• AI Moderation กำลังทำลายระบบนิเวศ Creator

    บทความนี้เล่าถึงปัญหาที่ YouTube ใช้ระบบ AI ตรวจสอบคอนเทนต์มากขึ้น จนทำให้วิดีโอสอนเทคนิคและช่องใหญ่ ๆ ถูกลบหรือปิดโดยไม่ชัดเจน การอุทธรณ์ก็เหมือนถูกตัดสินแบบอัตโนมัติ สร้างความไม่มั่นใจและบั่นทอนระบบนิเวศของผู้สร้างคอนเทนต์

    YouTube อ้างว่าการตรวจสอบคอนเทนต์เป็นการผสมผสานระหว่าง “มนุษย์และระบบอัตโนมัติ” แต่หลายเหตุการณ์ชี้ว่า การลบวิดีโอและการปฏิเสธอุทธรณ์เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ จนดูเหมือนเป็นการตัดสินใจโดย AI ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วิดีโอสอนติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับถูกลบว่า “อันตราย” ทั้งที่เป็นเพียงคู่มือเชิงเทคนิค

    ผลกระทบต่อผู้สร้างคอนเทนต์
    ช่องใหญ่ถูกปิดโดยไม่ชัดเจน เช่น Enderman ที่ถูกเชื่อมโยงผิดกับบัญชีอื่นที่เคยโดนแบน
    ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: การโดน strike เพียงครั้งเดียวอาจทำให้รายได้หายและผู้สนับสนุนถอนตัว
    ความเหนื่อยล้าในการอุทธรณ์: เมื่อระบบอุทธรณ์ดูเหมือนอัตโนมัติ ผู้สร้างหลายคนเลิกพยายามและหันไปหลีกเลี่ยงหัวข้อเสี่ยงแทน

    ปัญหาที่ซ่อนอยู่
    AI มักตีความคำอย่าง “bypass” หรือ “workaround” ว่าเป็นสัญญาณเสี่ยง ทำให้ คอนเทนต์การศึกษาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือกฎจริง ๆ ขณะเดียวกัน คอนเทนต์คุณภาพต่ำที่สร้างด้วย AI กลับยังคงผ่านการตรวจสอบและปรากฏใน feed ของผู้ใช้ สะท้อนว่า สัญญาณการบังคับใช้กลับหัวกลับหาง

    ทางออกที่เสนอ
    ผู้เขียนแนะนำว่า YouTube ควร:
    ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอนที่เกี่ยวกับการตั้งค่า OS หรือเฟิร์มแวร์
    เพิ่มขั้นตอนอุทธรณ์ที่มีมนุษย์ตรวจสอบจริง พร้อมหลักฐานการตัดสินใจ
    แยกนโยบาย “การกระทำอันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์”
    ทำให้เครื่องมือแนะนำหัวข้อของ Creator สอดคล้องกับนโยบายบังคับใช้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    วิดีโอสอน Windows 11 ถูกลบว่า “อันตราย”
    ช่องใหญ่ถูกปิดโดยการเชื่อมโยงผิด

    ผลกระทบต่อ Creator
    รายได้และผู้สนับสนุนหายไปเมื่อโดน strike
    ผู้สร้างเลิกอุทธรณ์เพราะระบบดูเหมือนอัตโนมัติ

    ปัญหาที่ซ่อนอยู่
    คำอย่าง “bypass” ทำให้คอนเทนต์การศึกษาถูกลงโทษ
    คอนเทนต์ AI คุณภาพต่ำยังผ่านการตรวจสอบ

    ทางออกที่เสนอ
    ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอน OS/เฟิร์มแวร์
    เพิ่มการตรวจสอบอุทธรณ์โดยมนุษย์จริง
    แยกนโยบาย “อันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์”

    ข้อควรระวัง
    ความไม่โปร่งใสทำให้ผู้สร้างไม่มั่นใจ
    ระบบอัตโนมัติอาจลงโทษคอนเทนต์ที่ไม่ผิดจริง
    เสี่ยงต่อการทำให้คอนเทนต์คุณภาพหายไปจากแพลตฟอร์ม

    https://itsfoss.com/news/youtubes-ai-mod-enshittification/
    🤖 AI Moderation กำลังทำลายระบบนิเวศ Creator บทความนี้เล่าถึงปัญหาที่ YouTube ใช้ระบบ AI ตรวจสอบคอนเทนต์มากขึ้น จนทำให้วิดีโอสอนเทคนิคและช่องใหญ่ ๆ ถูกลบหรือปิดโดยไม่ชัดเจน การอุทธรณ์ก็เหมือนถูกตัดสินแบบอัตโนมัติ สร้างความไม่มั่นใจและบั่นทอนระบบนิเวศของผู้สร้างคอนเทนต์ YouTube อ้างว่าการตรวจสอบคอนเทนต์เป็นการผสมผสานระหว่าง “มนุษย์และระบบอัตโนมัติ” แต่หลายเหตุการณ์ชี้ว่า การลบวิดีโอและการปฏิเสธอุทธรณ์เกิดขึ้นเร็วผิดปกติ จนดูเหมือนเป็นการตัดสินใจโดย AI ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วิดีโอสอนติดตั้ง Windows 11 บนเครื่องที่ไม่รองรับถูกลบว่า “อันตราย” ทั้งที่เป็นเพียงคู่มือเชิงเทคนิค ⚠️ ผลกระทบต่อผู้สร้างคอนเทนต์ 💠 ช่องใหญ่ถูกปิดโดยไม่ชัดเจน เช่น Enderman ที่ถูกเชื่อมโยงผิดกับบัญชีอื่นที่เคยโดนแบน 💠 ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: การโดน strike เพียงครั้งเดียวอาจทำให้รายได้หายและผู้สนับสนุนถอนตัว 💠 ความเหนื่อยล้าในการอุทธรณ์: เมื่อระบบอุทธรณ์ดูเหมือนอัตโนมัติ ผู้สร้างหลายคนเลิกพยายามและหันไปหลีกเลี่ยงหัวข้อเสี่ยงแทน 🧩 ปัญหาที่ซ่อนอยู่ AI มักตีความคำอย่าง “bypass” หรือ “workaround” ว่าเป็นสัญญาณเสี่ยง ทำให้ คอนเทนต์การศึกษาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือกฎจริง ๆ ขณะเดียวกัน คอนเทนต์คุณภาพต่ำที่สร้างด้วย AI กลับยังคงผ่านการตรวจสอบและปรากฏใน feed ของผู้ใช้ สะท้อนว่า สัญญาณการบังคับใช้กลับหัวกลับหาง 🔮 ทางออกที่เสนอ ผู้เขียนแนะนำว่า YouTube ควร: 💠 ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอนที่เกี่ยวกับการตั้งค่า OS หรือเฟิร์มแวร์ 💠 เพิ่มขั้นตอนอุทธรณ์ที่มีมนุษย์ตรวจสอบจริง พร้อมหลักฐานการตัดสินใจ 💠 แยกนโยบาย “การกระทำอันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์” 💠 ทำให้เครื่องมือแนะนำหัวข้อของ Creator สอดคล้องกับนโยบายบังคับใช้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ➡️ วิดีโอสอน Windows 11 ถูกลบว่า “อันตราย” ➡️ ช่องใหญ่ถูกปิดโดยการเชื่อมโยงผิด ✅ ผลกระทบต่อ Creator ➡️ รายได้และผู้สนับสนุนหายไปเมื่อโดน strike ➡️ ผู้สร้างเลิกอุทธรณ์เพราะระบบดูเหมือนอัตโนมัติ ✅ ปัญหาที่ซ่อนอยู่ ➡️ คำอย่าง “bypass” ทำให้คอนเทนต์การศึกษาถูกลงโทษ ➡️ คอนเทนต์ AI คุณภาพต่ำยังผ่านการตรวจสอบ ✅ ทางออกที่เสนอ ➡️ ออกนโยบายละเอียดสำหรับวิดีโอสอน OS/เฟิร์มแวร์ ➡️ เพิ่มการตรวจสอบอุทธรณ์โดยมนุษย์จริง ➡️ แยกนโยบาย “อันตราย” ออกจาก “การปรับแต่งซอฟต์แวร์” ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ความไม่โปร่งใสทำให้ผู้สร้างไม่มั่นใจ ⛔ ระบบอัตโนมัติอาจลงโทษคอนเทนต์ที่ไม่ผิดจริง ⛔ เสี่ยงต่อการทำให้คอนเทนต์คุณภาพหายไปจากแพลตฟอร์ม https://itsfoss.com/news/youtubes-ai-mod-enshittification/
    ITSFOSS.COM
    YouTube’s AI is Breaking the Creator Ecosystem
    A moderation system that leans on automation just knocked legitimate tech tutorials and even entire channels offline. The appeals felt automated, too. Creators are powerless against opaque enforcement and the incentives that should favor craft and trust are tilting toward noise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪸 ฟองน้ำกินเนื้อ “Death-Ball”

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟองน้ำสายพันธุ์ใหม่ในทะเลลึกแอนตาร์กติกา ที่ถูกเรียกว่า “death-ball sponge” เพราะมีลักษณะคล้ายลูกบอลและเป็นฟองน้ำกินเนื้อ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกในการสำรวจครั้งนี้

    ฟองน้ำชนิดใหม่นี้ถูกจัดอยู่ในสกุล Chondrocladia หรือที่รู้จักกันว่า “ping pong ball sponges” เพราะรูปร่างคล้ายลูกบอลเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนก้าน แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูไม่อันตราย มันกลับมีตะขอจิ๋วที่ใช้จับสัตว์น้ำเล็ก ๆ เช่นครัสเตเชียนที่ว่ายผ่านไป

    การค้นพบในทะเลลึก
    การสำรวจโดยโครงการ Nippon Foundation–Nekton Ocean Census ในปี 2025 ใช้ยานควบคุมระยะไกล (ROV) ลงไปที่ความลึกกว่า 3,600 เมตร ใกล้เกาะ Montagu ในมหาสมุทรใต้ ผลลัพธ์คือการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ รวมถึงฟองน้ำกินเนื้อชนิดนี้ หนอนเกล็ดที่มีเกราะสะท้อนแสง และสัตว์ทะเลอื่น ๆ

    ไฮไลท์ของภารกิจ
    นอกจากฟองน้ำแล้ว ทีมวิจัยยังบันทึกวิดีโอแรกของลูกหมึกยักษ์โคลอสซัลในวัยเด็ก และค้นพบระบบนิเวศใหม่ที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แตกออกจากธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา การค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังไม่ถูกศึกษาในมหาสมุทรใต้

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    Michelle Taylor หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ของ Ocean Census ระบุว่า ปัจจุบันยังมีการวิเคราะห์ตัวอย่างเพียง 30% ของทั้งหมด แต่ก็สามารถยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่ได้แล้วกว่า 30 สายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีความลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การค้นพบฟองน้ำกินเนื้อ
    ฟองน้ำ “death-ball” อยู่ในสกุล Chondrocladia
    ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน

    การสำรวจในมหาสมุทรใต้
    ใช้ ROV ลงไปที่ความลึก 3,601 เมตร
    พบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์

    ไฮไลท์ของภารกิจ
    บันทึกวิดีโอลูกหมึกโคลอสซัลครั้งแรก
    พบระบบนิเวศใหม่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

    ความหมายต่อวิทยาศาสตร์
    ยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์
    ยังมีตัวอย่างอีกมากที่รอการวิเคราะห์

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การค้นพบยังอยู่ในขั้นต้น ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม
    ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของฟองน้ำในระบบนิเวศยังไม่สมบูรณ์
    การสำรวจทะเลลึกยังมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายสูง

    https://www.sciencealert.com/meet-the-latest-deep-sea-horror-meat-eating-death-ball-sponges
    🪸 ฟองน้ำกินเนื้อ “Death-Ball” นักวิทยาศาสตร์ค้นพบฟองน้ำสายพันธุ์ใหม่ในทะเลลึกแอนตาร์กติกา ที่ถูกเรียกว่า “death-ball sponge” เพราะมีลักษณะคล้ายลูกบอลและเป็นฟองน้ำกินเนื้อ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ที่ถูกบันทึกในการสำรวจครั้งนี้ ฟองน้ำชนิดใหม่นี้ถูกจัดอยู่ในสกุล Chondrocladia หรือที่รู้จักกันว่า “ping pong ball sponges” เพราะรูปร่างคล้ายลูกบอลเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนก้าน แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูไม่อันตราย มันกลับมีตะขอจิ๋วที่ใช้จับสัตว์น้ำเล็ก ๆ เช่นครัสเตเชียนที่ว่ายผ่านไป 🌊 การค้นพบในทะเลลึก การสำรวจโดยโครงการ Nippon Foundation–Nekton Ocean Census ในปี 2025 ใช้ยานควบคุมระยะไกล (ROV) ลงไปที่ความลึกกว่า 3,600 เมตร ใกล้เกาะ Montagu ในมหาสมุทรใต้ ผลลัพธ์คือการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ รวมถึงฟองน้ำกินเนื้อชนิดนี้ หนอนเกล็ดที่มีเกราะสะท้อนแสง และสัตว์ทะเลอื่น ๆ 🦑 ไฮไลท์ของภารกิจ นอกจากฟองน้ำแล้ว ทีมวิจัยยังบันทึกวิดีโอแรกของลูกหมึกยักษ์โคลอสซัลในวัยเด็ก และค้นพบระบบนิเวศใหม่ที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แตกออกจากธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา การค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังไม่ถูกศึกษาในมหาสมุทรใต้ 🔬 ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ Michelle Taylor หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ของ Ocean Census ระบุว่า ปัจจุบันยังมีการวิเคราะห์ตัวอย่างเพียง 30% ของทั้งหมด แต่ก็สามารถยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่ได้แล้วกว่า 30 สายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรใต้ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีความลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การค้นพบฟองน้ำกินเนื้อ ➡️ ฟองน้ำ “death-ball” อยู่ในสกุล Chondrocladia ➡️ ใช้ตะขอเล็ก ๆ จับสัตว์น้ำที่ว่ายผ่าน ✅ การสำรวจในมหาสมุทรใต้ ➡️ ใช้ ROV ลงไปที่ความลึก 3,601 เมตร ➡️ พบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ ✅ ไฮไลท์ของภารกิจ ➡️ บันทึกวิดีโอลูกหมึกโคลอสซัลครั้งแรก ➡️ พบระบบนิเวศใหม่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ✅ ความหมายต่อวิทยาศาสตร์ ➡️ ยืนยันสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 30 สายพันธุ์ ➡️ ยังมีตัวอย่างอีกมากที่รอการวิเคราะห์ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การค้นพบยังอยู่ในขั้นต้น ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม ⛔ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของฟองน้ำในระบบนิเวศยังไม่สมบูรณ์ ⛔ การสำรวจทะเลลึกยังมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายสูง https://www.sciencealert.com/meet-the-latest-deep-sea-horror-meat-eating-death-ball-sponges
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Meet The Latest Deep-Sea Horror: Meat-Eating 'Death-Ball' Sponges
    Sponges are some of the simplest and least dangerous animals on Earth, but a new species seems to be shooting for a cooler reputation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนอนริบบิ้นอายุยืนที่สุดในโลก

    หนอนริบบิ้นสายพันธุ์ Baseodiscus punnetti ที่ชื่อเล่นว่า “B” กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea เท่าที่เคยบันทึกได้ โดยมีอายุราว 26–30 ปี การค้นพบนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ต่อการศึกษาความยืนยาวของสัตว์ทะเล

    นักชีววิทยา Jon Allen จากมหาวิทยาลัย William & Mary ได้เลี้ยงหนอนริบบิ้นชื่อ “B” มาตั้งแต่ปี 2005 หลังจากได้รับมาจากมหาวิทยาลัย North Carolina ปัจจุบันการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมและการติดตามพฤติกรรมบ่งชี้ว่า B มีอายุอย่างน้อย 26 ปี และอาจใกล้ 30 ปี ซึ่งทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea ที่เคยมีการบันทึก

    ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์
    ก่อนหน้านี้ ข้อมูลอายุของหนอนริบบิ้นแทบไม่มีการบันทึกเลย โดยตัวที่เคยมีรายงานมากที่สุดมีอายุเพียง 3 ปี การค้นพบนี้จึงเพิ่มขอบเขตความรู้ขึ้นถึงสิบเท่า และชี้ให้เห็นว่าหนอนริบบิ้นอาจมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทะเลในฐานะนักล่าที่มีอายุยืนยาวกว่าที่เคยเข้าใจ

    การเดินทางของ “B”
    ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา B ได้เดินทางไปหลายแห่งในสหรัฐฯ ตั้งแต่รัฐวอชิงตันไปจนถึงเวอร์จิเนีย โดยถูกเลี้ยงในตู้ที่มีดินโคลนเพื่อให้มันเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ การดูแลอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมและสุขภาพของมันได้อย่างละเอียด

    ความหมายต่อการวิจัยอนาคต
    การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เติมเต็มช่องว่างความรู้เกี่ยวกับอายุขัยของสัตว์ทะเล แต่ยังอาจช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกความยืนยาวของสิ่งมีชีวิต และนำไปสู่การศึกษาด้านชีววิทยาการชราภาพ รวมถึงการประเมินผลกระทบทางนิเวศวิทยาของสัตว์นักล่าที่มีอายุยืน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การค้นพบหนอนริบบิ้นอายุยืน
    “B” มีอายุราว 26–30 ปี
    เป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea

    ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์
    เพิ่มข้อมูลอายุขัยจาก 3 ปีเป็น 30 ปี
    ชี้ให้เห็นบทบาทใหม่ในระบบนิเวศทะเล

    การเดินทางและการเลี้ยงดู
    ถูกเลี้ยงตั้งแต่ปี 2005 ในหลายรัฐของสหรัฐฯ
    ใช้ตู้ดินโคลนเพื่อจำลองสภาพธรรมชาติ

    ความหมายต่ออนาคตการวิจัย
    เปิดทางสู่การศึกษาเรื่องความยืนยาวของสิ่งมีชีวิต
    อาจช่วยทำความเข้าใจชีววิทยาการชราภาพ

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ข้อมูลอายุยังคงเป็นการประมาณ ไม่ใช่วันเกิดที่แน่นอน
    การเลี้ยงในสภาพแวดล้อมควบคุมอาจไม่สะท้อนธรรมชาติทั้งหมด
    ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความยืนยาวในสายพันธุ์อื่น

    https://www.sciencealert.com/this-insanely-long-ribbon-worm-turns-out-to-be-the-oldest-on-record
    🪱 หนอนริบบิ้นอายุยืนที่สุดในโลก หนอนริบบิ้นสายพันธุ์ Baseodiscus punnetti ที่ชื่อเล่นว่า “B” กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea เท่าที่เคยบันทึกได้ โดยมีอายุราว 26–30 ปี การค้นพบนี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ต่อการศึกษาความยืนยาวของสัตว์ทะเล นักชีววิทยา Jon Allen จากมหาวิทยาลัย William & Mary ได้เลี้ยงหนอนริบบิ้นชื่อ “B” มาตั้งแต่ปี 2005 หลังจากได้รับมาจากมหาวิทยาลัย North Carolina ปัจจุบันการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมและการติดตามพฤติกรรมบ่งชี้ว่า B มีอายุอย่างน้อย 26 ปี และอาจใกล้ 30 ปี ซึ่งทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea ที่เคยมีการบันทึก 🔬 ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ก่อนหน้านี้ ข้อมูลอายุของหนอนริบบิ้นแทบไม่มีการบันทึกเลย โดยตัวที่เคยมีรายงานมากที่สุดมีอายุเพียง 3 ปี การค้นพบนี้จึงเพิ่มขอบเขตความรู้ขึ้นถึงสิบเท่า และชี้ให้เห็นว่าหนอนริบบิ้นอาจมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทะเลในฐานะนักล่าที่มีอายุยืนยาวกว่าที่เคยเข้าใจ 🌍 การเดินทางของ “B” ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา B ได้เดินทางไปหลายแห่งในสหรัฐฯ ตั้งแต่รัฐวอชิงตันไปจนถึงเวอร์จิเนีย โดยถูกเลี้ยงในตู้ที่มีดินโคลนเพื่อให้มันเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ การดูแลอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมและสุขภาพของมันได้อย่างละเอียด 🧩 ความหมายต่อการวิจัยอนาคต การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เติมเต็มช่องว่างความรู้เกี่ยวกับอายุขัยของสัตว์ทะเล แต่ยังอาจช่วยนักวิทยาศาสตร์เข้าใจกลไกความยืนยาวของสิ่งมีชีวิต และนำไปสู่การศึกษาด้านชีววิทยาการชราภาพ รวมถึงการประเมินผลกระทบทางนิเวศวิทยาของสัตว์นักล่าที่มีอายุยืน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การค้นพบหนอนริบบิ้นอายุยืน ➡️ “B” มีอายุราว 26–30 ปี ➡️ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม Nemertea ✅ ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ➡️ เพิ่มข้อมูลอายุขัยจาก 3 ปีเป็น 30 ปี ➡️ ชี้ให้เห็นบทบาทใหม่ในระบบนิเวศทะเล ✅ การเดินทางและการเลี้ยงดู ➡️ ถูกเลี้ยงตั้งแต่ปี 2005 ในหลายรัฐของสหรัฐฯ ➡️ ใช้ตู้ดินโคลนเพื่อจำลองสภาพธรรมชาติ ✅ ความหมายต่ออนาคตการวิจัย ➡️ เปิดทางสู่การศึกษาเรื่องความยืนยาวของสิ่งมีชีวิต ➡️ อาจช่วยทำความเข้าใจชีววิทยาการชราภาพ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ข้อมูลอายุยังคงเป็นการประมาณ ไม่ใช่วันเกิดที่แน่นอน ⛔ การเลี้ยงในสภาพแวดล้อมควบคุมอาจไม่สะท้อนธรรมชาติทั้งหมด ⛔ ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความยืนยาวในสายพันธุ์อื่น https://www.sciencealert.com/this-insanely-long-ribbon-worm-turns-out-to-be-the-oldest-on-record
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    This Insanely Long Ribbon Worm Turns Out to Be The Oldest on Record
    Biologist Jon Allen is the proud owner of the world's oldest ribbon worm on record.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนูนักล่าในโลกเสมือน Doom

    โครงการฝึกหนูให้เล่นเกม Doom ก้าวหน้าไปอีกขั้น หนูสามารถ “ยิงศัตรู” ได้แล้วผ่านระบบ VR ที่ใช้จอ AMOLED โอบรอบ พร้อมกลไกตอบสนองที่ซับซ้อนขึ้น ถือเป็นการทดลองที่ผสมผสานวิศวกรรม ฮาร์ดแวร์ และพฤติกรรมสัตว์อย่างน่าสนใจ

    การทดลองที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 โดยนักประสาทวิศวกร Viktor Tóth ได้สร้างความฮือฮาเมื่อหนูถูกฝึกให้เคลื่อนที่ในเกม Doom II ผ่านการใช้ลูกบอลทรงกลมและจอภาพ VR แบบโอบรอบ ล่าสุดระบบถูกพัฒนาให้หนูสามารถ “ยิง” ศัตรูได้ด้วยการกดกลไกที่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถือเป็นการยกระดับจากการเดินไปมาในฉากสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับกลไกเกมจริง ๆ

    วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการทดลอง
    การฝึกใช้หลักการ operant conditioning หรือการให้รางวัลเมื่อสัตว์ทำพฤติกรรมที่ถูกต้อง เช่น น้ำหวานผสมที่ถูกจ่ายออกมาเมื่อหนูเดินหรือยิงถูกเป้าหมาย ระบบยังเพิ่มการตอบสนองทางกายภาพ เช่นการเป่าลมเบา ๆ ที่จมูกเพื่อบอกว่าหนูชนกำแพงในเกม วิธีนี้ช่วยให้สัตว์เรียนรู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการลองผิดลองถูกเพียงอย่างเดียว

    ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ
    การทดลองใช้จอ AMOLED แบบโค้งที่โอบรอบสายตาของหนู ทำให้ภาพเสมือนสมจริงมากขึ้น พร้อมลูกบอลทรงกลมที่ทำหน้าที่เป็น “ลู่วิ่ง” ให้หนูเคลื่อนไหวในเกม การออกแบบนี้ยังคงเป็นแบบเปิด (open-source) เพื่อให้นักวิจัยและผู้สนใจสามารถนำไปต่อยอดได้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างงานวิศวกรรม DIY และการวิจัยเชิงประสาทวิทยา

    ความหมายต่ออนาคตการวิจัย
    แม้หนูจะไม่ได้เข้าใจเกม Doom ในเชิงกลยุทธ์ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า เกมเอนจิน สามารถเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่นสำหรับการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในโลกเสมือน การเปิดประตูสู่การทดลองใหม่ ๆ เช่นการใช้ VR เพื่อศึกษาการตัดสินใจ การเรียนรู้ หรือแม้แต่การพัฒนาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรในอนาคต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความก้าวหน้าของโครงการฝึกหนูเล่น Doom
    หนูสามารถเคลื่อนไหวและยิงศัตรูในเกมได้จริง
    ใช้ระบบ VR จอ AMOLED โอบรอบสายตา

    วิธีการฝึกและการตอบสนอง
    ใช้การให้รางวัลด้วยน้ำหวานเมื่อทำถูกต้อง
    ใช้การเป่าลมเบา ๆ เพื่อบอกการชนกำแพง

    ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบ
    ลูกบอลทรงกลมทำหน้าที่เป็นลู่วิ่ง
    ระบบเปิด (open-source) ให้นำไปต่อยอดได้

    ความหมายต่อการวิจัยอนาคต
    เกมเอนจินเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่น
    เปิดทางสู่การศึกษาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักร

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    หนูไม่ได้เข้าใจเกมในเชิงกลยุทธ์หรือเป้าหมายจริง
    การฝึกใช้เวลานานและต้องการการออกแบบที่ซับซ้อน
    อาจมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมการใช้สัตว์ทดลอง

    https://www.tomshardware.com/virtual-reality/rats-are-still-being-taught-to-play-doom-now-with-a-curved-amoled-and-a-shoot-button
    🕹️ หนูนักล่าในโลกเสมือน Doom โครงการฝึกหนูให้เล่นเกม Doom ก้าวหน้าไปอีกขั้น หนูสามารถ “ยิงศัตรู” ได้แล้วผ่านระบบ VR ที่ใช้จอ AMOLED โอบรอบ พร้อมกลไกตอบสนองที่ซับซ้อนขึ้น ถือเป็นการทดลองที่ผสมผสานวิศวกรรม ฮาร์ดแวร์ และพฤติกรรมสัตว์อย่างน่าสนใจ การทดลองที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 โดยนักประสาทวิศวกร Viktor Tóth ได้สร้างความฮือฮาเมื่อหนูถูกฝึกให้เคลื่อนที่ในเกม Doom II ผ่านการใช้ลูกบอลทรงกลมและจอภาพ VR แบบโอบรอบ ล่าสุดระบบถูกพัฒนาให้หนูสามารถ “ยิง” ศัตรูได้ด้วยการกดกลไกที่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถือเป็นการยกระดับจากการเดินไปมาในฉากสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับกลไกเกมจริง ๆ 🧠 วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการทดลอง การฝึกใช้หลักการ operant conditioning หรือการให้รางวัลเมื่อสัตว์ทำพฤติกรรมที่ถูกต้อง เช่น น้ำหวานผสมที่ถูกจ่ายออกมาเมื่อหนูเดินหรือยิงถูกเป้าหมาย ระบบยังเพิ่มการตอบสนองทางกายภาพ เช่นการเป่าลมเบา ๆ ที่จมูกเพื่อบอกว่าหนูชนกำแพงในเกม วิธีนี้ช่วยให้สัตว์เรียนรู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการลองผิดลองถูกเพียงอย่างเดียว 🔧 ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ การทดลองใช้จอ AMOLED แบบโค้งที่โอบรอบสายตาของหนู ทำให้ภาพเสมือนสมจริงมากขึ้น พร้อมลูกบอลทรงกลมที่ทำหน้าที่เป็น “ลู่วิ่ง” ให้หนูเคลื่อนไหวในเกม การออกแบบนี้ยังคงเป็นแบบเปิด (open-source) เพื่อให้นักวิจัยและผู้สนใจสามารถนำไปต่อยอดได้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างงานวิศวกรรม DIY และการวิจัยเชิงประสาทวิทยา 🌐 ความหมายต่ออนาคตการวิจัย แม้หนูจะไม่ได้เข้าใจเกม Doom ในเชิงกลยุทธ์ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า เกมเอนจิน สามารถเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่นสำหรับการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในโลกเสมือน การเปิดประตูสู่การทดลองใหม่ ๆ เช่นการใช้ VR เพื่อศึกษาการตัดสินใจ การเรียนรู้ หรือแม้แต่การพัฒนาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรในอนาคต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความก้าวหน้าของโครงการฝึกหนูเล่น Doom ➡️ หนูสามารถเคลื่อนไหวและยิงศัตรูในเกมได้จริง ➡️ ใช้ระบบ VR จอ AMOLED โอบรอบสายตา ✅ วิธีการฝึกและการตอบสนอง ➡️ ใช้การให้รางวัลด้วยน้ำหวานเมื่อทำถูกต้อง ➡️ ใช้การเป่าลมเบา ๆ เพื่อบอกการชนกำแพง ✅ ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบ ➡️ ลูกบอลทรงกลมทำหน้าที่เป็นลู่วิ่ง ➡️ ระบบเปิด (open-source) ให้นำไปต่อยอดได้ ✅ ความหมายต่อการวิจัยอนาคต ➡️ เกมเอนจินเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่น ➡️ เปิดทางสู่การศึกษาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักร ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ หนูไม่ได้เข้าใจเกมในเชิงกลยุทธ์หรือเป้าหมายจริง ⛔ การฝึกใช้เวลานานและต้องการการออกแบบที่ซับซ้อน ⛔ อาจมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมการใช้สัตว์ทดลอง https://www.tomshardware.com/virtual-reality/rats-are-still-being-taught-to-play-doom-now-with-a-curved-amoled-and-a-shoot-button
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงตั้ง ลองสักครั้งจะติดใจ #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ของดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #noodle #food #eat #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    ✨ร้านก๋วยเตี๋ยวลุงตั้ง ลองสักครั้งจะติดใจ🥰 #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ของดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #noodle #food #eat #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • https://youtu.be/-6jBXU6kfP4?si=eRAo22ODeaqCcBe8
    https://youtu.be/-6jBXU6kfP4?si=eRAo22ODeaqCcBe8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar

    รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S
    เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า
    https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review

    มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร
    นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it

    ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA
    IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA
    https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function

    6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan

    Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่
    ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was

    Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era”
    Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all

    EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035
    สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035

    ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI”
    ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย
    https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture

    สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ
    นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่
    https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know

    AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime”
    ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า
    https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it



    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar 🖥️ รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review 💻 มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it 🔌 ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA 🔗 https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function 🤖 6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan 🚗 Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่ ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was 🖌️ Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era” Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all 🚗 EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035 🤖 ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI” ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture 🛂 สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know ⚙️ AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime” ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    I tested the HHKB Professional Classic Type-S — a niche option for those prepared to learn a new keyboard layout to get Topre key mechanisms
    The HHKB Professional Classic Type-S is a radically deconstructed keyboard design that focuses on compact layout rather than easy adaptability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรฐานใหม่ SPHBM4 มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน

    JEDEC กำลังพัฒนา SPHBM4 ซึ่งเป็นการปรับปรุงจาก HBM4 โดยลดความกว้างของบัสจาก 2048-bit เหลือ 512-bit แต่ใช้เทคนิค 4:1 serialization เพื่อรักษาแบนด์วิดท์เทียบเท่า HBM4 จุดเด่นคือสามารถใช้ substrate แบบ organic แทนการใช้ interposer ที่มีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบแพ็กเกจ

    ประสิทธิภาพและความจุ
    แม้จะลดความกว้างของบัส แต่ SPHBM4 ยังสามารถรองรับ ความจุสูงสุดต่อ stack ได้ถึง 64GB เทียบเท่ากับ HBM4E การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้ผลิต AI accelerators สามารถเพิ่มจำนวน stack ได้มากขึ้นโดยไม่เปลืองพื้นที่ซิลิคอน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการทั้ง compute power และ memory capacity

    ต้นทุนและข้อจำกัด
    แม้ SPHBM4 จะถูกกว่า HBM4 แต่ก็ยังมีต้นทุนสูงกว่า GDDR7 เนื่องจากต้องใช้ DRAM แบบ stacked และกระบวนการ TSV (Through-Silicon Via) ที่ซับซ้อน ทำให้ SPHBM4 ไม่ใช่ “GDDR killer” สำหรับตลาดเกม แต่เหมาะกับงาน AI, HPC และ data center ที่ต้องการความเร็วและความจุสูงมากกว่า

    ความหมายต่ออนาคตอุตสาหกรรม
    การเปิดตัว SPHBM4 แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมกำลังหาทาง บาลานซ์ระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน เพื่อให้เทคโนโลยี HBM เข้าถึงได้กว้างขึ้น หากมาตรฐานนี้ได้รับการยอมรับ อาจช่วยให้การพัฒนา AI accelerators และเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่มีความสามารถสูงขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    มาตรฐาน SPHBM4
    ใช้บัส 512-bit พร้อม 4:1 serialization เพื่อรักษาแบนด์วิดท์ระดับ HBM4

    ความจุสูงสุด
    รองรับได้ถึง 64GB ต่อ stack เทียบเท่า HBM4E

    ต้นทุนที่ลดลง
    ใช้ organic substrate แทน interposer ทำให้ราคาถูกลง

    การใช้งานที่เหมาะสม
    เหมาะกับ AI accelerators และ data center ไม่ใช่ตลาดเกม

    ข้อจำกัดด้านต้นทุน
    แม้ถูกกว่า HBM4 แต่ยังแพงกว่า GDDR7 สำหรับตลาด consumer

    ความท้าทายด้านการผลิต
    การใช้ TSV และ stacked DRAM ยังคงซับซ้อนและไม่เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/industry-preps-cheap-hbm4-memory-spec-with-narrow-interface-but-it-isnt-a-gddr-killer-jedecs-new-sphbm4-spec-weds-hbm4-performance-and-lower-costs-to-enable-higher-capacity
    💡 มาตรฐานใหม่ SPHBM4 มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน JEDEC กำลังพัฒนา SPHBM4 ซึ่งเป็นการปรับปรุงจาก HBM4 โดยลดความกว้างของบัสจาก 2048-bit เหลือ 512-bit แต่ใช้เทคนิค 4:1 serialization เพื่อรักษาแบนด์วิดท์เทียบเท่า HBM4 จุดเด่นคือสามารถใช้ substrate แบบ organic แทนการใช้ interposer ที่มีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบแพ็กเกจ 🚀 ประสิทธิภาพและความจุ แม้จะลดความกว้างของบัส แต่ SPHBM4 ยังสามารถรองรับ ความจุสูงสุดต่อ stack ได้ถึง 64GB เทียบเท่ากับ HBM4E การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้ผลิต AI accelerators สามารถเพิ่มจำนวน stack ได้มากขึ้นโดยไม่เปลืองพื้นที่ซิลิคอน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในยุคที่การประมวลผล AI ต้องการทั้ง compute power และ memory capacity ⚡ ต้นทุนและข้อจำกัด แม้ SPHBM4 จะถูกกว่า HBM4 แต่ก็ยังมีต้นทุนสูงกว่า GDDR7 เนื่องจากต้องใช้ DRAM แบบ stacked และกระบวนการ TSV (Through-Silicon Via) ที่ซับซ้อน ทำให้ SPHBM4 ไม่ใช่ “GDDR killer” สำหรับตลาดเกม แต่เหมาะกับงาน AI, HPC และ data center ที่ต้องการความเร็วและความจุสูงมากกว่า 🔮 ความหมายต่ออนาคตอุตสาหกรรม การเปิดตัว SPHBM4 แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมกำลังหาทาง บาลานซ์ระหว่างประสิทธิภาพและต้นทุน เพื่อให้เทคโนโลยี HBM เข้าถึงได้กว้างขึ้น หากมาตรฐานนี้ได้รับการยอมรับ อาจช่วยให้การพัฒนา AI accelerators และเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่มีความสามารถสูงขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ มาตรฐาน SPHBM4 ➡️ ใช้บัส 512-bit พร้อม 4:1 serialization เพื่อรักษาแบนด์วิดท์ระดับ HBM4 ✅ ความจุสูงสุด ➡️ รองรับได้ถึง 64GB ต่อ stack เทียบเท่า HBM4E ✅ ต้นทุนที่ลดลง ➡️ ใช้ organic substrate แทน interposer ทำให้ราคาถูกลง ✅ การใช้งานที่เหมาะสม ➡️ เหมาะกับ AI accelerators และ data center ไม่ใช่ตลาดเกม ‼️ ข้อจำกัดด้านต้นทุน ⛔ แม้ถูกกว่า HBM4 แต่ยังแพงกว่า GDDR7 สำหรับตลาด consumer ‼️ ความท้าทายด้านการผลิต ⛔ การใช้ TSV และ stacked DRAM ยังคงซับซ้อนและไม่เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/industry-preps-cheap-hbm4-memory-spec-with-narrow-interface-but-it-isnt-a-gddr-killer-jedecs-new-sphbm4-spec-weds-hbm4-performance-and-lower-costs-to-enable-higher-capacity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mod OptiScale บังคับใช้ FSR Redstone

    ผู้ใช้ใน Reddit ได้เผยแพร่การทดสอบ OptiScaler (pre-alpha build) ที่สามารถบังคับให้เกมเก่า เช่น Monster Hunter Wilds ใช้ฟีเจอร์ FSR Redstone ML Frame Generation ซึ่งปกติรองรับเฉพาะเกมใหม่ที่มีการอัปเดต FSR ล่าสุด การทำงานของ Mod คือการดักจับคำสั่งการสร้างเฟรมของเกม แล้วส่งต่อไปยังระบบ FSR รุ่นใหม่แทน

    คุณภาพภาพที่ดีขึ้น
    การทดสอบพบว่า Redstone ML Frame Generation ให้ภาพที่ เสถียรกว่า ลด ghosting และ artifact เมื่อเทียบกับการสร้างเฟรมแบบเดิมที่ใช้การคาดเดาเชิง heuristic เท่านั้น โดย Redstone ใช้ โมเดล Machine Learning ที่ประเมินจาก motion vectors และ depth data เพื่อสร้างเฟรมใหม่ที่สมจริงกว่า

    ความเสี่ยงและข้อจำกัด
    แม้ผลลัพธ์จะน่าประทับใจ แต่ OptiScaler เป็น ซอฟต์แวร์ภายนอกที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก AMD และมีคำเตือนว่าห้ามใช้ในเกมออนไลน์ที่มีระบบ anti-cheat เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกแบน อีกทั้งยังไม่แน่ชัดว่าฟีเจอร์นี้จะทำงานได้กับ GPU รุ่นเก่าทั้งหมดหรือไม่ เนื่องจาก AMD ตั้งใจให้ Redstone ใช้กับการ์ดรุ่นใหม่เท่านั้น

    ความพยายามของชุมชนเกมเมอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงความพยายามของชุมชนเกมเมอร์ที่ต้องการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เข้าถึงเกมที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตอย่างเป็นทางการ และอาจเป็นแรงกดดันให้ AMD พิจารณาเปิดการรองรับ Redstone ให้กว้างขึ้นในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Mod OptiScaler
    บังคับให้เกมเก่าใช้งาน FSR Redstone ML Frame Generation

    คุณภาพภาพที่ดีขึ้น
    ลด ghosting และ artifact ด้วยการใช้ ML สร้างเฟรมใหม่

    ความเสี่ยงของการใช้งาน
    อาจถูกแบนหากใช้ในเกมออนไลน์ที่มีระบบ anti-cheat

    ความพยายามของชุมชน
    แสดงถึงแรงผลักดันของผู้เล่นที่อยากใช้เทคโนโลยีใหม่ในเกมเก่า

    ข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    ไม่แน่ชัดว่า GPU รุ่นเก่าจะรองรับได้เต็มที่

    ความไม่เป็นทางการของ Mod
    ไม่มีการรับประกันเสถียรภาพและความปลอดภัยจาก AMD

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/community-mod-forces-amds-new-redstone-ml-frame-generation-into-older-fsr-games
    🎮 Mod OptiScale บังคับใช้ FSR Redstone ผู้ใช้ใน Reddit ได้เผยแพร่การทดสอบ OptiScaler (pre-alpha build) ที่สามารถบังคับให้เกมเก่า เช่น Monster Hunter Wilds ใช้ฟีเจอร์ FSR Redstone ML Frame Generation ซึ่งปกติรองรับเฉพาะเกมใหม่ที่มีการอัปเดต FSR ล่าสุด การทำงานของ Mod คือการดักจับคำสั่งการสร้างเฟรมของเกม แล้วส่งต่อไปยังระบบ FSR รุ่นใหม่แทน 🖼️ คุณภาพภาพที่ดีขึ้น การทดสอบพบว่า Redstone ML Frame Generation ให้ภาพที่ เสถียรกว่า ลด ghosting และ artifact เมื่อเทียบกับการสร้างเฟรมแบบเดิมที่ใช้การคาดเดาเชิง heuristic เท่านั้น โดย Redstone ใช้ โมเดล Machine Learning ที่ประเมินจาก motion vectors และ depth data เพื่อสร้างเฟรมใหม่ที่สมจริงกว่า ⚠️ ความเสี่ยงและข้อจำกัด แม้ผลลัพธ์จะน่าประทับใจ แต่ OptiScaler เป็น ซอฟต์แวร์ภายนอกที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก AMD และมีคำเตือนว่าห้ามใช้ในเกมออนไลน์ที่มีระบบ anti-cheat เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกแบน อีกทั้งยังไม่แน่ชัดว่าฟีเจอร์นี้จะทำงานได้กับ GPU รุ่นเก่าทั้งหมดหรือไม่ เนื่องจาก AMD ตั้งใจให้ Redstone ใช้กับการ์ดรุ่นใหม่เท่านั้น 🔮 ความพยายามของชุมชนเกมเมอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงความพยายามของชุมชนเกมเมอร์ที่ต้องการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เข้าถึงเกมที่ยังไม่ได้รับการอัปเดตอย่างเป็นทางการ และอาจเป็นแรงกดดันให้ AMD พิจารณาเปิดการรองรับ Redstone ให้กว้างขึ้นในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Mod OptiScaler ➡️ บังคับให้เกมเก่าใช้งาน FSR Redstone ML Frame Generation ✅ คุณภาพภาพที่ดีขึ้น ➡️ ลด ghosting และ artifact ด้วยการใช้ ML สร้างเฟรมใหม่ ✅ ความเสี่ยงของการใช้งาน ➡️ อาจถูกแบนหากใช้ในเกมออนไลน์ที่มีระบบ anti-cheat ✅ ความพยายามของชุมชน ➡️ แสดงถึงแรงผลักดันของผู้เล่นที่อยากใช้เทคโนโลยีใหม่ในเกมเก่า ‼️ ข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ ⛔ ไม่แน่ชัดว่า GPU รุ่นเก่าจะรองรับได้เต็มที่ ‼️ ความไม่เป็นทางการของ Mod ⛔ ไม่มีการรับประกันเสถียรภาพและความปลอดภัยจาก AMD https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/community-mod-forces-amds-new-redstone-ml-frame-generation-into-older-fsr-games
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดี Do Kwon ฉ้อโกงคริปโตครั้งใหญ่

