global-cyber-state-of-emergency/
    AMG-NEWS.COM
    BREAKING: 16 BILLION PASSWORDS LEAKED — DIGITAL PANIC HAS BEGUN. THIS IS A GLOBAL CYBER STATE OF EMERGENCY. - amg-news.com - American Media Group
    The largest password leak in digital history has just detonated: 16 BILLION credentials exposed, live and circulating. Apple, Google, Facebook users — no one is safe. This isn’t a breach. It’s a direct path to identity theft, account hijacking, and financial wipeout. Secure your digital life now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts