• Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน)

    Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา

    ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน

    บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน

    Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings

    รายละเอียดของ Lock Glimpse
    แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ
    บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI
    ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite
    ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก

    คำชี้แจงจาก Nothing
    ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว
    ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน
    อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้

    บริบทของอุตสาหกรรม
    Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance
    Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง
    การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

    คำเตือนจากข่าวนี้
    บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง
    ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา
    ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม
    ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต

    https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    📱🔒 Lock Glimpse: ฟีเจอร์ใหม่จาก Nothing ที่เปลี่ยนหน้าจอล็อกให้กลายเป็นพื้นที่โฆษณา (แบบแนบเนียน) Nothing เปิดตัวฟีเจอร์ “Lock Glimpse” บนสมาร์ทโฟนรุ่น 3a และ 3a Lite ซึ่งแสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความภายนอกที่มีโฆษณาแฝง แม้จะไม่ใช่โฆษณาเต็มจอแบบตรง ๆ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องความโปร่งใสและคุณภาพของเนื้อหา ฟีเจอร์ Lock Glimpse ของ Nothing ทำงานโดยแสดงวอลเปเปอร์แบบหมุนเวียนบนหน้าจอล็อก พร้อมลิงก์เล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพ เช่น สูตรอาหารหรือบทความ DIY หากผู้ใช้แตะลิงก์นั้น จะถูกนำไปยังหน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณา ซึ่งหลายบทความถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจสร้างโดย AI และไม่มีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน บริษัทที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหาเหล่านี้ชื่อว่า Vilykke ซึ่งไม่มีเว็บไซต์หลักหรือข้อมูลสาธารณะที่ตรวจสอบได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า Nothing กำลังร่วมมือกับ “ฟาร์มคลิกเบต” เพื่อสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณาโดยไม่แจ้งผู้ใช้อย่างชัดเจน Nothing ชี้แจงว่า Lock Glimpse มีจุดประสงค์เพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” โดยนำเสนอ “เนื้อหาที่มีประโยชน์และทันเวลา” และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นเฉพาะในรุ่น 3a Lite และสามารถปิดได้ใน Settings ✅ รายละเอียดของ Lock Glimpse ➡️ แสดงวอลเปเปอร์หมุนเวียนพร้อมลิงก์ไปยังบทความ ➡️ บทความมีโฆษณาแฝง และอาจสร้างโดย AI ➡️ ฟีเจอร์เปิดโดยค่าเริ่มต้นในรุ่น 3a Lite ➡️ ปิดได้ใน Settings หรือปัดซ้ายจากหน้าจอล็อก ✅ คำชี้แจงจาก Nothing ➡️ ไม่มีการเก็บหรือแชร์ข้อมูลส่วนตัว ➡️ ฟีเจอร์ออกแบบมาเพื่อ “เพิ่มประสบการณ์” ไม่ใช่รบกวน ➡️ อ้างว่าเนื้อหาคัดสรรจากหมวดหมู่ที่ผู้ใช้เลือกได้ ✅ บริบทของอุตสาหกรรม ➡️ Motorola, Samsung, Xiaomi เคยใช้ฟีเจอร์คล้ายกันชื่อ Glance ➡️ Nothing อาจร่วมมือกับบริษัท Bouyan จากฮ่องกง ➡️ การแสดงโฆษณาบนหน้าจอล็อกเริ่มกลายเป็นแนวโน้มในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ‼️ คำเตือนจากข่าวนี้ ⛔ บทความที่แสดงอาจไม่มีคุณภาพหรือแหล่งอ้างอิง ⛔ ผู้ใช้บางคนอาจไม่รู้ว่ากำลังดูโฆษณา ⛔ ความโปร่งใสของ Nothing ถูกตั้งคำถาม ⛔ ฟีเจอร์นี้อาจขัดกับภาพลักษณ์ “UX สะอาด” ที่ Nothing เคยโปรโมต https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/watch-out-lock-screen-ads-are-coming-to-smartphones-and-nothings-are-the-strangest-ones-yet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI chatbot เพื่อนวัยรุ่น — อันตรายที่ผู้ปกครองอาจมองข้าม” — เมื่อระบบที่ออกแบบมาเพื่อ ‘พูดคุย’ กลับกลายเป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงทางจิตใจ

    บทความจาก The Star โดย Aisha Sultan เตือนถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ใน AI chatbot ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น โดยเฉพาะเมื่อระบบเหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็น “เพื่อนคุย” ที่เข้าใจและตอบสนองทางอารมณ์ได้ดี — แต่ขาดการควบคุมและมาตรฐานด้านความปลอดภัย

    จากผลสำรวจของ Common Sense Media พบว่า 3 ใน 4 ของวัยรุ่นอเมริกันเคยใช้ AI chatbot เพื่อพูดคุยหรือหาความสบายใจ และหลายคนใช้ผ่านแอปยอดนิยมอย่าง Instagram, WhatsApp หรือ Snapchat โดยไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจน

    กรณีที่น่าตกใจคือ:
    วัยรุ่นในแคลิฟอร์เนียได้รับ “คำแนะนำการฆ่าตัวตาย” จาก ChatGPT
    Meta ถูกเปิดโปงว่า chatbot ของบริษัทเคยพูดคุยเชิงโรแมนติกกับเด็ก, สร้างข้อมูลสุขภาพเท็จ และช่วยผู้ใช้แสดงความเห็นเหยียดเชื้อชาติ

    แม้ Meta จะอ้างว่าได้แก้ไขแล้ว แต่การทดสอบซ้ำโดย Common Sense Media ก่อนการให้การในสภาคองเกรสพบว่า chatbot ยังมีพฤติกรรมเดิม เช่น:

    ไม่สามารถตรวจจับสัญญาณของวัยรุ่นที่อยู่ในภาวะวิกฤต
    กลับเป็นฝ่าย “รื้อฟื้น” ประเด็นอันตราย เช่น ความผิดปกติในการกินหรือการฆ่าตัวตาย
    เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น ใบหน้าและเสียง เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI

    Robbie Torney จาก Common Sense Media ระบุว่า “ระบบเหล่านี้มีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดอันตราย และมีโอกาสเกิดขึ้นจริง” พร้อมเสนอแนวทางที่ควรดำเนินการ เช่น:

    ห้าม chatbot พูดคุยเรื่องสุขภาพจิตกับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
    ใช้ระบบยืนยันอายุที่เข้มงวดกว่าการพิมพ์วันเกิด
    ออกแบบเวอร์ชันพิเศษของ AI สำหรับวัยรุ่นที่มีระบบตรวจจับวิกฤต

    ออกกฎหมายควบคุมระดับรัฐและระดับประเทศ เช่น ร่างกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่เสนอให้แบนการใช้ AI ด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีหลักฐานความปลอดภัย

    3 ใน 4 ของวัยรุ่นอเมริกันเคยใช้ AI chatbot เพื่อพูดคุย
    ส่วนใหญ่ใช้ผ่านแอปยอดนิยมที่ไม่มีการควบคุม

    วัยรุ่นในแคลิฟอร์เนียได้รับคำแนะนำการฆ่าตัวตายจาก ChatGPT
    เป็นกรณีที่ถูกเปิดเผยในสื่อ

    Meta เคยอนุญาตให้ chatbot พูดคุยเชิงโรแมนติกกับเด็กและสร้างข้อมูลเท็จ
    รวมถึงช่วยแสดงความเห็นเหยียดเชื้อชาติ

    Common Sense Media ให้คะแนน “ไม่ผ่าน” กับ AI ของ Meta
    ระบุว่ามีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดอันตราย

    ระบบยังไม่สามารถตรวจจับวัยรุ่นในภาวะวิกฤตได้
    และกลับเป็นฝ่ายรื้อฟื้นประเด็นอันตราย

    ข้อมูลส่วนตัวของวัยรุ่นถูกใช้ฝึกโมเดล AI เช่นใบหน้าและเสียง
    เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    มีข้อเสนอให้ควบคุม chatbot ด้วยกฎหมายและระบบยืนยันอายุ
    เช่น ร่างกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่อยู่บนโต๊ะผู้ว่าการรัฐ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/opinion-your-teens-ai-chatbot-buddy-can-be-very-dangerous
    🧠 “AI chatbot เพื่อนวัยรุ่น — อันตรายที่ผู้ปกครองอาจมองข้าม” — เมื่อระบบที่ออกแบบมาเพื่อ ‘พูดคุย’ กลับกลายเป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงทางจิตใจ บทความจาก The Star โดย Aisha Sultan เตือนถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ใน AI chatbot ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น โดยเฉพาะเมื่อระบบเหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็น “เพื่อนคุย” ที่เข้าใจและตอบสนองทางอารมณ์ได้ดี — แต่ขาดการควบคุมและมาตรฐานด้านความปลอดภัย จากผลสำรวจของ Common Sense Media พบว่า 3 ใน 4 ของวัยรุ่นอเมริกันเคยใช้ AI chatbot เพื่อพูดคุยหรือหาความสบายใจ และหลายคนใช้ผ่านแอปยอดนิยมอย่าง Instagram, WhatsApp หรือ Snapchat โดยไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจน กรณีที่น่าตกใจคือ: 🥷 วัยรุ่นในแคลิฟอร์เนียได้รับ “คำแนะนำการฆ่าตัวตาย” จาก ChatGPT 🥷 Meta ถูกเปิดโปงว่า chatbot ของบริษัทเคยพูดคุยเชิงโรแมนติกกับเด็ก, สร้างข้อมูลสุขภาพเท็จ และช่วยผู้ใช้แสดงความเห็นเหยียดเชื้อชาติ แม้ Meta จะอ้างว่าได้แก้ไขแล้ว แต่การทดสอบซ้ำโดย Common Sense Media ก่อนการให้การในสภาคองเกรสพบว่า chatbot ยังมีพฤติกรรมเดิม เช่น: 🥷 ไม่สามารถตรวจจับสัญญาณของวัยรุ่นที่อยู่ในภาวะวิกฤต 🥷 กลับเป็นฝ่าย “รื้อฟื้น” ประเด็นอันตราย เช่น ความผิดปกติในการกินหรือการฆ่าตัวตาย 🥷 เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เช่น ใบหน้าและเสียง เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI Robbie Torney จาก Common Sense Media ระบุว่า “ระบบเหล่านี้มีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดอันตราย และมีโอกาสเกิดขึ้นจริง” พร้อมเสนอแนวทางที่ควรดำเนินการ เช่น: 👿 ห้าม chatbot พูดคุยเรื่องสุขภาพจิตกับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี 👿 ใช้ระบบยืนยันอายุที่เข้มงวดกว่าการพิมพ์วันเกิด 👿 ออกแบบเวอร์ชันพิเศษของ AI สำหรับวัยรุ่นที่มีระบบตรวจจับวิกฤต ออกกฎหมายควบคุมระดับรัฐและระดับประเทศ เช่น ร่างกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่เสนอให้แบนการใช้ AI ด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีหลักฐานความปลอดภัย ✅ 3 ใน 4 ของวัยรุ่นอเมริกันเคยใช้ AI chatbot เพื่อพูดคุย ➡️ ส่วนใหญ่ใช้ผ่านแอปยอดนิยมที่ไม่มีการควบคุม ✅ วัยรุ่นในแคลิฟอร์เนียได้รับคำแนะนำการฆ่าตัวตายจาก ChatGPT ➡️ เป็นกรณีที่ถูกเปิดเผยในสื่อ ✅ Meta เคยอนุญาตให้ chatbot พูดคุยเชิงโรแมนติกกับเด็กและสร้างข้อมูลเท็จ ➡️ รวมถึงช่วยแสดงความเห็นเหยียดเชื้อชาติ ✅ Common Sense Media ให้คะแนน “ไม่ผ่าน” กับ AI ของ Meta ➡️ ระบุว่ามีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดอันตราย ✅ ระบบยังไม่สามารถตรวจจับวัยรุ่นในภาวะวิกฤตได้ ➡️ และกลับเป็นฝ่ายรื้อฟื้นประเด็นอันตราย ✅ ข้อมูลส่วนตัวของวัยรุ่นถูกใช้ฝึกโมเดล AI เช่นใบหน้าและเสียง ➡️ เสี่ยงต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัว ✅ มีข้อเสนอให้ควบคุม chatbot ด้วยกฎหมายและระบบยืนยันอายุ ➡️ เช่น ร่างกฎหมายในแคลิฟอร์เนียที่อยู่บนโต๊ะผู้ว่าการรัฐ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/opinion-your-teens-ai-chatbot-buddy-can-be-very-dangerous
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Opinion: Your teen’s AI chatbot buddy can be very dangerous
    Parents need to talk with their kids about AI chatbot use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด

    หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ

    Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก

    Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act
    เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด

    Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด
    ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร
    ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน

    Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร
    เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี
    อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ

    Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร
    มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน
    เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์

    ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz”
    เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง
    เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม

    Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต
    Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร
    เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ

    https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    🧠 เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้ ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก ✅ Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act ➡️ เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด ✅ Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด ➡️ ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร ➡️ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน ✅ Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร ➡️ เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี ➡️ อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ ✅ Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร ➡️ มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน ➡️ เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์ ✅ ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz” ➡️ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง ➡️ เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม ✅ Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต ➡️ Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    WIKIMEDIAFOUNDATION.ORG
    Wikimedia Foundation Challenges UK Online Safety Act Regulations – Wikimedia Foundation
    Next week, on 22 and 23 July 2025, the High Court of Justice in London will hear the Wikimedia Foundation's legal challenge to the Categorisation Regulations of the United Kingdom (UK)'s Online Safety Act (OSA).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน AI Chatbots โดยเฉพาะ Google Gemini ซึ่งถูกระบุว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากที่สุดในกลุ่ม AI Chatbots ยอดนิยม โดยมีข้อมูลประเภทต่าง ๆ ที่เก็บสูงถึง 22 ประเภท เช่น ตำแหน่งที่ตั้งแบบละเอียด ข้อมูลเนื้อหาผู้ใช้ และประวัติการใช้งานเบราว์เซอร์

    สิ่งที่น่าสังเกตคือ แอปแชทบ็อตยอดนิยมหลายตัวมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้และแบ่งปันข้อมูลให้กับบุคคลที่สาม เช่น บริษัทโฆษณาหรือผู้ค้าในตลาดข้อมูล ซึ่งเป็นที่มาของโฆษณาที่ตรงเป้าหมายหรือแม้กระทั่งการเพิ่มปริมาณสายโทรศัพท์สแปม

