• Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4)
    *****************
    เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ
    เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน
    กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ
    ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย
    มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น
    พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น
    *****************
    USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ
    สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู
    ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้
    1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563
    2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566
    3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563
    4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571
    5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold

    *****************
    รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน
    การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ
    ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง
    การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น
    *****************
    EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม
    ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA
    *****************
    ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน
    พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน
    สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย
    เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้
    *****************
    อ้างอิง :
    • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia
    • World Gold Council https://www.gold.org/
    • EarthRights International
    Airstrikes สงคราม ทองคำ และคนลุ่มน้ำโขง (ตอนที่ 4) ***************** เสียงเครื่องบินกระหึ่มสัญชาติรัสเซีย และจีน ทั้งรุ่น MiG-29 -Yak-130 - K-8, F-7 และเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mi-35 Mi-17 เทคออฟขึ้นน่านฟ้าเมียนมา สร้างความหวาดวิตกกับพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง ความถี่มิได้เป็นปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้า บางครั้งก็ถลำรุกน่านฟ้าของไทย และถูกต้อนกลับ เสียงอากาศยานของเมียนมาทำให้ประชาชน พลเรือนระส่ำระสาย บาดเจ็บล้มตายกัน ในพื้นที่พลเรือนและกลุ่มต่อต้าน ปี 2023-24 กระทรวงกลาโหมใช้งบประมาณเพื่อภารกิจ Aistrike กว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ อาวุธ ส่วนใหญ่มาจากรัสเซียและจีน กองทัพเผด็จการเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีทางอากาศประมาณ 30 ครั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยงนี และรัฐกะฉิ่นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยทิ้งระเบิดเกือบ 100 ลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 ราย ตามข้อมูลที่ Shan Herald Agency for News (SHAN) ได้รับ ระหว่างปลายปีที่ผ่าน ถึงวันที่ 30 มกราคม 2025 การโจมตีทางอากาศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือนเป็นหลัก สร้างความเสียหายและการสูญเสียอย่างหนัก โดยเฉพาะเขตเมืองนองคิโอ รัฐฉาน ซึ่งระเบิดตกใส่ร้านน้ำชา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย มีการประเมินว่านับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว โดยบันทึกการโจมตีทางอากาศทั้งหมด 1,767 ครั้ง ซึ่งน่าตกใจว่าร้อยละ 47 ของการโจมตีเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่พลเรือน ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงขึ้น พื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายคือพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เหมืองแร่ และแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะใน รัฐฉาน (Shan State), รัฐกะเหรี่ยงนี-คะยา (Karenni/Kayah State), รัฐกะฉิ่น (Kachin State), รัฐระแหง (Rakhine State) และพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูมิภาคสกาย (Sagaing Region) เป็นต้น ***************** USGS (United States Geological Survey) ได้ ประมาณการไว้ว่า ยังคงเหลือทองคำอยู่ใต้ดินที่ยังไม่ได้ผลิตออกมาอีกประมาณ 50,000 ตัน คาดกันว่าปริมาณทองคำที่ขุดขึ้นมา และมีการใช้ประโยชน์กันแล้วกว่า 190,000 ตัน และโดยเฉลี่ยในปัจจุบันมีการผลิตออกจากเหมืองประมาณปีละ 2,500 ถึง 3,000 ตัน มีการทำเหมืองทองคำทั่วโลกอยู่ใน 82 ประเทศ สแกนใต้ดินแอฟริกาใต้ มีทรัพยากรแร่ทองคำมากที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก จนถึงปัจจุบันราว 31,000 ตัน รองลงมา คือ รัสเซีย ประมาณ 7,000 ตัน และ จีนเป็นอันดับ 3 ที่ผลิตประมาณ 6,328 ตัน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย แคนาดา และ เปรู ทว่าในปี 2564 จีนขึ้นแป้นครองแชมป์ประเทศที่ผลิตทองคำจากเหมืองทองคำในประเทศมากที่สุด คิดเป็น 11% ของการผลิต ทั่วโลก ซึ่งจากฐานข้อมูล Global Data’s mines and projects ที่ได้ติดตามการพัฒนาและปฏิบัติการของเหมืองแร่ และโครงการทั่วโลก โดยเก็บข้อมูลจากบริษัทยักษ์ใหญ่กว่า 4,000 บริษัท ได้สรุป 5 อันดับ เหมืองทองคำในจีนที่ผลิตทองคำได้มากที่สุดในปี 2563 ดังนี้ 1.Shaxi Copper Mine เป็นเหมืองใต้ดินในมณฑลอานฮุย (Anhui) ของกลุ่มบริษัท Togling Nonferrous Metal Group ซึ่งผลิตทองคำได้ประมาณ 730,000 ounces of gold ในปี 2563 2.Jiaojia Gold Mine ของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง (Shandong) ผลิตทองคำได้ประมาณ 230,000 ounces of gold ในปี 2563 และกำลังจะปิดตัวลงในปี 2566 3.Dayingezhuang Gold Mine เป็นเหมืองทองคำในมณฑลซานตงเช่นกัน อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท Zhaojin Mining Industry และผลิตทองคำประมาณ 228,000 ounces of gold ในปี 2563 4.Sanshandao Gold Mine เป็นเหมืองใต้ดินของกลุ่มบริษัท Shandong Gold Group ในมณฑลซานตง ผลิตทองคำได้ ประมาณ 218,000 ounces of gold ในปี 2563 และจะผลิตตามแผนงานไปจนถึงปี 2571 5.Zaozigou Gold Mine เป็นเหมืองทองคำของบริษัท Zhaojin Mining Industy ในมณฑลกานซู (Gansu) ผลิตทองคำได้ ประมาณ 207,000 ounces of gold ***************** รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ และ สหภาพนักศึกษาไทใหญ่ เกี่ยวกับเหมืองแร่ทองคำขยายวงกว้างทำให้เกิดดินโคลนถล่มท่วมชุมชนทางตะวันออกท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ระบุว่าบริษัทเหมืองแร่ได้เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2550 ที่บริเวณต้นน้ำแม่น้ำคำ ตอนใต้ของบ้านนาโฮหลงในตำบลเมืองเลน ในปัจจุบันเหมืองทองคำแบบเปิดได้ขยายตัวไปกว่า 10 กิโลเมตรตลอดทั่วเทือกเขาดอยค้า ตามริมฝั่งน้ำด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง การปล่อยน้ำจาจากการทำเหมืองแร่ทองแร่ทองคำที่ขาดการควบคุม รวมทั้งน้ำที่ไหลมาจากากอำบน้ำที่เจือด้วยสารไชยาไนด์ทำให้ลำน้ำน้ำอุดตัน และมักทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงที่ริมฝั่งน้ำในช่วงฤดูฝน การขยายตัวของเหมืองทองคำในเมืองเลน ยังทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และในปัจจุบัน มีบริษัท 12 แห่งที่เชื่อมโยงกับนายทหารพม่าระดับสูงได้รับประทานบัตรอายุ 11 ปี เพื่อการทำเหมืองแร่ทองคำ ในบรรดาประทานบัตร มีการให้ประทานบัตร 13 ฉบับแก่ (8 บริษัท) เมื่อกลางปี 2563 และอีก 7 ฉบับให้แก่ (5 บริษัท) ในปี 2564 ภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประทานบัตรแต่ละฉบับครอบคลุมพื้นที่ 50 ไร่บริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รับประทานบัตรจด ทะเบียนในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ยกเว้นเพียงเมย์ฟลาวเวอร์ไมนิ่ง เอนเตอร์ไพรส์(Maylower Mining Enterprises) ที่จัดตั้งขึ้นโดยนายจ่อวิน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพพม่า และตั้งอยู่ที่เมืองย่างกุ้ง การขุดทองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเกิดขึ้นโดยขาดการควบคุมและก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น ***************** EarthRights.org รายงานว่า นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 การขุดทองในรัฐกะฉิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกองทัพกะฉิ่น (Kachin Independence Army: KIA) และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เช่น กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (MNDAA) การขุดทองนี้ส่วนใหญ่เป็นการขุดแบบไม่มีการควบคุม (unregulated) และใช้สารเคมี เช่น ปรอทและไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและแหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำอิรวดี (Irrawaddy River) และแม่น้ำชินดวิน (Chindwin River) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้สารเคมีในการสกัดทองทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและสุขภาพของประชาชน นอกจากนั้นคือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อขุดทองทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม ผลกระทบต่อชุมชน ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ในเมืองตานาย (Tanai) และเมืองชิปวี (Chipwi) เผชิญกับการสูญเสียที่ดินทำกินและแหล่งน้ำสะอาดการขุดทองดึงดูดแรงงานจากพื้นที่อื่น ทำให้เกิดความตึงเครียดในชุมชนและเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเด็กและเยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าสู่อุตสาหกรรมการขุดทอง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน และพื้นที่นี้ เหมืองทองในเมืองตานายถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพเมียนมาในเดือนมกราคม 2025 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย การโจมตีนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการขัดขวางแหล่งรายได้ของ KIA ***************** ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการในพื้นที่เชียงราย พื้นที่ประสบภัยพิบัติทางแม่น้ำ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำเหมืองทองคำ และแร่ธาตุเผยแพรข้อเสนอในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำกกและสายซึ่งเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดนแล้ว เป็นสถานการณ์ความซับซ้อนของปัญหามลพิษข้ามแดนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจากรัฐส่วนกลางที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้คล้ายกับปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน พร้อมกับอ้างอิงงานศึกษาว่าบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักในแม่น้ำระหว่างประเทศดังเช่นแม่น้ำโขง Ding (2019) ที่วิพากษ์แนวคิด traditional state-centric governance เกี่ยวกับปัญหาสารโลหะหนักที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงตอนล่าง อันประกอบด้วย ไทย ลาว เวียนดนาม และกัมพูชา การแก้ไขภายใต้อาเซียนและ MRC (Mekong River Commission มีข้อจำกัดในแง่ที่ 1) รายงานมิได้ครอบคลุมรายละเอียดของปัญหามลพิษ 2) รายงานมิได้สนับสนุนการสื่อสารกันระหว่างองคกรที่แตกต่างกัน เช่น สถาบันการวิจัย 3) ขาดกลไกเชิงกฎหมายระดับภูมิภาคและการบังคับใช้กฎหมายในควบคุมมลพิษในน้ำข้ามพรมแดน 4) รายงานไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน สรุปคือกลกลไกระหว่างประเทศแบบที่ สทนช.เสนอให้ MRC ทำ น่าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดนในบริบทอาเซียนได้ เมื่อพิจารณาความซับซ้อนของปัญหาในต้นน้ำกกและสาย จำเป็นต้องแกะปมตั้งแต่ บริษัทจีน กองกำลังติดอาวุธ ชาติพันธ์ และประเทศจีน ชุมชนในตลอดลำน้ำกกและสาย สถาบันการศึกษา ภาคธุรกิจ ปละภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วย เสียงคำรามของเครื่องบินพร้อมลูกระเบิดภารกิจ Airstrikes ก่อสงครามแย่งชิงขุมทรัพย์ทองคำสีเลือด และคนลุ่มน้ำโขงกำลังเผชิญภัยวิกฤติจากสารพิษ ที่เจือปนในแม่น้ำ รวมถึงการสลายความเป็นมนุษย์ในดินแดนขุมเมืองแห่งลุ่มแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้ ***************** อ้างอิง : • สำนักข่าว Shan Herald Agency for News, Burma News International, Human Rights Watch, The Irrawaddy Radio Free Asia Al Jazeera, Amnesty International, Justice For Myanmar, และ Wikipedia • World Gold Council https://www.gold.org/ • EarthRights International
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน
    ______________________________
    23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
    China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90
    ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน)
    ______________________________
    ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ
    สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม
    หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ)
    บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง
    นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก
    ______________________________
    การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น
    • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV
    • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน
    • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ
    • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม
    • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry)
    สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน
    ______________________________
    ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย
    ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล
    หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้:
    • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง
    • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย
    • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF
    • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่
    • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง
    • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง
    • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง
    ______________________________
    สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง
    การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED
    สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง
    ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน
    ______________________________
    ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน
    สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ
    KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่
    รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ______________________________
    สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต
    อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ
    https://shorturl.asia/6GnqX
    ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942
    ______________________________

