• ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน
    .
    ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ
    .
    หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน
    .
    ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น
    .
    ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้
    .
    ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว
    .
    ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
    .
    หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน
    .
    ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา
    .
    ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ
    .
    ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น..
    .
    การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์
    .
    Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ
    .
    เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว...
    .
    พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง
    .
    หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น
    .
    ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว
    .
    แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย
    .
    เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected"
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) -
    .
    https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    ตั้งแต่ปี 2004... ผมได้พบกุญแจไขสิ่งที่ผมอยากรู้จากคำเพียงคำเดียว "Cultural Transmission" มันนำพาผมไปพบกับงานของศาสตราจารย์ Luigi Luca Cavalli-Sforza และลูกศิษย์ของเขาที่ Standford ชื่อ Spencer Wells… มันได้เปิดโลกทัศน์ของผมในการมองสิ่งต่างๆ ผ่านการพิจารณาหลายๆ ศาสตร์ควบคู่กับความรู้เกี่ยวกับพันธุกรรมมนุษย์และการอพยพย้ายถิ่น เมื่อเรารู้ว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร สิ่งต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน . ในปีเดียวกันนั้น Bill Clinton ประกาศที่ทำเนียบขาวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ แผนที่ดีเอ็นเออันแรกของมนุษย์ถูกทำสำเร็จ ความลับของสายพันธุ์มนุษย์ถูกไข ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ลูกา ที่มุ่งมั่นเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอมาก่อนหน้านั้นกว่าสามสิบปีเพราะเชื่อมั่นว่ามันซ่อนความลับของมนุษย์ไว้ ทันทีที่แผนที่ดีเอ็นเอสำเร็จ เสปนเซอร์ซึ่งเป็นทายาทรับช่วงงานวิจัยต่อจาก ศจ.ลูกา ก็นำเสนออีกแผนที่หนึ่ง คือแผนที่การอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์ย้อนหลังกว่าแสนปีจากแอฟริกา และสาแหรกพันธุกรรมมนุษย์ย้อนถอยไปถึงบรรพบุรุษคนแรกที่เป็นรากลึกที่สุด . ในเวลานั้น ไม่มีใครหรือสาขาวิชาใดมองความรู้ของมนุษย์ผ่านวิสัยทัศน์นี้ มันเป็นเรื่องใหม่ แต่ความฉงนสนเท่ห์ของผมที่มีกับตัวอย่างดนตรีของไท-ไทยและชาติพันธ์อื่นๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะในจีนตอนใต้และประเทศไทย ทำให้ผมเอามานั่งคิด ผลจากการคิดวิเคราะห์ ผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีชนิดเดียวหรือพูดให้ชัดกว่านั้น มันน่าจะเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าร่วมกัน อาจจัดเป็นสกุลเดียวกันคล้ายๆ กับภาษา และถ้าสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเชื่อกันมาเนิ่นนานจนบัดนี้ว่า ดนตรีเกิดมาจากภาษา ว่ามันเริ่มมาจากจุดนั้น มันก็จะต้องมีส่วนสัมพันธ์กับการส่งต่อทางวัฒนธรรม ซึ่งผมแบ่งได้ง่ายๆ ออกเป็นสามลักษณะหลักๆ . หนึ่งคือ สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือนมรดกทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี / สองคือ รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น-ชนชาติอื่นที่รุ่งเรืองกว่าหรือต่างดินแดนที่คบค้าไปมาหาสู่กันยาวนาน จึงรับเอาธรรมเนียมเขามานิยม / สามคือ เกิดจากการถูกพิชิตให้อยู่ในอาณัตหรือถูกบังคับให้รับวัฒนธรรมผู้อื่นมาเป็นของตน อาจจะยังดำเนินขนบทางวัฒนธรรมเดิมอยู่ได้ขณะที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมอื่นเป็นหลัก หรืออาจถูกบังคับให้เลิกวัฒนธรรมของตนแล้วรับเอาวัฒนธรรมของชาติที่พิชิตเป็นของตนแทน . ในกรณีแรก วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจะมีอัตลักษณ์ที่จำแนกได้ชัดเจนเหมือนภาษาที่จัดเป็นสกุลหรือ phyla ได้ | กรณีที่สอง ย่อมมีการแทรกของวัฒนธรรมสกุลอื่นเข้ามาผสมผสาน แต่เนื่องจากการเชื่อมโยงกันเป็นไปอย่างละมุนละม่อมจึงไม่มีอะไรถูกทำลาย จะนำไปสู่ความหลากหลายมากขึ้นได้หลายปัจจัย แต่จะยังคงแยกแยะลักษณะของอัตลักษณ์แต่ละสกุลได้ | กรณีที่สาม ไม่ต่างอะไรกับขุดรากถอนโคน วัฒนธรรมสกุลเดิมถูกทำลายไป อาจมีบางคนที่ต่อต้านและต้องการรักษาขนบเก่าไว้อย่างหลบซ่อน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือตาบู แต่ก็อาจมีโอกาสที่วันหนึ่งจะถูกฟื้นฟูขึ้น . ตั้งแต่ปี 2004 ผมหมกมุ่นเรื่องนี้นานนับสิบปี อ่านหนังสือมากมาย ไปเก็บตัวอย่างจากภาคสนาม เสาะหาข้อมูลเสียงจากทุกที่ที่ได้เบาะแส ผมนึกอยู่เวียนวนจนได้สมมุติฐานอันนึงขึ้นมา "เป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรามีสายเลือดที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกอย่างที่ ศจ.ลูกา และ เสปนเซอร์ นำเสนอ เราก็น่าจะมีวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกันโดยที่สอดคล้องกับสาแหรกพันธุกรรมด้วย และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็น่าจะแยกแยะดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์ออกเป็นวงศ์ตระกูลได้ในลักษณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา ผมพบบทความหนึ่งที่เขียนโดย ศจ. Victor Grauer หัวข้อเรื่อง Music Family ผมจำชื่อเขาได้ทันที เพราะผมเรียนหนังสือเล่มหนึ่งของ Alan Lomax นักมานุษยวิทยาดนตรีที่เป็นตำนานของโลก มันเกี่ยวกับระบบวิเคราะห์ดนตรีพื้นเมืองที่เขาคิดค้นขึ้นเรียกว่า Cantomatrics และอาจารย์วิคเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอลันมีส่วนในการคิดค้นนี้ . ผมเขียนอีเมล์ไปหาอาจารย์วิคเตอร์ตามอีเมล์ที่ปรากฏบนบทความของแก บอกว่าผมอ่าน Music Family แล้วคิดว่าน่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกับที่ผมคิด แล้วเล่า Hypothesis ของผมให้แกฟัง บอกว่าผมจะเทรซจากดีเอ็นเอและการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์เป็นวิธีวิจัย แกตอบมาว่าเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องใหม่และตื่นเต้นมาก อยากให้ผมแชร์ข้อมูลกับแก จากจุดนี้ไปคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของผมกับโครงการ Genomusicology ตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้ ยี่สิบปีแล้ว . ผมเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนใจของผมในเรื่องนี้มาเรื่อย และบางครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีแต่เป็นเรื่องอื่น ผมรู้แต่ตอนนั้นว่าความรู้อะไรก็ตามหากมันขัดกับวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไร มันมีแนวโน้มจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่นประวัติศาสตร์ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหลายๆ ศาสตร์พร้อมกันโดยไม่ยึดติดกับทัศนะของสำนักคิดเดิม คุณจะพบกับหนทางที่กว้างไกลกว่า ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคุณหาคำตอบทางประวัติศาสตร์ คุณลองทาบมันกับชีววิทยาพันธุกรรม ขณะเดียวกันก็ทาบมันกับโบราณคดี ภาษาศาสตร์ ธรณีวิทยา นิรุกติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัมปราคติ ศาสนาเทววิทยา...ฯลฯ มันจะนำคุณไปสู่คำตอบที่หนักแน่นกว่าที่คุณจะจมอยู่กับข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว . หลายปีที่ผ่านมา เริ่มมีหลายสาขาวิชาที่หันมาใช้แผนที่แผ่นเดียวกับผม ที่ผมเห็นคือนักภาษาศาสตร์ในต่างประเทศมาก่อนเป็นพวกแรก ในไทยที่เริ่มก่อนคือนักโบราณคดีอย่างเช่น อาจารย์รัศมี ชูทรงเดช ท่านล้ำมาก ศึกษาซากบรรพชีวินแล้วเริ่มใช้ข้อมูลดีเอ็นเอมาก่อนที่จะมีนักชีววิทยารุ่นใหม่ที่สนใจด้านนี้เริ่มเอามาใช้ผนวกกับสาขามานุษยวิทยา ช่วงสี่ห้าปีหลังเริ่มมีงานวิจัยเกี่ยวกับดีเอ็นเอของคนไทยออกมาให้เห็นจากนักวิชาการไทยหลายคน . ถ้าจำเรื่องเก่าๆ ที่ผมเคยเขียนได้บ้างจะเห็นว่าผมพูดอยู่หลายครั้ง "ความแบ่งแยกเป็นความคิดของปีศาจ" และมันเป็นต้นตอความขัดแย้งที่ลุกลามกลายเป็นสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ได้ ผมชี้ให้เห็นเสมอๆ ว่าคนเอเชียนั้นเป็นพี่น้องครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นลูกหลานของทายาทแห่งอาดัม (ในทางวิทยาศาสตร์) สองคนคือ Hg O และ Hg C และทายาทแห่งอีฟ (ในทางวิทยาศาสตร์) สี่คนคือ Hg B-M-F-D ดังนั้นพวกเขาไม่ว่าจะเรียกชื่อสมมุติตัวเองว่าอะไร ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาคือพี่น้องกันทั้งสิ้น เก่าใหม่ อ่อนแก่ ตามกาลเวลา . ด้วยเหตุนี้ ในปี 2008 ผมเขียนบทความหนึ่ง เรื่อง "ชื่อและชนเผ่า" และผมพยายามอธิบายความสมมุติที่ว่านี้ด้วยความพยายามยิ่งที่จะบอกความเป็นมาเป็นไปและความเกี่ยวโยงของแต่ละชาติพันธ์ ผมแบ่งกลุ่มพวกเขาออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือพวกเท้าเปียกและพวกเท้าแห้ง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันและทั้งหมดอยู่บนดินแดนเอเชียนี้มาตั้งแต่สามหมื่นกว่าปีที่แล้ว แต่พวกเท้าเปียกคือพวกที่อยู่บนซุนดาตอนล่าง ต้องผจญชะตากรรมน้ำท่วมโลกซึ่งหนักกว่าโนอาห์แน่นอน เพราะธรณีวิทยาบอกว่ามีที่เดียวบนโลกในประวัติศาสตร์มนุษย์แสนกว่าปี ที่คุณจะเรียกว่าน้ำท่วมโลกได้จริงๆ คือดินแดนซุนดาแห่งนี้ ไม่ใช่ในดินแดนเสี้ยวจันทร์หรือแถวเทือกเขาอารารัต มันท่วมที่นี่สามครั้งหลังยุคน้ำแข็งสิ้นสุด ทั้งสามครั้งรวมแล้วประมาณร้อยยี่สิบเมตร!.. ส่วนพวกเท้าแห้งก็คือพวกที่อยู่เหนือขึ้นไปในเมนแลนด์เอเชีย ซึ่งก็ได้เป็นสักขีพยานภัยพิบัตินี้เช่นกัน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับผลจากภัยพิบัติ . ดังนั้น สำหรับผม ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อไหนมันก็คือสิ่งสมมุติ บรรดาพี่น้องในสาแหรกเท้าเปียกในอุษาคเนย์นับจากโบราณจนกระทั่งบัดนี้ อย่างที่บอก พวกเขาล้วนมาจากอัสเลียน แม้ต่อมาพวกเขาทั้งหลายจะกลายเป็นมอญ เป็นข่า เป็นละว้า เป็นขอมทวารวดี เป็นขอมละโว้ เป็นพนม เป็นสยาม เป็นศรีโพธิ์ เป็นมลายู เป็นนุสันทารา เป็นลาว เป็นจามปา เป็นเจนละ เป็นเขมร เป็นญวน... แต่หากคุณแล่เนื้อเถือหนังออกมา โครงสร้างทางโปรตีนของพวกเขาก็มีดีเอ็นเอที่มาจากบรรพบุรุษจากสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น.. . การที่คุณแครี่วายโครโมโซมแฮพโพลกรุ๊พโอ หมายถึงคุณคลานตามกันมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การย่อยออกเป็น sub group ต่างๆ เช่น O1 O1a O1b O1c O2 O2a O2b O2c... คือซับมิวเทชั่นในสกุลเดียวกัน แม้แตกแขนงออกไปแต่คุณยังคงมีสายเลือดที่โยงใยกันอยู่ จีนที่ซึ่งในการวิจัยช่วงแรกถูกจัดเป็น O3 (ปัจจุบันปรับเป็น O2) ยอมรับกันว่าเป็นชนชาติที่มีระบบบันทึกประวัติศาสตร์ดีที่สุดและเก่ากว่าทุกชนชาติในเอเชีย ถอยหลังไปถึงสี่พันกว่าปี แต่พันธุกรรมบอกว่าพวกเขาเป็นน้องเล็กที่สุด มียีนอายุน้อยที่สุดในสาแหรกวงศ์ตระกูล (เรียงจากหลักน้อยไปหามาก O > O1 > O2 หลักน้อยคือเก่ากว่า) ข้อนี้ยิ่งยืนยันว่าสาแหรก Y DNA Hg O มีรากเหง้าที่เก่าแก่ยาวไกลเพียงใด ในโลกนี้พวกเขาเก่ารองจากพวกออสตราอะบอริจิ้น และพวกซาฮารันโบราณ มียีนเป็นพี่ของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกบาสก์ในอุสกาดี สเปน และพวกซามิแถวแลปแลนด์ ฟินด์แลนด์ . Cultural Transmission ที่ส่งผ่านกันไปมานานนับหมื่นปี ทำให้ลักษณะที่ร่วมกันแต่โบราณจากวัฒนธรรมที่พื้นฐานที่สุดไปสู่วัฒนธรรมที่ซับซ้อนที่สุด ยังคงทิ้งเบาะแสความเกี่ยวโยงของพวกเขาเอาไว้ในทุกมิติทุกบริบท มันไม่ได้หายไปไหนและเรามองเห็นมันได้ แบบเดียวกับที่ผมเห็นผ่านดนตรี ตัวอย่างเช่น เราเป็นมนุษย์ที่ยุคบรรพกาลนับถือแม่เป็นใหญ่ เราจึงมีเทวี เจ้าแม่ พระแม่เต็มไปหมด ในดนตรีพื้นเมืองของเราผู้หญิงร้องเสียงสูงและดังทะลุทะลวง เพราะนางมีสถานะที่ได้รับการเคารพไม่ใช่ถูกกดไว้ นอกจากนั้นพวกนางยังมีการประสานเสียง มีพลังแข็งแรงและมั่นใจขณะขับร้อง นางสามารถยืนหยัดเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญได้ภายในสังคม แม้ทุกวันนี้ ผู้หญิงก็ยังคงเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหาได้ก็ต้องส่งมอบให้ภรรยาด้วยความเคารพ . เวลาที่มองภาพต่อทางประวัติศาสตร์ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนไป ผมหยิบความรู้อื่นๆ เท่าที่อ้างอิงเชื่อถือได้มาประกบเข้าด้วยกันเสมอ... ทำไมกษัตริย์เขมรโบราณจะขึ้นครองราชย์ต้องแต่งกับนาค? สำหรับผม นี่คือปรัมปราคติที่สะท้อนการเมืองโบราณ เศรษฐีจากต่างถิ่น (ตัวขาวใส่เสื้อผ้าสวยงาม) จะมาปกครองคนท้องถิ่นที่เป็นคนพื้นเมือง (แก้ผ้า อยู่กับป่าฝนและมรสุม) ก็ต้องดองกับคนท้องถิ่น หลักฐานเจเนติคก็พบว่าพ้องกันว่า ผู้ชายบรรพบุรุษของพวกเรา (Y DNA Hg O) ซึ่งอพยพมาด้วยเส้นทางสายเอเชียกลาง อากาศดี อาหารสมบูรณ์ตลอดทาง พวกเขาคงหล่อเร้าใจไม่น้อยเมื่อเดินทางมาถึงซุนดา พวกผู้หญิงอะบอริจิ้น (mt DNA Hg B / M) พากันเลือกบรรพบุรุษของเราเป็นพ่อพันธ์ อุปมาดังหงส์ทองครองคู่กับนาคยังไงยังงั้น ทำให้ผู้ชายอะบอริจิ้นต้องถอยห่างออกไปจากแผ่นดินใหญ่ การได้แม่สายงูมาเป็นแม่พันธ์อีกสองแม่ ทำให้ลูกหลานพวก Hg O ออกลูกมาเต็มดินแดน มันคือการผสมกันของนกกับงู แต่พวก Hg C ที่ผู้หญิงไม่เลือกลูกหลานก็เลยน้อยกว่า แรงงานที่จะพัฒนาชุมชนและเป็นกำลังรบจึงน้อย ถ้าผู้หญิงของเขาไม่เลือกพวก Hg O และมีจำนวนประชากรพอๆ กัน พวกอัสเลียนกับอะบอริจิ้นคงรบกันแหลกราญตายไปข้างหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว... . พระนางจามเทวีแห่งละโว้ หรือจะเรียกละโว้ ละว้า ว้า ลั๊วะ ก็คือกัน เป็นข่า เป็นอัสเลียนที่ยังมีความเป็นชนพื้นเมือง เมื่อเทียบชายหนุ่มในเผ่าของนางกับหนุ่มเท้าแห้งพี่น้องสาแหรกเดียวกันแต่ขาวผ่องกว่าเพราะอาศัยอยู่ดินแดนทางเหนือขึ้นไป อากาศแสนดี แต่งตัวหล่อ เหตุฉะนี้ พระนางทำเหมือนบรรพบุรุษอะบอริจิ้นข้างแม่ ไม่เลือกพวกเดียวกันเอง แต่ไปเลือกหนุ่มทางเหนือแถวหริภุญชัยสายไป่เยว่ ทำเอานักรบหนุ่มละว้าถึงกับไม่พอใจทำไมไม่เลือกฉันไปเลือกไอ้ละอ่อนสำอางทางเหนือ เลยท้าพระนางจามพุ่งหอกแข่งกัน ถ้าแพ้ต้องแต่งกับเขา และพระนางจามเทวีชนะนักรบนะ! แปลว่าพระนางจามของเรานี้ก็ยังคงมีทักษะแบบที่ชนเผ่าในสมัยบรรพกาลมี คือโตมานี่ยังรบและล่าสัตว์อยู่ แม่หญิงธรรมดาที่ไหนจะพุ่งหอกชนะ พระนางคงเห็นว่าการแต่งกับหนุ่มทางเหนือเป็นการปรับปรุงสายพันธุ์และทำให้การเมืองมีหนทางที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าที่เคยเป็น เพราะการดองลักษณะนี้ พวกเท้าเปียกและเท้าแห้งก็จะมี Cultural Transmission ที่ถ่ายเทต่อกันอย่างละมุนละม่อม ต่างกับพวกยุโรปที่ไปปล้นพวกเมาริ ยึดแผ่นดินพวกเขา แล้วบังคับให้ดีดอะคูเลเล่และเข้าโบสถ์ไปร้องประสานเสียง . หันมองเครือญาติข้างบ้าน ยุคสมัยแห่งเขมรพระนครนั้นล่มสลายไปนานแล้ว กัมพูชาอยู่ในปกครองของอยุธยายาวนานมาจนรัตนโกสินทร์ ตอนที่พวกอาณานิคมฝรั่งเศสบุกมายึดครอง แล้วฝรั่งพวกนี้ไปเจอนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ คนเขมรส่วนใหญ่ในตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีปราสาทโบราณอยู่ตรงนั้น มันถูกต้นไม้กลืนจนหายไป รากและกิ่งใบเลื้อยพันฝังรากลงไปในตัวปราสาทจนมองไม่เห็น หลังเป็นอิสระจากอาณานิคมฝรั่งเศสพวกกษัตริย์เขมรนั้นมาโตมาเรียนอยู่ที่สยามทั้งนั้น ประวัติศาสตร์บอกชัดไม่ต้องบรรยายอีก Cultural Transmission ถูกส่งผ่านอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช่เพราะถูกพิชิตถูกบังคับให้ทำตาม แต่เพราะรากเหง้าเดิมของเขมรเสื่อมสลายไปหมดนานแล้ว และเจ้านายเขมรนิยมชมชอบในขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมแบบไทยจึงรับและเรียนไป จนกระทั่งมันวินาศย่อยยับไปอีกครั้งในยุคเขมรแดง เพราะศิลปิน ปราชญ์ราชบัณฑิต ครู กวี ปัญญาชน...ถูกเขมรแดงฆ่าจนสิ้น . ผมก็รำคาญนะ พวกเขมรเคลมโบเดียน่ะ แต่ก็คิดว่ามันน่าสงสาร ยังไงก็พี่น้องสาแหรกเดียวกัน แล้วคนฉลาดๆ ของเขาก็ตายไปหมดแล้วตอนยุคเขมรแดงทุ่งสังหาร ที่พอจะรอดมาได้ก็หนีไปอเมริกา-ยุโรปไม่กลับมาอีก อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในโลกก็บอกเรื่องราวของสยามและเขมรชัดแจ้งอยู่ มันจะเคลมยังไงก็ไม่มีใครเขาเชื่อ แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไรหรอก นอกจากสร้างความรำคาญ ส่งพวกทหารพรานไปเป่าข้าวหลามสักสิบบ้องก็คงหยุดแล้ว . แต่ไอ้ที่เลวแท้ก็คือไอ้พวกตัวเป็นไทยใจเป็นเขมรนี่แหละ ไอ้ที่ส่งลูกไปปี้กับเขมรก็พอเข้าใจที่มันเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกัน แต่ไอ้พวกที่ไม่ได้ดองอะไรแต่เสือกไปรับใช้เขมร อันนี้เรียกขายชาติ ในดีเอ็นเอมีพันธุกรรมสุนัขแทรกอยู่เลยเลือกกินอาจม ไม่กินผัดไทย . เรื่องที่ผมเขียนให้อ่านนี่มันยาก ผมเข้าใจนะ แต่หากคนเราในทุกวันนี้เข้าใจในข้อนี้ตรงกัน บางทีความขัดแย้งในโลกอาจลดลงจนหมดไปได้ และเราอาจก้าวไปสู่สังคมอุดมคติแบบที่เราไฝ่ฝันถึง "We're All Connected" . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2568) - . https://youtu.be/RdW1HNA5uSc?si=3E1WAUxHdLhSdVsw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า
    “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย
    แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า”
    .
    ความห่วงใยของปราชญ์ สามสี ในบทความเรื่องไต้หวันและยูเครน เป็นสิ่งพึงสังวร
    [https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1239830264171665]
    แต่เด็กรุ่นหลังไม่เข้าใจภัยที่ต้องสังวรนี้
    ขณะที่คนรุ่นเก่าพยายามใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเพื่อป้องกันภัยนี้ให้พวกเขา
    พวกเขากลับเรียกร้องที่จะเป็นผู้จงรักต่อภัยคุกคามจากต่างชาติเหล่านี้
    .
    .
    เหล่าหมู่เกาะในอุษาสมุทร มีเกาะหนึ่งชื่อฟอโมซา พวกปอร์ตุเกสเป็นคนเรียกชื่อนี้และเขียนลงบนแผนที่ เกาะแห่งนี้เป็นบ้านของชนเผ่าหลายเผ่าที่พูดภาษาออสโตรนีเชียน (มาลาโย-โพลีนีเชียน) ในเลือดพวกเขามียีนที่เกี่ยวพันกับบรรพบุรุษอัสเลียนเช่นเดียวกับเราและกลุ่มที่กระจายอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ในอุษาสมุทร พวกเขาประกอบด้วยชนเผ่าหลายเผ่า เช่น อตายาล พูยูมะ อาหมี ไพวัน ตาว เถา บูนัน ฮลาวาลัว กาวาลัน กานากานาวู รูไก ไซซิแยต ซากิซายะ ซีดิก ทาโรโก มากาเตา สิรายา บาบูจา บาเซ เกตากาลัน ปาโปรา.... พวกเขาคือเจ้าของแท้จริงของดินแดนที่ซึ่งวันนี้รู้จักกันว่า ไต้หวัน
    .
    อย่างที่รู้ ไต้หวันทุกวันนี้ถูกปกครองโดยคนจีนพลัดถิ่นที่แรกเริ่มนำมาโดยเจียงไคเช็คซึ่งหนีกองทัพรัฐบาลกลางมาตั้งมั่นที่เกาะแห่งนี้ ประวัติศาสตร์เหล่านี้หาอ่านได้ จึงไม่ขอกล่าวถึง
    .
    ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์จีน บันทึกจีนสมัยสามก๊กเขียนถึงเกาะแห่งหนึ่ง จีนเรียกชื่อว่าหยี่โจว.. ในยุคต่อๆมาพ่อค้าจีนเรียกว่า เสี่ยวตงเต้า บ้าง.. ต้าฮุยกัว บ้าง.. มีการติดต่อค้าขายระหว่างคนจีนและคนพื้นเมืองมาตั้งแต่ราชวงศ์สุย เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์หยวน มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ทะเลในแถบนี้คนจีนถือเป็นบริเวณที่สำคัญของปลากระบอก ขุนนางคนหนึ่งชื่อเฉินตี้เดินทางมากับกองทหารปราบโจรสลัดในทะเลตะวันออกและมาเยือนเกาะแห่งนี้ เฉินตี้เขียนบันทึกเล่มหนึ่งชื่อตงฟานจี (แปลว่าบันทึกของชาวป่าเถื่อนตะวันออก) บรรยายถึงชาวพื้นเมืองและวิถีชีวิตของพวกเขา รวมทั้งบันทึกถึงถิ่นฐานต่างๆ ที่ชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ พ่อค้าจีนค้าขายเหล็กและสิ่งทอ แลกกับถ่านหิน กำมะถัน ทองคำและเนื้อกวางกับคนพื้นเมือง คนจีนจึงรับรู้ตัวตนของพวกเขาและยอมรับสถานะพวกเขามาแต่โบราณ ถือเป็นดินแดนหนึ่งในอาณัตของจีน เมื่อโชกุนโทกูกาวายกทัพมาเพื่อพยายามจะยึดเกาะแห่งนี้ จีนจึงส่งกองกำลังมาขับไล่
    .
    ผมเคยเขียนถึงเพื่อนศิลปินคนหนึ่งจากเผ่าพูยูมะ เธอชื่อซามิงัน เธอเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในฐานะชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ไม่เคยมีศักดิ์ฐานะเช่นเจ้าของแผ่นดินเลยเมื่อเทียบกับคนจีนที่มาปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ถูกละเลยและเสื่อมลงเรื่อยๆ
    .
    อย่างที่ทราบ รัฐบาลไต้หวันทุกวันนี้เป็นชาวจีนอพยพ แต่พวกเขาไม่ยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่ คณะปกครองปัจจุบันพยายามที่จะแยกว่าไต้หวันเป็นอิสระจากจีนและอาศัยอเมริกาเป็นโล่ห์กำบังทั้งที่อเมริกาและสหประชาชาติตกลงยอมรับความเป็นจีนเดียว ไต้หวันทำทุกอย่างที่อเมริกาสั่งเพื่อเป็นฐานในการต่อต้านจีนในแปซิฟิค และอย่างที่ทุกคนรู้ ชะตากรรมของไต้หวันนั้นล่อแหลมอย่างมากและโดยแท้แล้วอเมริกาไม่แยแสพวกเขา แต่จะใช้ประโยชน์เท่าที่ใช้ได้ และในที่สุดแล้วไม่มีทางเลยที่ไต้หวันจะแยกตัวออกไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ พวกเขาจะถูกบดขยี้ถ้าเลือกหนทางที่ต่อต้านขัดขืนด้วยการใช้กำลังทหาร
    .
    เอาจริงๆ ประชาชนจีนพลัดถิ่นในไต้หวัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเลวร้ายหรอกถ้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทุกวันนี้จากข่าวก็เห็นกันไปทั้งโลกว่าจีนก้าวหน้าเพียงใด และไต้หวันจะก้าวหน้าไปไกลกว่านี้ถ้ากลับไปสู่จีน แต่ชนชั้นปกครองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าล้วนรับใช้อเมริกัน คนพวกนี้จะลงเอยในฐานกบฏ
    .
    ในความรู้สึกของผม คนจีนพลัดถิ่นในไต้หวันควรที่จะคืนศักดิ์ฐานะให้ชาวพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินตัวจริง ให้พวกเขามีส่วนในการปกครองและตัดสินใจในอนาคตของประชากรบนเกาะแห่งนี้
    .
    คงไม่ต้องบอก ผู้ชายชาวไต้หวันไม่ว่าจะชนพื้นเมืองหรือคนจีนอพยพล้วนอยู่ในสาแหรก Hg O พวกชนพื้นเมืองมียีนที่เก่ากว่ามากเมื่อเทียบกับคนจีนแม้ในแผ่นดินใหญ่ ยีนแม่ของพวกเขามีสายใยเชื่อมโยงกับคนไทยอย่างเราทาง mt Hg F และ D พวกเขามีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับชนเผ่าไทอย่างหลี ก้ำ สุ่ย ในไห่หนานและชนเผ่าฮักกา เกี่ยวพันกับชนเผ่าในฟิลิปปินส์ และยังเกี่ยวพันกับชนพื้นเมืองบนเกาะโอกินาวา
    .
    บทความของ ปราชญ์ สามสี ที่ผมเอาลิ๊งก์มาแนบนี้ น่าจะทำให้คนไทยคิดให้มากขึ้น ยูเครนนั้นเดินไปสู่หนทางสิ้นชาติแล้วอย่างแน่นอน แต่ไต้หวันจะไม่แย่ขนาดนั้น สำหรับจีน ชนพื้นเมืองต่างๆ ถือเป็นทรัพยากรอันมีคุณต่อเศรษฐกิจ เป็นซอฟพาวเวอร์สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ไทยควรจะต้องรู้ว่าการสังเวยตัวเองไปอยู่ระหว่างคมหอกของมหาอำนาจอย่างที่ไต้หวันกำลังทำนั้นเป็นความโง่เขลาสิ้นคิด อย่าได้ถลำไปในทางนั้นอย่างเด็ดขาด
    .
    กรณีของไต้หวัน หากจะยึดถือจุดยืนตรงข้ออ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน มีทางเดียว คนจีนทั้งหมดต้องยุติบทบาทการปกครองแล้วมอบสิทธิ์คืนแก่คนพื้นเมือง คนจีนอพยพทั้งหมดต้องถอยไปในจุดที่เป็นแค่ผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคงยอมไม่ได้
    .
    คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” . ความห่วงใยของปราชญ์ สามสี ในบทความเรื่องไต้หวันและยูเครน เป็นสิ่งพึงสังวร [https://www.facebook.com/siamgreatwarriors/posts/1239830264171665] แต่เด็กรุ่นหลังไม่เข้าใจภัยที่ต้องสังวรนี้ ขณะที่คนรุ่นเก่าพยายามใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเพื่อป้องกันภัยนี้ให้พวกเขา พวกเขากลับเรียกร้องที่จะเป็นผู้จงรักต่อภัยคุกคามจากต่างชาติเหล่านี้ . . เหล่าหมู่เกาะในอุษาสมุทร มีเกาะหนึ่งชื่อฟอโมซา พวกปอร์ตุเกสเป็นคนเรียกชื่อนี้และเขียนลงบนแผนที่ เกาะแห่งนี้เป็นบ้านของชนเผ่าหลายเผ่าที่พูดภาษาออสโตรนีเชียน (มาลาโย-โพลีนีเชียน) ในเลือดพวกเขามียีนที่เกี่ยวพันกับบรรพบุรุษอัสเลียนเช่นเดียวกับเราและกลุ่มที่กระจายอยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ ในอุษาสมุทร พวกเขาประกอบด้วยชนเผ่าหลายเผ่า เช่น อตายาล พูยูมะ อาหมี ไพวัน ตาว เถา บูนัน ฮลาวาลัว กาวาลัน กานากานาวู รูไก ไซซิแยต ซากิซายะ ซีดิก ทาโรโก มากาเตา สิรายา บาบูจา บาเซ เกตากาลัน ปาโปรา.... พวกเขาคือเจ้าของแท้จริงของดินแดนที่ซึ่งวันนี้รู้จักกันว่า ไต้หวัน . อย่างที่รู้ ไต้หวันทุกวันนี้ถูกปกครองโดยคนจีนพลัดถิ่นที่แรกเริ่มนำมาโดยเจียงไคเช็คซึ่งหนีกองทัพรัฐบาลกลางมาตั้งมั่นที่เกาะแห่งนี้ ประวัติศาสตร์เหล่านี้หาอ่านได้ จึงไม่ขอกล่าวถึง . ย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์จีน บันทึกจีนสมัยสามก๊กเขียนถึงเกาะแห่งหนึ่ง จีนเรียกชื่อว่าหยี่โจว.. ในยุคต่อๆมาพ่อค้าจีนเรียกว่า เสี่ยวตงเต้า บ้าง.. ต้าฮุยกัว บ้าง.. มีการติดต่อค้าขายระหว่างคนจีนและคนพื้นเมืองมาตั้งแต่ราชวงศ์สุย เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์หยวน มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก ทะเลในแถบนี้คนจีนถือเป็นบริเวณที่สำคัญของปลากระบอก ขุนนางคนหนึ่งชื่อเฉินตี้เดินทางมากับกองทหารปราบโจรสลัดในทะเลตะวันออกและมาเยือนเกาะแห่งนี้ เฉินตี้เขียนบันทึกเล่มหนึ่งชื่อตงฟานจี (แปลว่าบันทึกของชาวป่าเถื่อนตะวันออก) บรรยายถึงชาวพื้นเมืองและวิถีชีวิตของพวกเขา รวมทั้งบันทึกถึงถิ่นฐานต่างๆ ที่ชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่บนเกาะแห่งนี้ พ่อค้าจีนค้าขายเหล็กและสิ่งทอ แลกกับถ่านหิน กำมะถัน ทองคำและเนื้อกวางกับคนพื้นเมือง คนจีนจึงรับรู้ตัวตนของพวกเขาและยอมรับสถานะพวกเขามาแต่โบราณ ถือเป็นดินแดนหนึ่งในอาณัตของจีน เมื่อโชกุนโทกูกาวายกทัพมาเพื่อพยายามจะยึดเกาะแห่งนี้ จีนจึงส่งกองกำลังมาขับไล่ . ผมเคยเขียนถึงเพื่อนศิลปินคนหนึ่งจากเผ่าพูยูมะ เธอชื่อซามิงัน เธอเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในฐานะชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแต่ไม่เคยมีศักดิ์ฐานะเช่นเจ้าของแผ่นดินเลยเมื่อเทียบกับคนจีนที่มาปกครอง ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ถูกละเลยและเสื่อมลงเรื่อยๆ . อย่างที่ทราบ รัฐบาลไต้หวันทุกวันนี้เป็นชาวจีนอพยพ แต่พวกเขาไม่ยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่ คณะปกครองปัจจุบันพยายามที่จะแยกว่าไต้หวันเป็นอิสระจากจีนและอาศัยอเมริกาเป็นโล่ห์กำบังทั้งที่อเมริกาและสหประชาชาติตกลงยอมรับความเป็นจีนเดียว ไต้หวันทำทุกอย่างที่อเมริกาสั่งเพื่อเป็นฐานในการต่อต้านจีนในแปซิฟิค และอย่างที่ทุกคนรู้ ชะตากรรมของไต้หวันนั้นล่อแหลมอย่างมากและโดยแท้แล้วอเมริกาไม่แยแสพวกเขา แต่จะใช้ประโยชน์เท่าที่ใช้ได้ และในที่สุดแล้วไม่มีทางเลยที่ไต้หวันจะแยกตัวออกไปจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้ พวกเขาจะถูกบดขยี้ถ้าเลือกหนทางที่ต่อต้านขัดขืนด้วยการใช้กำลังทหาร . เอาจริงๆ ประชาชนจีนพลัดถิ่นในไต้หวัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเลวร้ายหรอกถ้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ทุกวันนี้จากข่าวก็เห็นกันไปทั้งโลกว่าจีนก้าวหน้าเพียงใด และไต้หวันจะก้าวหน้าไปไกลกว่านี้ถ้ากลับไปสู่จีน แต่ชนชั้นปกครองไม่ต้องบอกก็รู้ว่าล้วนรับใช้อเมริกัน คนพวกนี้จะลงเอยในฐานกบฏ . ในความรู้สึกของผม คนจีนพลัดถิ่นในไต้หวันควรที่จะคืนศักดิ์ฐานะให้ชาวพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินตัวจริง ให้พวกเขามีส่วนในการปกครองและตัดสินใจในอนาคตของประชากรบนเกาะแห่งนี้ . คงไม่ต้องบอก ผู้ชายชาวไต้หวันไม่ว่าจะชนพื้นเมืองหรือคนจีนอพยพล้วนอยู่ในสาแหรก Hg O พวกชนพื้นเมืองมียีนที่เก่ากว่ามากเมื่อเทียบกับคนจีนแม้ในแผ่นดินใหญ่ ยีนแม่ของพวกเขามีสายใยเชื่อมโยงกับคนไทยอย่างเราทาง mt Hg F และ D พวกเขามีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับชนเผ่าไทอย่างหลี ก้ำ สุ่ย ในไห่หนานและชนเผ่าฮักกา เกี่ยวพันกับชนเผ่าในฟิลิปปินส์ และยังเกี่ยวพันกับชนพื้นเมืองบนเกาะโอกินาวา . บทความของ ปราชญ์ สามสี ที่ผมเอาลิ๊งก์มาแนบนี้ น่าจะทำให้คนไทยคิดให้มากขึ้น ยูเครนนั้นเดินไปสู่หนทางสิ้นชาติแล้วอย่างแน่นอน แต่ไต้หวันจะไม่แย่ขนาดนั้น สำหรับจีน ชนพื้นเมืองต่างๆ ถือเป็นทรัพยากรอันมีคุณต่อเศรษฐกิจ เป็นซอฟพาวเวอร์สำหรับโลกยุคปัจจุบัน ไทยควรจะต้องรู้ว่าการสังเวยตัวเองไปอยู่ระหว่างคมหอกของมหาอำนาจอย่างที่ไต้หวันกำลังทำนั้นเป็นความโง่เขลาสิ้นคิด อย่าได้ถลำไปในทางนั้นอย่างเด็ดขาด . กรณีของไต้หวัน หากจะยึดถือจุดยืนตรงข้ออ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน มีทางเดียว คนจีนทั้งหมดต้องยุติบทบาทการปกครองแล้วมอบสิทธิ์คืนแก่คนพื้นเมือง คนจีนอพยพทั้งหมดต้องถอยไปในจุดที่เป็นแค่ผู้อาศัยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคงยอมไม่ได้ .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ
    ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว

    ////////////////////

    วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย
    โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม
    อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย
    และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา

    ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย
    นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้

    ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น
    อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก

    อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว //////////////////// วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ้าไหมแพรวา สายใยศิลป์ จากใจ คมศักดิ์ ชมภูจักร์
    ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักร ภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 - 28 เมษายน 2568 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บจาก “ผ้าไหมแพรวา” ฝีมือกลุ่มสมาชิกศิลปาชีพบ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์
    ผ้าไหมแพรวาผืนนี้ถักทอด้วยเทคนิค “จก” และ “ขิด” ผสานเส้นไหมหลากสีอย่างละเอียดอ่อน ถ่ายทอดภูมิปัญญาชาวผู้ไทที่สืบทอดกันมานานนับชั่วอายุคน จนเกิดเป็นลวดลายเปี่ยมความหมายสะท้อน ความประณีตของศิลปะแห่งแผ่นดินไทย
    ผ้าผืนดังกล่าวได้รับการจัดซื้อจากโรงฝึกศิลปาชีพพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งดำเนินงานภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เพื่อสืบสานหัตถศิลป์ไทยให้ยังคงอยู่คู่ชาติ
    เบื้องหลังผืนผ้าอันทรงคุณค่านี้ คือ นายคมศักดิ์ ชมภูจักร์ วัย 62 ปี อดีตทหารเกณฑ์จาก ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ผู้ได้รับพระเมตตาให้เข้าร่วมโครงการศิลปาชีพฯ ตั้งแต่อายุ 34 ปี ด้วยภูมิปัญญา ที่สืบทอดจากครอบครัวช่างทอ เขาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนศูนย์ศิลปาชีพบ้านโพน ทั้งในบทบาท ช่างฝีมือและคณะกรรมการศูนย์ฯ รวมถึงการนำผลงานผ้าสไบ 11 ลายเข้าร่วมประกวด ณ พระตำหนัก ภูพานฯ
    การที่ผ้าทอฝีมือชาวบ้าน ได้ถวายใช้เป็นฉลองพระองค์สมเด็จพระราชินีในโอกาสทรงเยือน ต่างประเทศครั้งนี้ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และเป็นเกียรติยศสูงสุดของผู้สืบสานผืนผ้าไทย สะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่เปล่งประกายสู่เวทีนานาชาติอย่างงดงาม “พวกเรารู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผ้าไหมแพรวาที่ทอขึ้นจากศูนย์บ้านโพนได้ใช้เป็นฉลองพระองค์ของสมเด็จพระราชินีในครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคาดคิดแต่ก็เป็นแรงใจสำคัญสำหรับคนทำงานผ้าอย่างเราและต้องขอขอบคุณมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ที่เปิดโอกาสให้พวกเรามีวันนี้และทำให้ผ้าพื้นถิ่นได้มีที่ยืนในเวทีที่กว้างขึ้น” คำกล่าวจากนายคมศักดิ์ ชมภูจักร์
    ---------
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Facebook : มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ , มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (งานกิจกรรม)
    ผ้าไหมแพรวา สายใยศิลป์ จากใจ คมศักดิ์ ชมภูจักร์ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักร ภูฏานอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 - 28 เมษายน 2568 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บจาก “ผ้าไหมแพรวา” ฝีมือกลุ่มสมาชิกศิลปาชีพบ้านโพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ผ้าไหมแพรวาผืนนี้ถักทอด้วยเทคนิค “จก” และ “ขิด” ผสานเส้นไหมหลากสีอย่างละเอียดอ่อน ถ่ายทอดภูมิปัญญาชาวผู้ไทที่สืบทอดกันมานานนับชั่วอายุคน จนเกิดเป็นลวดลายเปี่ยมความหมายสะท้อน ความประณีตของศิลปะแห่งแผ่นดินไทย ผ้าผืนดังกล่าวได้รับการจัดซื้อจากโรงฝึกศิลปาชีพพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งดำเนินงานภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เพื่อสืบสานหัตถศิลป์ไทยให้ยังคงอยู่คู่ชาติ เบื้องหลังผืนผ้าอันทรงคุณค่านี้ คือ นายคมศักดิ์ ชมภูจักร์ วัย 62 ปี อดีตทหารเกณฑ์จาก ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ ผู้ได้รับพระเมตตาให้เข้าร่วมโครงการศิลปาชีพฯ ตั้งแต่อายุ 34 ปี ด้วยภูมิปัญญา ที่สืบทอดจากครอบครัวช่างทอ เขาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนศูนย์ศิลปาชีพบ้านโพน ทั้งในบทบาท ช่างฝีมือและคณะกรรมการศูนย์ฯ รวมถึงการนำผลงานผ้าสไบ 11 ลายเข้าร่วมประกวด ณ พระตำหนัก ภูพานฯ การที่ผ้าทอฝีมือชาวบ้าน ได้ถวายใช้เป็นฉลองพระองค์สมเด็จพระราชินีในโอกาสทรงเยือน ต่างประเทศครั้งนี้ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และเป็นเกียรติยศสูงสุดของผู้สืบสานผืนผ้าไทย สะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่เปล่งประกายสู่เวทีนานาชาติอย่างงดงาม “พวกเรารู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผ้าไหมแพรวาที่ทอขึ้นจากศูนย์บ้านโพนได้ใช้เป็นฉลองพระองค์ของสมเด็จพระราชินีในครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคาดคิดแต่ก็เป็นแรงใจสำคัญสำหรับคนทำงานผ้าอย่างเราและต้องขอขอบคุณมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ที่เปิดโอกาสให้พวกเรามีวันนี้และทำให้ผ้าพื้นถิ่นได้มีที่ยืนในเวทีที่กว้างขึ้น” คำกล่าวจากนายคมศักดิ์ ชมภูจักร์ --------- #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Facebook : มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ , มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (งานกิจกรรม)
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มเบื่อกับการต้องเพิ่ม AI ในทุกโปรเจกต์

    ผลสำรวจล่าสุดจาก Gartner พบว่า สามในสี่ของนักพัฒนามองว่าการผสาน AI เข้ากับแอปพลิเคชันเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงจะให้ความสนใจอย่างมากกับ Agentic AI และ Generative AI ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรม

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม AI ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
    ✅ นักพัฒนาส่วนใหญ่รู้สึกว่าการรวม AI เป็นภาระมากกว่าประโยชน์
    - แม้ว่าผู้บริหารจะผลักดัน แต่การนำ AI มาใช้จริงยังคงมีความท้าทาย

    ✅ ตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา AI อาจมีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028
    - แสดงให้เห็นว่า AI ยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    ✅ AI กำลังช่วยให้นักพัฒนามีเวลามากขึ้นสำหรับงานสร้างสรรค์
    - โดยใช้ AI Agents ในการจัดการงานที่ซ้ำซาก

    ✅ AI กำลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้าสู่อุตสาหกรรม
    - Gartner คาดว่า ภายในปี 2028 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ 40% จะมีสมาชิกจากสายงานที่ไม่ใช่เทคนิค

    ✅ อนาคตของการพัฒนาแอปพลิเคชันจะเป็นแบบทีมผสม (Fusion Teams)
    - ประกอบด้วย วิศวกรซอฟต์แวร์, นักออกแบบ UX, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้จัดการผลิตภัณฑ์

    https://www.techradar.com/pro/developers-arent-thrilled-about-having-to-add-ai-into-everything-they-build-study-shows
    นักพัฒนาซอฟต์แวร์เริ่มเบื่อกับการต้องเพิ่ม AI ในทุกโปรเจกต์ ผลสำรวจล่าสุดจาก Gartner พบว่า สามในสี่ของนักพัฒนามองว่าการผสาน AI เข้ากับแอปพลิเคชันเป็นเรื่องยุ่งยาก แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงจะให้ความสนใจอย่างมากกับ Agentic AI และ Generative AI ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญในอุตสาหกรรม 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้ม AI ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ✅ นักพัฒนาส่วนใหญ่รู้สึกว่าการรวม AI เป็นภาระมากกว่าประโยชน์ - แม้ว่าผู้บริหารจะผลักดัน แต่การนำ AI มาใช้จริงยังคงมีความท้าทาย ✅ ตลาดแพลตฟอร์มพัฒนา AI อาจมีมูลค่าถึง 5.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 - แสดงให้เห็นว่า AI ยังคงเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ✅ AI กำลังช่วยให้นักพัฒนามีเวลามากขึ้นสำหรับงานสร้างสรรค์ - โดยใช้ AI Agents ในการจัดการงานที่ซ้ำซาก ✅ AI กำลังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้าสู่อุตสาหกรรม - Gartner คาดว่า ภายในปี 2028 ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ 40% จะมีสมาชิกจากสายงานที่ไม่ใช่เทคนิค ✅ อนาคตของการพัฒนาแอปพลิเคชันจะเป็นแบบทีมผสม (Fusion Teams) - ประกอบด้วย วิศวกรซอฟต์แวร์, นักออกแบบ UX, นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้จัดการผลิตภัณฑ์ https://www.techradar.com/pro/developers-arent-thrilled-about-having-to-add-ai-into-everything-they-build-study-shows
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚠️มิจฉาชีพมักนำชื่อหน่วยงาน
    ต่าง ๆ ไปใช้หลอกลวง ทางที่ดีเราควรโทรสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไร
    ⚠️มิจฉาชีพมักนำชื่อหน่วยงาน ต่าง ๆ ไปใช้หลอกลวง ทางที่ดีเราควรโทรสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚠️มิจฉาชีพมักนำชื่อหน่วยงาน
    ต่าง ๆ ไปใช้หลอกลวง ทางที่ดีเราควรโทรสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไร
    ⚠️มิจฉาชีพมักนำชื่อหน่วยงาน ต่าง ๆ ไปใช้หลอกลวง ทางที่ดีเราควรโทรสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึงก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จอย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท

    วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน

    พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา

    เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น"

    โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส

    พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี

    โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ

    แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท

    อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน

    ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป

    นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน

    จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้

    โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม"

    ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน

    จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ"

    โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้

    ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม

    นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง"

    ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท

    นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท

    อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

    https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท วันนี้ (22 พ.ค. 68) เจ้าหน้าที่คณะทำงานสืบสวนสอบสวน "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" แถลงความคืบหน้าการสืบสวนเส้นทางการเงิน หลังจับกุม "ทิดแย้ม - สีกาเกร็น" แล้ว 7 วัน พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยว่า 7 วันที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปยังการหยุดยั้งการกระทำความผิด หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัดฯ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการจะให้ข่าวอะไร จึงต้องเซฟเพื่อไม่กระทบต่อความศรัทธา เริ่มต้นจากการที่มีหนังสือร้องเรียนมายังผู้บังคับการกองปราบปราม ว่ามีการนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวและมีการหยิบยืมเงินพระและฆราวาสเป็นหลักล้านบาท โดยได้ส่งผู้กองทอน พรางตัวไปสืบสวนฯ จนพบหลักฐานว่าเจ้าอาวาสใช้เงินวัดโอนเงินไปให้ "อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเกร็น" โดย บก.ปปป. ตรวจสอบพบว่าขณะนี้พบบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี 51 บัญชี บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส 21 บัญชี , อรัญญาวรรณ 12 บัญชี โดยมุ่งไปที่เงินหมุนเวียนของอรัญญาวรรณ พบว่าตั้งแต่ปี 2569 มีเงินหมุนเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี 4 ช่องทางในการรับเงิน 1.ฝากเงินเงินสด 2.รับโอนจากเจ้าอาวาส 3.รับโอนจากอดีตพระมหาเอกพจน์ 4. รับโอนเงินจากนายฉัตรชัย สีเลี้ยง ซึ่งจากพยานหลักฐานพบว่าไม่สอดคล้องกับคำให้การของอดีตเจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เผยว่าวัดไร่ขิง มีรายได้หลายช่องทาง รายได้ตั้งแต่ ต.ค. 66 - ก.ย. 67 เฉลี่ย 400,000 ต่อวัน , 14.7 ล้านบาทต่อเดือน , 176 ล้านบาทต่อปี โดย ป.ป.ท. รับทำในส่วนของบัญชีวัดฯ ซึ่งพบความผิดปกติหลายรายการ เช่น การเช่าร้านค้า ปีหนึ่งวัดมีรายได้จากส่วนนี้มากกว่า 30 ล้านบาท โดยเมื่อก่อนมีการนำเงินเข้าบัญชีโดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมารับ แต่หลังจากปี 2563 - 2567 พบว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเช่นที่ทำกันมา โดยมีการเอาเงินสดทั้งหมดไปมอบให้เจ้าอาวาส ซึ่งพบว่าจำนวนเงินที่นำไปให้เจ้าอาวาส เกือบ 200 ล้านบาท อีกทั้งเรื่องเงินกฐินพบว่ามีการมอบไปให้เจ้าอาวาสกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงการขายวัตถุมงคล ก็เป็นลักษณะพฤติกรรมเดียวกัน ส่วนร้านค้าสวัสดิการ พบมีเงินไปเกี่ยวโยงกับบัญชีของคู่สามีภรรยา ซึ่งจะต้องตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป นอกจากนี้ในการแถลงข่าวยังได้มีการเปิดคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง "ทิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กับ สีกาเกร็น" โดยเป็นการพูดคุยเกียวกับการขอเงินไปส่งค่างวดให้กับเว็บพนัน ซึ่งทิตแย้ม แสดงน้ำเสียงบ่งบอกถึงการหาเงินไม่ทัน จากคลิปเสียงดังกล่าว พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า เป็นการสนทนากันช่วงเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเป็นการให้โอนเงินไปยังเว็บพนัน ซึ่งส่วนนี้หลวงพ่อรับรู้ โดยความสัมพันธ์ของสีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ กับอดีตเจ้าอาวาสขอแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ "ช่วงหวาน" กับ "ช่วงขม" ช่วงหวานอาจจะเกิดก่อนปี 2563 มีการเริ่มเข้ามายืมเงิน "ทิตแย้ม" 5 ถึง 6 หมื่นบาท และมีการทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้กับ "ทิตแย้ม" ซึ่ง "ทิตแย้ม" ก็ช่วยไป เมื่อยืมเสร็จแล้วก็มีการติดต่อมีการพูดคุยกันเรื่อยมาทุกวัน จากนั้นก็เริ่มมีการโอนเงินให้ครั้งละ 1,000 ถึง 10,000 ก่อนที่จะมีการแลก LINE กัน ซึ่งเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น มีการโชว์หน้ากัน "คุยกันไปก็น้ำหนักมากภาพก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยเรื่อย ๆ" โดย สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ เป็นเด็กที่เรียนอยู่วัดไร่ขิง ช่วง ม.ต้น มาทำกิจกรรมจิตอาสาที่วัดฯ ทำให้ได้เคยพูดคุยและพบกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะจบออกไปทำงานพบว่าค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แล้วกลับมาบ้านคาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนโควิด จึงเข้าไปขอหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าถ้ามีแหวนวัดไร่ขิงถ้าเดือดร้อนให้มาขอความช่วยเหลือได้ ส่วนช่วงขม คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2567 เพราะจากคลิปการสนทนา หลวงพ่อหมดทางที่จะไป เพราะเงินวัดก็เหลือน้อย ไปยืมมาก็ไม่มีให้ยืมแล้ว ต่อมาซักประมาณเดือน ธ.ค. สีกาเกร็นหรือ อรัญญาวรรณ และแฟนหนุ่มถูกจับกุม ทำให้วันต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่ออีกครั้ง พร้อมข่มขู่ว่ามีคลิปที่เคยเซ็กซ์โฟน ถูกเจ้าหน้าที่ของ สอท. ยึดไป วันว่าคลิปดังกล่าวจะถูกเปิดเผยจึงกลับมาข่มขู่หลวงพ่อ เพื่อจะเอาเงินไปดำเนินการหลังถูกจับกุม นายคณพศ สตง. 3 ได้ วัดมีสามมูลนิ มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง , มูลนิธิพระอุบาลีฯ , มูลนิธิวัดไร่ขิง , โดยใน 3 มูลนิธินี้มูลนิธิที่มีเงินมากที่สุดคือ "มูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนมูลนิธิเมตตาประชารัฐ มีอยู่ประมาณ 66 ล้านบาท , มูลนิธิพระอุบาลี 19 ล้านบาท โดยพบว่าเจ้าอาวาสได้มีการยืมเงินกับมูลนิธิวัดไร่ขิงไป 35 ล้านบาทโดยไม่มีรายละเอียดว่ายืมไปทำอะไร ซึ่งเป็นการยืมไปทั้งก้อน โดยมาคืน 5,000,0 บาทในปี 2567 ทำให้ยอดหนี้คงเหลือ 30 ล้านบาท นอกจากนี้อดีตเจ้าอาวาสยังได้ยืมเงินในส่วนของมูลนิธิอุบารีไปอีกเก้าล้านบาท โดยมีการชดใช้ไปปีละ 1,100,000 บาท เป็นเวลา 9 ปี รวมเป็นหนี้มูลนิธิทั้งสองมูลนิธิ 38 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความคืบหน้าการสืบสวน ยังคงต้องดำเนินการสืบเส้นทางการเงิน-รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป https://news.ch7.com/detail/804103?fbclid=IwQ0xDSwKbsG5leHRuA2FlbQIxMQABHokl0oAdErnD4pB1keWRJaP2kUkH8-mqlcKVIf1eLNVxzVQbjvvP5Dub3d7w_aem__H3KnIHQ_QuZGpRP3tFxRg#maz1m2gy1zyyhlh1mg4
    NEWS.CH7.COM
    ข่าวอึ้งคลิปเสียงหลักฐาน "ทิดแย้ม" โอนเงิน "สีกาเกร็น" พบมีเงินหมุ่นเวียนกว่า 2,000 ล้านบาท "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง"
    แถลงความคืบหน้า "คดียักยอกเงินวัดไร่ขิง" ตรวจแล้ว 51 บัญชี พบรายได้วัดมากถึง 176 ล้านบาท/ปี อึ้งคลิปเสียงหลักฐาน…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO ของ Nvidia วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯ เรื่องการห้ามส่งออกชิป AI

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเขาระบุว่า มาตรการนี้เป็น "ความล้มเหลว" และส่งผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจาก กระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการห้ามส่งออกชิป AI
    ✅ สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H20 ไปยังจีน
    - ส่งผลให้ ส่วนแบ่งตลาดของ Nvidia ในจีนลดลงจาก 95% เหลือ 50%

    ✅ จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
    - บริษัทใหญ่ เช่น Tencent และ Alibaba หันไปใช้ชิปที่ผลิตในประเทศ

    ✅ Jensen Huang เชื่อว่าการแพร่กระจายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำ
    - เขากล่าวว่า "หากเป้าหมายคือให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำ การจำกัดเทคโนโลยีจะให้ผลตรงกันข้าม"

    ✅ อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ Gina Raimondo เห็นด้วยกับ Huang
    - เธอเคยกล่าวว่า "การพยายามหยุดจีนด้วยมาตรการห้ามส่งออกเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์"

    ✅ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์จากการห้ามส่งออก
    - รวมถึง รายได้ภาษีที่สหรัฐฯ สูญเสียไปกว่า 3 พันล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-ceo-jensen-huang-says-u-s-ban-on-ai-chip-exports-a-failure-says-spread-of-u-s-chips-vital-to-competitive-advantage
    CEO ของ Nvidia วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯ เรื่องการห้ามส่งออกชิป AI Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเขาระบุว่า มาตรการนี้เป็น "ความล้มเหลว" และส่งผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจาก กระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการห้ามส่งออกชิป AI ✅ สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H20 ไปยังจีน - ส่งผลให้ ส่วนแบ่งตลาดของ Nvidia ในจีนลดลงจาก 95% เหลือ 50% ✅ จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ - บริษัทใหญ่ เช่น Tencent และ Alibaba หันไปใช้ชิปที่ผลิตในประเทศ ✅ Jensen Huang เชื่อว่าการแพร่กระจายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำ - เขากล่าวว่า "หากเป้าหมายคือให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำ การจำกัดเทคโนโลยีจะให้ผลตรงกันข้าม" ✅ อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ Gina Raimondo เห็นด้วยกับ Huang - เธอเคยกล่าวว่า "การพยายามหยุดจีนด้วยมาตรการห้ามส่งออกเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์" ✅ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์จากการห้ามส่งออก - รวมถึง รายได้ภาษีที่สหรัฐฯ สูญเสียไปกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-ceo-jensen-huang-says-u-s-ban-on-ai-chip-exports-a-failure-says-spread-of-u-s-chips-vital-to-competitive-advantage
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia CEO Jensen Huang says U.S. ban on AI chip exports "a failure," says spread of U.S. chips vital to competitive advantage
    Jensen Huang believes that the U.S. should diffuse its AI tech across the globe instead of stopping its rivals from getting it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรอทสีแดงเป็นองค์ประกอบสำคัญเบื้องหลังเทคโนโลยีโบราณ

    สารปรอทถูกผลักไสโดยกระเทียมและถูกดึงดูดโดยทองคำ เมื่อวางกระจกไว้ข้างๆ กระจกจะไม่มีการสะท้อนกลับ นอกจากนี้ยังปล่อยพลังงานอิสระออกมาและทำให้โลหะที่สัมผัสกับกระจกร้อนเกินไป

    เป็นเรื่องน่าสนใจที่วัฒนธรรมโบราณมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของปรอท ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าสามารถขยายการสั่นสะเทือนของบรรยากาศโดยรอบได้

    สารปรอทถูกค้นพบในแหล่งโบราณคดีโบราณหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงพีระมิดในอียิปต์
    ปรอทสีแดงเป็นองค์ประกอบสำคัญเบื้องหลังเทคโนโลยีโบราณ สารปรอทถูกผลักไสโดยกระเทียมและถูกดึงดูดโดยทองคำ เมื่อวางกระจกไว้ข้างๆ กระจกจะไม่มีการสะท้อนกลับ นอกจากนี้ยังปล่อยพลังงานอิสระออกมาและทำให้โลหะที่สัมผัสกับกระจกร้อนเกินไป เป็นเรื่องน่าสนใจที่วัฒนธรรมโบราณมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของปรอท ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าสามารถขยายการสั่นสะเทือนของบรรยากาศโดยรอบได้ สารปรอทถูกค้นพบในแหล่งโบราณคดีโบราณหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงพีระมิดในอียิปต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ระเบิดโดรนที่สามารถฆ่าคนได้จำนวนมาก!

    โดรนที่มีระเบิดรูปร่าง 3 กรัม ซึ่งสามารถล็อกเป้าหมายหรือบุคคลที่ต้องการโดยใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์และโครงสร้างพื้นฐาน IoT/5G

    เพียงพอที่จะฆ่าคนได้ครึ่งเมือง เขากล่าวอ้าง.....

    "ครึ่งที่เลวร้าย" ใครหมายถึง "ครึ่งที่เลวร้าย" และใครและอะไรที่ทำให้ใครเป็นคนเลวร้าย?...

    นี่เป็นเรื่องน่ากังวล เราได้ยินเกี่ยวกับ Cyber ​​Polygon แล้วถ้าวันหนึ่งพวกเขาปล่อยโดรนเหล่านี้ออกมาและโยนความผิดให้กับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายทางไซเบอร์ล่ะ?

    ระเบิดโดรนที่สามารถฆ่าคนได้จำนวนมาก! โดรนที่มีระเบิดรูปร่าง 3 กรัม ซึ่งสามารถล็อกเป้าหมายหรือบุคคลที่ต้องการโดยใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์และโครงสร้างพื้นฐาน IoT/5G เพียงพอที่จะฆ่าคนได้ครึ่งเมือง เขากล่าวอ้าง..... "ครึ่งที่เลวร้าย" ใครหมายถึง "ครึ่งที่เลวร้าย" และใครและอะไรที่ทำให้ใครเป็นคนเลวร้าย?... นี่เป็นเรื่องน่ากังวล เราได้ยินเกี่ยวกับ Cyber ​​Polygon แล้วถ้าวันหนึ่งพวกเขาปล่อยโดรนเหล่านี้ออกมาและโยนความผิดให้กับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายทางไซเบอร์ล่ะ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน

    เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง

    เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้

    ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน

    ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน

    #Newskit
    NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้ ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..พวกเข้ารีตลัทธิตาเดียวซาตาน มันต้องการเด็กๆที่เกิดจากการทำแท้งสดๆใหม่ๆอย่างยิ่ง
    ..กฎหมายไทยต้องห้ามทำแท้งเสรีทุกๆกรณี,มันคือการฟอกวิธีสังหาร ไม่ต่างจากฟอกเงิน ฟอกเงินผ่านค้าอวัยวะเด็กหรือค้ามนุษย์ในสถานะการทำแท้งได้,เด็กๆทารกเหล่านี้ยังมีสัญญาณขีวิตมีภาวะหัวใจเต้นปกติอยู่นะ ,วิถีการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายในไทยต้องยกเลิกทั้งหมดทันที.,ประเทศไทยเราจะเป็นสถานที่สังหารเด็กและฆ่าเด็ก&ค้าอวัยวะเด็กอย่างเปิดเผย,และมากมายมหาศาลแน่นอน,มันคือมุมมืดค่าจริงที่พวกมันไม่ต้องการบอกเล่า.
    ..
    ..‼️การเก็บเกี่ยวอวัยวะและการวางแผนครอบครัว: ทำไมการทำแท้งจึงเป็นธุรกิจใหญ่

    นี่คือมูลค่าของชิ้นส่วนร่างกายของทารกที่ทำแท้งจากการสืบสวนการขายทารกในครรภ์

    แล้วสมองหนึ่งชิ้นราคาหลายพันดอลลาร์ล่ะ แขนและขาแต่ละชิ้นมีมูลค่าหลายร้อยดอลลาร์

    หากคุณคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ จิตใจของคุณก็ทำงานได้อย่างที่พวกเขาต้องการ...ในสภาพที่เฉื่อยชาและไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต้องการแค่คดีที่สร้างขึ้นเพื่อให้การทำแท้งถูกกฎหมาย เพราะมันเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างเหลือเชื่อ

    การฆ่าและสังเวยเด็กเป็นหนึ่งในหลักการของชนชั้นสูงลูซิเฟอร์

    ไม่มีอะไรเกี่ยวกับสิทธิสตรีเลย พวกเขาไม่สนใจผู้หญิงเลย! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครควรมีสิทธิ์ที่จะยุติชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น!

    เราต้องยุติการทำให้การฆ่าถูกกฎหมาย

    การทำแท้งคือการสังเวยเด็กในยุคปัจจุบัน
    มนุษยชาติจะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งที่ควรเป็นได้ หากเราปล่อยให้การปฏิบัติเช่นนี้ดำเนินต่อไป
    ..พวกเข้ารีตลัทธิตาเดียวซาตาน มันต้องการเด็กๆที่เกิดจากการทำแท้งสดๆใหม่ๆอย่างยิ่ง ..กฎหมายไทยต้องห้ามทำแท้งเสรีทุกๆกรณี,มันคือการฟอกวิธีสังหาร ไม่ต่างจากฟอกเงิน ฟอกเงินผ่านค้าอวัยวะเด็กหรือค้ามนุษย์ในสถานะการทำแท้งได้,เด็กๆทารกเหล่านี้ยังมีสัญญาณขีวิตมีภาวะหัวใจเต้นปกติอยู่นะ ,วิถีการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายในไทยต้องยกเลิกทั้งหมดทันที.,ประเทศไทยเราจะเป็นสถานที่สังหารเด็กและฆ่าเด็ก&ค้าอวัยวะเด็กอย่างเปิดเผย,และมากมายมหาศาลแน่นอน,มันคือมุมมืดค่าจริงที่พวกมันไม่ต้องการบอกเล่า. .. ..‼️การเก็บเกี่ยวอวัยวะและการวางแผนครอบครัว: ทำไมการทำแท้งจึงเป็นธุรกิจใหญ่ นี่คือมูลค่าของชิ้นส่วนร่างกายของทารกที่ทำแท้งจากการสืบสวนการขายทารกในครรภ์ แล้วสมองหนึ่งชิ้นราคาหลายพันดอลลาร์ล่ะ แขนและขาแต่ละชิ้นมีมูลค่าหลายร้อยดอลลาร์ หากคุณคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ จิตใจของคุณก็ทำงานได้อย่างที่พวกเขาต้องการ...ในสภาพที่เฉื่อยชาและไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต้องการแค่คดีที่สร้างขึ้นเพื่อให้การทำแท้งถูกกฎหมาย เพราะมันเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างเหลือเชื่อ การฆ่าและสังเวยเด็กเป็นหนึ่งในหลักการของชนชั้นสูงลูซิเฟอร์ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับสิทธิสตรีเลย พวกเขาไม่สนใจผู้หญิงเลย! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครควรมีสิทธิ์ที่จะยุติชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น! เราต้องยุติการทำให้การฆ่าถูกกฎหมาย การทำแท้งคือการสังเวยเด็กในยุคปัจจุบัน มนุษยชาติจะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งที่ควรเป็นได้ หากเราปล่อยให้การปฏิบัติเช่นนี้ดำเนินต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • วิธีกู้คืนอีเมลที่ถูกลบจากถังขยะ

    การลบอีเมลโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีเมลนั้นถูกลบออกจากถังขยะไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีในการกู้คืนอีเมลที่ถูกลบ แม้ว่าจะถูกลบออกจากถังขยะแล้วก็ตาม ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการอีเมลที่คุณใช้

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการกู้คืนอีเมลที่ถูกลบ
    ✅ Gmail สามารถกู้คืนอีเมลที่ถูกลบจากถังขยะได้ภายใน 30 วัน
    - ผู้ใช้สามารถ ค้นหาอีเมลที่อาจถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ "All Mail" หรือขอความช่วยเหลือจาก Google Support

    ✅ Outlook มีโฟลเดอร์ "Recoverable Items" ที่ช่วยให้กู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้
    - อีเมลที่ถูกลบจากถังขยะ จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์นี้เป็นเวลา 14-30 วัน

    ✅ Yahoo Mail อาจสามารถกู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้ภายใน 7 วัน
    - ผู้ใช้ต้อง ส่งคำขอไปยัง Yahoo เพื่อกู้คืนอีเมลที่สูญหาย

    ✅ Apple Mail (iCloud) ไม่มีตัวเลือกกู้คืนอีเมลหลังจากถังขยะถูกล้าง
    - อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ Mac สามารถใช้ Time Machine เพื่อกู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้

    ✅ หากไม่มีตัวเลือกกู้คืนจากผู้ให้บริการอีเมล อาจต้องใช้ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสนับสนุน
    - เช่น Google Takeout หรือโปรแกรมสำรองข้อมูลอีเมลของบุคคลที่สาม

    https://computercity.com/software/email/how-to-recover-emails-deleted-from-trash
    วิธีกู้คืนอีเมลที่ถูกลบจากถังขยะ การลบอีเมลโดยไม่ได้ตั้งใจอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีเมลนั้นถูกลบออกจากถังขยะไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีในการกู้คืนอีเมลที่ถูกลบ แม้ว่าจะถูกลบออกจากถังขยะแล้วก็ตาม ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการอีเมลที่คุณใช้ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการกู้คืนอีเมลที่ถูกลบ ✅ Gmail สามารถกู้คืนอีเมลที่ถูกลบจากถังขยะได้ภายใน 30 วัน - ผู้ใช้สามารถ ค้นหาอีเมลที่อาจถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ "All Mail" หรือขอความช่วยเหลือจาก Google Support ✅ Outlook มีโฟลเดอร์ "Recoverable Items" ที่ช่วยให้กู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้ - อีเมลที่ถูกลบจากถังขยะ จะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์นี้เป็นเวลา 14-30 วัน ✅ Yahoo Mail อาจสามารถกู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้ภายใน 7 วัน - ผู้ใช้ต้อง ส่งคำขอไปยัง Yahoo เพื่อกู้คืนอีเมลที่สูญหาย ✅ Apple Mail (iCloud) ไม่มีตัวเลือกกู้คืนอีเมลหลังจากถังขยะถูกล้าง - อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ Mac สามารถใช้ Time Machine เพื่อกู้คืนอีเมลที่ถูกลบได้ ✅ หากไม่มีตัวเลือกกู้คืนจากผู้ให้บริการอีเมล อาจต้องใช้ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสนับสนุน - เช่น Google Takeout หรือโปรแกรมสำรองข้อมูลอีเมลของบุคคลที่สาม https://computercity.com/software/email/how-to-recover-emails-deleted-from-trash
    COMPUTERCITY.COM
    How to Recover Emails Deleted from Trash
    Accidentally deleting emails from the trash can be frustrating. If you’ve emptied your trash, retrieving those emails might seem impossible. There are ways to
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปประเด็นเด่นจากงาน Google I/O 2025: AI ครองโลก เทคโนโลยีสุดล้ำนำอนาคต

    เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา งาน Google I/O 2025 จัดขึ้นที่ Shoreline Amphitheatre รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ซันดาร์ พิชัย CEO ของ Google ขึ้นเวที keynote เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำที่เน้นหนักไปที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีแห่งอนาคต นี่คือประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องรู้!

    ✅ Gemini 2.5 และ AI Mode ใน Google Search
    - Google เปิดตัว Gemini 2.5 โมเดล AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมประสิทธิภาพสูงขึ้น ความปลอดภัยที่ดีกว่า และความโปร่งใสในการใช้งาน ไฮไลต์เด็ดคือ AI Mode ใน Google Search ที่เปลี่ยนการค้นหาให้เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว สามารถตอบคำถามเชิงลึก รองรับการสนทนาต่อเนื่อง และมี Deep Search สำหรับงานวิจัยที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เริ่มใช้งานแล้วในสหรัฐอเมริกา

    ✅ Veo 3 และ Flow: การสร้างและตัดต่อวิดีโอด้วย AI
    Google นำเสนอ Veo 3 เครื่องมือสร้างวิดีโอที่สามารถเพิ่มบทสนทนาและเอฟเฟกต์เสียงได้อัตโนมัติ รวมถึง Flow เครื่องมือตัดต่อวิดีโอด้วย AI ที่ช่วยให้การปรับแต่งวิดีโอง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการงานคุณภาพสูงในเวลาอันสั้น

    ✅ Android XR และแว่นตาอัจฉริยะ
    Google ทุ่มสุดตัวกับ Android XR แพลตฟอร์มสำหรับอุปกรณ์ความจริงผสม (Mixed Reality) พร้อมเผยความคืบหน้าแว่นตาอัจฉริยะที่คาดว่าจะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด งานนี้แสดงให้เห็นว่า Google พร้อมบุกตลาด XR อย่างจริงจัง

    ✅ Gemini Ultra และการสมัครสมาชิก
    เปิดตัว Gemini Ultra แผนการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียม (ราคา $249.99/เดือน เฉพาะสหรัฐฯ) มอบการเข้าถึง AI ระดับสูงสุด รวมถึง Veo 3, Flow และ Gemini 2.5 Pro Deep Think Mode สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก รวมถึงขยายขีดจำกัดการใช้งานเครื่องมืออย่าง NotebookLM และ Whisk (เครื่องมือรีมิกซ์ภาพ)

    ✅ Project Astra และ Jules: ผู้ช่วยและนักพัฒนา AI
    Project Astra ได้รับการอัปเดตให้ฉลาดขึ้น กลายเป็นผู้ช่วย AI สากลที่ผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของ Google ได้อย่างลงตัว ส่วน Jules คือ AI ตัวใหม่สำหรับนักพัฒนา ช่วยเขียนโค้ดแบบไม่ต้องรอ (asynchronous) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์

    ✅ Google Meet กับการแปลภาษาแบบเรียลไทม์
    Google Meet เพิ่มฟีเจอร์แปลภาษาเสียงแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การประชุมข้ามภาษาเป็นเรื่องง่าย สะท้อนความมุ่งมั่นของ Google ในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก

    ✅ Project Starline ก้าวสู่ความเป็นจริง
    Google ประกาศขยายความร่วมมือและวาง roadmap สำหรับ Project Starline ระบบสื่อสารแบบโฮโลแกรมที่ให้ประสบการณ์เหมือนเจอตัวจริง คาดว่าจะเริ่มใช้งานในวงกว้างเร็ว ๆ นี้
    วิเคราะห์ทิศทาง

    ℹ️ งาน Google I/O 2025 แสดงให้เห็นว่า Google เดินหน้าเต็มสูบกับ AI โดยเฉพาะ Gemini ที่แทรกซึมในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน ขณะที่ Android XR และ Project Starline บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ด้านฮาร์ดแวร์ที่พร้อมท้าชนคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม การที่ Google Assistant อาจถูกลดบทบาทเพื่อให้ Gemini ขึ้นมาแทน กลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตา

    งานนี้ไม่เพียงโชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนว่า Google พร้อมเป็นผู้นำในยุค AI และความจริงผสม ใครที่สนใจนวัตกรรมเหล่านี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ io.google
    สรุปประเด็นเด่นจากงาน Google I/O 2025: AI ครองโลก เทคโนโลยีสุดล้ำนำอนาคต เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา งาน Google I/O 2025 จัดขึ้นที่ Shoreline Amphitheatre รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ซันดาร์ พิชัย CEO ของ Google ขึ้นเวที keynote เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำที่เน้นหนักไปที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีแห่งอนาคต นี่คือประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องรู้! ✅ Gemini 2.5 และ AI Mode ใน Google Search - Google เปิดตัว Gemini 2.5 โมเดล AI รุ่นใหม่ที่มาพร้อมประสิทธิภาพสูงขึ้น ความปลอดภัยที่ดีกว่า และความโปร่งใสในการใช้งาน ไฮไลต์เด็ดคือ AI Mode ใน Google Search ที่เปลี่ยนการค้นหาให้เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว สามารถตอบคำถามเชิงลึก รองรับการสนทนาต่อเนื่อง และมี Deep Search สำหรับงานวิจัยที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เริ่มใช้งานแล้วในสหรัฐอเมริกา ✅ Veo 3 และ Flow: การสร้างและตัดต่อวิดีโอด้วย AI Google นำเสนอ Veo 3 เครื่องมือสร้างวิดีโอที่สามารถเพิ่มบทสนทนาและเอฟเฟกต์เสียงได้อัตโนมัติ รวมถึง Flow เครื่องมือตัดต่อวิดีโอด้วย AI ที่ช่วยให้การปรับแต่งวิดีโอง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการงานคุณภาพสูงในเวลาอันสั้น ✅ Android XR และแว่นตาอัจฉริยะ Google ทุ่มสุดตัวกับ Android XR แพลตฟอร์มสำหรับอุปกรณ์ความจริงผสม (Mixed Reality) พร้อมเผยความคืบหน้าแว่นตาอัจฉริยะที่คาดว่าจะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด งานนี้แสดงให้เห็นว่า Google พร้อมบุกตลาด XR อย่างจริงจัง ✅ Gemini Ultra และการสมัครสมาชิก เปิดตัว Gemini Ultra แผนการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียม (ราคา $249.99/เดือน เฉพาะสหรัฐฯ) มอบการเข้าถึง AI ระดับสูงสุด รวมถึง Veo 3, Flow และ Gemini 2.5 Pro Deep Think Mode สำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก รวมถึงขยายขีดจำกัดการใช้งานเครื่องมืออย่าง NotebookLM และ Whisk (เครื่องมือรีมิกซ์ภาพ) ✅ Project Astra และ Jules: ผู้ช่วยและนักพัฒนา AI Project Astra ได้รับการอัปเดตให้ฉลาดขึ้น กลายเป็นผู้ช่วย AI สากลที่ผสานรวมกับบริการต่าง ๆ ของ Google ได้อย่างลงตัว ส่วน Jules คือ AI ตัวใหม่สำหรับนักพัฒนา ช่วยเขียนโค้ดแบบไม่ต้องรอ (asynchronous) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เหล่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ ✅ Google Meet กับการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ Google Meet เพิ่มฟีเจอร์แปลภาษาเสียงแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การประชุมข้ามภาษาเป็นเรื่องง่าย สะท้อนความมุ่งมั่นของ Google ในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลก ✅ Project Starline ก้าวสู่ความเป็นจริง Google ประกาศขยายความร่วมมือและวาง roadmap สำหรับ Project Starline ระบบสื่อสารแบบโฮโลแกรมที่ให้ประสบการณ์เหมือนเจอตัวจริง คาดว่าจะเริ่มใช้งานในวงกว้างเร็ว ๆ นี้ วิเคราะห์ทิศทาง ℹ️ งาน Google I/O 2025 แสดงให้เห็นว่า Google เดินหน้าเต็มสูบกับ AI โดยเฉพาะ Gemini ที่แทรกซึมในทุกผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน ขณะที่ Android XR และ Project Starline บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ด้านฮาร์ดแวร์ที่พร้อมท้าชนคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม การที่ Google Assistant อาจถูกลดบทบาทเพื่อให้ Gemini ขึ้นมาแทน กลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตา งานนี้ไม่เพียงโชว์ศักยภาพด้านเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนว่า Google พร้อมเป็นผู้นำในยุค AI และความจริงผสม ใครที่สนใจนวัตกรรมเหล่านี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ io.google
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท ได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก จำเป็นต้องเร่งปรับนโยบาย เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาว โดยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด ตอนหาเสียงประเมินแล้วว่าทำได้ ซึ่งทำไปแล้วสองเฟส แต่ตอนนี้มีเรื่องภาษีของสหรัฐ จึงต้องจัดลำดับความสำคัญการใช้เงิน ไม่ห่วงกระทบเสียงพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด

    -ขยาดติดบ่วง ม.157
    -สว.อินเตอร์
    -นักท่องเที่ยวต่ำสุดในรอบปี
    -แค่หยดน้ำในมหาสมุทร
    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท ได้รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายฝ่าย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก จำเป็นต้องเร่งปรับนโยบาย เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตระยะยาว โดยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ตัวกระตุ้นที่ดีที่สุด ตอนหาเสียงประเมินแล้วว่าทำได้ ซึ่งทำไปแล้วสองเฟส แต่ตอนนี้มีเรื่องภาษีของสหรัฐ จึงต้องจัดลำดับความสำคัญการใช้เงิน ไม่ห่วงกระทบเสียงพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด -ขยาดติดบ่วง ม.157 -สว.อินเตอร์ -นักท่องเที่ยวต่ำสุดในรอบปี -แค่หยดน้ำในมหาสมุทร
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 29 0 รีวิว
  • สงครามการค้าป่วนโลก ทางลงจบแจกเงินหมื่น : [NEWS UPDATE]

    นายพิชัย ชุณวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบชะลอโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสม ยืนยัน งบประมาณมีอยู่แล้วเพียงแต่จะใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตอนที่คิดเรื่องเงินดิจิทัลคาดว่าจีดีพีอยู่ที่ 3.3-3.5% แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนมีข้อจำกัดปัจจัยนอกประเทศ สงครามการค้า ซึ่งกระทบในประเทศ จึงต้องปรับแผนการใช้เงิน เพื่อนำงบประมาณที่เคยกันไว้ 157,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการจำเป็นเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค การคมนาคม รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ถนนหนทางให้ดีขึ้น และใช้กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ช่วยเหลือการส่งออก

    -ทิดแย้มเปย์ 100 ล้าน

    -เตือนใช้จ่ายรอบคอบ

    -ห่วงมรสุมเป็นไซโคลน

    -70 คำร้องจริยธรรม
    สงครามการค้าป่วนโลก ทางลงจบแจกเงินหมื่น : [NEWS UPDATE] นายพิชัย ชุณวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบชะลอโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะเหมาะสม ยืนยัน งบประมาณมีอยู่แล้วเพียงแต่จะใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตอนที่คิดเรื่องเงินดิจิทัลคาดว่าจีดีพีอยู่ที่ 3.3-3.5% แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนมีข้อจำกัดปัจจัยนอกประเทศ สงครามการค้า ซึ่งกระทบในประเทศ จึงต้องปรับแผนการใช้เงิน เพื่อนำงบประมาณที่เคยกันไว้ 157,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการจำเป็นเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค การคมนาคม รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ถนนหนทางให้ดีขึ้น และใช้กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ช่วยเหลือการส่งออก -ทิดแย้มเปย์ 100 ล้าน -เตือนใช้จ่ายรอบคอบ -ห่วงมรสุมเป็นไซโคลน -70 คำร้องจริยธรรม
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • เงินหมื่นสุดทางแล้ว เฟส 3 ไปไม่รอด หวังประชาชนจะเข้าใจ
    .
    แม้เรื่องการชะลอโครงการแจกเงินหมื่น จะเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญ แต่ปรากฎนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังเลือกที่จะให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ชี้แจงแทน จึงไม่แปลกที่เวลานี้คำถามเกี่ยวภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯครอบครัวชินวัตรคนที่ 3 นี้ ดังกระหึ่มอีกครั้ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000046937

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    เงินหมื่นสุดทางแล้ว เฟส 3 ไปไม่รอด หวังประชาชนจะเข้าใจ . แม้เรื่องการชะลอโครงการแจกเงินหมื่น จะเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญ แต่ปรากฎนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังเลือกที่จะให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ชี้แจงแทน จึงไม่แปลกที่เวลานี้คำถามเกี่ยวภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯครอบครัวชินวัตรคนที่ 3 นี้ ดังกระหึ่มอีกครั้ง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000046937 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1287 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..การรั่วไหลใหม่เปิดเผย SkyNet 2.0 และการควบคุมสภาพอากาศ: วิศวกรรมธรณีวิทยาที่ใช้เคมีเทรล อะลูมิเนียม แบเรียม อนุภาคนาโน และอาวุธพลังงานกำกับเพื่อวางยาพิษบนท้องฟ้าของเรา!

    ความจริงเบื้องหลังการจัดการสภาพอากาศนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด พวกผู้มีอำนาจกำลังทำสงครามกับมนุษยชาติโดยใช้ท้องฟ้าเป็นสนามรบ มันไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่มันเป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด ควบคุมสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และตัวคุณเอง

    สารเคมีอันตรายและสเปรย์พิษ สารเคมีอันตราย (อะลูมิเนียม แบเรียม สตรอนเซียม) จะถูกฉีดพ่นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อวางยาพิษในอากาศ น้ำและดิน สูตรใหม่มีอนุภาคนาโนอันตรายที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เปลี่ยนแปลง DNA และก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท นี่คือสงครามชีวภาพในระดับโลก

    การควบคุมผ่านการจัดการสภาพอากาศ ไม่ได้มีเพียงการฉีดพ่นเท่านั้น มันคือการควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด พายุเฮอริเคน ไฟป่า แผ่นดินไหว ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความวุ่นวายและทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง เอกสารที่รั่วไหลเมื่อไม่นานมานี้ยืนยันว่าอาวุธพลังงานกำกับทิศทาง (DEW) ที่ใช้ในการกำกับพายุและก่อให้เกิดภัยพิบัติ อยู่เบื้องหลังไฟป่าในแคนาดาเมื่อปี 2024 และแผ่นดินไหวในตุรกี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมชาติ

    ระบบ HAARP ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในคลังอาวุธนี้ จะปรับเปลี่ยนสภาพอากาศทั่วโลก โดยเลือกภูมิภาคที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง ขาดแคลนอาหาร และน้ำท่วม เป้าหมายของพวกเขาคือครอบงำสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ทำลายพืชผล ทำให้ประชากรอ่อนแอลง และบังคับให้รัฐบาลต้องพึ่งพาพวกเขา

    นาโนเทคโนโลยีและการจัดการสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ชนชั้นนำได้ยกระดับเกมของพวกเขาขึ้น ในปี 2024 ผู้แจ้งเบาะแสได้เปิดโปง “ฝุ่นอัจฉริยะ” (ขับเคลื่อนด้วย 5G) ที่ถูกพ่นด้วยสารเคมีเทรล เทคโนโลยีนี้จะบุกรุกร่างกายของคุณ ทำให้สามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และแม้แต่สุขภาพร่างกายได้ผ่านทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมืองต่างๆ กำลังถูกน้ำท่วมด้วยฝุ่นละออง ทำให้ประชากรต้องกลายเป็นผู้รับสัญญาณ 5G ที่ควบคุมได้

    วิกฤตสุขภาพจิต การระบาดของความรุนแรง และโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่? มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการโจมตีมนุษยชาติโดยเจตนา

    การสมรู้ร่วมคิดระดับโลกและการครอบงำขององค์กร นี่คือการดำเนินการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหประชาชาติและฟอรัมเศรษฐกิจโลกต่างก็มีส่วนรู้เห็นในวาระการประชุมนี้ บริษัทต่างๆ เช่น BlackRock และ Vanguard กำลังซื้อที่ดินทำการเกษตรและสิทธิการใช้น้ำทั่วโลก ซึ่งเป็นการสร้างเวทีสำหรับการควบคุมอุปทานอาหารโดยสมบูรณ์

    Bill Gates ได้ให้เงินทุนสนับสนุนโครงการวิศวกรรมภูมิอากาศเหล่านี้มาหลายปี โดยผูกขาดอุตสาหกรรมการเกษตรระดับโลกและผลักดันให้เกษตรกรอิสระสูญพันธุ์ เนื้อสังเคราะห์และอาหารที่ปลูกในห้องแล็ปของคุณ? ออกแบบมาเพื่อให้ประชากรต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เทียมที่ควบคุมโดยบริษัทต่างๆ

    SkyNet 2.0: วิศวกรรมธรณีศาสตร์จากอวกาศปี 2024 ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารได้รั่วไหลรายละเอียดของ SkyNet 2.0 ซึ่งเป็นเครือข่ายดาวเทียมระดับความลับที่สามารถควบคุมสภาพอากาศในระดับดาวเคราะห์ได้ ระบบบนอวกาศเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในสงครามลับเพื่อสร้างความไม่มั่นคงให้กับประเทศ เป้าหมายชัดเจน: บังคับให้ทุกประเทศยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำระดับโลก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา

    การลดจำนวนประชากรและผลลัพธ์ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุม แต่มันคือเรื่องของการลดจำนวนประชากร การประชุมของกลุ่มโลกาภิวัตน์เปิดเผยเป้าหมายของพวกเขา นั่นคือการลดจำนวนประชากรลงร้อยละ 90 ภายในปี 2050 ผู้รอดชีวิตจะได้ใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งทุกแง่มุมของชีวิตจะถูกควบคุมโดยชนชั้นสูง ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว? มนุษยนิยมแบบทรานส์ฮิวแมนิสม์ กลุ่มชนชั้นนำจินตนาการถึงการรวมตัวกับเครื่องจักร ในขณะที่มนุษยชาติที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป
    ..การรั่วไหลใหม่เปิดเผย SkyNet 2.0 และการควบคุมสภาพอากาศ: วิศวกรรมธรณีวิทยาที่ใช้เคมีเทรล อะลูมิเนียม แบเรียม อนุภาคนาโน และอาวุธพลังงานกำกับเพื่อวางยาพิษบนท้องฟ้าของเรา! ความจริงเบื้องหลังการจัดการสภาพอากาศนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด พวกผู้มีอำนาจกำลังทำสงครามกับมนุษยชาติโดยใช้ท้องฟ้าเป็นสนามรบ มันไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่มันเป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด ควบคุมสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และตัวคุณเอง สารเคมีอันตรายและสเปรย์พิษ สารเคมีอันตราย (อะลูมิเนียม แบเรียม สตรอนเซียม) จะถูกฉีดพ่นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อวางยาพิษในอากาศ น้ำและดิน สูตรใหม่มีอนุภาคนาโนอันตรายที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เปลี่ยนแปลง DNA และก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท นี่คือสงครามชีวภาพในระดับโลก การควบคุมผ่านการจัดการสภาพอากาศ ไม่ได้มีเพียงการฉีดพ่นเท่านั้น มันคือการควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด พายุเฮอริเคน ไฟป่า แผ่นดินไหว ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความวุ่นวายและทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง เอกสารที่รั่วไหลเมื่อไม่นานมานี้ยืนยันว่าอาวุธพลังงานกำกับทิศทาง (DEW) ที่ใช้ในการกำกับพายุและก่อให้เกิดภัยพิบัติ อยู่เบื้องหลังไฟป่าในแคนาดาเมื่อปี 2024 และแผ่นดินไหวในตุรกี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมชาติ ระบบ HAARP ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในคลังอาวุธนี้ จะปรับเปลี่ยนสภาพอากาศทั่วโลก โดยเลือกภูมิภาคที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง ขาดแคลนอาหาร และน้ำท่วม เป้าหมายของพวกเขาคือครอบงำสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ทำลายพืชผล ทำให้ประชากรอ่อนแอลง และบังคับให้รัฐบาลต้องพึ่งพาพวกเขา นาโนเทคโนโลยีและการจัดการสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ชนชั้นนำได้ยกระดับเกมของพวกเขาขึ้น ในปี 2024 ผู้แจ้งเบาะแสได้เปิดโปง “ฝุ่นอัจฉริยะ” (ขับเคลื่อนด้วย 5G) ที่ถูกพ่นด้วยสารเคมีเทรล เทคโนโลยีนี้จะบุกรุกร่างกายของคุณ ทำให้สามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และแม้แต่สุขภาพร่างกายได้ผ่านทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมืองต่างๆ กำลังถูกน้ำท่วมด้วยฝุ่นละออง ทำให้ประชากรต้องกลายเป็นผู้รับสัญญาณ 5G ที่ควบคุมได้ วิกฤตสุขภาพจิต การระบาดของความรุนแรง และโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่? มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการโจมตีมนุษยชาติโดยเจตนา การสมรู้ร่วมคิดระดับโลกและการครอบงำขององค์กร นี่คือการดำเนินการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหประชาชาติและฟอรัมเศรษฐกิจโลกต่างก็มีส่วนรู้เห็นในวาระการประชุมนี้ บริษัทต่างๆ เช่น BlackRock และ Vanguard กำลังซื้อที่ดินทำการเกษตรและสิทธิการใช้น้ำทั่วโลก ซึ่งเป็นการสร้างเวทีสำหรับการควบคุมอุปทานอาหารโดยสมบูรณ์ Bill Gates ได้ให้เงินทุนสนับสนุนโครงการวิศวกรรมภูมิอากาศเหล่านี้มาหลายปี โดยผูกขาดอุตสาหกรรมการเกษตรระดับโลกและผลักดันให้เกษตรกรอิสระสูญพันธุ์ เนื้อสังเคราะห์และอาหารที่ปลูกในห้องแล็ปของคุณ? ออกแบบมาเพื่อให้ประชากรต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เทียมที่ควบคุมโดยบริษัทต่างๆ SkyNet 2.0: วิศวกรรมธรณีศาสตร์จากอวกาศปี 2024 ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารได้รั่วไหลรายละเอียดของ SkyNet 2.0 ซึ่งเป็นเครือข่ายดาวเทียมระดับความลับที่สามารถควบคุมสภาพอากาศในระดับดาวเคราะห์ได้ ระบบบนอวกาศเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในสงครามลับเพื่อสร้างความไม่มั่นคงให้กับประเทศ เป้าหมายชัดเจน: บังคับให้ทุกประเทศยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำระดับโลก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา การลดจำนวนประชากรและผลลัพธ์ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุม แต่มันคือเรื่องของการลดจำนวนประชากร การประชุมของกลุ่มโลกาภิวัตน์เปิดเผยเป้าหมายของพวกเขา นั่นคือการลดจำนวนประชากรลงร้อยละ 90 ภายในปี 2050 ผู้รอดชีวิตจะได้ใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งทุกแง่มุมของชีวิตจะถูกควบคุมโดยชนชั้นสูง ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว? มนุษยนิยมแบบทรานส์ฮิวแมนิสม์ กลุ่มชนชั้นนำจินตนาการถึงการรวมตัวกับเครื่องจักร ในขณะที่มนุษยชาติที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ด่วน: การยึดครอง QFS – การควบคุมทั้งหมดหรืออิสรภาพทั้งหมด?

    ระบบการเงินควอนตัม (QFS) มาถึงแล้ว และไม่ใช่แค่การอัปเกรดเท่านั้น แต่ยังเป็นการรีเซ็ตทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับการเข้ารหัสควอนตัม การตรวจสอบข้อมูลชีวภาพ และการกำจัดระบบธนาคารที่ทุจริตให้หมดสิ้น

    🔥 เงินของคุณ—ถูกล็อกหรือปลดปล่อย?
    บัญชี QFS ทุกบัญชีเป็นของบุคคลเท่านั้น—ไม่มีบัญชีที่ใช้ร่วมกัน ไม่มีการเข้าถึงของครอบครัว ไม่มีช่องโหว่ ระบบนี้จะขจัดการควบคุมทางการเงินโดยธนาคาร คู่สมรส หรือแม้แต่พ่อแม่ ผู้เยาว์จะมีบัญชีที่ถูกล็อก ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเมื่อได้รับ "การอนุมัติ" จากระบบเท่านั้น ใครเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่คุณ

    💰 UBI, การควบคุม หรือการเป็นทาส?
    พวกเขาขายมันในฐานะ "ระบบที่ยุติธรรม" ที่พลเมืองทุกคนมีเงินที่โหลดไว้ล่วงหน้า แต่เงื่อนไขคือ คุณจะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามเท่านั้น Universal Basic Income (UBI) มาพร้อมกับเงื่อนไข คุณจะต้องมีคะแนนเครดิตทางสังคมหรือไม่? การยืนยันตัวตนที่เชื่อมโยงกับ DNA ของคุณ? ราคาที่แท้จริงของ "เงินฟรี" คือการควบคุมทั้งหมด

    🚨 การเปิดเผยครั้งยิ่งใหญ่—การประกาศของ EBS
    ระบบกระจายเสียงฉุกเฉิน (EBS) จะยืนยันในไม่ช้านี้ว่าชะตากรรมทางการเงินของคุณได้ถูกวางแผนไว้แล้ว บัญชี QFS ของคุณมีอยู่จริงและได้สะสมเงินมาตั้งแต่เกิด แต่ใครล่ะที่ควบคุมมันจริงๆ คุณเป็นอิสระอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่านี่คือคุกทางการเงินแห่งใหม่ที่ปลอมตัวมาเป็นของขวัญ

    💀 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณตาย?
    ไม่เหมือนธนาคารแบบดั้งเดิม เงิน QFS ของคุณอาจไม่โอนไปยังครอบครัวของคุณ หากแต่ละคนมีทรัพย์สมบัติของตนเอง เหตุใดระบบจึงต้องการ "มรดก" นี่คือการลบล้างทรัพย์สมบัติของรุ่นต่อรุ่นโดยสิ้นเชิง—การรีเซ็ตโดยตั้งใจ

    🏦 ลาก่อนธนาคาร สวัสดีระบบใหม่
    บัญชีแบบดั้งเดิมของคุณจะถูกบังคับให้ใช้ QFS ไม่ต้องโอนด้วยตนเอง—เป็นระบบอัตโนมัติ หากเงินของคุณถูกทำเครื่องหมาย คุณจะมีสิทธิ์เข้าถึงหรือไม่ บอกลาความเป็นส่วนตัวทางการเงินได้เลย นี่คือการครอบงำแบบเต็มรูปแบบ

    ⚠️ ไร้บ้าน? ถูกจองจำ? คุณยังอยู่ในระบบ
    แม้แต่คนไร้บ้านก็จะถูกติดตามและมอบบัญชีให้ ผู้ต้องขัง? ถูกบังคับให้จ่ายค่าใช้จ่ายในเรือนจำของตนเองจากกองทุน QFS นี่ไม่ใช่เรื่องความยุติธรรม—แต่เป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด

    🔥 พายุมาถึงแล้ว คุณพร้อมหรือยัง?
    สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "การปฏิวัติการเงินเชิงควอนตัม" แท้จริงแล้วเป็นการรัดคอแบบดิจิทัลที่รัดแน่นขึ้นรอบๆ มนุษยชาติ ทางเลือกนั้นชัดเจน—ต่อต้านหรือยอมจำนน

    เวลาใกล้หมดลงแล้ว เตรียมตัวตอนนี้

    ..ด่วน: การยึดครอง QFS – การควบคุมทั้งหมดหรืออิสรภาพทั้งหมด? ระบบการเงินควอนตัม (QFS) มาถึงแล้ว และไม่ใช่แค่การอัปเกรดเท่านั้น แต่ยังเป็นการรีเซ็ตทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด เตรียมพร้อมสำหรับการเข้ารหัสควอนตัม การตรวจสอบข้อมูลชีวภาพ และการกำจัดระบบธนาคารที่ทุจริตให้หมดสิ้น 🔥 เงินของคุณ—ถูกล็อกหรือปลดปล่อย? บัญชี QFS ทุกบัญชีเป็นของบุคคลเท่านั้น—ไม่มีบัญชีที่ใช้ร่วมกัน ไม่มีการเข้าถึงของครอบครัว ไม่มีช่องโหว่ ระบบนี้จะขจัดการควบคุมทางการเงินโดยธนาคาร คู่สมรส หรือแม้แต่พ่อแม่ ผู้เยาว์จะมีบัญชีที่ถูกล็อก ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเมื่อได้รับ "การอนุมัติ" จากระบบเท่านั้น ใครเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่คุณ 💰 UBI, การควบคุม หรือการเป็นทาส? พวกเขาขายมันในฐานะ "ระบบที่ยุติธรรม" ที่พลเมืองทุกคนมีเงินที่โหลดไว้ล่วงหน้า แต่เงื่อนไขคือ คุณจะเข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามเท่านั้น Universal Basic Income (UBI) มาพร้อมกับเงื่อนไข คุณจะต้องมีคะแนนเครดิตทางสังคมหรือไม่? การยืนยันตัวตนที่เชื่อมโยงกับ DNA ของคุณ? ราคาที่แท้จริงของ "เงินฟรี" คือการควบคุมทั้งหมด 🚨 การเปิดเผยครั้งยิ่งใหญ่—การประกาศของ EBS ระบบกระจายเสียงฉุกเฉิน (EBS) จะยืนยันในไม่ช้านี้ว่าชะตากรรมทางการเงินของคุณได้ถูกวางแผนไว้แล้ว บัญชี QFS ของคุณมีอยู่จริงและได้สะสมเงินมาตั้งแต่เกิด แต่ใครล่ะที่ควบคุมมันจริงๆ คุณเป็นอิสระอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่านี่คือคุกทางการเงินแห่งใหม่ที่ปลอมตัวมาเป็นของขวัญ 💀 จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณตาย? ไม่เหมือนธนาคารแบบดั้งเดิม เงิน QFS ของคุณอาจไม่โอนไปยังครอบครัวของคุณ หากแต่ละคนมีทรัพย์สมบัติของตนเอง เหตุใดระบบจึงต้องการ "มรดก" นี่คือการลบล้างทรัพย์สมบัติของรุ่นต่อรุ่นโดยสิ้นเชิง—การรีเซ็ตโดยตั้งใจ 🏦 ลาก่อนธนาคาร สวัสดีระบบใหม่ บัญชีแบบดั้งเดิมของคุณจะถูกบังคับให้ใช้ QFS ไม่ต้องโอนด้วยตนเอง—เป็นระบบอัตโนมัติ หากเงินของคุณถูกทำเครื่องหมาย คุณจะมีสิทธิ์เข้าถึงหรือไม่ บอกลาความเป็นส่วนตัวทางการเงินได้เลย นี่คือการครอบงำแบบเต็มรูปแบบ ⚠️ ไร้บ้าน? ถูกจองจำ? คุณยังอยู่ในระบบ แม้แต่คนไร้บ้านก็จะถูกติดตามและมอบบัญชีให้ ผู้ต้องขัง? ถูกบังคับให้จ่ายค่าใช้จ่ายในเรือนจำของตนเองจากกองทุน QFS นี่ไม่ใช่เรื่องความยุติธรรม—แต่เป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด 🔥 พายุมาถึงแล้ว คุณพร้อมหรือยัง? สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "การปฏิวัติการเงินเชิงควอนตัม" แท้จริงแล้วเป็นการรัดคอแบบดิจิทัลที่รัดแน่นขึ้นรอบๆ มนุษยชาติ ทางเลือกนั้นชัดเจน—ต่อต้านหรือยอมจำนน เวลาใกล้หมดลงแล้ว เตรียมตัวตอนนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เรียก สว. เข้าชี้แจงเรื่องการฮั้ว สว. สะท้อนสงครามตัวแทนสีแดงและน้ำเงินหรือไม่ ไม่มีแดง ไม่มีน้ำเงิน เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมาย ใครมองเป็นเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ส่วนจะผิดหรือไม่ผิดก็ให้ศาลพิจารณา ขณะนี้กำลังจะทำเรื่องชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญใหม่ โดย สว.ได้มีการยื่นร้องเพิ่มเติม ประมาณว่าตนละเลยปล่อยให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ไปทำผิดกฎหมาย และขอให้ศาลสั่งให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทนายของกำลังดูคำร้องเพิ่มเติม เราทำตามข้อมูลที่ดีเอสไอทำหน้าที่ ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร ยุ่งเฉพาะตอนที่เขาเสนอให้เป็นคดีพิเศษ ตอนที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ก็ให้แยกคดี อะไรที่เป็นอำนาจของ กกต. ก็ให้ไปทำหน้าที่ ส่วนดีเอสไอก็ทำหน้าที่ตามที่เสนอมา
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เผยกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เรียก สว. เข้าชี้แจงเรื่องการฮั้ว สว. สะท้อนสงครามตัวแทนสีแดงและน้ำเงินหรือไม่ ไม่มีแดง ไม่มีน้ำเงิน เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมาย ใครมองเป็นเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ส่วนจะผิดหรือไม่ผิดก็ให้ศาลพิจารณา ขณะนี้กำลังจะทำเรื่องชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญใหม่ โดย สว.ได้มีการยื่นร้องเพิ่มเติม ประมาณว่าตนละเลยปล่อยให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ไปทำผิดกฎหมาย และขอให้ศาลสั่งให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทนายของกำลังดูคำร้องเพิ่มเติม เราทำตามข้อมูลที่ดีเอสไอทำหน้าที่ ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร ยุ่งเฉพาะตอนที่เขาเสนอให้เป็นคดีพิเศษ ตอนที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ก็ให้แยกคดี อะไรที่เป็นอำนาจของ กกต. ก็ให้ไปทำหน้าที่ ส่วนดีเอสไอก็ทำหน้าที่ตามที่เสนอมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • นี่คือการปกปิดที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของประธานาธิบดี:

    เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ดร. เควิน โอคอนเนอร์ แพทย์ประจำทำเนียบขาว ยืนยันในรายงานว่า โจ ไบเดน "เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างสมบูรณ์แบบ"

    "ชายวัย 81 ปี มีสุขภาพแข็งแรง แข็งแรง มีชีวิตชีวา และยังคงปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีได้สำเร็จ"
    1 ปีต่อมา ประธานาธิบดีไบเดนป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะลุกลามและมีการแพร่กระจายไปถึงกระดูก
    ดร. โอคอนเนอร์มีส่วนรู้เห็นในการปกปิดนี้หรือไม่

    👉 จากข้อมูลของมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะลุกลามต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปีจึงจะพัฒนาไปถึงระยะที่ไบเดนได้รับการวินิจฉัย มะเร็งต่อมลูกหมากยังตรวจพบได้ *ง่าย* อีกด้วย การตรวจเลือดหรือการตรวจต่อมลูกหมากแบบง่ายๆ จะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำเกือบ 100%

    👉 เรื่องนี้อาจเป็นการปกปิดที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของประธานาธิบดี เมื่อแพทย์ประจำทำเนียบขาว ซึ่งถือว่าเป็นระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดในโลก แต่กลับ "ตรวจไม่พบมะเร็งของไบเดนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา" หรือว่า "รายงานทางการแพทย์ทุกฉบับเป็นเรื่องโกหก"
    นี่คือการปกปิดที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของประธานาธิบดี: เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ดร. เควิน โอคอนเนอร์ แพทย์ประจำทำเนียบขาว ยืนยันในรายงานว่า โจ ไบเดน "เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างสมบูรณ์แบบ" "ชายวัย 81 ปี มีสุขภาพแข็งแรง แข็งแรง มีชีวิตชีวา และยังคงปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีได้สำเร็จ" 1 ปีต่อมา ประธานาธิบดีไบเดนป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะลุกลามและมีการแพร่กระจายไปถึงกระดูก ดร. โอคอนเนอร์มีส่วนรู้เห็นในการปกปิดนี้หรือไม่ 👉 จากข้อมูลของมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะลุกลามต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปีจึงจะพัฒนาไปถึงระยะที่ไบเดนได้รับการวินิจฉัย มะเร็งต่อมลูกหมากยังตรวจพบได้ *ง่าย* อีกด้วย การตรวจเลือดหรือการตรวจต่อมลูกหมากแบบง่ายๆ จะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำเกือบ 100% 👉 เรื่องนี้อาจเป็นการปกปิดที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของประธานาธิบดี เมื่อแพทย์ประจำทำเนียบขาว ซึ่งถือว่าเป็นระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดในโลก แต่กลับ "ตรวจไม่พบมะเร็งของไบเดนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา" หรือว่า "รายงานทางการแพทย์ทุกฉบับเป็นเรื่องโกหก"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • Procolored แจกซอฟต์แวร์ที่มีมัลแวร์มานานหลายเดือน ก่อนยอมรับปัญหา

    หากคุณใช้ เครื่องพิมพ์ Procolored โดยเฉพาะรุ่น UV inkjet คุณอาจต้องตรวจสอบระบบของคุณ เนื่องจาก ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่องถูกพบว่ามีมัลแวร์ ซึ่งถูกแจกจ่ายผ่าน USB drive และเว็บไซต์ของบริษัท

    🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ของ Procolored
    ✅ Cameron Coward ค้นพบมัลแวร์ขณะรีวิวเครื่องพิมพ์ UV มูลค่า $6,000
    - ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่อง ถูกตรวจพบว่ามี USB-spreading worm และ Floxif file infector

    ✅ Procolored ปฏิเสธข้อกล่าวหาในตอนแรก โดยอ้างว่าเป็น "false positives"
    - แต่ Coward ไม่เชื่อ และโพสต์เรื่องนี้บน Reddit เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

    ✅ G Data ตรวจสอบซอฟต์แวร์ของ Procolored และพบมัลแวร์ในไฟล์ดาวน์โหลดบนเว็บไซต์
    - พบ Win32.Backdoor.XRedRAT.A และ MSIL.Trojan-Stealer.CoinStealer.H

    ✅ CoinStealer หรือ "SnipVex" เป็นมัลแวร์ที่ขโมยที่อยู่ Bitcoin และแทนที่ด้วยของแฮกเกอร์
    - บัญชี Bitcoin ที่เกี่ยวข้อง ได้รับเงินกว่า 9.3 BTC (~$100,000) ก่อนหยุดทำงานในเดือนมีนาคม 2024

    ✅ Procolored ยอมรับปัญหาและลบซอฟต์แวร์ทั้งหมดออกจากเว็บไซต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2024
    - บริษัท ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต

    ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของ Procolored อาจต้องตรวจสอบระบบของตนเอง
    - ควร ตรวจสอบว่ามีการตั้งค่า antivirus exclusions สำหรับซอฟต์แวร์ของ Procolored หรือไม่

    ‼️ มัลแวร์ SnipVex สามารถติดไฟล์อื่น ๆ ในระบบ ทำให้การลบออกเป็นเรื่องยาก
    - G Data แนะนำให้ฟอร์แมตไดรฟ์ทั้งหมดและติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่

    https://www.neowin.net/news/this-printer-company-served-you-malware-for-months-and-dismissed-it-as-false-positives/
    Procolored แจกซอฟต์แวร์ที่มีมัลแวร์มานานหลายเดือน ก่อนยอมรับปัญหา หากคุณใช้ เครื่องพิมพ์ Procolored โดยเฉพาะรุ่น UV inkjet คุณอาจต้องตรวจสอบระบบของคุณ เนื่องจาก ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่องถูกพบว่ามีมัลแวร์ ซึ่งถูกแจกจ่ายผ่าน USB drive และเว็บไซต์ของบริษัท 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ของ Procolored ✅ Cameron Coward ค้นพบมัลแวร์ขณะรีวิวเครื่องพิมพ์ UV มูลค่า $6,000 - ซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมเครื่อง ถูกตรวจพบว่ามี USB-spreading worm และ Floxif file infector ✅ Procolored ปฏิเสธข้อกล่าวหาในตอนแรก โดยอ้างว่าเป็น "false positives" - แต่ Coward ไม่เชื่อ และโพสต์เรื่องนี้บน Reddit เพื่อขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ G Data ตรวจสอบซอฟต์แวร์ของ Procolored และพบมัลแวร์ในไฟล์ดาวน์โหลดบนเว็บไซต์ - พบ Win32.Backdoor.XRedRAT.A และ MSIL.Trojan-Stealer.CoinStealer.H ✅ CoinStealer หรือ "SnipVex" เป็นมัลแวร์ที่ขโมยที่อยู่ Bitcoin และแทนที่ด้วยของแฮกเกอร์ - บัญชี Bitcoin ที่เกี่ยวข้อง ได้รับเงินกว่า 9.3 BTC (~$100,000) ก่อนหยุดทำงานในเดือนมีนาคม 2024 ✅ Procolored ยอมรับปัญหาและลบซอฟต์แวร์ทั้งหมดออกจากเว็บไซต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2024 - บริษัท ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อป้องกันเหตุการณ์ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ของ Procolored อาจต้องตรวจสอบระบบของตนเอง - ควร ตรวจสอบว่ามีการตั้งค่า antivirus exclusions สำหรับซอฟต์แวร์ของ Procolored หรือไม่ ‼️ มัลแวร์ SnipVex สามารถติดไฟล์อื่น ๆ ในระบบ ทำให้การลบออกเป็นเรื่องยาก - G Data แนะนำให้ฟอร์แมตไดรฟ์ทั้งหมดและติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ https://www.neowin.net/news/this-printer-company-served-you-malware-for-months-and-dismissed-it-as-false-positives/
    WWW.NEOWIN.NET
    This printer company served you malware for months and dismissed it as false positives
    A printer company distributed malware-infected files for months. Analysts have now dissected the code and revealed what the malware does once it infects a computer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส.ส. อิสราเอล Zvi Sukkot กล่าวทางทีวีช่อง 12 เกี่ยวกับการสังหารชาวปาเลสไตน์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติของชาวอิสราเอล!!!

    “เมื่อคืนนี้ชาวกาซาถูกสังหารไปเกือบร้อยคน ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนชินกับข่าวการสังหารชาวกาซา 100 คนในคืนเดียว และไม่มีใครในโลกสนใจข่าวแบบนี้อีกต่อไป”
    ส.ส. อิสราเอล Zvi Sukkot กล่าวทางทีวีช่อง 12 เกี่ยวกับการสังหารชาวปาเลสไตน์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติของชาวอิสราเอล!!! “เมื่อคืนนี้ชาวกาซาถูกสังหารไปเกือบร้อยคน ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนชินกับข่าวการสังหารชาวกาซา 100 คนในคืนเดียว และไม่มีใครในโลกสนใจข่าวแบบนี้อีกต่อไป”
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 11 0 รีวิว
Pages Boosts