    Do Kwon ผู้นำโครงการ Terra และเหรียญ UST Stablecoin ถูกศาลสหรัฐฯ ตัดสินจำคุก 15 ปี หลังจากการล่มสลายของ UST ในปี 2022 ที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อผู้ลงทุนทั่วโลก คดีนี้ถือเป็นหนึ่งใน การฉ้อโกงคริปโตครั้งใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 40–60 พันล้านดอลลาร์

    กลไกที่ล้มเหลว
    UST ถูกออกแบบให้มีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ระบบ “burn-mint” ระหว่างเหรียญ UST และ LUNA แต่เมื่อเกิดแรงขายจำนวนมาก กลไกนี้กลับสร้าง LUNA อย่างมหาศาลจนมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ UST สูญเสียการตรึงค่า (depeg) และเข้าสู่ death spiral ที่ไม่สามารถหยุดได้

    การหลอกลวงนักลงทุน
    ศาลพบว่า Do Kwon บิดเบือนข้อมูล โดยอ้างว่า Terra Protocol จะสามารถรักษาเสถียรภาพของ UST ได้ แต่แท้จริงแล้วเขาใช้บริษัทเทรดความถี่สูง (HFT) ซื้อ UST จำนวนมากเพื่อพยุงราคาอย่างไม่โปร่งใส อีกทั้งแพลตฟอร์ม Anchor ที่เกี่ยวข้องยังสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 20% APY ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ไม่ยั่งยืน

    ผลกระทบต่อวงการคริปโต
    การล่มสลายของ Terra และการตัดสินจำคุกครั้งนี้สะท้อนถึง ความเสี่ยงของการลงทุนในคริปโตที่ขาดการกำกับดูแล และเป็นบทเรียนสำคัญให้ทั้งนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกต้องเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การตัดสินจำคุก Do Kwon
    โทษจำคุก 15 ปี จากคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน

    กลไก UST ที่ล้มเหลว
    ระบบ burn-mint ทำให้เกิดการสร้าง LUNA มหาศาลและมูลค่าลดลง

    การบิดเบือนข้อมูล
    Terra Protocol ถูกอ้างว่าจะรักษาเสถียรภาพ แต่แท้จริงใช้การซื้อขายเพื่อพยุงราคา

    ผลกระทบต่อวงการคริปโต
    เป็นบทเรียนสำคัญต่อการกำกับดูแลและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

    ความเสี่ยงของ Stablecoin
    หากไม่มีสินทรัพย์รองรับจริง อาจเกิดการล่มสลายแบบ UST

    การลงทุนที่ขาดการตรวจสอบ
    ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น 20% APY อาจเป็นสัญญาณเตือนของการฉ้อโกง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/usd40-billion-plus-crypto-fraud-scheme-results-in-15-year-prison-sentence-for-its-creator-nine-criminal-counts-include-wire-fraud-and-money-laundering
    ⚖️ คดี Do Kwon ฉ้อโกงคริปโตครั้งใหญ่ Do Kwon ผู้นำโครงการ Terra และเหรียญ UST Stablecoin ถูกศาลสหรัฐฯ ตัดสินจำคุก 15 ปี หลังจากการล่มสลายของ UST ในปี 2022 ที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อผู้ลงทุนทั่วโลก คดีนี้ถือเป็นหนึ่งใน การฉ้อโกงคริปโตครั้งใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 40–60 พันล้านดอลลาร์ 💰 กลไกที่ล้มเหลว UST ถูกออกแบบให้มีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ระบบ “burn-mint” ระหว่างเหรียญ UST และ LUNA แต่เมื่อเกิดแรงขายจำนวนมาก กลไกนี้กลับสร้าง LUNA อย่างมหาศาลจนมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ UST สูญเสียการตรึงค่า (depeg) และเข้าสู่ death spiral ที่ไม่สามารถหยุดได้ 🏦 การหลอกลวงนักลงทุน ศาลพบว่า Do Kwon บิดเบือนข้อมูล โดยอ้างว่า Terra Protocol จะสามารถรักษาเสถียรภาพของ UST ได้ แต่แท้จริงแล้วเขาใช้บริษัทเทรดความถี่สูง (HFT) ซื้อ UST จำนวนมากเพื่อพยุงราคาอย่างไม่โปร่งใส อีกทั้งแพลตฟอร์ม Anchor ที่เกี่ยวข้องยังสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 20% APY ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ไม่ยั่งยืน 🌍 ผลกระทบต่อวงการคริปโต การล่มสลายของ Terra และการตัดสินจำคุกครั้งนี้สะท้อนถึง ความเสี่ยงของการลงทุนในคริปโตที่ขาดการกำกับดูแล และเป็นบทเรียนสำคัญให้ทั้งนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกต้องเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การตัดสินจำคุก Do Kwon ➡️ โทษจำคุก 15 ปี จากคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน ✅ กลไก UST ที่ล้มเหลว ➡️ ระบบ burn-mint ทำให้เกิดการสร้าง LUNA มหาศาลและมูลค่าลดลง ✅ การบิดเบือนข้อมูล ➡️ Terra Protocol ถูกอ้างว่าจะรักษาเสถียรภาพ แต่แท้จริงใช้การซื้อขายเพื่อพยุงราคา ✅ ผลกระทบต่อวงการคริปโต ➡️ เป็นบทเรียนสำคัญต่อการกำกับดูแลและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ‼️ ความเสี่ยงของ Stablecoin ⛔ หากไม่มีสินทรัพย์รองรับจริง อาจเกิดการล่มสลายแบบ UST ‼️ การลงทุนที่ขาดการตรวจสอบ ⛔ ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น 20% APY อาจเป็นสัญญาณเตือนของการฉ้อโกง https://www.tomshardware.com/tech-industry/usd40-billion-plus-crypto-fraud-scheme-results-in-15-year-prison-sentence-for-its-creator-nine-criminal-counts-include-wire-fraud-and-money-laundering
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • การโจมตีไซเบอร์ที่โยงถึง GRU

    รัฐบาลเยอรมนีประกาศว่ามีหลักฐานชัดเจนเชื่อมโยง APT28 หรือ Fancy Bear ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้ GRU กับการโจมตีระบบ Deutsche Flugsicherung บริษัทควบคุมการบินพลเรือนของเยอรมนีในปี 2024 แม้การบินไม่หยุดชะงัก แต่ระบบภายในและการสื่อสารได้รับผลกระทบอย่างหนัก

    การแทรกแซงการเลือกตั้ง
    อีกกรณีคือปฏิบัติการชื่อ Storm-1516 ที่พยายามแทรกแซงการเลือกตั้งสหพันธรัฐเยอรมนีในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 โดยใช้ ดีปเฟกเสียงและวิดีโอ รวมถึงเว็บไซต์ที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่ภายหลังถูกใช้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและสร้างความสับสนในสังคม

    ปฏิกิริยาทางการทูตและมาตรการตอบโต้
    เยอรมนีจึงเรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียเข้าพบ พร้อมประกาศว่าจะมี มาตรการคว่ำบาตรและการตอบโต้ร่วมกับพันธมิตรยุโรป เช่น การอายัดทรัพย์บุคคลที่เกี่ยวข้อง การห้ามเดินทาง และการเพิ่มมาตรการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    บทเรียนด้านความมั่นคงไซเบอร์
    เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า สงครามสมัยใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่ในสนามรบ แต่ขยายไปสู่โลกไซเบอร์ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น การบินและการเลือกตั้ง สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศต้องลงทุนด้านความมั่นคงไซเบอร์มากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การโจมตีระบบการบินเยอรมนี
    APT28 หรือ Fancy Bear ถูกเชื่อมโยงกับ GRU ในการโจมตี Deutsche Flugsicherung

    การแทรกแซงการเลือกตั้ง
    ปฏิบัติการ Storm-1516 ใช้ดีปเฟกและเว็บไซต์บิดเบือนข้อมูล

    มาตรการตอบโต้ของเยอรมนี
    เรียกทูตรัสเซียเข้าพบ และเตรียมคว่ำบาตรร่วมกับพันธมิตรยุโรป

    บทเรียนด้านความมั่นคงไซเบอร์
    การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเป็นภัยคุกคามระดับชาติ

    ความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐาน
    ระบบควบคุมการบินและการเลือกตั้งอาจถูกโจมตีซ้ำหากไม่เสริมความปลอดภัย

    การใช้เทคโนโลยีบิดเบือนข้อมูล
    ดีปเฟกและเว็บไซต์ปลอมสามารถสร้างความแตกแยกในสังคมและบ่อนทำลายประชาธิปไตย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/germany-summons-russian-ambassador-over-gru-linked-cyberattacks-on-atc-and-elections
    ⚔️ การโจมตีไซเบอร์ที่โยงถึง GRU รัฐบาลเยอรมนีประกาศว่ามีหลักฐานชัดเจนเชื่อมโยง APT28 หรือ Fancy Bear ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้ GRU กับการโจมตีระบบ Deutsche Flugsicherung บริษัทควบคุมการบินพลเรือนของเยอรมนีในปี 2024 แม้การบินไม่หยุดชะงัก แต่ระบบภายในและการสื่อสารได้รับผลกระทบอย่างหนัก 🗳️ การแทรกแซงการเลือกตั้ง อีกกรณีคือปฏิบัติการชื่อ Storm-1516 ที่พยายามแทรกแซงการเลือกตั้งสหพันธรัฐเยอรมนีในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 โดยใช้ ดีปเฟกเสียงและวิดีโอ รวมถึงเว็บไซต์ที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่ภายหลังถูกใช้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและสร้างความสับสนในสังคม 🌍 ปฏิกิริยาทางการทูตและมาตรการตอบโต้ เยอรมนีจึงเรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียเข้าพบ พร้อมประกาศว่าจะมี มาตรการคว่ำบาตรและการตอบโต้ร่วมกับพันธมิตรยุโรป เช่น การอายัดทรัพย์บุคคลที่เกี่ยวข้อง การห้ามเดินทาง และการเพิ่มมาตรการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 🔐 บทเรียนด้านความมั่นคงไซเบอร์ เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า สงครามสมัยใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่ในสนามรบ แต่ขยายไปสู่โลกไซเบอร์ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น การบินและการเลือกตั้ง สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศต้องลงทุนด้านความมั่นคงไซเบอร์มากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การโจมตีระบบการบินเยอรมนี ➡️ APT28 หรือ Fancy Bear ถูกเชื่อมโยงกับ GRU ในการโจมตี Deutsche Flugsicherung ✅ การแทรกแซงการเลือกตั้ง ➡️ ปฏิบัติการ Storm-1516 ใช้ดีปเฟกและเว็บไซต์บิดเบือนข้อมูล ✅ มาตรการตอบโต้ของเยอรมนี ➡️ เรียกทูตรัสเซียเข้าพบ และเตรียมคว่ำบาตรร่วมกับพันธมิตรยุโรป ✅ บทเรียนด้านความมั่นคงไซเบอร์ ➡️ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเป็นภัยคุกคามระดับชาติ ‼️ ความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ ระบบควบคุมการบินและการเลือกตั้งอาจถูกโจมตีซ้ำหากไม่เสริมความปลอดภัย ‼️ การใช้เทคโนโลยีบิดเบือนข้อมูล ⛔ ดีปเฟกและเว็บไซต์ปลอมสามารถสร้างความแตกแยกในสังคมและบ่อนทำลายประชาธิปไตย https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/germany-summons-russian-ambassador-over-gru-linked-cyberattacks-on-atc-and-elections
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Germany summons Russian ambassador over GRU-linked cyberattacks — air traffic control and elections systems targeted
    Berlin says it has clear evidence tying Russia’s military intelligence agency to a 2024 attack on aviation IT systems 2025 election interference.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • การหายตัวไปของผู้สร้าง Bitcoin

    เมื่อปี 2010–2011 บุคคลลึกลับที่ใช้นามแฝง Satoshi Nakamoto ได้หยุดการสื่อสารกับชุมชนคริปโต หลังจากสร้าง Bitcoin และวางรากฐานระบบบล็อกเชนที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล ข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “I’ve moved on to other things” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก

    ผลงานที่เปลี่ยนโลก
    Bitcoin ไม่เพียงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรก แต่ยังเป็นการปฏิวัติแนวคิดเรื่อง การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือรัฐบาล การออกแบบระบบ Proof-of-Work และบล็อกเชนที่โปร่งใสทำให้เกิดแรงบันดาลใจต่อคริปโตอื่น ๆ และต่อยอดไปสู่เทคโนโลยี Web3, NFT และ DeFi ในปัจจุบัน

    ปริศนาตัวตนที่ยังไม่คลี่คลาย
    แม้มีการคาดเดามากมายว่า Satoshi อาจเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่กลุ่มคน แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ตัวตนของเขายังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยี และยิ่งทำให้ตำนานของ Bitcoin มีเสน่ห์มากขึ้น

    มรดกที่ยังคงอยู่
    แม้ผู้สร้างจะหายไป แต่ Bitcoin ยังคงเติบโตและเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก สะท้อนถึงพลังของแนวคิดที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้างคอยควบคุม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การหายตัวไปของ Satoshi Nakamoto
    ทิ้งข้อความสุดท้ายว่า “I’ve moved on to other things”

    ผลงานที่เปลี่ยนโลก
    Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกและวางรากฐานบล็อกเชน

    ปริศนาตัวตน
    ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Satoshi เป็นใครจนถึงปัจจุบัน

    มรดกที่ยังคงอยู่
    Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก

    ความไม่แน่นอนของตัวตน
    การไม่รู้ว่าใครคือผู้สร้าง อาจทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือที่บิดเบือน

    ความเสี่ยงในตลาดคริปโต
    การขาดผู้นำที่ชัดเจนทำให้ Bitcoin ขึ้นอยู่กับแรงตลาดและการเก็งกำไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-creator-satoshi-disappeared-on-this-day-15-years-ago-leaving-a-final-public-message-ive-moved-on-to-other-things-true-identity-of-satoshi-nakamoto-entity-remains-unknown
    🕵️‍♂️ การหายตัวไปของผู้สร้าง Bitcoin เมื่อปี 2010–2011 บุคคลลึกลับที่ใช้นามแฝง Satoshi Nakamoto ได้หยุดการสื่อสารกับชุมชนคริปโต หลังจากสร้าง Bitcoin และวางรากฐานระบบบล็อกเชนที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล ข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้คือ “I’ve moved on to other things” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก 💻 ผลงานที่เปลี่ยนโลก Bitcoin ไม่เพียงเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรก แต่ยังเป็นการปฏิวัติแนวคิดเรื่อง การเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance) ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือรัฐบาล การออกแบบระบบ Proof-of-Work และบล็อกเชนที่โปร่งใสทำให้เกิดแรงบันดาลใจต่อคริปโตอื่น ๆ และต่อยอดไปสู่เทคโนโลยี Web3, NFT และ DeFi ในปัจจุบัน 🌍 ปริศนาตัวตนที่ยังไม่คลี่คลาย แม้มีการคาดเดามากมายว่า Satoshi อาจเป็นนักพัฒนาจากญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่กลุ่มคน แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ตัวตนของเขายังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเทคโนโลยี และยิ่งทำให้ตำนานของ Bitcoin มีเสน่ห์มากขึ้น 📈 มรดกที่ยังคงอยู่ แม้ผู้สร้างจะหายไป แต่ Bitcoin ยังคงเติบโตและเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดในโลก สะท้อนถึงพลังของแนวคิดที่ถูกวางไว้ตั้งแต่แรก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องมีผู้สร้างคอยควบคุม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การหายตัวไปของ Satoshi Nakamoto ➡️ ทิ้งข้อความสุดท้ายว่า “I’ve moved on to other things” ✅ ผลงานที่เปลี่ยนโลก ➡️ Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกและวางรากฐานบล็อกเชน ✅ ปริศนาตัวตน ➡️ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า Satoshi เป็นใครจนถึงปัจจุบัน ✅ มรดกที่ยังคงอยู่ ➡️ Bitcoin ยังคงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ‼️ ความไม่แน่นอนของตัวตน ⛔ การไม่รู้ว่าใครคือผู้สร้าง อาจทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือที่บิดเบือน ‼️ ความเสี่ยงในตลาดคริปโต ⛔ การขาดผู้นำที่ชัดเจนทำให้ Bitcoin ขึ้นอยู่กับแรงตลาดและการเก็งกำไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-creator-satoshi-disappeared-on-this-day-15-years-ago-leaving-a-final-public-message-ive-moved-on-to-other-things-true-identity-of-satoshi-nakamoto-entity-remains-unknown
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดีฟ้องร้องยักษ์ใหญ่ชิปสหรัฐฯ

    เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในรัฐเท็กซัส ได้แก่ AMD, Intel และ Texas Instruments โดยกลุ่มพลเรือนยูเครน กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ละเลยการควบคุมการส่งออก ทำให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาถูกนำไปใช้ใน โดรนและขีปนาวุธรัสเซีย ที่โจมตีพลเรือนระหว่างปี 2023–2025 การฟ้องร้องใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น “merchants of death” หรือ “พ่อค้าแห่งความตาย” เพื่อชี้ถึงความรับผิดชอบทางศีลธรรมของบริษัทเหล่านี้

    ช่องโหว่การคว่ำบาตรและการเล็ดรอดของเทคโนโลยี
    แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรจะออกมาตรการคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2022 แต่รัสเซียยังคงหาช่องทางนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญผ่าน ตลาดสีเทาและบริษัทตัวกลางในต่างประเทศ เช่น จีน ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้ชิปที่ควรใช้ในอุปกรณ์พลเรือนกลับถูกนำไปใช้ในระบบนำทางและควบคุมของอาวุธร้ายแรง การสอบสวนพบว่า กว่า 95% ของขีปนาวุธและโดรนรัสเซียมีชิ้นส่วนตะวันตก

    ผลกระทบต่อพลเรือนยูเครน
    หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจคือการโจมตีโรงพยาบาลเด็ก Okhmatdyt ในกรุงเคียฟ ปี 2024 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยพบว่าขีปนาวุธที่ใช้มีชิ้นส่วนจากบริษัทสหรัฐฯ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าชิ้นส่วนที่ถูกละเลยการควบคุมสามารถสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์

    บทเรียนและความรับผิดชอบระดับโลก
    คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการคว่ำบาตร แต่ยังตั้งคำถามถึง ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ หากศาลตัดสินให้บริษัทเหล่านี้มีความผิด อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่บังคับให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบเส้นทางการส่งออกมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การฟ้องร้องบริษัทชิปสหรัฐฯ
    AMD, Intel และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่าชิ้นส่วนของพวกเขาถูกใช้ในอาวุธรัสเซีย

    ช่องโหว่การคว่ำบาตร
    รัสเซียใช้บริษัทตัวกลางในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงมาตรการและนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ

    ผลกระทบต่อพลเรือน
    เหตุโจมตีโรงพยาบาลเด็กในเคียฟปี 2024 เป็นตัวอย่างการใช้ชิ้นส่วนตะวันตกในอาวุธ

    ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยี
    หากคดีนี้ชนะ อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการควบคุมการส่งออกทั่วโลก

    ความล้มเหลวของมาตรการคว่ำบาตร
    กว่า 95% ของอาวุธรัสเซียยังคงมีชิ้นส่วนตะวันตก แม้มีข้อห้ามแล้ว

    ความเสี่ยงต่อพลเรือน
    การละเลยการตรวจสอบเส้นทางชิ้นส่วนทำให้พลเรือนยูเครนยังคงตกเป็นเป้าการโจมตี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/amd-intel-and-ti-are-merchants-of-death-says-lawyer-representing-ukrainian-civilians-five-new-suits-complain-that-russian-drones-and-missiles-continue-to-use-high-tech-components-from-these-brands
    ⚖️ คดีฟ้องร้องยักษ์ใหญ่ชิปสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการฟ้องร้องบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในรัฐเท็กซัส ได้แก่ AMD, Intel และ Texas Instruments โดยกลุ่มพลเรือนยูเครน กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ละเลยการควบคุมการส่งออก ทำให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของพวกเขาถูกนำไปใช้ใน โดรนและขีปนาวุธรัสเซีย ที่โจมตีพลเรือนระหว่างปี 2023–2025 การฟ้องร้องใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น “merchants of death” หรือ “พ่อค้าแห่งความตาย” เพื่อชี้ถึงความรับผิดชอบทางศีลธรรมของบริษัทเหล่านี้ 🚀 ช่องโหว่การคว่ำบาตรและการเล็ดรอดของเทคโนโลยี แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรจะออกมาตรการคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2022 แต่รัสเซียยังคงหาช่องทางนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญผ่าน ตลาดสีเทาและบริษัทตัวกลางในต่างประเทศ เช่น จีน ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้ชิปที่ควรใช้ในอุปกรณ์พลเรือนกลับถูกนำไปใช้ในระบบนำทางและควบคุมของอาวุธร้ายแรง การสอบสวนพบว่า กว่า 95% ของขีปนาวุธและโดรนรัสเซียมีชิ้นส่วนตะวันตก 🏥 ผลกระทบต่อพลเรือนยูเครน หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจคือการโจมตีโรงพยาบาลเด็ก Okhmatdyt ในกรุงเคียฟ ปี 2024 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยพบว่าขีปนาวุธที่ใช้มีชิ้นส่วนจากบริษัทสหรัฐฯ นี่เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าชิ้นส่วนที่ถูกละเลยการควบคุมสามารถสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ 🌐 บทเรียนและความรับผิดชอบระดับโลก คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการคว่ำบาตร แต่ยังตั้งคำถามถึง ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยีในสงครามสมัยใหม่ หากศาลตัดสินให้บริษัทเหล่านี้มีความผิด อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่บังคับให้ผู้ผลิตเทคโนโลยีทั่วโลกต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบเส้นทางการส่งออกมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การฟ้องร้องบริษัทชิปสหรัฐฯ ➡️ AMD, Intel และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่าชิ้นส่วนของพวกเขาถูกใช้ในอาวุธรัสเซีย ✅ ช่องโหว่การคว่ำบาตร ➡️ รัสเซียใช้บริษัทตัวกลางในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงมาตรการและนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อพลเรือน ➡️ เหตุโจมตีโรงพยาบาลเด็กในเคียฟปี 2024 เป็นตัวอย่างการใช้ชิ้นส่วนตะวันตกในอาวุธ ✅ ความรับผิดชอบของบริษัทเทคโนโลยี ➡️ หากคดีนี้ชนะ อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการควบคุมการส่งออกทั่วโลก ‼️ ความล้มเหลวของมาตรการคว่ำบาตร ⛔ กว่า 95% ของอาวุธรัสเซียยังคงมีชิ้นส่วนตะวันตก แม้มีข้อห้ามแล้ว ‼️ ความเสี่ยงต่อพลเรือน ⛔ การละเลยการตรวจสอบเส้นทางชิ้นส่วนทำให้พลเรือนยูเครนยังคงตกเป็นเป้าการโจมตี https://www.tomshardware.com/pc-components/amd-intel-and-ti-are-merchants-of-death-says-lawyer-representing-ukrainian-civilians-five-new-suits-complain-that-russian-drones-and-missiles-continue-to-use-high-tech-components-from-these-brands
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • “หนีโฆษณาและการติดตามด้วย Dumb TV – คู่มือจาก Ars Technica”

    Smart TV ในปัจจุบันมักมาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ฝังโฆษณาและฟังก์ชันติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ทำให้หลายคนเริ่มมองหา Dumb TV หรือทางเลือกอื่นที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม Dumb TV กลายเป็นสินค้าที่หายาก เนื่องจากผู้ผลิตทีวีส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากโฆษณาและข้อมูลผู้ใช้

    หนึ่งในคำแนะนำหลักคือการใช้ Apple TV box แทนระบบ Smart TV โดย Apple มีชื่อเสียงด้านการรักษาข้อมูลในระบบปิด และไม่มีฟังก์ชัน Automatic Content Recognition (ACR) ที่คอยติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ดู นอกจากนี้ Apple TV ยังรองรับการสตรีม 4K/HDR ได้อย่างเสถียรและใช้งานง่ายสำหรับทุกคนในบ้าน

    สำหรับผู้ที่ยังอยากได้ Dumb TV จริง ๆ แบรนด์อย่าง Emerson, Westinghouse และ Sceptre ยังมีจำหน่าย แต่คุณภาพภาพและเสียงมักด้อยกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ๆ เช่น ไม่มี OLED หรือความละเอียดสูง อีกทางเลือกคือการใช้ โปรเจ็กเตอร์ หรือ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและให้คุณภาพภาพที่ดีในบางกรณี

    นอกจากนี้ บทความยังแนะนำการใช้ Home Theater PC (HTPC) หรือแม้แต่ เสาอากาศทีวี (TV Antenna) เพื่อดูช่องฟรีโดยไม่ถูกติดตาม ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งที่ดูได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโฆษณาของ Smart TV

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Smart TV มักมีโฆษณาและระบบติดตามผู้ใช้
    Apple TV เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย
    Dumb TV ยังมีจำหน่ายจาก Emerson, Westinghouse, Sceptre แต่คุณภาพด้อยกว่า
    โปรเจ็กเตอร์และมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอีกทางเลือกที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    HTPC และเสาอากาศทีวีช่วยให้ดูคอนเทนต์โดยไม่ถูกติดตาม

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    Apple TV ไม่มี ACR และมีชื่อเสียงด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว
    โปรเจ็กเตอร์ที่รองรับ HDCP 2.2 สามารถฉายภาพ 4K/HDR ได้
    เสาอากาศทีวีสมัยใหม่มีดีไซน์บางและสามารถรับช่องดิจิทัลได้หลากหลาย

    คำเตือน
    Dumb TV คุณภาพภาพและเสียงต่ำกว่า Smart TV รุ่นใหม่
    โปรเจ็กเตอร์ต้องใช้ห้องมืดและพื้นที่มาก
    มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ไม่มีฟังก์ชันทีวี เช่น TV tuner
    เสาอากาศทีวีไม่รองรับ 4K/HDR และอาจมีปัญหาสัญญาณในบางพื้นที่

    https://arstechnica.com/gadgets/2025/12/the-ars-technica-guide-to-dumb-tvs/
    📺 “หนีโฆษณาและการติดตามด้วย Dumb TV – คู่มือจาก Ars Technica” Smart TV ในปัจจุบันมักมาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ฝังโฆษณาและฟังก์ชันติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ทำให้หลายคนเริ่มมองหา Dumb TV หรือทางเลือกอื่นที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม Dumb TV กลายเป็นสินค้าที่หายาก เนื่องจากผู้ผลิตทีวีส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากโฆษณาและข้อมูลผู้ใช้ หนึ่งในคำแนะนำหลักคือการใช้ Apple TV box แทนระบบ Smart TV โดย Apple มีชื่อเสียงด้านการรักษาข้อมูลในระบบปิด และไม่มีฟังก์ชัน Automatic Content Recognition (ACR) ที่คอยติดตามสิ่งที่ผู้ใช้ดู นอกจากนี้ Apple TV ยังรองรับการสตรีม 4K/HDR ได้อย่างเสถียรและใช้งานง่ายสำหรับทุกคนในบ้าน สำหรับผู้ที่ยังอยากได้ Dumb TV จริง ๆ แบรนด์อย่าง Emerson, Westinghouse และ Sceptre ยังมีจำหน่าย แต่คุณภาพภาพและเสียงมักด้อยกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ๆ เช่น ไม่มี OLED หรือความละเอียดสูง อีกทางเลือกคือการใช้ โปรเจ็กเตอร์ หรือ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและให้คุณภาพภาพที่ดีในบางกรณี นอกจากนี้ บทความยังแนะนำการใช้ Home Theater PC (HTPC) หรือแม้แต่ เสาอากาศทีวี (TV Antenna) เพื่อดูช่องฟรีโดยไม่ถูกติดตาม ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมสิ่งที่ดูได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบโฆษณาของ Smart TV 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Smart TV มักมีโฆษณาและระบบติดตามผู้ใช้ ➡️ Apple TV เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย ➡️ Dumb TV ยังมีจำหน่ายจาก Emerson, Westinghouse, Sceptre แต่คุณภาพด้อยกว่า ➡️ โปรเจ็กเตอร์และมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอีกทางเลือกที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ HTPC และเสาอากาศทีวีช่วยให้ดูคอนเทนต์โดยไม่ถูกติดตาม ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ Apple TV ไม่มี ACR และมีชื่อเสียงด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ โปรเจ็กเตอร์ที่รองรับ HDCP 2.2 สามารถฉายภาพ 4K/HDR ได้ ➡️ เสาอากาศทีวีสมัยใหม่มีดีไซน์บางและสามารถรับช่องดิจิทัลได้หลากหลาย ‼️ คำเตือน ⛔ Dumb TV คุณภาพภาพและเสียงต่ำกว่า Smart TV รุ่นใหม่ ⛔ โปรเจ็กเตอร์ต้องใช้ห้องมืดและพื้นที่มาก ⛔ มอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ไม่มีฟังก์ชันทีวี เช่น TV tuner ⛔ เสาอากาศทีวีไม่รองรับ 4K/HDR และอาจมีปัญหาสัญญาณในบางพื้นที่ https://arstechnica.com/gadgets/2025/12/the-ars-technica-guide-to-dumb-tvs/
    ARSTECHNICA.COM
    How to break free from smart TV ads and tracking
    Sick of smart TVs? Here are your best options.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI เปิดตัวระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI”

    OpenAI ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Skills ลงใน ChatGPT และ Codex CLI โดยแนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Anthropic ที่เปิดตัวระบบคล้ายกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “Skill” คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ทำให้โมเดลสามารถใช้งานได้เหมือนปลั๊กอินที่เพิ่มความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การทำงานกับสเปรดชีต ไฟล์ Word หรือ PDF

    ใน ChatGPT ระบบ Skills ถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์ /home/oai/skills ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านการสั่งงาน ตัวอย่างเช่นการสร้าง PDF ที่มีการสรุปข้อมูล โดยโมเดลจะอ่านไฟล์ skill.md เพื่อทำตามแนวทางการสร้างเอกสาร และยังสามารถปรับแต่งผลลัพธ์ เช่น เปลี่ยนฟอนต์เมื่อพบว่ามีปัญหากับตัวอักษรพิเศษ

    สำหรับ Codex CLI มีการเพิ่มการรองรับ Skills ผ่านการตั้งค่าในโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินใหม่ได้ง่าย ๆ เช่น การสร้างปลั๊กอิน Datasette ที่เพิ่มฟังก์ชัน cowsay โดยเพียงแค่ใส่โค้ดลงในโฟลเดอร์และเปิดใช้งานด้วยคำสั่ง --enable skills

    สิ่งที่น่าสนใจคือ OpenAI เลือกใช้วิธีการประมวลผล PDF โดยแปลงเป็นภาพ PNG ต่อหน้า แล้วส่งให้โมเดลที่รองรับ Vision วิเคราะห์ เพื่อรักษารูปแบบและกราฟิกที่อาจสูญหายหากใช้การดึงข้อความเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามในการทำให้โมเดลเข้าใจข้อมูลเชิงโครงสร้างและภาพมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    OpenAI เพิ่มระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI
    Skills คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม
    ChatGPT ใช้ Skills ในการสร้างและจัดการเอกสาร เช่น PDF, DOCX, Spreadsheets
    Codex CLI รองรับการติดตั้งปลั๊กอินใหม่ผ่านโฟลเดอร์ ~/.codex/skills

    ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet
    Anthropic เคยเปิดตัวระบบ Skills ก่อนหน้านี้ และ OpenAI นำแนวคิดมาใช้
    การแปลง PDF เป็น PNG ต่อหน้าเพื่อให้โมเดล Vision วิเคราะห์ เป็นวิธีรักษารูปแบบเอกสาร
    ระบบ Skills อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการขยายความสามารถของ LLM

    คำเตือน
    การใช้ Skills ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของปลั๊กอินที่ติดตั้งจากภายนอก
    หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดการใช้ Skills ที่มีโค้ดไม่ปลอดภัยหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
    การพึ่งพา Skills ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาดหรือสร้างผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

    https://simonwillison.net/2025/Dec/12/openai-skills/
    🤖 “OpenAI เปิดตัวระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI” OpenAI ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Skills ลงใน ChatGPT และ Codex CLI โดยแนวคิดนี้เริ่มต้นจาก Anthropic ที่เปิดตัวระบบคล้ายกันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “Skill” คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ทำให้โมเดลสามารถใช้งานได้เหมือนปลั๊กอินที่เพิ่มความสามารถเฉพาะด้าน เช่น การทำงานกับสเปรดชีต ไฟล์ Word หรือ PDF ใน ChatGPT ระบบ Skills ถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์ /home/oai/skills ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านการสั่งงาน ตัวอย่างเช่นการสร้าง PDF ที่มีการสรุปข้อมูล โดยโมเดลจะอ่านไฟล์ skill.md เพื่อทำตามแนวทางการสร้างเอกสาร และยังสามารถปรับแต่งผลลัพธ์ เช่น เปลี่ยนฟอนต์เมื่อพบว่ามีปัญหากับตัวอักษรพิเศษ สำหรับ Codex CLI มีการเพิ่มการรองรับ Skills ผ่านการตั้งค่าในโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินใหม่ได้ง่าย ๆ เช่น การสร้างปลั๊กอิน Datasette ที่เพิ่มฟังก์ชัน cowsay โดยเพียงแค่ใส่โค้ดลงในโฟลเดอร์และเปิดใช้งานด้วยคำสั่ง --enable skills สิ่งที่น่าสนใจคือ OpenAI เลือกใช้วิธีการประมวลผล PDF โดยแปลงเป็นภาพ PNG ต่อหน้า แล้วส่งให้โมเดลที่รองรับ Vision วิเคราะห์ เพื่อรักษารูปแบบและกราฟิกที่อาจสูญหายหากใช้การดึงข้อความเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามในการทำให้โมเดลเข้าใจข้อมูลเชิงโครงสร้างและภาพมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ OpenAI เพิ่มระบบ Skills ใน ChatGPT และ Codex CLI ➡️ Skills คือโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ Markdown และทรัพยากรเสริม ➡️ ChatGPT ใช้ Skills ในการสร้างและจัดการเอกสาร เช่น PDF, DOCX, Spreadsheets ➡️ Codex CLI รองรับการติดตั้งปลั๊กอินใหม่ผ่านโฟลเดอร์ ~/.codex/skills ✅ ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Internet ➡️ Anthropic เคยเปิดตัวระบบ Skills ก่อนหน้านี้ และ OpenAI นำแนวคิดมาใช้ ➡️ การแปลง PDF เป็น PNG ต่อหน้าเพื่อให้โมเดล Vision วิเคราะห์ เป็นวิธีรักษารูปแบบเอกสาร ➡️ ระบบ Skills อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการขยายความสามารถของ LLM ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้ Skills ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของปลั๊กอินที่ติดตั้งจากภายนอก ⛔ หากไม่มีการกำกับดูแล อาจเกิดการใช้ Skills ที่มีโค้ดไม่ปลอดภัยหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ⛔ การพึ่งพา Skills ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจทำให้โมเดลทำงานผิดพลาดหรือสร้างผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด https://simonwillison.net/2025/Dec/12/openai-skills/
    SIMONWILLISON.NET
    OpenAI are quietly adopting skills, now available in ChatGPT and Codex CLI
    One of the things that most excited me about Anthropic’s new Skills mechanism back in October is how easy it looked for other platforms to implement. A skill is just …
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • Aircela: น้ำมันเบนซินจากอากาศ

    บริษัท Aircela จากนิวยอร์กกำลังสร้างนวัตกรรมที่ดูเหมือนฝัน คือเครื่องจักรที่สามารถดึง คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็น น้ำมันเบนซินปลอดฟอสซิล เครื่องนี้มีขนาดประมาณ 6 ฟุตสูง และ 3 ฟุตกว้าง ใช้สารละลายน้ำผสมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ในการจับ CO₂ ก่อนจะแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน แล้วนำไฮโดรเจนกับ CO₂ มาสร้างเป็นเมทานอล และสุดท้ายแปรสภาพเป็นน้ำมันเบนซินที่ไม่มีสารพิษอย่างกำมะถันหรือโลหะหนัก

    ประสิทธิภาพและการทำงาน
    เครื่อง Aircela สามารถจับ CO₂ ได้ราว 10 กิโลกรัมต่อวัน และผลิตน้ำมันเบนซินได้ประมาณ 1 แกลลอนต่อวัน โดยมีถังเก็บเชื้อเพลิงได้ถึง 17 แกลลอน ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตน้ำมันเต็มถังสำหรับรถยนต์ทั่วไป แม้จะยังไม่เร็วพอสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาด

    ผลกระทบและความเป็นไปได้
    หากเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก จุดเด่นคือสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงน้ำมันเชื้อเพลิงยาก คล้ายกับการใช้ แผงโซลาร์เซลล์แบบโมดูลาร์ ที่สามารถเชื่อมต่อหลายเครื่องเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต

    แผนการในอนาคต
    Aircela ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 และหวังให้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้มีราคาสมเหตุสมผลใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินทั่วไป หากสำเร็จ จะเป็นการปฏิวัติวงการพลังงานและการเดินทาง โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังมองหาทางออกจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Aircela พัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันเบนซินจากอากาศ น้ำ และคาร์บอน
    เครื่องจับ CO₂ ได้ 10 กก./วัน ผลิตน้ำมัน 1 แกลลอน/วัน
    ถังเก็บได้ 17 แกลลอน ใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตเต็มถัง

    ผลกระทบ
    ลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล
    ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    ใช้งานได้ทั้งบ้านและพื้นที่ห่างไกล

    อนาคต
    ตั้งเป้าเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026
    ราคาน้ำมันสะอาดใกล้เคียงกับน้ำมันทั่วไป

    คำเตือน
    ปริมาณการผลิตยังน้อย ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในตอนนี้
    ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เชื้อเพลิงเต็มถัง
    ยังไม่เปิดเผยต้นทุนเครื่องและราคาน้ำมันที่ผลิตได้

    https://www.slashgear.com/2048896/ev-alternative-clean-fuel-aircela-gas-from-air-water-carbon/
    🌱 Aircela: น้ำมันเบนซินจากอากาศ บริษัท Aircela จากนิวยอร์กกำลังสร้างนวัตกรรมที่ดูเหมือนฝัน คือเครื่องจักรที่สามารถดึง คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็น น้ำมันเบนซินปลอดฟอสซิล เครื่องนี้มีขนาดประมาณ 6 ฟุตสูง และ 3 ฟุตกว้าง ใช้สารละลายน้ำผสมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ในการจับ CO₂ ก่อนจะแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน แล้วนำไฮโดรเจนกับ CO₂ มาสร้างเป็นเมทานอล และสุดท้ายแปรสภาพเป็นน้ำมันเบนซินที่ไม่มีสารพิษอย่างกำมะถันหรือโลหะหนัก ⚙️ ประสิทธิภาพและการทำงาน เครื่อง Aircela สามารถจับ CO₂ ได้ราว 10 กิโลกรัมต่อวัน และผลิตน้ำมันเบนซินได้ประมาณ 1 แกลลอนต่อวัน โดยมีถังเก็บเชื้อเพลิงได้ถึง 17 แกลลอน ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตน้ำมันเต็มถังสำหรับรถยนต์ทั่วไป แม้จะยังไม่เร็วพอสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาด 🌐 ผลกระทบและความเป็นไปได้ หากเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก จุดเด่นคือสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงน้ำมันเชื้อเพลิงยาก คล้ายกับการใช้ แผงโซลาร์เซลล์แบบโมดูลาร์ ที่สามารถเชื่อมต่อหลายเครื่องเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 🔮 แผนการในอนาคต Aircela ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 และหวังให้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้มีราคาสมเหตุสมผลใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินทั่วไป หากสำเร็จ จะเป็นการปฏิวัติวงการพลังงานและการเดินทาง โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังมองหาทางออกจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Aircela พัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันเบนซินจากอากาศ น้ำ และคาร์บอน ➡️ เครื่องจับ CO₂ ได้ 10 กก./วัน ผลิตน้ำมัน 1 แกลลอน/วัน ➡️ ถังเก็บได้ 17 แกลลอน ใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตเต็มถัง ✅ ผลกระทบ ➡️ ลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล ➡️ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➡️ ใช้งานได้ทั้งบ้านและพื้นที่ห่างไกล ✅ อนาคต ➡️ ตั้งเป้าเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 ➡️ ราคาน้ำมันสะอาดใกล้เคียงกับน้ำมันทั่วไป ‼️ คำเตือน ⛔ ปริมาณการผลิตยังน้อย ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในตอนนี้ ⛔ ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เชื้อเพลิงเต็มถัง ⛔ ยังไม่เปิดเผยต้นทุนเครื่องและราคาน้ำมันที่ผลิตได้ https://www.slashgear.com/2048896/ev-alternative-clean-fuel-aircela-gas-from-air-water-carbon/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Ambitious Startup Says Its Machine Can Make Gasoline Out Of Thin Air - SlashGear
    A New York-based company called Aircela says its machine is able to capture 10 kilograms of CO2 and convert it into one gallon of gasoline each day.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPhone 17 กับจอ Ceramic Shield 2

    Apple เปิดตัว iPhone 17 พร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม ProMotion 120Hz ในรุ่นพื้นฐาน และใช้กระจก Ceramic Shield 2 ที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้นถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ที่ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นแม้ในที่มีแสงจ้า เช่น กลางแดดหรือไฟในร่ม

    ปัญหาของฟิล์มกันรอยทั่วไป
    แม้คุณสมบัติใหม่นี้จะน่าสนใจ แต่หากผู้ใช้ติด ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไป คุณสมบัติ Anti-reflective จะถูกทำลายทันที เพราะแสงสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวฟิล์มแทนที่จะถูกลดทอนโดยกระจก Ceramic Shield 2 เอง ทำให้ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้หายไป

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ต้องการปกป้องหน้าจอและยังคงใช้ฟีเจอร์ Anti-reflective ได้ อาจเลือกใช้ ฟิล์มกันรอยแบบ Matte หรือ Anti-glare ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับการเคลือบกันสะท้อน อย่างไรก็ตาม ฟิล์มประเภทนี้อาจทำให้หน้าจอดู “ฟุ้ง” หรือมีความคมชัดลดลงเล็กน้อย

    ข้อควรระวัง
    หากต้องการใช้คุณสมบัติใหม่นี้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง การปกป้องหน้าจอด้วยฟิล์ม หรือ การใช้งานหน้าจอเปล่าเพื่อคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความสะดวกของแต่ละคน

    สรุปสาระสำคัญ

    ข้อมูลจากข่าว
    iPhone 17 ใช้ Ceramic Shield 2
    มีคุณสมบัติ Anti-reflective coating
    ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นในที่สว่าง

    ข้อจำกัด
    ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไปทำให้ฟีเจอร์นี้หายไป
    ฟิล์ม Matte/Anti-glare ใช้แทนได้ แต่ลดความคมชัด

    ทางเลือกผู้ใช้
    ใช้ฟิล์ม Matte เพื่อรักษาคุณสมบัติ
    หรือไม่ใช้ฟิล์มเพื่อคุณภาพสูงสุด

    คำเตือน
    การใช้ฟิล์มทั่วไปทำให้ฟีเจอร์ Anti-reflective ไร้ประโยชน์
    ฟิล์ม Matte อาจทำให้ภาพไม่คมชัดเท่าหน้าจอเปล่า

    https://www.slashgear.com/2048768/iphone-17-anti-reflective-display-wont-work-traditional-screen-protector/
    📱 iPhone 17 กับจอ Ceramic Shield 2 Apple เปิดตัว iPhone 17 พร้อมการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม ProMotion 120Hz ในรุ่นพื้นฐาน และใช้กระจก Ceramic Shield 2 ที่มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้นถึง 3 เท่า อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ที่ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นแม้ในที่มีแสงจ้า เช่น กลางแดดหรือไฟในร่ม 🛡️ ปัญหาของฟิล์มกันรอยทั่วไป แม้คุณสมบัติใหม่นี้จะน่าสนใจ แต่หากผู้ใช้ติด ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไป คุณสมบัติ Anti-reflective จะถูกทำลายทันที เพราะแสงสะท้อนจะเกิดขึ้นบนผิวฟิล์มแทนที่จะถูกลดทอนโดยกระจก Ceramic Shield 2 เอง ทำให้ประโยชน์ของฟีเจอร์นี้หายไป 🌐 ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ผู้ใช้ที่ต้องการปกป้องหน้าจอและยังคงใช้ฟีเจอร์ Anti-reflective ได้ อาจเลือกใช้ ฟิล์มกันรอยแบบ Matte หรือ Anti-glare ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับการเคลือบกันสะท้อน อย่างไรก็ตาม ฟิล์มประเภทนี้อาจทำให้หน้าจอดู “ฟุ้ง” หรือมีความคมชัดลดลงเล็กน้อย ⚠️ ข้อควรระวัง หากต้องการใช้คุณสมบัติใหม่นี้อย่างเต็มที่ ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง การปกป้องหน้าจอด้วยฟิล์ม หรือ การใช้งานหน้าจอเปล่าเพื่อคุณภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความสะดวกของแต่ละคน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ iPhone 17 ใช้ Ceramic Shield 2 ➡️ มีคุณสมบัติ Anti-reflective coating ➡️ ช่วยให้หน้าจออ่านง่ายขึ้นในที่สว่าง ✅ ข้อจำกัด ➡️ ฟิล์มกันรอยแบบกระจกทั่วไปทำให้ฟีเจอร์นี้หายไป ➡️ ฟิล์ม Matte/Anti-glare ใช้แทนได้ แต่ลดความคมชัด ✅ ทางเลือกผู้ใช้ ➡️ ใช้ฟิล์ม Matte เพื่อรักษาคุณสมบัติ ➡️ หรือไม่ใช้ฟิล์มเพื่อคุณภาพสูงสุด ‼️คำเตือน ⛔ การใช้ฟิล์มทั่วไปทำให้ฟีเจอร์ Anti-reflective ไร้ประโยชน์ ⛔ ฟิล์ม Matte อาจทำให้ภาพไม่คมชัดเท่าหน้าจอเปล่า https://www.slashgear.com/2048768/iphone-17-anti-reflective-display-wont-work-traditional-screen-protector/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This iPhone 17 Feature Won't Work If You Use A Traditional Screen Protector - SlashGear
    There are a number of new and notable features on the latest model of iPhone, but one feature can actually be rendered useless by a simple screen protector.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราเตอร์ 2.4 GHz: เทคโนโลยีจากอดีต

    เราเตอร์ 2.4 GHz เริ่มใช้แพร่หลายตั้งแต่ปี 1999 กับมาตรฐาน 802.11b ที่ให้ความเร็วเพียง 11 Mbps ก่อนจะพัฒนาเป็น 802.11g ที่ 54 Mbps และรุ่นใหม่ ๆ ที่โฆษณาความเร็วสูงกว่า แต่ในความเป็นจริงมักไม่เกิน 100 Mbps เทียบกับเราเตอร์ 5 GHz ที่ทำได้ถึง 1 Gbps และ Wi-Fi 7 (6 GHz) ที่สูงถึง 2 Gbps ทำให้ 2.4 GHz-only ถูกจัดว่า “ล้าสมัย”

    ปัญหาที่พบในยุคปัจจุบัน
    แม้ยังใช้งานได้ แต่ 2.4 GHz มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำ, สัญญาณแออัด เพราะอุปกรณ์จำนวนมากใช้คลื่นนี้ เช่น กล้องวงจรปิด, IoT, เครื่องไมโครเวฟ และ การรบกวนในอพาร์ตเมนต์ ที่มีหลายเครือข่ายทับกัน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งคือ สัญญาณทะลุกำแพงได้ดีกว่า ทำให้ยังมีประโยชน์ในบางสถานการณ์

    ทางเลือกและการใช้งานใหม่
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรทิ้ง 2.4 GHz ไปเลย แต่ควรใช้ เราเตอร์ Dual-band หรือ Tri-band ที่รองรับทั้ง 2.4 GHz และ 5/6 GHz เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์รุ่นเก่าและ IoT ที่ยังต้องใช้สัญญาณนี้ อีกทั้งเราเตอร์ 2.4 GHz เก่า ๆ ยังสามารถนำมาใช้เป็น Wi-Fi Extender สำหรับพื้นที่สัญญาณอ่อน แม้จะไม่เร็ว แต่ช่วยแก้ปัญหา “Dead Spot” ได้

    บทสรุป
    เราเตอร์ 2.4 GHz-only ไม่เหมาะจะเป็นศูนย์กลางเครือข่ายในบ้านสมัยใหม่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น สตรีมมิ่ง, เกมออนไลน์, Cloud Backup แต่ยังมีคุณค่าในฐานะอุปกรณ์เสริมสำหรับ IoT หรือการขยายสัญญาณ หากต้องการความเร็วและเสถียรภาพ ควรเลือกเราเตอร์รุ่นใหม่ที่รองรับหลายย่านความถี่

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    2.4 GHz เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1999 (802.11b)
    ความเร็วจริงไม่เกิน ~100 Mbps
    5 GHz ทำได้ถึง 1 Gbps, Wi-Fi 7 ที่ 6 GHz ทำได้ 2 Gbps

    ข้อจำกัด
    ความเร็วต่ำ ไม่เหมาะกับงานหนัก
    สัญญาณแออัดจาก IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้า
    รบกวนมากในอพาร์ตเมนต์

    การใช้งานใหม่
    ใช้กับ IoT และอุปกรณ์เก่า
    นำมาเป็น Wi-Fi Extender
    เลือกเราเตอร์ Dual/Tri-band สำหรับบ้านสมัยใหม่

    คำเตือน
    ไม่ควรใช้ 2.4 GHz-only เป็นเราเตอร์หลัก
    บ้านที่มีการใช้งานหนักจะเจอปัญหาความเร็วและเสถียรภาพ

    https://www.slashgear.com/2048268/wifi-router-type-outdated-2-point-4-ghz-only/
    📡 เราเตอร์ 2.4 GHz: เทคโนโลยีจากอดีต เราเตอร์ 2.4 GHz เริ่มใช้แพร่หลายตั้งแต่ปี 1999 กับมาตรฐาน 802.11b ที่ให้ความเร็วเพียง 11 Mbps ก่อนจะพัฒนาเป็น 802.11g ที่ 54 Mbps และรุ่นใหม่ ๆ ที่โฆษณาความเร็วสูงกว่า แต่ในความเป็นจริงมักไม่เกิน 100 Mbps เทียบกับเราเตอร์ 5 GHz ที่ทำได้ถึง 1 Gbps และ Wi-Fi 7 (6 GHz) ที่สูงถึง 2 Gbps ทำให้ 2.4 GHz-only ถูกจัดว่า “ล้าสมัย” ⚠️ ปัญหาที่พบในยุคปัจจุบัน แม้ยังใช้งานได้ แต่ 2.4 GHz มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ความเร็วต่ำ, สัญญาณแออัด เพราะอุปกรณ์จำนวนมากใช้คลื่นนี้ เช่น กล้องวงจรปิด, IoT, เครื่องไมโครเวฟ และ การรบกวนในอพาร์ตเมนต์ ที่มีหลายเครือข่ายทับกัน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งคือ สัญญาณทะลุกำแพงได้ดีกว่า ทำให้ยังมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ 🔧 ทางเลือกและการใช้งานใหม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไม่ควรทิ้ง 2.4 GHz ไปเลย แต่ควรใช้ เราเตอร์ Dual-band หรือ Tri-band ที่รองรับทั้ง 2.4 GHz และ 5/6 GHz เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์รุ่นเก่าและ IoT ที่ยังต้องใช้สัญญาณนี้ อีกทั้งเราเตอร์ 2.4 GHz เก่า ๆ ยังสามารถนำมาใช้เป็น Wi-Fi Extender สำหรับพื้นที่สัญญาณอ่อน แม้จะไม่เร็ว แต่ช่วยแก้ปัญหา “Dead Spot” ได้ 🌐 บทสรุป เราเตอร์ 2.4 GHz-only ไม่เหมาะจะเป็นศูนย์กลางเครือข่ายในบ้านสมัยใหม่ที่มีการใช้งานหนัก เช่น สตรีมมิ่ง, เกมออนไลน์, Cloud Backup แต่ยังมีคุณค่าในฐานะอุปกรณ์เสริมสำหรับ IoT หรือการขยายสัญญาณ หากต้องการความเร็วและเสถียรภาพ ควรเลือกเราเตอร์รุ่นใหม่ที่รองรับหลายย่านความถี่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ 2.4 GHz เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1999 (802.11b) ➡️ ความเร็วจริงไม่เกิน ~100 Mbps ➡️ 5 GHz ทำได้ถึง 1 Gbps, Wi-Fi 7 ที่ 6 GHz ทำได้ 2 Gbps ✅ ข้อจำกัด ➡️ ความเร็วต่ำ ไม่เหมาะกับงานหนัก ➡️ สัญญาณแออัดจาก IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้า ➡️ รบกวนมากในอพาร์ตเมนต์ ✅ การใช้งานใหม่ ➡️ ใช้กับ IoT และอุปกรณ์เก่า ➡️ นำมาเป็น Wi-Fi Extender ➡️ เลือกเราเตอร์ Dual/Tri-band สำหรับบ้านสมัยใหม่ ‼️ คำเตือน ⛔ ไม่ควรใช้ 2.4 GHz-only เป็นเราเตอร์หลัก ⛔ บ้านที่มีการใช้งานหนักจะเจอปัญหาความเร็วและเสถียรภาพ https://www.slashgear.com/2048268/wifi-router-type-outdated-2-point-4-ghz-only/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Ancient Router Type Is Considered Outdated - Do You Still Use It? - SlashGear
    WiFi routers are an essential part of any home networking setup, but artefacts from earlier times can clog your bandwidth and limit speeds.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    China Telecom Inner Mongolia Information Park ถูกกล่าวถึงว่าเป็น ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 10.7 ล้านตารางฟุต ตั้งอยู่ในเมือง Hohhot มณฑล Inner Mongolia ประเทศจีน โดยเป็นโครงการของ China Telecom บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีนที่มีศูนย์ข้อมูลหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    ข้อกังขาเรื่องขนาดจริง
    แม้จะมีการรายงานตัวเลขมหาศาล แต่การตรวจสอบด้วยภาพดาวเทียมโดยนักข่าวจาก Data Center Dynamics พบว่าพื้นที่จริงอาจเล็กกว่าที่ประกาศไว้มาก อาจมีเพียง 1 ล้านตารางฟุต ซึ่งยังถือว่าใหญ่ แต่ไม่ถึงระดับที่ถูกกล่าวอ้าง ข้อสันนิษฐานคือโครงการอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หรือถูกละทิ้งไปบางส่วน

    ศูนย์ข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ
    นอกจาก Inner Mongolia ยังมีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในจีน เช่น China Mobile Heilongjiang (7.1 ล้านตารางฟุต) และ Range International Hub Langfang (6.3 ล้านตารางฟุต) ส่วนในสหรัฐอเมริกา ศูนย์ข้อมูลของ Switch ที่ Las Vegas ครองสถิติ Guinness World Records ที่ 2.2 ล้านตารางฟุต แม้จะเป็นข้อมูลที่ไม่ได้อัปเดตมานานแล้ว

    ผลกระทบและความสำคัญ
    ศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเหล่านี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้น้ำจำนวนมหาศาล และการใช้พลังงานมหาศาลเพื่อระบายความร้อน ขณะเดียวกันก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รองรับบริการ Cloud, AI และการสื่อสารทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    China Telecom Inner Mongolia ถูกกล่าวว่าใหญ่ที่สุดในโลก
    รายงานพื้นที่กว่า 10.7 ล้านตารางฟุต
    มีศูนย์ข้อมูลอื่นในจีนและสหรัฐที่ใหญ่เช่นกัน

    ข้อกังขา
    ภาพดาวเทียมชี้ว่าพื้นที่จริงอาจเล็กกว่าที่ประกาศ
    โครงการอาจยังไม่เสร็จหรือถูกละทิ้งบางส่วน

    ผลกระทบ
    ใช้น้ำและพลังงานมหาศาล
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Cloud และ AI

    คำเตือน
    ตัวเลขที่รายงานอาจไม่ตรงกับความจริง
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรท้องถิ่น

    https://www.slashgear.com/2048539/largest-data-center-china-telecom-inner-mongolia-information-park/
    🏢 ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก China Telecom Inner Mongolia Information Park ถูกกล่าวถึงว่าเป็น ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 10.7 ล้านตารางฟุต ตั้งอยู่ในเมือง Hohhot มณฑล Inner Mongolia ประเทศจีน โดยเป็นโครงการของ China Telecom บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีนที่มีศูนย์ข้อมูลหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🔍 ข้อกังขาเรื่องขนาดจริง แม้จะมีการรายงานตัวเลขมหาศาล แต่การตรวจสอบด้วยภาพดาวเทียมโดยนักข่าวจาก Data Center Dynamics พบว่าพื้นที่จริงอาจเล็กกว่าที่ประกาศไว้มาก อาจมีเพียง 1 ล้านตารางฟุต ซึ่งยังถือว่าใหญ่ แต่ไม่ถึงระดับที่ถูกกล่าวอ้าง ข้อสันนิษฐานคือโครงการอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หรือถูกละทิ้งไปบางส่วน 🌐 ศูนย์ข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ นอกจาก Inner Mongolia ยังมีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ในจีน เช่น China Mobile Heilongjiang (7.1 ล้านตารางฟุต) และ Range International Hub Langfang (6.3 ล้านตารางฟุต) ส่วนในสหรัฐอเมริกา ศูนย์ข้อมูลของ Switch ที่ Las Vegas ครองสถิติ Guinness World Records ที่ 2.2 ล้านตารางฟุต แม้จะเป็นข้อมูลที่ไม่ได้อัปเดตมานานแล้ว ⚠️ ผลกระทบและความสำคัญ ศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเหล่านี้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้น้ำจำนวนมหาศาล และการใช้พลังงานมหาศาลเพื่อระบายความร้อน ขณะเดียวกันก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รองรับบริการ Cloud, AI และการสื่อสารทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ China Telecom Inner Mongolia ถูกกล่าวว่าใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ รายงานพื้นที่กว่า 10.7 ล้านตารางฟุต ➡️ มีศูนย์ข้อมูลอื่นในจีนและสหรัฐที่ใหญ่เช่นกัน ✅ ข้อกังขา ➡️ ภาพดาวเทียมชี้ว่าพื้นที่จริงอาจเล็กกว่าที่ประกาศ ➡️ โครงการอาจยังไม่เสร็จหรือถูกละทิ้งบางส่วน ✅ ผลกระทบ ➡️ ใช้น้ำและพลังงานมหาศาล ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ Cloud และ AI ‼️ คำเตือน ⛔ ตัวเลขที่รายงานอาจไม่ตรงกับความจริง ⛔ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรท้องถิ่น https://www.slashgear.com/2048539/largest-data-center-china-telecom-inner-mongolia-information-park/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Who Has The Biggest Data Center In The World? - SlashGear
    Data centers have become increasingly common around the world as the need for larger dedicated spaces crops up, but which one is the largest so far?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ใหม่ใน Linux Kernel

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ Use-After-Free (UAF) ในฟีเจอร์ io_uring ของ Linux Kernel ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกระบบ BPF Verifier ให้เชื่อว่าซอร์สโค้ดที่ไม่ปลอดภัยนั้นปลอดภัย ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงหน่วยความจำของ Kernel ได้โดยตรง และทำการ Container Escape ออกจากสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัดสิทธิ์

    กลไกการโจมตี
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดใน io_uring ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างเงื่อนไข Use-After-Free และใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบที่ผิดพลาดของ BPF Verifier เมื่อโค้ดที่ควรถูกบล็อกกลับถูกอนุญาตให้ทำงาน ผู้โจมตีจึงสามารถรันคำสั่งที่เข้าถึง Kernel Memory ได้โดยตรง ซึ่งเป็นการเปิดทางไปสู่การยกระดับสิทธิ์และการหลบหนีจาก Container

    ผลกระทบต่อระบบ
    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบอย่างมากต่อระบบที่ใช้ Linux Kernel เวอร์ชันใหม่ตั้งแต่ 5.4 ขึ้นไป โดยเฉพาะระบบ Cloud และ Container ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงฟีเจอร์ BPF หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root และเข้าถึงระบบ Host ได้ทันที ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน

    แนวทางป้องกัน
    ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบเวอร์ชัน Kernel ที่ใช้งาน และติดตั้ง Patch ล่าสุด จากทีมพัฒนา Linux รวมถึงการ ปิดการใช้งาน io_uring ชั่วคราว หากไม่จำเป็น และใช้เครื่องมือ eBPF Monitoring เช่น Falco หรือ Tetragon เพื่อตรวจจับการเรียกใช้งาน io_uring ที่ผิดปกติ

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่
    เกิดจาก Use-After-Free ใน io_uring
    ใช้หลอก BPF Verifier ให้ยอมรับโค้ดอันตราย

    ผลกระทบ
    เสี่ยงต่อการ Container Escape
    ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root

    แนวทางป้องกัน
    อัปเดต Kernel ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปิด io_uring หากไม่จำเป็น
    ใช้ eBPF Tools ตรวจสอบการเรียกใช้งานผิดปกติ

    คำเตือน
    ระบบ Cloud และ Container ที่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง BPF มีความเสี่ยงสูง
    หากไม่อัปเดต Kernel อาจถูกโจมตีและเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้

    https://securityonline.info/linux-kernel-io_uring-uaf-flaw-used-to-cheat-bpf-verifier-and-achieve-container-escape-poc-releases/
    🛡️ ช่องโหว่ใหม่ใน Linux Kernel นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยช่องโหว่ Use-After-Free (UAF) ในฟีเจอร์ io_uring ของ Linux Kernel ซึ่งถูกใช้เพื่อหลอกระบบ BPF Verifier ให้เชื่อว่าซอร์สโค้ดที่ไม่ปลอดภัยนั้นปลอดภัย ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงหน่วยความจำของ Kernel ได้โดยตรง และทำการ Container Escape ออกจากสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัดสิทธิ์ ⚙️ กลไกการโจมตี ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดใน io_uring ที่เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสร้างเงื่อนไข Use-After-Free และใช้ประโยชน์จากการตรวจสอบที่ผิดพลาดของ BPF Verifier เมื่อโค้ดที่ควรถูกบล็อกกลับถูกอนุญาตให้ทำงาน ผู้โจมตีจึงสามารถรันคำสั่งที่เข้าถึง Kernel Memory ได้โดยตรง ซึ่งเป็นการเปิดทางไปสู่การยกระดับสิทธิ์และการหลบหนีจาก Container 🌐 ผลกระทบต่อระบบ ช่องโหว่นี้มีผลกระทบอย่างมากต่อระบบที่ใช้ Linux Kernel เวอร์ชันใหม่ตั้งแต่ 5.4 ขึ้นไป โดยเฉพาะระบบ Cloud และ Container ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงฟีเจอร์ BPF หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root และเข้าถึงระบบ Host ได้ทันที ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน 🔧 แนวทางป้องกัน ผู้ดูแลระบบควรรีบตรวจสอบเวอร์ชัน Kernel ที่ใช้งาน และติดตั้ง Patch ล่าสุด จากทีมพัฒนา Linux รวมถึงการ ปิดการใช้งาน io_uring ชั่วคราว หากไม่จำเป็น และใช้เครื่องมือ eBPF Monitoring เช่น Falco หรือ Tetragon เพื่อตรวจจับการเรียกใช้งาน io_uring ที่ผิดปกติ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ เกิดจาก Use-After-Free ใน io_uring ➡️ ใช้หลอก BPF Verifier ให้ยอมรับโค้ดอันตราย ✅ ผลกระทบ ➡️ เสี่ยงต่อการ Container Escape ➡️ ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์เป็น root ✅ แนวทางป้องกัน ➡️ อัปเดต Kernel ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ ปิด io_uring หากไม่จำเป็น ➡️ ใช้ eBPF Tools ตรวจสอบการเรียกใช้งานผิดปกติ ‼️ คำเตือน ⛔ ระบบ Cloud และ Container ที่เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึง BPF มีความเสี่ยงสูง ⛔ หากไม่อัปเดต Kernel อาจถูกโจมตีและเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ https://securityonline.info/linux-kernel-io_uring-uaf-flaw-used-to-cheat-bpf-verifier-and-achieve-container-escape-poc-releases/
    SECURITYONLINE.INFO
    Linux Kernel io_uring UAF Flaw Used to Cheat BPF Verifier and Achieve Container Escape, PoC Releases
    A high-severity UAF (CVE-2025-40364) in Linux io_uring allows root RCE. Researchers demonstrated two kill chains: cheating the BPF verifier and using Dirty Pagetables for container escape. Patch immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “To” vs. “Too” vs. “Two”: Two Ways To Always Remember The Difference

    The words to, too, and two sound exactly alike but are used in completely different ways. They are classic examples of what we call homophones—words that are pronounced the same but have different meanings and spellings. Because they’re so similar, they often get mixed up in written language.

    In this article, we’ll give you everything you need to make sure you choose the right to, too, or too every time.

    Quick summary

    The extremely common word to is a preposition that can be used in many different ways, such as to indicate motion or direction toward something, as in Go to the store. The word too is an adverb most commonly meaning “also” (as in I’d like to go, too) or “to an excessive amount or degree” (as in Don’t add too much sugar). The word two is the number 2. The most common mistake involving the three words is using to when it should be too, or vice versa. So when you want to use to, don’t use too many o’s!

    to vs. too vs. two

    To is a very common word that performs many different functions, such as expressing direction (I’m driving to the office) or contact (Pin it to the wall), indicating an object or recipient (Give it to me), or setting a range (9 to 5) or limit (These go to 11).

    Too means “also” (I’m going, too) or “to an excessive degree” (too much). Two is the number 2.

    The words are used in very different ways: to is most commonly used as a preposition, while too is an adverb.

    Two is a number that can be used as a noun (I have two) or an adjective (two wheels).

    When to use to vs. too

    The most common mistake involving all three words is using to when it should be too, or vice versa.

    Here’s the best way to remember whether the spelling should be to or too: if you mean to, don’t use too many o’s!

    You can also remember that too means “also” because an extra o has tagged along, as if it had asked, “Can I come, too?”

    to late vs. too late

    When something doesn’t happen or someone or something doesn’t arrive or do something in time, we indicate this by using the set phrase too late, in which the adverb too indicates that an amount or degree has been exceeded.

    For example:

    - I’m sorry, I’m afraid you’re too late.
    - It was a case of too little too late.

    This doesn’t mean, however, that the words to and late will never appear next to each other in a sentence. It’s uncommon, but it can happen.

    For example: When I’m too late for the afternoon matinées, I like to have lunch, shop for a while, and go to late showings.

    Examples of how to use to, too, and two in a sentence
    - I tried to go to the movie, but I got to the theater too late.
    - My friend missed the show, too.
    - Tickets and popcorn cost too much anyway.
    - We went to get ice cream instead and the two of us both got three scoops—which was two scoops too many!

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    “To” vs. “Too” vs. “Two”: Two Ways To Always Remember The Difference The words to, too, and two sound exactly alike but are used in completely different ways. They are classic examples of what we call homophones—words that are pronounced the same but have different meanings and spellings. Because they’re so similar, they often get mixed up in written language. In this article, we’ll give you everything you need to make sure you choose the right to, too, or too every time. Quick summary The extremely common word to is a preposition that can be used in many different ways, such as to indicate motion or direction toward something, as in Go to the store. The word too is an adverb most commonly meaning “also” (as in I’d like to go, too) or “to an excessive amount or degree” (as in Don’t add too much sugar). The word two is the number 2. The most common mistake involving the three words is using to when it should be too, or vice versa. So when you want to use to, don’t use too many o’s! to vs. too vs. two To is a very common word that performs many different functions, such as expressing direction (I’m driving to the office) or contact (Pin it to the wall), indicating an object or recipient (Give it to me), or setting a range (9 to 5) or limit (These go to 11). Too means “also” (I’m going, too) or “to an excessive degree” (too much). Two is the number 2. The words are used in very different ways: to is most commonly used as a preposition, while too is an adverb. Two is a number that can be used as a noun (I have two) or an adjective (two wheels). When to use to vs. too The most common mistake involving all three words is using to when it should be too, or vice versa. Here’s the best way to remember whether the spelling should be to or too: if you mean to, don’t use too many o’s! You can also remember that too means “also” because an extra o has tagged along, as if it had asked, “Can I come, too?” to late vs. too late When something doesn’t happen or someone or something doesn’t arrive or do something in time, we indicate this by using the set phrase too late, in which the adverb too indicates that an amount or degree has been exceeded. For example: - I’m sorry, I’m afraid you’re too late. - It was a case of too little too late. This doesn’t mean, however, that the words to and late will never appear next to each other in a sentence. It’s uncommon, but it can happen. For example: When I’m too late for the afternoon matinées, I like to have lunch, shop for a while, and go to late showings. Examples of how to use to, too, and two in a sentence - I tried to go to the movie, but I got to the theater too late. - My friend missed the show, too. - Tickets and popcorn cost too much anyway. - We went to get ice cream instead and the two of us both got three scoops—which was two scoops too many! สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าวมันไก่สิงคโปร์เจินห่าวซือ Ep.2 ลองชิมเมนูข้าวมันหมูแดงฮ่องกง #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ของดีบอกต่อ #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #food #eat #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    ข้าวมันไก่สิงคโปร์เจินห่าวซือ Ep.2 ลองชิมเมนูข้าวมันหมูแดงฮ่องกง🥰 #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #อร่อยบอกต่อ #ของดีบอกต่อ #ต้องลอง #อาหาร #กิน #อร่อย #food #eat #thaifood #streetfood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Roxette ถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีป๊อปร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากสวีเดนในยุค 80s-90s โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1986 ที่เมืองฮาล์มสตัด ประเทศสวีเดน วงประกอบด้วยสมาชิกหลักสองคนคือ Marie Fredriksson นักร้องนำหญิงที่มีน้ำเสียงอันทรงพลังและเคยมีอาชีพเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จในสวีเดนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980 และ Per Gessle นักร้อง นักแต่งเพลง และมือกีตาร์ที่เคยโด่งดังกับวง Gyllene Tider ซึ่งเป็นวงร็อกสวีเดนที่ฮิตมากในประเทศบ้านเกิดตั้งแต่ปี 1979

    การรวมตัวของทั้งคู่เริ่มต้นจากความร่วมมือในโปรเจกต์เดี่ยวของ Marie ที่ Per เข้ามาช่วยแต่งเพลง “Neverending Love” ซึ่งกลายเป็นฮิตในสวีเดนปี 1986 และนำไปสู่การก่อตั้ง Roxette อย่างเป็นทางการ ชื่อวงได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง “Roxette” ของวงร็อกอังกฤษ Dr. Feelgood ซึ่ง Per ชื่นชอบเป็นพิเศษ。 ในช่วงแรก Roxette มุ่งเน้นตลาดสวีเดนและยุโรป โดยอัลบั้มแรก Pearls of Passion (1986) ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค แต่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาขยายสู่ตลาดนานาชาติด้วยอัลบั้ม Look Sharp! ในปี 1988 ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง “The Look” ที่ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาในปี 1989 และทำให้ Roxette กลายเป็นศิลปินสวีเดนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนับตั้งแต่ ABBA 。 วงออกอัลบั้มต่อเนื่องอย่าง Joyride (1991) ซึ่งมีเพลงฮิตอันดับ 1 อีกเพลงอย่าง “Joyride” และ “It Must Have Been Love” ที่ใช้ในภาพยนตร์ Pretty Woman ทำให้ยอดขายทะลุ 11 ล้านชุดทั่วโลก 。 Roxette มีช่วงหยุดพักในปี 2002 หลังจาก Marie ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมอง แต่พวกเขากลับมาร่วมงานกันในปี 2010 กับอัลบั้ม Charm School และทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก จนกระทั่ง Marie เสียชีวิตในปี 2019 ด้วยวัย 61 ปีจากโรคแทรกซ้อน。 หลังจากนั้น Per ได้ดำเนินโครงการต่อในชื่อ PG Roxette ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อรำลึกถึง Marie และรักษามรดกของวงไว้。 โดยรวม Roxette ขายอัลบั้มได้กว่า 75 ล้านชุดทั่วโลกและมีเพลงฮิตอันดับ 1 ในสหรัฐถึง 4 เพลง ซึ่งเป็นสถิติที่หาได้ยากสำหรับศิลปินที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ 。

    เพลง “Listen To Your Heart” เป็นหนึ่งในผลงานที่กำหนดเอกลักษณ์ของ Roxette โดยถูกเขียนขึ้นในปี 1988 และออกครั้งแรกในสวีเดนเดือนกันยายน 1988 ในฐานะซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม Look Sharp! ซึ่งผลิตโดย Clarence Öfwerman 。 Per Gessle ผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองหลัก ร่วมกับ Mats Persson มือกีตาร์จาก Gyllene Tider ได้รับแรงบันดาลใจจากบทสนทนายามดึกกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังเผชิญความรักที่ยุ่งยากและเจ็บปวด โดยเพื่อนคนนั้นถูกกดดันจากสังคมให้เลิกกับคนรัก 。 เพลงนี้มีโครงสร้างแบบบัลลาดป๊อปร็อก เริ่มต้นด้วยเปียโนช้า ๆ ก่อนเข้าสู่ส่วนกีตาร์และเสียงร้องอันไพเราะของ Marie ที่เพิ่มความเข้มข้นในท่อนคอรัส。 ในเวอร์ชันแรก เพลงนี้ได้รับความนิยมในสวีเดนและยุโรปเหนือ แต่การปรับแต่งสำหรับตลาดสหรัฐโดย Tom Keane ทำให้มันมีเวอร์ชันที่ยาวขึ้นและเน้นเสียงซินธ์มากกว่า。 น่าสนใจว่ามีการเปรียบเทียบกับเพลง “Alone” ของ Heart ในปี 1987 ซึ่งมีทำนองคล้ายกัน จน Roxette ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์บางส่วนให้ Heart แม้ Per จะยืนยันว่าเป็นเรื่องบังเอิญ。 เพลงนี้ถูกบันทึกที่สตูดิโอ EMI ในสตอกโฮล์ม และกลายเป็นส่วนสำคัญของอัลบั้ม Look Sharp! ที่มียอดขายกว่า 9 ล้านชุด。

    ในแง่ความหมาย เพลง “Listen To Your Heart” สื่อสารข้อความที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการฟังเสียงหัวใจตัวเองในเรื่องความรัก โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ถูกท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเห็นจากสังคม เพื่อนฝูง หรืออุปสรรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้คู่รักต้องแยกทาง 。 เนื้อเพลงอย่าง “I know there’s something in the wake of your smile / I get a notion from the look in your eyes” แสดงถึงการสังเกตสัญญาณความรักที่แท้จริง ก่อนที่จะเตือนว่า “Listen to your heart when he’s calling for you / Listen to your heart, there’s nothing else you can do”。 มันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจให้เชื่อมั่นในความรู้สึกภายใน แม้จะเจ็บปวดหรือสับสน และบางครั้งถูกตีความว่าเป็นการต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอกในความรักที่บริสุทธิ์。 ในบริบทกว้างขึ้น เพลงนี้ยังถูกนำไปประยุกต์กับธีมอื่น ๆ เช่น การต่อสู้กับโรคหัวใจหรือปัญหาสุขภาพส่วนตัวในยุคปัจจุบัน โดยบางคนมองว่ามันเป็นเพลงที่ให้แรงบันดาลใจในการ “ฟังหัวใจ” ในความหมายตามตัวอักษร 。 ความหมายนี้ทำให้เพลงคงความนิยมข้ามกาลเวลา และถูกนำไปใช้ในสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ โฆษณา และรายการทีวี。

    ความสำเร็จระดับโลกของ “Listen To Your Heart” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับ Roxette โดยเพลงนี้กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของปี 1989 ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 100 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 และครองตำแหน่งนั้น 1 สัปดาห์ รวมถึงขึ้นอันดับ 1 ในแคนาดาและติดชาร์ตสูงในยุโรป 。 มันเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 เพลงที่สองของ Roxette ในสหรัฐ ต่อจาก “The Look” และช่วยให้วงมีเพลงอันดับ 1 รวม 4 เพลงใน Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นสถิติที่ ABBA ยังไม่เคยทำได้ 。 ในออสเตรเลีย เพลงนี้ขึ้นอันดับ 10 ในชาร์ต ARIA เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1989 และเป็นส่วนหนึ่งของเพลงฮิตจากอัลบั้ม Look Sharp! ที่รวม “Dressed For Success” (อันดับ 3) และ “Dangerous” (อันดับ 9)。 ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากนักศึกษาชาวอเมริกันจากมินนิโซตาที่ศึกษาอยู่ในสวีเดนและนำเทปเพลงกลับไปโปรโมตในสถานีวิทยุท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การเซ็นสัญญากับ EMI ในสหรัฐและการบุกตลาดโลก 。 เพลงนี้ยังได้รับการรับรองแพลตตินัมในหลายประเทศและถูก cover โดยศิลปินอื่น ๆ เช่น เวอร์ชันแดนซ์ของ D.H.T. ในปี 2005 ที่ขึ้นอันดับ 8 ใน Billboard Hot 100 。 มรดกของเพลงนี้ยังคงอยู่ โดยถูกนำไปใช้ในวัฒนธรรมป๊อปและได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s ที่ช่วยกำหนดภาพลักษณ์ของ Roxette ในฐานะศิลปินสวีเดนที่บุกตลาดโลกได้สำเร็จ。

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=dpfbKWoBpRw
    😇 Roxette ถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีป๊อปร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากสวีเดนในยุค 80s-90s โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1986 ที่เมืองฮาล์มสตัด ประเทศสวีเดน วงประกอบด้วยสมาชิกหลักสองคนคือ Marie Fredriksson นักร้องนำหญิงที่มีน้ำเสียงอันทรงพลังและเคยมีอาชีพเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จในสวีเดนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980 และ Per Gessle นักร้อง นักแต่งเพลง และมือกีตาร์ที่เคยโด่งดังกับวง Gyllene Tider ซึ่งเป็นวงร็อกสวีเดนที่ฮิตมากในประเทศบ้านเกิดตั้งแต่ปี 1979 🎸 การรวมตัวของทั้งคู่เริ่มต้นจากความร่วมมือในโปรเจกต์เดี่ยวของ Marie ที่ Per เข้ามาช่วยแต่งเพลง “Neverending Love” ซึ่งกลายเป็นฮิตในสวีเดนปี 1986 และนำไปสู่การก่อตั้ง Roxette อย่างเป็นทางการ ชื่อวงได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง “Roxette” ของวงร็อกอังกฤษ Dr. Feelgood ซึ่ง Per ชื่นชอบเป็นพิเศษ。 ในช่วงแรก Roxette มุ่งเน้นตลาดสวีเดนและยุโรป โดยอัลบั้มแรก Pearls of Passion (1986) ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค แต่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาขยายสู่ตลาดนานาชาติด้วยอัลบั้ม Look Sharp! ในปี 1988 ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง “The Look” ที่ขึ้นอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาในปี 1989 และทำให้ Roxette กลายเป็นศิลปินสวีเดนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนับตั้งแต่ ABBA 。 วงออกอัลบั้มต่อเนื่องอย่าง Joyride (1991) ซึ่งมีเพลงฮิตอันดับ 1 อีกเพลงอย่าง “Joyride” และ “It Must Have Been Love” ที่ใช้ในภาพยนตร์ Pretty Woman ทำให้ยอดขายทะลุ 11 ล้านชุดทั่วโลก 。 Roxette มีช่วงหยุดพักในปี 2002 หลังจาก Marie ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมอง แต่พวกเขากลับมาร่วมงานกันในปี 2010 กับอัลบั้ม Charm School และทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก จนกระทั่ง Marie เสียชีวิตในปี 2019 ด้วยวัย 61 ปีจากโรคแทรกซ้อน。 หลังจากนั้น Per ได้ดำเนินโครงการต่อในชื่อ PG Roxette ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อรำลึกถึง Marie และรักษามรดกของวงไว้。 โดยรวม Roxette ขายอัลบั้มได้กว่า 75 ล้านชุดทั่วโลกและมีเพลงฮิตอันดับ 1 ในสหรัฐถึง 4 เพลง ซึ่งเป็นสถิติที่หาได้ยากสำหรับศิลปินที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ 。 🎶 เพลง “Listen To Your Heart” เป็นหนึ่งในผลงานที่กำหนดเอกลักษณ์ของ Roxette โดยถูกเขียนขึ้นในปี 1988 และออกครั้งแรกในสวีเดนเดือนกันยายน 1988 ในฐานะซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม Look Sharp! ซึ่งผลิตโดย Clarence Öfwerman 。 Per Gessle ผู้แต่งเนื้อร้องและทำนองหลัก ร่วมกับ Mats Persson มือกีตาร์จาก Gyllene Tider ได้รับแรงบันดาลใจจากบทสนทนายามดึกกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังเผชิญความรักที่ยุ่งยากและเจ็บปวด โดยเพื่อนคนนั้นถูกกดดันจากสังคมให้เลิกกับคนรัก 。 เพลงนี้มีโครงสร้างแบบบัลลาดป๊อปร็อก เริ่มต้นด้วยเปียโนช้า ๆ ก่อนเข้าสู่ส่วนกีตาร์และเสียงร้องอันไพเราะของ Marie ที่เพิ่มความเข้มข้นในท่อนคอรัส。 ในเวอร์ชันแรก เพลงนี้ได้รับความนิยมในสวีเดนและยุโรปเหนือ แต่การปรับแต่งสำหรับตลาดสหรัฐโดย Tom Keane ทำให้มันมีเวอร์ชันที่ยาวขึ้นและเน้นเสียงซินธ์มากกว่า。 น่าสนใจว่ามีการเปรียบเทียบกับเพลง “Alone” ของ Heart ในปี 1987 ซึ่งมีทำนองคล้ายกัน จน Roxette ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์บางส่วนให้ Heart แม้ Per จะยืนยันว่าเป็นเรื่องบังเอิญ。 เพลงนี้ถูกบันทึกที่สตูดิโอ EMI ในสตอกโฮล์ม และกลายเป็นส่วนสำคัญของอัลบั้ม Look Sharp! ที่มียอดขายกว่า 9 ล้านชุด。 💖 ในแง่ความหมาย เพลง “Listen To Your Heart” สื่อสารข้อความที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการฟังเสียงหัวใจตัวเองในเรื่องความรัก โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ถูกท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเห็นจากสังคม เพื่อนฝูง หรืออุปสรรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้คู่รักต้องแยกทาง 。 เนื้อเพลงอย่าง “I know there’s something in the wake of your smile / I get a notion from the look in your eyes” แสดงถึงการสังเกตสัญญาณความรักที่แท้จริง ก่อนที่จะเตือนว่า “Listen to your heart when he’s calling for you / Listen to your heart, there’s nothing else you can do”。 มันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจให้เชื่อมั่นในความรู้สึกภายใน แม้จะเจ็บปวดหรือสับสน และบางครั้งถูกตีความว่าเป็นการต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอกในความรักที่บริสุทธิ์。 ในบริบทกว้างขึ้น เพลงนี้ยังถูกนำไปประยุกต์กับธีมอื่น ๆ เช่น การต่อสู้กับโรคหัวใจหรือปัญหาสุขภาพส่วนตัวในยุคปัจจุบัน โดยบางคนมองว่ามันเป็นเพลงที่ให้แรงบันดาลใจในการ “ฟังหัวใจ” ในความหมายตามตัวอักษร 。 ความหมายนี้ทำให้เพลงคงความนิยมข้ามกาลเวลา และถูกนำไปใช้ในสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ โฆษณา และรายการทีวี。 🌍 ความสำเร็จระดับโลกของ “Listen To Your Heart” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับ Roxette โดยเพลงนี้กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของปี 1989 ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต Billboard Hot 100 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 และครองตำแหน่งนั้น 1 สัปดาห์ รวมถึงขึ้นอันดับ 1 ในแคนาดาและติดชาร์ตสูงในยุโรป 。 มันเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 เพลงที่สองของ Roxette ในสหรัฐ ต่อจาก “The Look” และช่วยให้วงมีเพลงอันดับ 1 รวม 4 เพลงใน Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นสถิติที่ ABBA ยังไม่เคยทำได้ 。 ในออสเตรเลีย เพลงนี้ขึ้นอันดับ 10 ในชาร์ต ARIA เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1989 และเป็นส่วนหนึ่งของเพลงฮิตจากอัลบั้ม Look Sharp! ที่รวม “Dressed For Success” (อันดับ 3) และ “Dangerous” (อันดับ 9)。 ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากนักศึกษาชาวอเมริกันจากมินนิโซตาที่ศึกษาอยู่ในสวีเดนและนำเทปเพลงกลับไปโปรโมตในสถานีวิทยุท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การเซ็นสัญญากับ EMI ในสหรัฐและการบุกตลาดโลก 。 เพลงนี้ยังได้รับการรับรองแพลตตินัมในหลายประเทศและถูก cover โดยศิลปินอื่น ๆ เช่น เวอร์ชันแดนซ์ของ D.H.T. ในปี 2005 ที่ขึ้นอันดับ 8 ใน Billboard Hot 100 。 มรดกของเพลงนี้ยังคงอยู่ โดยถูกนำไปใช้ในวัฒนธรรมป๊อปและได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s ที่ช่วยกำหนดภาพลักษณ์ของ Roxette ในฐานะศิลปินสวีเดนที่บุกตลาดโลกได้สำเร็จ。 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=dpfbKWoBpRw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar

    นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่”
    เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้
    https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears

    “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time
    ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why

    สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN
    ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children

    อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน
    รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data

    หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน
    งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions

    Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่
    สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา
    https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform

    กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง
    กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม
    https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware

    วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ
    ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี
    https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time

    รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด
    รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech

    Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11
    ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น
    https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store

    Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย
    เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
    https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia

    Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย
    แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที
    https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams

    EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware
    สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน
    https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition

    Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce
    https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm

    พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ
    https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools

    iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ
    Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย
    https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone

    AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต
    บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it

    YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย
    Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น
    https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades

    Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด
    Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง
    https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia

    แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้
    มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data

    AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก
    AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง
    https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp

    Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว
    Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง
    https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition

    อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์
    ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ
    https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud

    สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI
    รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ
    https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china

    ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด
    OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is

    AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน
    รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย
    https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims

    ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง”
    OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251213 #TechRadar 📰 นักลงทุนไต้หวันยังคงทุ่มกับ AI แม้มีเสียงเตือนเรื่อง “ฟองสบู่” เรื่องราวนี้เล่าถึงบรรยากาศการลงทุนในไต้หวันที่ยังคงคึกคัก แม้หลายฝ่ายกังวลว่า AI อาจกำลังสร้างฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นไต้หวันกลับพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี TWII มีแนวโน้มแตะ 30,000 จุดในปี 2026 ขณะที่หุ้น TSMC ก็ยังเติบโตแข็งแรงกว่า 39% ในปีนี้ จุดสำคัญคือไต้หวันถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักของสถาปัตยกรรม AI ไม่ว่าจะเป็นชิปจาก Nvidia, Google หรือเจ้าอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าตลาดจะเอนเอียงไปทางไหน ไต้หวันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าพอร์ตลงทุนในเอเชียยังพึ่งพา AI มากเกินไป หากเกิดการแกว่งตัวแรงก็อาจกระทบหนักได้ 🔗 https://www.techradar.com/pro/investors-still-doubling-down-on-ai-in-taiwan-despite-bubble-fears 👥 “สถาปนิกแห่ง AI” ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของ Time ปีนี้นิตยสาร Time ไม่ได้เลือกผู้นำประเทศหรือดารา แต่ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับกลุ่มผู้สร้าง AI ที่เปลี่ยนโลก ทั้ง Sam Altman จาก OpenAI, Jensen Huang จาก Nvidia และทีมงานจาก Google, Meta, Anthropic พวกเขาไม่เพียงสร้างเทคโนโลยี แต่ยังทำให้มันเข้าถึงได้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ ChatGPT ที่มีผู้ใช้กว่า 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ ไปจนถึง Copilot ของ Microsoft และ Gemini ของ Google ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ยังกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก เพราะชิปและโมเดล AI ถูกมองเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต่าง ๆ ต้องแข่งขันกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/the-architects-of-ai-are-times-person-of-the-year-heres-why 🔒 สภาขุนนางอังกฤษเสนอห้ามเด็กใช้ VPN ในสหราชอาณาจักร กลุ่มสมาชิกสภาขุนนางได้เสนอแก้ไขกฎหมาย Children’s Wellbeing and Schools Bill โดยต้องการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้ VPN หากผ่านการพิจารณา ผู้ให้บริการ VPN จะต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ด้วยวิธีที่ “มีประสิทธิภาพสูง” เช่น การยืนยันด้วยบัตรประชาชนหรือการสแกนใบหน้า ซึ่งแน่นอนว่าก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะ VPN ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว การบังคับตรวจสอบเช่นนี้อาจทำลายหลักการพื้นฐานของมันได้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/uk-lords-propose-ban-on-vpns-for-children 🇮🇳 อินเดียสั่ง VPN บล็อกเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลประชาชน รัฐบาลอินเดีย โดยกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (MeitY) ได้ออกคำสั่งให้ผู้ให้บริการ VPN ต้องบล็อกเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร และอีเมล โดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ แม้เจตนาจะเพื่อปกป้องข้อมูล แต่ก็ขัดกับหลักการของ VPN ที่ไม่เก็บบันทึกการใช้งานและเน้นความเป็นส่วนตัว หลายบริษัท VPN เคยถอนเซิร์ฟเวอร์ออกจากอินเดียมาแล้วตั้งแต่ปี 2022 เพราะไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้เก็บข้อมูลผู้ใช้ การสั่งการครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างการคุ้มครองข้อมูลกับสิทธิความเป็นส่วนตัวอีกครั้ง 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/india-orders-vpns-to-block-access-to-websites-that-unlawfully-expose-citizens-data ⚠️ หลอกลวงงานออนไลน์ “Task Scam” ทำเหยื่อสูญเงินนับล้าน งานวิจัยใหม่เผยว่ามีการหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Task Scam” หรือ “Gamified Job Scam” เพิ่มขึ้นถึง 485% ในปี 2025 วิธีการคือหลอกให้ผู้หางานทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น กดไลก์หรือรีวิวสินค้า แล้วจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะชักชวนให้โอนเงินหรือฝากคริปโตเพื่อทำงานต่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินได้ เหยื่อถูกหลอกให้ฝากเพิ่มเรื่อย ๆ จนสูญเงินรวมกว่า 6.8 ล้านดอลลาร์ในปีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากงานใดขอให้คุณจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงรายได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ควรหยุดทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/task-scams-are-tricking-thousands-costing-jobseekers-millions 🛡️ Pentagon เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ใหม่ สหรัฐฯ กำลังนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงเข้ามาใช้ในกองทัพ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มชื่อ GenAI.mil ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่กว่า 3 ล้านคนทั้งทหารและพลเรือนสามารถเข้าถึงโมเดล Gemini ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรัฐบาลได้ จุดประสงค์คือเพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังไว้ใช้งาน แต่ก็มีเสียงกังวลจากผู้เชี่ยวชาญว่าระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเทคนิค prompt injection ซึ่งอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูล ขณะเดียวกันพนักงาน Google ก็ยังคงเงียบ แม้ในอดีตเคยออกมาประท้วงการใช้เทคโนโลยีของบริษัทในงานด้านการทหารมาแล้วหลายครั้ง เรื่องนี้จึงเป็นทั้งความก้าวหน้าและความท้าทายที่ต้องจับตา 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/pentagon-launches-new-gemini-based-ai-platform 💻 กลุ่มแฮ็กเกอร์รัสเซีย CyberVolk กลับมาอีกครั้ง กลุ่ม CyberVolk ที่เคยหายไปจากวงการไซเบอร์ช่วงหนึ่ง ได้กลับมาเปิดบริการ ransomware-as-a-service ให้กับผู้สนใจผ่าน Telegram แต่การกลับมาครั้งนี้กลับไม่สมบูรณ์นัก เพราะเครื่องมือเข้ารหัสที่ใช้มีช่องโหว่ใหญ่ คือคีย์เข้ารหัสถูกฝังไว้ตายตัว ทำให้เหยื่อสามารถถอดรหัสไฟล์ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ นักวิจัยเชื่อว่านี่อาจเป็นความผิดพลาดของผู้พัฒนาเอง จึงทำให้การกลับมาครั้งนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร แม้กลุ่มยังคงพยายามผสมผสานการโจมตีแบบ hacktivism กับการหาเงินจาก ransomware ก็ตาม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/notorious-russian-cybercriminals-return-with-new-ransomware 💾 วิกฤต Flash Memory ที่ยืดเยื้อ ตลาดแฟลชเมมโมรีกำลังเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ ราคาพุ่งสูงและขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ต่างจากฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ง่ายกว่า เพราะแฟลชต้องใช้โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนสูงและใช้เวลาสร้างหลายปี ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้เร็ว แม้ดอกเบี้ยต่ำจะช่วยเรื่องเงินลงทุน แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้ นักวิเคราะห์มองว่านี่ไม่ใช่แค่รอบขึ้นลงตามปกติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี 🔗 https://www.techradar.com/pro/why-the-flash-crisis-will-last-much-longer-this-time 🌐 รัสเซียขู่บล็อกบริการ Google ทั้งหมด รัฐบาลรัสเซียกำลังพิจารณาบล็อกบริการของ Google แบบเต็มรูปแบบ โดยให้เหตุผลว่าการเก็บข้อมูลผู้ใช้ไว้นอกประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ “บีบอ่อน” เพื่อผลักเทคโนโลยีสหรัฐออกจากรัสเซีย ก่อนหน้านี้ก็มีการบล็อกแพลตฟอร์มตะวันตกหลายแห่ง เช่น Roblox, FaceTime และ Snapchat รวมถึงการกดดันให้ใช้ VPN ยากขึ้นด้วย แนวทางนี้กำลังสร้างสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ม่านเหล็กดิจิทัล” ที่แยกรัสเซียออกจากโลกออนไลน์เสรี 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/russia-threatens-to-block-all-google-services-in-a-soft-squeeze-of-us-tech 🎨 Microsoft แจกธีมฟรีสำหรับ Windows 11 ใครที่เบื่อหน้าจอ Windows 11 ตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโซนใหม่ใน Microsoft Store ที่รวมธีมกว่า 400 แบบมาให้เลือก ทั้งธีมเกมดัง ธรรมชาติ ไปจนถึงงานศิลป์ โดยมีธีมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 35 แบบ จุดประสงค์คือทำให้ผู้ใช้ปรับแต่งเครื่องได้ง่ายและสนุกขึ้น เพียงคลิกเดียวก็เปลี่ยนบรรยากาศหน้าจอได้ทันที ถือเป็นการจัดระเบียบครั้งใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้การหาธีมใน Store ค่อนข้างยุ่งยาก การอัปเดตนี้จึงช่วยให้การปรับแต่งเครื่องเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/computing/windows/bored-with-your-windows-11-desktop-microsoft-is-offering-a-free-upgrade-of-handpicked-themes-from-its-store 📰 Intel, AMD และ Texas Instruments ถูกกล่าวหาว่า “เมินเฉยโดยเจตนา” ปล่อยชิปไปถึงรัสเซีย เรื่องนี้เริ่มจากกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Intel, AMD และ Texas Instruments โดยกล่าวหาว่าชิปที่บริษัทเหล่านี้ผลิตถูกนำไปใช้ในอาวุธของรัสเซียผ่านตัวแทนจำหน่ายรายอื่น ซึ่งนำไปสู่การโจมตีที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคน ฝ่ายโจทก์มองว่าบริษัทเหล่านี้เลือกที่จะ “หลับตา” ไม่สนใจเส้นทางการขายต่อ ขณะที่บริษัททั้งหมดออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าหยุดการขายให้รัสเซียตั้งแต่สงครามเริ่ม และปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกอย่างเคร่งครัด เรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ต้องพิสูจน์กันในศาลว่าใครควรรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/intel-amd-accused-of-willful-ignorance-in-allowing-chips-to-get-to-russia 🤖 Workbooks เพิ่ม AI ในระบบ CRM เพื่อเสริมพลังทีมขาย แพลตฟอร์ม CRM ชื่อ Workbooks ได้ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในระบบ โดยมีทั้งเครื่องมือถอดเสียงการประชุมอัตโนมัติ (Scribe), ระบบโค้ชการขาย (Sales Coach), ระบบทำความสะอาดข้อมูล (Sales Hygiene) และตัวช่วยวิจัยลูกค้า (Research Agent) จุดประสงค์คือช่วยลดงานซ้ำซาก เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล และทำให้ทีมขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น แม้ปัจจุบันมีเพียง 16% ของบริษัทในสหราชอาณาจักรที่ใช้ AI ใน CRM แต่คาดว่าปี 2026 จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งใครที่เริ่มก่อนก็จะได้เปรียบในการแข่งขันทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/workbooks-integrates-ai-promises-empowered-sales-teams ⚖️ EU ถูกวิจารณ์ว่ามองข้ามความเสี่ยงในการอนุมัติ Broadcom ซื้อ VMware สมาคมผู้ให้บริการคลาวด์ CISPE ได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป หลังจากที่ EU อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom พวกเขามองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ละเลยสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น การขึ้นราคาที่รุนแรง การบังคับซื้อแบบแพ็กเกจ และการผูกขาดลูกค้า ซึ่งตอนนี้ผลกระทบก็เริ่มปรากฏแล้ว ทั้งราคาที่สูงขึ้นและสัญญาระยะยาวที่บังคับใช้กับหลายองค์กรในยุโรป หากศาลตัดสินให้เพิกถอนการอนุมัติ EU จะต้องกลับมาทบทวนดีลนี้ใหม่ภายใต้สภาพตลาดปัจจุบัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/eu-accused-of-ignoring-warning-signs-in-broadcoms-vmware-acquisition 💵 Salesforce ชี้โมเดลคิดค่าบริการ AI แบบ “ต่อผู้ใช้” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce อธิบายว่าบริษัทกำลังกลับไปใช้การคิดค่าบริการแบบ “ต่อที่นั่ง” สำหรับ AI หลังจากเคยทดลองโมเดลคิดตามการใช้งานหรือจำนวนบทสนทนา เหตุผลคือ ลูกค้าต้องการความแน่นอนและความยืดหยุ่นในการคำนวณค่าใช้จ่าย Salesforce เชื่อว่าบริการ AI สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 3–10 เท่า จึงสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้โดยยังสมเหตุสมผล แม้บางบริษัทจะใช้ AI เพื่อเสริมกำลังคนแทนที่จะลดจำนวนพนักงาน ทำให้การคิดค่าบริการต่อผู้ใช้ยังคงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในสายตาของ Salesforce 🔗 https://www.techradar.com/pro/salesforce-says-per-user-pricing-will-be-new-ai-norm 🛡️ พบมัลแวร์ใหม่บน MacOS ใช้ AI และเครื่องมือค้นหาเป็นช่องทางแพร่กระจาย นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Huntress เปิดเผยว่าแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังมัลแวร์ AMOS ใช้เทคนิคใหม่ โดยสร้างบทสนทนาใน ChatGPT และ Grok ที่แฝงคำสั่งปลอมเกี่ยวกับการเคลียร์พื้นที่ดิสก์บน MacOS จากนั้นซื้อโฆษณาบน Google เพื่อดันบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้ทำตามคำแนะนำก็จะติดตั้งมัลแวร์โดยไม่รู้ตัว AMOS สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและกระเป๋าเงินคริปโต ทำให้การโจมตีครั้งนี้อันตรายยิ่งขึ้นเพราะอาศัยความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ไว้วางใจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/new-macos-malware-exploits-trusted-ai-and-search-tools 📱 iOS 26.2 อัปเดตใหม่กับ 7 ฟีเจอร์สำคัญ Apple ปล่อย iOS 26.2 ให้ผู้ใช้ iPhone ได้อัปเดตกันแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นการปรับปรุงเล็ก ๆ แต่หลายอย่างช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น การตั้ง Reminder ที่มาพร้อมเสียงปลุกกันลืม, AirDrop ที่แชร์กับคนไม่อยู่ในรายชื่อได้สะดวกขึ้นผ่านโค้ด, ปรับแต่ง Liquid Glass ให้หน้าจอดูโปร่งใสตามใจ, Podcasts ที่สร้าง chapter ให้อัตโนมัติ, Sleep Score ที่ปรับเกณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความรู้สึกจริง ๆ, Freeform ที่เพิ่มการทำตาราง และ Apple News ที่มี shortcut เข้าส่วนต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น ทั้งหมดนี้ยังมาพร้อมการแก้บั๊กและปรับปรุงความปลอดภัยด้วย 🔗 https://www.techradar.com/phones/ios/ios-26-2-has-landed-here-are-the-7-biggest-new-features-for-your-iphone 🤖 AI Regulation: บทเรียนจากยุคอินเทอร์เน็ต บทความนี้เล่าย้อนกลับไปถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ตที่แทบไม่มีการควบคุม จนกฎหมาย Telecom Act ปี 1996 เข้ามาจัดระเบียบ แต่ก็ยังไม่แตะเนื้อหาบนเว็บจริง ๆ ปัจจุบัน AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันว่าจะควบคุมอย่างไร ระหว่างรัฐบาลกลางที่อยากให้เบา ๆ เพื่อแข่งขันกับจีน กับรัฐต่าง ๆ ที่อยากปกป้องประชาชนจากอคติและข้อมูลผิด ๆ บทความชี้ว่าหากไม่หาทางออกที่สมดุล อนาคต AI อาจอันตรายไม่ต่างจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ไร้การควบคุม 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/everyone-is-wrong-about-ai-regulation-and-the-history-of-the-internet-proves-it 📺 YouTube TV ได้อัปเดตใหม่กับ 5 ฟีเจอร์ที่รอคอย Google ปรับปรุงหน้าจอการดูวิดีโอบน YouTube สำหรับทีวีให้ใช้งานง่ายขึ้น ควบคุมต่าง ๆ ถูกจัดใหม่เป็นสามส่วนชัดเจน มีปุ่ม Description ให้ดูข้อมูลวิดีโอแทนการกดชื่อเรื่อง, ปุ่ม Subscribe ที่เห็นชัดตลอดเวลา, การย้ายตำแหน่งชื่อวิดีโอไปด้านบนซ้าย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับการดู Live Sports อย่าง Multiview รวมถึง Display Mode สำหรับผู้ใช้ Music และ Premium ทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์ดู YouTube บนทีวีใกล้เคียงกับมือถือมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/televisions/youtube-finally-gets-the-tv-update-weve-been-waiting-for-and-there-are-5-handy-upgrades 💻 Intel เร่งซื้อ SambaNova สู้ศึกชิป AI ในโลกชิป AI ที่ AMD และ Nvidia ครองตลาด Intel กำลังพิจารณาซื้อ SambaNova Systems เพื่อเร่งตามให้ทัน โดย SambaNova เพิ่งโชว์ศักยภาพด้วยการรันโมเดล DeepSeek-R1 ได้เร็วและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปกติ การเข้าซื้อครั้งนี้อาจช่วยให้ Intel มีทางเลือกใหม่ในการแข่งขัน แต่ดีลยังอยู่ในขั้นต้นและไม่ผูกมัด ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าผู้เล่นรายอื่นสนใจเช่นกัน ทำให้การแย่งชิงครั้งนี้น่าจับตามอง 🔗 https://www.techradar.com/pro/intel-set-to-buy-ai-chip-specialist-as-it-scrambles-to-catch-up-with-amd-nvidia 🛡️ แฮกเกอร์ปลอมเป็นตำรวจ หลอก Big Tech ขอข้อมูลผู้ใช้ มีรายงานว่าอาชญากรไซเบอร์ใช้วิธีปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งคำขอข้อมูลไปยังบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ อย่าง Apple หรือ Google โดยใช้เทคนิค typosquatting สร้างอีเมลที่คล้ายของจริง หรือเจาะเข้าบัญชีอีเมลของเจ้าหน้าที่จริงเพื่อส่งคำขอ ทำให้บริษัทบางแห่งหลงเชื่อและส่งข้อมูลผู้ใช้ไปโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทใหญ่เริ่มใช้ระบบตรวจสอบคำขอเข้มงวดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/hackers-posing-as-law-enforcement-are-tricking-big-tech-to-get-access-to-private-data 🖥️ AMD เปิดตัว Radeon AI PRO R9700S การ์ดจอเงียบทรงพลังสำหรับงาน AI หนัก AMD กำลังสร้างความฮือฮาในวงการด้วยการ์ดจอรุ่นใหม่ Radeon AI PRO R9700S ที่มาพร้อมหน่วยความจำ 32GB GDDR6 และระบบระบายความร้อนแบบ passive cooling ทำให้สามารถทำงานได้อย่างเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีการ์ดหลายตัวติดตั้งอยู่ใน rack แน่น ๆ จุดเด่นคือพลังการประมวลผลสูงถึง 47.8 TFLOPS และรองรับ PCIe 5.0 x16 เพื่อการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ เช่นการฝึกโมเดลภาษาหรือการประมวลผลเชิงสร้างสรรค์ จุดที่น่าสนใจคือแม้จะไม่มีพัดลม แต่ยังคงใช้พลังงานสูงถึง 300W ซึ่งองค์กรที่นำไปใช้ต้องวางแผนการจัดการความร้อนอย่างจริงจัง 🔗 https://www.techradar.com/pro/did-amd-just-launch-the-fastest-silent-video-cards-ever-passively-cooled-32gb-ddr6-radeon-ai-pro-r9700s-debuts-with-ginormous-300w-tdp 💻 Zotac เปิดตัว Mini PC เล็กแต่แรง บรรจุ RTX 5060 Ti เต็มตัว Zotac สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดตัว ZBOX MAGNUS EN275060TC ที่สามารถบรรจุการ์ดจอระดับ desktop อย่าง RTX 5060 Ti ขนาด 16GB ลงไปในเครื่องเล็กเพียง 2.65 ลิตรได้สำเร็จ โดยใช้เทคนิคการส่งพลังงานผ่าน PCIe แบบ hybrid ทำให้ไม่ต้องใช้สายต่อพลังงานภายนอก ผลการทดสอบชี้ว่าประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5070 Ti รุ่น laptop และยังคุ้มค่าด้านราคาเมื่อเทียบกับพลังที่ได้ แม้จะมีข้อกังวลเรื่องความร้อน แต่ถือเป็นการยกระดับ mini PC ให้สามารถแข่งขันกับเครื่องใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-zotac-mini-pc-has-the-most-powerful-gpu-ever-bundled-in-a-pc-of-this-size-16gb-geforce-rtx-5060-ti-is-competitive-with-5070-ti-laptop-edition ⚖️ อดีตพนักงาน Accenture ถูก DoJ ตั้งข้อหาฉ้อโกงด้านความปลอดภัยระบบคลาวด์ ข่าวใหญ่ในสายความปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Accenture ที่ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยของระบบคลาวด์เพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล ทั้งที่จริงแล้วแพลตฟอร์มไม่ได้ผ่านมาตรฐาน FedRAMP ตามที่กำหนด การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลอกลวงและมีการส่งเอกสารปลอมเพื่อรักษาสัญญา หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปีในข้อหาฉ้อโกงและการขัดขวางการตรวจสอบ 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/former-accenture-employee-charged-by-doj-for-cloud-security-fraud 🌐 สหรัฐฯ ยกเลิกการแบน Nvidia H200 หลัง Huawei Ascend 910C แรงจนท้าทายอำนาจโลก AI รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% ต่อการส่งออก หลังจากพบว่า Huawei กำลังพัฒนา Ascend 910C ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก โดยระบบ CloudMatrix 384 ของ Huawei สามารถทำงานได้ถึง 300 petaflops และมีหน่วยความจำรวมมากกว่า Nvidia GB200 NVL72 แม้จะใช้พลังงานมากกว่า แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่อาจท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-the-us-afraid-of-huawei-reports-hint-at-the-ascend-910c-accelerator-performance-to-justify-the-surprising-reversal-of-nvidias-h200-ai-gpu-ban-on-china 🤖 ChatGPT เตรียมเปิดโหมดผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด OpenAI ประกาศว่าจะเปิดตัว “adult mode” สำหรับ ChatGPT ในปี 2026 โดยจะใช้ AI ตรวจจับอายุผู้ใช้จากพฤติกรรมการสนทนาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่เป็นผู้ใหญ่ได้ จุดสำคัญคือไม่ได้หมายถึงการเปิดให้เข้าถึงเนื้อหาโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพูดคุยในหัวข้อที่ปัจจุบันถูกจำกัด เช่นเรื่องความสัมพันธ์ สุขภาพจิต หรือประเด็นที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก การพัฒนานี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความยืดหยุ่นและตอบสนองผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ AI ที่สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังต้องรอการทดสอบระบบทำนายอายุให้แม่นยำก่อน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-adult-mode-is-coming-and-it-might-not-be-what-you-think-it-is 🧑‍💻 AI Chatbots ก้าวสู่ชีวิตประจำวัน รายงานล่าสุดจาก Microsoft เผยให้เห็นว่า Copilot และ AI chatbot ไม่ได้ถูกใช้แค่ในงานเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนแล้ว พวกเขาวิเคราะห์จากการสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้ง พบว่าการใช้งานบนเดสก์ท็อปมักจะเกี่ยวข้องกับงานระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ส่วนการใช้งานบนมือถือกลับเน้นเรื่องส่วนตัว เช่น สุขภาพและการใช้ชีวิต และเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การเขียนโปรแกรมที่พุ่งสูงในวันทำงาน การเล่นเกมที่มากขึ้นในวันหยุด และคำถามเชิงปรัชญาที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำงาน แต่ยังถูกใช้เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการกับชีวิตประจำวันของตนเองด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/ai-chatbots-are-now-integrated-into-the-full-texture-of-human-life-microsoft-study-claims 🤖 ChatGPT 5.2 ถูกวิจารณ์ว่า “ถอยหลัง” OpenAI เปิดตัว ChatGPT 5.2 โดยประกาศว่าเป็นโมเดลที่ฉลาดที่สุดที่เปิดให้ใช้งานทั่วไป แต่เสียงตอบรับจากผู้ใช้กลับไม่ค่อยดีนัก หลายคนใน Reddit บอกว่ามัน “น่าเบื่อ” และ “เป็นทางการเกินไป” จนรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตชีวา บางคนถึงกับบอกว่ามันแย่กว่าเวอร์ชัน 5.1 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลองใช้งานอย่างจริงจัง และอาจเป็นเพียงเสียงจากกลุ่มเล็กที่ไม่พอใจ การเปิดตัวครั้งนี้ยังสะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง OpenAI และ Google Gemini ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า OpenAI รีบปล่อยเวอร์ชันใหม่ออกมาเร็วเกินไปหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/openai/chatgpt-5-2-branded-a-step-backwards-by-disappointed-early-users-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251213 #securityonline

    Core Banking System Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Fineract
    เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบธนาคารดิจิทัล Apache Fineract ที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีช่องโหว่หลักคือ IDOR (Insecure Direct Object Reference) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนพารามิเตอร์ เช่น user ID หรือ account number เพื่อเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ นอกจากนี้ยังพบปัญหานโยบายรหัสผ่านที่อ่อนแอ และการเก็บ server key ที่ไม่ถูกป้องกันอย่างเหมาะสม ทีม Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
    https://securityonline.info/core-banking-system-flaw-apache-fineract-idor-risks-authorization-bypass-customer-data-access

    React Patches Two New Flaws: ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components
    หลังจากที่ React เพิ่งแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงไปไม่นาน นักวิจัยก็พบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการ ช่องโหว่แรกคือการโจมตีแบบ DoS ที่สามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์หยุดทำงานได้ทันทีด้วยการส่ง request ที่ออกแบบมาเฉพาะ ส่วนอีกช่องโหว่หนึ่งคือการเปิดเผย source code ของ server function ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง แม้จะไม่ถึงขั้นยึดระบบได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลภายใน ทีม React ได้ออกเวอร์ชันแก้ไขแล้วและแนะนำให้อัปเดตทันที
    https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure

    Farewell, Tabs: Google เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Disco
    Google Labs กำลังทดลองเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Disco ที่ใช้ AI มาช่วยจัดการแท็บและสร้าง web apps แบบโต้ตอบได้ทันที จุดเด่นคือระบบ GenTab ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลจากเว็บให้กลายเป็น Progressive Web Apps เช่น การสร้าง itinerary ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้เหมือนแอปจริงๆ เบราว์เซอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบบน macOS และเปิดให้ลงชื่อเข้าร่วมใน waitlist เท่านั้น ถือเป็นการทดลองที่อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานเว็บในอนาคต
    https://securityonline.info/farewell-tabs-googles-experimental-disco-browser-generates-web-apps-with-ai

    YouTube TV Plans: สตรีมมิ่งกำลังกลับไปเป็นเคเบิลอีกครั้ง
    YouTube TV ประกาศว่าจะปรับรูปแบบการสมัครสมาชิกใหม่ในปี 2026 โดยเปลี่ยนจากแพ็กเกจรวมทั้งหมดเป็นการเลือก bundle ตามความสนใจ เช่น Sports, News หรือ Family & Entertainment ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะหมวดที่ต้องการได้ ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายเพื่อคอนเทนต์ที่ไม่ดู อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่านี่คือการย้อนกลับไปสู่โมเดลเคเบิลทีวีในอดีตที่เคยถูกวิจารณ์ว่าไม่ยืดหยุ่น
    https://securityonline.info/youtube-tvs-new-subscription-bundles-is-streaming-becoming-cable-all-over-again

    The “USB-C of AI”: Google เปิดตัว Managed Servers สำหรับ MCP Protocol
    Google ประกาศสนับสนุนเต็มรูปแบบต่อ MCP (Model Context Protocol) ที่ถูกเรียกว่า “USB-C ของ AI” เพราะเป็นมาตรฐานกลางที่ทำให้ AI เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดย Google เปิดตัว managed servers ที่รองรับ MCP ทำให้ AI agents สามารถใช้งาน Google Maps, BigQuery และจัดการโครงสร้างพื้นฐานบน Cloud ได้โดยตรงโดยไม่ต้องสร้าง integration เอง นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ AI สามารถทำงานเชิงปฏิบัติได้จริงและปลอดภัยมากขึ้น
    https://securityonline.info/the-usb-c-of-ai-is-here-google-launches-managed-servers-for-mcp-protocol

    The AI Super-App: Photoshop & Adobe Express รวมพลังกับ ChatGPT
    Adobe กำลังยกระดับการใช้งาน AI โดยการรวม Photoshop และ Adobe Express เข้ากับ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้านการออกแบบและแก้ไขภาพได้ด้วยข้อความ เช่น การปรับแต่งรูปภาพหรือสร้างงานกราฟิกใหม่โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมแยกต่างหาก นี่คือการก้าวสู่ “AI Super-App” ที่รวมเครื่องมือสร้างสรรค์เข้ากับระบบสนทนาอัจฉริยะ เพื่อให้การทำงานด้านครีเอทีฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น
    https://securityonline.info/the-ai-super-app-rises-photoshop-adobe-express-integrate-into-chatgpt

    The IP Wall Falls: Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI
    Disney สร้างความฮือฮาด้วยการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อเปิดสิทธิ์ใช้ตัวละครกว่า 200 ตัวในระบบ AI นั่นหมายความว่า AI จะสามารถเข้าถึงและใช้ตัวละครจากจักรวาล Disney ได้อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกบันเทิงและเทคโนโลยี ที่อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ผสมผสานระหว่าง AI และตัวละครที่คนทั่วโลกคุ้นเคย
    https://securityonline.info/the-ip-wall-falls-disney-invests-1b-in-openai-to-license-200-characters-for-ai

    OpenAI Fights Back: เปิดตัว GPT-5.2 ท้าชน Gemini 3 Pro
    OpenAI เปิดตัว GPT-5.2 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Gemini 3 Pro ของ Google จุดเด่นคือการปรับปรุงความสามารถในการ reasoning และการทำงานร่วมกับระบบภายนอกได้ดียิ่งขึ้น GPT-5.2 ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ OpenAI เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโมเดลภาษา AI ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด
    https://securityonline.info/openai-fights-back-gpt-5-2-unveiled-to-rival-googles-gemini-3-pro

    Critical React2Shell Vulnerability: ช่องโหว่ใหม่โจมตีบริการ RSC ทั่วโลก
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงชื่อ React2Shell (CVE-2025-55182) ที่กำลังถูกโจมตีเพิ่มขึ้นทั่วโลก ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อบริการที่ใช้ React Server Components (RSC) โดยผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลายองค์กรต้องเร่งอัปเดตและติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรง
    https://securityonline.info/critical-react2shell-vulnerability-cve-2025-55182-analysis-surge-in-attacks-targeting-rsc-enabled-services-worldwide
    📌🔐🟣 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟣🔐📌 #รวมข่าวIT #20251213 #securityonline 🛡️ Core Banking System Flaw: ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Fineract เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบธนาคารดิจิทัล Apache Fineract ที่ใช้กันทั่วโลก โดยมีช่องโหว่หลักคือ IDOR (Insecure Direct Object Reference) ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเปลี่ยนพารามิเตอร์ เช่น user ID หรือ account number เพื่อเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าคนอื่นได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ นอกจากนี้ยังพบปัญหานโยบายรหัสผ่านที่อ่อนแอ และการเก็บ server key ที่ไม่ถูกป้องกันอย่างเหมาะสม ทีม Apache ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้อัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพื่อความปลอดภัยสูงสุด 🔗 https://securityonline.info/core-banking-system-flaw-apache-fineract-idor-risks-authorization-bypass-customer-data-access ⚠️ React Patches Two New Flaws: ช่องโหว่ใหม่ใน React Server Components หลังจากที่ React เพิ่งแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงไปไม่นาน นักวิจัยก็พบช่องโหว่ใหม่อีกสองรายการ ช่องโหว่แรกคือการโจมตีแบบ DoS ที่สามารถทำให้เซิร์ฟเวอร์หยุดทำงานได้ทันทีด้วยการส่ง request ที่ออกแบบมาเฉพาะ ส่วนอีกช่องโหว่หนึ่งคือการเปิดเผย source code ของ server function ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง แม้จะไม่ถึงขั้นยึดระบบได้ แต่ก็ถือว่าเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลภายใน ทีม React ได้ออกเวอร์ชันแก้ไขแล้วและแนะนำให้อัปเดตทันที 🔗 https://securityonline.info/react-patches-two-new-flaws-risking-server-crashing-dos-and-source-code-disclosure 🌐 Farewell, Tabs: Google เปิดตัวเบราว์เซอร์ AI ชื่อ Disco Google Labs กำลังทดลองเบราว์เซอร์ใหม่ชื่อ Disco ที่ใช้ AI มาช่วยจัดการแท็บและสร้าง web apps แบบโต้ตอบได้ทันที จุดเด่นคือระบบ GenTab ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลจากเว็บให้กลายเป็น Progressive Web Apps เช่น การสร้าง itinerary ที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้เหมือนแอปจริงๆ เบราว์เซอร์นี้ยังอยู่ในช่วงทดสอบบน macOS และเปิดให้ลงชื่อเข้าร่วมใน waitlist เท่านั้น ถือเป็นการทดลองที่อาจเปลี่ยนวิธีการใช้งานเว็บในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/farewell-tabs-googles-experimental-disco-browser-generates-web-apps-with-ai 📺 YouTube TV Plans: สตรีมมิ่งกำลังกลับไปเป็นเคเบิลอีกครั้ง YouTube TV ประกาศว่าจะปรับรูปแบบการสมัครสมาชิกใหม่ในปี 2026 โดยเปลี่ยนจากแพ็กเกจรวมทั้งหมดเป็นการเลือก bundle ตามความสนใจ เช่น Sports, News หรือ Family & Entertainment ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะหมวดที่ต้องการได้ ซึ่งอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายเพื่อคอนเทนต์ที่ไม่ดู อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่านี่คือการย้อนกลับไปสู่โมเดลเคเบิลทีวีในอดีตที่เคยถูกวิจารณ์ว่าไม่ยืดหยุ่น 🔗 https://securityonline.info/youtube-tvs-new-subscription-bundles-is-streaming-becoming-cable-all-over-again 🔌 The “USB-C of AI”: Google เปิดตัว Managed Servers สำหรับ MCP Protocol Google ประกาศสนับสนุนเต็มรูปแบบต่อ MCP (Model Context Protocol) ที่ถูกเรียกว่า “USB-C ของ AI” เพราะเป็นมาตรฐานกลางที่ทำให้ AI เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดย Google เปิดตัว managed servers ที่รองรับ MCP ทำให้ AI agents สามารถใช้งาน Google Maps, BigQuery และจัดการโครงสร้างพื้นฐานบน Cloud ได้โดยตรงโดยไม่ต้องสร้าง integration เอง นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ AI สามารถทำงานเชิงปฏิบัติได้จริงและปลอดภัยมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-usb-c-of-ai-is-here-google-launches-managed-servers-for-mcp-protocol 🎨 The AI Super-App: Photoshop & Adobe Express รวมพลังกับ ChatGPT Adobe กำลังยกระดับการใช้งาน AI โดยการรวม Photoshop และ Adobe Express เข้ากับ ChatGPT ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานด้านการออกแบบและแก้ไขภาพได้ด้วยข้อความ เช่น การปรับแต่งรูปภาพหรือสร้างงานกราฟิกใหม่โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมแยกต่างหาก นี่คือการก้าวสู่ “AI Super-App” ที่รวมเครื่องมือสร้างสรรค์เข้ากับระบบสนทนาอัจฉริยะ เพื่อให้การทำงานด้านครีเอทีฟเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-ai-super-app-rises-photoshop-adobe-express-integrate-into-chatgpt 🏰 The IP Wall Falls: Disney ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI Disney สร้างความฮือฮาด้วยการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ใน OpenAI เพื่อเปิดสิทธิ์ใช้ตัวละครกว่า 200 ตัวในระบบ AI นั่นหมายความว่า AI จะสามารถเข้าถึงและใช้ตัวละครจากจักรวาล Disney ได้อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกบันเทิงและเทคโนโลยี ที่อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ผสมผสานระหว่าง AI และตัวละครที่คนทั่วโลกคุ้นเคย 🔗 https://securityonline.info/the-ip-wall-falls-disney-invests-1b-in-openai-to-license-200-characters-for-ai 🤖 OpenAI Fights Back: เปิดตัว GPT-5.2 ท้าชน Gemini 3 Pro OpenAI เปิดตัว GPT-5.2 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ Gemini 3 Pro ของ Google จุดเด่นคือการปรับปรุงความสามารถในการ reasoning และการทำงานร่วมกับระบบภายนอกได้ดียิ่งขึ้น GPT-5.2 ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ OpenAI เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโมเดลภาษา AI ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด 🔗 https://securityonline.info/openai-fights-back-gpt-5-2-unveiled-to-rival-googles-gemini-3-pro 🚨 Critical React2Shell Vulnerability: ช่องโหว่ใหม่โจมตีบริการ RSC ทั่วโลก นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบช่องโหว่ร้ายแรงชื่อ React2Shell (CVE-2025-55182) ที่กำลังถูกโจมตีเพิ่มขึ้นทั่วโลก ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อบริการที่ใช้ React Server Components (RSC) โดยผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลายองค์กรต้องเร่งอัปเดตและติดตั้งแพตช์เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายรุนแรง 🔗 https://securityonline.info/critical-react2shell-vulnerability-cve-2025-55182-analysis-surge-in-attacks-targeting-rsc-enabled-services-worldwide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts