• “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก”

    ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ

    ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft

    Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น

    ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

    ความสำเร็จของ Delta Force
    เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ
    มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน
    ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย

    การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent
    มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ
    ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve
    ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ
    ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค

    ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน
    ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น
    ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก
    Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry

    ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก
    ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก
    ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม
    ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล

    คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน
    การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด
    ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา
    การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก
    ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    🎮 “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก” ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ✅ ความสำเร็จของ Delta Force ➡️ เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ ➡️ มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน ➡️ ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย ✅ การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent ➡️ มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ ➡️ ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve ➡️ ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ ➡️ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค ✅ ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน ➡️ ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น ➡️ ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก ➡️ Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry ✅ ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก ➡️ ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก ➡️ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม ➡️ ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล ‼️ คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน ⛔ การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด ⛔ ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา ⛔ การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก ⛔ ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tencent's 'Delta Force' success shifts focus to shooting games
    For more than a decade, Tencent Holdings Ltd developer Leo Yao toiled in relative anonymity, churning out one shooting game after another. Then he scored one of the biggest Chinese hits of 2024 with Delta Force, a game that continues to attract 30 million players daily.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 43

    Updated สถานะการหุ้นใกล้บาทเรา

    หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว
    WHA , THCOM

    จับตา DELTA

    ์NOTE :
    ไม่มีใน VDO แต่เอามาบอกเล่า
    CCET หุ้นยัง OK กำไรก็ดูไม่แย่ แต่มีปลดพนักงาน 14xx คน
    อาจเป็น Book to Bill ratio ต่ำ 1:1

    BY.
    EP 43 Updated สถานะการหุ้นใกล้บาทเรา หุ้นแข็งแกร่ง อาจสู้กับ SET ขาลงไหว WHA , THCOM จับตา DELTA ์NOTE : ไม่มีใน VDO แต่เอามาบอกเล่า CCET หุ้นยัง OK กำไรก็ดูไม่แย่ แต่มีปลดพนักงาน 14xx คน อาจเป็น Book to Bill ratio ต่ำ 1:1 BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • กรณีศึกษา DELTA 10/10/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #DELTA
    กรณีศึกษา DELTA 10/10/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #DELTA
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • หุ้นทรงอิทธิพล DELTA 10/10/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #หุ้น DELTA #หุ้นทรงอิทธิพล
    หุ้นทรงอิทธิพล DELTA 10/10/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #หุ้น DELTA #หุ้นทรงอิทธิพล
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป”

    AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing

    Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก

    Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores
    Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว
    Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น
    รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX
    Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น
    Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน
    การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate
    Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม

    https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    🎮 “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป” AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores ➡️ Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ➡️ Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์ ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX ➡️ Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น ➡️ Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน ➡️ การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate ➡️ Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    WCCFTECH.COM
    AMD Unveils Radiance Cores, Neural Arrays & Universal Compression For Next-Gen RDNA GPU Architecture: Faster RT, Better Upscaling, & Lower Bandwidth Needs
    AMD has just announced three key features of its next-gen RDNA architecture: Neural Arrays, Radiance Cores & Universal Compression.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing”

    Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC

    สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning

    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ

    Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst
    คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่
    Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing
    Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี”
    Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง
    Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก
    Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5
    Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX

    https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    🎮 “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing” Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD 🔰 Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning 🔰 Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst ➡️ คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ ➡️ Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing ➡️ Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี” ➡️ Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง ➡️ Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก ➡️ Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5 ➡️ Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 39
    เตือนดัชนี SET หลังจากทำไฮส์ไปที่ 1313.xx

    เราควร monitor Delta ไปด้วย แม้จะไมได้เล่นมัน

    ตรวจสอบให้ดีก่อนเข้าซื้อหุ้นพลังงานที่ราคาสูๆ หลายตัว


    BY.
    EP 39 เตือนดัชนี SET หลังจากทำไฮส์ไปที่ 1313.xx เราควร monitor Delta ไปด้วย แม้จะไมได้เล่นมัน ตรวจสอบให้ดีก่อนเข้าซื้อหุ้นพลังงานที่ราคาสูๆ หลายตัว BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Meta เปิดตัว OpenZL — ระบบบีบอัดข้อมูลแบบรู้โครงสร้างที่เร็วกว่า ฉลาดกว่า และเปิดให้ทุกคนใช้”

    Meta ประกาศเปิดตัว OpenZL ระบบบีบอัดข้อมูลแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตาราง, ข้อมูลเชิงเวลา, หรือข้อมูลจากโมเดล AI โดย OpenZL เป็นโอเพ่นซอร์สที่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องมือเฉพาะทาง แต่ยังคงความง่ายในการใช้งานด้วย binary เดียวสำหรับการถอดรหัสทุกประเภทไฟล์

    แนวคิดหลักของ OpenZL คือการ “เปิดเผยโครงสร้าง” ของข้อมูลก่อนบีบอัด โดยผู้ใช้สามารถระบุรูปแบบข้อมูลผ่านภาษาคำอธิบายที่ชื่อว่า SDDL หรือใช้ parser ที่เขียนเอง จากนั้นระบบจะฝึก (train) เพื่อสร้างแผนการบีบอัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะข้อมูลที่เปลี่ยนไปในอนาคต

    OpenZL ใช้เทคนิคการแยกข้อมูลออกเป็น stream ที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่น คอลัมน์ตัวเลข, ข้อมูลที่เรียงลำดับ, หรือข้อมูลที่มีค่าซ้ำ ๆ แล้วเลือกวิธีบีบอัดที่เหมาะกับแต่ละ stream เช่น delta, transpose หรือ tokenize เพื่อให้ได้อัตราการบีบอัดสูงสุดโดยไม่เสียความเร็ว

    ตัวอย่างการใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่า OpenZL สามารถบีบอัดไฟล์จากชุดข้อมูล Silesia ได้ดีกว่า zstd และ xz ทั้งในด้านขนาดและความเร็ว โดยสามารถบีบอัดได้เร็วถึง 340 MB/s และถอดรหัสได้เร็วถึง 1200 MB/s

    ที่สำคัญคือ OpenZL ใช้ decoder เดียวสำหรับทุกไฟล์ ไม่ว่าจะใช้แผนการบีบอัดแบบใด ทำให้การตรวจสอบความปลอดภัยและการอัปเดตระบบเป็นเรื่องง่าย และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้โดยไม่กระทบกับข้อมูลเก่า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดตัว OpenZL ระบบบีบอัดข้อมูลแบบรู้โครงสร้าง
    รองรับข้อมูลแบบ structured เช่น ตาราง, tensor, หรือข้อมูลเชิงเวลา
    ใช้ภาษาคำอธิบาย SDDL หรือ parser เพื่อระบุรูปแบบข้อมูล
    ระบบฝึกแผนการบีบอัดแบบออฟไลน์เพื่อให้เหมาะกับข้อมูลแต่ละประเภท
    ใช้เทคนิคเช่น delta, transpose, tokenize เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ตัวอย่างจากชุดข้อมูล Silesia แสดงว่า OpenZL บีบอัดได้ดีกว่า zstd และ xz
    ความเร็วในการบีบอัดสูงถึง 340 MB/s และถอดรหัสได้ถึง 1200 MB/s
    ใช้ decoder เดียวสำหรับทุกไฟล์ ไม่ต้องเปลี่ยนตามแผนการบีบอัด
    รองรับการฝึกใหม่เมื่อข้อมูลเปลี่ยน โดยไม่ต้องเปลี่ยน decoder
    เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สผ่าน GitHub พร้อมเอกสารและตัวอย่าง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zstandard เป็นระบบบีบอัดที่ Meta ใช้มาก่อน OpenZL โดยเน้นความเร็ว
    การบีบอัดแบบรู้โครงสร้างช่วยให้ได้อัตราการบีบอัดสูงกว่าทั่วไป
    SDDL เป็นภาษาที่ใช้ระบุโครงสร้างข้อมูล เช่น คอลัมน์, enum, nested record
    OpenZL เหมาะกับข้อมูลที่มีรูปแบบ เช่น Parquet, CSV, ML tensor, หรือ log
    การใช้ decoder เดียวช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการระบบขนาดใหญ่

    https://engineering.fb.com/2025/10/06/developer-tools/openzl-open-source-format-aware-compression-framework/
    🧠 “Meta เปิดตัว OpenZL — ระบบบีบอัดข้อมูลแบบรู้โครงสร้างที่เร็วกว่า ฉลาดกว่า และเปิดให้ทุกคนใช้” Meta ประกาศเปิดตัว OpenZL ระบบบีบอัดข้อมูลแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อข้อมูลที่มีโครงสร้าง เช่น ตาราง, ข้อมูลเชิงเวลา, หรือข้อมูลจากโมเดล AI โดย OpenZL เป็นโอเพ่นซอร์สที่ให้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องมือเฉพาะทาง แต่ยังคงความง่ายในการใช้งานด้วย binary เดียวสำหรับการถอดรหัสทุกประเภทไฟล์ แนวคิดหลักของ OpenZL คือการ “เปิดเผยโครงสร้าง” ของข้อมูลก่อนบีบอัด โดยผู้ใช้สามารถระบุรูปแบบข้อมูลผ่านภาษาคำอธิบายที่ชื่อว่า SDDL หรือใช้ parser ที่เขียนเอง จากนั้นระบบจะฝึก (train) เพื่อสร้างแผนการบีบอัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามลักษณะข้อมูลที่เปลี่ยนไปในอนาคต OpenZL ใช้เทคนิคการแยกข้อมูลออกเป็น stream ที่มีลักษณะเหมือนกัน เช่น คอลัมน์ตัวเลข, ข้อมูลที่เรียงลำดับ, หรือข้อมูลที่มีค่าซ้ำ ๆ แล้วเลือกวิธีบีบอัดที่เหมาะกับแต่ละ stream เช่น delta, transpose หรือ tokenize เพื่อให้ได้อัตราการบีบอัดสูงสุดโดยไม่เสียความเร็ว ตัวอย่างการใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่า OpenZL สามารถบีบอัดไฟล์จากชุดข้อมูล Silesia ได้ดีกว่า zstd และ xz ทั้งในด้านขนาดและความเร็ว โดยสามารถบีบอัดได้เร็วถึง 340 MB/s และถอดรหัสได้เร็วถึง 1200 MB/s ที่สำคัญคือ OpenZL ใช้ decoder เดียวสำหรับทุกไฟล์ ไม่ว่าจะใช้แผนการบีบอัดแบบใด ทำให้การตรวจสอบความปลอดภัยและการอัปเดตระบบเป็นเรื่องง่าย และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพได้โดยไม่กระทบกับข้อมูลเก่า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดตัว OpenZL ระบบบีบอัดข้อมูลแบบรู้โครงสร้าง ➡️ รองรับข้อมูลแบบ structured เช่น ตาราง, tensor, หรือข้อมูลเชิงเวลา ➡️ ใช้ภาษาคำอธิบาย SDDL หรือ parser เพื่อระบุรูปแบบข้อมูล ➡️ ระบบฝึกแผนการบีบอัดแบบออฟไลน์เพื่อให้เหมาะกับข้อมูลแต่ละประเภท ➡️ ใช้เทคนิคเช่น delta, transpose, tokenize เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ตัวอย่างจากชุดข้อมูล Silesia แสดงว่า OpenZL บีบอัดได้ดีกว่า zstd และ xz ➡️ ความเร็วในการบีบอัดสูงถึง 340 MB/s และถอดรหัสได้ถึง 1200 MB/s ➡️ ใช้ decoder เดียวสำหรับทุกไฟล์ ไม่ต้องเปลี่ยนตามแผนการบีบอัด ➡️ รองรับการฝึกใหม่เมื่อข้อมูลเปลี่ยน โดยไม่ต้องเปลี่ยน decoder ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สผ่าน GitHub พร้อมเอกสารและตัวอย่าง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zstandard เป็นระบบบีบอัดที่ Meta ใช้มาก่อน OpenZL โดยเน้นความเร็ว ➡️ การบีบอัดแบบรู้โครงสร้างช่วยให้ได้อัตราการบีบอัดสูงกว่าทั่วไป ➡️ SDDL เป็นภาษาที่ใช้ระบุโครงสร้างข้อมูล เช่น คอลัมน์, enum, nested record ➡️ OpenZL เหมาะกับข้อมูลที่มีรูปแบบ เช่น Parquet, CSV, ML tensor, หรือ log ➡️ การใช้ decoder เดียวช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการระบบขนาดใหญ่ https://engineering.fb.com/2025/10/06/developer-tools/openzl-open-source-format-aware-compression-framework/
    ENGINEERING.FB.COM
    Introducing OpenZL: An Open Source Format-Aware Compression Framework
    OpenZL is a new open source data compression framework that offers lossless compression for structured data. OpenZL is designed to offer the performance of a format-specific compressor with the eas…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ”

    Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22

    Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ

    แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ

    Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล

    นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin
    เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025
    ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX
    รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ
    สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T
    ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock
    มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว
    วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล
    รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่
    MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง
    MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed
    Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril
    ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ

    https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    ✈️ “Lockheed Martin เปิดตัว Vectis — โดรนรบอัจฉริยะที่บินเคียงข้าง F-35 พร้อมเปลี่ยนโฉมสงครามทางอากาศ” Skunk Works หน่วยพัฒนาโครงการลับของ Lockheed Martin ที่เคยสร้างตำนานอย่าง SR-71 Blackbird ได้เปิดตัว Vectis อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 — โดรนรบอัตโนมัติรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Collaborative Combat Aircraft (CCA) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่แบบมีนักบิน เช่น F-35 และ F-22 Vectis เป็นโดรนประเภท Group 5 ซึ่งหมายถึง UAV ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน 1,320 ปอนด์ และสามารถบินสูงกว่า 18,000 ฟุต โดยมีความสามารถหลากหลาย ทั้งการโจมตีเป้าหมาย, ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW), การลาดตระเวนและสอดแนม (ISR), รวมถึงการป้องกันและโจมตีทางอากาศ แม้จะยังไม่มีต้นแบบที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Lockheed ยืนยันว่า Vectis จะใช้เทคโนโลยี stealth ขั้นสูง, ระบบควบคุมแบบเปิด (open systems) ที่ลดการผูกขาดจากผู้ผลิต และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ MDCX (Multi-Domain Combat System) เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องบินรุ่นที่ 5 และรุ่นถัดไปได้อย่างไร้รอยต่อ Vectis ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T (Manned-Unmanned Teaming) โดยมีนักบินในเครื่องบินขับไล่เป็น “ผู้บัญชาการสนามรบ” ที่ควบคุมฝูงโดรนจากระยะไกล นอกจากนี้ Vectis ยังถูกวางตำแหน่งให้เป็นแพลตฟอร์มที่ “ผลิตได้เร็วและราคาถูก” โดยใช้เทคนิคการผลิตแบบดิจิทัลและวิศวกรรมขั้นสูงที่เรียนรู้จากโครงการเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น อินโด-แปซิฟิก, ยุโรป และตะวันออกกลาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vectis เป็นโดรนรบอัตโนมัติ Group 5 ภายใต้โครงการ CCA ของ Lockheed Martin ➡️ เปิดตัวโดย Skunk Works เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2025 ➡️ ออกแบบให้ทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ เช่น F-35 และ F-22 ผ่านระบบ MDCX ➡️ รองรับภารกิจ ISR, EW, precision strike และ counter-air ทั้งเชิงรุกและรับ ➡️ สามารถทำงานเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ MUM-T ➡️ ใช้เทคโนโลยี stealth และระบบควบคุมแบบ open system เพื่อลด vendor lock ➡️ มีดีไซน์ปีกแบบ delta wing และช่องรับอากาศอยู่ด้านบนของลำตัว ➡️ วางแผนให้ผลิตได้เร็วและราคาถูก ด้วยเทคนิคการผลิตแบบดิจิทัล ➡️ รองรับการปฏิบัติการในภูมิภาค Indo-Pacific, Europe และ Central Command ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CCA เป็นแนวคิดใหม่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เน้นการใช้โดรนร่วมกับเครื่องบินขับไล่ ➡️ MUM-T ช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน และเพิ่มประสิทธิภาพการรบแบบฝูง ➡️ MDCX เป็นระบบควบคุมแบบรวมศูนย์ที่ใช้ในเครื่องบินรุ่นใหม่ของ Lockheed ➡️ Vectis เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันร่วมกับ YFQ-42A ของ General Atomics และ YFQ-44A ของ Anduril ➡️ ชื่อ “Vectis” มาจากภาษาละติน แปลว่า “คาน” หรือ “แรงงัด” สื่อถึงพลังในการเปลี่ยนสมดุลสนามรบ https://www.slashgear.com/1977823/lockheed-martin-vectis-combat-drone-revealed/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Lockheed Martin's Skunk Works Project Is No Longer A Secret: Meet The Vectis Combat Drone - SlashGear
    The Lockheed Martin Vectis drone is a combat-ready aircraft revealed in an uncharacteristically public manner, and is also reportedly headed for open market.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fenghua No.3 GPU จากจีนเปิดตัวแรง — เคลมรองรับ CUDA, Ray Tracing, และมี HBM กว่า 112GB สำหรับ AI ขนาดใหญ่”

    Innosilicon บริษัทผู้ผลิตชิปจากจีนเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ “Fenghua No.3” ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม GPU ในประเทศ โดยชูจุดเด่นว่าเป็น GPU แบบ “all-function” ที่รองรับทั้งงาน AI, การประมวลผลทางวิทยาศาสตร์, CAD, การแพทย์ และเกม พร้อมเคลมว่า “รองรับ CUDA” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia — หากเป็นจริง จะถือเป็นครั้งแรกที่ GPU จากจีนสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ที่พัฒนาบน CUDA ได้โดยตรง

    Fenghua No.3 ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบ open-source แทน PowerVR ที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้า และมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในประเทศ โดยอ้างว่าใช้เทคโนโลยีจากโครงการ Nanhu V3 ของ OpenCore Institute

    ด้านการเล่นเกม Fenghua No.3 รองรับ API สมัยใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan 1.2 และ OpenGL 4.6 พร้อมฟีเจอร์ Ray Tracing และสามารถรันเกมอย่าง Tomb Raider, Delta Force และ Valorant ได้อย่างลื่นไหลในการสาธิต แม้จะไม่มีข้อมูลเฟรมเรตหรือความละเอียดที่ใช้ในการทดสอบ

    สำหรับงาน AI Fenghua No.3 มาพร้อมหน่วยความจำ HBM มากกว่า 112GB ซึ่งสามารถรันโมเดลขนาด 32B และ 72B ได้ด้วยการ์ดเดียว และสามารถรันโมเดลขนาด 671B และ 685B ได้เมื่อใช้การ์ด 8 ใบร่วมกัน โดยรองรับโมเดล DeepSeek V3, R1, V3.1 และ Qwen 2.5, Qwen 3 อย่างเต็มรูปแบบ

    นอกจากนี้ยังเป็น GPU ตัวแรกของจีนที่รองรับฟอร์แมต YUV444 สำหรับงานภาพละเอียดสูง และสามารถแสดงผลบนจอ 8K ได้พร้อมกันถึง 6 จอที่ 30Hz อีกทั้งยังรองรับ DICOM สำหรับการแสดงผลภาพทางการแพทย์ เช่น MRI และ CT scan โดยไม่ต้องใช้จอ grayscale เฉพาะทาง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Fenghua No.3 เป็น GPU รุ่นใหม่จาก Innosilicon ประเทศจีน
    ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และออกแบบใหม่ทั้งหมดภายในประเทศ
    เคลมว่ารองรับ CUDA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia
    รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.2, OpenGL 4.6 และ Ray Tracing
    รันเกม Tomb Raider, Delta Force, Valorant ได้ในการสาธิต
    มาพร้อม HBM มากกว่า 112GB สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    รองรับโมเดล DeepSeek และ Qwen หลายเวอร์ชัน
    รองรับ YUV444 สำหรับงาน CAD และวิดีโอ
    แสดงผล 8K ได้พร้อมกัน 6 จอที่ 30Hz
    รองรับ DICOM สำหรับภาพทางการแพทย์โดยไม่ต้องใช้จอเฉพาะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ Nvidia ใช้สำหรับงาน AI และ HPC โดยทั่วไปไม่เปิดให้ GPU อื่นใช้งาน
    RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่กำลังได้รับความนิยมในจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพา IP จากตะวันตก
    HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่เร็วและเหมาะกับงาน AI มากกว่า GDDR
    YUV444 ให้ความละเอียดสีสูงกว่าฟอร์แมตทั่วไป เช่น YUV420 ซึ่งใช้ในวิดีโอสตรีมมิ่ง
    DICOM เป็นมาตรฐานภาพทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-latest-gpu-arrives-with-claims-of-cuda-compatibility-and-rt-support-fenghua-no-3-also-boasts-112gb-of-hbm-memory-for-ai
    🚀 “Fenghua No.3 GPU จากจีนเปิดตัวแรง — เคลมรองรับ CUDA, Ray Tracing, และมี HBM กว่า 112GB สำหรับ AI ขนาดใหญ่” Innosilicon บริษัทผู้ผลิตชิปจากจีนเปิดตัวกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ “Fenghua No.3” ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของอุตสาหกรรม GPU ในประเทศ โดยชูจุดเด่นว่าเป็น GPU แบบ “all-function” ที่รองรับทั้งงาน AI, การประมวลผลทางวิทยาศาสตร์, CAD, การแพทย์ และเกม พร้อมเคลมว่า “รองรับ CUDA” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia — หากเป็นจริง จะถือเป็นครั้งแรกที่ GPU จากจีนสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ที่พัฒนาบน CUDA ได้โดยตรง Fenghua No.3 ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แบบ open-source แทน PowerVR ที่เคยใช้ในรุ่นก่อนหน้า และมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดจากภายในประเทศ โดยอ้างว่าใช้เทคโนโลยีจากโครงการ Nanhu V3 ของ OpenCore Institute ด้านการเล่นเกม Fenghua No.3 รองรับ API สมัยใหม่อย่าง DirectX 12, Vulkan 1.2 และ OpenGL 4.6 พร้อมฟีเจอร์ Ray Tracing และสามารถรันเกมอย่าง Tomb Raider, Delta Force และ Valorant ได้อย่างลื่นไหลในการสาธิต แม้จะไม่มีข้อมูลเฟรมเรตหรือความละเอียดที่ใช้ในการทดสอบ สำหรับงาน AI Fenghua No.3 มาพร้อมหน่วยความจำ HBM มากกว่า 112GB ซึ่งสามารถรันโมเดลขนาด 32B และ 72B ได้ด้วยการ์ดเดียว และสามารถรันโมเดลขนาด 671B และ 685B ได้เมื่อใช้การ์ด 8 ใบร่วมกัน โดยรองรับโมเดล DeepSeek V3, R1, V3.1 และ Qwen 2.5, Qwen 3 อย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังเป็น GPU ตัวแรกของจีนที่รองรับฟอร์แมต YUV444 สำหรับงานภาพละเอียดสูง และสามารถแสดงผลบนจอ 8K ได้พร้อมกันถึง 6 จอที่ 30Hz อีกทั้งยังรองรับ DICOM สำหรับการแสดงผลภาพทางการแพทย์ เช่น MRI และ CT scan โดยไม่ต้องใช้จอ grayscale เฉพาะทาง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Fenghua No.3 เป็น GPU รุ่นใหม่จาก Innosilicon ประเทศจีน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม RISC-V และออกแบบใหม่ทั้งหมดภายในประเทศ ➡️ เคลมว่ารองรับ CUDA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของ Nvidia ➡️ รองรับ DirectX 12, Vulkan 1.2, OpenGL 4.6 และ Ray Tracing ➡️ รันเกม Tomb Raider, Delta Force, Valorant ได้ในการสาธิต ➡️ มาพร้อม HBM มากกว่า 112GB สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ รองรับโมเดล DeepSeek และ Qwen หลายเวอร์ชัน ➡️ รองรับ YUV444 สำหรับงาน CAD และวิดีโอ ➡️ แสดงผล 8K ได้พร้อมกัน 6 จอที่ 30Hz ➡️ รองรับ DICOM สำหรับภาพทางการแพทย์โดยไม่ต้องใช้จอเฉพาะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CUDA เป็นแพลตฟอร์มที่ Nvidia ใช้สำหรับงาน AI และ HPC โดยทั่วไปไม่เปิดให้ GPU อื่นใช้งาน ➡️ RISC-V เป็นสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่กำลังได้รับความนิยมในจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพา IP จากตะวันตก ➡️ HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำที่เร็วและเหมาะกับงาน AI มากกว่า GDDR ➡️ YUV444 ให้ความละเอียดสีสูงกว่าฟอร์แมตทั่วไป เช่น YUV420 ซึ่งใช้ในวิดีโอสตรีมมิ่ง ➡️ DICOM เป็นมาตรฐานภาพทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลทั่วโลก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-latest-gpu-arrives-with-claims-of-cuda-compatibility-and-rt-support-fenghua-no-3-also-boasts-112gb-of-hbm-memory-for-ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • DELTA ใกล้ชน New high เดิม 23/09/68 #หุ้น DELTA #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ราคาหุ้น
    DELTA ใกล้ชน New high เดิม 23/09/68 #หุ้น DELTA #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #ราคาหุ้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย

    หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด

    KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย

    ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้

    KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager

    ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า

    KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana
    เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย
    พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE

    ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม
    ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก
    รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx

    ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback
    เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ
    ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์

    ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11
    ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง
    ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก

    แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว
    Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager
    มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in

    นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
    Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้
    ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง

    คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha
    ยังไม่รองรับ Secure Boot
    GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง
    Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด
    การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่
    Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ
    ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback

    https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    📰 KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha — ระบบปฏิบัติการใหม่จากทีม KDE ที่เน้นความเสถียร ปลอดภัย และทันสมัย หลังจากประกาศแนวคิดเมื่อปลายปี 2024 ทีม KDE ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ “KDE Linux” ซึ่งพัฒนาภายใต้โค้ดเนม “Project Banana” โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงอย่างเป็นทางการสำหรับเดสก์ท็อป Plasma และแอปพลิเคชันของ KDE ทั้งหมด KDE Linux ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ดิสโทรแบบ Arch ทั่วไป เพราะมีการออกแบบให้เป็นระบบ “immutable” หรือระบบที่แกนหลักไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ผิดพลาด โดยใช้การอัปเดตแบบ image-based และสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้ง่าย ระบบนี้ยังเน้นการติดตั้งแอปผ่าน Flatpak, Snap และ AppImage โดยไม่ใช้แพ็กเกจแบบดั้งเดิมอย่าง pacman, RPM หรือ DEB แต่หากต้องการก็สามารถใช้ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ได้ KDE Linux Alpha ยังไม่รองรับ Secure Boot และมีปัญหากับ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 รวมถึงการใช้งานบางฟีเจอร์ใน Flatpak ที่ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาเช่น Nate Graham และ Harald Sitter ยืนยันว่าแม้จะเป็นเวอร์ชันทดสอบ แต่ก็สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการติดตั้งแอปพื้นฐานมาให้ เช่น Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect และ KWallet Manager ระบบใช้ Wayland เป็น session หลัก ไม่มี X11 รองรับ และใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง พร้อมระบบไฟล์ Btrfs ที่รองรับการย้อนกลับ OS ได้ถึง 5 เวอร์ชันก่อนหน้า ✅ KDE Linux เปิดตัวเวอร์ชัน Alpha ภายใต้ชื่อ Project Banana ➡️ เป็นระบบปฏิบัติการแบบ immutable ที่เน้นเสถียรภาพและความปลอดภัย ➡️ พัฒนาโดยทีม KDE เพื่อเป็นแพลตฟอร์มอ้างอิงสำหรับ Plasma และแอป KDE ✅ ใช้พื้นฐานจาก Arch Linux แต่ไม่ใช่ Arch-based แบบดั้งเดิม ➡️ ไม่มี pacman / ใช้ Flatpak, Snap, AppImage เป็นหลัก ➡️ รองรับ container tools เช่น Distrobox และ Toolbx ✅ ระบบอัปเดตแบบ image-based พร้อมฟีเจอร์ rollback ➡️ เก็บ OS image ได้ถึง 5 เวอร์ชันเพื่อย้อนกลับ ➡️ ลดความเสี่ยงจากการอัปเดตที่ไม่สมบูรณ์ ✅ ใช้ Wayland เป็น session หลัก / ไม่มี X11 ➡️ ใช้ PipeWire สำหรับระบบเสียง ➡️ ใช้ Btrfs เป็นระบบไฟล์หลัก ✅ แอปพื้นฐานที่ติดตั้งมาแล้ว ➡️ Firefox, Konsole, Haruna, KDE Connect, KWallet Manager ➡️ มี Welcome Center และระบบ telemetry opt-in ✅ นักพัฒนา KDE ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ➡️ Nate Graham ใช้บนเครื่องหลักและพัฒนา KDE บนระบบนี้ ➡️ ยืนยันว่า “ไม่ใช่ของเล่น” แต่เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับข้อจำกัดของเวอร์ชัน Alpha ⛔ ยังไม่รองรับ Secure Boot ⛔ GPU NVIDIA รุ่นก่อน GTX 1630 ต้องแก้ไขด้วยตนเอง ⛔ Flatpak ยังมีปัญหาเรื่องการแสดงผลและการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์บางชนิด ⛔ การอัปเดตระบบยังไม่มี delta update ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ ⛔ Manual partitioning ยังไม่ทำงาน / DisplayLink ยังไม่รองรับ ⛔ ระบบ QA ยังไม่สมบูรณ์ อาจมี build ที่ต้อง rollback https://news.itsfoss.com/kde-linux-alpha/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    I Briefly Tried KDE's Very Own Linux Distro
    I am still livid that they didn't name it KLinux or Kinux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B

    ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน

    Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2

    หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร

    ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

    นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ

    Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที

    สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next
    ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1)
    เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension
    ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว

    โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse
    มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step
    ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า
    ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก

    การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก
    ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm
    เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ
    normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง

    ประสิทธิภาพของโมเดล
    Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10%
    Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว
    Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark

    การใช้งานและ deployment
    รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN
    ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที
    รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module

    https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Qwen3 สู่ Qwen3-Next: เมื่อโมเดล 80B ทำงานได้เท่ากับ 235B โดยใช้พลังแค่ 3B ในเดือนกันยายน 2025 ทีม Qwen จาก Alibaba ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ชื่อว่า Qwen3-Next ซึ่งเป็นการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ที่เน้น “ประสิทธิภาพต่อพารามิเตอร์” และ “ความเร็วในการประมวลผลข้อความยาว” โดยใช้แนวคิดใหม่ทั้งในด้าน attention, sparsity และการพยากรณ์หลาย token พร้อมกัน Qwen3-Next มีพารามิเตอร์รวม 80 พันล้าน แต่เปิดใช้งานจริงเพียง 3 พันล้านระหว่างการ inference ซึ่งทำให้สามารถเทียบเคียงกับ Qwen3-235B ได้ในหลายงาน โดยใช้ต้นทุนการฝึกเพียง 9.3% ของ Qwen3-32B2 หัวใจของ Qwen3-Next คือการผสมผสานระหว่าง Gated DeltaNet (linear attention ที่เร็วแต่แม่น) กับ standard attention (ที่แม่นแต่ช้า) ในอัตราส่วน 3:1 พร้อมเพิ่ม gating, rotary encoding แบบบางส่วน และการขยายขนาด head dimension เพื่อรองรับข้อความยาวถึง 256K tokens ได้อย่างเสถียร ในส่วนของ MoE (Mixture-of-Experts) Qwen3-Next ใช้โครงสร้าง ultra-sparse โดยมี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ซึ่งทำให้ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพื่อความเสถียร เช่น Zero-Centered RMSNorm, weight decay เฉพาะ norm weights และการ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้การฝึกมีความนิ่งและไม่เกิดปัญหา activation ผิดปกติ Qwen3-Next ยังมาพร้อม Multi-Token Prediction (MTP) ที่ช่วยให้การ inference แบบ speculative decoding มีความแม่นยำและเร็วขึ้น โดยสามารถใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang และ vLLM ได้ทันที ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ของ Qwen3-Next ➡️ ใช้ hybrid attention: Gated DeltaNet + standard attention (อัตราส่วน 3:1) ➡️ เพิ่ม gating, rotary encoding เฉพาะ 25% ของ position dimension ➡️ ขยาย head dimension จาก 128 เป็น 256 เพื่อรองรับข้อความยาว ✅ โครงสร้าง MoE แบบ ultra-sparse ➡️ มี 512 experts แต่เปิดใช้งานเพียง 10 + 1 shared expert ต่อ step ➡️ ลดการใช้พลังงานและเพิ่ม throughput ได้มากกว่า 10 เท่า ➡️ ใช้ global load balancing เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก ✅ การออกแบบเพื่อความเสถียรในการฝึก ➡️ ใช้ Zero-Centered RMSNorm แทน QK-Norm ➡️ เพิ่ม weight decay เฉพาะ norm weights เพื่อป้องกันการโตผิดปกติ ➡️ normalize router parameters ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อความนิ่ง ✅ ประสิทธิภาพของโมเดล ➡️ Qwen3-Next-80B-A3B-Base เทียบเท่าหรือดีกว่า Qwen3-32B โดยใช้พลังแค่ 10% ➡️ Qwen3-Next-Instruct เทียบเคียง Qwen3-235B-A22B-Instruct-2507 ในงาน context ยาว ➡️ Qwen3-Next-Thinking ชนะ Gemini-2.5-Flash-Thinking ในหลาย benchmark ✅ การใช้งานและ deployment ➡️ รองรับ context สูงสุด 256K tokens และสามารถขยายถึง 1M ด้วยเทคนิค YaRN ➡️ ใช้งานผ่าน Hugging Face, ModelScope, SGLang, vLLM ได้ทันที ➡️ รองรับ speculative decoding ผ่าน MTP module https://qwen.ai/blog?id=4074cca80393150c248e508aa62983f9cb7d27cd&from=research.latest-advancements-list
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา

    งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน

    ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก

    ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว

    นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า

    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา

    ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง
    EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่
    การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ
    ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน

    ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง
    ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง”
    กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน
    การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์

    ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI
    ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ
    สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้
    งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์

    ข้อเสนอจากนักวิจัย
    ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ
    การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ
    การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี

    https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา ✅ ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง ➡️ EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่ ➡️ การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ ➡️ ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน ✅ ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง ➡️ ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง” ➡️ กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน ➡️ การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์ ✅ ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ ➡️ สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้ ➡️ งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ✅ ข้อเสนอจากนักวิจัย ➡️ ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ ➡️ การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ ➡️ การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “แรม 256GB” ไม่ใช่แค่เยอะ…แต่มันคือพลังของยุค AI

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังตัดต่อวิดีโอ 8K พร้อมกับรันโมเดล AI และเปิดเกม AAA ไปด้วย — ถ้าเครื่องคุณยังใช้แรม 32GB หรือ 64GB อาจจะถึงเวลาอัปเกรดแล้ว เพราะ TeamGroup เพิ่งเปิดตัว “แรม DDR5 ความจุ 256GB” แบบ Quad-Channel ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนักระดับเทพโดยเฉพาะ

    ภายใต้แบรนด์ T-FORCE และ T-CREATE มีสองรุ่นให้เลือก:
    - T-FORCE DELTA RGB DDR5-6000 CL32 สำหรับสายเกมเมอร์ที่ต้องการทั้งความเร็วและความสวยงาม
    - T-CREATE EXPERT DDR5-5600 CL42 สำหรับสายครีเอเตอร์ที่เน้นความเสถียรและประสิทธิภาพระยะยาว

    ทั้งสองรุ่นใช้โมดูล 64GB จำนวน 4 ตัว รวมเป็น 256GB และผ่านการทดสอบกับแพลตฟอร์ม AMD X870 ซึ่งรองรับ Ryzen 9000 Series ได้อย่างสมบูรณ์

    สาระจากข่าว
    TeamGroup เปิดตัวแรม DDR5 ความจุ 256GB
    ใช้โมดูล 64GB จำนวน 4 ตัวในชุด Quad-Channel
    มีสองซีรีส์: T-FORCE สำหรับเกมเมอร์ และ T-CREATE สำหรับครีเอเตอร์

    T-FORCE DELTA RGB DDR5-6000 CL32
    ความเร็วสูงสุด 6000 MT/s พร้อม latency ต่ำ CL32
    รองรับ AMD EXPO สำหรับการโอเวอร์คล็อกผ่าน BIOS
    มีไฟ RGB และฮีตซิงก์ดีไซน์สวยงาม

    T-CREATE EXPERT DDR5-5600 CL42
    ความเร็ว 5600 MT/s พร้อม latency CL42
    ไม่มี RGB เน้นดีไซน์เรียบง่ายและความเสถียร
    เหมาะสำหรับงานหนัก เช่น 3D rendering, video editing, AI workloads

    ผ่านการทดสอบกับ AMD X870 platform
    รองรับ Ryzen 9000 Series และเมนบอร์ดรุ่นใหม่
    เพิ่มความมั่นใจในความเข้ากันได้และเสถียรภาพ

    เตรียมวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนกันยายน 2025
    ยังไม่เปิดเผยราคา แต่คาดว่าจะสูงตามความจุและสเปก

    https://wccftech.com/teamgroup-shows-off-its-ultra-capacity-256gb-quad-channel-ddr5-memory-kit-for-intensive-workloads/
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “แรม 256GB” ไม่ใช่แค่เยอะ…แต่มันคือพลังของยุค AI ลองจินตนาการว่าคุณกำลังตัดต่อวิดีโอ 8K พร้อมกับรันโมเดล AI และเปิดเกม AAA ไปด้วย — ถ้าเครื่องคุณยังใช้แรม 32GB หรือ 64GB อาจจะถึงเวลาอัปเกรดแล้ว เพราะ TeamGroup เพิ่งเปิดตัว “แรม DDR5 ความจุ 256GB” แบบ Quad-Channel ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนักระดับเทพโดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ T-FORCE และ T-CREATE มีสองรุ่นให้เลือก: - T-FORCE DELTA RGB DDR5-6000 CL32 สำหรับสายเกมเมอร์ที่ต้องการทั้งความเร็วและความสวยงาม - T-CREATE EXPERT DDR5-5600 CL42 สำหรับสายครีเอเตอร์ที่เน้นความเสถียรและประสิทธิภาพระยะยาว ทั้งสองรุ่นใช้โมดูล 64GB จำนวน 4 ตัว รวมเป็น 256GB และผ่านการทดสอบกับแพลตฟอร์ม AMD X870 ซึ่งรองรับ Ryzen 9000 Series ได้อย่างสมบูรณ์ ✅ สาระจากข่าว ✅ TeamGroup เปิดตัวแรม DDR5 ความจุ 256GB ➡️ ใช้โมดูล 64GB จำนวน 4 ตัวในชุด Quad-Channel ➡️ มีสองซีรีส์: T-FORCE สำหรับเกมเมอร์ และ T-CREATE สำหรับครีเอเตอร์ ✅ T-FORCE DELTA RGB DDR5-6000 CL32 ➡️ ความเร็วสูงสุด 6000 MT/s พร้อม latency ต่ำ CL32 ➡️ รองรับ AMD EXPO สำหรับการโอเวอร์คล็อกผ่าน BIOS ➡️ มีไฟ RGB และฮีตซิงก์ดีไซน์สวยงาม ✅ T-CREATE EXPERT DDR5-5600 CL42 ➡️ ความเร็ว 5600 MT/s พร้อม latency CL42 ➡️ ไม่มี RGB เน้นดีไซน์เรียบง่ายและความเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงานหนัก เช่น 3D rendering, video editing, AI workloads ✅ ผ่านการทดสอบกับ AMD X870 platform ➡️ รองรับ Ryzen 9000 Series และเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ➡️ เพิ่มความมั่นใจในความเข้ากันได้และเสถียรภาพ ✅ เตรียมวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนกันยายน 2025 ➡️ ยังไม่เปิดเผยราคา แต่คาดว่าจะสูงตามความจุและสเปก https://wccftech.com/teamgroup-shows-off-its-ultra-capacity-256gb-quad-channel-ddr5-memory-kit-for-intensive-workloads/
    WCCFTECH.COM
    TeamGroup Shows Off Its Ultra-Capacity 256GB Quad-Channel DDR5 Memory Kit For Intensive Workloads
    TeamGroup has unveiled its new lineup of ultra high-capacity DDR5 memory under the T-Force and T-Create series, bringing 256 GB DDR5 RAM kits.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนคงคุ้นกับคำว่า "FineWine" ที่ใช้เรียกฟีโนมีนาของ Radeon ที่ “ยิ่งนาน ยิ่งแรง” เพราะ AMD มักปล่อยอัปเดตไดรเวอร์ที่รีดสมรรถนะจากการ์ดเดิมออกมาได้เรื่อย ๆ

    รอบนี้ RX 9070 XT ที่เคยรีวิวไว้กับไดรเวอร์เก่ารุ่น 25.3.1 RC ถูกนำกลับมาทดสอบใหม่ ด้วยไดรเวอร์ล่าสุด Adrenalin 25.6.3 — ผลคือเฟรมเรตในเกมต่าง ๆ ขยับขึ้นแรงสุดถึง 27%!

    Spider-Man Remastered แรงขึ้น 27%
    Counter-Strike 2 แรงขึ้น 23%
    Hogwarts Legacy, Call of Duty: Black Ops 6, และ Delta Force ขยับขึ้นราว 10%+
    Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ขยับขึ้น 7%
    Starfield แม้จะน้อยที่สุด ก็ยังได้ 5% เพิ่มเติม

    ทั้งหมดนี้เกิดจากการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของ GPU และลดภาระที่ CPU ต้องรับ — แม้จะไม่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เลยก็ตาม!

    https://www.neowin.net/news/amd-finewine-magic-still-shines-bright-in-2025-as-test-shows-massive-performance-gains/
    หลายคนคงคุ้นกับคำว่า "FineWine" ที่ใช้เรียกฟีโนมีนาของ Radeon ที่ “ยิ่งนาน ยิ่งแรง” เพราะ AMD มักปล่อยอัปเดตไดรเวอร์ที่รีดสมรรถนะจากการ์ดเดิมออกมาได้เรื่อย ๆ รอบนี้ RX 9070 XT ที่เคยรีวิวไว้กับไดรเวอร์เก่ารุ่น 25.3.1 RC ถูกนำกลับมาทดสอบใหม่ ด้วยไดรเวอร์ล่าสุด Adrenalin 25.6.3 — ผลคือเฟรมเรตในเกมต่าง ๆ ขยับขึ้นแรงสุดถึง 27%! 🕷️ Spider-Man Remastered แรงขึ้น 27% 🔫 Counter-Strike 2 แรงขึ้น 23% 🪄 Hogwarts Legacy, Call of Duty: Black Ops 6, และ Delta Force ขยับขึ้นราว 10%+ 🌆 Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ขยับขึ้น 7% 🌌 Starfield แม้จะน้อยที่สุด ก็ยังได้ 5% เพิ่มเติม ทั้งหมดนี้เกิดจากการปรับปรุงการใช้ทรัพยากรของ GPU และลดภาระที่ CPU ต้องรับ — แม้จะไม่มีการอัปเกรดฮาร์ดแวร์เลยก็ตาม! https://www.neowin.net/news/amd-finewine-magic-still-shines-bright-in-2025-as-test-shows-massive-performance-gains/
    WWW.NEOWIN.NET
    AMD FineWine magic still shines bright in 2025 as test shows massive performance gains
    AMD's Fine Wine magic tech is still alive and kicking in 2025, as test data shows massive performance boosts in several scenarios.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว

  • Delta ปัจจัยลบรุมเร้า (05/06/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #Delta
    Delta ปัจจัยลบรุมเร้า (05/06/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #Delta
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 531 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • เทคโนโลยี e-tattoo: นวัตกรรมติดตามความเหนื่อยล้าทางจิตใจ
    นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ออสติน ได้พัฒนา e-tattoo ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์แบบสติ๊กเกอร์ที่สามารถติดบนหน้าผากเพื่อตรวจสอบ ความเหนื่อยล้าทางจิตใจแบบเรียลไทม์ โดยอุปกรณ์นี้อาจช่วย นักบิน, คนขับรถ, ผู้ควบคุมหุ่นยนต์ และผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง

    e-tattoo ใช้ EEG และ EOG เพื่อตรวจจับคลื่นสมองและการเคลื่อนไหวของดวงตา ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์ ภาระทางจิตใจ ของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ

    นักวิจัยพบว่า เมื่อภาระทางจิตใจเพิ่มขึ้น คลื่นสมองประเภท theta และ delta จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ คลื่น alpha และ beta จะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความเหนื่อยล้า

    ข้อมูลจากข่าว
    - e-tattoo เป็นเซ็นเซอร์แบบสติ๊กเกอร์ที่ติดบนหน้าผากเพื่อตรวจสอบความเหนื่อยล้าทางจิตใจ
    - ใช้ EEG และ EOG เพื่อตรวจจับคลื่นสมองและการเคลื่อนไหวของดวงตา
    - สามารถช่วยนักบิน, คนขับรถ และผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง
    - คลื่น theta และ delta เพิ่มขึ้นเมื่อภาระทางจิตใจสูงขึ้น
    - คลื่น alpha และ beta เพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความเหนื่อยล้า

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม
    - ต้องหาวิธีให้เซ็นเซอร์สามารถถอดรหัสสัญญาณและแจ้งเตือนผ่านแอปได้โดยตรง
    - อุปกรณ์นี้อาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนไหวมาก
    - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะยอมรับการติดเซ็นเซอร์บนใบหน้าหรือไม่

    e-tattoo อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา เทคโนโลยีติดตามสุขภาพทางจิตใจ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง อย่างไรก็ตาม ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์นี้สามารถใช้งานได้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ

    https://www.techspot.com/news/108124-stick-e-tattoo-tracks-mental-fatigue-real-time.html
    🧠 เทคโนโลยี e-tattoo: นวัตกรรมติดตามความเหนื่อยล้าทางจิตใจ นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเท็กซัสที่ออสติน ได้พัฒนา e-tattoo ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์แบบสติ๊กเกอร์ที่สามารถติดบนหน้าผากเพื่อตรวจสอบ ความเหนื่อยล้าทางจิตใจแบบเรียลไทม์ โดยอุปกรณ์นี้อาจช่วย นักบิน, คนขับรถ, ผู้ควบคุมหุ่นยนต์ และผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง e-tattoo ใช้ EEG และ EOG เพื่อตรวจจับคลื่นสมองและการเคลื่อนไหวของดวงตา ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์ ภาระทางจิตใจ ของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ นักวิจัยพบว่า เมื่อภาระทางจิตใจเพิ่มขึ้น คลื่นสมองประเภท theta และ delta จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ คลื่น alpha และ beta จะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความเหนื่อยล้า ✅ ข้อมูลจากข่าว - e-tattoo เป็นเซ็นเซอร์แบบสติ๊กเกอร์ที่ติดบนหน้าผากเพื่อตรวจสอบความเหนื่อยล้าทางจิตใจ - ใช้ EEG และ EOG เพื่อตรวจจับคลื่นสมองและการเคลื่อนไหวของดวงตา - สามารถช่วยนักบิน, คนขับรถ และผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง - คลื่น theta และ delta เพิ่มขึ้นเมื่อภาระทางจิตใจสูงขึ้น - คลื่น alpha และ beta เพิ่มขึ้นเมื่อเกิดความเหนื่อยล้า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา และต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม - ต้องหาวิธีให้เซ็นเซอร์สามารถถอดรหัสสัญญาณและแจ้งเตือนผ่านแอปได้โดยตรง - อุปกรณ์นี้อาจมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนไหวมาก - ต้องรอดูว่าผู้ใช้จะยอมรับการติดเซ็นเซอร์บนใบหน้าหรือไม่ e-tattoo อาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา เทคโนโลยีติดตามสุขภาพทางจิตใจ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง อย่างไรก็ตาม ต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์นี้สามารถใช้งานได้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ https://www.techspot.com/news/108124-stick-e-tattoo-tracks-mental-fatigue-real-time.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    This stick-on e-tattoo tracks mental fatigue in real time
    Dr Nanshu Lu, an author of the research from the University of Texas at Austin, writes that the e-tattoo could be valuable for professions that require high...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • Delta ฟ้อง CrowdStrike กรณีอัปเดตผิดพลาดที่ทำให้ระบบล่ม

    Delta Airlines ได้รับอนุญาตจากศาลให้ดำเนินคดีต่อ CrowdStrike หลังจากที่ บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้รายนี้ปล่อยอัปเดตที่ผิดพลาด ส่งผลให้ระบบของหลายองค์กรทั่วโลกล่ม โดยเฉพาะ สายการบิน, ธนาคาร และสถานีโทรทัศน์

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดีระหว่าง Delta และ CrowdStrike
    CrowdStrike ปล่อยอัปเดตผิดพลาดบน Windows ทำให้เกิด Blue Screen of Death
    - ส่งผลให้ องค์กรหลายแห่งไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ

    Delta Airlines ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 5 วัน
    - เทียบกับ American Airlines และ United Airlines ที่ใช้เวลาฟื้นตัวน้อยกว่า

    Delta อ้างว่า CrowdStrike ปล่อยอัปเดตโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - ข้ามกระบวนการรับรองของ Microsoft และไม่ได้ทดสอบก่อนปล่อยอัปเดต

    Delta ฟ้อง CrowdStrike ด้วยข้อกล่าวหาหลายประการ เช่น การละเมิดสัญญา, การบุกรุก, ความประมาทเลินเล่อ และการฉ้อโกง
    - CrowdStrike พยายามให้ศาลยกฟ้องโดยอ้างว่าข้อกล่าวหาบางส่วนไม่สามารถดำเนินคดีได้

    ศาลปฏิเสธคำร้องของ CrowdStrike และให้คดีดำเนินต่อไป
    - ข้อกล่าวหาเรื่อง การบุกรุกและความประมาทเลินเล่อได้รับการยอมรับ ส่วนข้อกล่าวหาการฉ้อโกงได้รับการพิจารณาบางส่วน

    CrowdStrike อาจต้องจ่ายค่าเสียหายให้ Delta เป็นจำนวน "หลักล้านดอลลาร์"
    - ทนายของ CrowdStrike ระบุว่าค่าเสียหายอาจอยู่ในระดับ "ตัวเลขหลักเดียวของล้านดอลลาร์"

    https://www.techradar.com/pro/security/deltas-lawsuit-against-crowdstrike-to-go-ahead-after-okay-from-judge
    Delta ฟ้อง CrowdStrike กรณีอัปเดตผิดพลาดที่ทำให้ระบบล่ม Delta Airlines ได้รับอนุญาตจากศาลให้ดำเนินคดีต่อ CrowdStrike หลังจากที่ บริษัทไซเบอร์ซีเคียวริตี้รายนี้ปล่อยอัปเดตที่ผิดพลาด ส่งผลให้ระบบของหลายองค์กรทั่วโลกล่ม โดยเฉพาะ สายการบิน, ธนาคาร และสถานีโทรทัศน์ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดีระหว่าง Delta และ CrowdStrike ✅ CrowdStrike ปล่อยอัปเดตผิดพลาดบน Windows ทำให้เกิด Blue Screen of Death - ส่งผลให้ องค์กรหลายแห่งไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ✅ Delta Airlines ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 5 วัน - เทียบกับ American Airlines และ United Airlines ที่ใช้เวลาฟื้นตัวน้อยกว่า ✅ Delta อ้างว่า CrowdStrike ปล่อยอัปเดตโดยไม่ได้รับอนุญาต - ข้ามกระบวนการรับรองของ Microsoft และไม่ได้ทดสอบก่อนปล่อยอัปเดต ✅ Delta ฟ้อง CrowdStrike ด้วยข้อกล่าวหาหลายประการ เช่น การละเมิดสัญญา, การบุกรุก, ความประมาทเลินเล่อ และการฉ้อโกง - CrowdStrike พยายามให้ศาลยกฟ้องโดยอ้างว่าข้อกล่าวหาบางส่วนไม่สามารถดำเนินคดีได้ ✅ ศาลปฏิเสธคำร้องของ CrowdStrike และให้คดีดำเนินต่อไป - ข้อกล่าวหาเรื่อง การบุกรุกและความประมาทเลินเล่อได้รับการยอมรับ ส่วนข้อกล่าวหาการฉ้อโกงได้รับการพิจารณาบางส่วน ✅ CrowdStrike อาจต้องจ่ายค่าเสียหายให้ Delta เป็นจำนวน "หลักล้านดอลลาร์" - ทนายของ CrowdStrike ระบุว่าค่าเสียหายอาจอยู่ในระดับ "ตัวเลขหลักเดียวของล้านดอลลาร์" https://www.techradar.com/pro/security/deltas-lawsuit-against-crowdstrike-to-go-ahead-after-okay-from-judge
    WWW.TECHRADAR.COM
    Delta's lawsuit against CrowdStrike to go ahead after okay from Judge
    The judge has partially denied CrowdStrike’s motion to dismiss
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • Delta สามารถฟ้อง CrowdStrike กรณีระบบล่มที่ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 7,000 เที่ยว

    ศาลรัฐจอร์เจีย อนุญาตให้ Delta Air Lines ดำเนินคดีต่อ CrowdStrike บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หลังจากที่ การอัปเดตซอฟต์แวร์ Falcon ของ CrowdStrike ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ล่มทั่วโลก ส่งผลให้ Delta ต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 7,000 เที่ยว และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดี Delta vs. CrowdStrike
    Delta อ้างว่า CrowdStrike ละเลยการทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนปล่อยอัปเดต
    - หากมีการทดสอบบนคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ข้อผิดพลาดอาจถูกตรวจพบก่อนเกิดเหตุ

    การอัปเดตซอฟต์แวร์ Falcon ทำให้คอมพิวเตอร์ Windows กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม
    - ส่งผลกระทบต่อ สายการบินและองค์กรทั่วโลก

    ศาลอนุญาตให้ Delta ดำเนินคดีในข้อหาประมาทเลินเล่อร้ายแรงและการบุกรุกระบบคอมพิวเตอร์
    - รวมถึง ข้อกล่าวหาว่า CrowdStrike สัญญาว่าจะไม่สร้าง "back door" ในระบบของ Delta แต่กลับทำตรงกันข้าม

    Delta ประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ที่ 550 ล้านดอลลาร์
    - แต่สามารถ ลดต้นทุนเชื้อเพลิงลงได้ 50 ล้านดอลลาร์

    CrowdStrike ปฏิเสธข้อกล่าวหาและมั่นใจว่าคดีจะถูกจำกัดความเสียหายไว้ที่ "หลักล้านดอลลาร์"
    - อ้างว่า ภายใต้กฎหมายจอร์เจีย การเรียกร้องค่าเสียหายอาจถูกจำกัด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/delta-can-sue-crowdstrike-over-computer-outage-that-caused-7000-canceled-flights
    Delta สามารถฟ้อง CrowdStrike กรณีระบบล่มที่ทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบิน 7,000 เที่ยว ศาลรัฐจอร์เจีย อนุญาตให้ Delta Air Lines ดำเนินคดีต่อ CrowdStrike บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หลังจากที่ การอัปเดตซอฟต์แวร์ Falcon ของ CrowdStrike ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ล่มทั่วโลก ส่งผลให้ Delta ต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 7,000 เที่ยว และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดี Delta vs. CrowdStrike ✅ Delta อ้างว่า CrowdStrike ละเลยการทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนปล่อยอัปเดต - หากมีการทดสอบบนคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ข้อผิดพลาดอาจถูกตรวจพบก่อนเกิดเหตุ ✅ การอัปเดตซอฟต์แวร์ Falcon ทำให้คอมพิวเตอร์ Windows กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม - ส่งผลกระทบต่อ สายการบินและองค์กรทั่วโลก ✅ ศาลอนุญาตให้ Delta ดำเนินคดีในข้อหาประมาทเลินเล่อร้ายแรงและการบุกรุกระบบคอมพิวเตอร์ - รวมถึง ข้อกล่าวหาว่า CrowdStrike สัญญาว่าจะไม่สร้าง "back door" ในระบบของ Delta แต่กลับทำตรงกันข้าม ✅ Delta ประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ที่ 550 ล้านดอลลาร์ - แต่สามารถ ลดต้นทุนเชื้อเพลิงลงได้ 50 ล้านดอลลาร์ ✅ CrowdStrike ปฏิเสธข้อกล่าวหาและมั่นใจว่าคดีจะถูกจำกัดความเสียหายไว้ที่ "หลักล้านดอลลาร์" - อ้างว่า ภายใต้กฎหมายจอร์เจีย การเรียกร้องค่าเสียหายอาจถูกจำกัด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/delta-can-sue-crowdstrike-over-computer-outage-that-caused-7000-canceled-flights
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Delta can sue CrowdStrike over computer outage that caused 7,000 canceled flights
    (Reuters) -Delta Air Lines can pursue much of its lawsuit seeking to hold cybersecurity company CrowdStrike liable for a massive computer outage last July that caused the carrier to cancel 7,000 flights, a Georgia state judge ruled.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • Delta Air Lines กำลังเผชิญกับ คดีฟ้องร้องจากผู้โดยสาร หลังจากเกิด เหตุขัดข้องทางคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ เที่ยวบินหลายพันเที่ยวถูกยกเลิกหรือเกิดความล่าช้า

    เหตุขัดข้องนี้เกิดจาก การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดจาก CrowdStrike ซึ่งทำให้ คอมพิวเตอร์กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม และส่งผลกระทบต่อ ลูกค้าของ Microsoft จำนวนมาก แม้ว่าสายการบินอื่น ๆ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่ Delta ยกเลิกเที่ยวบินไปกว่า 7,000 เที่ยว

    Delta ถูกฟ้องร้องโดยผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
    - ผู้โดยสารกล่าวว่า Delta ปฏิเสธที่จะคืนเงินเต็มจำนวน หลังจากเที่ยวบินถูกยกเลิกหรือเกิดความล่าช้า
    - คดีนี้ได้รับการพิจารณาโดย ศาลแขวงสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจีย

    เหตุขัดข้องเกิดจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดจาก CrowdStrike
    - ทำให้ คอมพิวเตอร์กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม
    - ส่งผลกระทบต่อ ลูกค้าของ Microsoft จำนวนมาก

    Delta ยกเลิกเที่ยวบินไปกว่า 7,000 เที่ยว
    - แม้ว่าสายการบินอื่น ๆ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่ Delta ยังคงได้รับผลกระทบเป็นเวลานาน

    ผู้โดยสารบางรายได้รับค่าชดเชยที่ต่ำกว่าค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
    - เช่น John Brennan จากฟลอริดา ที่พลาด การล่องเรือฉลองครบรอบมูลค่า $10,000 แต่ได้รับค่าชดเชยเพียง $219.45
    - Vittorio Muzzi จากเนเธอร์แลนด์ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 5,000 ยูโร และกระเป๋าเดินทางล่าช้า 15 วัน แต่ได้รับค่าชดเชยเพียง 588 ยูโร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/delta-must-face-passenger-lawsuit-over-massive-computer-outage
    Delta Air Lines กำลังเผชิญกับ คดีฟ้องร้องจากผู้โดยสาร หลังจากเกิด เหตุขัดข้องทางคอมพิวเตอร์ครั้งใหญ่ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ เที่ยวบินหลายพันเที่ยวถูกยกเลิกหรือเกิดความล่าช้า เหตุขัดข้องนี้เกิดจาก การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดจาก CrowdStrike ซึ่งทำให้ คอมพิวเตอร์กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม และส่งผลกระทบต่อ ลูกค้าของ Microsoft จำนวนมาก แม้ว่าสายการบินอื่น ๆ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่ Delta ยกเลิกเที่ยวบินไปกว่า 7,000 เที่ยว ✅ Delta ถูกฟ้องร้องโดยผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน - ผู้โดยสารกล่าวว่า Delta ปฏิเสธที่จะคืนเงินเต็มจำนวน หลังจากเที่ยวบินถูกยกเลิกหรือเกิดความล่าช้า - คดีนี้ได้รับการพิจารณาโดย ศาลแขวงสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจีย ✅ เหตุขัดข้องเกิดจากการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดจาก CrowdStrike - ทำให้ คอมพิวเตอร์กว่า 8 ล้านเครื่องล่ม - ส่งผลกระทบต่อ ลูกค้าของ Microsoft จำนวนมาก ✅ Delta ยกเลิกเที่ยวบินไปกว่า 7,000 เที่ยว - แม้ว่าสายการบินอื่น ๆ จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว แต่ Delta ยังคงได้รับผลกระทบเป็นเวลานาน ✅ ผู้โดยสารบางรายได้รับค่าชดเชยที่ต่ำกว่าค่าเสียหายที่เกิดขึ้น - เช่น John Brennan จากฟลอริดา ที่พลาด การล่องเรือฉลองครบรอบมูลค่า $10,000 แต่ได้รับค่าชดเชยเพียง $219.45 - Vittorio Muzzi จากเนเธอร์แลนด์ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 5,000 ยูโร และกระเป๋าเดินทางล่าช้า 15 วัน แต่ได้รับค่าชดเชยเพียง 588 ยูโร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/delta-must-face-passenger-lawsuit-over-massive-computer-outage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Delta must face passenger lawsuit over massive computer outage
    (Reuters) -Delta Air Lines must face a proposed class action by passengers who said it refused to offer full refunds after delaying or canceling their flights following a massive computer outage last July, a federal judge ruled on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 450 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ส่งผลกระทบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่โรงงานในไทยที่เป็นฐานการผลิตสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย บริษัทเทคโนโลยีรายงานว่าดำเนินงานตามปกติ และมีแนวโน้มขยายการผลิตในพื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชน

    การดำเนินการหลังเหตุการณ์:
    - บริษัทในไทยหลายแห่ง เช่น Zhen Ding Tech และ Delta Electronics ทำการอพยพพนักงานชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและกลับมาดำเนินงานได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

    ความสำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรม:
    - ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับบริษัทอย่าง Intel, Seagate และ Western Digital และเหตุการณ์นี้เป็นการทดสอบความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้

    แนวโน้มการขยายการผลิต:
    - หลายบริษัทกำลังเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม

    ความมั่นคงของโรงงาน:
    - โรงงานในพื้นที่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เช่น จังหวัดระยองและชลบุรี ไม่มีรายงานความเสียหาย และยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/can-earthquake-in-myanmar-disrupt-pc-hardware-production-manufacturers-are-checking-out
    เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ส่งผลกระทบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่โรงงานในไทยที่เป็นฐานการผลิตสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย บริษัทเทคโนโลยีรายงานว่าดำเนินงานตามปกติ และมีแนวโน้มขยายการผลิตในพื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชน การดำเนินการหลังเหตุการณ์: - บริษัทในไทยหลายแห่ง เช่น Zhen Ding Tech และ Delta Electronics ทำการอพยพพนักงานชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและกลับมาดำเนินงานได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ความสำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรม: - ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับบริษัทอย่าง Intel, Seagate และ Western Digital และเหตุการณ์นี้เป็นการทดสอบความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้ แนวโน้มการขยายการผลิต: - หลายบริษัทกำลังเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม ความมั่นคงของโรงงาน: - โรงงานในพื้นที่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เช่น จังหวัดระยองและชลบุรี ไม่มีรายงานความเสียหาย และยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง https://www.tomshardware.com/tech-industry/can-earthquake-in-myanmar-disrupt-pc-hardware-production-manufacturers-are-checking-out
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 626 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอษฐภัยเผ่าภูมิ ถูกมอง'ดูถูกนักลงทุน'

    ความมั่นใจเป็นภัยย้อนเข้าตัว ประโยค "คนฉลาดมองเห็นโอกาส คนไม่ฉลาดจะตื่นเต้น" ของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง หลังตลาดหุ้นไทยตกต่ำกว่า 1,200 จุด และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากทั่วทุกสารทิศ ถูกมองว่าดูถูกนักลงทุน นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถึงกับกล่าวว่า "ตลาดหุ้นตกไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คือการบริหารผิดพลาด และขาดการกำกับดูแล"

    โดยเห็นว่าคำพูดของนายเผ่าภูมิ นอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาสถานการณ์แล้ว กลับทำลายความเชื่อมั่นให้ตกต่ำลงไปอีก ทั้งที่รัฐบาลควรรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์ต่อความผิดพลาด โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท ที่มีผู้ทักท้วงว่าอาจไม่คุ้มกับต้นทุนการคลัง ปรากฎว่าตัวเลข GDP ปี 2567 เติบโตเพียง 2.5% รั้งท้ายอาเซียน แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยแล้วเดินหน้าต่อด้วยงบประมาณมากขึ้น

    นอกจากไม่เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่แล้ว รัฐบาลยังละเลยกำกับตลาดหุ้นไทยให้เป็นธรรมกับนักลงทุน กรณีซีพีแอ็กซ์ตร้า (CPAXT) เอาบริษัทมหาชนไปร่วมลงทุนกับบริษัทในครอบครัวนอกธุรกิจหลัก จากช่องโหว่ทางกฎหมาย และล่าสุดท่าอากาศยานไทย (AOT) ช่วยเหลือผู้ประกอบการดิวตี้ฟรี เลื่อนเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา แต่ประกาศข่าวสำคัญล่าช้า จึงอยากเห็นตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นความหวังในอนาคตให้กับนักลงทุนได้บ้าง ในยามที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยมีอนาคต ขอให้ประชาชนและนักลงทุนรายย่อยช่วยกันผลักดันรัฐบาลและ รมช.คลัง กำกับและเข้มงวดกับการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มากขึ้น

    ภายหลังนายเผ่าภูมิได้ขออภัย ระบุว่าเจตนาไม่ได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์นักลงทุน แต่ต้องการสื่อสารเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ยอมรับว่ามีปัญหาการสื่อสารที่สั้นเกินไป และเนื้อหาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่ต้องการสื่อ หากเกิดความคลาดเคลื่อนต้องขออภัย

    ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันไม่ได้สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา แต่ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง รัฐบาลไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นน่าซื้อหรือไม่ แต่เรามีหน้าที่ให้ข้อมูล เพื่อให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสจากการปรับฐานของตลาดหุ้น และใช้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงในการตัดสินใจลงทุน

    ตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 5 มี.ค. 2568 ปิดตลาดอยู่ที่ 1,206.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.32 จุด (+2.49%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50,706.03 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ AOT ADVANC DELTA CPALL และ TOP

    #Newskit
    โอษฐภัยเผ่าภูมิ ถูกมอง'ดูถูกนักลงทุน' ความมั่นใจเป็นภัยย้อนเข้าตัว ประโยค "คนฉลาดมองเห็นโอกาส คนไม่ฉลาดจะตื่นเต้น" ของนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง หลังตลาดหุ้นไทยตกต่ำกว่า 1,200 จุด และไม่มีแผนกระตุ้นนักลงทุนอย่างชัดเจน เรียกเสียงวิจารณ์จากทั่วทุกสารทิศ ถูกมองว่าดูถูกนักลงทุน นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถึงกับกล่าวว่า "ตลาดหุ้นตกไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คือการบริหารผิดพลาด และขาดการกำกับดูแล" โดยเห็นว่าคำพูดของนายเผ่าภูมิ นอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาสถานการณ์แล้ว กลับทำลายความเชื่อมั่นให้ตกต่ำลงไปอีก ทั้งที่รัฐบาลควรรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์ต่อความผิดพลาด โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท ที่มีผู้ทักท้วงว่าอาจไม่คุ้มกับต้นทุนการคลัง ปรากฎว่าตัวเลข GDP ปี 2567 เติบโตเพียง 2.5% รั้งท้ายอาเซียน แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยแล้วเดินหน้าต่อด้วยงบประมาณมากขึ้น นอกจากไม่เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่แล้ว รัฐบาลยังละเลยกำกับตลาดหุ้นไทยให้เป็นธรรมกับนักลงทุน กรณีซีพีแอ็กซ์ตร้า (CPAXT) เอาบริษัทมหาชนไปร่วมลงทุนกับบริษัทในครอบครัวนอกธุรกิจหลัก จากช่องโหว่ทางกฎหมาย และล่าสุดท่าอากาศยานไทย (AOT) ช่วยเหลือผู้ประกอบการดิวตี้ฟรี เลื่อนเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา แต่ประกาศข่าวสำคัญล่าช้า จึงอยากเห็นตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นความหวังในอนาคตให้กับนักลงทุนได้บ้าง ในยามที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยมีอนาคต ขอให้ประชาชนและนักลงทุนรายย่อยช่วยกันผลักดันรัฐบาลและ รมช.คลัง กำกับและเข้มงวดกับการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มากขึ้น ภายหลังนายเผ่าภูมิได้ขออภัย ระบุว่าเจตนาไม่ได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์นักลงทุน แต่ต้องการสื่อสารเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ยอมรับว่ามีปัญหาการสื่อสารที่สั้นเกินไป และเนื้อหาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่ต้องการสื่อ หากเกิดความคลาดเคลื่อนต้องขออภัย ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันไม่ได้สะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทั้งความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา แต่ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง รัฐบาลไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นน่าซื้อหรือไม่ แต่เรามีหน้าที่ให้ข้อมูล เพื่อให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสจากการปรับฐานของตลาดหุ้น และใช้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงในการตัดสินใจลงทุน ตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 5 มี.ค. 2568 ปิดตลาดอยู่ที่ 1,206.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.32 จุด (+2.49%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50,706.03 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่ AOT ADVANC DELTA CPALL และ TOP #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1074 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ภาพวิดีโอใหม่**

    จากเหตุครื่องบิน CRJ 900 เที่ยวบิน DL4819 ของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) ประสบอุบัติเหตุไถลบนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ ก่อนที่เครื่องจะพลิกหงายท้องขณะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตรอนโต เพียร์ชัน (Toronto Pearson International Airport) ประเทศแคนาดา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 18 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 ราย
    **ภาพวิดีโอใหม่** จากเหตุครื่องบิน CRJ 900 เที่ยวบิน DL4819 ของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) ประสบอุบัติเหตุไถลบนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ ก่อนที่เครื่องจะพลิกหงายท้องขณะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตรอนโต เพียร์ชัน (Toronto Pearson International Airport) ประเทศแคนาดา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 18 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 ราย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 501 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • 6/
    ภาพเครื่องบิน CRJ 900 เที่ยวบิน DL4819 ของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) ประสบอุบัติเหตุไถลบนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ ก่อนที่เครื่องจะพลิกหงายท้องขณะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตรอนโต เพียร์ชัน (Toronto Pearson International Airport) ประเทศแคนาดา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 18 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 ราย

    บนเครื่องมีผู้โดยสาร 76 คน และลูกเรืออีก 4 คน ทั้งหมดได้ถูกอพยพลงจากเครื่องแล้ว
    6/ ภาพเครื่องบิน CRJ 900 เที่ยวบิน DL4819 ของสายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines) ประสบอุบัติเหตุไถลบนรันเวย์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ ก่อนที่เครื่องจะพลิกหงายท้องขณะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตรอนโต เพียร์ชัน (Toronto Pearson International Airport) ประเทศแคนาดา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 18 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 ราย บนเครื่องมีผู้โดยสาร 76 คน และลูกเรืออีก 4 คน ทั้งหมดได้ถูกอพยพลงจากเครื่องแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 14 0 รีวิว
Pages Boosts