• แผนชั่ว ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 1
    อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง
    ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที
    พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร
    แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น
    ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด
    จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ
    ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก
    ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน
    เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ)
    หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF
    สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก
    ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ
    จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ
    ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง
    พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด
    มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 1 อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ) หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 1
    ในที่สุด ภาพของญี่ปุ่น ที่วาดไว้อย่างสวยงามว่า เป็นชาติที่รักความสงบ ไม่มีวันไปรุกรานใครอีกตลอดกาล ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ที่อเมริกาเขียนให้เมื่อปี ค.ศ.1948 ก็ถูกลบทิ้งเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมา เมื่อสภาล่างของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนผ่านกฏหมาย ที่จะแปลความรัฐธรรมนูญดังกล่าให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง Self Defence Force (SDF) ถลาร่อนไปได้ทั่วโลก แบกถาดไปได้ทุกแห่ง ตามคำสั่งของนายท่าน ไอ้ที่บอกว่าจะ ไม่รุกรานใครอีกตลอดกาล ของญี่ปุ่นนี่ “ตลอดกาล” มันนานมาก นานน้อย แค่ไหนก็ได้ ตามแต่นายท่านจะสั่ง
    กฏหมายนี้ ยังจะต้องผ่านสภาสูงอีกรอบ ภายในเดือนสิงหาคม แต่ไม่มีปัญหา เขาว่าพรรค LPD ของนายอาเบะคุมเสียงต้ัง 2 ใน 3 ของสภาสูง นอนหลับตาไขว้ห้างได้สบายใจ ไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผาก แถมสั่งลูกน้องให้ไปเตรียมตัดชุดแบกถาดล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกลัวเป็นซามูไรสายบัวเหี่ยว
    ตั้งแต่ข่าวนี้ออกสื่อ มีเสียงดังเหมือนมังกรคำราม ออกมาอย่างไม่พอใจ ไม่ต้องสงสัย มาจากบ้านอาเฮียของผมนั่นแหละ ทำไมอาเฮียต้องเอ็ดตะโรด้วย ใครเขาอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้อะไร เฮียก็อย่าไปใส่ใจน่า อย่าทำตัวเหมือนไอ้พวกใบตองแห้ง ที่ไม่พอใจไปหมด เดี๋ยวก็สั่งให้แก้ สั่งให้ถอด สั่งให้เปิด สั่งให้เปลี่ยน สั่งมันทุกอย่าง เหลืออย่างเดียว ยังไม่ได้ให้สั่งขี้มูก สั่งมาซีวะ กำลังถูกหวัดต้นฝนเล่นงานอยู่ จะได้เอาให้หน้าสถานทูตมันลื่นพราดเชียว (ฮา)
    อาเฮียบอกไม่ขำ (โว้ย) อ้าว เฮียครับ ธรรมดาก็เห็นหยอกกันได้ แต่เรื่องไอ้ยุ่นแบกถาดนี่ ทำไมเฮียบูดกระทันหัน เรื่องทะเลาะกันตีกัน มันก็นาน 70, 80 ปีแล้วนะ เป็นแผลก็ตกสะเก็ด ไปแล้ว เฮียไปเกาซ้ำแผลมันจะหายได้ยังไง อาเฮียบอก ลื้อไปศึกษาดูให้ดี อย่าดีแต่พล่าม หายเซ่อ แล้วคอยมาคุยกันว่า ทำไมแผลเก่านาน กว่า 70 ปี ถึงไม่ตกสะเก็ดเสียที
    จริงของอาเฮีย ผมเองยังเซ่อจับเกี่ยวเรื่องญี่ปุ่น มีคำถามค้างกับตัวเองอยู่หลายเรื่อง มองบางอย่างยังไม่ชัด เหมือนอะไรมันยังขัดกัน หรือ หมุนไปคนละทาง
    อะไรทำให้ญี่ปุ่น ลุกขึ้นไปรุกรานเพื่อนบ้านตัวเอง อย่างหิวกระหายและทารุณ และไปเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดุดันและเหี้ยมโหด ญี่ปุ่นโกรธแค้นใครมาหรือญี่ปุ่นถูกหลอก หรือมีข้อตกลงกับใคร หรือมันเป็นนิสัยของชนชาติที่รักษาเกียรติยศด้วยการเอามีดคว้านท้องตัวเอง ก็เลยเห็นชีวิตคนอื่นไม่ต่างกับผักดองหรือสาหร่าย
    ผมว่า เรามาเริ่มจากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบบสั้นๆ แต่แพนกล้องให้กว้าง แล้วค่อยๆเจาะลึกดีกว่า จริงๆอยากเขียนแบบ ต้มข้ามศตวรรษ อีกรอบ แต่สงสัยทั้งคนเขียน และคนอ่านหมดแรงไปก่อนวันอันควร
    จากหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติ ศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ฝรั่งเขียน มักจะระบุว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่น ที่แสดงในช่วง ค.ศ.1852 ถึง 1945 มาจากแรงผลักดัน ที่ไม่อยากมีชะตา หรือสภาพอย่างจีน เมื่อช่วงศตวรรษ ที่ 19 อืม… เริ่มแบบนี้ ผมเกรงว่า แผลเก่าของอาเฮีย จะกลายเป็นแผลใหม่สดขึ้นมาอีก อาเฮีย อย่าเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ ให้ผมพล่ามให้จบก่อน ผมยังไม่อยากมีเรื่องกับมังกร
    นักประวัติศาสตร์ บอกว่า สำหรับญี่ปุ่น การเข้าสู่สงครามโลก มันลามมาจากการปะทะกัน ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ที่เรียกว่า สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 Second Sino Japanese War หรือ ที่เรียกอีกชื่อว่า Marco Polo Bridge Incident ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1937 หลังจากที่มีการทุบถอง ปะทะกันตามแนวเขตแดนมาหลายปี ต้ังแต่ญี่ปุ่นไปบุกแมนจูเรีย ในปี ค.ศ.1931 นู่น
    เอะ แล้วญี่ปุ่นนึกยังไง ถึงซ่าเข้าไปบุกแมนจูเรีย นักประวัติศาสตร์บอกว่า งั้นต้องถอยกลับมาปี ค.ศ1853 ก่อน ถึงจะเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งโวยว่า ผมถอยไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน เอาน่า จะรู้เรื่องอะไร ก็รู้ให้มันชัดๆ ดีกว่ารู้เรื่องดาราทะเลาะกัน งอนกัน ที่จริงๆแล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องจริงของพวกเขาอยู่ดี ใช่ไหมครับ
    ก่อนปี ค.ศ.1853 นักประวัติศาสตร์ บอกญี่ปุ่นเป็นชาติ ที่รักสันโดษ ไม่คบค้ากับใคร นานๆ ก็มีชาวดัชท์เอาเรือบรรทุกสินค้าแวะมาจอด ซื้อของขายของ แถวท่าเรือที่เมืองนางาซากิ Nagasaki ชาวต่างชาตินอกเหนือจากนั้น ไม่อนุญาต ไม่รู้ดัชท์หลุดมาได้ไง
    พอถึงปี ค.ศ.1853 ต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยรักสันโดษ ก็มาถึง นาวาโทแมทธิว เพอรี่ นำเรือรบอเมริกันมาจอด อยู่ที่ปากอ่าวเมืองโตเกียว และไม่ได้มากันลำเดียว ขนกันมาถึง 4 ลำ เล่นเอาปากอ่าว แน่นเอี้ยด นี่มันสูตรสำเร็จ แจกโรเนียวเลยนะ เอาเรือรบมาขอจับมือ
    ญี่ปุ่นเห็นเรือรบที่ไม่ได้รับ เชิญ มาจอดเต็มหน้าบ้าน ก็ยัวะจัด บังวิวสวยๆหมด เลยท้าวสะเอวถลกกิโมโน ชี้นิ้วตะโกนไล่ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ทหารเรือฝรั่งบอกว่า ไม่ไป แถมหันปืนใหญ่ใส่เมืองโตเกียว ญี่ปุ่นยิ่งยั๊วะ รวบรวมเรือเล็กเรือน้อย ติดธงทิวสวยงาม ไปล้อมเรือรบ น่าเอ็นดูจัง แต่ทหารเรือ ไม่เอ็นดูด้วย กลับยื่นจดหมายของประธานาธิบดี Millard Fillmore แห่งแดนใบตองแห้ง เอ้า เอาไปส่งให้โชกุนโตกุกาวาที่ปก ครองญี่ปุ่นขณะนั้น แถมด้วยยิงปืนใหญ่โชว์ จนบ้านน้อยๆของชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ริมอ่าวพังพินาศ นักประวัติศาสตร์ ไม่ได้จดมาว่าพังไปเท่าไหร่ ว่าแล้วก็แล่นเรือจากไป แต่ไม่ไปลับ สำทับกับชาวญี่ปุ่น ที่ยังไม่หายตกใจ หูอื้อจากเสียงปืนใหญ่…. แล้วเราจะกลับมาเอาคำตอบ….ฮู้ย เข้มซะไม่มี เอาปืนใหญ่ มาขู่กระบอกไม้ไผ่ ซามูไรมุดหัวหายไปไหนหมด
    หนึ่งปีผ่านไป ทหารเรือพกปืนใหญ่ก็กลับมาจริง คราวนี้ยกโขยงเรือรบมากัน 8 ลำ คราวที่แล้วมา 4 ลำ ดูจะน้อยไป เดี๋ยวจะสู้กับไม้ไผ่ไม่ไหว แถมมาพร้อมกับมือเหล็ก ยื่นมาบีบคอญี่ปุ่น ให้เซ็นสัญญา Convention of Kanagawa ให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือชิโมดะ Shimoda (ชื่อเดิมของโตเกียวนั่นแหละ) และเมือง ฮาโกดาเตะ Hagodate ซึ่งอยู่ทางใต้ของฮอกไกโด Hokkaido เพื่อค้าขายกับอเมริกา ตามเงื่อนไขที่อเมริกากำหนด ญี่ปุ่นคิดหนัก เฮ้อ… ซามูไร ถึงจะคมยังไง ก็คงสู้กับปืนใหญ่ลำบาก เนะ… ว่าแล้วก็คอตก หน้าก้ม ยกมือขึ้นประทับตรา ในสัญญาขู่เอาไมตรี
    (หมายเหตุ ก่อนเดินหน้าเล่าต่อ ถ้าผมเรียกชื่อ สะกดชื่อญี่ปุ่นผิด ก็ไม่ต้องทักท้วงกันมาหลังจอนะ ครับ รบกวนบอกกันหน้าจอเลยว่า ผิดที่ไหน ที่ถูก ต้องเรียกยังไง ผมจะขอบคุณมาก ผมแค่เขียนนิทานให้อ่าน ไม่ใช่ครูสอนภาษา และผมก็ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็พยายามจะไม่เขียนแบบมั่ว หรือชุ่ยครับ อ้อ ไม่ใช่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นนะครับ ทุกภาษาที่สะกดผิด นิทานเรื่องนี้ จะมีทั้งภาษาจีน ภาษาฝรั่งอั้งม้อ รวมทั้งภาษาไทย ที่ตอนเขียนถูก แต่ตอนโพสต์ผิดก็มี และมีแยะขึ้น บางวันถึงขนาด เครื่องมันขึ้น F ให้หน้าเพจผม ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน บางครั้งก็แก้ไขทัน บางทีก็ไม่ทัน ก็ขอความกรุณา อย่า งง เขียนนิทานแบบนี้ ลงเพจให้อ่านกัน เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น พยุงตัวให้รอด ไม่จมน้ำหาย ได้โผล่หัวอยู่มาได้ เกือบ 2 ปีนี่ ก็กินแรงแยะเหมือนกันนะครับ แรงคนแก่มีเหลือไม่มาก เรื่องอะไรที่ไม่ถึงกับขัดหู ขัดตา ก็ปล่อยไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า)
    เรื่อง นายนาวาโทเพอรี่ ขี่เรือรบพกปืนใหญ่ มาขู่เอาไมตรีกับญี่ปุ่นนี่ จริงๆ ทำเอาซามูไรหน้าจ๋อย ใจฝ่อไปจม ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นชาติที่เข็มแข็ง ซามูไรคมกริบ ไม่เคยพลาดเป้า ตอนนี้เหงื่อตก คิดหนัก เราด้อยกว่าเขาแยะนักหรือ ขนาดจีนว่าใหญ่ ยังโดนไอ้พวกไกยิ่น (ญี่ปุ่น เรียก ฝรั่ง ว่า Gai-Jin) เล่นซะร่วง แล้วเราจะทำอย่างไรดี
    ด้วยความกลัวไอ้พวกไกยิ่น เอาปืนใหญ่มายิงโชว์อีก ญึ่ปุ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มีทางเดียวเราต้องปฏิรูปตัวเอง ญี่ปุ่นทำจริงจัง ปี ค.ศ.1868 ญี่ปุ่นจัดการบ้านการเมืองตัวเองใหม่ เรียกว่า Meiji Restoration เริ่มขบวนการปลดโชกุน ที่เคยมีอำนาจใหญ่กว่าฟ้า กลับลงมาสู่พื้น แล้วเอาอำนาจให้มาอยู่ในมือของจักรพรรดิแทน หรือจริงๆ ก็คืออยู่ในมือของกลุ่มที่ชักใยอยู่หลังฉาก ที่ไปปลดโชกุน และอุ้มจักรพรรดิขึ้นมาเป็นเจว็ด นั่นแหละ
    กลุ่มมือที่อยู่หลักฉาก เชื่อว่า ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยล้มเลิกระบบขุนนาง ปรับปรุงกองทัพให้เข็มแข็ง และวางแผนให้ประเทศเดินหน้าไปทางด้านอุตสาหกรรม พยายามสร้างชาติใหม่ให้เท่าทันตะวันตก ชะตาชีวิตของประเทศ ก็น่าจะพ้นจากสภาพการถูกไอ้พวก ไกยิ่นทำลาย พวกสังคมอีลิต ต่างพากันสลัดกิโมโนทิ้ง มาแต่งตัว และใส่หมวกแบบตะวันตก แล้วชาวญี่ปุ่นหัวสมัยใหม่ ก็รีบสร้างระบบรัฐสภา เร่งร่างรัฐธรรมนูญ… นี่ ผมกำลังเล่าเรื่องญี่ปุ่นนะครับ..
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 1 ในที่สุด ภาพของญี่ปุ่น ที่วาดไว้อย่างสวยงามว่า เป็นชาติที่รักความสงบ ไม่มีวันไปรุกรานใครอีกตลอดกาล ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ที่อเมริกาเขียนให้เมื่อปี ค.ศ.1948 ก็ถูกลบทิ้งเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมา เมื่อสภาล่างของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนผ่านกฏหมาย ที่จะแปลความรัฐธรรมนูญดังกล่าให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง Self Defence Force (SDF) ถลาร่อนไปได้ทั่วโลก แบกถาดไปได้ทุกแห่ง ตามคำสั่งของนายท่าน ไอ้ที่บอกว่าจะ ไม่รุกรานใครอีกตลอดกาล ของญี่ปุ่นนี่ “ตลอดกาล” มันนานมาก นานน้อย แค่ไหนก็ได้ ตามแต่นายท่านจะสั่ง กฏหมายนี้ ยังจะต้องผ่านสภาสูงอีกรอบ ภายในเดือนสิงหาคม แต่ไม่มีปัญหา เขาว่าพรรค LPD ของนายอาเบะคุมเสียงต้ัง 2 ใน 3 ของสภาสูง นอนหลับตาไขว้ห้างได้สบายใจ ไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผาก แถมสั่งลูกน้องให้ไปเตรียมตัดชุดแบกถาดล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกลัวเป็นซามูไรสายบัวเหี่ยว ตั้งแต่ข่าวนี้ออกสื่อ มีเสียงดังเหมือนมังกรคำราม ออกมาอย่างไม่พอใจ ไม่ต้องสงสัย มาจากบ้านอาเฮียของผมนั่นแหละ ทำไมอาเฮียต้องเอ็ดตะโรด้วย ใครเขาอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้อะไร เฮียก็อย่าไปใส่ใจน่า อย่าทำตัวเหมือนไอ้พวกใบตองแห้ง ที่ไม่พอใจไปหมด เดี๋ยวก็สั่งให้แก้ สั่งให้ถอด สั่งให้เปิด สั่งให้เปลี่ยน สั่งมันทุกอย่าง เหลืออย่างเดียว ยังไม่ได้ให้สั่งขี้มูก สั่งมาซีวะ กำลังถูกหวัดต้นฝนเล่นงานอยู่ จะได้เอาให้หน้าสถานทูตมันลื่นพราดเชียว (ฮา) อาเฮียบอกไม่ขำ (โว้ย) อ้าว เฮียครับ ธรรมดาก็เห็นหยอกกันได้ แต่เรื่องไอ้ยุ่นแบกถาดนี่ ทำไมเฮียบูดกระทันหัน เรื่องทะเลาะกันตีกัน มันก็นาน 70, 80 ปีแล้วนะ เป็นแผลก็ตกสะเก็ด ไปแล้ว เฮียไปเกาซ้ำแผลมันจะหายได้ยังไง อาเฮียบอก ลื้อไปศึกษาดูให้ดี อย่าดีแต่พล่าม หายเซ่อ แล้วคอยมาคุยกันว่า ทำไมแผลเก่านาน กว่า 70 ปี ถึงไม่ตกสะเก็ดเสียที จริงของอาเฮีย ผมเองยังเซ่อจับเกี่ยวเรื่องญี่ปุ่น มีคำถามค้างกับตัวเองอยู่หลายเรื่อง มองบางอย่างยังไม่ชัด เหมือนอะไรมันยังขัดกัน หรือ หมุนไปคนละทาง อะไรทำให้ญี่ปุ่น ลุกขึ้นไปรุกรานเพื่อนบ้านตัวเอง อย่างหิวกระหายและทารุณ และไปเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดุดันและเหี้ยมโหด ญี่ปุ่นโกรธแค้นใครมาหรือญี่ปุ่นถูกหลอก หรือมีข้อตกลงกับใคร หรือมันเป็นนิสัยของชนชาติที่รักษาเกียรติยศด้วยการเอามีดคว้านท้องตัวเอง ก็เลยเห็นชีวิตคนอื่นไม่ต่างกับผักดองหรือสาหร่าย ผมว่า เรามาเริ่มจากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบบสั้นๆ แต่แพนกล้องให้กว้าง แล้วค่อยๆเจาะลึกดีกว่า จริงๆอยากเขียนแบบ ต้มข้ามศตวรรษ อีกรอบ แต่สงสัยทั้งคนเขียน และคนอ่านหมดแรงไปก่อนวันอันควร จากหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติ ศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ฝรั่งเขียน มักจะระบุว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่น ที่แสดงในช่วง ค.ศ.1852 ถึง 1945 มาจากแรงผลักดัน ที่ไม่อยากมีชะตา หรือสภาพอย่างจีน เมื่อช่วงศตวรรษ ที่ 19 อืม… เริ่มแบบนี้ ผมเกรงว่า แผลเก่าของอาเฮีย จะกลายเป็นแผลใหม่สดขึ้นมาอีก อาเฮีย อย่าเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ ให้ผมพล่ามให้จบก่อน ผมยังไม่อยากมีเรื่องกับมังกร นักประวัติศาสตร์ บอกว่า สำหรับญี่ปุ่น การเข้าสู่สงครามโลก มันลามมาจากการปะทะกัน ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ที่เรียกว่า สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 Second Sino Japanese War หรือ ที่เรียกอีกชื่อว่า Marco Polo Bridge Incident ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1937 หลังจากที่มีการทุบถอง ปะทะกันตามแนวเขตแดนมาหลายปี ต้ังแต่ญี่ปุ่นไปบุกแมนจูเรีย ในปี ค.ศ.1931 นู่น เอะ แล้วญี่ปุ่นนึกยังไง ถึงซ่าเข้าไปบุกแมนจูเรีย นักประวัติศาสตร์บอกว่า งั้นต้องถอยกลับมาปี ค.ศ1853 ก่อน ถึงจะเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งโวยว่า ผมถอยไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน เอาน่า จะรู้เรื่องอะไร ก็รู้ให้มันชัดๆ ดีกว่ารู้เรื่องดาราทะเลาะกัน งอนกัน ที่จริงๆแล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องจริงของพวกเขาอยู่ดี ใช่ไหมครับ ก่อนปี ค.ศ.1853 นักประวัติศาสตร์ บอกญี่ปุ่นเป็นชาติ ที่รักสันโดษ ไม่คบค้ากับใคร นานๆ ก็มีชาวดัชท์เอาเรือบรรทุกสินค้าแวะมาจอด ซื้อของขายของ แถวท่าเรือที่เมืองนางาซากิ Nagasaki ชาวต่างชาตินอกเหนือจากนั้น ไม่อนุญาต ไม่รู้ดัชท์หลุดมาได้ไง พอถึงปี ค.ศ.1853 ต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยรักสันโดษ ก็มาถึง นาวาโทแมทธิว เพอรี่ นำเรือรบอเมริกันมาจอด อยู่ที่ปากอ่าวเมืองโตเกียว และไม่ได้มากันลำเดียว ขนกันมาถึง 4 ลำ เล่นเอาปากอ่าว แน่นเอี้ยด นี่มันสูตรสำเร็จ แจกโรเนียวเลยนะ เอาเรือรบมาขอจับมือ ญี่ปุ่นเห็นเรือรบที่ไม่ได้รับ เชิญ มาจอดเต็มหน้าบ้าน ก็ยัวะจัด บังวิวสวยๆหมด เลยท้าวสะเอวถลกกิโมโน ชี้นิ้วตะโกนไล่ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ทหารเรือฝรั่งบอกว่า ไม่ไป แถมหันปืนใหญ่ใส่เมืองโตเกียว ญี่ปุ่นยิ่งยั๊วะ รวบรวมเรือเล็กเรือน้อย ติดธงทิวสวยงาม ไปล้อมเรือรบ น่าเอ็นดูจัง แต่ทหารเรือ ไม่เอ็นดูด้วย กลับยื่นจดหมายของประธานาธิบดี Millard Fillmore แห่งแดนใบตองแห้ง เอ้า เอาไปส่งให้โชกุนโตกุกาวาที่ปก ครองญี่ปุ่นขณะนั้น แถมด้วยยิงปืนใหญ่โชว์ จนบ้านน้อยๆของชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ริมอ่าวพังพินาศ นักประวัติศาสตร์ ไม่ได้จดมาว่าพังไปเท่าไหร่ ว่าแล้วก็แล่นเรือจากไป แต่ไม่ไปลับ สำทับกับชาวญี่ปุ่น ที่ยังไม่หายตกใจ หูอื้อจากเสียงปืนใหญ่…. แล้วเราจะกลับมาเอาคำตอบ….ฮู้ย เข้มซะไม่มี เอาปืนใหญ่ มาขู่กระบอกไม้ไผ่ ซามูไรมุดหัวหายไปไหนหมด หนึ่งปีผ่านไป ทหารเรือพกปืนใหญ่ก็กลับมาจริง คราวนี้ยกโขยงเรือรบมากัน 8 ลำ คราวที่แล้วมา 4 ลำ ดูจะน้อยไป เดี๋ยวจะสู้กับไม้ไผ่ไม่ไหว แถมมาพร้อมกับมือเหล็ก ยื่นมาบีบคอญี่ปุ่น ให้เซ็นสัญญา Convention of Kanagawa ให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือชิโมดะ Shimoda (ชื่อเดิมของโตเกียวนั่นแหละ) และเมือง ฮาโกดาเตะ Hagodate ซึ่งอยู่ทางใต้ของฮอกไกโด Hokkaido เพื่อค้าขายกับอเมริกา ตามเงื่อนไขที่อเมริกากำหนด ญี่ปุ่นคิดหนัก เฮ้อ… ซามูไร ถึงจะคมยังไง ก็คงสู้กับปืนใหญ่ลำบาก เนะ… ว่าแล้วก็คอตก หน้าก้ม ยกมือขึ้นประทับตรา ในสัญญาขู่เอาไมตรี (หมายเหตุ ก่อนเดินหน้าเล่าต่อ ถ้าผมเรียกชื่อ สะกดชื่อญี่ปุ่นผิด ก็ไม่ต้องทักท้วงกันมาหลังจอนะ ครับ รบกวนบอกกันหน้าจอเลยว่า ผิดที่ไหน ที่ถูก ต้องเรียกยังไง ผมจะขอบคุณมาก ผมแค่เขียนนิทานให้อ่าน ไม่ใช่ครูสอนภาษา และผมก็ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็พยายามจะไม่เขียนแบบมั่ว หรือชุ่ยครับ อ้อ ไม่ใช่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นนะครับ ทุกภาษาที่สะกดผิด นิทานเรื่องนี้ จะมีทั้งภาษาจีน ภาษาฝรั่งอั้งม้อ รวมทั้งภาษาไทย ที่ตอนเขียนถูก แต่ตอนโพสต์ผิดก็มี และมีแยะขึ้น บางวันถึงขนาด เครื่องมันขึ้น F ให้หน้าเพจผม ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน บางครั้งก็แก้ไขทัน บางทีก็ไม่ทัน ก็ขอความกรุณา อย่า งง เขียนนิทานแบบนี้ ลงเพจให้อ่านกัน เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น พยุงตัวให้รอด ไม่จมน้ำหาย ได้โผล่หัวอยู่มาได้ เกือบ 2 ปีนี่ ก็กินแรงแยะเหมือนกันนะครับ แรงคนแก่มีเหลือไม่มาก เรื่องอะไรที่ไม่ถึงกับขัดหู ขัดตา ก็ปล่อยไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า) เรื่อง นายนาวาโทเพอรี่ ขี่เรือรบพกปืนใหญ่ มาขู่เอาไมตรีกับญี่ปุ่นนี่ จริงๆ ทำเอาซามูไรหน้าจ๋อย ใจฝ่อไปจม ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นชาติที่เข็มแข็ง ซามูไรคมกริบ ไม่เคยพลาดเป้า ตอนนี้เหงื่อตก คิดหนัก เราด้อยกว่าเขาแยะนักหรือ ขนาดจีนว่าใหญ่ ยังโดนไอ้พวกไกยิ่น (ญี่ปุ่น เรียก ฝรั่ง ว่า Gai-Jin) เล่นซะร่วง แล้วเราจะทำอย่างไรดี ด้วยความกลัวไอ้พวกไกยิ่น เอาปืนใหญ่มายิงโชว์อีก ญึ่ปุ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มีทางเดียวเราต้องปฏิรูปตัวเอง ญี่ปุ่นทำจริงจัง ปี ค.ศ.1868 ญี่ปุ่นจัดการบ้านการเมืองตัวเองใหม่ เรียกว่า Meiji Restoration เริ่มขบวนการปลดโชกุน ที่เคยมีอำนาจใหญ่กว่าฟ้า กลับลงมาสู่พื้น แล้วเอาอำนาจให้มาอยู่ในมือของจักรพรรดิแทน หรือจริงๆ ก็คืออยู่ในมือของกลุ่มที่ชักใยอยู่หลังฉาก ที่ไปปลดโชกุน และอุ้มจักรพรรดิขึ้นมาเป็นเจว็ด นั่นแหละ กลุ่มมือที่อยู่หลักฉาก เชื่อว่า ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยล้มเลิกระบบขุนนาง ปรับปรุงกองทัพให้เข็มแข็ง และวางแผนให้ประเทศเดินหน้าไปทางด้านอุตสาหกรรม พยายามสร้างชาติใหม่ให้เท่าทันตะวันตก ชะตาชีวิตของประเทศ ก็น่าจะพ้นจากสภาพการถูกไอ้พวก ไกยิ่นทำลาย พวกสังคมอีลิต ต่างพากันสลัดกิโมโนทิ้ง มาแต่งตัว และใส่หมวกแบบตะวันตก แล้วชาวญี่ปุ่นหัวสมัยใหม่ ก็รีบสร้างระบบรัฐสภา เร่งร่างรัฐธรรมนูญ… นี่ ผมกำลังเล่าเรื่องญี่ปุ่นนะครับ.. สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ทร.ประกาศชัด ตึกกาสิโน “ทมอดาซิตี้” ที่กัมพูชาสร้างล้ำเข้าดินแดนไทย ต้องรื้อเท่านั้น — ใครสร้างใครรื้อ แต่ถ้าเขมรไม่รื้อ ไทยพร้อมรื้อแทนและให้จ่ายค่าใช้จ่ายคืน
    พร้อมเผยบ้าน 3 หลังฝั่งตรงข้ามบ้านหนองรีถูกรื้อไปแล้ว แต่ฝ่ายกัมพูชายังเพิ่มกำลัง–ขุดคูเลตเพิ่ม ขณะไทยเจาะถนนประชิดพื้นที่ ต้องระวังทุ่นระเบิดจำนวนมาก

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000111075

    #ไทยกัมพูชา #ทมอดาซิตี้ #ชายแดนตราด #กองทัพเรือ #แนวเขตแดน #News1live #News1
    ผบ.ทร.ประกาศชัด ตึกกาสิโน “ทมอดาซิตี้” ที่กัมพูชาสร้างล้ำเข้าดินแดนไทย ต้องรื้อเท่านั้น — ใครสร้างใครรื้อ แต่ถ้าเขมรไม่รื้อ ไทยพร้อมรื้อแทนและให้จ่ายค่าใช้จ่ายคืน พร้อมเผยบ้าน 3 หลังฝั่งตรงข้ามบ้านหนองรีถูกรื้อไปแล้ว แต่ฝ่ายกัมพูชายังเพิ่มกำลัง–ขุดคูเลตเพิ่ม ขณะไทยเจาะถนนประชิดพื้นที่ ต้องระวังทุ่นระเบิดจำนวนมาก • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000111075 • #ไทยกัมพูชา #ทมอดาซิตี้ #ชายแดนตราด #กองทัพเรือ #แนวเขตแดน #News1live #News1
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 551 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 931 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เอาแล้วเริ่มออกลายแล้ว,รั้วลวดหนามถ้ารัฐบาลไม่สร้างตลอดแนว ทหารไม่สร้างตลอดแนวตามหลักเขตแดน73เสาหลักปักตำตาแล้ว,ถือว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อชาติต่อประชาชนคนไทย,การสร้างรั้วกำแพงลวดหนามถาวร เราสามารถสร้างทันทีได้เลยในอัตรา1:50,000หรือขยับเข้ามาสัก20-30เมตร ห่างจากเสาเขตแดนที่ปักกับเขมรสมัยตกลงกับฝรั่งเศสได้,สร้างตลอดแนวให้เสร็จสมบูรณ์ถาวรเลย ปิดช่องทางธรรมชาติมิให้ใครเข้าออกตามพรมแดนธรรมชาติได้อีก,จากนั้นมาเคลียร์จุดตรงแนวเสาเขตแดนของจริงอีกครั้ง,ทำรั้วลวดหนามชั่วคราวอีกชั้นว่าแนวนี้คือแนวเขตแดนจริงที่เป็นเส้นแบ่งของจริง ปักตอเสาเข็มอัดแรงตลอด800กม. ระยะห่างของเสาเข็มแต่ละต้นทุกๆ500เมตรเลย,มันจะขุดด้วยรถขุดยากแน่นอน กั้นรั้วชุดแรกได้ตามแนวเขตแดนจริง แม้มันพยายามปีนรั้วชั้นแรกเข้ามาได้ เราก็มีรั้วถาวรชั้นที่สองสร้างถาวรจริงในเขตแผ่นดินไทยเราด้วย ห่างจากรั้วชั่วคราวแนวพรมแดนเพียง20-30เมตร เราออกลาดตะเวนจุดนี้ได้อีก,เขาเรียกพื้นที่ฟรีโซนสำหรับทหารไทยเราด้วย,มันคนเขมรเข้ามาในเขตฟรีโซนเดทโซนเรา ยืนเหยียบเขตนี้เรา เรายิงทิ้งได้ทันที แล้วค่อยขี่รถไปเก็บศพส่งคืนทีหลังได้.,ข้อหาเข้ามาผีบ้าในแผ่นดินไทย.
    ..รั้วลวดหนามถาวร เราสร้างได้ทันที ไม่จำเป็นต้องตรงแนวเขตแดนเสาหมุกสยามฝรั่งเศสก็ได้.

    https://youtu.be/0-cjk-edJRY?si=Mzeb-KU6CcTDs2nb
    ..เอาแล้วเริ่มออกลายแล้ว,รั้วลวดหนามถ้ารัฐบาลไม่สร้างตลอดแนว ทหารไม่สร้างตลอดแนวตามหลักเขตแดน73เสาหลักปักตำตาแล้ว,ถือว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อชาติต่อประชาชนคนไทย,การสร้างรั้วกำแพงลวดหนามถาวร เราสามารถสร้างทันทีได้เลยในอัตรา1:50,000หรือขยับเข้ามาสัก20-30เมตร ห่างจากเสาเขตแดนที่ปักกับเขมรสมัยตกลงกับฝรั่งเศสได้,สร้างตลอดแนวให้เสร็จสมบูรณ์ถาวรเลย ปิดช่องทางธรรมชาติมิให้ใครเข้าออกตามพรมแดนธรรมชาติได้อีก,จากนั้นมาเคลียร์จุดตรงแนวเสาเขตแดนของจริงอีกครั้ง,ทำรั้วลวดหนามชั่วคราวอีกชั้นว่าแนวนี้คือแนวเขตแดนจริงที่เป็นเส้นแบ่งของจริง ปักตอเสาเข็มอัดแรงตลอด800กม. ระยะห่างของเสาเข็มแต่ละต้นทุกๆ500เมตรเลย,มันจะขุดด้วยรถขุดยากแน่นอน กั้นรั้วชุดแรกได้ตามแนวเขตแดนจริง แม้มันพยายามปีนรั้วชั้นแรกเข้ามาได้ เราก็มีรั้วถาวรชั้นที่สองสร้างถาวรจริงในเขตแผ่นดินไทยเราด้วย ห่างจากรั้วชั่วคราวแนวพรมแดนเพียง20-30เมตร เราออกลาดตะเวนจุดนี้ได้อีก,เขาเรียกพื้นที่ฟรีโซนสำหรับทหารไทยเราด้วย,มันคนเขมรเข้ามาในเขตฟรีโซนเดทโซนเรา ยืนเหยียบเขตนี้เรา เรายิงทิ้งได้ทันที แล้วค่อยขี่รถไปเก็บศพส่งคืนทีหลังได้.,ข้อหาเข้ามาผีบ้าในแผ่นดินไทย. ..รั้วลวดหนามถาวร เราสร้างได้ทันที ไม่จำเป็นต้องตรงแนวเขตแดนเสาหมุกสยามฝรั่งเศสก็ได้. https://youtu.be/0-cjk-edJRY?si=Mzeb-KU6CcTDs2nb
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปหลักแดนที่ จ. สระแก้ว(กองกำลังบูรพา )
    หลักเขตแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วของกองกำลังบูรพามีทั้งหมด 24 หลัก(หลักที่ 28-51)

    ✅️มีความเห็นตรงกัน ในที่ตั้งหลักเขตแดน 13 หลักได้แก่ 29 30 31 32 37 40 41 43 44 45 49 50 5
    ❌️มีความเห็นไม่ตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน 11 หลัก ได้แก่ 28 33 34 35 36 38 39 42 46 47 48

    ลักษณะทางกายภาพแนวเขตแดน
    28-31 ห้วยโอปะอาว
    32-33 ห้วยไทร
    33-43 เส้นตรง
    43-44 ห้วยระลมระสือ
    44-45 เส้นตรง(45 เป็นจุดเลี้ยว)
    45-49 เส้นตรง
    49-50 คลองลึก
    50-51 ห้วยพรมโหด

    การที่ ลูกแหง่อย่างฮุนมาเนท ฟ้องโลกก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนความจริงเท่านั้นและฮุน ไม่กล้าเล่นพื้นที่สระแก้วแน่นอนเพราะเสียผลประโยชน์มากเพราะทางการเขมรเซ็นยอมรับหลักแดนเอง การยอมรับหลักแดนก็เท่ากับยอมรับเส้นเขตแดนไปด้วย แม้บางหลักไม่ตรงกันบ้างแต่ก็พอจะประมาณได้ว่า พื้นที่ใดอ้างสิทธิ์ ซ้อนกัน พื้นที่ใด้เป็นของใครชัดเจน

    เมื่อดูจาก ข้อเท็จจริงแล้วจะพบว่า เขมรได้สร้างคาสิโนล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ชัดเจน อีกทั้ง ยังมีชาวบ้านเขมรที่สร้างที่พักอาศัยล้ำเขตแดนเข้ามาในพื้นที่ของไทยอีกด้วย มาถึงตรงนี้ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของ นาย ลายเซียงลี (คนที่เซ็นยอมรับหลักเขตแดนร่วมกันกับไทย )ซะแล้ว ว่าจะอยู่ดีหรือไม่

    อีกประการที่สำคัญแม้ว่าจะมีค่ายอพยพผู้ลี้ภัย(คำเรียกจากต่างชาติ)อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีมากที่เข้ามาอยู่เอง และบอกได้อย่างชัดเจนว่า ทางเทคนิคประเทศไทยไม่ยอมรับชาวเขมรเหล่านี้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยเลย ดังนั้นไม่ใช่เขมรทั้งหมดจะเป็นผู้ลี้ภัย และส่วนมากเป็น พวกหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยไทยได้จัดตั้งหน่วยที่ชื่อว่า
    “หน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา”
    ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปเราจะไม่เรียกเขมรว่าเป็นผู้ลี้ภัยแต่เราจะจำกัดคำนิยามพวกเขมรว่า

    “ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา”

    Cr.: wanchana sawasdee (เสธ.เบิร์ด)
    สรุปหลักแดนที่ จ. สระแก้ว(กองกำลังบูรพา ) หลักเขตแดนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วของกองกำลังบูรพามีทั้งหมด 24 หลัก(หลักที่ 28-51) ✅️มีความเห็นตรงกัน ในที่ตั้งหลักเขตแดน 13 หลักได้แก่ 29 30 31 32 37 40 41 43 44 45 49 50 5 ❌️มีความเห็นไม่ตรงกันในที่ตั้งหลักเขตแดน 11 หลัก ได้แก่ 28 33 34 35 36 38 39 42 46 47 48 ลักษณะทางกายภาพแนวเขตแดน 28-31 ห้วยโอปะอาว 32-33 ห้วยไทร 33-43 เส้นตรง 43-44 ห้วยระลมระสือ 44-45 เส้นตรง(45 เป็นจุดเลี้ยว) 45-49 เส้นตรง 49-50 คลองลึก 50-51 ห้วยพรมโหด การที่ ลูกแหง่อย่างฮุนมาเนท ฟ้องโลกก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนความจริงเท่านั้นและฮุน ไม่กล้าเล่นพื้นที่สระแก้วแน่นอนเพราะเสียผลประโยชน์มากเพราะทางการเขมรเซ็นยอมรับหลักแดนเอง การยอมรับหลักแดนก็เท่ากับยอมรับเส้นเขตแดนไปด้วย แม้บางหลักไม่ตรงกันบ้างแต่ก็พอจะประมาณได้ว่า พื้นที่ใดอ้างสิทธิ์ ซ้อนกัน พื้นที่ใด้เป็นของใครชัดเจน เมื่อดูจาก ข้อเท็จจริงแล้วจะพบว่า เขมรได้สร้างคาสิโนล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ชัดเจน อีกทั้ง ยังมีชาวบ้านเขมรที่สร้างที่พักอาศัยล้ำเขตแดนเข้ามาในพื้นที่ของไทยอีกด้วย มาถึงตรงนี้ผมชักเป็นห่วงความปลอดภัยของ นาย ลายเซียงลี (คนที่เซ็นยอมรับหลักเขตแดนร่วมกันกับไทย )ซะแล้ว ว่าจะอยู่ดีหรือไม่ อีกประการที่สำคัญแม้ว่าจะมีค่ายอพยพผู้ลี้ภัย(คำเรียกจากต่างชาติ)อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีมากที่เข้ามาอยู่เอง และบอกได้อย่างชัดเจนว่า ทางเทคนิคประเทศไทยไม่ยอมรับชาวเขมรเหล่านี้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยเลย ดังนั้นไม่ใช่เขมรทั้งหมดจะเป็นผู้ลี้ภัย และส่วนมากเป็น พวกหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยไทยได้จัดตั้งหน่วยที่ชื่อว่า “หน่วยควบคุมผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา” ดังนั้นจากนี้เป็นต้นไปเราจะไม่เรียกเขมรว่าเป็นผู้ลี้ภัยแต่เราจะจำกัดคำนิยามพวกเขมรว่า “ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา” Cr.: wanchana sawasdee (เสธ.เบิร์ด)
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 534 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ต้นไม้ต้องตัดออกให้หมด อย่ามาบังรั้วบังกำแพง ,กล้องจะไร้ความหมาย,จริงๆเราสามารถสร้างรั้วธรรมดาตลอดแนวเขตแดนตรงกับเสาเขตแดนปกติธรรมดาแบบรั้วล้อมบ้านๆเราไปก่อนหรือได้ก่อน เพื่อเป็นแนวระยะห่างมาตราฐานขยับมาสร้างรั้วลวดหนามถาวรอีกชั้นในฝั่งแผ่นดินไทยเรา,ชั้นที่1สร้างรั้วตรงกับแนวเขตแดนเสาทั้ง74ต้นเรา,ชั้นที่2ขยับเข้ามาแผ่นดินฝั่งไทยเราสัก10เมตร.เพื่อเป็นแนวลาดตะเวนเขตนอกได้สะดวก จับกุมเขมรมาใกล้รั้วถาวรเราทันทีได้อีกบนแผ่นดินอธิปไตยไทยซึ่งมีเจตนาชัดเจนจะลอบเข้าไทยโดยผ่านรั้วชั้นแรกมา,10เมตรนี้ถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีด้วย ซ่อมบำรุงเสารััวถาวรและชั้นแรกก็ง่าย เพราะอยู่ในเขตบนแผ่นดินไทยเราเอง ควบคุมต้นไม้ใบหญ้ามิให้บดบังกล้องตรวจการดูความผิดปกติต่างๆได้,มีถนนทั้งส่วนด้านในและด้านนอกคู่ขนานแนวรั้วลวดหนามถาวร จะปฏิบัติดูแลเขตอธิปไตยไทยได้สะดวก,รั้วชั้นแรกก็กันได้คร่าวๆหยาบๆได้ กล้องซูมทั้งสองฝั่งซ้ายขวาได้อีก ,ถ้ามีทึบ มีต้นไม้บดบังอย่างนี้ หวานหมูพวกชั่วเลวเหมือนเดิม,เป็นแนวคิดที่กากมากหากทำจริง,กล้องจะติดมากมายหรือเล็กน้อยขนาดไหนก็เสมือนปกป้อง ป้องกันจากภัยศัตรูยากลำบากไร้ประสิทธิภาพ ถ้าเป็นคนเป็นยามสังเกตุแทนกล้องก็ทำให้เข้าใจว่า มาปาหี่แหกตาคนกรุงศรีอยุธยาก่อนเมืองแตกเท่านั้น,ทัพศัตรูปีนบุกตีเมืองได้เหมือนเดิมจากมองไม่เห็นศัตรูหลังต้นไม้ใบหญ้านั้นล่ะ,โยนอาวุธเข้าออกเป็นว่าเล่น ปีนขนอะไรเข้าออกเป็นว่าเล่น,มันใช่เวลาเสียดายต้นไม้มั้ย ทีลอบตัดไม้มีค่าสาระพัดจนหมดป่ายังปล่อยมันทำได้ พะสา,บังรั้วกำแพง,คุกสูงมั้ย, โล่งโปร่งมั้ย,อันเดียวกัน,ขังเขมรใส่คุกปิดกั้นไว้ มันจะเสียหน้าเขมรเหรอ.

    https://youtube.com/shorts/MlqDR5mw6Sg?si=WhGG0bNy89OrWeO7
    ..ต้นไม้ต้องตัดออกให้หมด อย่ามาบังรั้วบังกำแพง ,กล้องจะไร้ความหมาย,จริงๆเราสามารถสร้างรั้วธรรมดาตลอดแนวเขตแดนตรงกับเสาเขตแดนปกติธรรมดาแบบรั้วล้อมบ้านๆเราไปก่อนหรือได้ก่อน เพื่อเป็นแนวระยะห่างมาตราฐานขยับมาสร้างรั้วลวดหนามถาวรอีกชั้นในฝั่งแผ่นดินไทยเรา,ชั้นที่1สร้างรั้วตรงกับแนวเขตแดนเสาทั้ง74ต้นเรา,ชั้นที่2ขยับเข้ามาแผ่นดินฝั่งไทยเราสัก10เมตร.เพื่อเป็นแนวลาดตะเวนเขตนอกได้สะดวก จับกุมเขมรมาใกล้รั้วถาวรเราทันทีได้อีกบนแผ่นดินอธิปไตยไทยซึ่งมีเจตนาชัดเจนจะลอบเข้าไทยโดยผ่านรั้วชั้นแรกมา,10เมตรนี้ถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีด้วย ซ่อมบำรุงเสารััวถาวรและชั้นแรกก็ง่าย เพราะอยู่ในเขตบนแผ่นดินไทยเราเอง ควบคุมต้นไม้ใบหญ้ามิให้บดบังกล้องตรวจการดูความผิดปกติต่างๆได้,มีถนนทั้งส่วนด้านในและด้านนอกคู่ขนานแนวรั้วลวดหนามถาวร จะปฏิบัติดูแลเขตอธิปไตยไทยได้สะดวก,รั้วชั้นแรกก็กันได้คร่าวๆหยาบๆได้ กล้องซูมทั้งสองฝั่งซ้ายขวาได้อีก ,ถ้ามีทึบ มีต้นไม้บดบังอย่างนี้ หวานหมูพวกชั่วเลวเหมือนเดิม,เป็นแนวคิดที่กากมากหากทำจริง,กล้องจะติดมากมายหรือเล็กน้อยขนาดไหนก็เสมือนปกป้อง ป้องกันจากภัยศัตรูยากลำบากไร้ประสิทธิภาพ ถ้าเป็นคนเป็นยามสังเกตุแทนกล้องก็ทำให้เข้าใจว่า มาปาหี่แหกตาคนกรุงศรีอยุธยาก่อนเมืองแตกเท่านั้น,ทัพศัตรูปีนบุกตีเมืองได้เหมือนเดิมจากมองไม่เห็นศัตรูหลังต้นไม้ใบหญ้านั้นล่ะ,โยนอาวุธเข้าออกเป็นว่าเล่น ปีนขนอะไรเข้าออกเป็นว่าเล่น,มันใช่เวลาเสียดายต้นไม้มั้ย ทีลอบตัดไม้มีค่าสาระพัดจนหมดป่ายังปล่อยมันทำได้ พะสา,บังรั้วกำแพง,คุกสูงมั้ย, โล่งโปร่งมั้ย,อันเดียวกัน,ขังเขมรใส่คุกปิดกั้นไว้ มันจะเสียหน้าเขมรเหรอ. https://youtube.com/shorts/MlqDR5mw6Sg?si=WhGG0bNy89OrWeO7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพไทยย้ำ “บ้านหนองหญ้าแก้ว” พื้นที่อธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ยันแนวเขตแดนผ่านการรับรองจาก JBC ไทย-กัมพูชาแล้ว พร้อมแสดงแผนผังแนบท้ายบันทึกสยาม-ฝรั่งเศส 117 ปีก่อน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090712

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กองทัพไทยย้ำ “บ้านหนองหญ้าแก้ว” พื้นที่อธิปไตยของไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ยันแนวเขตแดนผ่านการรับรองจาก JBC ไทย-กัมพูชาแล้ว พร้อมแสดงแผนผังแนบท้ายบันทึกสยาม-ฝรั่งเศส 117 ปีก่อน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000090712 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป็นกำลังใจให้ทหารดีๆแนวหน้าภาค.1ทุกๆท่าน ตลอดทหารหน้างานที่พยายามวางรั้วลวดหนามตามแนวเขตแดน1:50,000ซึ่งเชื่อว่าตอนนี้ ทหารไทยเราทั้งกองทัพไทยลงมติเห็นชอบเป็นเสียงเดียวกันชัดเจนแล้วว่าใช้1:50,000แล้ว ดูที่ตราดล่าสุดส่งสัญญาณชัดเจนว่าทหารไทยเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกว่าสงครามรอบแรกอีก,เป้าหมายชัดเจนด้วย สามารถกดดันทหารนอกแถวให้สำนึกได้,ชาติต้องมาก่อนนั้นเอง,
    ..ทหารไทยเรา อาจพยายามวางรั้วลวดหนามตลอดสระแก้วเชื่อมอีสานใต้ให้เด็ดขาดห้ามคนเขมรผ่านจุดธรรมชาติง่ายขึ้นกว่าเดิมนั้นเองก็ได้,เรายังเชื่อว่าทหารพยายามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจนพ้นแนว1:1เสาปักหมุดเขตแดนสยามแน่นอน,แล้ววางรั้วลวดหนามกั้นตายไว้ก่อนได้,ก่อนสร้างรั้วถาวรอีกทีก็ว่า,
    ..ทหารทำถูกแล้ว ไม่สามารถใช้อาวุธปืนได้แต่ฉีดน้ำฉีดขี้น่าจะได้กับพวกนี้.,อย่าสนใจเลยมันไม่ใช่คนชาติไทยเรา จะทำลายไทยเราด้วย ไม่ต้องไว้หน้าเหี้ยอะไรหรอก,บุญแล้วที่ไม่เจอระเบิดขว้างใส่กลางฝูงชนมัน.,มึนแบบนีับนแผ่นดินไทยยังถือว่าให้หน้าอยู่.
    ..พวกรับจ้างมาก่อกวนแน่นอน ทหารเขมรในคราบชาวบ้านด้วย.

    https://youtube.com/watch?v=HMj8U44xPsY&si=SqQdT5SykIJMzIat
    เป็นกำลังใจให้ทหารดีๆแนวหน้าภาค.1ทุกๆท่าน ตลอดทหารหน้างานที่พยายามวางรั้วลวดหนามตามแนวเขตแดน1:50,000ซึ่งเชื่อว่าตอนนี้ ทหารไทยเราทั้งกองทัพไทยลงมติเห็นชอบเป็นเสียงเดียวกันชัดเจนแล้วว่าใช้1:50,000แล้ว ดูที่ตราดล่าสุดส่งสัญญาณชัดเจนว่าทหารไทยเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกว่าสงครามรอบแรกอีก,เป้าหมายชัดเจนด้วย สามารถกดดันทหารนอกแถวให้สำนึกได้,ชาติต้องมาก่อนนั้นเอง, ..ทหารไทยเรา อาจพยายามวางรั้วลวดหนามตลอดสระแก้วเชื่อมอีสานใต้ให้เด็ดขาดห้ามคนเขมรผ่านจุดธรรมชาติง่ายขึ้นกว่าเดิมนั้นเองก็ได้,เรายังเชื่อว่าทหารพยายามถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจนพ้นแนว1:1เสาปักหมุดเขตแดนสยามแน่นอน,แล้ววางรั้วลวดหนามกั้นตายไว้ก่อนได้,ก่อนสร้างรั้วถาวรอีกทีก็ว่า, ..ทหารทำถูกแล้ว ไม่สามารถใช้อาวุธปืนได้แต่ฉีดน้ำฉีดขี้น่าจะได้กับพวกนี้.,อย่าสนใจเลยมันไม่ใช่คนชาติไทยเรา จะทำลายไทยเราด้วย ไม่ต้องไว้หน้าเหี้ยอะไรหรอก,บุญแล้วที่ไม่เจอระเบิดขว้างใส่กลางฝูงชนมัน.,มึนแบบนีับนแผ่นดินไทยยังถือว่าให้หน้าอยู่. ..พวกรับจ้างมาก่อกวนแน่นอน ทหารเขมรในคราบชาวบ้านด้วย. https://youtube.com/watch?v=HMj8U44xPsY&si=SqQdT5SykIJMzIat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทวนรัฐบาลปัจจุบัน คนไทยเขาดูออกกันตรึม,ให้จัดการเด็ดขาดเถอะ,ก่อนจะเป็นเนปาล2ในไทย,จากรัฐบาลชุดนี้,
    ..คนธรรมดาพื้นฐานเขาก็ดูออก,แต่หักเหความสนใจไปที่อื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ่วงเวลาก็ได้,สันปันน้ำมีมานานพร้อมเสาหมุด1:1ถึง74เสา,mou43,44tor46จึงต้องโมฆะและตกไปทันทีเรื่องเขตแดน,ไทยต้องยืนพื้นตรงนี้,รัฐบาลอนุทินต้องยืนยันยืนพื้นตรงนี้,อย่ามาเสียเวลาเหี้ยกับเขมรอีกเลย ปล่อยคนเขมรจัดการฮุนเซนฮุนมาเนตเอง อาจไม่รอดอาทิตย์นี้ก็ได้,ไทยรัฐบาลไทยสั่งตัดน้ำมัน ตัดน่าน้ำทางทะเลอ่าวไทยจริงจังห้ามเรือใดๆผ่านเข้าเขมรที่ใช้น่านน้ำอ่าวไทยทั้งหมด,สายการบินไทยด้วยห้ามบินไปเขมรห้ามบินจากเขมรมาจอดที่ได้,ตัดเน็ต ตัดสายเคเบิลที่ไปจากฝั่งไทยทั้งหมด,ตัดไฟฟ้าจริง วางรั้วลวดหนามจริงตลอดแนวพรมแดนเขมรชั่วคราวทั้งหมดมิใช่เห็นโชว์ตรงจุดเฉพาะที่เป็นข่าวๆ,ทหารไทยเราวางตลอดพิกัดดาวเทียมที่เสาหมุดเราบอกพิกัดแนววางลวดหนามเลย จะตรงแนวเขตแดนเสาต่อเสาทั้ง74เสาเราแน่นอน,ตามแนวสันปันน้ำด้วย.,ทหารเราปูพรมวางจริง ถ่ายรูปอัพขึ้นเพจเสาแนวพรมแดนเลย เสาที่1ถึง74วางลวดหนามตามภาพนี้จริง,โดรนบินถ่ายเลย,เราคนไทยเห็นตำตาร่วมกันสบายใจด้วยว่าวางจริงตลอดแนวก่อนสร้างกำแพงถาวรอีกครั้ง,
    ..วางลวดหนามเสร็จ เขมรยังอยู่อีกในเขตเรา จับขังคุกเลย ค่อยปล่อยตัวถีบออกจากประเทศไทยไปทางด่านหลัก,หรือส่งไปปล่อยเกาะกลางทะเลเราสักที่ก่อน.
    ..รัฐบาลอนุทิน ถ้าไม่จัดการ คนไทยจัดการท่านแน่ ,อาจทนายคนไทยยื่นฟ้องทั้งคณะรัฐบาล ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่มีเสาเขตแดนปักยืนยันไว้ชัดเจนแล้วแต่แทรงทำเป็นอื่นไป,อ้างmouซึ่งเกิดที่หลังร.ที่5อีก.ก็ว่า,เจตนาทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000ชัดเจน.จากมีเสาปักเขตแดนชัดเจนที่1:1ปกติอยู่แล้ว,มีเจตนาไม่ซื่อสัตย์หมายทรัพย์สมบัติแผ่นดินเช่นทรัพยากรมีค่ามากมายในอ่าวไทยร่วมกับศัตรูของชาติ.,โทษ ม.157และม.119ทั้งรัฐบาลชัดเจน คือฝ่ายค้านที่ไม่ทำหน้าที่ที่เห็นภัยชัดเจนจะเกิดก็ไม่ค้าน,ฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มก็ไม่ยกเลิกหรือสร้างทำในสิ่งที่ถูกต้อง,ทั้งสภา.ผิดด้วยกันหมด ที่ไม่ร่วมกันปกป้องดินแดนอธิปไตยแผ่นดินไทยเต็มที่ ข้อหาม.157และม.119จึงสมควรแล้วที่เป็นถึงตัวแทนปนะชาชนกับประมาทในภัยแผ่นดินไทยตน.


    https://youtube.com/shorts/NFOzgK_9V1A?si=giYzJ0cbX8qpK6qT
    ..ทวนรัฐบาลปัจจุบัน คนไทยเขาดูออกกันตรึม,ให้จัดการเด็ดขาดเถอะ,ก่อนจะเป็นเนปาล2ในไทย,จากรัฐบาลชุดนี้, ..คนธรรมดาพื้นฐานเขาก็ดูออก,แต่หักเหความสนใจไปที่อื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ่วงเวลาก็ได้,สันปันน้ำมีมานานพร้อมเสาหมุด1:1ถึง74เสา,mou43,44tor46จึงต้องโมฆะและตกไปทันทีเรื่องเขตแดน,ไทยต้องยืนพื้นตรงนี้,รัฐบาลอนุทินต้องยืนยันยืนพื้นตรงนี้,อย่ามาเสียเวลาเหี้ยกับเขมรอีกเลย ปล่อยคนเขมรจัดการฮุนเซนฮุนมาเนตเอง อาจไม่รอดอาทิตย์นี้ก็ได้,ไทยรัฐบาลไทยสั่งตัดน้ำมัน ตัดน่าน้ำทางทะเลอ่าวไทยจริงจังห้ามเรือใดๆผ่านเข้าเขมรที่ใช้น่านน้ำอ่าวไทยทั้งหมด,สายการบินไทยด้วยห้ามบินไปเขมรห้ามบินจากเขมรมาจอดที่ได้,ตัดเน็ต ตัดสายเคเบิลที่ไปจากฝั่งไทยทั้งหมด,ตัดไฟฟ้าจริง วางรั้วลวดหนามจริงตลอดแนวพรมแดนเขมรชั่วคราวทั้งหมดมิใช่เห็นโชว์ตรงจุดเฉพาะที่เป็นข่าวๆ,ทหารไทยเราวางตลอดพิกัดดาวเทียมที่เสาหมุดเราบอกพิกัดแนววางลวดหนามเลย จะตรงแนวเขตแดนเสาต่อเสาทั้ง74เสาเราแน่นอน,ตามแนวสันปันน้ำด้วย.,ทหารเราปูพรมวางจริง ถ่ายรูปอัพขึ้นเพจเสาแนวพรมแดนเลย เสาที่1ถึง74วางลวดหนามตามภาพนี้จริง,โดรนบินถ่ายเลย,เราคนไทยเห็นตำตาร่วมกันสบายใจด้วยว่าวางจริงตลอดแนวก่อนสร้างกำแพงถาวรอีกครั้ง, ..วางลวดหนามเสร็จ เขมรยังอยู่อีกในเขตเรา จับขังคุกเลย ค่อยปล่อยตัวถีบออกจากประเทศไทยไปทางด่านหลัก,หรือส่งไปปล่อยเกาะกลางทะเลเราสักที่ก่อน. ..รัฐบาลอนุทิน ถ้าไม่จัดการ คนไทยจัดการท่านแน่ ,อาจทนายคนไทยยื่นฟ้องทั้งคณะรัฐบาล ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่มีเสาเขตแดนปักยืนยันไว้ชัดเจนแล้วแต่แทรงทำเป็นอื่นไป,อ้างmouซึ่งเกิดที่หลังร.ที่5อีก.ก็ว่า,เจตนาทำให้เสียแผ่นดินไทยถึง1:150,000ชัดเจน.จากมีเสาปักเขตแดนชัดเจนที่1:1ปกติอยู่แล้ว,มีเจตนาไม่ซื่อสัตย์หมายทรัพย์สมบัติแผ่นดินเช่นทรัพยากรมีค่ามากมายในอ่าวไทยร่วมกับศัตรูของชาติ.,โทษ ม.157และม.119ทั้งรัฐบาลชัดเจน คือฝ่ายค้านที่ไม่ทำหน้าที่ที่เห็นภัยชัดเจนจะเกิดก็ไม่ค้าน,ฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มก็ไม่ยกเลิกหรือสร้างทำในสิ่งที่ถูกต้อง,ทั้งสภา.ผิดด้วยกันหมด ที่ไม่ร่วมกันปกป้องดินแดนอธิปไตยแผ่นดินไทยเต็มที่ ข้อหาม.157และม.119จึงสมควรแล้วที่เป็นถึงตัวแทนปนะชาชนกับประมาทในภัยแผ่นดินไทยตน. https://youtube.com/shorts/NFOzgK_9V1A?si=giYzJ0cbX8qpK6qT
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 666 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารภาค1 ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำไมไม่ออกมาพูดชี้แจงสร้างความมั่นใจแก่ชาวบ้านด้วย มีแต่สื่อนำเสนอด้านเดียวจากปากชาวบ้านและกระดาษหลักเขตของชาวบ้าน แต่จากฝ่ายทหารแม่ทัพภาค1ที่ดูแลกำกับพื้นที่ทั้งหมดจริงทำไมไม่ออกมาพูดอะไรกับสื่อของไทยเราเองบ้าง,การวางรั้วก็อยากเห็นชัดเจนว่าติดหลักเขตแดนเสาเขตแดนจริงมั้ย อย่าห่างจากหลักเขตแดน400-500เมตรอย่างที่อาสนธิออกรายการพูดความจริงมั้ย,ต้องชี้แจงด้วย เพราะการวางรั้วลวดหนามอาจวางจริงแต่เสือกไปวางในอัตรา1:200,000ตามเขมรเป็นเขตแดนก็เหี้ยแน่นอน,วางรั้วลวดหนามจริงแต่ไม่ตรงอัจรา1:50,000ก็เหี้ยบัดสบเช่นกัน ไม่ติดหลักมุดสยามที่ทำไว้กับฝรั่งเลยก็ว่า ห่างจากหลักสยามหมุดเสาเขตแดนก็เหี้ยเลยนั้นอีกล่ะ,ไร้ความชัดเจนออกสื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมารับรู้ร่วมด้วยเลยก็ว่า,จากคลิปที่ปลิวทั่วโซเชียล หลักหมุดไทยในฝั่งเขมร รั่วลวดหนามไทยทำการย้ายมาติดหลักเสาหมุดเขตแดนนั้นแล้วหรือยัง,ทหารภาค1ต้องถ่ายรั้วลวดหนามเราติดกับเสาหมดสยามเราให้คนไทยทั้งประเทศเห็นให้ชัดเจนจริงด้วย,ตลอดแนวเขตแดนที่วางลวดหนามนั้น เอื้ออำนวยที่ดินแดนดินตนแบ่งปันให้เขมรอีกหรือไม่ แบบแบ่งหนองจานบ้านหนองจานคนละครึ่งกับเขมร มันเป็นจริงแบบนั้นก็เหี้ยอีก,สรุปเขตแดนก็มีหลักเขตเสาแดนชัดเจน สันปันน้ำนี้ ทหารแม่ทัพภาค1ต้องทำอะไรๆให้ชัดเจนเปิดเผยต่อประชาชนมากกว่านี้เพราะหลังจากอ.วีระออกมาแฉ มันไม่น่าไว้วางใจในภาระกิจกิจการของแนวพรมแดนไทยกับเขมรที่แม่ทัพภาคที่1รับผิดชอบทั้งตลอดแนวพรมแดนเป็นอย่างมาก,สื่อไทยเราเล่นเรื่องนี้น้อยผิดปกติเหมือนถูกห้ามด้วย,แบบสั่งห้ามตอบโต้เขมรก่อนปะทะเดือดมั้ยนะ,สื่อไทยเราต้องแฉค่าจริงความเถื่อนต่างๆสาระพัดผลประโยชน์ที่ฝั่งไทยแบบทหารเลวชั่วฝั่งไทยไปทำกิจการเลวชั่วเถื่อนๆและกิจกรรมสาระพัดเถื่อนที่ฝั่งเขมรนั้นด้วย,ยุคเราต้องกวาดล้างกำจัดทหารเลวชั่วกันจริงๆจังๆได้แล้ว,ผีบ้าอะไรเขมรยึดแผ่นดินไทยลุุกล้ำยึดครองอธิปไตยไทยกว่า17ปีถึงกว่า11จุดแน่นอนหากรวมภาคตะวันออกจริงๆถึงทะเลอ่าวไทย,โดยทหารผู้เกี่ยวข้องในระยะเวลา17ปีนี้ปล่อยละเลยไม่ถีบเขมรออกจากดินแดนอธิปไตยไทย นายพลทหารทั้งสมัยนั่นๆท่านทำอะไรอยู่.???


    https://youtube.com/watch?v=ccgRnEcatkY&si=wDsakafVRN40DXMQ
    ทหารภาค1 ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำไมไม่ออกมาพูดชี้แจงสร้างความมั่นใจแก่ชาวบ้านด้วย มีแต่สื่อนำเสนอด้านเดียวจากปากชาวบ้านและกระดาษหลักเขตของชาวบ้าน แต่จากฝ่ายทหารแม่ทัพภาค1ที่ดูแลกำกับพื้นที่ทั้งหมดจริงทำไมไม่ออกมาพูดอะไรกับสื่อของไทยเราเองบ้าง,การวางรั้วก็อยากเห็นชัดเจนว่าติดหลักเขตแดนเสาเขตแดนจริงมั้ย อย่าห่างจากหลักเขตแดน400-500เมตรอย่างที่อาสนธิออกรายการพูดความจริงมั้ย,ต้องชี้แจงด้วย เพราะการวางรั้วลวดหนามอาจวางจริงแต่เสือกไปวางในอัตรา1:200,000ตามเขมรเป็นเขตแดนก็เหี้ยแน่นอน,วางรั้วลวดหนามจริงแต่ไม่ตรงอัจรา1:50,000ก็เหี้ยบัดสบเช่นกัน ไม่ติดหลักมุดสยามที่ทำไว้กับฝรั่งเลยก็ว่า ห่างจากหลักสยามหมุดเสาเขตแดนก็เหี้ยเลยนั้นอีกล่ะ,ไร้ความชัดเจนออกสื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมารับรู้ร่วมด้วยเลยก็ว่า,จากคลิปที่ปลิวทั่วโซเชียล หลักหมุดไทยในฝั่งเขมร รั่วลวดหนามไทยทำการย้ายมาติดหลักเสาหมุดเขตแดนนั้นแล้วหรือยัง,ทหารภาค1ต้องถ่ายรั้วลวดหนามเราติดกับเสาหมดสยามเราให้คนไทยทั้งประเทศเห็นให้ชัดเจนจริงด้วย,ตลอดแนวเขตแดนที่วางลวดหนามนั้น เอื้ออำนวยที่ดินแดนดินตนแบ่งปันให้เขมรอีกหรือไม่ แบบแบ่งหนองจานบ้านหนองจานคนละครึ่งกับเขมร มันเป็นจริงแบบนั้นก็เหี้ยอีก,สรุปเขตแดนก็มีหลักเขตเสาแดนชัดเจน สันปันน้ำนี้ ทหารแม่ทัพภาค1ต้องทำอะไรๆให้ชัดเจนเปิดเผยต่อประชาชนมากกว่านี้เพราะหลังจากอ.วีระออกมาแฉ มันไม่น่าไว้วางใจในภาระกิจกิจการของแนวพรมแดนไทยกับเขมรที่แม่ทัพภาคที่1รับผิดชอบทั้งตลอดแนวพรมแดนเป็นอย่างมาก,สื่อไทยเราเล่นเรื่องนี้น้อยผิดปกติเหมือนถูกห้ามด้วย,แบบสั่งห้ามตอบโต้เขมรก่อนปะทะเดือดมั้ยนะ,สื่อไทยเราต้องแฉค่าจริงความเถื่อนต่างๆสาระพัดผลประโยชน์ที่ฝั่งไทยแบบทหารเลวชั่วฝั่งไทยไปทำกิจการเลวชั่วเถื่อนๆและกิจกรรมสาระพัดเถื่อนที่ฝั่งเขมรนั้นด้วย,ยุคเราต้องกวาดล้างกำจัดทหารเลวชั่วกันจริงๆจังๆได้แล้ว,ผีบ้าอะไรเขมรยึดแผ่นดินไทยลุุกล้ำยึดครองอธิปไตยไทยกว่า17ปีถึงกว่า11จุดแน่นอนหากรวมภาคตะวันออกจริงๆถึงทะเลอ่าวไทย,โดยทหารผู้เกี่ยวข้องในระยะเวลา17ปีนี้ปล่อยละเลยไม่ถีบเขมรออกจากดินแดนอธิปไตยไทย นายพลทหารทั้งสมัยนั่นๆท่านทำอะไรอยู่.??? https://youtube.com/watch?v=ccgRnEcatkY&si=wDsakafVRN40DXMQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามระหว่าง ไทย - เขมร รอบนี้ (2568) ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขมรถึงกล้ารบกับไทย ทั้งที่รู้กันทั่วโลกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ เทียบกับไม่ติด ถ้ามองแบบกลยุทธ์ซุมวู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะไทยตอนนี้มองจากภายนอกเข้ามา อ่อนแออย่างน่าตกใจ ในกลยุทธ์ซุนวู รัฐที่เข้มแข็งคือรัฐที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง แต่ไทยมีความแตกแยกอย่างมาก ประชาชนไม่ไว้ใจรัฐบาล ผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเขมรที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา หรือผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้เขมรเพิ่งเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงตกต่ำ ไม่มีอะไรจะหอมหวานเท่าแอ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-เขมร วิธีที่จะทำให้คะแนนนิยมผู้นำเขมรเพิ่มขึ้นไม่มีอะไรดีไปกว่า การเปลี่ยนแนวเขตแดนทางบก เพื่อให้ได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มชึ้น

    แต่การจะเปิดสงครามกับไทยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย จีนที่สนับสนุนด้านเศรษฐกิจเขมรมาอย่างยาวนาน ไม่มีทางที่จะเอาด้วยกับการที่จะเป็นศัตรูกับไทย เพราะภูมิรัฐศาสตร์ของไทยมีความสำคัญกับจีนอย่างมาก ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกที่สหรัฐ ที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้อยู่แล้วสำหรับการปิดล้อมจีน และทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเล การหักหลังจีนของเขมรจึงเป็นการเล่นไพ่แบบเกหมดหน้าตัก เขมรจึงไม่สนใจหน้าในเวทีโลก เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีใครหนุนหลัง การกุข่าวลวง การโจมตีพลเรือน-โรงพยาบาล การตั้งฐานทัพในที่โบราณสถาน จึงมีออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง

    ไทยเองก็ผิดพลาดทางการทูตและด้านยุทธศาสตร์ การมีอยู่ของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่รุ้ว่ามีหรือไม่มีจะดีกว่ากัน เพราะครั้นเมื่อเขมรโจมตีพลเรือนไทยและโรงพบาบาล สิ่งที่ไทยต้องทำคือ ออกแถลงการณ์ประนาณเขมร พร้อมทั้งประกาศให้โลกรู้ว่าไทยจะตอบสนองอย่างหนัก เพราะการสูญเสียพลเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไทยรับไม่ได้ แล้วจึงปฎิบัติการทางการทหาร โดยให้กองทัพภาคที่ 2 ทำการตรึงกำลัง และผลักดันเขมรออกจากแนวเขตแดน โดยทำทีโจมที่ในส่วนพื้นที่ของทัพภาคที่ 2 แต่ส่งกองทัพเรือ รวมถึงกองทัพภาคที่ 1 โจมตีแบบสายฟ้าแล่บและอย่างหนัก เพื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิล เพื่อเปลี่ยนแนวเขตแดนทางทะเล เพื่อเป็นการแก้เกมเขมร โดยที่เมื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิลได้ ก็ออกแถลงการณ์ให้เขมรเจรจาหยุดยิง ถ้าเขมรยังไม่หยุด ก็ให้เคลื่อนกำลังทัพภาคที่ 2 เข้ายึด พระตระบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประกาศถ้าเขมรยังไม่ยอมแพ้ จะกินดินแดนจนถึงพนมเปญ

    การที่ไทยต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยแลกมาด้วยชีวิตทหาร เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้การที่ไทยพยายามจะเป็นคนดีในสายตาโลก ทั้งๆที่สหประชาชาติไม่เคยเป็นกลาง มี hidden agenda ตามชาติมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไทยจึงเหมือนคนอ่อนต่อโลก เหมือนที่เดินไปให้เขาเชือดในศาลโลก เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ไทยต้องทำสงครามสั่งสอนเขมร มิฉะนั้น ก็ต้องมีการยิงกัน และสูญเสียคนไทย อยู่ร่ำไป แต่หากไทยยังคงอ่อนแอด้วยการเมืองภายใน และมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เหมือนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะรอดจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ร้อนแรงชึ้นเรื่อยๆ คงได้แต่หวังพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง สาธุ.........
    สงครามระหว่าง ไทย - เขมร รอบนี้ (2568) ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขมรถึงกล้ารบกับไทย ทั้งที่รู้กันทั่วโลกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ เทียบกับไม่ติด ถ้ามองแบบกลยุทธ์ซุมวู ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะไทยตอนนี้มองจากภายนอกเข้ามา อ่อนแออย่างน่าตกใจ ในกลยุทธ์ซุนวู รัฐที่เข้มแข็งคือรัฐที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง แต่ไทยมีความแตกแยกอย่างมาก ประชาชนไม่ไว้ใจรัฐบาล ผู้มีอำนาจในรัฐบาลมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเขมรที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสีเทา หรือผลประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนี้เขมรเพิ่งเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงตกต่ำ ไม่มีอะไรจะหอมหวานเท่าแอ่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-เขมร วิธีที่จะทำให้คะแนนนิยมผู้นำเขมรเพิ่มขึ้นไม่มีอะไรดีไปกว่า การเปลี่ยนแนวเขตแดนทางบก เพื่อให้ได้พื้นที่ทางทะเลเพิ่มชึ้น แต่การจะเปิดสงครามกับไทยมีต้นทุนที่ต้องจ่าย จีนที่สนับสนุนด้านเศรษฐกิจเขมรมาอย่างยาวนาน ไม่มีทางที่จะเอาด้วยกับการที่จะเป็นศัตรูกับไทย เพราะภูมิรัฐศาสตร์ของไทยมีความสำคัญกับจีนอย่างมาก ตัวเลือกสุดท้ายจึงไปตกที่สหรัฐ ที่พร้อมจะเข้ามาแทรกแซงในพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้อยู่แล้วสำหรับการปิดล้อมจีน และทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเล การหักหลังจีนของเขมรจึงเป็นการเล่นไพ่แบบเกหมดหน้าตัก เขมรจึงไม่สนใจหน้าในเวทีโลก เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีใครหนุนหลัง การกุข่าวลวง การโจมตีพลเรือน-โรงพยาบาล การตั้งฐานทัพในที่โบราณสถาน จึงมีออกมาให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง ไทยเองก็ผิดพลาดทางการทูตและด้านยุทธศาสตร์ การมีอยู่ของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่รุ้ว่ามีหรือไม่มีจะดีกว่ากัน เพราะครั้นเมื่อเขมรโจมตีพลเรือนไทยและโรงพบาบาล สิ่งที่ไทยต้องทำคือ ออกแถลงการณ์ประนาณเขมร พร้อมทั้งประกาศให้โลกรู้ว่าไทยจะตอบสนองอย่างหนัก เพราะการสูญเสียพลเมืองไทย เป็นสิ่งที่ไทยรับไม่ได้ แล้วจึงปฎิบัติการทางการทหาร โดยให้กองทัพภาคที่ 2 ทำการตรึงกำลัง และผลักดันเขมรออกจากแนวเขตแดน โดยทำทีโจมที่ในส่วนพื้นที่ของทัพภาคที่ 2 แต่ส่งกองทัพเรือ รวมถึงกองทัพภาคที่ 1 โจมตีแบบสายฟ้าแล่บและอย่างหนัก เพื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิล เพื่อเปลี่ยนแนวเขตแดนทางทะเล เพื่อเป็นการแก้เกมเขมร โดยที่เมื่อยึดเกาะกง และสีหนุวิลได้ ก็ออกแถลงการณ์ให้เขมรเจรจาหยุดยิง ถ้าเขมรยังไม่หยุด ก็ให้เคลื่อนกำลังทัพภาคที่ 2 เข้ายึด พระตระบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ และประกาศถ้าเขมรยังไม่ยอมแพ้ จะกินดินแดนจนถึงพนมเปญ การที่ไทยต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยแลกมาด้วยชีวิตทหาร เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย นอกจากนี้การที่ไทยพยายามจะเป็นคนดีในสายตาโลก ทั้งๆที่สหประชาชาติไม่เคยเป็นกลาง มี hidden agenda ตามชาติมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ไทยจึงเหมือนคนอ่อนต่อโลก เหมือนที่เดินไปให้เขาเชือดในศาลโลก เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ไทยต้องทำสงครามสั่งสอนเขมร มิฉะนั้น ก็ต้องมีการยิงกัน และสูญเสียคนไทย อยู่ร่ำไป แต่หากไทยยังคงอ่อนแอด้วยการเมืองภายใน และมีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เหมือนตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะรอดจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ร้อนแรงชึ้นเรื่อยๆ คงได้แต่หวังพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง สาธุ.........
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1005 มุมมอง 0 รีวิว

  • TOR 2003 หรือชื่อเต็มว่า

    > “Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia”
    คือ ข้อตกลงกรอบความร่วมมือ ที่ลงนามระหว่าง รัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ร่วมกัน


    ---

    สาระสำคัญของ TOR 2003

    1. เป้าหมายหลัก

    กำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ

    ให้คณะทำงานย่อย (เช่น JWG, JTSC) สำรวจ ตรวจสอบ และจัดทำแผนที่เพื่อการปักปันแนวเขตแดน

    สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LIDAR, GPS, Orthophoto ในการสำรวจ



    2. ข้อ 1.1.3 (ข้อที่เป็นประเด็นสำคัญ)

    > ระบุว่า การสำรวจและจัดทำแผนที่เพื่อปักปันแนวเขตแดน จะต้องใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เป็นฐานข้อมูลประกอบ



    ความหมายโดยตรง:
    ให้ยึดแผนที่ขนาด 1:200,000 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับ แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map)

    ความเสี่ยง:
    การอ้างแผนที่นี้ อาจถูกตีความว่า “ยอมรับแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง” ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ที่ไทยยังคัดค้าน หรือยังไม่ยอมรับ เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร



    TOR 2003 เชื่อมโยงกับเอกสารอื่นอย่างไร

    เอกสาร ความสัมพันธ์กับ TOR 2003
    MOU 2000 TOR 2003 อ้างอิง MOU 2000 เป็นรากฐานในการดำเนินงาน
    JBC ใช้ TOR 2003 เป็นกรอบในการดำเนินนโยบาย
    JWG / JTSC ทำงานภายใต้ TOR 2003 ในระดับเทคนิคและปฏิบัติ
    แผนที่ Annex I Map แม้ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง แต่การใช้แผนที่ 1:200,000 เปิดช่องให้อ้างแผนที่ฉบับนี้

    สรุปประเด็นที่ควรจับตาใน TOR 2003

    ประเด็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    แผนที่ 1:200,000 อาจเป็นการยอมรับแผนที่ที่ฝั่งกัมพูชาจัดทำฝ่ายเดียว
    ขาดกลไกคัดค้านใน TOR หากไม่มีการแสดงข้อสงวน อาจถือว่ายอมรับโดยปริยาย
    การรับรองของ JBC หาก JBC รับรองโดยไม่ระวัง อาจมีผลผูกพันระดับระหว่างประเทศ


    TOR 2003 หรือชื่อเต็มว่า > “Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia” คือ ข้อตกลงกรอบความร่วมมือ ที่ลงนามระหว่าง รัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) เพื่อใช้เป็น แนวทางในการดำเนินการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ร่วมกัน --- 🔍 สาระสำคัญของ TOR 2003 1. เป้าหมายหลัก กำหนดกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของทั้งสองประเทศ ให้คณะทำงานย่อย (เช่น JWG, JTSC) สำรวจ ตรวจสอบ และจัดทำแผนที่เพื่อการปักปันแนวเขตแดน สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น LIDAR, GPS, Orthophoto ในการสำรวจ 2. ข้อ 1.1.3 (ข้อที่เป็นประเด็นสำคัญ) > ระบุว่า การสำรวจและจัดทำแผนที่เพื่อปักปันแนวเขตแดน จะต้องใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เป็นฐานข้อมูลประกอบ ✅ ความหมายโดยตรง: ให้ยึดแผนที่ขนาด 1:200,000 ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับ แผนที่แนบท้ายคำพิพากษาศาลโลกปี 1962 (Annex I Map) ⚠️ ความเสี่ยง: การอ้างแผนที่นี้ อาจถูกตีความว่า “ยอมรับแนวเขตที่ฝั่งกัมพูชาอ้าง” ซึ่งอาจครอบคลุมพื้นที่ที่ไทยยังคัดค้าน หรือยังไม่ยอมรับ เช่น บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร 📌 TOR 2003 เชื่อมโยงกับเอกสารอื่นอย่างไร เอกสาร ความสัมพันธ์กับ TOR 2003 MOU 2000 TOR 2003 อ้างอิง MOU 2000 เป็นรากฐานในการดำเนินงาน JBC ใช้ TOR 2003 เป็นกรอบในการดำเนินนโยบาย JWG / JTSC ทำงานภายใต้ TOR 2003 ในระดับเทคนิคและปฏิบัติ แผนที่ Annex I Map แม้ไม่ได้ระบุชื่อโดยตรง แต่การใช้แผนที่ 1:200,000 เปิดช่องให้อ้างแผนที่ฉบับนี้ 📍 สรุปประเด็นที่ควรจับตาใน TOR 2003 ประเด็น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แผนที่ 1:200,000 อาจเป็นการยอมรับแผนที่ที่ฝั่งกัมพูชาจัดทำฝ่ายเดียว ขาดกลไกคัดค้านใน TOR หากไม่มีการแสดงข้อสงวน อาจถือว่ายอมรับโดยปริยาย การรับรองของ JBC หาก JBC รับรองโดยไม่ระวัง อาจมีผลผูกพันระดับระหว่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 675 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลฉวยโอกาสขณะสหรัฐกลับมามีอิทธิพลครั้งใหม่ ประกาศแนวเขตแดนใหม่ของตนเอง

    เนทันยาฮูประกาศแนวเขตแดนในภูมิภาค “ตะวันออกกลางใหม่” โดยกล่าวว่าเขาจะไม่ถอนกำลังออกจาก 5 ตำแหน่งในเลบานอน รวมทั้งเขตกันชนและภูเขาเฮอร์มอนในดินแดนซีเรีย

    เขาประกาศไปถึงกองกำลังซีเรียใหม่ ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย Hay'at Tahrir al-Sham ไม่อนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ทางใต้ของดามัสกัสบนที่ราบสูงโกลัน ที่ขณะนี้อิสราเข้ายึดครองอยู่

    ขณะเดียวกันทางด้าน อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกผลักดันออกไปกลับเข้ายังดินแดนนี้อีก

    "เราไม่อนุญาตให้กองกำลังศัตรูเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปรากฏตัวในเขตปลอดภัยในซีเรียตอนใต้ตั้งแต่ที่นี่ไปจนถึงดามัสกัส และเราจะดำเนินการต่อต้านภัยคุกคามใดๆ" แคทซ์กล่าว
    อิสราเอลฉวยโอกาสขณะสหรัฐกลับมามีอิทธิพลครั้งใหม่ ประกาศแนวเขตแดนใหม่ของตนเอง เนทันยาฮูประกาศแนวเขตแดนในภูมิภาค “ตะวันออกกลางใหม่” โดยกล่าวว่าเขาจะไม่ถอนกำลังออกจาก 5 ตำแหน่งในเลบานอน รวมทั้งเขตกันชนและภูเขาเฮอร์มอนในดินแดนซีเรีย เขาประกาศไปถึงกองกำลังซีเรียใหม่ ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย Hay'at Tahrir al-Sham ไม่อนุญาตให้เข้าสู่พื้นที่ทางใต้ของดามัสกัสบนที่ราบสูงโกลัน ที่ขณะนี้อิสราเข้ายึดครองอยู่ ขณะเดียวกันทางด้าน อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้พลัดถิ่นในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกผลักดันออกไปกลับเข้ายังดินแดนนี้อีก "เราไม่อนุญาตให้กองกำลังศัตรูเข้ามาตั้งถิ่นฐานและปรากฏตัวในเขตปลอดภัยในซีเรียตอนใต้ตั้งแต่ที่นี่ไปจนถึงดามัสกัส และเราจะดำเนินการต่อต้านภัยคุกคามใดๆ" แคทซ์กล่าว
    Sad
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย
    “กฤษฎีกากัมพูชา 1972”
    รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย !
    ________
    .
    ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด…
    .
    กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ
    .
    และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ !
    .
    “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972”
    .
    วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972
    .
    จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี
    .
    สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น
    .
    วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย
    .
    (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958
    .
    (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ…
    .
    (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง…
    .
    (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000
    .
    กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง
    .
    โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P”
    .
    โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้
    .
    จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง
    .
    จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย
    .
    มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง
    .
    เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้
    .
    แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร
    .
    การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต
    .
    ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล
    .
    ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น…
    .
    คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง !
    .
    ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !!
    .
    แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ?
    .
    แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !!
    .
    ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้
    .
    ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี
    .
    ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง
    .
    แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ
    .
    เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ?
    .
    เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก !
    .
    ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!!
    .
    ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส
    .
    แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้
    .
    “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“
    .
    แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย
    .
    โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง
    .
    หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73
    .
    การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง
    .
    ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ
    .
    การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่
    .
    มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย
    .
    พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้
    .
    .
    คำนูณ สิทธิสมาน
    4 พฤศจิกายน 2567

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    โฉมหน้าเจ้าตัวร้าย “กฤษฎีกากัมพูชา 1972” รุกล้ำอธิปไตยเกาะ/น่านน้ำไทย ! ________ . ใครที่บอกว่ากัมพูชาไม่เคย ”พูด“ อ้างกรรมสิทธิเหนือเกาะกูด และบรรดาคนไทยที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นคือพวกคลั่งชาติ ลองพิจารณาอ่านเรื่องนี้สักนิด… . กัมพูชาอาจจะไม่เคย ”พูด“ อย่างเป็นทางการในนามรัฐบาล ไม่ว่าในยุคไหนระบอบอะไร แต่กัมพูชาลงมือ “ทำ” เลยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเมื่อ 52 ปีก่อนในช่วงสั้น ๆ ของรัฐบาลระบอบสาธารณรัฐ . และ “ผลแห่งการกระทำ” นั้นยังคงอยู่ ! . “กฤษฎีกาที่ 439/72/PRK กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย ค.ศ. 1972” . วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 . จอมพลลอนนอลลงนามในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐกัมพูชา หลังรัฐประหารโค่นล้มระบอบกษัตริย์ 2 ปี และก่อนพนมเปญแตกพ่ายแพ้ต่อคอมมิวนิสต์เขมรแดง 3 ปี . สารัตถะสำคัญอยู่ในมาตราแรก (Article Premier) ผมสรุปมาจากที่ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์เขียนไว้ในบทความของท่านเมื่อปี 2554 รวมทั้งการเสวนาที่สยามสมาคมในปีเดียวกันนั้น . วรรคแรกเป็นการอ้างฐานทางกฎหมาย . (1) อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 . (2) สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และ… . (3) บันทึกการปักปันเขตแดนสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1908 รวมทั้ง… . (4) แผนที่เดินเรือของฝรั่งเศส 1972 มาตราส่วน 1:1,096,000 . กฤษฎีกา 1972 ระบุพิกัดของเขตไหล่ทวีปตามจุดอ้างอิงที่เกี่ยวกับ “เกาะกูด” รวมทั้ง “ทะเลอาณาเขต(ของไทย)“ โดยตรง . โดยในวรรคสอง (ย่อหน้าล่างสุดของกฤษฎีกาหน้าแรก) กล่าวว่าได้มีการปักปันเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับฝรั่งเศสแล้ว โดยทางทิศเหนือ ใช้เส้นตรงเชื่อมจุดชายแดนแผ่นดินที่จุด “A” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นที่ตั้งหลักเขตที่ 73) มายังจุดสูงสุดบนเกาะกูดที่เรียกว่าจุด “S” (ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการอ้างอิงจากหนังสือแนบท้ายสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 1) และลากต่อออกทะเลไปยังกึ่งกลางอ่าวไทยที่เรียกว่าจุด “P” . โดยในตารางท้ายมาตราแรก (อยู่ตอนต้นของกฤษฎีกาหน้า 2) ได้กำหนดรายละเอียดของจุด “A“ และ “P” ไว้ . จุด ”A” คือจุดใต้สุดของการแบ่งเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ก็คือหลักเขตที่ 73 นั่นเอง . จุด “P” กึ่งกลางอ่าวไทยนั้น กฤษฎีการะบุว่าเป็นจุดมัธยะ (หรือกึ่งกลาง) ระหว่างไหล่ทวีปของกัมพูชากับไทย . มาตราแรกโดยเฉพาะวรรคสองนี่แหละ “เท็จ” โดยสิ้นเชิง . เพราะไม่เคยมีการปักปันเขตแดนทางทะเลระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสกันมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงค.ศ. 1907 หรือ 1908 ไม่เคยมีสนธิสัญญาเกี่ยวกับการนี้ ประวัติศาสตร์ฉบับไหนก็ไม่เคยระบุ กฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลที่นานาชาติยึดถือกันเมื่อ 127 ปีก่อนก็ต่างกับปัจจุบัน ยุคนั้นยังไม่มีสิ่งที่นานาชาติกำหนดอาณาเขตทางทะเลขึ้นมาให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือแล้วเรียกว่า “ไหล่ทวีป” เสียด้วยซ้ำ ไม่มีเขตต่อเนื่อง ไม่มีเขตเศรษฐกิจจำเพาะ มีแค่ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง พ้นออกมาเป็นเขตทะเลหลวงที่เป็นเขตทะเลเสรีไม่มีประเทศใดมีสิทธิถือครองเป็นเจ้าของได้ . แต่สมมติแม้จะยึดกฎเกณฑ์ในยุคสมัยค.ศ. 1907 หากจะปักปันเขตแดนทางทะเลกัน การขีดเส้นแนว “A-S-P” เป็นอาณาเขตทางทะเลของอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไม่ถูกและไม่มีกฎเกณฑ์ใดรองรับอยู่ดี เพราะระยะทางจากชายฝั่งถึงเกาะกูดประมาณ 19 ไมล์ทะเล เกิน 3 ไมล์ทะเลตั้งเยอะ อินโดจีนฝรั่งเศสจะไปถือสิทธิครอบครองเขตทะเลหลวงได้อย่างไร . การจงใจระบุพิกัดเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อค.ศ. 1972 เช่นนี้คือการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยเหนือเกาะกูด ทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต . ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ กล่าวไว้ในงานเขียนของท่านว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแบ่งเขตไหล่ทวีปโดยเส้นผ่าเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนทางบก เพราะไหล่ทวีปหมายถึงพื้นดินใต้ทะเลและใต้พื้นดินใต้ทะเล . ดังนั้น โอกาสที่แนว “A-S-P” จะถูกต้องมีอยู่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น… . คือตัวเกาะกูดต้องเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง ! . ขอย้ำอีกครั้งว่า แนว “A-S-P” อันเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปด้านเหนือของกัมพูชาตามกฤษฎีกา 1972 จะถูกต้องก็ต่อเมื่อตัวเกาะกูดเป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่งเท่านั้น !! . แล้วประเทศไทยผู้ถูกรุกล้ำอธิปไตยจะ “ยอมรับ” ได้อย่างไร ? . แม้จะไม่ใช่การยอมรับใน “ความถูกต้อง” แค่ยอมรับ “การมีอยู่”, “การคงอยู่” เพื่อเป็นเพียง “กรอบ” ในการ “เจรจาเรื่องอื่น” ก็เถอะ !! . ตรงนี้จำเป็นต้องมีการพูดถึงแผนที่หรือแผนผัง 2 (+1) ฉบับที่นำมาลงเป็นภาพประกอบไว้ . ฉบับที่ 1 คือแผนที่เดินเรือฝรั่งเศสที่ใช้แนบท้ายกฤษฎีกา 1972 ไม่ได้มีการเขียนลากเส้นบนแผนที่พาดผ่านตัวเกาะกูดโดยตรง หากแต่ลากเป็นเส้นตรงออกมาจากชายฝั่งทะเลจังหวัดตราดสุดเขตแดนทางบกของไทยกับกัมพูชามาหยุดที่ตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันออก แล้วลากเส้นตรงใหม่จากตัวเกาะกูดด้านทิศตะวันตกตรงไปกลางอ่าวไทย แผนที่ทำนองนี้โดยทั่วไปเป็นแผนที่ใช้สำหรับกิจการในกองทัพเรือรวมถึงการเดินเรือไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เส้นตรงที่ลากผ่านเกาะกูดไปยังกลางอ่าวไทยในแผนที่นี้ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเส้นอะไร แต่กระนั้นตรงชื่อเกาะกูด (Koh Kut) ก็ยังมีวงเล็บต่อท้ายว่า “(Siam)” อย่างที่พอเห็นได้ จึงแสดงให้เห็นว่าในปีค.ศ. 1907 จนกระทั่งถึงวันคืนเอกราชให้ 3 ประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศสไม่ได้มีความพยายาม “เคลม” กรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดแต่ประการใด เพราะในสนธิสัญญา 1907 ข้อ 2 อันเป็นสัญญาหลัก ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเขายกให้เรา แลกกับ 3 มณฑลใหญ่ของกัมพูชาดังที่ทราบกันดี . ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่ที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาจัดทำขึ้นแจกแก่ผู้สื่อข่าวเพื่อชี้แจงกฤษฎีกา 1972 ให้ชัดเจนขึ้น คราวนี้นอกจากตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อขับเน้นเฉพาะเส้นที่เสกสรรค์ปั้นแต่งว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนแล้ว ยังเขียนเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรง . แผนที่ฉบับหลังนี้เข้าใจว่าเมื่อกระทรวงการต่างประเทศไทยได้รับ ก็นำมาทำใหม่เพื่อประกอบการศึกษาภายใน มีภาษาไทยกำกับ ยังคงแสดงเส้นพาดผ่านผ่ากลางแบ่งครึ่งเกาะกูดโดยตรงตามเจตนาของต้นฉบับที่ฝ่ายกันพูชาจัดทำ . เช่นนี้แล้ว ใครที่ออกตัวรับรองว่ากัมพูชาไม่เคย “พูด” ไม่เคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดน่ะจะว่าอย่างไร ? . เพราะการที่กัมพูชาลงมือ “ทำ” โดยกฤษฎีกา 1972 ตามที่เล่ามานี้มันยิ่งกว่า “พูด” เสียอีก ! . ไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด” หรือ ?!! . ณ ปีค.ศ. 1907 มีแต่การปักปันเขตแดนทางบกระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส . แต่แน่ละ มีการกล่าวถึงเกาะกูดไว้ในหนังสือติดท้ายสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ข้อ 1 จริง แต่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นจุดเล็งไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นดินชายหาดที่จะกำหนดให้ป็นหลักเขตที่ 73 เพราะบนแผ่นดินชายหาดบริเวณนั้นไม่มีภูมิประเทศใดที่ยั่งยืนพอให้เป็นที่สังเกตได้ . “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน….“ . แค่ข้อความที่ระบุว่า “ตั้งแต่ชายทะเล…” วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงแผ่นดิน-ไม่ใช่ทะเล แต่กัมพูชาในยุคจอมพลลอนนอลในปีค.ศ. 1972 ไปตีขลุมว่ามีการปักปันเขตแดนทางทะเลแล้วในอดีต แล้วก็ตีเส้นตามอำเภอใจ เพื่อตีกินพื้นที่ทรัพยากรในอ่าวไทย . โดยในอีกทางหนึ่งก็ไปหยิบเอา ”เส้นประ“ (- - - - - - -) ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายหาดจังหวัดตราดในแผนที่ประกอบหนังสือติดท้ายสนธิสัญญาค.ศ. 1907 มาเป็นประเด็นอธิบายการแถระดับโลกของตัวเอง . หากดูภาพสุดท้ายจะพบมีเส้น ++++++ อันเป็นสัญลักษณ์สากลของเส้นแบ่งเขตแดน (boundary line) ตลอดแนวเขตแดนทางบกไทยกัมพูชา ขณะที่เส้นประ (dotted line) - - - - - - มีอยู่เพียงสั้น ๆ ระหว่างเกาะกูดกับแผ่นดินชายทะเลจังหวัดตราดเท่านั้น ซึ่งเมื่อดูในบริบทของสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 วิญญูชนก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกันว่าเป็นการแสดงจุดเล็งไปยังแผ่นดินเพื่อหาจุดที่ตั้งหลักเขตที่ 73 . การแถดังกล่าวกลายเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการกันพอสมควรหลังปีค.ศ. 1972 และก็มีการยืนยันในข้อเท็จจริงแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบุคคลระดับชนชั้นนำของกัมพูชาเอง . ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ากฤษฎีกา 1972 ของกัมพูชานี้ยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ในฐานะที่เป็นประกาศของประมุขแห่งรัฐ . การที่แผนผังแนบท้าย MOU 2544 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือเส้นแนว “A-S-P” กำหนดเขตไหล่ทวีปด้านบนของกัมพูชาไม่ได้เขียนแบบลากพาดผ่าน หรือเขียนแบบหยุดเว้นตัวเกาะ แต่เขียนประชิดติดตัวเกาะเว้าเป็นรูปตัว ”U” ทางทิศใต้แล้วก็ตาม นั่นหาเป็นผลแปรเปลี่ยนใด ๆ ไม่ เพราะด้านหนึ่งตัวกฤษฎีกา 1972 ยังคงอยู่ อีกด้านหนึ่งแนวเส้น “A-S-P” ยังคงอยู่ การละเมิดอธิปไตยเหนือตัวเกาะกูดและทะเลอาณาเขตของไทยยังคงอยู่ . มีหนำซ้ำเนื้อหาใน MOU 2544 ข้อ 5 ก็ระบุไว้ว่าการตกลงใด ๆ หากจะมีขึ้นไม่กระทบกระเทือนการอ้างสิทธิของแต่ละฝ่าย . พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยจังหวัดจันทบุรีและตราดในองค์พระปิยมหาราชเจ้าช่วงวิกฤตกับฝรั่งเศสระหว่าง ร.ศ. 112 - 125 ทำให้ประเทศไทย ณ วันนี้มีฝั่งทะเลตะวันออกด้านอ่าวไทยยาวเหยียดจนแทบจะโอบล้อมแหล่งทรัพยากรไว้ได้ทั้งหมด - คนไทยต้องรักษาไว้ . ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ของล้นเกล้าฯในหลวงรัชกาลที่ 9 สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระอัยกา - คนไทยต้องรักษาไว้ . . คำนูณ สิทธิสมาน 4 พฤศจิกายน 2567 ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15CSsZXGkk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2356 มุมมอง 0 รีวิว