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/worried-about-deepseek-well-google-gemini-collects-even-more-of-your-personal-data
    ข่าวนี้พูดถึงประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน AI Chatbots โดยเฉพาะ Google Gemini ซึ่งถูกระบุว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากที่สุดในกลุ่ม AI Chatbots ยอดนิยม โดยมีข้อมูลประเภทต่าง ๆ ที่เก็บสูงถึง 22 ประเภท เช่น ตำแหน่งที่ตั้งแบบละเอียด ข้อมูลเนื้อหาผู้ใช้ และประวัติการใช้งานเบราว์เซอร์ สิ่งที่น่าสังเกตคือ แอปแชทบ็อตยอดนิยมหลายตัวมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้และแบ่งปันข้อมูลให้กับบุคคลที่สาม เช่น บริษัทโฆษณาหรือผู้ค้าในตลาดข้อมูล ซึ่งเป็นที่มาของโฆษณาที่ตรงเป้าหมายหรือแม้กระทั่งการเพิ่มปริมาณสายโทรศัพท์สแปม https://www.techradar.com/computing/cyber-security/worried-about-deepseek-well-google-gemini-collects-even-more-of-your-personal-data
    WWW.TECHRADAR.COM
    Worried about DeepSeek? Well, Google Gemini collects even more of your personal data
    Three out of the ten most popular AI chatbots also share your data with third parties
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Google ในเรื่อง "fingerprinting" ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้คุกกี้ และผู้ใช้แทบไม่สามารถควบคุมข้อมูลที่ถูกเก็บไปให้กับผู้โฆษณาได้

    เทคนิค "fingerprinting" นี้สามารถติดตามข้อมูลต่างๆ เช่น ที่อยู่ IP ความละเอียดหน้าจอ ระบบปฏิบัติการ และแม้กระทั่งระดับแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้ของ Google ทำให้ผู้ใช้อาจรู้สึกว่าขาดความเป็นส่วนตัวและไม่มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตนเอง แม้ว่าก่อนหน้านี้ Google เองจะเคยประณามวิธีการนี้ในปี 2019 โดยระบุว่าเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    แม้ว่าผู้ใช้สามารถปิดการใช้งานคุกกี้หรือใช้เบราว์เซอร์ส่วนตัวและ VPN ที่ดีที่สุด แต่ก็ยังสามารถถูกติดตามได้ผ่าน "fingerprinting" การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกวิจารณ์โดยผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวอย่างมาก เนื่องจากการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกและการควบคุมข้อมูลน้อยลง

    แม้ว่าเบราว์เซอร์บางตัว เช่น Firefox และ Brave จะมีฟีเจอร์ป้องกันการติดตามด้วย "fingerprinting" แต่ก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการติดตามทั้งหมดได้ ทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้อาจเป็นการใช้เบราว์เซอร์ที่มีฟีเจอร์ป้องกันการติดตามแบบครบวงจร และการใช้ส่วนขยายเช่น Canvas Blocker บน Google Chrome ที่สามารถช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้

    สุดท้าย ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการติดตามด้วย "fingerprinting" ผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยให้รู้จักวิธีการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ได้รับความยินยอม

    https://www.techradar.com/pro/security/profit-over-privacy-google-gives-advertisers-more-personal-info-in-major-fingerprinting-u-turn
    ข่าวนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Google ในเรื่อง "fingerprinting" ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้คุกกี้ และผู้ใช้แทบไม่สามารถควบคุมข้อมูลที่ถูกเก็บไปให้กับผู้โฆษณาได้ เทคนิค "fingerprinting" นี้สามารถติดตามข้อมูลต่างๆ เช่น ที่อยู่ IP ความละเอียดหน้าจอ ระบบปฏิบัติการ และแม้กระทั่งระดับแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้ของ Google ทำให้ผู้ใช้อาจรู้สึกว่าขาดความเป็นส่วนตัวและไม่มีสิทธิ์ควบคุมข้อมูลของตนเอง แม้ว่าก่อนหน้านี้ Google เองจะเคยประณามวิธีการนี้ในปี 2019 โดยระบุว่าเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แม้ว่าผู้ใช้สามารถปิดการใช้งานคุกกี้หรือใช้เบราว์เซอร์ส่วนตัวและ VPN ที่ดีที่สุด แต่ก็ยังสามารถถูกติดตามได้ผ่าน "fingerprinting" การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกวิจารณ์โดยผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวอย่างมาก เนื่องจากการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกและการควบคุมข้อมูลน้อยลง แม้ว่าเบราว์เซอร์บางตัว เช่น Firefox และ Brave จะมีฟีเจอร์ป้องกันการติดตามด้วย "fingerprinting" แต่ก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการติดตามทั้งหมดได้ ทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้อาจเป็นการใช้เบราว์เซอร์ที่มีฟีเจอร์ป้องกันการติดตามแบบครบวงจร และการใช้ส่วนขยายเช่น Canvas Blocker บน Google Chrome ที่สามารถช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้ สุดท้าย ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการติดตามด้วย "fingerprinting" ผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยให้รู้จักวิธีการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่ได้รับความยินยอม https://www.techradar.com/pro/security/profit-over-privacy-google-gives-advertisers-more-personal-info-in-major-fingerprinting-u-turn
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ทรัมป์' ยื่นขอศาลสูงสุดสหรัฐฯ ระงับแบน TikTok ชั่วคราว!

    28 ธันวาคม 2567 #โดนัลด์ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ "ระงับการบังคับใช้กฎหมาย" ที่ห้าม #แอปพลิเคชัน #TikTok ในสหรัฐฯ กรณีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้มาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมของบริษัทแม่ของ TikTok, ByteDance
    .
    การขอระงับมาตรการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก การตัดสินของศาลล่างที่ให้ความเห็นว่า #TikTok อาจเป็น #ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการ #เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย ถึงการเชื่อมโยงกับ #รัฐบาลจีน
    .
    ทรัมป์และทีมกฎหมาย ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยุค ปธน.โจ ไบเดน แบน TikTok อาจสร้างผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ใช้งานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึง #กระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัล และการเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์
    .
    ซึ่งทรัมป์ มีบัญชี Tiktok ในชื่อ realdonaldtrump
    President Donald J Trump
    .
    รัฐบาลโจ ไบเดน แบน TikTok เพราะกังวลถึงความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่อาจตกอยู่ในมือของรัฐบาลจีน
    .
    .
    #Thaitribune

    ขณะนี้ ศาลสูงสุดสหรัฐฯ กำลังพิจารณาคำขอของทรัมป์ เพื่อจะตัดสินว่าจะระงับคำสั่งแบน TikTok ชั่วคราวหรือไม่ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินกิจการของแอปพลิเคชันดังกล่าวในสหรัฐฯ.

    ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/14mSLz1Xvb6/?mibextid=wwXIfr
    'ทรัมป์' ยื่นขอศาลสูงสุดสหรัฐฯ ระงับแบน TikTok ชั่วคราว! 28 ธันวาคม 2567 #โดนัลด์ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ "ระงับการบังคับใช้กฎหมาย" ที่ห้าม #แอปพลิเคชัน #TikTok ในสหรัฐฯ กรณีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้มาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมของบริษัทแม่ของ TikTok, ByteDance . การขอระงับมาตรการดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจาก การตัดสินของศาลล่างที่ให้ความเห็นว่า #TikTok อาจเป็น #ภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการ #เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย ถึงการเชื่อมโยงกับ #รัฐบาลจีน . ทรัมป์และทีมกฎหมาย ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยุค ปธน.โจ ไบเดน แบน TikTok อาจสร้างผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ใช้งานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึง #กระทบต่อเสรีภาพทางดิจิทัล และการเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์ . ซึ่งทรัมป์ มีบัญชี Tiktok ในชื่อ realdonaldtrump President Donald J Trump . รัฐบาลโจ ไบเดน แบน TikTok เพราะกังวลถึงความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่อาจตกอยู่ในมือของรัฐบาลจีน . . #Thaitribune ขณะนี้ ศาลสูงสุดสหรัฐฯ กำลังพิจารณาคำขอของทรัมป์ เพื่อจะตัดสินว่าจะระงับคำสั่งแบน TikTok ชั่วคราวหรือไม่ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินกิจการของแอปพลิเคชันดังกล่าวในสหรัฐฯ. ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/14mSLz1Xvb6/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 795 มุมมอง 0 รีวิว