    10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน)
    1. แร่ดีบุก (Tin)
    o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563
    o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region)
    2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน
    o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region)
    3. ทองแดง (Copper)
    o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร
    o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State)
    4. ตะกั่ว (Lead)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State)
    5. สังกะสี (Zinc)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ
    o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region)
    6. นิกเกิล (Nickel)
    o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
    o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส
    o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน
    7. พลวง (Antimony)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน
    o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    8. ทังสเตน (Tungsten)
    o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง
    o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร
    o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น
    9. ทองคำ (Gold)
    o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก
    o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ
    o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย
    10. อิตเทรียม (Yttrium)
    o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ
    o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก
    o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์
    หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร
    ______________________________
    ตามรอยย้อนกลับ Supply Chain แร่หายากจากพม่ามหาศาลสู่จีน ______________________________ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2564 บริษัท China Rare Earth Group Co., Ltd. ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการควบรวมของ 3 กิจการด้านอุตสาหกรรมแร่หายากในจีน China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. เป้าคือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี China Rare Earth Group อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของรัฐ-คณะกรรมการกำกับดูแลและบริหารสินทรัพย์ที่เป็นเจ้าของของสภาแห่งรัฐ ถือหุ้นร้อยละ 31.21 China Aluminium Corporation, China Minmetals Corporation และ Ganzhou Rare Earth Group Co., Ltd. แต่ละบริษัทถือหุ้นร้อยละ 20.33; China Iron and Steel Research Technology Group Co., Ltd. และ Youyan Technology Group Co., Ltd. ถือหุ้นร้อยละ 3.90 ปัจจุบันจีนมีปริมาณการผลิตแร่ธาตุ หายากสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ที่ 132,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 210,000 ตัน โดยประเทศอื่น ๆ ที่มีปริมาณการผลิตแร่ธาตุหายากในลำดับถัดมา ได้แก่ สหรัฐฯ (26,000 ตัน) เมียนมา (22,000 ตัน) ออสเตรเลีย (21,000 ตัน) อินเดีย (3,000 ตัน) รัสเซีย (2,700 ตัน) มาดากัสการ์ (2,000 ตัน) ไทย (1,800 ตัน) บราซิล (1,000 ตัน) เวียดนาม (900 ตัน) และบุรุนดี (600 ตัน) ______________________________ ระฆังกำแพงภาษีลั่นขึ้นห้วงเมษายน 2568 โดยสหรัฐอเมริกา การตอบโต้กลับของจีนเปิดหน้าชก สวนกลับทุกเม็ด รวมถึงได้ขยายการใช้ "แร่หายาก" (rare earths) เป็นเครื่องมือตอบโต้ทางการค้า โดยประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในอุดสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเป็นการตอบโต้ต่อมาดรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ สำหรับแร่หายาก 7 ชนิดได้แก่ ชามาเรียม (Samarium) แกโดลิเนียม (Gadolinium) เทอร์เมียม (Terbium) ดิสโพรเซียม (Dysprosium) ลูทีเซียม (Lutetium) สแกนเดียม (Scandium) และอิดเทรียม (Yttrium) สำหรับแร่หายากยอดนิยมอย่าง นี่โอไดเมียม (Neodymium) และ พราเชโอไดเมียม (Praseodymium) ซึ่งใช้ผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ยังไม่อยู่ในรายชื่อควบคุม หลังการรัฐประหารปี 2021 การส่งออกแร่ธาตุหายากจากพม่าไปจีนเพิ่มขึ้น 5 เท่า สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการการพึ่งพาจีน 90% ของการแปรรูปแร่หายากโลกอยู่ในจีน แบ่งเป็น แร่กลุ่มหายาก (Rare Earth Elements) มูลค่า: 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2025) ส่วนแบ่งการนำเข้า: กว่า 50% ของการนำเข้าแร่หายากทั้งหมดของจีน ชนิดแร่หลัก: เทอร์เบียม (Terbium) และดีสโพรเซียม (Dysprosium) ในกลุ่ม Heavy Rare Earth Elements (HREE) พื้นที่ทำเหมืองหลักที่คะฉิ่น ที่เหมือง Chipwi และ Momauk: มีบ่อแร่มากกว่า 2,700 บ่อ เมือง Panwa: แหล่งผลิตหลักภายใต้การควบคุมของ Kachin Independence Army (KIA) การขยายตัว: จำนวนไซต์ทำเหมืองเพิ่มขึ้น 40% นับตั้งแต่ปี 2021 โดยพื้นที่ KIA: เก็บภาษี 35,000 หยวน/ตัน (ประมาณ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทจีนผู้รับซื้อหลัก คือ China Rare Earths Group (REGCC) ควบคุมการประมูลแร่กว่า 80% China Northern Rare Earth Group ผู้ประมูลแร่รายใหญ่ของโลก และ JL Mag Rare-Earth: ผู้ผลิตแม่เหล็กถาวรรายใหญ่ ใช้แร่จากพม่าในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และยังมีบริษัท Rising Nonferrous บริษัทที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าแร่หายากจากเมียนมาโดยตรง นอกจากนั้นก็จะมี China Nonferrous Metal Mining Group (CNMC) รับซื้อ: ทองแดง, นิกเกิล พื้นที่รับซื้อคือเหมือง Monywa ในเขตสะกาย บริษัท China Minmetals Corporation: รับซื้อ: แร่หายาก, ดีบุก, ทังสเตน Aluminum Corporation of China (CHINALCO): รับซื้อ: แร่ที่เกี่ยวข้องกับอะลูมิเนียมและโลหะผสม Yunnan Tin Company: รับซื้อ: ดีบุก เพราะเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่ของจีน Pangang Group: รับซื้อ: ทังสเตน, พลวง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโลหะหนัก ______________________________ การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนมีป้อนอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้จีน และแน่นอนต้องใช้ฐานของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นตลาดหลักและบายพาสไปยังกลุ่มประเทศที่มีกำแพงภาษีสูงไม่ว่าจะเป็น • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles)แร่ธาตุหายาก เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และเทอร์เบียม (Terbium) ที่นำเข้าจากพม่าใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนมีความต้องการสูงมากในช่วงหลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV • อุตสาหกรรมพลังงานลม (Wind Power)แม่เหล็กถาวรที่ผลิตจากแร่ธาตุหายากเหล่านี้ยังถูกใช้ในกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายพลังงานทดแทนของจีน • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)แร่ธาตุหายากจากพม่าถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ต้องการแม่เหล็กและวัสดุพิเศษ • อุตสาหกรรมแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets) บริษัทจีนใหญ่ เช่น China Southern Rare Earth ใช้แร่ธาตุจากพม่าในการผลิตแม่เหล็กถาวรที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม • อาวุธยุทโธปกรณ์ (Defence Industry) และอุตสาหกรรมอวกาศ และอากาศยาน (Aerospace Industry) สถานการณ์ความต้องการแร่ธาตุหายากงวดขึ้นเพราะนับวันแร่ธาตุเหล่านั้นย่อมลดลง ตามชื่อเพราะยิ่งหายากขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จีนเพิ่มการนำเข้าแร่หายากจากพม่าเกิน 9 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็นกว่า 70% ของแร่ธาตุหายากที่จีนใช้ทั้งหมด ซึ่งทำให้พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดของจีนในปัจจุบัน ______________________________ ความต้องการสูงและความไม่แน่นอนของซัพพลายเชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีความขัดข้องจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้จีนพึ่งพาแหล่งแร่จากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะพม่าเป็นสัดส่วนถึง 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ เนื่องจากเหมืองในจีนผลิตไม่เพียงพอและมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบาย ปัญหาจึงอยู่ที่แร่ธาตุหายากจากพม่าส่วนใหญ่ถูกขุดอย่างผิดกฎหมายและผ่านช่องทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้บริษัทจีนที่แปรรูปแร่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน ส่งผลต่อความยั่งยืนและความน่าเชื่อถือของตลาด รวมถึงสร้างปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมต่อพม่าอย่างมหาศาล หากเจาะพื้นที่การทำเหมืองในรัฐต่าง ๆ การทำเหมืองในเมียนมามักอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีผลต่อการส่งออกและการจัดการทรัพยากร ดังนี้: • รัฐคะฉิ่น (Kachin State): แร่หลัก: แร่หายาก (REEs), พลวง, ทองคำ, อิตเทรียม พื้นที่ป่าทางตอนเหนือ อุดมไปด้วยแร่หายาก แต่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพปลดปล่อยคะฉิ่น (KIA) ส่วนใหญ่ทำลายสิ่งแวดล้อม น้ำกลายเป็นโคลน และสัตว์ป่าลดลง • รัฐฉาน (Shan State): แร่หลัก: ดีบุก, ตะกั่ว, สังกะสี, ทังสเตน,ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ เช่น เหมือง Man Maw การควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับกองทัพเมียนมา ทำให้เงินจากเหมือง สนับสนุนกองทัพ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาลเช่นกันและลุกลามไปยังประเทศเพื่อนบ้านคือประเทศไทย • เขตสะกาย (Sagaing Region): แร่หลัก: ทองแดง, นิกเกิล, ทองคำพื้นที่ที่มีการสู้รบหนักระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลัง PDF • เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region): แร่หลัก: แร่หายาก, พลวง, อิตเทรียม, ทองคำพื้นที่ที่มีเหมืองขนาดเล็กกระจายอยู่ • เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region): แร่หลัก: ดีบุก เป็นเหมืองดีบุกขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่ง • รัฐมอญ (Mon State): แร่หลัก: ทองแดง เป็นเหมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง • รัฐกะยา (Kayah State): แร่หลัก: ตะกั่ว พื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง ______________________________ สอบทานต้นทาง-ย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ธาตุจากเมียนมาไปจีนมีลักษณะดังนี้ เริ่มต้นสำรวจแหล่ง แน่นอนฐานข้อมูลมีอยู่แล้วในมือรัฐบาลทหารพม่า และในกำมือเทคโนโลยีจีน ก่อนจะให้บริษัทเอกชนในแต่ละความถนัดของจีน และของพม่าเอง ขุดและแปรรูปเบื้องต้น เหมืองส่วนใหญ่ในพม่าดำเนินการโดยบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทจีนร่วมทุน การแปรรูปขั้นต้น (เช่น การถลุงแร่ดีบุก) มักทำในเมียนมาก่อนส่งออก ส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้งทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน การขนส่ง เส้นทางหลัก: จากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและฉานไปยังชายแดนจีน (มณฑลยูนนาน) ผ่านทางรถไฟหรือถนน เช่น เส้นทางรถไฟเจ้าผิ่ว-มูเซ บางส่วนส่งออกผ่านท่าเรือในเขตตะนาวศรีและย่างกุ้ง การแปรรูปขั้นสูงในจีน ปลายทางคือโรงงานแปรรูปอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง, เจียงซู, และแถบเศรษฐกิจแยงซีเกียง โดยแร่หายากถูกกลั่นเป็นโลหะบริสุทธิ์หรือสารประกอบ เช่น นีโอดิเมียมสำหรับแม่เหล็ก หรืออิตเทรียมสำหรับ LED สายพานอุตสาหกรรมที่ใช้งานแบ่งตามแร่ธาตุอุตสาหกรรมเทคโนโลยี: แร่หายาก (REEs) และดีบุกใช้ในสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า: แร่หายาก (นีโอดิเมียม, ดิสโพรเซียม) และนิกเกิลใช้ในมอเตอร์และแบตเตอรี่ พลังงานสะอาด: ทังสเตนและพลวงใช้ในกังหันลมและแผงโซลาร์ อุตสาหกรรมทหาร: แร่หายากและพลวงใช้ในขีปนาวุธ, เรดาร์, และเลเซอร์ การก่อสร้างและเครื่องจักร: ทองแดงและสังกะสีใช้ในสายไฟและโครงสร้าง ความท้าทายในระบบ Supply Chain ส่วนใหญ่คือความขัดแย้งในเมียนมาอาจขัดขวางการขนส่ง จากผลประโยชน์มหาศาลเพื่อนำมาเป็นอาวุธและจุนเจือเสบียงในการรบ ขณะที่นานาชาติได้เรียกร้องให้ตรวจสอบแร่จากพื้นที่ขัดแย้ง แต่จีนเป็นประเทศเดียวที่บังคับให้แยกแร่จากเมียนมาและจีน ______________________________ ล่าสุด กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Organization, Kachin Independent Army- KIA) ซึ่งได้เป็นเจ้าของใหม่ของเหมืองแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน (ราว 160,000 บาท) พื้นที่แหล่งแร่หายากที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในเขตปางวาและชิพเว (Pang Wa, Chi Pwi) ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งกลุ่ม KIA เข้ายึดครองในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังจีนหลังจากควบคุมพื้นที่มาได้ 6 เดือน สำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 KIO/KIA ได้อนุญาตให้ส่งออกแร่หายากไปยังประเทศจีน โดยเก็บภาษีในอัตรา 30,500 หยวนต่อหนึ่งตัน อย่างไรก็ตาม รายละเอียดอื่น ๆ ในหนังสืออนุญาตของ KIO ยังไม่ได้รับการเปิดเผย เจ้าหน้าที่ KIA เขตปางวาให้ข้อมูลว่าKIO/KIA และรัฐบาลจีน ยังคงเจรจาเกี่ยวกับการใช้จุดผ่านแดนเดียวในการส่งออกแร่หายาก และจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน ยังไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ KIA สามารถควบคุมจุดผ่านแดนทางการค้าระหว่างจีน-พม่าในรัฐคะฉิ่นทั้งหมด ได้แก่ กานปายตี Kan Pai Ti, ล่วยเจ Loi Je และปางวา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าจะใช้จุดผ่านแดนใดในการส่งออก หลังจากที่ KIA ควบคุมพื้นที่ปางวาและชิพเว รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนทั้งหมด ทำให้บริษัทเหมืองแร่ส่วนใหญ่หยุดดำเนินการ มีเพียงบางบริษัทที่ยังคงขุดแร่ต่อไป เนื่องจากยังมีวัตถุดิบหลงเหลืออยู่ รายงานของ Global Witness ระบุว่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาเริ่มขึ้นในปี 2016 โดยนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งส่งออกแร่ไปยังจีนเป็นหลัก ตามข้อมูลปัจจุบัน พม่าติดอันดับ 3 ของประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ท และคิดเป็น 50% ของการส่งออกแร่หายากทั่วโลก หลังจากการรัฐประหารของกองทัพพม่า การทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทในพื้นที่ปางวาและชิพเวเพิ่มขึ้น 40% และจำนวนเหมืองแร่เพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง ในปี 2566 เพียงปีเดียว มีการส่งออกแร่หายากไปยังจีนมากถึง 41,700 ตัน สร้างรายได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ______________________________ สรุปขมวดปม การส่งออกแร่ธาตุจากพม่าไปจีนช่วยเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชนแร่หายากในจีน ลดภาวะขาดแคลนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความโปร่งใสและความยั่งยืนในตลาดแร่ธาตุของจีน แร่ธาตุหายากจากพม่ามีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด ซึ่งจีนพึ่งพาการนำเข้าแร่จากพม่าเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของแร่หายากที่ใช้ในประเทศ เหมืองแร่หายากเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงแร่ทองคำ และอื่น ๆ ที่ปักหมุดขุดหลุมร่อนตระแกรง ทุกรัฐในเมียนมาก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา แม่น้ำ ลำธาร โดยคนงานบางรายถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างโหดร้าย หญิงคนงานถูกล่วงละเมิดทางเพศ และหลายคนได้รับอันตรายทางสุขภาพอย่างร้ายแรงจากสารเคมีที่ใช้ในเหมือง และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่กว้างขวางขึ้นรวมถึงประเทศไทย และลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน คำถามคือจีนมีส่วนสำคัญในการสร้างมลภาวะในพื้นที่ ควรจะร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ไม่ใช่การสูบทรัพยากรในพื้นที่แต่ไม่ได้เหลียวแลผลกระทบที่จะตามมา อันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับจีนในอนาคต อ้างอิง : https://www.facebook.com/GlobalWitness/ และสำนักข่าวชายขอบ https://shorturl.asia/6GnqX ประชาไท https://prachatai.com/journal/2025/01/111942 ______________________________ 10 อันดับแร่ธาตุที่ส่งออกจากเมียนมาไปจีน (เรียงตามมูลค่าประเมิน) 1. แร่ดีบุก (Tin) o มูลค่า: สูงสุด เนื่องจากเมียนมาเป็นผู้ผลิตดีบุกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก และจีนนำเข้า 95% ของหัวแร่ดีบุกจากเมียนมาในปี 2563 o การใช้งาน: ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (บัดกรีแผงวงจร), การผลิตโลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน (Shan State), เขตตะนาวศรี (Tanintharyi Region) 2. แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) o มูลค่า: สูง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน o การใช้งาน: ผลิตแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnets), แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์เลเซอร์, เซมิคอนดักเตอร์ o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น (Kachin State), เขตมัณฑะเลย์ (Mandalay Region) 3. ทองแดง (Copper) o มูลค่า: สูง เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งสูงหลังรัฐประหาร o การใช้งาน: สายไฟ, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, การก่อสร้าง o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย (Sagaing Region), รัฐมอญ (Mon State) 4. ตะกั่ว (Lead) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ใช้ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด, อุตสาหกรรมยานยนต์ o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐกะยา (Kayah State) 5. สังกะสี (Zinc) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบโลหะ o การใช้งาน: การชุบกัลวาไนซ์, โลหะผสม o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, เขตย่างกุ้ง (Yangon Region) 6. นิกเกิล (Nickel) o มูลค่า: ปานกลาง เนื่องจากความต้องการในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ o การใช้งาน: แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน, สแตนเลส o พื้นที่เหมือง: เขตสะกาย, รัฐฉาน 7. พลวง (Antimony) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมทหารและพลังงาน o การใช้งาน: สารหน่วงไฟ, โลหะผสม, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ 8. ทังสเตน (Tungsten) o มูลค่า: ปานกลาง ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีความแข็งสูง o การใช้งาน: โลหะผสม, เครื่องมือตัด, อุปกรณ์ทหาร o พื้นที่เหมือง: รัฐฉาน, รัฐคะฉิ่น 9. ทองคำ (Gold) o มูลค่า: ปานกลางถึงสูง ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก o การใช้งาน: อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ o พื้นที่เหมือง: เขตมัณฑะเลย์, รัฐคะฉิ่น, เขตสะกาย 10. อิตเทรียม (Yttrium) o มูลค่า: ต่ำถึงปานกลาง แต่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมเฉพาะ o การใช้งาน: สารเรืองแสงใน LED, อุปกรณ์ MRI, เซรามิก o พื้นที่เหมือง: รัฐคะฉิ่น, เขตมัณฑะเลย์ หมายเหตุ: มูลค่าที่ระบุเป็นการประเมินจากความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานและปริมาณการส่งออก เนื่องจากไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่นอนหลังรัฐประหาร ______________________________
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 536 มุมมอง 0 รีวิว
  • Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ
    .
    ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน
    ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง
    รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน
    โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain
    ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย
    อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023
    นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน
    แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน
    แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด
    ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต
    อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan
    โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2%
    แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก
    Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา
    หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่
    1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน
    2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น
    3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์
    4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho
    5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์
    6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน
    7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ
    ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก
    ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก
    พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง
    ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย
    ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย
    แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด


    อ้างอิง :
    • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    https://www.bbc.com/thai/international-53264790
    • EarthRights International, Global Witness
    Blood Gold เจาะขุมทรัพย์ใต้ภิภพเมียนมาร์ความมั่งคั่งที่มืดมนอนธการ . ใต้ภิภพเมียนมาร์ นับเป็นรัฐที่มีทรัพยากรมูลค่าสูงฝังอยู่มหาศาล ที่สามารถแปลงเป็นสินทรัพย์ในการพัฒนาประเทศได้อันดับต้น ๆ ของอาเซียน ทว่า รัฐสภาพแห่งนี้เหมือนถูกครอบงำ และตกอยู่ภายใต้ความลำบาก ความขัดแย้งไม่ลงรอย ในประวัติศาสตร์การเมืองที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยตรง รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) “ยักษ์หลับแห่งเมียนมา” ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตื่นขึ้น 28 มีนาคม 2568 ที่ ขนาด 8.2 แมกนิจูด ได้ส่งพลังพาดผ่านเมืองหลวงสำคัญของพม่า ตั้งแต่มัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งอารยธรรมและศูนย์กลางอำนาจ ตั้งอยู่บนหลังมังกรที่หลับ ขยับทีก็ทำให้เมืองศูนย์กลางสำคัญได้ได้ผลกระทบสูงการฟื้นตัวครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนสถานการณ์เริ่มต้นใหม่หลายรอบ หมุนวน โครงสร้างทางธรณีวิทยาของเมียนมาร์ค่อนข้างซับซ้อน ภูมิสัณฐานและธรณีโครงสร้างได้เป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือพื้นที่ราบสูงตะวันออก (Sino Burman Ranges) พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง (Inner Burman Tertiary Zone) ดินแดนเทือกเขาตะวันตก (Indo Burman Ranges) และ ที่ราบฝั่งยะไข่ - คะฉิ่น Rakhine (Arakan) Coastal Plain ชั้นหินที่มีอายุอ่อนที่สุดจะอยู่ใน พื้นที่ลุ่มต่ำตอนกลาง ไล่ถัดไปทางด้านตะวันตกของประเทศ จะเป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงที่ราบแถบยะไข่ ด้านตะวันออกของประเทศ ส่วนของ Sino Burman เป็นชั้นหินที่มีอายุแก่ที่สุด มีรอยเลื่อนรัฐฉาน แนวรอยต่อเชื่อมรอยเลื่อนสะกาย อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในเมียนมาร์ มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารปี 2021 ซึ่งมีการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน มีมูลค่าสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 นับว่าแร่หายากกลุ่มหนัก heavy rare earth elements: HREE คิดเป็นสัดส่วนหลักของมูลค่าการส่งออกของเมียนมาร์ โดยส่วนใหญ่ส่งไปจีนเพื่อผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับรถไฟฟ้าและกังหันลมการส่งออก อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2021 จาก 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตัน แน่นอนแร่หายากกลุ่ม China Rare Earths Group (REGCC) เป็นผู้ลงทุนหลัก ควบคุมทั้งเทคโนโลยี การประมวลผล และห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้การดูแลพื้นที่ของกองทัพเมียนมาร์ (SAC) และมิลิเชียพันธมิตรควบคุมพื้นที่พิเศษ Kachin 1 และกองกำลัง Kachin Independence Army (KIA) ควบคุมพื้นที่ Momauk และแนวชายแดน แร่หายากเป็นแหล่งเงินสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มกบฎ แต่ 70% ของประชากรในพื้นที่ยังพึ่งพาการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่ค่าแรงงานในเหมืองสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน (สูงกว่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่า) แต่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ โรคปอด ปัญหาหายใจลำบาก โรคผิวหนัง และไตวายจากสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตและออกซาลิกแอซิด ไม่รวมถึงมลพิษน้ำ 96% ของครัวเรือนในเขต Chipwi ไม่มีน้ำดื่มสะอาดเนื่องจากสารเคมีปนเปื้อน ดวงตาสวรรค์ได้ส่องพื้นที่การขยายตัวของเหมืองกว่า 40% ใน Kachin Special Region 1 และ Momauk ระหว่างปี 2021-2023 ที่สลายระบบนิเวศในพื้นที่ยากจะทวงคืนสภาพเดิมกลับมาในอนาคต อีกแร่ธาตุหนึ่งคือเหล็กที่เมียนมาร์ เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ที่แหล่ง Pong Pet ซึ่งอยู่ห่างจาก Taunggyi ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปรากฏเป็นแหล่งเฮมาไทต์ (Hematite) และยังพบแหล่งแร่เหล็ก 393 แหล่ง ปริมาณสารองทรัพยากรแร่ประมาณ 495 ล้านตัน และพบแหล่งแร่เหล็กที่มีศักยภาพ 14 แหล่ง ในรัฐ Kachin, Mandalay, Bago, Tanintharyi และรัฐShan ได้แก่ แหล่งแร่เหล็กสำคัญพบที่รัฐ Tanintharyi บริเวณตอนเหนือของรัฐ Shan โดยในรัฐคะฉิ่น คือศูนย์รวมแร่ธาตุความมั่งคั่งสมบูรณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่ นอกจากหยกแล้วยังมีแหล่งแร่เหล็กในรัฐ Kachin มีปริมาณสารองประมาณ 223 ล้านตันที่ 50.56%Fe องค์ประกอบหลักของแร่ คือ Goethite/Limonite 75%, Hematite 15% และ Magnetite 2% แน่นอนเมียนมาร์เป็นผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในประเทศเดียวที่ผลิตหยกเจไดต์คุณภาพสูง อุตสาหกรรมหยกมีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ของประเทศ โดยเมืองผะกัน (Hpakan) เป็นที่ตั้งของเหมืองหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมืองที่มีข่าวของเหมืองถล่ม ดินโคลนโถมทับหมู่บ้านถี่มากและต้นปี 2568 ก็ได้เกิดเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่ซ้ำซาก สูญเสียชีวิตของผู้คนไปอย่างมาก Global Witness ประเมินไว้ว่ารายได้จากหยกได้เข้าพกเข้าห่อของผู้นำของเมียนมาไปแล้วราว 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา หากประมวลประเทศที่มีบริษัทลงทุนในเหมืองแร่ในภาพรวมในเมียนมาร์ ได้แก่ 1.) จีน: เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เมียนมาร์ โดยเฉพาะในเหมืองทองแดง (เช่น โครงการ Letpadaung, S&K, Tagaung Taung) และแร่หายาก มีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น China Nonferrous Metal Mining (CNMC), Wanbao Mining Co., Ltd. รวมถึงนักลงทุนรายย่อยจากมณฑลยูนนานและเสฉวน 2.) ไทย: มีบริษัท Myanmar-Pongpipat Co., Ltd. ร่วมลงทุนในเหมืองดีบุกและโลหะอื่น 3.) เวียดนาม: บริษัท Simco Songda มีการลงทุนในเหมืองแร่ร่วมกับเมียนมาร์ 4.) ออสเตรเลีย: บริษัท PanAust ได้รับอนุญาตให้ศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่เหมือง Wuntho 5.) ญี่ปุ่น: มีบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งยื่นขออนุญาตลงทุนในเหมืองแร่เมียนมาร์ 6.) สิงคโปร์: แม้จะเน้นลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และพลังงาน แต่ก็มีการลงทุนในเหมืองแร่บางส่วน 7.) มาเลเซีย, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร: มีการลงทุนในเมียนมาร์ในหลายภาคส่วน รวมถึงเหมืองแร่ในบางโครงการ ในส่วนแร่ทองคำ Blood Gold บริบทไม่แตกต่างจากพื้นที่คะฉิ่น แต่รายงานจาก EarthRights International (2567) ระบุว่าในรัฐกะฉิ่นมีการขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีจุดขุดนับร้อยแห่ง ส่วนใหญ่เป็นการขุดขนาดเล็กและใช้เครื่องจักรหนัก ผู้สัมปทาน ก่อนการรัฐประหาร (2564): เหมืองทองคำขนาดใหญ่บางแห่ง เช่น ในเขตเบ็งเมาก์ (Bemauk), กานิ (Kani), และเคาก์ปาดอง (Kyaukpadaung) ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างกองทัพเมียนมาร์และบริษัทต่างชาติ เช่น บริษัทจากจีนและไทย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเฉพาะเจาะจงในปัจจุบันหายาก พื้นที่การขุดทองคำในรัฐกะฉิ่นส่วนใหญ่ควบคุมโดย Kachin Independence Army (KIA) และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทหรือนักขุดท้องถิ่น บริษัทจีน มีรายงานว่าได้รับสัมปทานในพื้นที่ เช่น บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำกก โดยได้รับการอนุมัติจาก United Wa State Army (UWSA) บริษัทท้องถิ่นและกองทัพเมียนมาร์: Myanmar Economic Holdings Limited (MEHL) และ Myanmar Economic Corporation (MEC) ยังคงมีส่วนในเหมืองบางแห่ง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ไม่มีการออกใบอนุญาตขุดอย่างเป็นทางการในหลายพื้นที่ เช่น Hpakant แต่การขุดยังดำเนินต่อไปโดยผิดกฎหมาย ปัจจุบันหลังจาก การรัฐประหารในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ส่งผลให้การขุดทองคำเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม โดยเฉพาะในรัฐกะฉิ่นและสะกาย เพิ่มขึ้น 10 เท่าหลังการรัฐประหาร ซึ่งเป็นแหล่งทองคำสำคัญ เรียกว่าเกิดการขุดแบบทำลายล้าง ใช้เครื่องจักรกลหนักและการขุดในแม่น้ำในพื้นที่ และลุกลามขยายยังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำสายใกล้ชายแดนไทย แน่นอนความระส่ำระสายในพื้นที่คือการกอบโกยความมั่งคั่งในพื้นที่ที่ไม่ได้มองไกลถึงอนาคตว่าผลกระทบของผู้คน ประชาชนจะเป็นอย่างไร ระยะเวลาการฟื้นตัวความอ่อนเปียกของรัฐชาติที่ถูกสูบทรัพยากรที่มีความมั่งคั่งออกไปอย่างไร้ข้อจำกัด โดยมีอำนาจภายในควบคุม กองทัพเมียนมาร์ ควบคุมเหมืองขนาดใหญ่บางแห่งเพื่อหารายได้ กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น KIA เก็บส่วนแบ่งจากเหมืองในพื้นที่ของตน บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน มีบทบาทในพื้นที่รัฐที่อุดมด้วยแร่ธาตุโดยเฉพาะฉาน และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงที่สัญญาณได้ส่งผลแล้วกรณีที่แม่สาย ลุ่มแม่น้ำกก เชียงราย ที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิด อ้างอิง : • โครงการ การส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบและการลงทุนด้านเหมืองแร่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ • https://www.bbc.com/thai/international-53264790 • EarthRights International, Global Witness
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 514 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า

    ✅ Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy
    - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024
    - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า
    - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น

    ✅ ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon
    - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์
    - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy

    ✅ การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ
    - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์
    - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว

    ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ℹ️ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos
    - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล
    - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้

    ℹ️ ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon
    - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน
    - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่

    ℹ️ แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า ✅ Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024 - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น ✅ ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์ - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy ✅ การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์ - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ ℹ️ ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    WWW.TECHRADAR.COM
    Amazon paid out more to Jeff Bezos than its actual CEO in 2024
    Former CEO Jeff Bezos is still costing Amazon millions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนได้เปลี่ยนแปลงกฎการนำเข้าชิป โดยกำหนดให้สถานที่ผลิตแผ่นเวเฟอร์เป็นตัวกำหนดประเทศต้นกำเนิดของชิป ซึ่งหมายความว่าชิปที่ผลิตในไต้หวันจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า 125% ที่จีนกำหนดสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีดังกล่าว

    การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ เช่น Intel, GlobalFoundries และ Texas Instruments ซึ่งผลิตชิปในสหรัฐฯ และต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน บริษัทในไต้หวัน เช่น TSMC และ UMC ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้

    นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของจีนในการสนับสนุนบริษัทในไต้หวันและจีนเอง รวมถึงการแสดงจุดยืนว่าจีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน

    ✅ การเปลี่ยนแปลงกฎการนำเข้าชิปของจีน
    - กำหนดให้สถานที่ผลิตแผ่นเวเฟอร์เป็นตัวกำหนดประเทศต้นกำเนิดของชิป
    - ชิปที่ผลิตในไต้หวันได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า 125%

    ✅ ผลกระทบต่อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์
    - บริษัทในสหรัฐฯ เช่น Intel และ Texas Instruments ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น
    - บริษัทในไต้หวัน เช่น TSMC และ UMC ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้

    ✅ จุดยืนของจีน
    - จีนแสดงจุดยืนว่าถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน
    - สนับสนุนบริษัทในไต้หวันและจีนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

    ℹ️ ความเสี่ยงต่อบริษัทในสหรัฐฯ
    - บริษัทในสหรัฐฯ อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิตชิปเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้น
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    ℹ️ ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ
    - อาจส่งผลต่อการเจรจาทางการค้าและความร่วมมือในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-new-semiconductor-rule-spares-taiwan-fabs-punishes-intel-globalfoundries-and-texas-instruments
    จีนได้เปลี่ยนแปลงกฎการนำเข้าชิป โดยกำหนดให้สถานที่ผลิตแผ่นเวเฟอร์เป็นตัวกำหนดประเทศต้นกำเนิดของชิป ซึ่งหมายความว่าชิปที่ผลิตในไต้หวันจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า 125% ที่จีนกำหนดสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ เช่น Intel, GlobalFoundries และ Texas Instruments ซึ่งผลิตชิปในสหรัฐฯ และต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน บริษัทในไต้หวัน เช่น TSMC และ UMC ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของจีนในการสนับสนุนบริษัทในไต้หวันและจีนเอง รวมถึงการแสดงจุดยืนว่าจีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน ✅ การเปลี่ยนแปลงกฎการนำเข้าชิปของจีน - กำหนดให้สถานที่ผลิตแผ่นเวเฟอร์เป็นตัวกำหนดประเทศต้นกำเนิดของชิป - ชิปที่ผลิตในไต้หวันได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า 125% ✅ ผลกระทบต่อบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ - บริษัทในสหรัฐฯ เช่น Intel และ Texas Instruments ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น - บริษัทในไต้หวัน เช่น TSMC และ UMC ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ✅ จุดยืนของจีน - จีนแสดงจุดยืนว่าถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตน - สนับสนุนบริษัทในไต้หวันและจีนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ℹ️ ความเสี่ยงต่อบริษัทในสหรัฐฯ - บริษัทในสหรัฐฯ อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการผลิตชิปเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้น - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ℹ️ ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ - อาจส่งผลต่อการเจรจาทางการค้าและความร่วมมือในอนาคต https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-new-semiconductor-rule-spares-taiwan-fabs-punishes-intel-globalfoundries-and-texas-instruments
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศหยุดการเก็บภาษีใหม่ทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน แต่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเทคโนโลยี เช่น แล็ปท็อป, จอภาพ, และ คอนโซลเกม

    🌐 การเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี:
    📉 ลดภาษีทั่วโลก: ภาษีทั่วโลกถูกปรับลดลงเหลือ 10% ยกเว้นบางประเทศ เช่น เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจมีอัตราภาษีระหว่าง 10%-35%
    📈 เพิ่มภาษีจีน: ภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 54% เป็น 104% และล่าสุดเป็น 125%

    ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี:
    🎮 การเลื่อนการเปิดตัวสินค้า: Nintendo เลื่อนการเปิดตัว Switch 2 และผู้ผลิตแล็ปท็อปบางรายหยุดการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
    💾 การปรับราคาสินค้า: Micron เพิ่มราคาสินค้า เช่น SSD เพื่อตอบสนองต่อภาษีที่เพิ่มขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107487-trump-pauses-global-tariffs-but-raises-china-tariffs.html
    ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศหยุดการเก็บภาษีใหม่ทั่วโลกเป็นเวลา 90 วัน แต่เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าเทคโนโลยี เช่น แล็ปท็อป, จอภาพ, และ คอนโซลเกม 🌐 การเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษี: 📉 ลดภาษีทั่วโลก: ภาษีทั่วโลกถูกปรับลดลงเหลือ 10% ยกเว้นบางประเทศ เช่น เม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งอาจมีอัตราภาษีระหว่าง 10%-35% 📈 เพิ่มภาษีจีน: ภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 54% เป็น 104% และล่าสุดเป็น 125% ⚠️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี: 🎮 การเลื่อนการเปิดตัวสินค้า: Nintendo เลื่อนการเปิดตัว Switch 2 และผู้ผลิตแล็ปท็อปบางรายหยุดการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ 💾 การปรับราคาสินค้า: Micron เพิ่มราคาสินค้า เช่น SSD เพื่อตอบสนองต่อภาษีที่เพิ่มขึ้น https://www.techspot.com/news/107487-trump-pauses-global-tariffs-but-raises-china-tariffs.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump pauses global tariffs but raises China tariffs to 125%, potentially impacting laptops, monitors, and consoles
    The decision marks a sharp reversal from the steep tariffs the President announced on April 2, which included significant duties on imports from countries such as Japan...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์

    The conversations from the clip :

    Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here!
    Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran!
    Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat?
    Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers?
    Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it!
    Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily.
    Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action!
    Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran.
    Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change.
    Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station.
    Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day.
    Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe.
    Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times.
    Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop!
    Tom: Absolutely! Let’s go eat, then!

    Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่!
    Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์!
    Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม?
    Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม?
    Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ!
    Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย
    Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย!
    Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์
    Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
    Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ
    Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน
    Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ
    Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี
    Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป!
    Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ
    Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก
    Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย
    Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง
    Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว
    Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ
    Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว
    Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม
    BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า)
    Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก
    Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย
    Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด
    Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย
    Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก
    Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    https://www.youtube.com/watch?v=6rZ6fTm6U4I (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาวันสงกรานต์ มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #สงกรานต์ The conversations from the clip : Tom: Hey Mia, wow, this water fight is so much fun! I can't believe how crazy it is around here! Mia: Hey Tom! I know, right? It’s really lively! But I’m starting to get a bit tired. How about we head to Silom next? It’s one of the best places for Songkran! Tom: Sounds awesome! I’ve heard Silom is packed during Songkran. But before we go, I’m getting hungry. Where should we grab something to eat? Mia: Good idea, Tom! There are so many street food stalls near here. How about we get some mango sticky rice and grilled pork skewers? Tom: Yum, that sounds perfect! I’m also craving some coconut ice cream. Let’s go for it! Mia: Great choice! After eating, we can take the BTS to Silom. We’ll get there quickly and easily. Tom: Yeah, taking the BTS from here sounds perfect. We can get off at Sala Daeng Station, and then we’ll be right in the heart of the action! Mia: Exactly! Once we’re done there, how about we head to Thonglor? I’ve heard it’s a bit more laid-back but still fun during Songkran. Tom: I love that idea, Mia! Thonglor has some cool places, and it’s less crowded than Silom. It’ll be a nice change. Mia: Right! Plus, it’s easy to get there from Silom. We can take the BTS from Sala Daeng to Thong Lo Station. Tom: Oh, that’s so convenient! It’ll only take a few stops. I’m excited for Thonglor! It’ll be a perfect way to end the day. Mia: Me too, Tom! So, we’ll eat first, head to Silom by BTS for more water fun, and then go to Thonglor to relax and enjoy the vibe. Tom: Sounds like a plan, Mia! It’s going to be a fun-filled day of water fights, food, and good times. Mia: For sure! I can’t wait. Let’s grab some food now and get ready for the next stop! Tom: Absolutely! Let’s go eat, then! Tom: สวัสดี Mia ว้าว, การเล่นน้ำสนุกมากเลย! ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบ้าคลั่งขนาดนี้ที่นี่! Mia: สวัสดี Tom! ฉันรู้ใช่ไหม? มันคึกคักจริงๆ เลย! แต่ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วนะ ไปที่สีลมต่อดีไหม? มันเป็นหนึ่งในที่ดีที่สุดสำหรับสงกรานต์! Tom: ฟังดูดีมาก! ฉันได้ยินมาว่าที่สีลมคนเยอะมากช่วงสงกรานต์เลยนะ แต่ก่อนที่เราจะไป ฉันหิวแล้ว แถวนี้มีที่ไหนที่เราจะไปหากินกันไหม? Mia: ความคิดดีเลย Tom! ที่นี่มีร้านอาหารข้างทางเยอะมากเลยนะ เราจะกินข้าวเหนียวมะม่วงกับหมูปิ้งไหม? Tom: อืม, ฟังดูอร่อยมาก! ฉันก็อยากกินไอศกรีมมะพร้าวด้วย ลองไปกินกันเถอะ! Mia: ตัวเลือกดีมาก! หลังจากกินเสร็จ เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมกันนะ เราจะไปถึงเร็วมากเลย Tom: ใช่แล้ว นั่ง BTS จากที่นี่ก็ดีเลย เราจะลงที่สถานีศาลาแดง แล้วก็จะอยู่ตรงกลางของความสนุกเลย! Mia: ใช่เลย! หลังจากที่เราจบที่สีลมแล้ว ไปทองหล่อกันดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจะเงียบกว่าหน่อยแต่ก็สนุกในช่วงสงกรานต์ Tom: ฉันชอบความคิดนี้ Mia! ทองหล่อมีที่เจ๋งๆ เยอะเลย และมันไม่พลุกพล่านเหมือนสีลม มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี Mia: ใช่เลย! อีกอย่างมันก็ไปที่ทองหล่อได้ง่ายจากสีลม เราสามารถนั่ง BTS จากสถานีศาลาแดงไปสถานีทองหล่อ Tom: โอ้, นั่นสะดวกมาก! มันจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สถานีเอง ฉันตื่นเต้นกับทองหล่อมาก! มันจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการจบวัน Mia: ฉันก็เช่นกัน Tom! ดังนั้นเราจะไปกินก่อน จากนั้นไปที่สีลมด้วย BTS เพื่อเล่นน้ำต่อ และสุดท้ายไปทองหล่อเพื่อผ่อนคลายและสนุกกับบรรยากาศ Tom: ฟังดูเป็นแผนที่ดีเลย Mia! มันจะเป็นวันเต็มไปด้วยการเล่นน้ำ อาหาร และช่วงเวลาที่ดี Mia: แน่นอน! ฉันรอไม่ไหวแล้ว เรามากินกันเถอะ แล้วค่อยไปสถานที่ถัดไป! Tom: แน่นอน! ไปกินกันเถอะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Water fight (วอ-เทอร์ ไฟต์) n. - การสู้ด้วยน้ำ Lively (ไล-ฟลี) adj. - มีชีวิตชีวา, คึกคัก Tired (ไท-เอิด) adj. - เหนื่อย Street food (สตรีท ฟู้ด) n. - อาหารข้างทาง Sticky rice (สติกกี้ ไรซ) n. - ข้าวเหนียว Skewers (สกิว-เวอร์) n. - ไม้เสียบ Coconut (โค-โค-นัท) n. - มะพร้าว Ice cream (ไอซ์ ครีม) n. - ไอศกรีม BTS (บีทีเอส) n. - ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) Convenient (คอน-วี-เนียนท) adj. - สะดวก Laid-back (เลด-แบค) adj. - สบายๆ, ผ่อนคลาย Crowded (เครา-ดิด) adj. - แออัด Relax (รี-แลกซ์) v. - ผ่อนคลาย Vibe (ไวบ์) n. - บรรยากาศ, ความรู้สึก Fun-filled (ฟัน-ฟิลด์) adj. - เต็มไปด้วยความสนุก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 379 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบโลกใหม่หลังสงครามโลกครั้งต่อไปจะถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ของสงคราม ความเสียหายที่เกิดขึ้น และการจัดระเบียบอำนาจใหม่โดยผู้ชนะ หากเกิดขึ้นจริง สงครามโลกครั้งต่อไปอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายด้าน ดังนี้:

    ### 1. **การเมืองระหว่างประเทศ**
    - **การล่มสลายของระเบียบโลกเดิม**: สหภาพยุโรป (EU), NATO, หรือสหประชาชาติ (UN) อาจถูกปรับโครงสร้างหรือแทนที่ด้วยองค์กรระหว่างประเทศใหม่ที่ควบคุมโดยมหาอำนาจผู้ชนะ
    - **การขึ้นมาของขั้วอำนาจใหม่**: หากสงครามเป็นแบบ "หลายฝ่าย" (เช่น สหรัฐฯ vs จีน vs รัสเซีย) อาจเกิดระบบหลายขั้วอำนาจ หรือหากมีผู้ชนะเดี่ยว อาจเกิดระบบจักรวรรดิใหม่
    - **รัฐบาลโลก (Global Government)**: ความเสียหายรุนแรงอาจผลักดันให้เกิดการรวมอำนาจภายใต้หน่วยงานกลางเพื่อป้องกันสงครามครั้งใหม่

    ### 2. **เศรษฐกิจโลก**
    - **ระบบการเงินใหม่**: สกุลเงินหลัก (ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร) อาจถูกแทนที่ด้วยสกุลดิจิทัลหรือระบบที่ควบคุมโดยมหาอำนาจ
    - **การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม**: แผน Marshall Plan ฉบับใหม่อาจถูกนำมาใช้เพื่อสร้างประเทศที่เสียหาย
    - **การควบคุมทรัพยากร**: พลังงาน อาหาร และเทคโนโลยีอาจถูกกระจายใหม่ตามผลประโยชน์ของผู้ชนะ

    ### 3. **เทคโนโลยีและความมั่นคง**
    - **การควบคุมเทคโนโลยีทำลายล้างสูง**: AI, อาวุธชีวภาพ หรือนิวเคลียร์อาจถูกควบคุมโดยกฎหมายระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้น
    - **การเฝ้าระวังระดับโลก**: รัฐบาลอาจใช้ระบบตรวจสอบประชากรแบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันความไม่สงบ

    ### 4. **สังคมและวัฒนธรรม**
    - **การรวมหรือแบ่งแยกวัฒนธรรม**: วัฒนธรรมของผู้ชนะอาจถูกส่งเสริม ในขณะที่วัฒนธรรมของ "ฝ่ายแพ้" อาจถูกกดทับ
    - **การย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่**: จากการทำลายล้างของสงคราม ผู้คนอาจอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น

    ### 5. **สิ่งแวดล้อม**
    - **ความพยายามฟื้นฟูโลก**: หากสงครามก่อความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น สงครามนิวเคลียร์) อาจมีโครงการฟื้นฟูขนาดใหญ่
    - **พลังงานสะอาด**: การพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอาจลดลง หากโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายและต้องสร้างใหม่ทั้งหมด

    ### 6. **เสถียรภาพในระยะยาว**
    - **ความขัดแย้งแฝง**: แม้สงครามจะจบ แต่ความไม่พอใจของฝ่ายแพ้อาจนำไปสู่การก่อการร้ายหรือสงครามตัวแทน
    - **ระบบป้องกันสงครามใหม่**: อาจมีการสร้างกลไกป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 4 เช่น ข้อตกลงควบคุมอาวุธที่เข้มงวดขึ้น

    ### สถานการณ์สมมติ (ตัวอย่าง)
    - **หากสงครามเป็นสงครามเย็น 2.0**: โลกอาจแบ่งเป็น 2 ขั้วอำนาจ (สหรัฐฯ-ยุโรป vs จีน-รัสเซีย) โดยมีการแข่งขันทางเทคโนโลยีแทนการทำสงครามโดยตรง
    - **หากเป็นสงครามนิวเคลียร์จำกัด**: มหาอำนาจอาจสูญเสียอำนาจ เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง และประเทศเล็กๆ อาจขึ้นมามีบทามมากขึ้น
    - **หากเป็นสงครามโลกแบบดั้งเดิม**: อาจเกิดการล่มสลายของรัฐชาติ และแทนที่ด้วยเขตปกครองแบบภูมิภาคที่ควบคุมโดยกองทัพ

    ### บทสรุป
    ระบบโลกใหม่จะขึ้นอยู่กับว่า **"ใครชนะ และแพ้อย่างไร"** แต่สิ่งที่แน่นอนคือ สงครามโลกครั้งต่อไปจะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เนื่องจากเทคโนโลยีและความเชื่อมโยงของโลกที่เปลี่ยนไป อาจไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง แต่เป็นโลกที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันฟื้นฟูจากความเสียหายอันมหาศาล
    ระบบโลกใหม่หลังสงครามโลกครั้งต่อไปจะถูกกำหนดโดยผลลัพธ์ของสงคราม ความเสียหายที่เกิดขึ้น และการจัดระเบียบอำนาจใหม่โดยผู้ชนะ หากเกิดขึ้นจริง สงครามโลกครั้งต่อไปอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายด้าน ดังนี้: ### 1. **การเมืองระหว่างประเทศ** - **การล่มสลายของระเบียบโลกเดิม**: สหภาพยุโรป (EU), NATO, หรือสหประชาชาติ (UN) อาจถูกปรับโครงสร้างหรือแทนที่ด้วยองค์กรระหว่างประเทศใหม่ที่ควบคุมโดยมหาอำนาจผู้ชนะ - **การขึ้นมาของขั้วอำนาจใหม่**: หากสงครามเป็นแบบ "หลายฝ่าย" (เช่น สหรัฐฯ vs จีน vs รัสเซีย) อาจเกิดระบบหลายขั้วอำนาจ หรือหากมีผู้ชนะเดี่ยว อาจเกิดระบบจักรวรรดิใหม่ - **รัฐบาลโลก (Global Government)**: ความเสียหายรุนแรงอาจผลักดันให้เกิดการรวมอำนาจภายใต้หน่วยงานกลางเพื่อป้องกันสงครามครั้งใหม่ ### 2. **เศรษฐกิจโลก** - **ระบบการเงินใหม่**: สกุลเงินหลัก (ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร) อาจถูกแทนที่ด้วยสกุลดิจิทัลหรือระบบที่ควบคุมโดยมหาอำนาจ - **การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม**: แผน Marshall Plan ฉบับใหม่อาจถูกนำมาใช้เพื่อสร้างประเทศที่เสียหาย - **การควบคุมทรัพยากร**: พลังงาน อาหาร และเทคโนโลยีอาจถูกกระจายใหม่ตามผลประโยชน์ของผู้ชนะ ### 3. **เทคโนโลยีและความมั่นคง** - **การควบคุมเทคโนโลยีทำลายล้างสูง**: AI, อาวุธชีวภาพ หรือนิวเคลียร์อาจถูกควบคุมโดยกฎหมายระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้น - **การเฝ้าระวังระดับโลก**: รัฐบาลอาจใช้ระบบตรวจสอบประชากรแบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันความไม่สงบ ### 4. **สังคมและวัฒนธรรม** - **การรวมหรือแบ่งแยกวัฒนธรรม**: วัฒนธรรมของผู้ชนะอาจถูกส่งเสริม ในขณะที่วัฒนธรรมของ "ฝ่ายแพ้" อาจถูกกดทับ - **การย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่**: จากการทำลายล้างของสงคราม ผู้คนอาจอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น ### 5. **สิ่งแวดล้อม** - **ความพยายามฟื้นฟูโลก**: หากสงครามก่อความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น สงครามนิวเคลียร์) อาจมีโครงการฟื้นฟูขนาดใหญ่ - **พลังงานสะอาด**: การพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอาจลดลง หากโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายและต้องสร้างใหม่ทั้งหมด ### 6. **เสถียรภาพในระยะยาว** - **ความขัดแย้งแฝง**: แม้สงครามจะจบ แต่ความไม่พอใจของฝ่ายแพ้อาจนำไปสู่การก่อการร้ายหรือสงครามตัวแทน - **ระบบป้องกันสงครามใหม่**: อาจมีการสร้างกลไกป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 4 เช่น ข้อตกลงควบคุมอาวุธที่เข้มงวดขึ้น ### สถานการณ์สมมติ (ตัวอย่าง) - **หากสงครามเป็นสงครามเย็น 2.0**: โลกอาจแบ่งเป็น 2 ขั้วอำนาจ (สหรัฐฯ-ยุโรป vs จีน-รัสเซีย) โดยมีการแข่งขันทางเทคโนโลยีแทนการทำสงครามโดยตรง - **หากเป็นสงครามนิวเคลียร์จำกัด**: มหาอำนาจอาจสูญเสียอำนาจ เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง และประเทศเล็กๆ อาจขึ้นมามีบทามมากขึ้น - **หากเป็นสงครามโลกแบบดั้งเดิม**: อาจเกิดการล่มสลายของรัฐชาติ และแทนที่ด้วยเขตปกครองแบบภูมิภาคที่ควบคุมโดยกองทัพ ### บทสรุป ระบบโลกใหม่จะขึ้นอยู่กับว่า **"ใครชนะ และแพ้อย่างไร"** แต่สิ่งที่แน่นอนคือ สงครามโลกครั้งต่อไปจะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เนื่องจากเทคโนโลยีและความเชื่อมโยงของโลกที่เปลี่ยนไป อาจไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง แต่เป็นโลกที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันฟื้นฟูจากความเสียหายอันมหาศาล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก เช่น Scandium และ Dysprosium เพื่อควบคุมซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ผลกระทบนี้ไม่เพียงเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศต่าง ๆ แต่ยังส่งผลต่อการผลิตชิป สมาร์ทโฟน และยานยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้

    == เหตุใดข้อจำกัดนี้ถึงมีผลกระทบรุนแรง? ==
    ✅ Scandium
    - ใช้ในโมดูล RF เช่น 5G Smartphones และเทคโนโลยี Wi-Fi 6/7 ผ่านการประยุกต์ในวัสดุ Scandium Aluminum Nitride (ScAlN) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน สัญญาณและพลังงาน

    ✅ Dysprosium
    - เป็นหัวใจของ HDD Motors และระบบแม่เหล็กในยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการทำงานที่เสถียรแม้ในอุณหภูมิสูง
    - ใช้ในหน่วยความจำ MRAM และอุปกรณ์ต้านรังสีในยานอวกาศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-rare-earth-export-restrictions-threaten-global-chipmaking-supply-chains
    จีนเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายาก เช่น Scandium และ Dysprosium เพื่อควบคุมซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ผลกระทบนี้ไม่เพียงเพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและประเทศต่าง ๆ แต่ยังส่งผลต่อการผลิตชิป สมาร์ทโฟน และยานยนต์ไฟฟ้าในระดับโลก บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ == เหตุใดข้อจำกัดนี้ถึงมีผลกระทบรุนแรง? == ✅ Scandium - ใช้ในโมดูล RF เช่น 5G Smartphones และเทคโนโลยี Wi-Fi 6/7 ผ่านการประยุกต์ในวัสดุ Scandium Aluminum Nitride (ScAlN) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน สัญญาณและพลังงาน ✅ Dysprosium - เป็นหัวใจของ HDD Motors และระบบแม่เหล็กในยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อการทำงานที่เสถียรแม้ในอุณหภูมิสูง - ใช้ในหน่วยความจำ MRAM และอุปกรณ์ต้านรังสีในยานอวกาศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/chinas-rare-earth-export-restrictions-threaten-global-chipmaking-supply-chains
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's rare earth export restrictions threaten global chipmaking supply chains
    Scandium and Dysprosium are just the latest materials added to the list.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะกะพริบตาก่อนกัน🧲 หมากเจรจาของทรัมป์ คือ ตัังกำแพงภาษีสูงไว้ก่อน ต้อนให้คู่ค้าเข้ามาเจรจาถ้าคู่ค้าหมอบ ตกลงกันได้ ลดภาษีทั้งสองฝ่าย ก็จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ทรัมป์คงประเมินแล้วว่า ในจำนวนกว่า 180 ประเทศ จะสามารถเคลียร์แบบนี้ ได้เกือบหมด ถึงแม้บางประเทศแสดงท่าที พร้อมจะตอบโต้ เช่น บราซิลลงมติ ให้อำนาจผู้นำสู้กับทรัมป์แต่ก็เลี่ยง ไม่ได้ตั้งกำแพงโต้กลับทันที พร้อมจะทำการเจรจาเสียก่อน🪤 ทรัมป์ไม่ได้บีบแคนาดาหรือเม็กซิโกเพิ่ม สองประเทศนี้จึงนิ่ง มีอยู่เพียงจีน ที่ตั้งกำแพงโต้กลับ 34% ทันที ส่วนยุโรปบอกว่าจะทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้จะประกาศเมื่อใดคาดว่ายุโรปจะเดินอย่างระมัดระวัง เพราะขายสินค้าให้สหรัฐ ปีละ 5.3 แสนล้านยูโร เกือบ 1/5 ของส่งออกยุโรปนอกจากรถยนต์ ที่เหลือคือเวชภัณฑ์ 1.1 แสน เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 0.9 แสน 🔫 สินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรสูง ยุโรปคงไม่เสี่ยงตัดสะพานทิ้งส่วนสหรัฐขายสินค้าให้ยุโรป 3.7 แสนล้านดอลลาร์ เกือบ 1/5 ของส่งออกสหรัฐเช่นกันถึงแม้ถ้าโดนโต้กลับรุนแรง ก็จะแย่พอกันแต่เป็นเวชภัณฑ์ 0.6 แสน เรือบิน 0.3 แสน พลังงาน 0.3 แสน ซึ่งยุโรปจำเป้นต้องใช้อยู่ตลอด ดังนั้น ละครฉากยุโรป ที่ทรัมป์เป็นพระเอก ก็คงจบลงได้ไม่ยาก 💣 ปัญหาใหญ่สุดของทรัมป์ จึงอยู่ที่สีจิ้นผิง ในฐานะผู้นำของ Global South สีจะยอมทรัมป์ไม่ได้ทรัมป์น่าจะผิดหวังพอควร เพราะรีบอ้างว่า การที่จีนโต้กลับ ส่อเป็นการหวาดผวา และเดินหมากผิดพลาด*** น่าสงสัยว่า ทรัมป์หรือสี ใครจะกะพริบตาก่อนกันข้อความที่ทรัมป์เผยแพร่ บ่งชี้ว่า เดิมคงหวังให้สีเข้ามาเจรจา เพื่อจะได้ลดกำแพงกันไปทั้งสองฝ่าย วิน วินแต่เมื่อไม่เป็นตามแผน ก็รีบปลอบใจคนอเมริกัน (ดูรูป 1) ว่า💊 [กำแพงภาษีสองฝั่งนั้น กระทบจีนมากกว่าสหรัฐ แบบเทียบกันไม่ได้เลย มาตรการนี้ ทำให้มีคนจะลงทุนในสหรัฐ กว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ถึงแม้ศึกนี้ยาก แต่เราชนะแน่จึงขอให้คนอเมริกันอดทนอีกหน่อย]จีนนำเข้าจากสหรัฐ ปีละ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (6% ของนำเข้าจีน)เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2.4 หมื่นล้าน น้ำมันและก๊าซ 2 หมื่น เวชภัณฑ์ 2 หมื่น อาหาร 1.6 หมื่น 🩸 ส่วนใหญ่ จีนน่าจะสามารถผลิตได้เอง หรือหาแหล่งซื้ออื่นแทนได้ ผลกระทบจึงน่าจะไม่มากนักแต่ผลกระทบต่อเกษตรกรสหรัฐ จะมีมาก และเป็นฐานเสียงสำคัญ ทรัมป์ก็รู้ดีสหรัฐนำเข้าจากจีน ปีละ 5 แสนล้านดอลลาร์ (15% ของส่งออกจีน) เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2 แสน ของเด็กเล่น 3 หมื่น เฟอร์นิเจอร์ 2 หมื่น สินค้าพลาสติก 2 หมื่น🧬 เนื่องจากไม่มีประเทศอื่นใด ที่ต้นทุนสินค้า consumer แข่งกับจีนได้ ดังนั้น คนอเมริกันก็ยังต้องใช้ของจีนต่อไปถามว่า ผู้ผลิตจีน หรือผู้บริโภคสหรัฐ ใครจะเป็นผู้ควักกระเป๋า เพื่อข้ามกำแพงภาษี 54%การผลิตสินค้าพื้นๆ เหล่านี้ กำไรผู้ผลิตในจีน ขณะนี้เหลือบางมาก หลายโรงงานปิดตัวไปแล้วจึงเป็นไปไม่ไดั ที่จีนจะควักกระเป๋ามาจ่ายถ้าภาษียังค้างเช่นนี้ ภายใน 2-3 เดือน ราคาที่คนอเมริกันต้องจ่าย จะขยับสูงขึ้น อย่างหายห่วง 🧹 ถึงแม้ยอดส่งออกจีนไปสหรัฐ จะลดลง แต่จะไม่มีอุตสาหกรรมเบา ที่จะย้ายจากจีน ไปผลิตที่สหรัฐ ทรัมป์ก็รู้ดีอเมริกันชน ชั้นล่างและชั้นกลาง คนส่วนใหญ่ที่ซื้อสินค้าจีน จึงจะหันกลับไปมองทรัมป์ ด้วยสายตาเคืองรูป 2 แสดงการที่จีนได้กระจายแหล่งนำเข้าสินค้าต่างๆ เปลี่ยนไปจากสหรัฐรูป 3 นอกจากนี้ จีนยังบีบสหรัฐเพิ่ม โดย (1) คุมการส่งออกแร่หายากอีก 7 ตัว และ (2) เพิ่มจำนวนบริษัทสหรัฐที่คุมการส่งออกรูป 4-5 แร่หายาก 7 ตัวนี้ มีชื่อแปลกๆ แต่ต้องใช้ในการผลิตยุทโธปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ พลังงานหมุนเวียน และดาวเทียม🧻 เป็นอันว่า หมากของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไฮเทคในสหรัฐ แบบเต็มๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะต่อชาวบ้านก่อนหน้านี้ ทรัมป์ขู่ว่า ถ้าประเทศใดโต้กลับ เขาจะยกระดับกำแพงให้สูงขึ้นอีกบัดนี้ คำขู่นี้ เจอกับหมากรุกกลับของสีจิ้นผิงแล้ว🧐 ต้องไม่ลืมว่า ชนชาวจีนกำลังเผชิญเศรษฐกิจชะลอตัว จากฟองสบู่อสังหาแตก และส่งออกลดลง บัณฑิตตกงานความอึดอัดในจีน เดิมมีสีเป็นเป้า บัดนี้ ทรัมป์ได้ยื่นตัวเข้ามา บังเป็นเป้าแทนแล้วสีอาจจะชอบใจละครฉากนี้ แต่การเดินเนื้อเรื่อง น่าจะไม่เป็นไปตามบทของทรัมป์วันที่ 6 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ใครจะกะพริบตาก่อนกัน🧲 หมากเจรจาของทรัมป์ คือ ตัังกำแพงภาษีสูงไว้ก่อน ต้อนให้คู่ค้าเข้ามาเจรจาถ้าคู่ค้าหมอบ ตกลงกันได้ ลดภาษีทั้งสองฝ่าย ก็จะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ทรัมป์คงประเมินแล้วว่า ในจำนวนกว่า 180 ประเทศ จะสามารถเคลียร์แบบนี้ ได้เกือบหมด ถึงแม้บางประเทศแสดงท่าที พร้อมจะตอบโต้ เช่น บราซิลลงมติ ให้อำนาจผู้นำสู้กับทรัมป์แต่ก็เลี่ยง ไม่ได้ตั้งกำแพงโต้กลับทันที พร้อมจะทำการเจรจาเสียก่อน🪤 ทรัมป์ไม่ได้บีบแคนาดาหรือเม็กซิโกเพิ่ม สองประเทศนี้จึงนิ่ง มีอยู่เพียงจีน ที่ตั้งกำแพงโต้กลับ 34% ทันที ส่วนยุโรปบอกว่าจะทำเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้จะประกาศเมื่อใดคาดว่ายุโรปจะเดินอย่างระมัดระวัง เพราะขายสินค้าให้สหรัฐ ปีละ 5.3 แสนล้านยูโร เกือบ 1/5 ของส่งออกยุโรปนอกจากรถยนต์ ที่เหลือคือเวชภัณฑ์ 1.1 แสน เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 0.9 แสน 🔫 สินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรสูง ยุโรปคงไม่เสี่ยงตัดสะพานทิ้งส่วนสหรัฐขายสินค้าให้ยุโรป 3.7 แสนล้านดอลลาร์ เกือบ 1/5 ของส่งออกสหรัฐเช่นกันถึงแม้ถ้าโดนโต้กลับรุนแรง ก็จะแย่พอกันแต่เป็นเวชภัณฑ์ 0.6 แสน เรือบิน 0.3 แสน พลังงาน 0.3 แสน ซึ่งยุโรปจำเป้นต้องใช้อยู่ตลอด ดังนั้น ละครฉากยุโรป ที่ทรัมป์เป็นพระเอก ก็คงจบลงได้ไม่ยาก 💣 ปัญหาใหญ่สุดของทรัมป์ จึงอยู่ที่สีจิ้นผิง ในฐานะผู้นำของ Global South สีจะยอมทรัมป์ไม่ได้ทรัมป์น่าจะผิดหวังพอควร เพราะรีบอ้างว่า การที่จีนโต้กลับ ส่อเป็นการหวาดผวา และเดินหมากผิดพลาด*** น่าสงสัยว่า ทรัมป์หรือสี ใครจะกะพริบตาก่อนกันข้อความที่ทรัมป์เผยแพร่ บ่งชี้ว่า เดิมคงหวังให้สีเข้ามาเจรจา เพื่อจะได้ลดกำแพงกันไปทั้งสองฝ่าย วิน วินแต่เมื่อไม่เป็นตามแผน ก็รีบปลอบใจคนอเมริกัน (ดูรูป 1) ว่า💊 [กำแพงภาษีสองฝั่งนั้น กระทบจีนมากกว่าสหรัฐ แบบเทียบกันไม่ได้เลย มาตรการนี้ ทำให้มีคนจะลงทุนในสหรัฐ กว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ถึงแม้ศึกนี้ยาก แต่เราชนะแน่จึงขอให้คนอเมริกันอดทนอีกหน่อย]จีนนำเข้าจากสหรัฐ ปีละ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (6% ของนำเข้าจีน)เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2.4 หมื่นล้าน น้ำมันและก๊าซ 2 หมื่น เวชภัณฑ์ 2 หมื่น อาหาร 1.6 หมื่น 🩸 ส่วนใหญ่ จีนน่าจะสามารถผลิตได้เอง หรือหาแหล่งซื้ออื่นแทนได้ ผลกระทบจึงน่าจะไม่มากนักแต่ผลกระทบต่อเกษตรกรสหรัฐ จะมีมาก และเป็นฐานเสียงสำคัญ ทรัมป์ก็รู้ดีสหรัฐนำเข้าจากจีน ปีละ 5 แสนล้านดอลลาร์ (15% ของส่งออกจีน) เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2 แสน ของเด็กเล่น 3 หมื่น เฟอร์นิเจอร์ 2 หมื่น สินค้าพลาสติก 2 หมื่น🧬 เนื่องจากไม่มีประเทศอื่นใด ที่ต้นทุนสินค้า consumer แข่งกับจีนได้ ดังนั้น คนอเมริกันก็ยังต้องใช้ของจีนต่อไปถามว่า ผู้ผลิตจีน หรือผู้บริโภคสหรัฐ ใครจะเป็นผู้ควักกระเป๋า เพื่อข้ามกำแพงภาษี 54%การผลิตสินค้าพื้นๆ เหล่านี้ กำไรผู้ผลิตในจีน ขณะนี้เหลือบางมาก หลายโรงงานปิดตัวไปแล้วจึงเป็นไปไม่ไดั ที่จีนจะควักกระเป๋ามาจ่ายถ้าภาษียังค้างเช่นนี้ ภายใน 2-3 เดือน ราคาที่คนอเมริกันต้องจ่าย จะขยับสูงขึ้น อย่างหายห่วง 🧹 ถึงแม้ยอดส่งออกจีนไปสหรัฐ จะลดลง แต่จะไม่มีอุตสาหกรรมเบา ที่จะย้ายจากจีน ไปผลิตที่สหรัฐ ทรัมป์ก็รู้ดีอเมริกันชน ชั้นล่างและชั้นกลาง คนส่วนใหญ่ที่ซื้อสินค้าจีน จึงจะหันกลับไปมองทรัมป์ ด้วยสายตาเคืองรูป 2 แสดงการที่จีนได้กระจายแหล่งนำเข้าสินค้าต่างๆ เปลี่ยนไปจากสหรัฐรูป 3 นอกจากนี้ จีนยังบีบสหรัฐเพิ่ม โดย (1) คุมการส่งออกแร่หายากอีก 7 ตัว และ (2) เพิ่มจำนวนบริษัทสหรัฐที่คุมการส่งออกรูป 4-5 แร่หายาก 7 ตัวนี้ มีชื่อแปลกๆ แต่ต้องใช้ในการผลิตยุทโธปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ พลังงานหมุนเวียน และดาวเทียม🧻 เป็นอันว่า หมากของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไฮเทคในสหรัฐ แบบเต็มๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะต่อชาวบ้านก่อนหน้านี้ ทรัมป์ขู่ว่า ถ้าประเทศใดโต้กลับ เขาจะยกระดับกำแพงให้สูงขึ้นอีกบัดนี้ คำขู่นี้ เจอกับหมากรุกกลับของสีจิ้นผิงแล้ว🧐 ต้องไม่ลืมว่า ชนชาวจีนกำลังเผชิญเศรษฐกิจชะลอตัว จากฟองสบู่อสังหาแตก และส่งออกลดลง บัณฑิตตกงานความอึดอัดในจีน เดิมมีสีเป็นเป้า บัดนี้ ทรัมป์ได้ยื่นตัวเข้ามา บังเป็นเป้าแทนแล้วสีอาจจะชอบใจละครฉากนี้ แต่การเดินเนื้อเรื่อง น่าจะไม่เป็นไปตามบทของทรัมป์วันที่ 6 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เช่นกัน "..หากธุรกิจต่างชาตใดๆที่มาลงทุนในไทยต้องการผลิตและขายสินค้า&บริการทั้งในไทยและต่างประเทศที่จะส่งออกไปจากประเทศไทย ก็ให้ย้ายธุรกิจของคุณมาที่นี่ประเทศไทยและจ้างคนงานชาวไทยสัญชาติไทยเท่านั้น..เมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน คำปราศรัยวันปลดปล่อยของทรัมป์ทำให้เกิดระเบิดขึ้นในตลาดหุ้น หุ้นมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ร่วงลงภายในเวลาเพียง 20 วินาทีหลังจากที่ทรัมป์ประกาศว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีไม่เพียงแต่กับคู่ค้าของประเทศเท่านั้น แต่กับทุกประเทศทั่วโลกด้วยภาษีดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อปลดปล่อยสหรัฐฯ จากการพึ่งพาสินค้าต่างประเทศของประเทศอื่นและภาษีที่มากเกินไปต่อสหรัฐฯ จีน เม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรปอยู่แนวหน้าของสงครามการค้าครั้งนี้กับประเทศนี้ หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าของพวกเขาถึง 25 เปอร์เซ็นต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว“อเมริการ่ำรวย เราซื้อของมากมาย ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังกล่าวว่าหากธุรกิจต่างชาติต้องการขายในอเมริกา ก็ให้ย้ายธุรกิจของคุณมาที่นี่และจ้างคนงานชาวอเมริกัน” … วุฒิสมาชิกจอห์น เคนเนดี วันพฤหัสบดี 3 เมษายน 2025“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีการร้องเรียนจากกลุ่มโลกาภิวัตน์ ผู้รับจ้างภายนอก กลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และข่าวปลอม… อย่าลืมว่าการคาดการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับการค้าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาล้วนพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาดโดยสิ้นเชิง พวกเขาคิดผิดเกี่ยวกับ NAFTA, จีน, ข้อตกลงหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นแปซิฟิก… ในวาระแรกของผม พวกเขาบอกว่าภาษีศุลกากรจะทำให้เศรษฐกิจพังทลาย แต่กลับกลายเป็นว่าเราสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก” …ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วันพุธที่ 2 เมษายน 2025ข่าวดี: ตลาดหุ้นถูกยึดโดยไม่ถูกต้องจากเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ก่อนที่บริษัท US Inc. จะล้มละลายในปี 2008 ธนาคารกลางของ Globalist ได้พิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐออกมาโดยไม่มีการรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นนั่นทำให้ BRICS Alliance ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้มารวมตัวกันและประเมินมูลค่าทองคำและสินทรัพย์ของ 209 ประเทศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 25 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดใช้งานระบบการเงินควอนตัมระดับโลก (QFS) ที่ได้รับการสนับสนุนจากทองคำ/สินทรัพย์ ซึ่งขับเคลื่อนโดย XRP การประกาศวันแห่งอิสรภาพของเขาได้นำไปสู่การรีเซ็ตสกุลเงินทั่วโลกอย่างเป็นทางการของสกุลเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากทองคำ/สินทรัพย์ของ 209 ประเทศ ทำให้สกุลเงินเหล่านี้มีอัตราส่วนต่อกัน 1:1ในที่สุด สหรัฐฯ ก็เป็นอิสระในที่สุด! เป็นอิสระในที่สุดจากภาษีศุลกากรที่มากเกินไปของประเทศอื่นๆที่สำคัญยิ่งกว่านั้น 209 ประเทศทั่วโลกในที่สุดก็เป็นอิสระในที่สุด! เป็นอิสระในที่สุดจากการควบคุมเงินของประชาชนของกลุ่มโลกาภิวัตน์ที่บูชาซาตานพวกเขาพรากชีวิตของฉันไป แต่พวกเขาไม่สามารถหยุดภารกิจนี้ได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป! เข้าร่วมกับฉันตอนนี้!https://t.me/JFK_Q17รัฐลึกกำลังล่มสลาย และตอนนี้เบนจามิน ฟูลฟอร์ดกำลังถ่ายทอดสดทาง Telegram โดยเปิดเผยชื่อ สถานที่ และการดำเนินการ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะทำให้โลกตกตะลึง อย่าเลื่อนผ่านสิ่งนี้ เข้าร่วมก่อนที่พวกเขาจะลบมันทิ้ง!https://t.me/BenjaminFulford✅️
    ..เช่นกัน "..หากธุรกิจต่างชาตใดๆที่มาลงทุนในไทยต้องการผลิตและขายสินค้า&บริการทั้งในไทยและต่างประเทศที่จะส่งออกไปจากประเทศไทย ก็ให้ย้ายธุรกิจของคุณมาที่นี่ประเทศไทยและจ้างคนงานชาวไทยสัญชาติไทยเท่านั้น..เมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน คำปราศรัยวันปลดปล่อยของทรัมป์ทำให้เกิดระเบิดขึ้นในตลาดหุ้น หุ้นมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ร่วงลงภายในเวลาเพียง 20 วินาทีหลังจากที่ทรัมป์ประกาศว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีไม่เพียงแต่กับคู่ค้าของประเทศเท่านั้น แต่กับทุกประเทศทั่วโลกด้วยภาษีดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อปลดปล่อยสหรัฐฯ จากการพึ่งพาสินค้าต่างประเทศของประเทศอื่นและภาษีที่มากเกินไปต่อสหรัฐฯ จีน เม็กซิโก แคนาดา และสหภาพยุโรปอยู่แนวหน้าของสงครามการค้าครั้งนี้กับประเทศนี้ หลังจากที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าของพวกเขาถึง 25 เปอร์เซ็นต์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว“อเมริการ่ำรวย เราซื้อของมากมาย ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังกล่าวว่าหากธุรกิจต่างชาติต้องการขายในอเมริกา ก็ให้ย้ายธุรกิจของคุณมาที่นี่และจ้างคนงานชาวอเมริกัน” … วุฒิสมาชิกจอห์น เคนเนดี วันพฤหัสบดี 3 เมษายน 2025“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีการร้องเรียนจากกลุ่มโลกาภิวัตน์ ผู้รับจ้างภายนอก กลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และข่าวปลอม… อย่าลืมว่าการคาดการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับการค้าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาล้วนพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาดโดยสิ้นเชิง พวกเขาคิดผิดเกี่ยวกับ NAFTA, จีน, ข้อตกลงหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นแปซิฟิก… ในวาระแรกของผม พวกเขาบอกว่าภาษีศุลกากรจะทำให้เศรษฐกิจพังทลาย แต่กลับกลายเป็นว่าเราสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก” …ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วันพุธที่ 2 เมษายน 2025ข่าวดี: ตลาดหุ้นถูกยึดโดยไม่ถูกต้องจากเงินดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ก่อนที่บริษัท US Inc. จะล้มละลายในปี 2008 ธนาคารกลางของ Globalist ได้พิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐออกมาโดยไม่มีการรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นนั่นทำให้ BRICS Alliance ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้มารวมตัวกันและประเมินมูลค่าทองคำและสินทรัพย์ของ 209 ประเทศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 25 มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดใช้งานระบบการเงินควอนตัมระดับโลก (QFS) ที่ได้รับการสนับสนุนจากทองคำ/สินทรัพย์ ซึ่งขับเคลื่อนโดย XRP การประกาศวันแห่งอิสรภาพของเขาได้นำไปสู่การรีเซ็ตสกุลเงินทั่วโลกอย่างเป็นทางการของสกุลเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากทองคำ/สินทรัพย์ของ 209 ประเทศ ทำให้สกุลเงินเหล่านี้มีอัตราส่วนต่อกัน 1:1ในที่สุด สหรัฐฯ ก็เป็นอิสระในที่สุด! เป็นอิสระในที่สุดจากภาษีศุลกากรที่มากเกินไปของประเทศอื่นๆที่สำคัญยิ่งกว่านั้น 209 ประเทศทั่วโลกในที่สุดก็เป็นอิสระในที่สุด! เป็นอิสระในที่สุดจากการควบคุมเงินของประชาชนของกลุ่มโลกาภิวัตน์ที่บูชาซาตานพวกเขาพรากชีวิตของฉันไป แต่พวกเขาไม่สามารถหยุดภารกิจนี้ได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป! เข้าร่วมกับฉันตอนนี้!https://t.me/JFK_Q17รัฐลึกกำลังล่มสลาย และตอนนี้เบนจามิน ฟูลฟอร์ดกำลังถ่ายทอดสดทาง Telegram โดยเปิดเผยชื่อ สถานที่ และการดำเนินการ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะทำให้โลกตกตะลึง อย่าเลื่อนผ่านสิ่งนี้ เข้าร่วมก่อนที่พวกเขาจะลบมันทิ้ง!https://t.me/BenjaminFulford✅️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่เกิน 2025 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ(อย่างถาวร)

    ไม่ใช่ท่วมตามฤดูกาลแล้วแห้ง ไม่เหมือน น้ำท่วมที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.เมือง อ.สารภี จ.เชียงใหม่

    แต่..เป็น การเพิ่มมวลน้ำทะเล ทำให้มีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่าปกติ รุกล้ำที่ลุ่มทั้งหมดในภาคกลาง 14 จังหวัดได้รับผลกระทบอย่างหนัก..จะจมหายไป ซึ่งเป็นการขยายอาณาเขตของทะเลตามปรับตัวของธรรมชาติ



    อ้างอิง :
    1. Report: Flooded Future: Global vulnerability to sea level rise worse than previously understood
    2. Rising Seas Will Erase More Cities by 2050, New Research Shows
    3. The Projected Economic Impact of Extreme Sea-Level Rise in Seven Asian Cities in 2030
    ไม่เกิน 2025 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ(อย่างถาวร) ไม่ใช่ท่วมตามฤดูกาลแล้วแห้ง ไม่เหมือน น้ำท่วมที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.เมือง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ แต่..เป็น การเพิ่มมวลน้ำทะเล ทำให้มีระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากกว่าปกติ รุกล้ำที่ลุ่มทั้งหมดในภาคกลาง 14 จังหวัดได้รับผลกระทบอย่างหนัก..จะจมหายไป ซึ่งเป็นการขยายอาณาเขตของทะเลตามปรับตัวของธรรมชาติ อ้างอิง : 1. Report: Flooded Future: Global vulnerability to sea level rise worse than previously understood 2. Rising Seas Will Erase More Cities by 2050, New Research Shows 3. The Projected Economic Impact of Extreme Sea-Level Rise in Seven Asian Cities in 2030
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที (instant payment system - IPS)
    .
    Nexus เป็นโครงการที่ริเริ่มโดย ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements - BIS) มีแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการเชื่อมต่อธนาคารระหว่างประเทศเข้าด้วยกันในรูปแบบที่ทันสมัย ใช้ API ของ ISO 20022 และสร้าง ecosystem ที่เปิดให้มีการโอนเงินข้ามประเทศได้สะดวก โดยคาดว่าหากระบบ Nexus เปิดใช้งานจริง กระบวนการโอนเงินทั้งระบบจะถึงปลายทางภายในเวลา 60 วินาที
    .
    การทำงานภายใน Nexus วางแนวทางการทำงานของผู้ให้บริการแต่ละส่วนเป็นชิ้นแยกกัน เช่น ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา, ผู้ให้บริการเชื่อมต่อ แต่ละส่วนสามารถคิดค่าบริการของตัวเอง และแสดงให้ผู้ใช้บริการเห็นค่าธรรมเนียมทั้งเส้นได้ทันที ธนาคารต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับ Nexus ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นการเชื่อมต่อจุดเดียวแทนที่จะต้องเชื่อมต่อไปทีละประเทศแบบเดิม
    .
    ตอนนี้ NGP เริ่มกระบวนการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาและดำเนินการแล้ว ส่วน BIS จะเป็นที่ปรึกษาโครงการต่อไป
    .
    https://www.blognone.com/node/145643
    ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที (instant payment system - IPS) . Nexus เป็นโครงการที่ริเริ่มโดย ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements - BIS) มีแนวทางที่จะปรับปรุงกระบวนการเชื่อมต่อธนาคารระหว่างประเทศเข้าด้วยกันในรูปแบบที่ทันสมัย ใช้ API ของ ISO 20022 และสร้าง ecosystem ที่เปิดให้มีการโอนเงินข้ามประเทศได้สะดวก โดยคาดว่าหากระบบ Nexus เปิดใช้งานจริง กระบวนการโอนเงินทั้งระบบจะถึงปลายทางภายในเวลา 60 วินาที . การทำงานภายใน Nexus วางแนวทางการทำงานของผู้ให้บริการแต่ละส่วนเป็นชิ้นแยกกัน เช่น ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรา, ผู้ให้บริการเชื่อมต่อ แต่ละส่วนสามารถคิดค่าบริการของตัวเอง และแสดงให้ผู้ใช้บริการเห็นค่าธรรมเนียมทั้งเส้นได้ทันที ธนาคารต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับ Nexus ได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นการเชื่อมต่อจุดเดียวแทนที่จะต้องเชื่อมต่อไปทีละประเทศแบบเดิม . ตอนนี้ NGP เริ่มกระบวนการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาและดำเนินการแล้ว ส่วน BIS จะเป็นที่ปรึกษาโครงการต่อไป . https://www.blognone.com/node/145643
    WWW.BLOGNONE.COM
    ไทย อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประกาศตั้งบริษัทกลางสร้างระบบโอนเงินข้ามประเทศแบบทันที
    ธนาคารกลาง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, และสิงคโปร์ ประกาศจัดตั้ง Nexus Global Payments (NGP) บริษัทมหาชนที่ไม่แสวงหา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภัยคุกคามไซเบอร์พุ่งเป้าอุปกรณ์ Juniper, Cisco และ Palo Alto Networks—เตือนผู้ดูแลระบบเร่งแก้ไขช่องโหว่ 🔒🌐

    นักวิจัยพบว่ามีการโจมตีอุปกรณ์เครือข่ายจาก Juniper, Cisco และ Palo Alto Networks โดยใช้ช่องโหว่จากรหัสผ่านเริ่มต้นและการไม่อัปเดตแพตช์ แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบเพื่อโจมตีหรือใช้เป็นฐานขุดคริปโต องค์กรควร เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น, อัปเดตแพตช์ และเสริมความปลอดภัยด้วย Firewall เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

    ✅ Juniper Networks ถูกโจมตีด้วยการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น
    - แฮกเกอร์ใช้รหัสผ่านเริ่มต้น “t128” และ “128tRoutes” เพื่อพยายามเข้าถึงอุปกรณ์ Session Smart Routing (SSR)
    - นักวิจัยชี้ว่า ผู้ดูแลระบบควรเปลี่ยนรหัสผ่านทันที เพื่อป้องกันการโจมตี

    ✅ ช่องโหว่ใน Cisco Smart Licensing Utility (SLU)
    - Cisco เปิดเผยช่องโหว่ใน SLU ตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และออกแพตช์แก้ไข
    - อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดต ทำให้แฮกเกอร์พยายามโจมตีผ่านช่องโหว่นี้

    ✅ การสแกนระบบของ Palo Alto Networks เพิ่มขึ้นอย่างมาก
    - นักวิจัยจาก GreyNoise พบว่ามีการสแกนระบบ GlobalProtect portals ของ Palo Alto Networks จาก IP addresses กว่า 24,000 แห่ง
    - การโจมตีส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐฯ และแคนาดา โดยมีเป้าหมายเพื่อค้นหาช่องโหว่ใหม่

    ✅ คำแนะนำสำหรับองค์กร
    - เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น และตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์
    - อัปเดตแพตช์ล่าสุด เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตี
    - ใช้ Firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคาม เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

    https://www.csoonline.com/article/3953828/surge-in-threat-actors-scanning-juniper-cisco-and-palo-alto-networks-devices.html
    ภัยคุกคามไซเบอร์พุ่งเป้าอุปกรณ์ Juniper, Cisco และ Palo Alto Networks—เตือนผู้ดูแลระบบเร่งแก้ไขช่องโหว่ 🔒🌐 นักวิจัยพบว่ามีการโจมตีอุปกรณ์เครือข่ายจาก Juniper, Cisco และ Palo Alto Networks โดยใช้ช่องโหว่จากรหัสผ่านเริ่มต้นและการไม่อัปเดตแพตช์ แฮกเกอร์พยายามเข้าถึงระบบเพื่อโจมตีหรือใช้เป็นฐานขุดคริปโต องค์กรควร เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น, อัปเดตแพตช์ และเสริมความปลอดภัยด้วย Firewall เพื่อป้องกันภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น ✅ Juniper Networks ถูกโจมตีด้วยการใช้รหัสผ่านเริ่มต้น - แฮกเกอร์ใช้รหัสผ่านเริ่มต้น “t128” และ “128tRoutes” เพื่อพยายามเข้าถึงอุปกรณ์ Session Smart Routing (SSR) - นักวิจัยชี้ว่า ผู้ดูแลระบบควรเปลี่ยนรหัสผ่านทันที เพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ช่องโหว่ใน Cisco Smart Licensing Utility (SLU) - Cisco เปิดเผยช่องโหว่ใน SLU ตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 และออกแพตช์แก้ไข - อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปกรณ์ที่ไม่ได้อัปเดต ทำให้แฮกเกอร์พยายามโจมตีผ่านช่องโหว่นี้ ✅ การสแกนระบบของ Palo Alto Networks เพิ่มขึ้นอย่างมาก - นักวิจัยจาก GreyNoise พบว่ามีการสแกนระบบ GlobalProtect portals ของ Palo Alto Networks จาก IP addresses กว่า 24,000 แห่ง - การโจมตีส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐฯ และแคนาดา โดยมีเป้าหมายเพื่อค้นหาช่องโหว่ใหม่ ✅ คำแนะนำสำหรับองค์กร - เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น และตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของอุปกรณ์ - อัปเดตแพตช์ล่าสุด เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ในการโจมตี - ใช้ Firewall และระบบตรวจจับภัยคุกคาม เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต https://www.csoonline.com/article/3953828/surge-in-threat-actors-scanning-juniper-cisco-and-palo-alto-networks-devices.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Surge in threat actors scanning Juniper, Cisco, and Palo Alto Networks devices
    Admins need to change default credentials promptly on Juniper SSR, patch Cisco SLU, warns SANS Institute.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการสแกนช่องโหว่กว่า 24,000 IP บน Palo Alto Networks PAN-OS GlobalProtect portals ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 นักวิเคราะห์ของ GreyNoise ระบุว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนเกิดการโจมตีใหญ่ IP ที่พบส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐฯ และแคนาดา และอาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี Remote Code Execution (RCE) ขณะที่องค์กรต่าง ๆ ควรตรวจสอบระบบและเสริมความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

    ✅ GreyNoise พบว่ามีการสแกนอย่างต่อเนื่องจาก IP ที่น่าสงสัย
    - จากจำนวน 24,000 IP ที่ถูกตรวจสอบ 154 IP ถูกจัดว่าเป็น “มุ่งร้าย” (Malicious) อย่างแน่นอน
    - IP ส่วนใหญ่มาจาก อเมริกาและแคนาดา ขณะที่ เป้าหมายโจมตีส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ

    ✅ อาจเป็นสัญญาณของการโจมตีด้วย Remote Code Execution (RCE)
    - นักวิเคราะห์คาดว่า ผู้โจมตีกำลังค้นหาช่องโหว่เพื่อดำเนินการเจาะระบบในอนาคต
    - ระบบนี้ อาจมีช่องโหว่ Zero-Day ที่กำลังถูกสำรวจว่ามีจำนวนเท่าใดที่สามารถโจมตีได้

    ✅ GreyNoise วิเคราะห์ว่าการโจมตีในอดีตมักนำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ใหม่
    - พบว่าในช่วง 18–24 เดือนที่ผ่านมา มีรูปแบบการโจมตีที่เริ่มต้นจากการสแกนช่องโหว่ และ มีการค้นพบช่องโหว่ใหม่ภายใน 2–4 สัปดาห์ต่อมา

    ✅ แนะนำให้ IT Teams ตรวจสอบระบบตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม
    - ควรตรวจสอบ บันทึกระบบ (Logs) เพื่อดูว่ามีความพยายามเจาะระบบหรือไม่
    - ควร เสริมมาตรการความปลอดภัยในระบบล็อกอิน และ บล็อก IP ที่เป็นอันตราย

    https://www.techradar.com/pro/security/palo-alto-networks-gateways-facing-huge-number-of-possible-security-attacks
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่ามีการสแกนช่องโหว่กว่า 24,000 IP บน Palo Alto Networks PAN-OS GlobalProtect portals ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 นักวิเคราะห์ของ GreyNoise ระบุว่านี่อาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนเกิดการโจมตีใหญ่ IP ที่พบส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐฯ และแคนาดา และอาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี Remote Code Execution (RCE) ขณะที่องค์กรต่าง ๆ ควรตรวจสอบระบบและเสริมความปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ✅ GreyNoise พบว่ามีการสแกนอย่างต่อเนื่องจาก IP ที่น่าสงสัย - จากจำนวน 24,000 IP ที่ถูกตรวจสอบ 154 IP ถูกจัดว่าเป็น “มุ่งร้าย” (Malicious) อย่างแน่นอน - IP ส่วนใหญ่มาจาก อเมริกาและแคนาดา ขณะที่ เป้าหมายโจมตีส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ✅ อาจเป็นสัญญาณของการโจมตีด้วย Remote Code Execution (RCE) - นักวิเคราะห์คาดว่า ผู้โจมตีกำลังค้นหาช่องโหว่เพื่อดำเนินการเจาะระบบในอนาคต - ระบบนี้ อาจมีช่องโหว่ Zero-Day ที่กำลังถูกสำรวจว่ามีจำนวนเท่าใดที่สามารถโจมตีได้ ✅ GreyNoise วิเคราะห์ว่าการโจมตีในอดีตมักนำไปสู่การค้นพบช่องโหว่ใหม่ - พบว่าในช่วง 18–24 เดือนที่ผ่านมา มีรูปแบบการโจมตีที่เริ่มต้นจากการสแกนช่องโหว่ และ มีการค้นพบช่องโหว่ใหม่ภายใน 2–4 สัปดาห์ต่อมา ✅ แนะนำให้ IT Teams ตรวจสอบระบบตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม - ควรตรวจสอบ บันทึกระบบ (Logs) เพื่อดูว่ามีความพยายามเจาะระบบหรือไม่ - ควร เสริมมาตรการความปลอดภัยในระบบล็อกอิน และ บล็อก IP ที่เป็นอันตราย https://www.techradar.com/pro/security/palo-alto-networks-gateways-facing-huge-number-of-possible-security-attacks
    WWW.TECHRADAR.COM
    Palo Alto Networks gateways facing huge number of possible security attacks
    Thousands of IP addresses were seen scanning Palo Alto endpoints
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักต้มตุ๋นคริปโต 438 รายใช้ Telegram เพื่อปั่นราคาผ่านแผน Pump-and-Dump สร้างรายได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์ต่อปี งานวิจัยจาก University College London พบว่าพวกเขาควบคุม ธุรกรรมเทียม 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ และใช้กลยุทธ์ ปั่นเหรียญเพื่อหลอกนักลงทุน เครื่องมือ Perseus สามารถตรวจจับการโกง แต่ ตลาดคริปโตยังคงเสี่ยงเพราะขาดกฎหมายกำกับดูแล

    ✅ Telegram กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักในการปั่นตลาดคริปโต
    - นักต้มตุ๋นใช้ ช่องแชทและกลุ่มลับ เพื่อสร้างกระแสปลอมเกี่ยวกับเหรียญ
    - ปั่นราคาโดย เผยแพร่ข่าวปลอมและแผนลงทุนที่ดูมีอนาคต เพื่อให้คนแห่เข้าซื้อ

    ✅ เครื่องมือ Perseus วิเคราะห์และติดตามการโกงคริปโตแบบเรียลไทม์
    - Perseus มีสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ตัวดึงข้อมูล, กราฟเครือข่าย และระบบตรวจจับนักต้มตุ๋น
    - คล้าย AI Detector ของ McAfee ซึ่งช่วยเปิดโปงนักต้มตุ๋นก่อนที่พวกเขาจะทำเหยื่อรายใหม่

    ✅ ตลาดคริปโตยังคงเสี่ยงเพราะขาดการกำกับดูแล
    - การลงทุนในคริปโต ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองที่ชัดเจนในหลายประเทศ
    - งานวิจัยระบุว่าการใช้ AI เช่น Perseus สามารถช่วยตรวจจับพฤติกรรมโกง แต่การออกกฎควบคุมยังเป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/438-crypto-masterminds-are-responsible-for-the-majority-of-pump-and-dump-crypto-coin-schemes-globally-researchers-find
    นักต้มตุ๋นคริปโต 438 รายใช้ Telegram เพื่อปั่นราคาผ่านแผน Pump-and-Dump สร้างรายได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์ต่อปี งานวิจัยจาก University College London พบว่าพวกเขาควบคุม ธุรกรรมเทียม 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ และใช้กลยุทธ์ ปั่นเหรียญเพื่อหลอกนักลงทุน เครื่องมือ Perseus สามารถตรวจจับการโกง แต่ ตลาดคริปโตยังคงเสี่ยงเพราะขาดกฎหมายกำกับดูแล ✅ Telegram กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักในการปั่นตลาดคริปโต - นักต้มตุ๋นใช้ ช่องแชทและกลุ่มลับ เพื่อสร้างกระแสปลอมเกี่ยวกับเหรียญ - ปั่นราคาโดย เผยแพร่ข่าวปลอมและแผนลงทุนที่ดูมีอนาคต เพื่อให้คนแห่เข้าซื้อ ✅ เครื่องมือ Perseus วิเคราะห์และติดตามการโกงคริปโตแบบเรียลไทม์ - Perseus มีสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ตัวดึงข้อมูล, กราฟเครือข่าย และระบบตรวจจับนักต้มตุ๋น - คล้าย AI Detector ของ McAfee ซึ่งช่วยเปิดโปงนักต้มตุ๋นก่อนที่พวกเขาจะทำเหยื่อรายใหม่ ✅ ตลาดคริปโตยังคงเสี่ยงเพราะขาดการกำกับดูแล - การลงทุนในคริปโต ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองที่ชัดเจนในหลายประเทศ - งานวิจัยระบุว่าการใช้ AI เช่น Perseus สามารถช่วยตรวจจับพฤติกรรมโกง แต่การออกกฎควบคุมยังเป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/438-crypto-masterminds-are-responsible-for-the-majority-of-pump-and-dump-crypto-coin-schemes-globally-researchers-find
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX และ Apple อาจมีข้อพิพาทเกี่ยวกับคลื่นความถี่ดาวเทียม โดย SpaceX พยายาม กดดันหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ไม่ให้อนุญาตให้ Globalstar (ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Apple) ขยายการใช้คลื่นความถี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมของ iPhone หาก SpaceX ควบคุมตลาดมากเกินไป อาจทำให้บริการดาวเทียม มีราคาแพงขึ้น และเกิดจุดอับสัญญาณ ได้

    ✅ SpaceX เคยเจรจาร่วมมือกับ Apple แต่ล้มเหลว
    - ก่อนหน้านี้ SpaceX และ Apple เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ iPhone
    - อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้ Apple หันไปใช้เครือข่ายดาวเทียมอื่นแทน SpaceX

    ✅ SpaceX ต้องการควบคุมคลื่นความถี่ให้มากที่สุด
    - ดาวเทียมทุกดวงใช้ คลื่นวิทยุส่งสัญญาณมายังโลก ซึ่งต้องมีการจัดสรรเพื่อให้สัญญาณไม่รบกวนกัน
    - หาก SpaceX ได้รับสิทธิ์ควบคุมคลื่นความถี่จำนวนมาก บริษัทอื่นจะ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ หรืออาจเกิด จุดอับสัญญาณ ในพื้นที่บางแห่ง

    ✅ การแข่งขันอุตสาหกรรมดาวเทียมอาจส่งผลต่อราคาบริการ
    - หาก SpaceX ครอบครองความถี่จำนวนมาก อาจทำให้เกิดสถานการณ์ กึ่งผูกขาด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถ ตั้งราคาสูงขึ้นได้

    ✅ บริการ SOS ผ่านดาวเทียมของ iPhone อาจได้รับผลกระทบ
    - Apple ใช้ Globalstar สำหรับ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมบน iPhone ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
    - หาก SpaceX จำกัดการเข้าถึงคลื่นความถี่ Globalstar อาจ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ได้

    https://www.techradar.com/phones/iphone/spacex-and-apple-reported-spat-could-spell-bad-news-for-starlink-and-your-iphones-satellite-communication-features
    SpaceX และ Apple อาจมีข้อพิพาทเกี่ยวกับคลื่นความถี่ดาวเทียม โดย SpaceX พยายาม กดดันหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ไม่ให้อนุญาตให้ Globalstar (ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Apple) ขยายการใช้คลื่นความถี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมของ iPhone หาก SpaceX ควบคุมตลาดมากเกินไป อาจทำให้บริการดาวเทียม มีราคาแพงขึ้น และเกิดจุดอับสัญญาณ ได้ ✅ SpaceX เคยเจรจาร่วมมือกับ Apple แต่ล้มเหลว - ก่อนหน้านี้ SpaceX และ Apple เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ iPhone - อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้ Apple หันไปใช้เครือข่ายดาวเทียมอื่นแทน SpaceX ✅ SpaceX ต้องการควบคุมคลื่นความถี่ให้มากที่สุด - ดาวเทียมทุกดวงใช้ คลื่นวิทยุส่งสัญญาณมายังโลก ซึ่งต้องมีการจัดสรรเพื่อให้สัญญาณไม่รบกวนกัน - หาก SpaceX ได้รับสิทธิ์ควบคุมคลื่นความถี่จำนวนมาก บริษัทอื่นจะ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ หรืออาจเกิด จุดอับสัญญาณ ในพื้นที่บางแห่ง ✅ การแข่งขันอุตสาหกรรมดาวเทียมอาจส่งผลต่อราคาบริการ - หาก SpaceX ครอบครองความถี่จำนวนมาก อาจทำให้เกิดสถานการณ์ กึ่งผูกขาด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถ ตั้งราคาสูงขึ้นได้ ✅ บริการ SOS ผ่านดาวเทียมของ iPhone อาจได้รับผลกระทบ - Apple ใช้ Globalstar สำหรับ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมบน iPhone ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ - หาก SpaceX จำกัดการเข้าถึงคลื่นความถี่ Globalstar อาจ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ได้ https://www.techradar.com/phones/iphone/spacex-and-apple-reported-spat-could-spell-bad-news-for-starlink-and-your-iphones-satellite-communication-features
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) กำลังหารือกับ Tyler และ Cameron Winklevoss เพื่อหาทางยุติคดีเกี่ยวกับ Gemini Earn ซึ่งเป็นโครงการให้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ SEC อ้างว่า ละเมิดข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลสำหรับนักลงทุน

    SEC ฟ้อง Gemini Trust และ Genesis Global Capital ในเดือนมกราคม 2023 โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทให้ลูกค้ากู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin เพื่อรับดอกเบี้ยโดยไม่ผ่านการกำกับดูแลทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Winklevoss และ SEC ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อระงับการดำเนินคดีชั่วคราว 60 วัน เพื่อเจรจาหาข้อยุติ ซึ่งอาจเป็นการ ยอมความ, ถอนฟ้อง หรือทางออกอื่น

    Gemini Earn ทำงานอย่างไร?
    - ลูกค้าสามารถ ฝากเงินดิจิทัลและให้ Genesis กู้ยืม เพื่อสร้างรายได้จากดอกเบี้ย
    - Gemini จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงสุด 4.29% จากบริการนี้

    Genesis ล้มละลายหลัง FTX พังทลาย
    - Genesis หยุดถอนเงินในเดือนพฤศจิกายน 2022 ช่วงเดียวกับที่ FTX ล้มละลาย
    - มีสินทรัพย์มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์ จากลูกค้าประมาณ 340,000 ราย ที่ถูกระงับ

    ผลกระทบต่อกฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล
    - SEC ระบุว่า Gemini Earn ละเมิดข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลที่มีไว้เพื่อ ปกป้องนักลงทุน
    - Genesis ตกลงจ่ายค่าปรับ 21 ล้านดอลลาร์ เพื่อยุติคดี โดยไม่ยอมรับว่ากระทำผิด

    แนวโน้มการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลเปลี่ยนแปลงหลังทรัมป์เป็นประธานาธิบดี
    - SEC ลดระดับการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในปี 2025
    - หน่วยงานนี้เพิ่งถอนฟ้องบริษัทคริปโตหลายแห่ง เช่น Coinbase และ Kraken
    - มีข้อตกลงยุติคดีกับ Ripple Labs ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายโทเคนโดยไม่ได้ลงทะเบียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/sec-billionaire-winklevoss-twins-may-resolve-lawsuit-over-gemini-earn
    คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) กำลังหารือกับ Tyler และ Cameron Winklevoss เพื่อหาทางยุติคดีเกี่ยวกับ Gemini Earn ซึ่งเป็นโครงการให้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ SEC อ้างว่า ละเมิดข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลสำหรับนักลงทุน SEC ฟ้อง Gemini Trust และ Genesis Global Capital ในเดือนมกราคม 2023 โดยกล่าวหาว่าทั้งสองบริษัทให้ลูกค้ากู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin เพื่อรับดอกเบี้ยโดยไม่ผ่านการกำกับดูแลทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม Winklevoss และ SEC ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อระงับการดำเนินคดีชั่วคราว 60 วัน เพื่อเจรจาหาข้อยุติ ซึ่งอาจเป็นการ ยอมความ, ถอนฟ้อง หรือทางออกอื่น Gemini Earn ทำงานอย่างไร? - ลูกค้าสามารถ ฝากเงินดิจิทัลและให้ Genesis กู้ยืม เพื่อสร้างรายได้จากดอกเบี้ย - Gemini จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงสุด 4.29% จากบริการนี้ Genesis ล้มละลายหลัง FTX พังทลาย - Genesis หยุดถอนเงินในเดือนพฤศจิกายน 2022 ช่วงเดียวกับที่ FTX ล้มละลาย - มีสินทรัพย์มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์ จากลูกค้าประมาณ 340,000 ราย ที่ถูกระงับ ผลกระทบต่อกฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล - SEC ระบุว่า Gemini Earn ละเมิดข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลที่มีไว้เพื่อ ปกป้องนักลงทุน - Genesis ตกลงจ่ายค่าปรับ 21 ล้านดอลลาร์ เพื่อยุติคดี โดยไม่ยอมรับว่ากระทำผิด แนวโน้มการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลเปลี่ยนแปลงหลังทรัมป์เป็นประธานาธิบดี - SEC ลดระดับการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในปี 2025 - หน่วยงานนี้เพิ่งถอนฟ้องบริษัทคริปโตหลายแห่ง เช่น Coinbase และ Kraken - มีข้อตกลงยุติคดีกับ Ripple Labs ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายโทเคนโดยไม่ได้ลงทะเบียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/02/sec-billionaire-winklevoss-twins-may-resolve-lawsuit-over-gemini-earn
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SEC, billionaire Winklevoss twins may resolve lawsuit over Gemini Earn
    NEW YORK (Reuters) - An exchange run by billionaire twins Tyler and Cameron Winklevoss may soon resolve a U.S. Securities and Exchange Commission lawsuit claiming they failed to register a cryptocurrency asset lending program before offering it to retail investors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • 01-04-68/01 : หมี CNN / ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ไอ้ควาย! มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปเทียบ? กองเรือที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ไปอยู่ที่รัสเซีย จีน หมดแล้ว นวตกรรมโลกยุคใหม่ เทไปเอเซียหมดเกลี้ยง ของเก่าสมัย 30 ปี ก่อน มรึงยังกล้าเอามาอวดอ้างอีกเหรอ? อาร์คติค มันแบเบอร์อยู่แล้ว หากมรึงคิดจะวัด ตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า "อาวุธมรึงที่จะใช้ในพื้นที่ติดลบ 60 องศา เซลเซียส มีแค่ไหน?" รัสเซียพัฒนาอาวุธจุดเหยือกแข็งมานานนับ 30 ปี ไม่ว่าจะรบในสมรภูมิใด เค้ารับได้หมด แต่อาวุธมรึงน็อค ตั้งแต่ยังไม่ทันจะใช้ แล้วจำนวนมรึงมีแค่ไหน เค้าผลิต 24 ชม. NON STOP วัคถุดิบมี เงินมี แล้วมรึงล่ะ ยิ่งกำลังพลไม่ต้องถาม จีน รัสเซีย มีเป็นล้าน ยังไม่นับทหารรับจ้างอีกครึ่งล้าน อาร์คติคของใคร? คงไม่ต้องถามกันต่อให้เสียอารมณ์ เพราะทุกวันนี้ เรือตัดน้ำแข็ง โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับฐานทัพ ฐานปฎิบัติการ ในอาร์คติค รัสเซีย จีน จัดเต็มกว่ามรึงเยอะ แค่ชาตินาโต้ สแกนดิเนเวีย ยังมีไม่ถึงครึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์ ที่มรึงจะใช้สำรวจ เจาะ หรือเพื่อวิจัยงานธรณี เพราะเงินสู้เค้าไม่ได้ เพราะพลังงานมรึงเป็นรอง เพราะเทคโนโลยีเทียบชั้นไม่ติด อย่าว่าแต่อาร์คติคเลย ไอ้ที่มรึงมีอยู่ ยังรักษาไว้ไม่ได้ คงมีแต่ควายเท่านั้น ที่เชื่อว่ามรึงเจ๋ง? ยิ่งอเมริกาโดดเดี่ยว เปลี่ยนยุโรปจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ลำพังมรึงและนาโต้ หมาหมู่ ยังแพ้ยับรัสเซียในยูเครน ยังจะมีหน้ามาเสนอในอาร์คติคเพื่อ? อีกไม่นานดอก ท่อแก็สอาร์คติคจะเข้าสู่ยุโรปชัวร์ ไปถึงกรีนแลนด์ด้วย หากสดชื่น เหี้ยไม่เจียมตัว บทสุดท้ายคือ "สูญพันธุ์เหี้ย" รบกันเองให้เสร็จก่อนดีกว่ามุย? เหลือเท่าไหร่ค่อยมาวัดกับกู ให้กูขยี้เล่น บอกตรง จีน รัสเซีย มองข้าม อเมริกา ยุโรป ไปนานแล้ว เค้ารวบรวมโลกเข้าหากัน ผ่าน BRICS แล้วมรึงล่ะ ดีแต่แตกแยก จะเอาเหี้ยอะไรไปชนะ? ภูมิภาคศาสตร์โลกยุคใหม่ กลายเป็นพื้นที่ของโลกใหม่ไปแล้ว สงครามไม่เกิด มรึงก็จะดันให้เกิดให้ได้ ตายไม่ว่า แต่อียิวต้องยังคงอยู่สิน่ะ? งั้นล่ออียิวตายโหงก่อนตัวแรกเลยดีมั้ยล่ะ? ต้นตอปัญหาโลกทั้งหมดเกิดจากมันเนี่ยแหละ ในอาร์คติค นอกจากเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลโลก ยังเป็นแหล่งของวัตถุลึกลับ และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นอกโลก ศูนย์ฐานปฎิบัติการใต้น้ำ ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันมีมานานแล้วนับ 1000000 ปี นวตกรรมใหม่โลกก่อเกิด อานิสงค์จากเพื่อนต่างมิติ ร่องรอย ติดตามเทคโนโลยีนอกโลก แม้แต่เศษอุกกาบาต ก็ทำให้สามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาได้ ความลับแท้จริงจากสิ่งนอกโลก มีกระจายไปทั่ว แต่จุดศูนย์กลางอยู่ที่ "แอนตาร์กติกา" ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ถูกอนุญาตให้เข้าใกล้แถบนั้น คือข้อตกลงกันระหว่างชาวโลก กับผู้มาเยือนที่รักสันติภาพ

    Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race? รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้รักษาน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้ครอบครองเขตน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก

    รองประธานาธิบดีสหรัฐ เจดี แวนซ์กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าประเทศจะเป็นผู้นำในอาร์คติก เพื่อแซงหน้ารัสเซียแต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่สำหรับกองเรืออาร์คติก เมื่อเทียบกับกองเรือของรัสเซีย

    กองเรืออาร์คติกของรัสเซีย

    • กองเรือรัสเซียในอาร์คติกเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มียานพาหนะ 42 ลำซึ่งมีเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ 8 ลำและเรือฝ่าน้ำแข็งที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า 34 ลำ
    • กองเรือประกอบด้วยเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์หนักจาก Project 22220 ที่มีกำลัง 60 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงเรือฝ่าน้ำแข็งที่มีกำลังมากที่สุดในโลกอย่าง Viktor Chernomyrdin ซึ่งมีกำลัง 25 เมกะวัตต์ (MW)
    • ความมั่นใจของรัสเซียอาร์คติกคือ กองเรือรัสเซียทางตอนเหนือ รวมถึงเรือฝ่ายน้ำแข็งหนัก Ilya Muromets เรือปราบเรือดำน้ำ Vice-Admiral Kulakov และเรือรบใหญ่ Alexander Otrakovsky
    • เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Borei ยังสามารถปฏิบัติการได้ในขั้วโลกเหนือซึ่งแต่ละลำบรรทุกขีปนาวุธข้ามทวีป Bulava 16 ลูก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Yasen พร้อมขีปนาวุธ Onyx ขีปนาวุธ Kalibr และขีปนาวุธ Zircon

    กองเรืออาร์คติกของสหรัฐ

    • เรือรบ Polar Star ยังคงเป็นเรือฝ่าน้ำแข็งหนักเพียงลำเดียวของสหรัฐที่สามารถฝ่าน้ำแข็งในอาร์คติก ส่วนเรือฝ่าน้ำแข็งขนาดกลาง Healy ไม่ได้ใช้งานในอาร์คติกแล้ว
    • เรือรบบางลำเช่น เรือพิฆาต Arleigh Burke และเรือลาดตระเวน Ticonderoga สามารถปฏิบัติการได้ในอาร์คติก
    • เรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หลายลำ เช่น เรือ Los Angeles เรือ Virginia และเรือ Seawolf สามารถเดินเรือในน้ำแข็งได้
    • จากเรื่องที่สหรัฐ “มีเรือฝ่าน้ำแข็งน้อยกว่าอย่างมาก” เมื่อเทียบกับรัสเซีย Gregory Guillot ผู้บัญชาการของกองทัพเรือของสหรัฐและกองทัพอากาศอเมริกาเหนือที่ยอมรับว่า “ยังไม่ได้จำกัดเสรีภาพในการซ้อมรบในอาร์คติก”

    https://sputnikglobe.com/20250329/-russia-vs-us-who-holds-the-ice-in-the-arctic-fleet-race--1121710115.html

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    01-04-68/01 : หมี CNN / ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ไอ้ควาย! มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปเทียบ? กองเรือที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ไปอยู่ที่รัสเซีย จีน หมดแล้ว นวตกรรมโลกยุคใหม่ เทไปเอเซียหมดเกลี้ยง ของเก่าสมัย 30 ปี ก่อน มรึงยังกล้าเอามาอวดอ้างอีกเหรอ? อาร์คติค มันแบเบอร์อยู่แล้ว หากมรึงคิดจะวัด ตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า "อาวุธมรึงที่จะใช้ในพื้นที่ติดลบ 60 องศา เซลเซียส มีแค่ไหน?" รัสเซียพัฒนาอาวุธจุดเหยือกแข็งมานานนับ 30 ปี ไม่ว่าจะรบในสมรภูมิใด เค้ารับได้หมด แต่อาวุธมรึงน็อค ตั้งแต่ยังไม่ทันจะใช้ แล้วจำนวนมรึงมีแค่ไหน เค้าผลิต 24 ชม. NON STOP วัคถุดิบมี เงินมี แล้วมรึงล่ะ ยิ่งกำลังพลไม่ต้องถาม จีน รัสเซีย มีเป็นล้าน ยังไม่นับทหารรับจ้างอีกครึ่งล้าน อาร์คติคของใคร? คงไม่ต้องถามกันต่อให้เสียอารมณ์ เพราะทุกวันนี้ เรือตัดน้ำแข็ง โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับฐานทัพ ฐานปฎิบัติการ ในอาร์คติค รัสเซีย จีน จัดเต็มกว่ามรึงเยอะ แค่ชาตินาโต้ สแกนดิเนเวีย ยังมีไม่ถึงครึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์ ที่มรึงจะใช้สำรวจ เจาะ หรือเพื่อวิจัยงานธรณี เพราะเงินสู้เค้าไม่ได้ เพราะพลังงานมรึงเป็นรอง เพราะเทคโนโลยีเทียบชั้นไม่ติด อย่าว่าแต่อาร์คติคเลย ไอ้ที่มรึงมีอยู่ ยังรักษาไว้ไม่ได้ คงมีแต่ควายเท่านั้น ที่เชื่อว่ามรึงเจ๋ง? ยิ่งอเมริกาโดดเดี่ยว เปลี่ยนยุโรปจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ลำพังมรึงและนาโต้ หมาหมู่ ยังแพ้ยับรัสเซียในยูเครน ยังจะมีหน้ามาเสนอในอาร์คติคเพื่อ? อีกไม่นานดอก ท่อแก็สอาร์คติคจะเข้าสู่ยุโรปชัวร์ ไปถึงกรีนแลนด์ด้วย หากสดชื่น เหี้ยไม่เจียมตัว บทสุดท้ายคือ "สูญพันธุ์เหี้ย" รบกันเองให้เสร็จก่อนดีกว่ามุย? เหลือเท่าไหร่ค่อยมาวัดกับกู ให้กูขยี้เล่น บอกตรง จีน รัสเซีย มองข้าม อเมริกา ยุโรป ไปนานแล้ว เค้ารวบรวมโลกเข้าหากัน ผ่าน BRICS แล้วมรึงล่ะ ดีแต่แตกแยก จะเอาเหี้ยอะไรไปชนะ? ภูมิภาคศาสตร์โลกยุคใหม่ กลายเป็นพื้นที่ของโลกใหม่ไปแล้ว สงครามไม่เกิด มรึงก็จะดันให้เกิดให้ได้ ตายไม่ว่า แต่อียิวต้องยังคงอยู่สิน่ะ? งั้นล่ออียิวตายโหงก่อนตัวแรกเลยดีมั้ยล่ะ? ต้นตอปัญหาโลกทั้งหมดเกิดจากมันเนี่ยแหละ ในอาร์คติค นอกจากเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลโลก ยังเป็นแหล่งของวัตถุลึกลับ และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นอกโลก ศูนย์ฐานปฎิบัติการใต้น้ำ ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันมีมานานแล้วนับ 1000000 ปี นวตกรรมใหม่โลกก่อเกิด อานิสงค์จากเพื่อนต่างมิติ ร่องรอย ติดตามเทคโนโลยีนอกโลก แม้แต่เศษอุกกาบาต ก็ทำให้สามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาได้ ความลับแท้จริงจากสิ่งนอกโลก มีกระจายไปทั่ว แต่จุดศูนย์กลางอยู่ที่ "แอนตาร์กติกา" ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ถูกอนุญาตให้เข้าใกล้แถบนั้น คือข้อตกลงกันระหว่างชาวโลก กับผู้มาเยือนที่รักสันติภาพ Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race? รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้รักษาน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้ครอบครองเขตน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก รองประธานาธิบดีสหรัฐ เจดี แวนซ์กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าประเทศจะเป็นผู้นำในอาร์คติก เพื่อแซงหน้ารัสเซียแต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่สำหรับกองเรืออาร์คติก เมื่อเทียบกับกองเรือของรัสเซีย กองเรืออาร์คติกของรัสเซีย • กองเรือรัสเซียในอาร์คติกเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มียานพาหนะ 42 ลำซึ่งมีเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ 8 ลำและเรือฝ่าน้ำแข็งที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า 34 ลำ • กองเรือประกอบด้วยเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์หนักจาก Project 22220 ที่มีกำลัง 60 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงเรือฝ่าน้ำแข็งที่มีกำลังมากที่สุดในโลกอย่าง Viktor Chernomyrdin ซึ่งมีกำลัง 25 เมกะวัตต์ (MW) • ความมั่นใจของรัสเซียอาร์คติกคือ กองเรือรัสเซียทางตอนเหนือ รวมถึงเรือฝ่ายน้ำแข็งหนัก Ilya Muromets เรือปราบเรือดำน้ำ Vice-Admiral Kulakov และเรือรบใหญ่ Alexander Otrakovsky • เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Borei ยังสามารถปฏิบัติการได้ในขั้วโลกเหนือซึ่งแต่ละลำบรรทุกขีปนาวุธข้ามทวีป Bulava 16 ลูก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Yasen พร้อมขีปนาวุธ Onyx ขีปนาวุธ Kalibr และขีปนาวุธ Zircon กองเรืออาร์คติกของสหรัฐ • เรือรบ Polar Star ยังคงเป็นเรือฝ่าน้ำแข็งหนักเพียงลำเดียวของสหรัฐที่สามารถฝ่าน้ำแข็งในอาร์คติก ส่วนเรือฝ่าน้ำแข็งขนาดกลาง Healy ไม่ได้ใช้งานในอาร์คติกแล้ว • เรือรบบางลำเช่น เรือพิฆาต Arleigh Burke และเรือลาดตระเวน Ticonderoga สามารถปฏิบัติการได้ในอาร์คติก • เรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หลายลำ เช่น เรือ Los Angeles เรือ Virginia และเรือ Seawolf สามารถเดินเรือในน้ำแข็งได้ • จากเรื่องที่สหรัฐ “มีเรือฝ่าน้ำแข็งน้อยกว่าอย่างมาก” เมื่อเทียบกับรัสเซีย Gregory Guillot ผู้บัญชาการของกองทัพเรือของสหรัฐและกองทัพอากาศอเมริกาเหนือที่ยอมรับว่า “ยังไม่ได้จำกัดเสรีภาพในการซ้อมรบในอาร์คติก” https://sputnikglobe.com/20250329/-russia-vs-us-who-holds-the-ice-in-the-arctic-fleet-race--1121710115.html ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    SPUTNIKGLOBE.COM
    Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race?
    US Vice President JD Vance said the US needs to make sure it's leading in the Arctic to outperform Russia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • Lightmatter นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ชิป AI ส่งข้อมูลผ่านแสงแทนไฟฟ้า ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เริ่มให้ความสนใจ แม้จะยังมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2025-2026 อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชิป AI ในอนาคต

    วิธีการทำงานของ photonics:
    - Lightmatter ใช้ interposer ซึ่งเป็นวัสดุรองรับชิป AI เพื่อเชื่อมต่อกับชิปข้างเคียงได้ดีขึ้น และ chiplet ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งบนชิป AI เพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งข้อมูลผ่านแสง

    ข้อได้เปรียบเหนือเทคโนโลยีเดิม:
    - เทคโนโลยี photonics ช่วยลดความร้อนและความล่าช้าในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งเป็นปัญหาของชิปที่ใช้ระบบไฟฟ้าแบบเดิม

    แนวโน้มของตลาด:
    - บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น AMD และ Nvidia กำลังทดลองนำ optical technology มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนเอง แม้ Nvidia จะยังคงสงวนท่าทีว่าการนำไปใช้ในชิปทั้งหมดอาจยังไม่สมบูรณ์

    แผนการเปิดตัว:
    - Lightmatter วางแผนเปิดตัว interposer ในปี 2025 และ chiplet ในปี 2026 โดยผลิตผ่าน GlobalFoundries

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/01/lightmatter-releases-new-photonics-technology-for-ai-chips-
    Lightmatter นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ชิป AI ส่งข้อมูลผ่านแสงแทนไฟฟ้า ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เริ่มให้ความสนใจ แม้จะยังมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2025-2026 อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชิป AI ในอนาคต วิธีการทำงานของ photonics: - Lightmatter ใช้ interposer ซึ่งเป็นวัสดุรองรับชิป AI เพื่อเชื่อมต่อกับชิปข้างเคียงได้ดีขึ้น และ chiplet ขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งบนชิป AI เพื่อเพิ่มความสามารถในการส่งข้อมูลผ่านแสง ข้อได้เปรียบเหนือเทคโนโลยีเดิม: - เทคโนโลยี photonics ช่วยลดความร้อนและความล่าช้าในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งเป็นปัญหาของชิปที่ใช้ระบบไฟฟ้าแบบเดิม แนวโน้มของตลาด: - บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น AMD และ Nvidia กำลังทดลองนำ optical technology มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนเอง แม้ Nvidia จะยังคงสงวนท่าทีว่าการนำไปใช้ในชิปทั้งหมดอาจยังไม่สมบูรณ์ แผนการเปิดตัว: - Lightmatter วางแผนเปิดตัว interposer ในปี 2025 และ chiplet ในปี 2026 โดยผลิตผ่าน GlobalFoundries https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/01/lightmatter-releases-new-photonics-technology-for-ai-chips-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Lightmatter releases new photonics technology for AI chips
    SAN FRANCISCO (Reuters) - Lightmatter, a startup valued at $4.4 billion, on Monday released two pieces of technology aimed at speeding up the connections between artificial intelligence chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิวหัวช้าง !! ทำยังไงให้หายไวและไม่ทิ้งรอยไว้
    #look@me #lookatmebyBP #serum
    #glow&smootheningantiagingserum #facial #serum
    สิวหัวช้าง !! ทำยังไงให้หายไวและไม่ทิ้งรอยไว้ #look@me #lookatmebyBP #serum #glow&smootheningantiagingserum #facial #serum
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เน้นถึงความท้าทายที่ Intel กำลังเผชิญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Chiang Shang-yi อดีตรองประธาน TSMC ได้แสดงความคิดเห็นว่า Intel ซึ่งเคยเป็น "ราชา" ของวงการเซมิคอนดักเตอร์ กำลังตกลงไปในฐานะ "ไม่มีตัวตน" และควรเปลี่ยนแนวทางมุ่งเน้นการผลิตชิปรายละเอียดระดับกลางที่มีความต้องการสูงแทนการพยายามแข่งขันในเทคโนโลยีระดับสูงกับ TSMC

    การเปรียบเทียบกับ TSMC:
    - TSMC มีข้อได้เปรียบในด้านฐานลูกค้าที่กว้างขวางและความเร็วในการผลิตที่เหนือกว่า รวมถึงการลงทุนวิจัยพัฒนาที่สม่ำเสมอ ซึ่งช่วยเสริมความเป็นผู้นำของบริษัท.

    ข้อเสนอแนะของ Chiang Shang-yi:
    - Chiang แนะนำว่า Intel ควรเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตชิปรายละเอียดระดับกลาง (mature process) เช่น GlobalFoundries หรือ UMC ซึ่งเชี่ยวชาญในการผลิตชิปรายละเอียดระดับกลางในปริมาณมาก.

    ประเด็นการแข่งขันในตลาด:
    - Intel กำลังพยายามพัฒนาชิประดับ 18A ที่อาจเทียบเท่ากับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตรของ TSMC แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างจุดยืนในธุรกิจโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์.

    ความมุ่งมั่นของ TSMC:
    - TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและขยายตลาด ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการพึ่งพาการพัฒนาความสามารถภายในและการสร้างเครือข่ายลูกค้าที่เข้มแข็ง.

    https://wccftech.com/intel-is-a-nobody-should-merge-with-mature-chip-technology-firms-says-former-tsmc-co-coo/
    ข่าวนี้เน้นถึงความท้าทายที่ Intel กำลังเผชิญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Chiang Shang-yi อดีตรองประธาน TSMC ได้แสดงความคิดเห็นว่า Intel ซึ่งเคยเป็น "ราชา" ของวงการเซมิคอนดักเตอร์ กำลังตกลงไปในฐานะ "ไม่มีตัวตน" และควรเปลี่ยนแนวทางมุ่งเน้นการผลิตชิปรายละเอียดระดับกลางที่มีความต้องการสูงแทนการพยายามแข่งขันในเทคโนโลยีระดับสูงกับ TSMC การเปรียบเทียบกับ TSMC: - TSMC มีข้อได้เปรียบในด้านฐานลูกค้าที่กว้างขวางและความเร็วในการผลิตที่เหนือกว่า รวมถึงการลงทุนวิจัยพัฒนาที่สม่ำเสมอ ซึ่งช่วยเสริมความเป็นผู้นำของบริษัท. ข้อเสนอแนะของ Chiang Shang-yi: - Chiang แนะนำว่า Intel ควรเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตชิปรายละเอียดระดับกลาง (mature process) เช่น GlobalFoundries หรือ UMC ซึ่งเชี่ยวชาญในการผลิตชิปรายละเอียดระดับกลางในปริมาณมาก. ประเด็นการแข่งขันในตลาด: - Intel กำลังพยายามพัฒนาชิประดับ 18A ที่อาจเทียบเท่ากับเทคโนโลยี 2 นาโนเมตรของ TSMC แต่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างจุดยืนในธุรกิจโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์. ความมุ่งมั่นของ TSMC: - TSMC ยังคงเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและขยายตลาด ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการพึ่งพาการพัฒนาความสามารถภายในและการสร้างเครือข่ายลูกค้าที่เข้มแข็ง. https://wccftech.com/intel-is-a-nobody-should-merge-with-mature-chip-technology-firms-says-former-tsmc-co-coo/
    WCCFTECH.COM
    Intel Is A "Nobody" & Should Merge With Mature Chip Technology Firms, Says Former TSMC co-COO
    TSMC's former co-COO Chiang Shangyi calls Intel a nobody and advises firm to merge with a mature chip manufacturing company instead .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm กำลังเปิดตัวแคมเปญต่อต้านการผูกขาดระดับโลกต่อ Arm Holdings โดยกล่าวหา Arm ว่าจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและเปลี่ยนรูปแบบการอนุญาตใช้งานเพื่อทำลายการแข่งขัน ข้อกล่าวหานี้เน้นว่า Arm พยายามใช้การควบคุมเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ในการออกแบบชิปของตนเอง โดยเฉพาะ CSS (Compute Subsystems) ที่เป็นดีไซน์อ้างอิงสำหรับโปรเซสเซอร์ในระดับลูกค้าและดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งสองบริษัทเคยมีข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่ง Qualcomm ชนะในศาลเดลาแวร์ และ Arm ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่

    การดำเนินงานในระดับสากล:
    - Qualcomm ได้ยื่นร้องเรียนต่อนโยบายของ Arm ไปยังหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ โดยหวังว่าจะปกป้องการเข้าถึงสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีของ Arm สำหรับนักพัฒนาชิปรายใหญ่.

    ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลง:
    - Qualcomm อ้างว่า Arm ละเมิดข้อตกลงด้านสิทธิ์การใช้งาน โดยจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยช่วยสร้างระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง.

    ความสำคัญของคดีในศาลเดลาแวร์:
    - ศาลตัดสินว่า Qualcomm ไม่ละเมิดข้อกำหนดของข้อตกลงการอนุญาตใช้งานเมื่อทำการเข้าซื้อ Nuvia และนำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้ใน Snapdragon X โปรเซสเซอร์.

    มุมมองจาก Arm:
    - Arm ปฏิเสธข้อกล่าวหาและระบุว่าข้อร้องเรียนของ Qualcomm เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อหันเหความสนใจจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองบริษัท.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-launches-global-antitrust-campaign-against-arm-accuses-arm-of-restricting-access-to-technology
    Qualcomm กำลังเปิดตัวแคมเปญต่อต้านการผูกขาดระดับโลกต่อ Arm Holdings โดยกล่าวหา Arm ว่าจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและเปลี่ยนรูปแบบการอนุญาตใช้งานเพื่อทำลายการแข่งขัน ข้อกล่าวหานี้เน้นว่า Arm พยายามใช้การควบคุมเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ในการออกแบบชิปของตนเอง โดยเฉพาะ CSS (Compute Subsystems) ที่เป็นดีไซน์อ้างอิงสำหรับโปรเซสเซอร์ในระดับลูกค้าและดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งสองบริษัทเคยมีข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่ง Qualcomm ชนะในศาลเดลาแวร์ และ Arm ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ การดำเนินงานในระดับสากล: - Qualcomm ได้ยื่นร้องเรียนต่อนโยบายของ Arm ไปยังหน่วยงานกำกับดูแลทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ โดยหวังว่าจะปกป้องการเข้าถึงสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีของ Arm สำหรับนักพัฒนาชิปรายใหญ่. ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลง: - Qualcomm อ้างว่า Arm ละเมิดข้อตกลงด้านสิทธิ์การใช้งาน โดยจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยช่วยสร้างระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง. ความสำคัญของคดีในศาลเดลาแวร์: - ศาลตัดสินว่า Qualcomm ไม่ละเมิดข้อกำหนดของข้อตกลงการอนุญาตใช้งานเมื่อทำการเข้าซื้อ Nuvia และนำทรัพย์สินทางปัญญามาใช้ใน Snapdragon X โปรเซสเซอร์. มุมมองจาก Arm: - Arm ปฏิเสธข้อกล่าวหาและระบุว่าข้อร้องเรียนของ Qualcomm เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อหันเหความสนใจจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองบริษัท. https://www.tomshardware.com/tech-industry/qualcomm-launches-global-antitrust-campaign-against-arm-accuses-arm-of-restricting-access-to-technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 892 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG)

    เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์ในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ของทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) โดยมีการพูดคุยในประเด็นความสัมพันธ์จีน-ไทยในวาระ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การหลอกลวงทางโทรคมนาคม รวมถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยระยะที่ 2 โดยรายการสัมภาษณ์ดังกล่าวออกอากาศเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568

    ผู้สื่อข่าว CMG: ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยว่ามิตรภาพจีน-ไทยมีรากฐานลึกซึ้งนับพันปี และคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยังมั่นคงเหนียวแน่นตลอดมา ในฐานะเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านมองแนวคิดนี้อย่างไร และปีนี้มีความหมายพิเศษต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมาย 3 ประการ คือจีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นเครือญาติที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน จีนและไทยร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม ความไว้วางใจระหว่างกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการพัฒนาร่วมกัน เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ และได้ร่วมกับผู้นำไทยในการกำหนดวิสัยทัศน์การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ซึ่งเป็นการเติมเต็มความหมายของคำว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้มีความหมายที่ทันสมัยมากขึ้น และชี้นำทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต

    ปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทย เราได้กำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย 50 ปี” รวมทั้งคำขวัญร่วมกันว่า “จีน - ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม” สำหรับปีนี้ เราจะใช้โอกาสสำคัญนี้ในการสรุปประสบการณ์อันเป็นประโยชน์จากการร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์จีน-ไทยในอนาคต

    ผู้สื่อข่าว CMG: ปัจจุบัน จีนและไทยกำลังดำเนินความร่วมมือหลายโครงการเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเมียวดีของเมียนมา ความคืบหน้าของปฏิบัติการนี้เป็นอย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: การหลอกลวงทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของแก๊งอาชญากรรมทางไซเบอร์ ช่วงที่ผ่านมา จีน-ไทย-เมียนมา ได้ร่วมมือกันเปิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้สามารถทำลายเครือข่ายอาชญากรรมได้หลายจุด และจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสามประเทศในการปราบปรามการหลอกลวงทางไซเบอร์และปกป้องความมั่นคงในภูมิภาค

    ก้าวต่อไป จีน-ไทย-เมียนมาจะดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเช่นการหลอกลวงทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เราจะขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับให้กระทำผิด จับกุมตัวการใหญ่ของกลุ่มอาชญากรและกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยทางชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีนและประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค

    ผู้สื่อข่าว CMG: คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2573 แม้ว่าระยะที่ 1 ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ในระหว่างการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ผู้นำทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟจีน-ไทย และการส่งเสริมแนวคิดการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทยอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟจีน-ไทย ระยะที่ 1 และจะเริ่มต้นโครงการระยะที่ 2 ภายในปีนี้

    ฝ่ายไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อโครงการรถไฟจีน-ไทย และมีความหมายสำคัญต่อการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เราชื่นชมในการตัดสินใจของฝ่ายไทย และท่าทีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นนี้อย่างสูง ฝ่ายจีนก็จะให้การสนับสนุนและความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น

    ในความเป็นจริงนั้น รถไฟจีน-ไทยเป็นเส้นทางการคมนาคมทางบกเส้นใหม่ระหว่างจีนและไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการคมนาคมหลักในคาบสมุทรอินโดจีน ทุกคนทราบดีว่า รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว การที่รถไฟจีน-ไทยแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั้งสามประเทศ ในอนาคต รถไฟจีน-ไทยจะขยายไปทางทิศใต้เชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟของมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    ผู้สื่อข่าว CMG: ไทยเพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของกลุ่มประเทศ BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งในกลไกต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือจีน-อาเซียน และความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไทยก็มีบทบาทสำคัญ ในสถานการณ์ปัจจุบัน จีนและไทยจะร่วมกันเสริมสร้างบทบาทกลไกพหุภาคีของประเทศโลกใต้ (Global South) อย่างไร

    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ไทยเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือพันธมิตรที่สำคัญของจีนในกลไกพหุภาคี อีกทั้งเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน และได้เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นประธานร่วมของความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และมีบทบาทสำคัญในหลายองค์กรระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค

    จากสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง กลุ่มประเทศโลกใต้ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ไทยได้แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อแนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างมนุษยชาติ รวมถึงการสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาระดับโลก แนวคิดความมั่นคงระดับโลก และแนวคิดอารยธรรมระดับโลก ซึ่งเสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จีนและไทยควรเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งผลักดันและปฏิบัติตามหลักการพหุภาคีและการเปิดกว้างในระดับภูมิภาคให้เห็นเป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพื่อร่วมส่งเสริมความหลากหลายและความเป็นระเบียบของโลก ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เพื่อร่วมกันสร้างระบบการปกครองโลกตามหลักธรรมาภิบาลอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/18t7wHFRgk/?mibextid=wwXIfr
    เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์ในรายการ “การทูตประเทศใหญ่” ของทางไชน่ามีเดียกรุ๊ป (CMG) โดยมีการพูดคุยในประเด็นความสัมพันธ์จีน-ไทยในวาระ 50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การหลอกลวงทางโทรคมนาคม รวมถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยระยะที่ 2 โดยรายการสัมภาษณ์ดังกล่าวออกอากาศเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าว CMG: ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยว่ามิตรภาพจีน-ไทยมีรากฐานลึกซึ้งนับพันปี และคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยังมั่นคงเหนียวแน่นตลอดมา ในฐานะเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านมองแนวคิดนี้อย่างไร และปีนี้มีความหมายพิเศษต่อความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมาย 3 ประการ คือจีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นเครือญาติที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน จีนและไทยร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน ความเท่าเทียม ความไว้วางใจระหว่างกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการพัฒนาร่วมกัน เดือนพฤศจิกายน ปี 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ และได้ร่วมกับผู้นำไทยในการกำหนดวิสัยทัศน์การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ซึ่งเป็นการเติมเต็มความหมายของคำว่า “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้มีความหมายที่ทันสมัยมากขึ้น และชี้นำทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในอนาคต ปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทย เราได้กำหนดให้เป็น “ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย 50 ปี” รวมทั้งคำขวัญร่วมกันว่า “จีน - ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม” สำหรับปีนี้ เราจะใช้โอกาสสำคัญนี้ในการสรุปประสบการณ์อันเป็นประโยชน์จากการร่วมมือกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์จีน-ไทยในอนาคต ผู้สื่อข่าว CMG: ปัจจุบัน จีนและไทยกำลังดำเนินความร่วมมือหลายโครงการเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์และออนไลน์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเมียวดีของเมียนมา ความคืบหน้าของปฏิบัติการนี้เป็นอย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: การหลอกลวงทางไซเบอร์เป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในเมืองเมียวดีของเมียนมา ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของแก๊งอาชญากรรมทางไซเบอร์ ช่วงที่ผ่านมา จีน-ไทย-เมียนมา ได้ร่วมมือกันเปิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทำให้สามารถทำลายเครือข่ายอาชญากรรมได้หลายจุด และจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสามประเทศในการปราบปรามการหลอกลวงทางไซเบอร์และปกป้องความมั่นคงในภูมิภาค ก้าวต่อไป จีน-ไทย-เมียนมาจะดำเนินมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเช่นการหลอกลวงทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เราจะขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับให้กระทำผิด จับกุมตัวการใหญ่ของกลุ่มอาชญากรและกวาดล้างศูนย์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยทางชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีนและประชาชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ผู้สื่อข่าว CMG: คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ไทย ระยะที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2573 แม้ว่าระยะที่ 1 ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจเดินหน้าโครงการนี้ เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ในระหว่างการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ผู้นำทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟจีน-ไทย และการส่งเสริมแนวคิดการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทยอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟจีน-ไทย ระยะที่ 1 และจะเริ่มต้นโครงการระยะที่ 2 ภายในปีนี้ ฝ่ายไทยได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยต่อโครงการรถไฟจีน-ไทย และมีความหมายสำคัญต่อการก่อสร้างรถไฟจีน-ไทยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เราชื่นชมในการตัดสินใจของฝ่ายไทย และท่าทีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นนี้อย่างสูง ฝ่ายจีนก็จะให้การสนับสนุนและความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น ในความเป็นจริงนั้น รถไฟจีน-ไทยเป็นเส้นทางการคมนาคมทางบกเส้นใหม่ระหว่างจีนและไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการคมนาคมหลักในคาบสมุทรอินโดจีน ทุกคนทราบดีว่า รถไฟจีน-ลาว ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว การที่รถไฟจีน-ไทยแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเชื่อมโยงระหว่างจีน-ลาว-ไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนทั้งสามประเทศ ในอนาคต รถไฟจีน-ไทยจะขยายไปทางทิศใต้เชื่อมต่อกับเครือข่ายรถไฟของมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับประเทศในอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผู้สื่อข่าว CMG: ไทยเพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของกลุ่มประเทศ BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งในกลไกต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือจีน-อาเซียน และความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไทยก็มีบทบาทสำคัญ ในสถานการณ์ปัจจุบัน จีนและไทยจะร่วมกันเสริมสร้างบทบาทกลไกพหุภาคีของประเทศโลกใต้ (Global South) อย่างไร เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง: ไทยเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือพันธมิตรที่สำคัญของจีนในกลไกพหุภาคี อีกทั้งเป็นสมาชิกสำคัญของอาเซียน และได้เข้าร่วมกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเป็นประธานร่วมของความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และมีบทบาทสำคัญในหลายองค์กรระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค จากสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง กลุ่มประเทศโลกใต้ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย ไทยได้แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อแนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างมนุษยชาติ รวมถึงการสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาระดับโลก แนวคิดความมั่นคงระดับโลก และแนวคิดอารยธรรมระดับโลก ซึ่งเสนอโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จีนและไทยควรเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งผลักดันและปฏิบัติตามหลักการพหุภาคีและการเปิดกว้างในระดับภูมิภาคให้เห็นเป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพื่อร่วมส่งเสริมความหลากหลายและความเป็นระเบียบของโลก ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและเป็นธรรม เพื่อร่วมกันสร้างระบบการปกครองโลกตามหลักธรรมาภิบาลอย่างสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ที่มา https://www.facebook.com/share/p/18t7wHFRgk/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 692 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts