• Micron ปิดฉาก Crucial Consumer Line

    Micron Technology บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก ประกาศว่าจะ หยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Crucial สำหรับผู้ใช้ทั่วไปภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หลังจากดำเนินธุรกิจแบรนด์นี้มากว่า 29 ปี โดยจะหันไปเน้นการผลิต DRAM และ SSD ระดับองค์กร รวมถึง High-Bandwidth Memory (HBM) ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    เหตุผล: AI กำลังกลืนกินทรัพยากรหน่วยความจำโลก
    Micron ระบุว่า ความต้องการหน่วยความจำและสตอเรจจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังพุ่งสูงจนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกเวเฟอร์ที่ผลิตได้จำเป็นต้องส่งไปยังลูกค้ารายใหญ่ในตลาดองค์กรและ Hyperscaler หากยังคงผลิตสินค้า Consumer จะทำให้เสียโอกาสและกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับลูกค้ารายสำคัญ

    ปัจจัยด้านธุรกิจและต้นทุน
    ตลาด Consumer SSD และ DRAM มี กำไรต่ำและแข่งขันสูง ทำให้ Micron มองว่าไม่คุ้มค่าที่จะรักษาสายการผลิตไว้ แม้จะลดขนาดธุรกิจลงก็ยังต้องแบกรับต้นทุนคงที่ เช่น การพัฒนาเฟิร์มแวร์ การทดสอบมาตรฐาน และการดูแลการรับประกันทั่วโลก ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในตลาดองค์กรที่มี สัญญาระยะยาวและราคาขายสูงกว่า

    ผลกระทบและอนาคต
    หลังจากหยุดจำหน่าย Crucial Micron จะยังคงให้บริการรับประกันและการสนับสนุนลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว แต่ตลาดผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องพึ่งพาแบรนด์อื่นแทน เช่น Samsung, Kingston หรือ Adata ขณะที่ Micron จะทุ่มทรัพยากรไปพัฒนา HBM4/HBM4E และ SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผล AI ในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    Micron ยุติ Crucial Consumer Line ภายในกุมภาพันธ์ 2026
    หยุดจำหน่าย SSD และ DRAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ยังคงให้บริการรับประกันและซัพพอร์ตหลังการขาย

    หันไปโฟกัสตลาดองค์กรและ AI
    ผลิต HBM, SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ DRAM ระดับองค์กร
    รองรับความต้องการจากศูนย์ข้อมูล AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    เหตุผลด้านธุรกิจและต้นทุน
    ตลาด Consumer กำไรต่ำ แข่งขันสูง
    การรักษาสายการผลิตเล็ก ๆ ยังมีต้นทุนคงที่สูง

    คำเตือนต่อผู้ใช้ทั่วไป
    หลังปี 2026 จะไม่สามารถซื้อ Crucial SSD/DRAM รุ่นใหม่ได้อีก
    ผู้ใช้ต้องเลือกแบรนด์อื่นแทน เช่น Samsung, Kingston, Adata

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-is-killing-crucial-ssds-and-memory-in-ai-pivot-company-refocuses-on-hbm-and-enterprise-customers
    🏭 Micron ปิดฉาก Crucial Consumer Line Micron Technology บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก ประกาศว่าจะ หยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Crucial สำหรับผู้ใช้ทั่วไปภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2026 หลังจากดำเนินธุรกิจแบรนด์นี้มากว่า 29 ปี โดยจะหันไปเน้นการผลิต DRAM และ SSD ระดับองค์กร รวมถึง High-Bandwidth Memory (HBM) ที่ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 🤖 เหตุผล: AI กำลังกลืนกินทรัพยากรหน่วยความจำโลก Micron ระบุว่า ความต้องการหน่วยความจำและสตอเรจจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังพุ่งสูงจนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกเวเฟอร์ที่ผลิตได้จำเป็นต้องส่งไปยังลูกค้ารายใหญ่ในตลาดองค์กรและ Hyperscaler หากยังคงผลิตสินค้า Consumer จะทำให้เสียโอกาสและกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับลูกค้ารายสำคัญ 💰 ปัจจัยด้านธุรกิจและต้นทุน ตลาด Consumer SSD และ DRAM มี กำไรต่ำและแข่งขันสูง ทำให้ Micron มองว่าไม่คุ้มค่าที่จะรักษาสายการผลิตไว้ แม้จะลดขนาดธุรกิจลงก็ยังต้องแบกรับต้นทุนคงที่ เช่น การพัฒนาเฟิร์มแวร์ การทดสอบมาตรฐาน และการดูแลการรับประกันทั่วโลก ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในตลาดองค์กรที่มี สัญญาระยะยาวและราคาขายสูงกว่า 🔮 ผลกระทบและอนาคต หลังจากหยุดจำหน่าย Crucial Micron จะยังคงให้บริการรับประกันและการสนับสนุนลูกค้าที่ซื้อไปแล้ว แต่ตลาดผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องพึ่งพาแบรนด์อื่นแทน เช่น Samsung, Kingston หรือ Adata ขณะที่ Micron จะทุ่มทรัพยากรไปพัฒนา HBM4/HBM4E และ SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการประมวลผล AI ในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Micron ยุติ Crucial Consumer Line ภายในกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ หยุดจำหน่าย SSD และ DRAM สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ยังคงให้บริการรับประกันและซัพพอร์ตหลังการขาย ✅ หันไปโฟกัสตลาดองค์กรและ AI ➡️ ผลิต HBM, SSD สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ DRAM ระดับองค์กร ➡️ รองรับความต้องการจากศูนย์ข้อมูล AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ✅ เหตุผลด้านธุรกิจและต้นทุน ➡️ ตลาด Consumer กำไรต่ำ แข่งขันสูง ➡️ การรักษาสายการผลิตเล็ก ๆ ยังมีต้นทุนคงที่สูง ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ทั่วไป ⛔ หลังปี 2026 จะไม่สามารถซื้อ Crucial SSD/DRAM รุ่นใหม่ได้อีก ⛔ ผู้ใช้ต้องเลือกแบรนด์อื่นแทน เช่น Samsung, Kingston, Adata https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-is-killing-crucial-ssds-and-memory-in-ai-pivot-company-refocuses-on-hbm-and-enterprise-customers
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • Titanload สายพาวเวอร์รุ่นใหม่จาก Segotep

    Segotep ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนเปิดตัวสาย Titanload 12V-2x6 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหัวต่อพาวเวอร์การ์ดจอที่หลอมละลาย โดยใช้ ขั้วต่อที่รองรับกระแสสูงกว่า มาตรฐาน ATX 3.0 (9.2A) โดยรุ่น Titanload ใช้ขั้ว 12A และ Titanload EX ใช้ขั้ว 14A ทำให้มี Margin ความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิม ผลการทดสอบพบว่าอุณหภูมิลดลงได้มากกว่า 70% ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาแบบ “Brute-force” ที่เน้นความแข็งแรงของวัสดุ

    ปัญหาที่แท้จริงของหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6
    แม้ Segotep จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มความทนทาน แต่รายงานจากหลายสำนักยังชี้ว่า หัวต่อ 12VHPWR มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง เช่นการกระจายกระแสไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่สัมผัสที่เล็กเกินไป ทำให้บางขั้วรับกระแสมากเกินจนเกิดความร้อนสูงและหลอมละลาย ปัญหานี้ถูกพบทั้งใน RTX 4090 และล่าสุด RTX 5090/5080 ซึ่งกินไฟสูงสุดถึง 600W และบางครั้งพุ่งไปถึง 644W ในการทดสอบ ทำให้หัวต่อทำงานใกล้ขีดจำกัดตลอดเวลา

    ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่
    นักรีวิวและผู้เชี่ยวชาญหลายราย เช่น Der8auer และ JayzTwoCents พบว่าแม้จะใช้สายคุณภาพสูงก็ยังเกิดการหลอมละลายได้ เนื่องจาก การออกแบบที่ไม่สมบูรณ์ และการตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ ทำให้ไม่สามารถบาลานซ์กระแสระหว่างขั้วได้ หากมีการเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ขั้วบางจุดรับกระแสเกินพิกัดจนเกิดความเสียหายรุนแรง

    ทางเลือกและข้อเสนอแนะ
    บางผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าอาจต้องกลับไปใช้หัวต่อ 8-pin แบบเดิมหลายชุด ซึ่งมี Margin ความปลอดภัยสูงกว่า และไม่เคยมีรายงานการหลอมละลายภายใต้การใช้งานปกติ หรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่นหัวต่อที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสต่อขั้ว เพื่อแจ้งเตือนก่อนเกิดความร้อนสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม Segotep Titanload ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่น่าสนใจในการแก้ปัญหานี้

    สรุปสาระสำคัญ
    Segotep Titanload เปิดตัวสายพาวเวอร์ใหม่
    ใช้ขั้วต่อ 12A และ 14A เพิ่ม Margin ความปลอดภัยสูงสุด 52%
    ลดอุณหภูมิได้ถึง 72% เมื่อเทียบกับสายมาตรฐาน

    ผลการทดสอบจริง
    Titanload EX ลดความร้อน Hotspot ได้มากกว่า 53%
    ภายใต้โหลดสูงยังคงรักษาอุณหภูมิไม่เกิน 95°C

    ปัญหาหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 ยังไม่หมดไป
    กระแสไม่กระจายสม่ำเสมอ ทำให้บางขั้วรับโหลดเกินพิกัด
    มีรายงานการหลอมละลายทั้งใน RTX 4090, 5080 และ 5090

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้งาน
    หากเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย อาจทำให้ GPU เสียหาย
    การตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มเหลว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/segoteps-titanload-12v-2x6-cables-use-heavier-duty-pins-to-prevent-meltdowns-brute-force-approach-purportedly-drops-peak-temps-by-up-to-72-percent
    🔌 Titanload สายพาวเวอร์รุ่นใหม่จาก Segotep Segotep ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จากจีนเปิดตัวสาย Titanload 12V-2x6 ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหัวต่อพาวเวอร์การ์ดจอที่หลอมละลาย โดยใช้ ขั้วต่อที่รองรับกระแสสูงกว่า มาตรฐาน ATX 3.0 (9.2A) โดยรุ่น Titanload ใช้ขั้ว 12A และ Titanload EX ใช้ขั้ว 14A ทำให้มี Margin ความปลอดภัยสูงขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับมาตรฐานเดิม ผลการทดสอบพบว่าอุณหภูมิลดลงได้มากกว่า 70% ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาแบบ “Brute-force” ที่เน้นความแข็งแรงของวัสดุ ⚡ ปัญหาที่แท้จริงของหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 แม้ Segotep จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มความทนทาน แต่รายงานจากหลายสำนักยังชี้ว่า หัวต่อ 12VHPWR มีข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง เช่นการกระจายกระแสไม่สม่ำเสมอ และพื้นที่สัมผัสที่เล็กเกินไป ทำให้บางขั้วรับกระแสมากเกินจนเกิดความร้อนสูงและหลอมละลาย ปัญหานี้ถูกพบทั้งใน RTX 4090 และล่าสุด RTX 5090/5080 ซึ่งกินไฟสูงสุดถึง 600W และบางครั้งพุ่งไปถึง 644W ในการทดสอบ ทำให้หัวต่อทำงานใกล้ขีดจำกัดตลอดเวลา 🔥 ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ นักรีวิวและผู้เชี่ยวชาญหลายราย เช่น Der8auer และ JayzTwoCents พบว่าแม้จะใช้สายคุณภาพสูงก็ยังเกิดการหลอมละลายได้ เนื่องจาก การออกแบบที่ไม่สมบูรณ์ และการตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ ทำให้ไม่สามารถบาลานซ์กระแสระหว่างขั้วได้ หากมีการเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ก็อาจทำให้ขั้วบางจุดรับกระแสเกินพิกัดจนเกิดความเสียหายรุนแรง 🛡️ ทางเลือกและข้อเสนอแนะ บางผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าอาจต้องกลับไปใช้หัวต่อ 8-pin แบบเดิมหลายชุด ซึ่งมี Margin ความปลอดภัยสูงกว่า และไม่เคยมีรายงานการหลอมละลายภายใต้การใช้งานปกติ หรือพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่นหัวต่อที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับกระแสต่อขั้ว เพื่อแจ้งเตือนก่อนเกิดความร้อนสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม Segotep Titanload ถือเป็นหนึ่งในความพยายามที่น่าสนใจในการแก้ปัญหานี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Segotep Titanload เปิดตัวสายพาวเวอร์ใหม่ ➡️ ใช้ขั้วต่อ 12A และ 14A เพิ่ม Margin ความปลอดภัยสูงสุด 52% ➡️ ลดอุณหภูมิได้ถึง 72% เมื่อเทียบกับสายมาตรฐาน ✅ ผลการทดสอบจริง ➡️ Titanload EX ลดความร้อน Hotspot ได้มากกว่า 53% ➡️ ภายใต้โหลดสูงยังคงรักษาอุณหภูมิไม่เกิน 95°C ‼️ ปัญหาหัวต่อ 12VHPWR/12V-2x6 ยังไม่หมดไป ⛔ กระแสไม่กระจายสม่ำเสมอ ทำให้บางขั้วรับโหลดเกินพิกัด ⛔ มีรายงานการหลอมละลายทั้งใน RTX 4090, 5080 และ 5090 ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้งาน ⛔ หากเสียบไม่แน่นหรือเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย อาจทำให้ GPU เสียหาย ⛔ การตัดวงจรตรวจสอบโหลดออกจาก GPU รุ่นใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มเหลว https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/segoteps-titanload-12v-2x6-cables-use-heavier-duty-pins-to-prevent-meltdowns-brute-force-approach-purportedly-drops-peak-temps-by-up-to-72-percent
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • Smart Glasses จีนกำลังเร่งบุกตลาดต่างประเทศ

    ความสนใจใน Smart Glasses พุ่งสูงขึ้นในจีน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น QR Code สำหรับการชำระเงิน และการใช้สมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้บริโภคพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ IDC คาดการณ์ว่ายอดขาย Smart Glasses ในจีนปี 2025 จะเติบโตถึง 116% เมื่อเทียบกับปีก่อน

    ผู้เล่นหลักและสตาร์ทอัพ
    นอกจาก Meta ที่ครองตลาดโลกด้วย Ray-Ban Meta Smart Glasses แล้ว บริษัทจีนอย่าง Xiaomi, Rokid, RayNeo, Thunderobot และ Kopin ก็กำลังเร่งพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Xiaomi ถูกมองว่าเป็น “ม้ามืด” เพราะสามารถขึ้นเป็นอันดับ 3 ของยอดขาย Smart Glasses ในครึ่งปีแรกของ 2025 แม้เพิ่งเปิดตัวเพียงสัปดาห์เดียว

    กลยุทธ์บุกตลาดต่างประเทศ
    บริษัทจีนใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Meta เช่น Rokid ที่เปิดให้ผู้ใช้เลือกเชื่อมต่อกับหลายโมเดล AI (OpenAI, Llama, Gemini, Grok) และรองรับแอปที่แตกต่างกันตามภูมิภาค เพื่อให้เข้ากับตลาดทั้งในจีนและต่างประเทศ อีกทั้งยังโชว์ฟีเจอร์ การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ที่แสดงซับไตเติ้ลบนเลนส์

    ความท้าทายและข้อกังวล
    แม้บริษัทจีนจะมีความได้เปรียบด้านซัพพลายเชนและการผลิต แต่ยังมีข้อจำกัดด้าน เทคโนโลยีชิปและ Optical Waveguides เมื่อเทียบกับคู่แข่งตะวันตก นอกจากนี้ยังมี ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว เพราะ Smart Glasses สามารถบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงด้านกฎหมายและการยอมรับในสังคม

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว
    ยอดขาย Smart Glasses ปี 2025 โตขึ้น 116%

    ผู้เล่นหลักและสตาร์ทอัพจีน
    Xiaomi, Rokid, XREAL, RayNeo กำลังแข่งขันกับ Meta

    กลยุทธ์บุกตลาดต่างประเทศ
    รองรับหลายโมเดล AI และฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์

    ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี
    ชิปและ Optical Waveguides ยังตามหลังคู่แข่งตะวันตก

    ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว
    การบันทึกภาพและเสียงอาจนำไปสู่ปัญหากฎหมายและการยอมรับในสังคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/chinese-smart-glasses-firms-eye-overseas-conquest
    👓 Smart Glasses จีนกำลังเร่งบุกตลาดต่างประเทศ ความสนใจใน Smart Glasses พุ่งสูงขึ้นในจีน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น QR Code สำหรับการชำระเงิน และการใช้สมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้บริโภคพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ IDC คาดการณ์ว่ายอดขาย Smart Glasses ในจีนปี 2025 จะเติบโตถึง 116% เมื่อเทียบกับปีก่อน 🏢 ผู้เล่นหลักและสตาร์ทอัพ นอกจาก Meta ที่ครองตลาดโลกด้วย Ray-Ban Meta Smart Glasses แล้ว บริษัทจีนอย่าง Xiaomi, Rokid, RayNeo, Thunderobot และ Kopin ก็กำลังเร่งพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Xiaomi ถูกมองว่าเป็น “ม้ามืด” เพราะสามารถขึ้นเป็นอันดับ 3 ของยอดขาย Smart Glasses ในครึ่งปีแรกของ 2025 แม้เพิ่งเปิดตัวเพียงสัปดาห์เดียว 🌍 กลยุทธ์บุกตลาดต่างประเทศ บริษัทจีนใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Meta เช่น Rokid ที่เปิดให้ผู้ใช้เลือกเชื่อมต่อกับหลายโมเดล AI (OpenAI, Llama, Gemini, Grok) และรองรับแอปที่แตกต่างกันตามภูมิภาค เพื่อให้เข้ากับตลาดทั้งในจีนและต่างประเทศ อีกทั้งยังโชว์ฟีเจอร์ การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ที่แสดงซับไตเติ้ลบนเลนส์ ⚠️ ความท้าทายและข้อกังวล แม้บริษัทจีนจะมีความได้เปรียบด้านซัพพลายเชนและการผลิต แต่ยังมีข้อจำกัดด้าน เทคโนโลยีชิปและ Optical Waveguides เมื่อเทียบกับคู่แข่งตะวันตก นอกจากนี้ยังมี ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว เพราะ Smart Glasses สามารถบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การถกเถียงด้านกฎหมายและการยอมรับในสังคม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ ยอดขาย Smart Glasses ปี 2025 โตขึ้น 116% ✅ ผู้เล่นหลักและสตาร์ทอัพจีน ➡️ Xiaomi, Rokid, XREAL, RayNeo กำลังแข่งขันกับ Meta ✅ กลยุทธ์บุกตลาดต่างประเทศ ➡️ รองรับหลายโมเดล AI และฟีเจอร์แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ‼️ ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ⛔ ชิปและ Optical Waveguides ยังตามหลังคู่แข่งตะวันตก ‼️ ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ การบันทึกภาพและเสียงอาจนำไปสู่ปัญหากฎหมายและการยอมรับในสังคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/chinese-smart-glasses-firms-eye-overseas-conquest
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Chinese smart glasses firms eye overseas conquest
    In China, AI glasses let the wearer pay in shops with just a glance at a QR code and a voice command, as a growing number of companies look to conquer both growing domestic and overseas markets.
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก

    การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์

    ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น
    นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ

    ความสำคัญของการนอนหลับ
    การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง
    แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ

    ข้อมูลจากโครงการใหญ่
    วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ

    ผลกระทบต่อการนอนหลับ
    63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน

    ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป
    อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย

    ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
    เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    📱 สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์ 🧠 ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ 🛌 ความสำคัญของการนอนหลับ การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ ⚠️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ ✅ ข้อมูลจากโครงการใหญ่ ➡️ วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่อการนอนหลับ ➡️ 63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน ‼️ ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป ⛔ อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย ‼️ ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง ⛔ เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A smartphone before age 12 could carry health risks, study says
    Researchers found higher rates of depression, poor sleep and obesity among tweens who had early access to a cellphone.
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • Focus หุ้นปันผล ที่ยังไม่ค่อยขยับขึ้น 04/12/68 #หุ้นปันผล #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #การลงทุน
    Focus หุ้นปันผล ที่ยังไม่ค่อยขยับขึ้น 04/12/68 #หุ้นปันผล #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #การลงทุน
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 0 Reviews
  • ยุคใหม่ของ TLS Certificates กำลังมา

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกไซเบอร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อ CA/Browser Forum และผู้เล่นรายใหญ่เช่น Apple, Google, Mozilla และ Microsoft ลงมติให้ลดอายุการใช้งานของ TLS Certificates ลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2026 (200 วัน) ปี 2027 (100 วัน) และในปี 2029 จะเหลือเพียง 47 วัน เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการใช้ Certificate ที่ถูกขโมยหรือหมดอายุโดยไม่รู้ตัว

    Automation คือคำตอบ
    การลดอายุการใช้งานลงเหลือไม่กี่สิบวันทำให้ การจัดการแบบ Manual แทบจะเป็นไปไม่ได้ หลายองค์กรจึงหันมาใช้ ACME Protocol ซึ่งช่วยให้การออก, ต่ออายุ และเพิกถอน Certificates ทำได้อัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น Cloudflare และ Let’s Encrypt ได้ใช้ระบบนี้เพื่อให้ผู้ดูแลระบบไม่ต้องกังวลกับการต่ออายุอีกต่อไป การทำงานแบบอัตโนมัติยังช่วยลด Human Error และเพิ่มความเร็วในการปรับตัวต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ

    Post-Quantum Cryptography: ความท้าทายใหม่
    นอกจากเรื่องอายุการใช้งานที่สั้นลงแล้ว อีกหนึ่งแรงผลักดันคือ ภัยคุกคามจาก Quantum Computing ซึ่งสามารถทำลาย RSA และ ECC ที่ใช้ใน TLS ได้ในอนาคต นักวิจัยจึงพัฒนา Post-Quantum Cryptography (PQC) เช่น Kyber และ Dilithium เพื่อใช้ควบคู่กับระบบเดิมในรูปแบบ Hybrid Handshake การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ระบบ TLS สามารถต้านทานการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมได้

    ความเสี่ยงหากไม่ปรับตัว
    หากองค์กรยังคงใช้วิธีการเดิม เช่น การบันทึกวันหมดอายุใน Excel หรือการต่ออายุแบบ Manual ความเสี่ยงที่จะเกิด Outage ครั้งใหญ่ มีสูงมาก โดยเฉพาะในธุรกิจการเงินที่ต้องการความต่อเนื่อง หาก Certificate หมดอายุในช่วงเวลาสำคัญ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้ ความเชื่อมั่น และเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัส

    สรุปสาระสำคัญ
    การลดอายุ TLS Certificates
    จาก 398 วัน เหลือ 200 วันในปี 2026, 100 วันในปี 2027 และ 47 วันในปี 2029

    การใช้ Automation ผ่าน ACME Protocol
    ลด Human Error, ต่ออายุอัตโนมัติ, ใช้ได้กับ Cloudflare และ Let’s Encrypt

    การเตรียมรับมือ Post-Quantum Cryptography
    ใช้ Hybrid Handshake ผสมระหว่างอัลกอริทึมเดิมกับ Quantum-safe เช่น Kyber, Dilithium

    ความเสี่ยงหากยังใช้ Manual Management
    อาจเกิด Outage, สูญเสียรายได้, เสี่ยงต่อการโจมตีจากช่องโหว่ของ Certificate ที่หมดอายุ

    ภัยจาก Quantum Computing
    RSA และ ECC อาจถูกทำลายด้วย Shor’s Algorithm ทำให้ TLS ปัจจุบันไม่ปลอดภัยในอนาคต

    https://www.csoonline.com/article/4097721/how-cisos-can-prepare-for-the-new-era-of-short-lived-tls-certificates.html
    🛡️ ยุคใหม่ของ TLS Certificates กำลังมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกไซเบอร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อ CA/Browser Forum และผู้เล่นรายใหญ่เช่น Apple, Google, Mozilla และ Microsoft ลงมติให้ลดอายุการใช้งานของ TLS Certificates ลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2026 (200 วัน) ปี 2027 (100 วัน) และในปี 2029 จะเหลือเพียง 47 วัน เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการใช้ Certificate ที่ถูกขโมยหรือหมดอายุโดยไม่รู้ตัว ⚙️ Automation คือคำตอบ การลดอายุการใช้งานลงเหลือไม่กี่สิบวันทำให้ การจัดการแบบ Manual แทบจะเป็นไปไม่ได้ หลายองค์กรจึงหันมาใช้ ACME Protocol ซึ่งช่วยให้การออก, ต่ออายุ และเพิกถอน Certificates ทำได้อัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น Cloudflare และ Let’s Encrypt ได้ใช้ระบบนี้เพื่อให้ผู้ดูแลระบบไม่ต้องกังวลกับการต่ออายุอีกต่อไป การทำงานแบบอัตโนมัติยังช่วยลด Human Error และเพิ่มความเร็วในการปรับตัวต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ 🔮 Post-Quantum Cryptography: ความท้าทายใหม่ นอกจากเรื่องอายุการใช้งานที่สั้นลงแล้ว อีกหนึ่งแรงผลักดันคือ ภัยคุกคามจาก Quantum Computing ซึ่งสามารถทำลาย RSA และ ECC ที่ใช้ใน TLS ได้ในอนาคต นักวิจัยจึงพัฒนา Post-Quantum Cryptography (PQC) เช่น Kyber และ Dilithium เพื่อใช้ควบคู่กับระบบเดิมในรูปแบบ Hybrid Handshake การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ระบบ TLS สามารถต้านทานการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมได้ ⚠️ ความเสี่ยงหากไม่ปรับตัว หากองค์กรยังคงใช้วิธีการเดิม เช่น การบันทึกวันหมดอายุใน Excel หรือการต่ออายุแบบ Manual ความเสี่ยงที่จะเกิด Outage ครั้งใหญ่ มีสูงมาก โดยเฉพาะในธุรกิจการเงินที่ต้องการความต่อเนื่อง หาก Certificate หมดอายุในช่วงเวลาสำคัญ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้ ความเชื่อมั่น และเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัส 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การลดอายุ TLS Certificates ➡️ จาก 398 วัน เหลือ 200 วันในปี 2026, 100 วันในปี 2027 และ 47 วันในปี 2029 ✅ การใช้ Automation ผ่าน ACME Protocol ➡️ ลด Human Error, ต่ออายุอัตโนมัติ, ใช้ได้กับ Cloudflare และ Let’s Encrypt ✅ การเตรียมรับมือ Post-Quantum Cryptography ➡️ ใช้ Hybrid Handshake ผสมระหว่างอัลกอริทึมเดิมกับ Quantum-safe เช่น Kyber, Dilithium ‼️ ความเสี่ยงหากยังใช้ Manual Management ⛔ อาจเกิด Outage, สูญเสียรายได้, เสี่ยงต่อการโจมตีจากช่องโหว่ของ Certificate ที่หมดอายุ ‼️ ภัยจาก Quantum Computing ⛔ RSA และ ECC อาจถูกทำลายด้วย Shor’s Algorithm ทำให้ TLS ปัจจุบันไม่ปลอดภัยในอนาคต https://www.csoonline.com/article/4097721/how-cisos-can-prepare-for-the-new-era-of-short-lived-tls-certificates.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs can prepare for the new era of short-lived TLS certificates
    TLS certificate lifespans are shrinking — first to 200 days, then to just 47. That means more frequent renewals, higher risk of outages, and tighter operational timelines.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026

    บทความนี้แนะนำ 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 ได้แก่ Lunar (Webz.io), ZeroFox, DarkOwl, Cyble และ Recorded Future โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นด้านการเก็บข้อมูล, การตรวจจับภัยคุกคาม, การวิเคราะห์ผู้โจมตี และการผสานเข้ากับระบบองค์กรเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุก

    ความสำคัญของ Dark Web Intelligence
    โลกไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่การป้องกันด้วย Firewall หรือ Antivirus อีกต่อไป เพราะภัยคุกคามจำนวนมากเริ่มต้นจาก Dark Web ซึ่งเป็นพื้นที่เข้ารหัสและไม่ถูกควบคุม ใช้สำหรับการซื้อขายข้อมูลรั่วไหล, มัลแวร์, และการวางแผนโจมตี การใช้ Dark Web Intelligence Platforms จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง

    5 แพลตฟอร์มที่โดดเด่น
    Lunar (Webz.io)
    ครอบคลุมการเก็บข้อมูลจาก Tor, I2P และชุมชนออนไลน์หลายภาษา
    มีระบบ Machine Learning สำหรับตรวจจับ Entity และ Threat Indicators
    ผสานเข้ากับ SIEM และ API ได้โดยตรง

    ZeroFox
    เน้นการป้องกันแบรนด์และผู้บริหารจากการปลอมแปลงและ Credential Leak
    มีบริการ Automated Takedown เพื่อลบเนื้อหาที่เป็นภัยคุกคาม
    วิเคราะห์ Threat Actor และโครงสร้างการโจมตี

    DarkOwl
    มีฐานข้อมูล Dark Web ที่ใหญ่ที่สุดในเชิงพาณิชย์
    รองรับการค้นหาด้วย API และการทำ Threat Scoring อัตโนมัติ
    เหมาะสำหรับทีม Forensics และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย

    Cyble
    ใช้บอทอัตโนมัติสแกนตลาดมืดและฟอรั่มอย่างต่อเนื่อง
    มีระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time พร้อมการจัดอันดับความเสี่ยง
    สร้างโปรไฟล์ผู้โจมตีและตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลซัพพลายเชน

    Recorded Future
    ครอบคลุมทั้ง Surface, Deep และ Dark Web
    ใช้ Machine Learning ในการจัดลำดับความเสี่ยงตามความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
    รายงานระดับองค์กรและการผสานเข้ากับระบบ IR/SOAR

    บทบาทของ AI และ Automation
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้ AI และ NLP เพื่อถอดรหัสภาษาสแลง, ตรวจจับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้โจมตี และสร้างการแจ้งเตือนที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ Collaborative Defence Models ที่ช่วยให้ข้อมูลภัยคุกคามถูกแชร์ระหว่างองค์กรและภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน


    https://hackread.com/best-dark-web-intelligence-platforms/
    🕍 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 บทความนี้แนะนำ 5 แพลตฟอร์ม Dark Web Intelligence ที่ดีที่สุดในปี 2026 ได้แก่ Lunar (Webz.io), ZeroFox, DarkOwl, Cyble และ Recorded Future โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นด้านการเก็บข้อมูล, การตรวจจับภัยคุกคาม, การวิเคราะห์ผู้โจมตี และการผสานเข้ากับระบบองค์กรเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุก 🌐 ความสำคัญของ Dark Web Intelligence โลกไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่การป้องกันด้วย Firewall หรือ Antivirus อีกต่อไป เพราะภัยคุกคามจำนวนมากเริ่มต้นจาก Dark Web ซึ่งเป็นพื้นที่เข้ารหัสและไม่ถูกควบคุม ใช้สำหรับการซื้อขายข้อมูลรั่วไหล, มัลแวร์, และการวางแผนโจมตี การใช้ Dark Web Intelligence Platforms จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง 🛡️ 5 แพลตฟอร์มที่โดดเด่น 🔩 Lunar (Webz.io) ➡️ ครอบคลุมการเก็บข้อมูลจาก Tor, I2P และชุมชนออนไลน์หลายภาษา ➡️ มีระบบ Machine Learning สำหรับตรวจจับ Entity และ Threat Indicators ➡️ ผสานเข้ากับ SIEM และ API ได้โดยตรง 🔩 ZeroFox ➡️ เน้นการป้องกันแบรนด์และผู้บริหารจากการปลอมแปลงและ Credential Leak ➡️ มีบริการ Automated Takedown เพื่อลบเนื้อหาที่เป็นภัยคุกคาม ➡️ วิเคราะห์ Threat Actor และโครงสร้างการโจมตี 🔩 DarkOwl ➡️ มีฐานข้อมูล Dark Web ที่ใหญ่ที่สุดในเชิงพาณิชย์ ➡️ รองรับการค้นหาด้วย API และการทำ Threat Scoring อัตโนมัติ ➡️ เหมาะสำหรับทีม Forensics และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย 🔩 Cyble ➡️ ใช้บอทอัตโนมัติสแกนตลาดมืดและฟอรั่มอย่างต่อเนื่อง ➡️ มีระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time พร้อมการจัดอันดับความเสี่ยง ➡️ สร้างโปรไฟล์ผู้โจมตีและตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลซัพพลายเชน 🔩 Recorded Future ➡️ ครอบคลุมทั้ง Surface, Deep และ Dark Web ➡️ ใช้ Machine Learning ในการจัดลำดับความเสี่ยงตามความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ➡️ รายงานระดับองค์กรและการผสานเข้ากับระบบ IR/SOAR ⚙️ บทบาทของ AI และ Automation แพลตฟอร์มเหล่านี้ใช้ AI และ NLP เพื่อถอดรหัสภาษาสแลง, ตรวจจับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้โจมตี และสร้างการแจ้งเตือนที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการใช้ Collaborative Defence Models ที่ช่วยให้ข้อมูลภัยคุกคามถูกแชร์ระหว่างองค์กรและภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน https://hackread.com/best-dark-web-intelligence-platforms/
    HACKREAD.COM
    Best 5 Dark Web Intelligence Platforms
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่

    บทความนี้เล่าถึงวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเปิดตัว Motorola DynaTAC, Nokia Cityman, Motorola MicroTAC (Flip Phone), ข้อความ SMS แรก, IBM Simon (Smartphone แรก), โทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์ที่เล่นเพลง MP3, โทรศัพท์กล้อง และการเปิดตัว iPhone

    ยุคแรก: Car Phones และ Motorola DynaTAC
    โทรศัพท์มือถือเริ่มต้นในปี 1946 โดย AT&T แต่ยังมีข้อจำกัดด้านช่องสัญญาณและพลังงาน จึงถูกติดตั้งในรถยนต์และเรียกว่า “Car Phones” ต่อมาในปี 1973 Martin Cooper จาก Motorola ได้โทรศัพท์ครั้งแรกด้วย DynaTAC 8000X ซึ่งหนักถึง 2.5 ปอนด์และใช้งานได้เพียง 35 นาที

    การพัฒนาในยุค 80s–90s: Nokia และ Flip Phone
    ปี 1987 Nokia Mobira Cityman ได้รับความนิยมเมื่อถูกใช้โดย Mikhail Gorbachev และถือเป็นโทรศัพท์ที่เบากว่า DynaTAC แม้ราคาสูงมาก ต่อมาในปี 1989 Motorola เปิดตัว MicroTAC 9800X ซึ่งเป็น โทรศัพท์ฝาพับ (Flip Phone) รุ่นแรก ทำให้โทรศัพท์เริ่มมีขนาดเล็กลงและพกพาสะดวกขึ้น

    การสื่อสารใหม่: SMS และ IBM Simon
    วันที่ 3 ธันวาคม 1992 มีการส่ง ข้อความ SMS แรก (“Merry Christmas”) โดย Neil Papworth ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการสื่อสาร ต่อมาในปี 1992 IBM เปิดตัว Simon Personal Communicator ซึ่งถูกมองว่าเป็น สมาร์ทโฟนรุ่นแรก เพราะมีหน้าจอสัมผัสและสามารถส่งอีเมล, fax และเก็บข้อมูลติดต่อได้

    ฟีเจอร์ใหม่: อินเทอร์เน็ต, MP3 และกล้อง
    ช่วงกลางยุค 90s โทรศัพท์เริ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น Nokia 9000 Communicator (1996) และ Nokia 7110 ที่รองรับ WAP ต่อมาในปี 2000 Samsung UpRoar กลายเป็นโทรศัพท์ที่เล่น MP3 ได้ และในปีเดียวกัน Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 ถือเป็นโทรศัพท์กล้องรุ่นแรกที่สามารถถ่ายและส่งภาพได้

    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: iPhone
    ปี 2007 Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ที่รวมการโทร, อินเทอร์เน็ต, เพลง และแอปพลิเคชันไว้ในเครื่องเดียว แม้รุ่นแรกยังไม่มี App Store หรือการส่ง MMS แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ยุคแรก (1946–1973)
    Car Phones ใช้พลังงานจากแบตรถยนต์
    Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเชิงพาณิชย์รุ่นแรก

    ยุค 80s–90s
    Nokia Cityman เบากว่าและถูกใช้โดยผู้นำโลก
    Motorola MicroTAC โทรศัพท์ฝาพับรุ่นแรก

    การสื่อสารใหม่
    SMS แรกในปี 1992
    IBM Simon สมาร์ทโฟนรุ่นแรก

    ฟีเจอร์ใหม่ในยุค 90s–2000s
    Nokia 9000 เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    Samsung UpRoar เล่น MP3
    Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 โทรศัพท์กล้องรุ่นแรก

    ยุคสมาร์ทโฟน
    iPhone (2007) ปฏิวัติวงการมือถือ

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    โทรศัพท์รุ่นเก่าไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย เสี่ยงต่อการใช้งานในปัจจุบัน
    การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวเสี่ยงต่อการถูกเก็บและใช้งานโดยบริษัทใหญ่

    https://www.slashgear.com/947221/the-stunning-transformation-of-cell-phones/
    📳 วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ บทความนี้เล่าถึงวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือจากยุคแรกที่เป็น “Car Phones” จนถึงสมาร์ทโฟนยุคใหม่ โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเปิดตัว Motorola DynaTAC, Nokia Cityman, Motorola MicroTAC (Flip Phone), ข้อความ SMS แรก, IBM Simon (Smartphone แรก), โทรศัพท์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์ที่เล่นเพลง MP3, โทรศัพท์กล้อง และการเปิดตัว iPhone 📞 ยุคแรก: Car Phones และ Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเริ่มต้นในปี 1946 โดย AT&T แต่ยังมีข้อจำกัดด้านช่องสัญญาณและพลังงาน จึงถูกติดตั้งในรถยนต์และเรียกว่า “Car Phones” ต่อมาในปี 1973 Martin Cooper จาก Motorola ได้โทรศัพท์ครั้งแรกด้วย DynaTAC 8000X ซึ่งหนักถึง 2.5 ปอนด์และใช้งานได้เพียง 35 นาที 📱 การพัฒนาในยุค 80s–90s: Nokia และ Flip Phone ปี 1987 Nokia Mobira Cityman ได้รับความนิยมเมื่อถูกใช้โดย Mikhail Gorbachev และถือเป็นโทรศัพท์ที่เบากว่า DynaTAC แม้ราคาสูงมาก ต่อมาในปี 1989 Motorola เปิดตัว MicroTAC 9800X ซึ่งเป็น โทรศัพท์ฝาพับ (Flip Phone) รุ่นแรก ทำให้โทรศัพท์เริ่มมีขนาดเล็กลงและพกพาสะดวกขึ้น 💬 การสื่อสารใหม่: SMS และ IBM Simon วันที่ 3 ธันวาคม 1992 มีการส่ง ข้อความ SMS แรก (“Merry Christmas”) โดย Neil Papworth ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการสื่อสาร ต่อมาในปี 1992 IBM เปิดตัว Simon Personal Communicator ซึ่งถูกมองว่าเป็น สมาร์ทโฟนรุ่นแรก เพราะมีหน้าจอสัมผัสและสามารถส่งอีเมล, fax และเก็บข้อมูลติดต่อได้ 🎶📷 ฟีเจอร์ใหม่: อินเทอร์เน็ต, MP3 และกล้อง ช่วงกลางยุค 90s โทรศัพท์เริ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น Nokia 9000 Communicator (1996) และ Nokia 7110 ที่รองรับ WAP ต่อมาในปี 2000 Samsung UpRoar กลายเป็นโทรศัพท์ที่เล่น MP3 ได้ และในปีเดียวกัน Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 ถือเป็นโทรศัพท์กล้องรุ่นแรกที่สามารถถ่ายและส่งภาพได้ 🍏 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: iPhone ปี 2007 Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ที่รวมการโทร, อินเทอร์เน็ต, เพลง และแอปพลิเคชันไว้ในเครื่องเดียว แม้รุ่นแรกยังไม่มี App Store หรือการส่ง MMS แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ยุคแรก (1946–1973) ➡️ Car Phones ใช้พลังงานจากแบตรถยนต์ ➡️ Motorola DynaTAC โทรศัพท์มือถือเชิงพาณิชย์รุ่นแรก ✅ ยุค 80s–90s ➡️ Nokia Cityman เบากว่าและถูกใช้โดยผู้นำโลก ➡️ Motorola MicroTAC โทรศัพท์ฝาพับรุ่นแรก ✅ การสื่อสารใหม่ ➡️ SMS แรกในปี 1992 ➡️ IBM Simon สมาร์ทโฟนรุ่นแรก ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในยุค 90s–2000s ➡️ Nokia 9000 เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ Samsung UpRoar เล่น MP3 ➡️ Samsung SCH-V200 และ Sharp J-SH04 โทรศัพท์กล้องรุ่นแรก ✅ ยุคสมาร์ทโฟน ➡️ iPhone (2007) ปฏิวัติวงการมือถือ ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ โทรศัพท์รุ่นเก่าไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย เสี่ยงต่อการใช้งานในปัจจุบัน ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวเสี่ยงต่อการถูกเก็บและใช้งานโดยบริษัทใหญ่ https://www.slashgear.com/947221/the-stunning-transformation-of-cell-phones/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Stunning Transformation Of Cell Phones - SlashGear
    It's hard to imagine life without a phone in your pocket. The incredible transformation of cell phones proves just how far these modern marvels have come.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันศุกร์ที่ 5 เดือนธันวาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันศุกร์ที่ 5 เดือนธันวาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • 12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft

    บทความนี้เล่าถึง 12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft ตั้งแต่การเปิดตัว Windows 95, การเข้าสู่ตลาดเกมด้วย Xbox, ความล้มเหลวของ Zune, ไปจนถึงการซื้อกิจการใหญ่ ๆ อย่าง Skype, LinkedIn และ Minecraft รวมถึงการเปิดตัวบริการสำคัญอย่าง Azure และ Teams

    12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft ตามลำดับเวลา:
    1975 – ก่อตั้ง Microsoft Bill Gates และ Paul Allen ก่อตั้งบริษัทเพื่อพัฒนา software ให้กับ Altair 8800
    1985 – เปิดตัว Windows รุ่นแรก แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมาก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของระบบปฏิบัติการ Windows
    1995 – เปิดตัว Windows 95 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้งานง่ายขึ้นและแพร่หลายทั่วโลก
    2001 – เปิดตัว Xbox รุ่นแรก Microsoft เข้าสู่ตลาดเกมคอนโซลและกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Sony และ Nintendo
    2006 – เปิดตัว Zune พยายามแข่งขันกับ iPod แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และยุติในปี 2011
    2008 – เปิดตัว Azure Cloud Services ก้าวเข้าสู่ตลาดคลาวด์ ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการอันดับสองรองจาก AWS
    2009 – เปิดตัว Bing กลายเป็นเครื่องมือค้นหาหลักของ Microsoft และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    2010 – เปิดตัว Windows Phone ความพยายามเข้าสู่ตลาดมือถือ แต่ไม่สามารถแข่งขันกับ iOS และ Android ได้
    2011 – ซื้อกิจการ Skype ขยายเข้าสู่ตลาด VoIP และการสื่อสารออนไลน์
    2012 – เปิดตัว Surface Tablet รุ่นแรก เข้าสู่ตลาดแท็บเล็ต แข่งขันกับ Apple iPad
    2014 – ซื้อกิจการ Minecraft (Mojang) เสริมความแข็งแกร่งในตลาดเกม ด้วยเกมยอดนิยมระดับโลก
    2016 – ซื้อกิจการ LinkedIn ขยายเข้าสู่ตลาดเครือข่ายมืออาชีพ มูลค่าการซื้อกว่า $26.2 พันล้าน

    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: Windows 95
    Microsoft เริ่มต้นในปี 1975 แต่การเปิดตัว Windows 95 ในปี 1995 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปได้ง่ายขึ้น ระบบปฏิบัติการนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมและอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้านการเขียนโค้ด ถือเป็นการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น

    การเข้าสู่ตลาดเกม: Xbox
    ในปี 2001 Microsoft เปิดตัว Xbox รุ่นแรก ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ Nintendo และ Sony การมาพร้อมระบบดิสก์และความสามารถในการเล่น DVD ทำให้ Xbox ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และต่อยอดไปสู่ Xbox 360, Xbox One และ Xbox Series X|S ที่ยังคงเป็นหนึ่งในคอนโซลเกมหลักของโลก

    ความล้มเหลวและบทเรียน: Zune และ Windows Phone
    ปี 2006 Microsoft เปิดตัว Zune เพื่อต่อกรกับ iPod แต่ไม่ประสบความสำเร็จและถูกยุติในปี 2011 อย่างไรก็ตาม บทเรียนจาก Zune ถูกนำไปใช้พัฒนา Windows Phone ที่เปิดตัวในปี 2010 แม้ Windows Phone จะถูกยุติในปี 2017 แต่ก็ทำให้ Microsoft ได้เรียนรู้ว่าตลาดมือถือไม่ใช่จุดแข็งของบริษัท

    การขยายสู่บริการคลาวด์และซอฟต์แวร์
    ปี 2008 Microsoft เปิดตัว Azure Cloud Services ซึ่งปัจจุบันครองตลาดคลาวด์เป็นอันดับสองรองจาก AWS และในปี 2009 เปิดตัว Bing ที่ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือค้นหาหลักของโลก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Outlook.com (2013) และการเปิดตัว Teams (2017) ที่กลายเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารสำคัญในองค์กรทั่วโลก

    การซื้อกิจการครั้งใหญ่
    Microsoft ใช้กลยุทธ์การซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ เช่น:
    Skype (2011) เพื่อเข้าสู่ตลาด VoIP
    Minecraft (2014) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาดเกม
    LinkedIn (2016) เพื่อครองตลาดเครือข่ายมืออาชีพ

    ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Microsoft ขยายอิทธิพลไปสู่หลายอุตสาหกรรมและสร้างรายได้มหาศาล

    https://www.slashgear.com/1718888/most-important-moments-microsoft-history/
    💻 12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft บทความนี้เล่าถึง 12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft ตั้งแต่การเปิดตัว Windows 95, การเข้าสู่ตลาดเกมด้วย Xbox, ความล้มเหลวของ Zune, ไปจนถึงการซื้อกิจการใหญ่ ๆ อย่าง Skype, LinkedIn และ Minecraft รวมถึงการเปิดตัวบริการสำคัญอย่าง Azure และ Teams 📆 12 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Microsoft ตามลำดับเวลา: 1975 – ก่อตั้ง Microsoft Bill Gates และ Paul Allen ก่อตั้งบริษัทเพื่อพัฒนา software ให้กับ Altair 8800 1985 – เปิดตัว Windows รุ่นแรก แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมาก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของระบบปฏิบัติการ Windows 1995 – เปิดตัว Windows 95 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้งานง่ายขึ้นและแพร่หลายทั่วโลก 2001 – เปิดตัว Xbox รุ่นแรก Microsoft เข้าสู่ตลาดเกมคอนโซลและกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ Sony และ Nintendo 2006 – เปิดตัว Zune พยายามแข่งขันกับ iPod แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และยุติในปี 2011 2008 – เปิดตัว Azure Cloud Services ก้าวเข้าสู่ตลาดคลาวด์ ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการอันดับสองรองจาก AWS 2009 – เปิดตัว Bing กลายเป็นเครื่องมือค้นหาหลักของ Microsoft และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2010 – เปิดตัว Windows Phone ความพยายามเข้าสู่ตลาดมือถือ แต่ไม่สามารถแข่งขันกับ iOS และ Android ได้ 2011 – ซื้อกิจการ Skype ขยายเข้าสู่ตลาด VoIP และการสื่อสารออนไลน์ 2012 – เปิดตัว Surface Tablet รุ่นแรก เข้าสู่ตลาดแท็บเล็ต แข่งขันกับ Apple iPad 2014 – ซื้อกิจการ Minecraft (Mojang) เสริมความแข็งแกร่งในตลาดเกม ด้วยเกมยอดนิยมระดับโลก 2016 – ซื้อกิจการ LinkedIn ขยายเข้าสู่ตลาดเครือข่ายมืออาชีพ มูลค่าการซื้อกว่า $26.2 พันล้าน 💻 จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่: Windows 95 Microsoft เริ่มต้นในปี 1975 แต่การเปิดตัว Windows 95 ในปี 1995 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปได้ง่ายขึ้น ระบบปฏิบัติการนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมและอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้านการเขียนโค้ด ถือเป็นการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น 🎮 การเข้าสู่ตลาดเกม: Xbox ในปี 2001 Microsoft เปิดตัว Xbox รุ่นแรก ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการแข่งขันกับ Nintendo และ Sony การมาพร้อมระบบดิสก์และความสามารถในการเล่น DVD ทำให้ Xbox ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และต่อยอดไปสู่ Xbox 360, Xbox One และ Xbox Series X|S ที่ยังคงเป็นหนึ่งในคอนโซลเกมหลักของโลก 📱 ความล้มเหลวและบทเรียน: Zune และ Windows Phone ปี 2006 Microsoft เปิดตัว Zune เพื่อต่อกรกับ iPod แต่ไม่ประสบความสำเร็จและถูกยุติในปี 2011 อย่างไรก็ตาม บทเรียนจาก Zune ถูกนำไปใช้พัฒนา Windows Phone ที่เปิดตัวในปี 2010 แม้ Windows Phone จะถูกยุติในปี 2017 แต่ก็ทำให้ Microsoft ได้เรียนรู้ว่าตลาดมือถือไม่ใช่จุดแข็งของบริษัท ☁️ การขยายสู่บริการคลาวด์และซอฟต์แวร์ ปี 2008 Microsoft เปิดตัว Azure Cloud Services ซึ่งปัจจุบันครองตลาดคลาวด์เป็นอันดับสองรองจาก AWS และในปี 2009 เปิดตัว Bing ที่ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือค้นหาหลักของโลก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Outlook.com (2013) และการเปิดตัว Teams (2017) ที่กลายเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารสำคัญในองค์กรทั่วโลก 🛒 การซื้อกิจการครั้งใหญ่ Microsoft ใช้กลยุทธ์การซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ เช่น: 💠 Skype (2011) เพื่อเข้าสู่ตลาด VoIP 💠 Minecraft (2014) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาดเกม 💠 LinkedIn (2016) เพื่อครองตลาดเครือข่ายมืออาชีพ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ Microsoft ขยายอิทธิพลไปสู่หลายอุตสาหกรรมและสร้างรายได้มหาศาล https://www.slashgear.com/1718888/most-important-moments-microsoft-history/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    12 Of The Most Important Moments In Microsoft's History - SlashGear
    Microsoft has been a major player in the tech industry for decades. Over those years, it's had a lot of big milestones moments, for better and for worse.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Alpine Linux 3.23: อัปเดตใหญ่เพื่อความเสถียร

    Alpine Linux 3.23 เปิดตัวพร้อมกับ Linux Kernel 6.18 LTS ซึ่งเป็นรุ่นระยะยาวที่ได้รับการสนับสนุนด้านความปลอดภัยและบั๊กแก้ไขต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มการรองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.5 และ LXQt 2.3 ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญในระบบ
    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นคือการแทนที่ linux-edge kernel ด้วย linux-stable ซึ่งมีการตั้งค่าที่เหมือนกับ linux-lts แต่จะติดตาม kernel รุ่น stable แทน ทำให้ระบบมีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพา kernel รุ่นทดสอบ

    นอกจากนี้ Alpine Linux 3.23 ยังมาพร้อมกับ apk package manager เวอร์ชัน 3 ที่ปรับปรุงการทำงาน แต่ยังคงใช้ index และ package format จากเวอร์ชัน 2 เพื่อให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างราบรื่น

    การอัปเดตเครื่องมือและไลบรารี
    Alpine Linux 3.23 ได้รวมเครื่องมือและไลบรารีรุ่นใหม่จำนวนมาก เช่น:
    GCC 15, LLVM 21, Rust 1.91, Node.js 24.11
    Docker 29, .NET 10.0, Go 1.25, OpenJDK 25
    PostgreSQL 18, PHP 8.5, Perl 5.42, Crystal 1.18
    Valkey 9.0, OpenZFS 2.4.0-rc4

    การอัปเดตเหล่านี้ช่วยให้ Alpine Linux เป็นระบบที่ทันสมัยและเหมาะสำหรับงานด้านเซิร์ฟเวอร์, container และ embedded systems

    มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    Alpine Linux เป็นที่นิยมในงานด้าน containerization โดยเฉพาะ Docker และ Kubernetes เนื่องจากมีขนาดเล็กและปลอดภัย การอัปเดตครั้งนี้จึงช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าระบบจะรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับงานด้านคลาวด์และ DevOps

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Alpine Linux 3.23
    มาพร้อม Linux Kernel 6.18 LTS
    รองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.5, LXQt 2.3, Sway 1.11

    การเปลี่ยนแปลงระบบ
    แทนที่ linux-edge ด้วย linux-stable
    apk package manager เวอร์ชัน 3

    การอัปเดตเครื่องมือหลัก
    GCC 15, LLVM 21, Rust 1.91
    Docker 29, .NET 10.0, Go 1.25
    PostgreSQL 18, PHP 8.5, OpenJDK 25

    https://9to5linux.com/alpine-linux-3-23-released-with-linux-kernel-6-18-lts-gnome-49-kde-plasma-6-5
    🛡️ Alpine Linux 3.23: อัปเดตใหญ่เพื่อความเสถียร Alpine Linux 3.23 เปิดตัวพร้อมกับ Linux Kernel 6.18 LTS ซึ่งเป็นรุ่นระยะยาวที่ได้รับการสนับสนุนด้านความปลอดภัยและบั๊กแก้ไขต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเพิ่มการรองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.5 และ LXQt 2.3 ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมเดสก์ท็อปที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น ⚙️ การเปลี่ยนแปลงสำคัญในระบบ หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นคือการแทนที่ linux-edge kernel ด้วย linux-stable ซึ่งมีการตั้งค่าที่เหมือนกับ linux-lts แต่จะติดตาม kernel รุ่น stable แทน ทำให้ระบบมีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพา kernel รุ่นทดสอบ นอกจากนี้ Alpine Linux 3.23 ยังมาพร้อมกับ apk package manager เวอร์ชัน 3 ที่ปรับปรุงการทำงาน แต่ยังคงใช้ index และ package format จากเวอร์ชัน 2 เพื่อให้การอัปเกรดเป็นไปอย่างราบรื่น 🔒 การอัปเดตเครื่องมือและไลบรารี Alpine Linux 3.23 ได้รวมเครื่องมือและไลบรารีรุ่นใหม่จำนวนมาก เช่น: 💠 GCC 15, LLVM 21, Rust 1.91, Node.js 24.11 💠 Docker 29, .NET 10.0, Go 1.25, OpenJDK 25 💠 PostgreSQL 18, PHP 8.5, Perl 5.42, Crystal 1.18 💠 Valkey 9.0, OpenZFS 2.4.0-rc4 การอัปเดตเหล่านี้ช่วยให้ Alpine Linux เป็นระบบที่ทันสมัยและเหมาะสำหรับงานด้านเซิร์ฟเวอร์, container และ embedded systems 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส Alpine Linux เป็นที่นิยมในงานด้าน containerization โดยเฉพาะ Docker และ Kubernetes เนื่องจากมีขนาดเล็กและปลอดภัย การอัปเดตครั้งนี้จึงช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าระบบจะรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และยังคงเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับงานด้านคลาวด์และ DevOps 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Alpine Linux 3.23 ➡️ มาพร้อม Linux Kernel 6.18 LTS ➡️ รองรับ GNOME 49, KDE Plasma 6.5, LXQt 2.3, Sway 1.11 ✅ การเปลี่ยนแปลงระบบ ➡️ แทนที่ linux-edge ด้วย linux-stable ➡️ apk package manager เวอร์ชัน 3 ✅ การอัปเดตเครื่องมือหลัก ➡️ GCC 15, LLVM 21, Rust 1.91 ➡️ Docker 29, .NET 10.0, Go 1.25 ➡️ PostgreSQL 18, PHP 8.5, OpenJDK 25 https://9to5linux.com/alpine-linux-3-23-released-with-linux-kernel-6-18-lts-gnome-49-kde-plasma-6-5
    9TO5LINUX.COM
    Alpine Linux 3.23 Released with Linux Kernel 6.18 LTS, GNOME 49, KDE Plasma 6.5 - 9to5Linux
    Alpine Linux 3.23 distribution is now available for download with GNOME 49, KDE Plasma 6.5, LXQt 2.3, and Linux kernel 6.18 LTS. Here’s what’s new!
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • Wireshark 4.6.2: อัปเดตโปรโตคอลและไฟล์ Capture

    Wireshark 4.6.2 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลเครือข่าย ได้เพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่หลายตัว เช่น ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO และ OsmoTRXD รวมถึงการปรับปรุงการทำงานกับไฟล์ Capture เช่น Peektagged capture file เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายมีความแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น

    การแก้ไขบั๊กและปัญหาความปลอดภัย
    การอัปเดตครั้งนี้ยังแก้ไขบั๊กที่สำคัญ เช่น:
    แก้ปัญหา Crash ใน HTTP3 dissector
    แก้ Infinite loop ใน MEGACO dissector
    แก้ Regression จากเวอร์ชัน 4.6.1 ที่ทำให้ไฟล์ Omnipeek ใช้งานไม่ได้
    แก้ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c (ber_open)
    แก้ปัญหา API/ABI compatibility ที่กระทบปลั๊กอินจากเวอร์ชันก่อนหน้า

    ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ Wireshark 4.6
    นอกจากการแก้ไขบั๊กแล้ว Wireshark 4.6 ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น เช่น:
    Plots dialog สำหรับสร้าง scatter plots ที่รองรับหลายกราฟพร้อมกัน
    การบีบอัด live captures ระหว่างการบันทึก
    การเขียน absolute time fields ในรูปแบบ ISO 8601 (UTC)
    การถอดรหัส NTP packets ด้วย NTS (Network Time Security)
    การขยายการถอดรหัส MACsec packets ด้วย SAK หรือ PSK
    การใช้หน่วย SI prefixes ใน TCP Stream Graph axes

    มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของ Wireshark ในการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลที่สำคัญที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส โดยการเพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่และการแก้ไขบั๊กช่วยให้ผู้ใช้ทั้งในงานวิจัย, การพัฒนา, และการดูแลระบบเครือข่ายมั่นใจได้ว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยและปลอดภัย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การอัปเดตโปรโตคอลใหม่ใน Wireshark 4.6.2
    รองรับ ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO, OsmoTRXD

    การแก้ไขบั๊กสำคัญ
    Crash ใน HTTP3 dissector
    Infinite loop ใน MEGACO dissector
    Regression ที่ทำให้ Omnipeek files ใช้งานไม่ได้
    Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c

    ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ 4.6
    Plots dialog สำหรับ scatter plots
    การบีบอัด live captures
    การเขียนเวลาแบบ ISO 8601
    การถอดรหัส NTP และ MACsec packets

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย
    ปลั๊กอินที่สร้างจากเวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่เข้ากันกับ API/ABI เดิม
    ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

    https://9to5linux.com/wireshark-4-6-2-is-out-to-update-protocol-capture-file-support-and-fix-more-bugs
    🛡️ Wireshark 4.6.2: อัปเดตโปรโตคอลและไฟล์ Capture Wireshark 4.6.2 ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลเครือข่าย ได้เพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่หลายตัว เช่น ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO และ OsmoTRXD รวมถึงการปรับปรุงการทำงานกับไฟล์ Capture เช่น Peektagged capture file เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเครือข่ายมีความแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น ⚙️ การแก้ไขบั๊กและปัญหาความปลอดภัย การอัปเดตครั้งนี้ยังแก้ไขบั๊กที่สำคัญ เช่น: 💠 แก้ปัญหา Crash ใน HTTP3 dissector 💠 แก้ Infinite loop ใน MEGACO dissector 💠 แก้ Regression จากเวอร์ชัน 4.6.1 ที่ทำให้ไฟล์ Omnipeek ใช้งานไม่ได้ 💠 แก้ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c (ber_open) 💠 แก้ปัญหา API/ABI compatibility ที่กระทบปลั๊กอินจากเวอร์ชันก่อนหน้า 🔒 ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ Wireshark 4.6 นอกจากการแก้ไขบั๊กแล้ว Wireshark 4.6 ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น เช่น: 💠 Plots dialog สำหรับสร้าง scatter plots ที่รองรับหลายกราฟพร้อมกัน 💠 การบีบอัด live captures ระหว่างการบันทึก 💠 การเขียน absolute time fields ในรูปแบบ ISO 8601 (UTC) 💠 การถอดรหัส NTP packets ด้วย NTS (Network Time Security) 💠 การขยายการถอดรหัส MACsec packets ด้วย SAK หรือ PSK 💠 การใช้หน่วย SI prefixes ใน TCP Stream Graph axes 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความต่อเนื่องของ Wireshark ในการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โปรโตคอลที่สำคัญที่สุดในโลกโอเพ่นซอร์ส โดยการเพิ่มการรองรับโปรโตคอลใหม่และการแก้ไขบั๊กช่วยให้ผู้ใช้ทั้งในงานวิจัย, การพัฒนา, และการดูแลระบบเครือข่ายมั่นใจได้ว่ามีเครื่องมือที่ทันสมัยและปลอดภัย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การอัปเดตโปรโตคอลใหม่ใน Wireshark 4.6.2 ➡️ รองรับ ATM PW, COSEM, DECT NR+, DMP, GTP, HTTP3, IEEE 802.15.4, ISOBUS, MAUSB, MEGACO, OsmoTRXD ✅ การแก้ไขบั๊กสำคัญ ➡️ Crash ใน HTTP3 dissector ➡️ Infinite loop ใน MEGACO dissector ➡️ Regression ที่ทำให้ Omnipeek files ใช้งานไม่ได้ ➡️ Stack buffer overflow ใน wiretap/ber.c ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในซีรีส์ 4.6 ➡️ Plots dialog สำหรับ scatter plots ➡️ การบีบอัด live captures ➡️ การเขียนเวลาแบบ ISO 8601 ➡️ การถอดรหัส NTP และ MACsec packets ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเสี่ยงต่อบั๊กและช่องโหว่ความปลอดภัย ⛔ ปลั๊กอินที่สร้างจากเวอร์ชันก่อนหน้าอาจไม่เข้ากันกับ API/ABI เดิม ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเดตทันทีเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ https://9to5linux.com/wireshark-4-6-2-is-out-to-update-protocol-capture-file-support-and-fix-more-bugs
    9TO5LINUX.COM
    Wireshark 4.6.2 Is Out to Update Protocol/Capture File Support and Fix More Bugs - 9to5Linux
    Wireshark 4.6.2 open-source network protocol analyzer is now available to download with various bug fixes and updated protocols.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS

    Linux Kernel 6.18 เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 และได้รับการยืนยันจากนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ว่าเป็น รุ่น LTS โดยมีอายุการสนับสนุนถึง ธันวาคม 2027 เช่นเดียวกับ Kernel 6.1 ที่ยังคงได้รับการดูแลอยู่ การประกาศนี้ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า Kernel รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในแกนหลักที่เสถียรสำหรับระบบปฏิบัติการ Linux ในอีกหลายปีข้างหน้า

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18
    Kernel รุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่น:
    Rust Binder Driver รองรับการพัฒนาไดรเวอร์ด้วยภาษา Rust เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ
    dm-pcache device-mapper target สำหรับใช้ persistent memory เป็น cache ของ block devices ที่ช้ากว่า
    microcode= option สำหรับควบคุมการโหลด microcode บนแพลตฟอร์ม x86 ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ ๆ

    สถานะการสนับสนุน Kernel รุ่นอื่น ๆ
    นอกจาก Kernel 6.18 แล้ว ปัจจุบัน Kernel.org ยังระบุรุ่นที่ได้รับการสนับสนุนดังนี้:
    Linux 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026
    Linux 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    Linux 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ในขณะเดียวกัน Linux 5.4 เพิ่งถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL หลังจากได้รับการดูแลมานานกว่า 6 ปี

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การที่ Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการใช้ Linux ในงานระยะยาว เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบ IoT, และโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ การสนับสนุนต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่และทำให้การบำรุงรักษาระบบมีความมั่นคงมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS
    สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    ยืนยันโดยนักพัฒนา Thorsten Leemhuis

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18
    Rust Binder Driver เพิ่มความปลอดภัย
    dm-pcache ใช้ persistent memory เป็น cache
    microcode= option สำหรับ x86

    สถานะ Kernel รุ่นอื่น ๆ
    6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026
    6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027
    5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป
    ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยัง Kernel ที่ยังได้รับการสนับสนุนเพื่อความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/its-official-linux-kernel-6-18-will-be-lts-supported-until-december-2027
    🛡️ Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS Linux Kernel 6.18 เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 และได้รับการยืนยันจากนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ว่าเป็น รุ่น LTS โดยมีอายุการสนับสนุนถึง ธันวาคม 2027 เช่นเดียวกับ Kernel 6.1 ที่ยังคงได้รับการดูแลอยู่ การประกาศนี้ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า Kernel รุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในแกนหลักที่เสถียรสำหรับระบบปฏิบัติการ Linux ในอีกหลายปีข้างหน้า ⚙️ ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18 Kernel รุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญหลายอย่าง เช่น: 💠 Rust Binder Driver รองรับการพัฒนาไดรเวอร์ด้วยภาษา Rust เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ 💠 dm-pcache device-mapper target สำหรับใช้ persistent memory เป็น cache ของ block devices ที่ช้ากว่า 💠 microcode= option สำหรับควบคุมการโหลด microcode บนแพลตฟอร์ม x86 ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ ๆ 🔒 สถานะการสนับสนุน Kernel รุ่นอื่น ๆ นอกจาก Kernel 6.18 แล้ว ปัจจุบัน Kernel.org ยังระบุรุ่นที่ได้รับการสนับสนุนดังนี้: 💠 Linux 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 💠 Linux 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 💠 Linux 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ในขณะเดียวกัน Linux 5.4 เพิ่งถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL หลังจากได้รับการดูแลมานานกว่า 6 ปี 🌐 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส การที่ Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการใช้ Linux ในงานระยะยาว เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบ IoT, และโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ การสนับสนุนต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงจากช่องโหว่และทำให้การบำรุงรักษาระบบมีความมั่นคงมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 6.18 ได้สถานะ LTS ➡️ สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 ➡️ ยืนยันโดยนักพัฒนา Thorsten Leemhuis ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Kernel 6.18 ➡️ Rust Binder Driver เพิ่มความปลอดภัย ➡️ dm-pcache ใช้ persistent memory เป็น cache ➡️ microcode= option สำหรับ x86 ✅ สถานะ Kernel รุ่นอื่น ๆ ➡️ 6.12 และ 6.6 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ➡️ 6.1 และ 6.18 สนับสนุนถึงธันวาคม 2027 ➡️ 5.15 และ 5.10 สนับสนุนถึงธันวาคม 2026 ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL แล้ว ไม่มีการอัปเดตอีกต่อไป ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเกรดไปยัง Kernel ที่ยังได้รับการสนับสนุนเพื่อความปลอดภัย https://9to5linux.com/its-official-linux-kernel-6-18-will-be-lts-supported-until-december-2027
    9TO5LINUX.COM
    It’s Official: Linux Kernel 6.18 Will Be LTS, Supported Until December 2027 - 9to5Linux
    Linux kernel 6.18 is now officially marked as LTS (Long-Term Support) on the kernel.org website and it will be supported until December 2027.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • Linux Kernel 5.4 ปิดฉากหลัง 6 ปีการดูแล

    Linux Kernel 5.4 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 และได้รับการดูแลต่อเนื่องโดย Greg Kroah-Hartman ผ่านการอัปเดตมากกว่า 300 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปี ล่าสุดได้ออกเวอร์ชัน 5.4.302 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL (End of Life) หมายความว่าจะไม่มีการแก้ไขบั๊กหรืออัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป

    ความเสี่ยงจากการใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไป
    Greg Kroah-Hartman ระบุว่า Kernel 5.4 มี ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากยังมีการค้นพบใหม่ การใช้งาน Kernel รุ่นนี้ต่อไปจึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Kernel 5.4 ควรรีบอัปเกรดไปยัง Kernel รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น:
    Linux 5.10 และ 5.15 (สนับสนุนถึงปี 2026)
    Linux 6.1 และ 6.6 (สนับสนุนถึงปี 2027)
    Linux 6.12 LTS (รุ่นล่าสุดที่แนะนำสำหรับระบบใหม่)

    สำหรับผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ การเลือก Kernel รุ่นใหม่จะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    แม้การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Kernel 5.4 จะเป็นเรื่องปกติในวงจรชีวิตของ LTS แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายในการดูแลระบบที่ยังใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ผู้ใช้บางรายอาจต้องพึ่งพา Extended LTS Support จากบริษัทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ไม่สามารถอัปเกรดระบบได้ทันที

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Linux Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL
    เปิดตัวเมื่อปี 2019
    ได้รับการดูแลกว่า 6 ปี และอัปเดตครั้งสุดท้ายเป็น 5.4.302

    ความเสี่ยงจากการใช้งานต่อ
    มีช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs
    ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้
    อัปเกรดไปยัง Kernel 5.10, 5.15, 6.1, 6.6 หรือ 6.12 LTS
    ใช้ Extended LTS Support หากไม่สามารถอัปเกรดได้ทันที

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    การใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    ระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
    องค์กรที่ไม่อัปเดตอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/linux-kernel-5-4-reaches-end-of-life-after-more-than-six-years-of-maintenance
    🛡️ Linux Kernel 5.4 ปิดฉากหลัง 6 ปีการดูแล Linux Kernel 5.4 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 และได้รับการดูแลต่อเนื่องโดย Greg Kroah-Hartman ผ่านการอัปเดตมากกว่า 300 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 6 ปี ล่าสุดได้ออกเวอร์ชัน 5.4.302 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกประกาศเข้าสู่สถานะ EOL (End of Life) หมายความว่าจะไม่มีการแก้ไขบั๊กหรืออัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป ⚙️ ความเสี่ยงจากการใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไป Greg Kroah-Hartman ระบุว่า Kernel 5.4 มี ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs และจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากยังมีการค้นพบใหม่ การใช้งาน Kernel รุ่นนี้ต่อไปจึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดยเฉพาะระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง 🔒 ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ผู้ใช้ที่ยังคงใช้ Kernel 5.4 ควรรีบอัปเกรดไปยัง Kernel รุ่นใหม่ที่ยังได้รับการสนับสนุน เช่น: 💠 Linux 5.10 และ 5.15 (สนับสนุนถึงปี 2026) 💠 Linux 6.1 และ 6.6 (สนับสนุนถึงปี 2027) 💠 Linux 6.12 LTS (รุ่นล่าสุดที่แนะนำสำหรับระบบใหม่) สำหรับผู้ใช้ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ การเลือก Kernel รุ่นใหม่จะช่วยให้ได้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่า 🌐 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แม้การสิ้นสุดการสนับสนุนของ Kernel 5.4 จะเป็นเรื่องปกติในวงจรชีวิตของ LTS แต่ก็สะท้อนถึงความท้าทายในการดูแลระบบที่ยังใช้ฮาร์ดแวร์เก่า ผู้ใช้บางรายอาจต้องพึ่งพา Extended LTS Support จากบริษัทที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับองค์กรที่ไม่สามารถอัปเกรดระบบได้ทันที 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Linux Kernel 5.4 เข้าสู่ EOL ➡️ เปิดตัวเมื่อปี 2019 ➡️ ได้รับการดูแลกว่า 6 ปี และอัปเดตครั้งสุดท้ายเป็น 5.4.302 ✅ ความเสี่ยงจากการใช้งานต่อ ➡️ มีช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขกว่า 1,539 CVEs ➡️ ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยอีกต่อไป ✅ ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ ➡️ อัปเกรดไปยัง Kernel 5.10, 5.15, 6.1, 6.6 หรือ 6.12 LTS ➡️ ใช้ Extended LTS Support หากไม่สามารถอัปเกรดได้ทันที ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ การใช้งาน Kernel 5.4 ต่อไปเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ ระบบที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ⛔ องค์กรที่ไม่อัปเดตอาจละเมิดข้อกำหนดด้านความปลอดภัย https://9to5linux.com/linux-kernel-5-4-reaches-end-of-life-after-more-than-six-years-of-maintenance
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 5.4 Reaches End of Life After More Than Six Years of Maintenance - 9to5Linux
    Linux 5.4 LTS kernel series has reached end of life after being maintained for more than six years, receiving a total of 302 point releases.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ราคา $45

    Raspberry Pi เพิ่งเปิดตัวรุ่น Pi 5 RAM 1GB ในราคา $45 พร้อมกับการปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Pi 5 รุ่น 8GB ที่ขึ้นจาก $80 เป็น $95 และรุ่น 16GB ที่ขึ้นจาก $120 เป็น $145 สาเหตุหลักมาจาก การขาดแคลนหน่วยความจำ LPDDR4 ที่เกิดจากความต้องการสูงในตลาด AI infrastructure ตามคำกล่าวของ CEO Eben Upton ที่ย้ำว่าการขึ้นราคานี้เป็น “ชั่วคราว” และจะปรับลดลงเมื่อสถานการณ์ตลาดดีขึ้น

    คู่แข่งที่สเปกดีกว่าในราคาใกล้เคียง
    ตลาด Single Board Computer (SBC) มีการแข่งขันสูง โดยบอร์ดหลายรุ่นให้สเปกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียง เช่น:
    ArmSoM Forge1 ราคา $23 มาพร้อม CPU Rockchip RK3506J และ RAM 512MB เหมาะกับงาน IoT และอุตสาหกรรม
    Radxa ROCK 3A ราคาเริ่มต้น $30 มี RAM 2GB, CPU Cortex-A55 Quad-core และรองรับ NVMe, PCIe 3.0
    PINE64 ROCK64 ราคา $44.95 มาพร้อม RAM 4GB และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง
    Le Potato AML-S905X-CC ราคา $45 มาพร้อม RAM 2GB และรองรับการเล่นวิดีโอ 4K

    Ecosystem ของ Raspberry Pi ที่ยังเหนือกว่า
    แม้คู่แข่งจะมีสเปกที่ดีกว่า แต่ Raspberry Pi ยังคงได้เปรียบในด้าน Ecosystem ที่ครบวงจร:
    Raspberry Pi OS ที่เสถียรและได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ
    เครื่องมือ Raspberry Pi Imager ที่ทำให้การติดตั้งง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
    HAT Ecosystem ที่มีบอร์ดเสริมหลายร้อยแบบ รองรับการใช้งานหลากหลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องไดรเวอร์
    ชุมชนและเอกสารประกอบ ที่กว้างขวางและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB
    ราคา $45 แต่ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า
    ราคาของรุ่นอื่น ๆ ก็ปรับขึ้นตามภาวะตลาด

    คู่แข่งในตลาด SBC
    ArmSoM Forge1 ($23) สำหรับ IoT
    Radxa ROCK 3A ($30) รองรับ NVMe/PCIe
    PINE64 ROCK64 ($44.95) RAM 4GB
    Le Potato ($45) RAM 2GB และรองรับ 4K

    จุดแข็งของ Raspberry Pi
    Ecosystem ครบวงจร (OS, HAT, Imager)
    ชุมชนและเอกสารประกอบที่แข็งแกร่ง

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    รุ่น 1GB อาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ให้ RAM มากกว่าในราคาใกล้เคียง
    ราคาที่ปรับขึ้นอาจกระทบต่อเป้าหมายเดิมของ Raspberry Pi ที่ต้องการ democratize เทคโนโลยี

    https://itsfoss.com/news/raspberry-pi-5-1gb-worth-it/
    💻 Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ราคา $45 Raspberry Pi เพิ่งเปิดตัวรุ่น Pi 5 RAM 1GB ในราคา $45 พร้อมกับการปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Pi 5 รุ่น 8GB ที่ขึ้นจาก $80 เป็น $95 และรุ่น 16GB ที่ขึ้นจาก $120 เป็น $145 สาเหตุหลักมาจาก การขาดแคลนหน่วยความจำ LPDDR4 ที่เกิดจากความต้องการสูงในตลาด AI infrastructure ตามคำกล่าวของ CEO Eben Upton ที่ย้ำว่าการขึ้นราคานี้เป็น “ชั่วคราว” และจะปรับลดลงเมื่อสถานการณ์ตลาดดีขึ้น ⚙️ คู่แข่งที่สเปกดีกว่าในราคาใกล้เคียง ตลาด Single Board Computer (SBC) มีการแข่งขันสูง โดยบอร์ดหลายรุ่นให้สเปกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียง เช่น: 💠 ArmSoM Forge1 ราคา $23 มาพร้อม CPU Rockchip RK3506J และ RAM 512MB เหมาะกับงาน IoT และอุตสาหกรรม 💠 Radxa ROCK 3A ราคาเริ่มต้น $30 มี RAM 2GB, CPU Cortex-A55 Quad-core และรองรับ NVMe, PCIe 3.0 💠 PINE64 ROCK64 ราคา $44.95 มาพร้อม RAM 4GB และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง 💠 Le Potato AML-S905X-CC ราคา $45 มาพร้อม RAM 2GB และรองรับการเล่นวิดีโอ 4K 🌐 Ecosystem ของ Raspberry Pi ที่ยังเหนือกว่า แม้คู่แข่งจะมีสเปกที่ดีกว่า แต่ Raspberry Pi ยังคงได้เปรียบในด้าน Ecosystem ที่ครบวงจร: 💠 Raspberry Pi OS ที่เสถียรและได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ 💠 เครื่องมือ Raspberry Pi Imager ที่ทำให้การติดตั้งง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น 💠 HAT Ecosystem ที่มีบอร์ดเสริมหลายร้อยแบบ รองรับการใช้งานหลากหลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องไดรเวอร์ 💠 ชุมชนและเอกสารประกอบ ที่กว้างขวางและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ➡️ ราคา $45 แต่ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า ➡️ ราคาของรุ่นอื่น ๆ ก็ปรับขึ้นตามภาวะตลาด ✅ คู่แข่งในตลาด SBC ➡️ ArmSoM Forge1 ($23) สำหรับ IoT ➡️ Radxa ROCK 3A ($30) รองรับ NVMe/PCIe ➡️ PINE64 ROCK64 ($44.95) RAM 4GB ➡️ Le Potato ($45) RAM 2GB และรองรับ 4K ✅ จุดแข็งของ Raspberry Pi ➡️ Ecosystem ครบวงจร (OS, HAT, Imager) ➡️ ชุมชนและเอกสารประกอบที่แข็งแกร่ง ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ รุ่น 1GB อาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ให้ RAM มากกว่าในราคาใกล้เคียง ⛔ ราคาที่ปรับขึ้นอาจกระทบต่อเป้าหมายเดิมของ Raspberry Pi ที่ต้องการ democratize เทคโนโลยี https://itsfoss.com/news/raspberry-pi-5-1gb-worth-it/
    ITSFOSS.COM
    Raspberry Pi 5 1GB Variant: Is It Worth $45?
    Other SBCs offer more RAM at this price point. So, should you still pay $45 for a 1 GB Pi?
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ Directory Traversal + LPE ใน cPanel

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบว่า cPanel มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ Directory Traversal เพื่อเข้าถึงไฟล์ที่อยู่นอกเส้นทางที่อนุญาตได้ เมื่อรวมกับ Local Privilege Escalation (LPE) ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์จนถึงระดับ Root และเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ทันที ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical (CVSS 9.3) เนื่องจากผลกระทบครอบคลุมทั้งระบบและอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดถูกเข้าถึงหรือแก้ไขได้

    วิธีการโจมตีและผลกระทบ
    การโจมตีอาศัยการส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อหลอกให้ cPanel เข้าถึงไฟล์ระบบที่สำคัญ เช่น configuration หรือ script ภายใน เมื่อผู้โจมตีสามารถเขียนหรือแก้ไขไฟล์เหล่านี้ได้ ก็สามารถฝังโค้ดอันตรายเพื่อให้รันด้วยสิทธิ์สูงสุด ผลลัพธ์คือการเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ รวมถึงการสร้างบัญชีใหม่, การแก้ไขเว็บไซต์ที่โฮสต์อยู่, หรือการขโมยข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด

    การตอบสนองจาก cPanel และคำแนะนำ
    ทีมพัฒนา cPanel ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Shared Hosting หรือเปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีแบบอัตโนมัติผ่านสคริปต์ที่เผยแพร่ในชุมชนแฮกเกอร์

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะ cPanel เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการเว็บโฮสติ้ง หากผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ Root ได้ จะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์จำนวนมหาศาลทั่วโลก และอาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ ต่อไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476)
    Directory Traversal ใช้เข้าถึงไฟล์นอกเส้นทางที่อนุญาต
    Local Privilege Escalation ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root

    ผลกระทบ
    เข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด
    ขโมยหรือแก้ไขข้อมูลผู้ใช้
    ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานโจมตีระบบอื่น

    การแก้ไข
    cPanel ออกแพตช์แก้ไขแล้ว
    ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันที

    คำเตือนต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ
    หากยังไม่ได้อัปเดต ระบบเสี่ยงต่อการถูกโจมตีเต็มรูปแบบ
    Shared Hosting มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ

    https://securityonline.info/critical-cpanel-flaw-cvss-9-3-allows-directory-traversal-lpe-for-full-server-takeover/
    🛡️ ช่องโหว่ Directory Traversal + LPE ใน cPanel นักวิจัยด้านความปลอดภัยค้นพบว่า cPanel มีช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ Directory Traversal เพื่อเข้าถึงไฟล์ที่อยู่นอกเส้นทางที่อนุญาตได้ เมื่อรวมกับ Local Privilege Escalation (LPE) ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์จนถึงระดับ Root และเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดได้ทันที ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ Critical (CVSS 9.3) เนื่องจากผลกระทบครอบคลุมทั้งระบบและอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดถูกเข้าถึงหรือแก้ไขได้ ⚙️ วิธีการโจมตีและผลกระทบ การโจมตีอาศัยการส่งคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อหลอกให้ cPanel เข้าถึงไฟล์ระบบที่สำคัญ เช่น configuration หรือ script ภายใน เมื่อผู้โจมตีสามารถเขียนหรือแก้ไขไฟล์เหล่านี้ได้ ก็สามารถฝังโค้ดอันตรายเพื่อให้รันด้วยสิทธิ์สูงสุด ผลลัพธ์คือการเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบ รวมถึงการสร้างบัญชีใหม่, การแก้ไขเว็บไซต์ที่โฮสต์อยู่, หรือการขโมยข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมด 🔒 การตอบสนองจาก cPanel และคำแนะนำ ทีมพัฒนา cPanel ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Shared Hosting หรือเปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีแบบอัตโนมัติผ่านสคริปต์ที่เผยแพร่ในชุมชนแฮกเกอร์ 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะ cPanel เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดการเว็บโฮสติ้ง หากผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ Root ได้ จะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์จำนวนมหาศาลทั่วโลก และอาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ ต่อไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476) ➡️ Directory Traversal ใช้เข้าถึงไฟล์นอกเส้นทางที่อนุญาต ➡️ Local Privilege Escalation ทำให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root ✅ ผลกระทบ ➡️ เข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด ➡️ ขโมยหรือแก้ไขข้อมูลผู้ใช้ ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นฐานโจมตีระบบอื่น ✅ การแก้ไข ➡️ cPanel ออกแพตช์แก้ไขแล้ว ➡️ ผู้ดูแลระบบควรอัปเดตทันที ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต ระบบเสี่ยงต่อการถูกโจมตีเต็มรูปแบบ ⛔ Shared Hosting มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีต่อระบบอื่น ๆ https://securityonline.info/critical-cpanel-flaw-cvss-9-3-allows-directory-traversal-lpe-for-full-server-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical cPanel Flaw (CVSS 9.3) Allows Directory Traversal LPE for Full Server Takeover
    A Critical (CVSS 9.3) LPE flaw in cPanel's Team Manager API allows a standard user to break out of their directory via path traversal and compromise the shared hosting server. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows

    นักวิจัยจาก Trend Micro Zero Day Initiative ได้รายงานช่องโหว่ที่เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ใน Vim บน Windows ซึ่งทำให้โปรแกรมไปเรียกใช้ไฟล์จากโฟลเดอร์ปัจจุบันแทนที่จะใช้ไฟล์ระบบที่ปลอดภัย หากมีผู้โจมตีวางไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe ไว้ในโฟลเดอร์นั้น เมื่อผู้ใช้รันคำสั่งค้นหาภายใน Vim โปรแกรมจะเรียกใช้ไฟล์ปลอมแทนไฟล์จริง ส่งผลให้โค้ดอันตรายถูกรันทันที

    วิธีการโจมตีที่ใช้
    ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายคำสั่งใน Vim เช่น :grep, :!, :make หรือการใช้ filter commands โดยทั้งหมดจะไปเรียกใช้โปรแกรมภายนอก หากมีไฟล์ปลอมอยู่ในโฟลเดอร์เดียวกัน โปรแกรมจะรันไฟล์นั้นแทนไฟล์ระบบจริง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้ด้วยสิทธิ์ของผู้ใช้ที่เปิด Vim โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ Administrator

    การแก้ไขและคำแนะนำ
    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Vim for Windows เวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า โดยทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.1.1947 ผู้ใช้ Windows ทุกคนที่ใช้ Vim ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี โดยเฉพาะนักพัฒนาที่มักเปิดโฟลเดอร์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เช่น repository ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะอาศัยความเชื่อใจใน workspace ของผู้ใช้เอง ไม่ใช่การโจมตีจากภายนอกโดยตรง ทำให้ผู้ใช้มักไม่ระวัง และอาจถูกโจมตีได้ง่ายหากเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอมอยู่ การโจมตีแบบนี้ยังสามารถข้ามการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยทั่วไปได้อีกด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476)
    เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability
    ทำให้ Vim เรียกใช้ไฟล์ปลอมในโฟลเดอร์แทนไฟล์ระบบจริง

    วิธีการโจมตี
    ใช้คำสั่ง :grep, :!, :make, filter commands
    หากมีไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe จะถูกรันแทนไฟล์จริง

    การแก้ไข
    ช่องโหว่กระทบเวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า
    แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 9.1.1947

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังไม่ได้อัปเดต อาจถูกโจมตีได้ทันทีเมื่อเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอม
    การโจมตีสามารถข้ามการแจ้งเตือนความปลอดภัยทั่วไป
    นักพัฒนาที่ดาวน์โหลดโฟลเดอร์จากอินเทอร์เน็ตเสี่ยงสูงมาก

    https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows นักวิจัยจาก Trend Micro Zero Day Initiative ได้รายงานช่องโหว่ที่เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ใน Vim บน Windows ซึ่งทำให้โปรแกรมไปเรียกใช้ไฟล์จากโฟลเดอร์ปัจจุบันแทนที่จะใช้ไฟล์ระบบที่ปลอดภัย หากมีผู้โจมตีวางไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe ไว้ในโฟลเดอร์นั้น เมื่อผู้ใช้รันคำสั่งค้นหาภายใน Vim โปรแกรมจะเรียกใช้ไฟล์ปลอมแทนไฟล์จริง ส่งผลให้โค้ดอันตรายถูกรันทันที 🛠️ วิธีการโจมตีที่ใช้ ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายคำสั่งใน Vim เช่น :grep, :!, :make หรือการใช้ filter commands โดยทั้งหมดจะไปเรียกใช้โปรแกรมภายนอก หากมีไฟล์ปลอมอยู่ในโฟลเดอร์เดียวกัน โปรแกรมจะรันไฟล์นั้นแทนไฟล์ระบบจริง ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมเครื่องได้ด้วยสิทธิ์ของผู้ใช้ที่เปิด Vim โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ Administrator 🔒 การแก้ไขและคำแนะนำ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Vim for Windows เวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า โดยทีมพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขใน เวอร์ชัน 9.1.1947 ผู้ใช้ Windows ทุกคนที่ใช้ Vim ควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี โดยเฉพาะนักพัฒนาที่มักเปิดโฟลเดอร์จากแหล่งที่ไม่รู้จัก เช่น repository ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่า ช่องโหว่ลักษณะนี้อันตรายมากเพราะอาศัยความเชื่อใจใน workspace ของผู้ใช้เอง ไม่ใช่การโจมตีจากภายนอกโดยตรง ทำให้ผู้ใช้มักไม่ระวัง และอาจถูกโจมตีได้ง่ายหากเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอมอยู่ การโจมตีแบบนี้ยังสามารถข้ามการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยทั่วไปได้อีกด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ (CVE-2025-66476) ➡️ เกิดจาก Uncontrolled Search Path Vulnerability ➡️ ทำให้ Vim เรียกใช้ไฟล์ปลอมในโฟลเดอร์แทนไฟล์ระบบจริง ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้คำสั่ง :grep, :!, :make, filter commands ➡️ หากมีไฟล์ปลอม เช่น findstr.exe จะถูกรันแทนไฟล์จริง ✅ การแก้ไข ➡️ ช่องโหว่กระทบเวอร์ชัน 9.1.1946 และก่อนหน้า ➡️ แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 9.1.1947 ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อาจถูกโจมตีได้ทันทีเมื่อเปิดโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ปลอม ⛔ การโจมตีสามารถข้ามการแจ้งเตือนความปลอดภัยทั่วไป ⛔ นักพัฒนาที่ดาวน์โหลดโฟลเดอร์จากอินเทอร์เน็ตเสี่ยงสูงมาก https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity Vim for Windows Flaw (CVE-2025-66476) Risks Arbitrary Code Execution from Compromised Folders
    A High-severity Vim for Windows flaw (CVE-2025-66476) allows arbitrary code execution. The editor executes malicious binaries in the current working directory instead of safe system paths when running commands like :grep.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ Synology BeeStation: การโจมตีแบบ “Dirty File Write”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยชุดการโจมตีที่ซับซ้อนต่อ Synology BeeStation โดยใช้การเชื่อมโยงช่องโหว่ 3 จุด ได้แก่ CRLF Injection, Improper Authentication และ SQL Injection ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ การโจมตีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงาน Pwn2Own 2024 และถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ “vulnerability chaining” หรือการเชื่อมโยงช่องโหว่หลายจุดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุด

    เทคนิคใหม่: Dirty File Write ผ่าน Cron
    สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้โดดเด่นคือการใช้ SQL Injection ในการเขียนไฟล์เข้าสู่ระบบ Cron โดยอาศัยความทนทานของ Cron ที่สามารถข้ามบรรทัดที่ผิดพลาดและยังคงทำงานกับบรรทัดที่ถูกต้องได้ นักวิจัยจึงสามารถฝังคำสั่ง Bash ที่เป็นอันตรายลงไปในไฟล์ที่มีข้อมูล Binary ของ SQLite ได้ เมื่อ Cron ทำงานก็จะรันคำสั่งนั้นทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root Shell โดยตรง

    การตอบสนองจาก Synology และความเสี่ยงต่อผู้ใช้
    Synology ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชันล่าสุดของ DSM และ BeeStation OS พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เนื่องจากมี Proof-of-Concept (PoC) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ทำให้อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง

    มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์
    นักวิจัยหลายรายมองว่าการโจมตีนี้เป็น “game-changing technique” เพราะแสดงให้เห็นว่า SQL Injection สามารถใช้ได้แม้ไม่มี PHP Interpreter ซึ่งปกติเป็นวิธีมาตรฐานในการฝัง Web Shell นั่นหมายความว่าเทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ และอาจกลายเป็นแนวทางใหม่ของผู้โจมตีในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ที่พบใน Synology BeeStation
    CRLF Injection (CVE-2024-50629) ใช้รั่วข้อมูลภายใน
    Improper Authentication (CVE-2024-50630) ใช้ข้ามการตรวจสอบรหัสผ่าน
    SQL Injection (CVE-2024-50631) ใช้สร้าง Cron Job อันตราย

    เทคนิค Dirty File Write
    ใช้ SQLite ATTACH DATABASE เขียนไฟล์ลง Cron
    Cron ข้ามบรรทัดผิดพลาดและรันคำสั่งที่ถูกต้อง

    การตอบสนองจาก Synology
    ออกแพตช์แก้ไขใน DSM และ BeeStation OS เวอร์ชันล่าสุด
    แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทันที
    PoC ถูกเผยแพร่แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถนำไปใช้ได้ง่าย
    เทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่

    https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available/
    🛡️ ช่องโหว่ Synology BeeStation: การโจมตีแบบ “Dirty File Write” นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เปิดเผยชุดการโจมตีที่ซับซ้อนต่อ Synology BeeStation โดยใช้การเชื่อมโยงช่องโหว่ 3 จุด ได้แก่ CRLF Injection, Improper Authentication และ SQL Injection ซึ่งสามารถนำไปสู่การเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ การโจมตีนี้ถูกนำเสนอครั้งแรกในงาน Pwn2Own 2024 และถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ “vulnerability chaining” หรือการเชื่อมโยงช่องโหว่หลายจุดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงที่สุด ⚙️ เทคนิคใหม่: Dirty File Write ผ่าน Cron สิ่งที่ทำให้การโจมตีครั้งนี้โดดเด่นคือการใช้ SQL Injection ในการเขียนไฟล์เข้าสู่ระบบ Cron โดยอาศัยความทนทานของ Cron ที่สามารถข้ามบรรทัดที่ผิดพลาดและยังคงทำงานกับบรรทัดที่ถูกต้องได้ นักวิจัยจึงสามารถฝังคำสั่ง Bash ที่เป็นอันตรายลงไปในไฟล์ที่มีข้อมูล Binary ของ SQLite ได้ เมื่อ Cron ทำงานก็จะรันคำสั่งนั้นทันที ส่งผลให้ผู้โจมตีได้สิทธิ์ Root Shell โดยตรง 🔒 การตอบสนองจาก Synology และความเสี่ยงต่อผู้ใช้ Synology ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่เหล่านี้ในเวอร์ชันล่าสุดของ DSM และ BeeStation OS พร้อมแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที เนื่องจากมี Proof-of-Concept (PoC) เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ทำให้อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ใช้ที่เปิดการเข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตโดยตรง 🌐 มุมมองเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ นักวิจัยหลายรายมองว่าการโจมตีนี้เป็น “game-changing technique” เพราะแสดงให้เห็นว่า SQL Injection สามารถใช้ได้แม้ไม่มี PHP Interpreter ซึ่งปกติเป็นวิธีมาตรฐานในการฝัง Web Shell นั่นหมายความว่าเทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ และอาจกลายเป็นแนวทางใหม่ของผู้โจมตีในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ที่พบใน Synology BeeStation ➡️ CRLF Injection (CVE-2024-50629) ใช้รั่วข้อมูลภายใน ➡️ Improper Authentication (CVE-2024-50630) ใช้ข้ามการตรวจสอบรหัสผ่าน ➡️ SQL Injection (CVE-2024-50631) ใช้สร้าง Cron Job อันตราย ✅ เทคนิค Dirty File Write ➡️ ใช้ SQLite ATTACH DATABASE เขียนไฟล์ลง Cron ➡️ Cron ข้ามบรรทัดผิดพลาดและรันคำสั่งที่ถูกต้อง ✅ การตอบสนองจาก Synology ➡️ ออกแพตช์แก้ไขใน DSM และ BeeStation OS เวอร์ชันล่าสุด ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์เสี่ยงต่อการถูกโจมตีทันที ⛔ PoC ถูกเผยแพร่แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถนำไปใช้ได้ง่าย ⛔ เทคนิคนี้อาจถูกนำไปใช้กับระบบ Linux อื่น ๆ ที่มี Cron ทำงานอยู่ https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available/
    SECURITYONLINE.INFO
    Synology BeeStation Flaw Chain Leads to Root RCE Via Novel "Dirty File Write" SQL Injection, PoC Available
    A 3-flaw chain (CRLF, Auth Bypass, SQLi) achieves root RCE on Synology BeeStation. The exploit uses a "Dirty File Write" SQLi to inject a malicious crontab entry, bypassing the lack of a PHP interpreter.
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.38

    กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน
    ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง

    กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน

    แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

    ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    บทความกฎหมาย EP.38 กฎหมายแรงงานฉบับลูกจ้าง: เกราะป้องกันที่คุณต้องมีในโลกการทำงาน ในโลกของการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและภาระหน้าที่ เราในฐานะ "ลูกจ้าง" หรือ "คนทำงาน" มักได้ยินคำว่า "กฎหมายแรงงาน" อยู่บ่อยครั้ง จนบางครั้งเกิดความสับสนหรือไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของเราครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง การตระหนักถึงข้อกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทั่วไป แต่เป็นเสมือน "เกราะป้องกัน" ที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกเอาเปรียบ และเรียกร้องความเป็นธรรมได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามครรลองที่กฎหมายกำหนดไว้ เราจึงขอสรุปสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนจำเป็นต้องทราบ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานของเวลาทำงาน วันหยุด วันลา ไปจนถึงสิทธิค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง เพื่อให้ทุกคน "รู้ทันสิทธิ" ของตนเองอย่างแท้จริง กฎหมายแรงงานได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับ "เวลาทำงาน" เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ โดยกำหนดให้งานทั่วไปต้องทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนงานที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรืออันตรายจะถูกจำกัดเข้มงวดกว่า คือต้องไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่นายจ้างต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด หากมีความจำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา หรือที่เรียกกันว่า "OT" (Overtime) กฎหมายก็กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยในวันธรรมดาจะต้องได้รับค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง และเพิ่มเป็น 3 เท่าสำหรับวันหยุด และแม้จะเป็นการทำงานเพิ่มในเวลาทำงานปกติก็ตาม ก็ยังคงต้องได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 1 เท่า หากแต่การทำงานล่วงเวลาทั้งหมดนี้ก็มีเพดานกำกับไว้ คือต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการใช้แรงงานเกินควร นอกจากเวลาทำงานแล้ว "วันหยุด" ก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิพื้นฐานที่ถูกคุ้มครอง ลูกจ้างมีสิทธิได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์อย่างน้อย 1 วัน และที่สำคัญคือสิทธิในวันหยุดตามประเพณี ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยรวมวันสำคัญทางศาสนาและวันหยุดราชการอื่น ๆ เพื่อให้ลูกจ้างมีโอกาสได้พักผ่อนและทำกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเต็มที่ สิทธิในการ "ลา" เป็นอีกหนึ่งบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่ "ลาป่วย" ซึ่งลูกจ้างสามารถลาได้ตามที่ป่วยจริง และหากลาติดต่อกันเกินกว่า 3 วัน นายจ้างมีสิทธิขอ "ใบรับรองแพทย์" เพื่อประกอบการพิจารณา การ "ลาพักร้อน" หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ก็ถูกกำหนดให้มีขั้นต่ำที่ 6 วันต่อปี หลังจากทำงานครบหนึ่งปี ส่วน "ลากิจธุระอันจำเป็น" นั้น แม้จะถูกกำหนดโดยกฎหมายให้นายจ้างอนุญาต แต่รายละเอียดและจำนวนวันลาที่เกินกว่า 3 วันขึ้นไป อาจขึ้นอยู่กับข้อตกลงหรือระเบียบขององค์กรนั้น ๆ สำหรับสิทธิของลูกจ้างหญิง กฎหมายให้สิทธิ "ลาคลอดบุตร" ได้สูงสุดถึง 120 วัน โดยได้รับค่าจ้างในระหว่างลานั้นไม่เกิน 60 วัน และล่าสุด ยังรวมถึงสิทธิ "ลาตรวจครรภ์" 15 วัน และ "ลาเพื่อช่วยคู่สมรสคลอดบุตร" 15 วัน ซึ่งต้องใช้สิทธิภายใน 90 วันหลังคลอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและครอบครัวของแรงงาน แต่ประเด็นที่มักจะสร้างความกังวลใจและเป็นข้อพิพาทมากที่สุด คือเรื่องของการ "เลิกจ้าง" และ "ค่าชดเชย" กฎหมายแรงงานได้กำหนดอัตราค่าชดเชยที่ชัดเจนและเป็นไปตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อต้องออกจากงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยที่เหมาะสมตามความทุ่มเทและเวลาที่ได้อุทิศให้แก่องค์กร โดยเริ่มตั้งแต่การทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี จะได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน ไปจนถึงกรณีที่ทำงานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับค่าชดเชยสูงสุดถึง 300 วัน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าชดเชยนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองสถานะทางการเงินของลูกจ้างในช่วงเปลี่ยนผ่านการทำงาน การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องเวลาทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด วันลา และค่าชดเชยการเลิกจ้าง ตามที่กระทรวงแรงงานได้ประกาศไว้นั้น จึงไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำตัวเลข แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญาให้กับตนเองในฐานะลูกจ้าง เพื่อใช้กฎหมายเป็นกลไกในการรักษาสิทธิของตนเองให้ได้รับความเสมอภาคและความเป็นธรรมตามหลักนิติธรรมที่ใช้กำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ดังนั้น การศึกษากฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดหรือทำงานในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การ "รู้ทันสิทธิ" เหล่านี้จะทำให้คุณไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในโครงสร้างการจ้างงาน และทำให้คุณสามารถก้าวเดินในโลกของการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ การใช้กฎหมายเป็นหลักในการเจรจาและการปฏิบัติงานคือการแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพในตัวเอง เพราะสิทธิที่เราได้รับตามกฎหมายแรงงานนั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่เราพึงได้รับจากการใช้แรงงานและเวลาอันมีค่าของเราในการสร้างสรรค์ผลผลิตให้กับสังคมนั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส!
    สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส

    Eiffel Tower หอไอเฟล
    สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim

    Louvre Museum พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
    พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ

    Notre-Dame de Paris มหาวิหารนอเทรอดาม
    จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้

    Sacré-Cœur & Montmartre โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต
    ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    🛳 Paris River Cruise Port — ประตูสู่หัวใจแห่งมหานครปารีส! 🌉 สัมผัสความโรแมนติกของ “เมืองแห่งแสง” จากอีกมุมมองหนึ่ง — บนลำน้ำแซนอันโด่งดังของฝรั่งเศส 🇫🇷✨🗼 🅿️ Eiffel Tower 🚗 หอไอเฟล สัญลักษณ์อันดับหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ริม แม่น้ำแซน สามารถขึ้นลิฟต์ชมวิวเมือง ปารีสแบบพาโนรามา จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือจากสวน Champ de Mars หรือสะพาน Bir-Hakeim 🅿️ Louvre Museum 🚗 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีภาพ Mona Lisa และผลงานระดับโลกมากมาย โดดเด่นด้วยพีระมิดแก้วกลางลาน และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ 🅿️ Notre-Dame de Paris 🚗 มหาวิหารนอเทรอดาม จุดเริ่มต้นของศูนย์กลางกรุงปารีสตามหลักกิโลเมตรที่ 0 โบสถ์สไตล์กอทิกอายุกว่า 850 ปี ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité กลางแม่น้ำแซน แม้ภายในยังปิดปรับปรุงจากเหตุไฟไหม้ แต่ภายนอกยังงดงามและถ่ายรูปได้ 🅿️ Sacré-Cœur & Montmartre 🚗 โบสถ์ซาเครเกอร์ และย่านมงมาร์ต ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดของปารีส มองเห็นวิวเมืองได้จากมุมสูง โบสถ์ซาเครเกอร์มีสถาปัตยกรรมโดมสีขาวงดงาม รอบๆ เป็นย่านศิลปิน คาเฟ่ และร้านของ ที่ระลึกบรรยากาศยุโรปคลาสสิก 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #ParisRiverCruisePort #SeineRiver #France #EiffelTower #LouvreMuseum #NotreDamedeParis #SacrCœurMontmartre #port #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • กระแสมาแรงของพลเอกรังษี

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000116330
    กระแสมาแรงของพลเอกรังษี บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000116330
    MGRONLINE.COM
    กระแสมาแรงของพลเอกรังษี
    ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อของพลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ กลายเป็นเหมือนประกายไฟดวงใหม่ที่ผุดขึ้นมากลางพื้นที่การเมืองไทยที่ดูเหมือนนิ่งเฉยและหมดแรงมาหลายปี จากพรรคเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจในวันแรกค่อยๆ ไหลขึ้นทุกโพลอย่างเงียบๆ แ
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • พรีเมียร์ลีกแมตช์ที่ 14 ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบกับ ซันเดอร์แลนด์ ในเวลา 03:15 น. ณ สนามแอนฟิลด์
    ครึ่งเวลาแรก ทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกันไป 0 : 0
    ครึ่งเวลาหลัง ซันเดอร์แลนด์ ยิงขึ้นนำไปก่อน 1 : 0 จาก เทาบี้ นาทีที่ 67 จากนั้นลิเวอร์พูล มายิงตีเสมอได้จากเวียตร์ ในนาทีที่ 81 ทำให้เสมอกันไป 1 : 1
    พรีเมียร์ลีกแมตช์ที่ 14 ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบกับ ซันเดอร์แลนด์ ในเวลา 03:15 น. ณ สนามแอนฟิลด์ ครึ่งเวลาแรก ทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกันไป 0 : 0 ครึ่งเวลาหลัง ซันเดอร์แลนด์ ยิงขึ้นนำไปก่อน 1 : 0 จาก เทาบี้ นาทีที่ 67 จากนั้นลิเวอร์พูล มายิงตีเสมอได้จากเวียตร์ ในนาทีที่ 81 ทำให้เสมอกันไป 1 : 1
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • DeepPix: เซ็นเซอร์ใหม่จาก Samsung

    Samsung กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์กล้องใหม่ชื่อ DeepPix ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ ISOCELL ที่ใช้งานมานาน โดยมีการยื่นจดเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศ และคาดว่าจะเป็นการตอบโต้ต่อคู่แข่งอย่าง Sony ที่เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901

    Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ในสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และอาร์เจนตินา โดยระบุว่าเป็น CMOS image sensor ซึ่งสามารถแปลงแสงเป็นสัญญาณดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นของ CMOS คือ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง และต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากสามารถผลิตด้วยกระบวนการเซมิคอนดักเตอร์มาตรฐาน

    การเปลี่ยนผ่านจาก ISOCELL
    Samsung ใช้แบรนด์ ISOCELL มาตั้งแต่ปี 2013 แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจาก Sony และ OmniVision ทำให้บริษัทต้องหาทางรีแบรนด์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ DeepPix จึงถูกมองว่าเป็น การรีเฟรชแบรนด์ และอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การลด noise, ADC แบบละเอียด และวงจรประมวลผลภาพในตัว

    การแข่งขันกับ Sony และคู่แข่ง
    Sony เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 ขนาด 200MP ที่ใช้เทคโนโลยี Quad-Quad Bayer Coding (QQBC) และ HDR ขั้นสูง ทำให้ DeepPix ถูกคาดว่าจะเป็นการตอบโต้โดยตรง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดยเฉพาะในซีรีส์ Galaxy Ultra รุ่นถัดไป

    ยังไม่พร้อมเปิดตัวใน Galaxy S26
    แม้จะมีข่าวลือ แต่รายงานระบุว่า Galaxy S26 Ultra จะยังใช้ ISOCELL HP2 และกล้องจาก Sony เช่น IMX564 และ IMX854 ทำให้ DeepPix อาจถูกเลื่อนการเปิดตัวไปในรุ่นหลังจากนั้น เพื่อให้มีเวลาในการพัฒนาและทดสอบอย่างเต็มที่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix
    ระบุว่าเป็น CMOS image sensor

    DeepPix ถูกมองว่าเป็นการแทนที่ ISOCELL
    ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง, ต้นทุนต่ำ

    Sony เปิดตัว LYTIA 901 ขนาด 200MP
    เทคโนโลยี QQBC และ HDR ขั้นสูง

    DeepPix ยังไม่พร้อมใช้ใน Galaxy S26 Ultra
    รุ่นนี้ยังคงใช้ ISOCELL HP2 และเซ็นเซอร์ Sony

    การแข่งขันในตลาดเซ็นเซอร์รุนแรงมาก
    Samsung ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด

    https://wccftech.com/meet-samsungs-deeppix-camera-sensor-a-likely-replacement-for-the-ageing-isocell/
    📸 DeepPix: เซ็นเซอร์ใหม่จาก Samsung Samsung กำลังพัฒนาเซ็นเซอร์กล้องใหม่ชื่อ DeepPix ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ ISOCELL ที่ใช้งานมานาน โดยมีการยื่นจดเครื่องหมายการค้าในหลายประเทศ และคาดว่าจะเป็นการตอบโต้ต่อคู่แข่งอย่าง Sony ที่เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ในสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และอาร์เจนตินา โดยระบุว่าเป็น CMOS image sensor ซึ่งสามารถแปลงแสงเป็นสัญญาณดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นของ CMOS คือ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง และต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากสามารถผลิตด้วยกระบวนการเซมิคอนดักเตอร์มาตรฐาน 🔍 การเปลี่ยนผ่านจาก ISOCELL Samsung ใช้แบรนด์ ISOCELL มาตั้งแต่ปี 2013 แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจาก Sony และ OmniVision ทำให้บริษัทต้องหาทางรีแบรนด์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ DeepPix จึงถูกมองว่าเป็น การรีเฟรชแบรนด์ และอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น การลด noise, ADC แบบละเอียด และวงจรประมวลผลภาพในตัว 🎮 การแข่งขันกับ Sony และคู่แข่ง Sony เพิ่งเปิดตัวเซ็นเซอร์ LYTIA 901 ขนาด 200MP ที่ใช้เทคโนโลยี Quad-Quad Bayer Coding (QQBC) และ HDR ขั้นสูง ทำให้ DeepPix ถูกคาดว่าจะเป็นการตอบโต้โดยตรง เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง โดยเฉพาะในซีรีส์ Galaxy Ultra รุ่นถัดไป ⚠️ ยังไม่พร้อมเปิดตัวใน Galaxy S26 แม้จะมีข่าวลือ แต่รายงานระบุว่า Galaxy S26 Ultra จะยังใช้ ISOCELL HP2 และกล้องจาก Sony เช่น IMX564 และ IMX854 ทำให้ DeepPix อาจถูกเลื่อนการเปิดตัวไปในรุ่นหลังจากนั้น เพื่อให้มีเวลาในการพัฒนาและทดสอบอย่างเต็มที่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ยื่นจดเครื่องหมายการค้า DeepPix ➡️ ระบุว่าเป็น CMOS image sensor ✅ DeepPix ถูกมองว่าเป็นการแทนที่ ISOCELL ➡️ ใช้พลังงานต่ำ, ความเร็วสูง, ต้นทุนต่ำ ✅ Sony เปิดตัว LYTIA 901 ขนาด 200MP ➡️ เทคโนโลยี QQBC และ HDR ขั้นสูง ‼️ DeepPix ยังไม่พร้อมใช้ใน Galaxy S26 Ultra ⛔ รุ่นนี้ยังคงใช้ ISOCELL HP2 และเซ็นเซอร์ Sony ‼️ การแข่งขันในตลาดเซ็นเซอร์รุนแรงมาก ⛔ Samsung ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด https://wccftech.com/meet-samsungs-deeppix-camera-sensor-a-likely-replacement-for-the-ageing-isocell/
    WCCFTECH.COM
    Samsung DeepPix: Can This New Sensor Take On Sony's LYTIA 901?
    Samsung's DeepPix might be a response to Sony's new 200MP sensor, called LYTIA 901, which features a 1/1.12-inch aperture and 0.7 µm pixels.
    0 Comments 0 Shares 54 Views 0 Reviews
  • หลุดผลทดสอบบน Geekbench ของ Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake)

    Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) ถูกทดสอบบน Geekbench เผยว่า iGPU แบบ Xe3 4 คอร์ ทำคะแนนสูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M แต่ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40%

    Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake มี 16 คอร์ (4 Performance + 8 Efficient + 4 LP-E) ความเร็วสูงสุด 4.8 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 18 MB ถือเป็นรุ่นที่เน้นตลาดโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยยังคงใช้พลังงาน TDP 25W (Turbo 65–80W)

    iGPU Xe3 4 คอร์ เทียบกับคู่แข่ง
    ผลทดสอบ Geekbench Vulkan แสดงว่า iGPU ทำคะแนน 22,813 ซึ่งสูงกว่า GTX 1050 Ti (21,937) และ Radeon 840M (18,060) แต่ยังตามหลัง Radeon 860M (37,552) อยู่มาก จุดนี้สะท้อนว่า iGPU ของ Intel รุ่นนี้เหมาะกับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับ iGPU ระดับสูงของ AMD ได้

    ตำแหน่งในตลาด
    Core Ultra 7 366H ถูกวางไว้สำหรับ โน้ตบุ๊ก mainstream ที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา โดยรุ่นที่มี iGPU 10–12 คอร์ในตระกูล Panther Lake ได้แสดงผลลัพธ์ใกล้เคียง RTX 3050 แล้ว ทำให้รุ่น 366H เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในกลุ่มกลาง แต่ไม่ใช่ตัวท็อปสำหรับงานกราฟิกหนัก

    แนวโน้มและการแข่งขัน
    แม้ Intel จะพัฒนา iGPU ให้ดีขึ้น แต่ตลาดโน้ตบุ๊กงบกลางยังคงถูกครองโดย AMD ที่มี iGPU แรงกว่าในซีรีส์ Ryzen AI 7 และ Krackan Point การแข่งขันในปี 2026 จะขึ้นอยู่กับว่า Intel สามารถผลักดัน Panther Lake รุ่นสูงให้เข้าถึงตลาดได้เร็วแค่ไหน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake
    16 คอร์, 4.8 GHz, L3 18 MB, TDP 25W

    iGPU Xe3 4 คอร์ทำคะแนน 22,813 บน Geekbench Vulkan
    สูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M

    เหมาะกับโน้ตบุ๊ก mainstream
    สมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ตัวท็อป

    ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40%
    ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักหรือเกม AAA ที่ต้องการพลังสูง

    AMD ยังคงครองตลาด iGPU ระดับสูง
    Intel ต้องเร่งพัฒนา Panther Lake รุ่น 10–12 คอร์เพื่อแข่งขัน

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-7-366h-benchmarked-on-geekbench/
    📈 หลุดผลทดสอบบน Geekbench ของ Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) Intel Core Ultra 7 366H (Panther Lake) ถูกทดสอบบน Geekbench เผยว่า iGPU แบบ Xe3 4 คอร์ ทำคะแนนสูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M แต่ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40% Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake มี 16 คอร์ (4 Performance + 8 Efficient + 4 LP-E) ความเร็วสูงสุด 4.8 GHz พร้อมแคช L3 ขนาด 18 MB ถือเป็นรุ่นที่เน้นตลาดโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยยังคงใช้พลังงาน TDP 25W (Turbo 65–80W) 🎮 iGPU Xe3 4 คอร์ เทียบกับคู่แข่ง ผลทดสอบ Geekbench Vulkan แสดงว่า iGPU ทำคะแนน 22,813 ซึ่งสูงกว่า GTX 1050 Ti (21,937) และ Radeon 840M (18,060) แต่ยังตามหลัง Radeon 860M (37,552) อยู่มาก จุดนี้สะท้อนว่า iGPU ของ Intel รุ่นนี้เหมาะกับงานกราฟิกทั่วไปและเกมเบา ๆ แต่ยังไม่สามารถแข่งขันกับ iGPU ระดับสูงของ AMD ได้ 🖥️ ตำแหน่งในตลาด Core Ultra 7 366H ถูกวางไว้สำหรับ โน้ตบุ๊ก mainstream ที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา โดยรุ่นที่มี iGPU 10–12 คอร์ในตระกูล Panther Lake ได้แสดงผลลัพธ์ใกล้เคียง RTX 3050 แล้ว ทำให้รุ่น 366H เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในกลุ่มกลาง แต่ไม่ใช่ตัวท็อปสำหรับงานกราฟิกหนัก ⚠️ แนวโน้มและการแข่งขัน แม้ Intel จะพัฒนา iGPU ให้ดีขึ้น แต่ตลาดโน้ตบุ๊กงบกลางยังคงถูกครองโดย AMD ที่มี iGPU แรงกว่าในซีรีส์ Ryzen AI 7 และ Krackan Point การแข่งขันในปี 2026 จะขึ้นอยู่กับว่า Intel สามารถผลักดัน Panther Lake รุ่นสูงให้เข้าถึงตลาดได้เร็วแค่ไหน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Core Ultra 7 366H ใช้สถาปัตยกรรม Panther Lake ➡️ 16 คอร์, 4.8 GHz, L3 18 MB, TDP 25W ✅ iGPU Xe3 4 คอร์ทำคะแนน 22,813 บน Geekbench Vulkan ➡️ สูงกว่า GTX 1050 Ti และ Radeon 840M ✅ เหมาะกับโน้ตบุ๊ก mainstream ➡️ สมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ตัวท็อป ‼️ ยังตามหลัง Radeon 860M อยู่ราว 40% ⛔ ไม่เหมาะกับงานกราฟิกหนักหรือเกม AAA ที่ต้องการพลังสูง ‼️ AMD ยังคงครองตลาด iGPU ระดับสูง ⛔ Intel ต้องเร่งพัฒนา Panther Lake รุ่น 10–12 คอร์เพื่อแข่งขัน https://wccftech.com/intel-core-ultra-7-366h-benchmarked-on-geekbench/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 7 366H Leaked iGPU Geekbench Benchmark Reveals 26% Higher Score Vs Radeon 840M
    Intel Panther Lake Core Ultra 7 366H was benchmarked in Geekbench Vulkan test and showed good performance uplift over Radeon 840M.
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • Lisuan 7G106: GPU จีนรุ่นใหม่ อาจจะรองรับ Windows on ARM (WoA) เป็นเจ้าแรก

    บริษัทจีนชื่อ Lisuan เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ 7G106 (6nm) ที่อาจเป็น GPU ตัวแรกของโลกที่รองรับ Windows on ARM (WoA) ก่อนทั้ง NVIDIA และ AMD โดยจับคู่กับซีพียู ARMv9 ของจีน และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อวางขายในไตรมาสแรกปี 2026

    Lisuan เปิดเผยว่า 7G106 Gaming GPU ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N6 (6nm) มีหน่วยความจำ 12GB GDDR6 บัส 192-bit รองรับ PCIe 4.0 x16 และใช้พลังงานสูงสุด 225W จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 60-series โดยมีจำนวน 192 TMUs และ 96 ROPs

    รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก
    สิ่งที่ทำให้ 7G106 น่าสนใจคือการถูกทดสอบร่วมกับซีพียู ARMv9 CP8180 (12 คอร์, 3.2 GHz) และสามารถรัน Windows on ARM ได้จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU แบบ discrete รองรับ WoA ซึ่งปกติถูกจำกัดอยู่ในโน้ตบุ๊กที่ใช้ Snapdragon X Elite เท่านั้น

    ความท้าทายด้านการผลิต
    แม้จะใช้เทคโนโลยี TSMC N6 แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปจีน ทำให้ Lisuan อาจต้องหันไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต การเปลี่ยนแหล่งผลิตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุน แต่ Lisuan ยืนยันว่ากำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมากแล้ว

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน GPU โลก
    การที่ Lisuanสามารถเปิดตัว GPU ที่รองรับ WoA ก่อน NVIDIA และ AMD อาจทำให้ตลาด ARM-based PC ในจีนเติบโตเร็วขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตตะวันตกต้องเร่งพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ WoA หาก Lisuanทำสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนเกมในตลาดที่ ARM กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Lisuan 7G106 GPU ผลิตบน TSMC N6
    12GB GDDR6, PCIe 4.0, 225W TDP

    รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก
    ทดสอบกับซีพียู ARMv9 CP8180 และ WoA desktop environment

    กำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก
    คาดเปิดตัวในไตรมาสแรกปี 2026

    ข้อจำกัดด้านการผลิตจาก TSMC
    อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต

    NVIDIA และ AMD ยังไม่รองรับ WoA บน dGPU
    Lisuanอาจได้เปรียบในตลาด ARM-based PC

    https://wccftech.com/the-first-gpu-to-support-windows-on-arm-may-not-come-from-nvidia-or-amd-but-from-china-lisuan/
    🇨🇳 Lisuan 7G106: GPU จีนรุ่นใหม่ อาจจะรองรับ Windows on ARM (WoA) เป็นเจ้าแรก บริษัทจีนชื่อ Lisuan เตรียมเปิดตัวการ์ดจอ 7G106 (6nm) ที่อาจเป็น GPU ตัวแรกของโลกที่รองรับ Windows on ARM (WoA) ก่อนทั้ง NVIDIA และ AMD โดยจับคู่กับซีพียู ARMv9 ของจีน และอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อวางขายในไตรมาสแรกปี 2026 Lisuan เปิดเผยว่า 7G106 Gaming GPU ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC N6 (6nm) มีหน่วยความจำ 12GB GDDR6 บัส 192-bit รองรับ PCIe 4.0 x16 และใช้พลังงานสูงสุด 225W จุดเด่นคือการออกแบบเพื่อแข่งขันกับ NVIDIA GeForce RTX 60-series โดยมีจำนวน 192 TMUs และ 96 ROPs 🐧 รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก สิ่งที่ทำให้ 7G106 น่าสนใจคือการถูกทดสอบร่วมกับซีพียู ARMv9 CP8180 (12 คอร์, 3.2 GHz) และสามารถรัน Windows on ARM ได้จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ GPU แบบ discrete รองรับ WoA ซึ่งปกติถูกจำกัดอยู่ในโน้ตบุ๊กที่ใช้ Snapdragon X Elite เท่านั้น 🔋 ความท้าทายด้านการผลิต แม้จะใช้เทคโนโลยี TSMC N6 แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการส่งออกชิปไปจีน ทำให้ Lisuan อาจต้องหันไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต การเปลี่ยนแหล่งผลิตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและต้นทุน แต่ Lisuan ยืนยันว่ากำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมากแล้ว ⚠️ ผลกระทบต่อการแข่งขัน GPU โลก การที่ Lisuanสามารถเปิดตัว GPU ที่รองรับ WoA ก่อน NVIDIA และ AMD อาจทำให้ตลาด ARM-based PC ในจีนเติบโตเร็วขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตตะวันตกต้องเร่งพัฒนาไดรเวอร์สำหรับ WoA หาก Lisuanทำสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนเกมในตลาดที่ ARM กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Lisuan 7G106 GPU ผลิตบน TSMC N6 ➡️ 12GB GDDR6, PCIe 4.0, 225W TDP ✅ รองรับ Windows on ARM เป็นครั้งแรก ➡️ ทดสอบกับซีพียู ARMv9 CP8180 และ WoA desktop environment ✅ กำลังเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก ➡️ คาดเปิดตัวในไตรมาสแรกปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดด้านการผลิตจาก TSMC ⛔ อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ SMIC 6nm ในอนาคต ‼️ NVIDIA และ AMD ยังไม่รองรับ WoA บน dGPU ⛔ Lisuanอาจได้เปรียบในตลาด ARM-based PC https://wccftech.com/the-first-gpu-to-support-windows-on-arm-may-not-come-from-nvidia-or-amd-but-from-china-lisuan/
    WCCFTECH.COM
    The First Discrete GPU to Support “Windows on ARM” May Not Come From NVIDIA or AMD, but From China’s Lisuan
    Lisuan is expected to introduce its 7G106 gaming GPU soon, and it is reported to feature support for 'Windows on ARM' platform.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
More Results